ความคิดเห็นที่ 2
ในการเรียนภาษาอังกฤษ พวกเราจะถูกสอนอยู่เพียง 2 ส่วนคือ คำศัพท์ (Vocabulary) และไวยากรณ์ (Grammar) แต่ ไม่ได้เรียน Collocations ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญที่ถูกละเลย ไม่ได้รับความสำคัญในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ทั้งๆ ที่ Collocations ถูกใช้ในการเขียนภาษาอังกฤษมากถึง 60-80% และถูกใช้ในการพูด 20-40%
ก่อนอื่นเราควรทราบว่าพจนานุกรมมีอยู่ 3 ประเภท คือ
1. พจนานุกรมคำศัพท์ทั่วไป ได้แก่ พจนานุกรมอังกฤษ-ไทย หรือไทย-อังกฤษ หรืออังกฤษ-อังกฤษ ที่มีวางจำหน่ายตามร้านหนังสือทั่วไป 2. พจนานุกรมเฉพาะทาง ได้แก่ พจนานุกรมศัพท์วิทยาศาสตร์ ศัพท์แพทย์ ศัพท์วิศวกรรม เป็นต้น 3. พจนานุกรมเสริมภาษา ได้แก่ พจนานุกรม Synonym (คำเหมือน), Antonym (คำตรงข้าม), พจนานุกรม Collocation (ตัวอย่างประโยค/วลี) พจนานุกรม English By Example เป็นพจนานุกรม Collocation เสริมภาษา ซึ่งผู้ศึกษาภาษาอังกฤษทุกคนควรมีไว้ เหตุใดจึงแต่งประโยคภาษาอังกฤษได้ไม่ดี และเขียนได้ไม่เหมือนเจ้าของภาษา ทั้งๆ ที่รู้ศัพท์และไวยากรณ์ ?
ที่เป็นเช่นนี้ เพราะการศึกษาภาษาอังกฤษในประเทศไทยตามหลักสูตรที่สอนในโรงเรียนหรือมหาวิทยาลัย ผู้สอนส่วนใหญ่จะเน้นให้พวกเราจดจำเฉพาะหลักไวยากรณ์ และข้อยกเว้นต่างๆ รวมทั้งฝึกให้ท่องจำศัพท์เป็นคำๆ โดยลืมนึกถึงความจริงที่ว่า คำศัพท์ในภาษาอังกฤษส่วนใหญ่จะถูกใช้เป็นคำๆ โดยลำพังไม่ได้
คำศัพท์แต่ละคำจะต้องมีศัพท์เฉพาะที่เจ้าของภาษากำหนดให้ใช้ร่วมกันเป็นกลุ่มคำในการผูกประโยค จึงจะเกิดความหมายที่ต้องการสื่อ จะใช้ศัพท์อื่นแทนไม่ได้ถึงแม้จะมีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกัน นอกจากนี้ศัพท์บางคำยังต้องจัดเรียงให้ถูกตำแหน่ง จะวางสลับกันไม่ได้ ภาษาอังกฤษเรียกกลุ่มคำที่ต้องใช้ร่วมกัน และการจัดเรียงคำในประโยคว่า "Collocation"
ดังนั้น การเน้นให้ท่องจำศัพท์เป็นคำๆ มากๆ อย่างที่เคยฝึกฝน จึงไม่ส่งผลในการเรียนภาษาอังกฤษมากเท่ากับฝึกให้จดจำศัพท์ที่ปรากฎเป็นกลุ่มคำ (Collocations) ศัพท์ที่ใช้ในชีวิตประจำวันทั่วไป มีเพียง 4,000 คำ แต่ Collocations หรือกลุ่มคำศัพท์ที่ใช้ร่วมกับศัพท์ 4,000 คำนี้ มีมากถึงเกือบ 100,000 Collocations และหากเรารู้ Collocations 100,000 Collocations ก็เท่ากับว่าเราสามารถแต่งประโยคที่ถูกต้องได้มากมายนับไม่ถ้วน
ความสำคัญของ Collocation
Harold E. Palmer ผู้แต่งหนังสือชื่อ "A Grammar of English Words" (1949)
ได้เขียนไว้ในคำนำหน้า iii-iv ว่า "ข้อผิดพลาดส่วนใหญ่ในการเขียนเรียงความภาษาอังกฤษของนักศึกษาต่างชาตินั้นเกี่ยวข้องกับเรื่องคำศัพท์.... มีคำศัพท์ในภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยประมาณ 1,000 คำ ที่ไม่เคยก่อความยุ่งยากในการใช้แก่ผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ แต่กลับสร้างปัญหาให้กับนักศึกษาต่างชาติ และเป็นเครื่องกีดขวางไม่ให้นักศึกษาต่างชาติใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างถูกต้องและมีประสิทธิภาพ คำศัพท์เหล่านี้ "ยาก" เนื่องจากสาเหตุหลายประการ ได้แก่ 1. คำศัพท์แต่ละคำทำหน้าที่ได้มากกว่า 1 ประเภท . . . 2. คำศัพท์แต่ละคำอาจมี Collocations ได้มากมายหลายแบบ . . ."
Della Summers บรรณาธิการอำนวยการของพจนานุกรม Longman Language Activator - The World's First Production Dictionary (1993, p.8)
ได้กล่าวถึง Collocations ในพจนานุกรมเล่มนี้ว่า "นักศึกษาจะแสดงความจำนงอยู่เสมอถึงความจำเป็นที่ต้องมีพจนานุกรมที่สามารถบอกพวกเขาได้ว่า ศัพท์คำใดที่ถูกต้องสำหรับข้อความนั้นๆ วลีใด หรือ Collocations ใดที่จะช่วยให้พวกเขาพัฒนาความสามารถในการสื่อสิ่งที่พวกเขาต้องการสื่อ"
A.P. Cowie, University of Leeds
ได้เขียนไว้ในบทนำของ Oxford Advanced Learner's Dictionary of Current English by A.S. Hornby, Fourth Edition (1995, p. vii ) ที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของ Collocations ไว้ว่า "เป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว ที่ Oxford University Press ได้จัดพิมพ์ Advanced Learner's Dictionary ของ A.S. Hornby ขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งนับเป็นผลงานบุกเบิกอันโดดเด่นที่เกิดจากการวิจัยอันละเอียดลึกซึ้งในแง่มุมต่างๆ ของการใช้ภาษาอังกฤษ รวมทั้งโครงสร้างประโยค และ Collocations อันเป็นที่รู้กันดีว่า สร้างความยากลำบากให้กับนักศึกษาชาวต่างชาติ"
พจนานุกรม "The Oxford Companion To The English Language" ปี 1992
ได้ระบุความสำคัญของ Collocations ไว้ในหน้า 231 - 232 ว่า "Collocations เป็นพื้นฐานของภาษา ที่ผู้ศึกษาจำเป็นต้องเรียนรู้ถึงความละเอียดอ่อนของมัน เพราะความผิดพลาดในการจัดเรียงคำในการเขียนภาษาอังกฤษจะเป็นเครื่องบ่งชี้ที่สำคัญถึงความเป็นคนต่างชาติ"
Collocation คืออะไร
คำว่า Collocation มาจากคำภาษาอังกฤษ 2 คำ คือ col (to do something with something or someone) + location มีคำแปลภาษาไทยว่า "คำปรากฏร่วม" อธิบายความหมายให้ชัดเจนขึ้นก็คือ Collocation เป็นการเชื่อมคำ การจัดวางคำ หรือกลุ่มคำ (รวมทั้ง idioms) ที่จำเป็นต้องใช้ร่วมกันในประโยคต่างๆ ที่เจ้าของภาษานิยมใช้ และเห็นว่าถูกต้องตามมาตรฐาน ซึ่งคำที่ใช้ร่วมกันนั้น จะใช้คำอื่นแทนหรือสลับตำแหน่งกันไม่ได้ ถึงแม้ว่าคำที่จะใช้แทนจะมีความหมายเหมือนกันหรือใกล้เคียงกันก็ตาม
ตัวอย่างเช่น :
The cloth has fast colour. (ผ้าสีไม่ตก) เราจะทราบกันโดยส่วนใหญ่ว่า fast แปลว่า "เร็ว" คำว่า stable หรือ durable ซึ่งแปลว่า "ทนทาน" น่าจะใกล้เคียงกว่า แต่เจ้าของภาษาไม่ใช้คำว่า stable colour หรือ durable colour ดังนั้นจึงต้องใช้คำว่า fast colour เท่านั้น คำว่า fast colour เป็น collocation
It rains cats and dogs.(ฝนตกหนัก) คำว่า cats and dogs เป็น collocation เราไม่สามารถ เขียนเป็น dogs and cats หรือ cats and cows ได้
คำว่า strong กับ powerful มีความหมายใกล้เคียงกัน แต่ภาษาอังกฤษจะใช้คำว่า strong wind, strong competition และ powerful machine, powerful engine, powerful weapon เราไม่สามารถใช้ strong machine หรือ powerful wind ได้
ตัวอย่างคำทั้งหมดนี้เป็น collocations
จากตัวอย่างจะเห็นว่า Collocation นั้นไม่เกี่ยวกับหลักไวยากรณ์ เพราะบางกลุ่มคำถึงแม้จะวางสลับตำแหน่ง หรือใช้คำไม่ถูก ก็ไม่ผิดไวยากรณ์แต่ประการใด แต่การใช้ Collocation ผิด จะทำให้เจ้าของภาษาหรือผู้ที่รู้ภาษาอังกฤษมากๆ ทราบได้ทันทีว่า เราเป็นคนต่างชาติและใช้ภาษาอังกฤษไม่ได้มาตรฐาน ซึ่งความไม่ได้มาตรฐานนี้จะส่งผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของตนเอง และองค์กรที่เราสังกัด ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือ ทำให้คนที่ติดต่อกับเราเกิดความไม่มั่นใจว่า เราจะสามารถสื่อสารกับเขาเป็นภาษาอังกฤษ ด้วยความเข้าใจที่ตรงกันได้หรือไม่ เพราะการใช้ Collocation ผิดอาจทำให้ความหมายผิดไปด้วย
ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาอังกฤษได้จัดให้ Collocation เป็นสิ่งที่ยากที่สุดสิ่งหนึ่งสำหรับคนไทยและคนต่างชาติที่ศึกษาภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง และมีเพียง 2 วิธีที่ทำให้คุณรู้ Collocations ได้มากๆ เนื่องจาก Collocations เป็นสิ่งที่ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัวเหมือนไวยากรณ์ ผู้สอนภาษาอังกฤษจึงไม่สามารถสอน Collocations ได้ทั้งหมดในสถานศึกษา ดังนั้นหากคุณต้องการรู้ Collocations มากๆ จึงมีเพียง 2 วิธีเท่านั้น คือ
1. ท่องจำและฝึกฝนจนขึ้นใจ เพราะภาษาเป็นเรื่องของการเลียนแบบ ดังนั้นการเขียนหรือพูดให้ได้อย่างเจ้าของภาษา คุณจะต้องหัดสังเกตกลุ่มคำ ดูว่าคำใดมักใช้คู่กับคำใด รวมทั้งสังเกตวิธีการวางตำแหน่งของคำที่เจ้าของภาษาใช้ ทั้งจากการอ่านมากๆ และฟังมากๆ แล้วหมั่นฝึกฝนใช้ Collocations เหล่านั้น ด้วยการเขียนมากๆ และพูดมากๆ จนเคยชินและชำนาญ วิธีนี้หากตั้งใจจริง และอดทนในการฝึกฝน คุณจะประสบความสำเร็จแน่นอน แต่คนส่วนใหญ่มักจะท้อเสียก่อน
2. มี English By Example เป็นคู่มือ พจนานุกรม English By Example เป็นพจนานุกรม English Collocations ฉบับแรกของประเทศไทย ที่จัดทำขึ้นเพื่อเป็นคู่มือให้คนไทยที่ไม่มีโอกาสอ่าน เขียน พูด หรือพบเห็นตัวอย่างการใช้คำภาษาอังกฤษได้มากๆ สามารถเปิดค้นหาตัวอย่างประโยค หรือวลีที่ต้องการเขียนได้ นอกจากนี้ผู้ที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษในการทำงาน เมื่อเกิดข้อสงสัย ก็สามารถค้นหาคำศัพท์ที่ถูกต้องจากพจนานุกรมฉบับนี้ได้เช่นกัน
พจนานุกรม English By Example นี้รวบรวมคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ที่ถูกใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน หรือคำศัพท์ที่คนไทยมักใช้ผิดจำนวน 4,663 คำ คำศัพท์แต่ละคำมีตัวอย่างการใช้คำในรูปของวลีหรือประโยคในสถานการณ์ต่างๆ เป็นจำนวนมากและมากกว่าพจนานุกรมทั่วไปหลายเท่า ไม่ว่าจะเป็นพจนานุกรมอังกฤษ-อังกฤษ หรือ อังกฤษ-ไทย ซึ่งตัวอย่างมากมายเหล่านี้ มีข้อดีคือ คุณไม่ต้องเปิดพจนานุกรมหลายเล่มเพื่อหาตัวอย่างที่ต้องการเขียน เมื่อใดที่คุณนึกประโยคไม่ออก คุณเพียงเปิดไปที่คำศัพท์หลักที่ต้องการเขียน แล้วค้นหาตัวอย่างในพจนานุกรมเล่มนี้คัดลอกได้เลย หากตัวอย่างเป็นวลี คุณแค่หาประธาน กริยา หรือกรรมใส่ไปก็จะได้ประโยคที่ต้องการเขียน ทำให้การแต่งประโยคเป็นเรื่องง่าย ไม่ยากอย่างที่เคยประสบ นอกจากนี้ภาษาไทยที่แปลกำกับในแต่ละตัวอย่างยังช่วยให้คุณเข้าใจความหมายของตัวอย่างประโยคได้ถูกต้องอีกด้วย
http://www.dicthai.com/dt_problem.html#top_2way
(เสริมจากน้าแอ๊ด) คุณพ่อโปรเจ็กต์ตอนเด็กๆ ก็เคยเพิ่ม input ด้วยการใช้วิธีท่องจำ Collocations ค่ะ
แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 50 17:36:25
แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 50 17:34:57
แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 50 17:28:28
จากคุณ :
rien
- [
3 ม.ค. 50 17:21:38
]
|
|
|