Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    พงศาวดารไทยใหญ่ - กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์

    คำนำ


             ก่อนท่านผู้อ่านยังไม่ทราบจะทราบ  ว่าพงศาวดารไทยใหญ่นั้นคืออะไรดี  ก็น่าจะฟังเรื่องราวดึกดำบรรพ์ของชาติไทยเสียก่อน  มนุษย์ชาติไทยนั้นในปัจจุบันนี้มีแพร่หลายมากมายพ่านแผ่ไปในสุวรรณภูมิประเทศชมพูทวีปเป็นจำนวนตั้งร้อยล้านคน  แต่แตกกันออกเป็นหลายจำพวก  ใช่จะมีไทยจำเพาะแต่ไทยสยามอันเป็นไทยจำพวกหนึ่ง  ซึ่งเรียกว่าไทยน้อยหรือไทยใต้จำพวกเดียวเท่านั้นก็หาไม่  ไทยใหญ่ก็เป็นมนุษย์ชาติไทย  ร่วมชาติกับไทยเราชาวสยามมาแต่ดึกดำบรรพ์  เหมือนไทยเหนือที่ยกมาตั้งอยู่ด้าวดินของลาวคือละว้าเราเลยเรียกว่าลาว  หรือไทยเดิมที่คงค้างอยู่ในเมืองจีนเราเรียกฮ่อนี่เอง

             ชาติไทยนั้น  นักปราชญ์ฝรั่งผู้ชำนาญโบราณคดีอนุมานกันว่า  ในเบื้องบุรพกาลคงจะเกี่ยวพันกันกับชาติจีนหลวง  อยู่ในมัชฌิมภาคกรุงจีนเวิ้งแม่น้ำเหลืองก่อน  เพราะรูปพรรณ กิริยา อาการ และน้ำใจละม้ายกัน  ทั้งภาษาคำหลวงใน ๑๐๐ คำก็ปนคำไทยอยู่ไม่น้อยกว่า ๓๕ คำ  ยังวิธีพูดใช้ไวยากรณ์ วางกิริยาศัพท์และคุณศัพท์  ก็ทำนองเดียวกัน  พูดคำซ้อน เช่น แดดงาย ลู่ทาง เป็นต้น ก็เหมือนกัน  ที่ไม่มีชาติอื่นใครค่อยใช้  แต่การเหล่านี้ก็ชั่วแต่นึกคาด  ยังไม่มีหลักฐานที่มั่นคงแน่ชัดกระทงใด  สมควรจะเชื่อถือเอาเป็นจริงแท้  พ้นฉายาเดาไปไหนรอดได้

             ข้อที่แน่ชัดมั่นคงถ่องแท้นั้น  คือชาติภูมิของไทยเราดั้งเดิมแต่ก่อนพุทธกาลโพ้น  แรกปรากฏว่ามีชาติไทยอยู่ในโลกคนละชาติกับจีนนั้น  ตั้งอยู่ในกรุงจีนเบื้องตะวันตกเฉียงใต้  เวิ้งแม่น้ำยังซีเยงมณฑลเสฉวน  จีนเรียกพวกฮวน  นิสัยไทยแต่ครั้งดึกดำบรรพ์มาจนกาลทุกวันนี้  รักเป็นไทยแก่ตัวสมชื่อเป็นไทย  เมื่อยุคเลียดก๊กกรุงจันแตกออกเป็นหลายอาณาจักร  จีนมณฑลฌ้อรุกรานมาข่มเหงไทยให้เดือดร้อนรำคาญบ้าง  ลักษณะไทยโบราณชั้นต้นๆยังไม่ช่ำชองเชิงเพาะปลูก  ใช้แต่วิธีจับสัตว์  หรือเก็บผลไม้ที่เป็นกันเองบริโภคเป็นภักษาหารเลี้ยงชีพ  

             เมื่อมากคนเข้าด้วยกัน  ที่ชาติภูมิเดิมอัตคัตอาหารบ้าง  หรือเมื่อรู้จักเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์พาหนะและสัตวาหารเป็นแล้ว  ขัดขวางเนื้อที่อุดมดีสมจะประสมสัตว์หรือประกอบกสิกรรมในอเลอชาติภูมิเลี้ยงชีพโดยผาสุกบ้าง  จึงเที่ยวร่อนเร่ระบาดบ่าลงมาทางใต้  ทางตะวันตก  ทางตะวันตกเฉียงใต้  และทางตะวันออกเฉียงใต้  ตามวิสัยเป็นชาติห้าวหาญสงวนศักดิ์รักอิสรภาพ  แยกอพยพกันมาเป็นพวกๆ น้อยบ้างมากบ้าง  เที่ยวตั้งภูมิลำเนาในถิ่นที่อันอุดมด้วยภักษาหาร  หรือที่อู่ข้าวอู่น้ำทำการเพาะปลูกง่าย  โดยปราศจากความตอแยรางหยาว  ด้วยเชิงรบราฆ่าฟันเจ้าของชาติภูมิเดิมแย่งชิงเข้าตั้งอยู่บ้าง  ตั้งในที่รกร้างว่างเปล่าบ้าง  แทรกเข้าไปผสมกับเจ้าของด้าวเดิมบ้าง  จึงปรากฏมีชนชาติไทยไปเที่ยวตั้งภูมิลำเนาในสุวรรณภูมิประเทศแว่นแคว้นต่างๆ มาจนตราบเท่าทุกวันนี้  แตกออกเป็นหลายจำพวกล้วนแต่ไทยดั้งเดิมร่วมชาติเดียวกันทั้งนั้น  ในประเทศฮุนหนำ (บัดนี้ฝรั่งเรียกยูนนาน)ของจีน  และในเมืองจีนเอง  ภาคใต้ยังมีไทยพูดภาษาไทย  ในเมืองญวนตังเกี๋ยก็มีไทย  ในพม่าก็มีไทย  ในเมืองติดต่อกับประเทศอินเดียด้านตะวันออกก็มีไทย  ในเมืองลาวพวน ลาวกาว ลาวเฉียง จนประเทศสยามก็ละล้วนมีไทยชาติเดียวกันทั้งมวล  ไทยใหญ่หรือเงี้ยวที่เรียกตัวเองว่าไทยหลวงหรือไทยคำตี่เป็นต้น  แต่ฝรั่งเรียกตามพม่าว่าชานก็เป็นไทยจำพวกหนึ่ง  ซึ่งยกไปตั้งถิ่นฐานในด้าวดินอดเลอโขดเขาเขินเวิ้ง  แม่น้ำสาละวิน  เวิ้งแม่น้ำชเวลี  แลเวิ้งแม่น้ำอิระวดีตอนบน  อันเป็นหัวเมืองชานเอกราช  ภายหลังตกอยู่ในเงื้อมอานุภาพพม่าแล้วตกมาอยู่ในอำนาจอังกฤษ ณ ปัจจุบันนี้  มาแต่ครั้งดึกดำบรรพ์  แผ่ออกไปถึงเมืองธัญญวดีหรือยะข่าย  ที่ฝรั่งเรียกอะระกัน  เมืองมณีปุระหรือกระแซที่ฝรั่งเรียกว่ามณีปัวร์  เมืองเวสาลีหลวงหรือเมืองอาซัมและหัวเมืองพม่าตอนบนแถบท้องทุ่ว  ตีปฐมมหานครโบราณของพม่านามหัสตินปุระ  หรือกรุงตะโก้ง (ไทยใหญ่เรียกเมืองทุ่งกุ้ง) นั้นได้  และต่อมาตั้งครอบครองเป็นเจ้ากรุงรัตนะปุระอังวะ  และกรุงหงสาวดีของพม่าและมอญอยู่ช้านาน  

             เหมือนกับไทยสยามที่ครั้งดึกดำบรรพ์ยกมาชิงแคว้นลาว คือละว้า  ตั้ง ณ เมืองเชียงแสน  แล้วก็เลื่อนลงมาชิงด้าวแดนขอมตั้งอยู่แถบเมืองเหนือเวิ้งแม่น้ำเจ้าพระยา  จนได้สถาปนาโบราณมหานครศรีสัชนาลัย (คือเมืองสวรรคโลก) และกรุงสุโขทัยราชธานี  ทั้งเผยอานุภาพแผ่ลงมาตั้งถึงเวิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนล่าง คือมณฑลละโว้ (ลพบุรี)  และมณฑลสุพรรณ (นครปฐม สุพรรณบุรีและกาญจนบุรี) เป็นต้น

             เมืองเมืองหลวงของชาติไทยในมณฑลขัณฑละฤทธิ์ (คือน่านเจ้าตะลีฟู) ประเทศฮุนหนำ (ยูนนาน) เสียแก่พวกมะหง่ล คือกุบไลข่าน  อันได้เป็นพระเจ้าราชาธิราชผ่านพิภพกรุงจีนตั้งพระวงศ์หงวนเฉียว  ทรงพระนามพระเจ้าหงวนสีโจ๊วฮ่องเต้เสียแล้ว  พวกไทยยังบ่ามาอีกพักใหญ่รวมเชื้อพระวงศ์พระเจ้าพรหมราชที่ยกมาตั้ง ณ เมืองฝาง  และเลื่อนลงมาเป็นตอนๆ  จนพระขัติยะสันตติราชสกุลบพิตรยกจากเมืองเชียงรายลงมาตั้งเมืองไตรตรึง (เวิ้งแม่น้ำเจ้าพระยาตอนต่ำ) อันเป็นปฐมวงศ์ฝ่ายพระชนนีของสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (ท้าวอู่ทอง)  ซึ่งทรงประดิษฐานกรุงเทพทวาราวดีศรีอยุธยานั้นด้วย

             พงศาวดารไทยใหญ่นั้น  ก็กล่าวตำนานของไทยใหญ่สุดแท้แต่จะสืบสาวราวเรื่องได้  จำเดิมแต่เบื้องบุราณกาลดึกดำบรรพ์  มาจนกระทั่งปัจจุบันสมัยนี้เพียงใด  

             ความรู้อันนี้  ข้างไทยเราเองอยู่ข้างยอบแยบมาก  จำเป็นต้องอาศัยพึ่งปลูกขึ้นได้  โดยขบวนขวนขวายหาหนังสือที่นักปราชญ์โบราณคดีฝรั่งชาติอังกฤษและฝรั่งเศส  ซึ่งได้พบยายามค้นคว้าสอบสวนเรื่องตำนานชาติไทยลึกซึ้งมาก  ทั้งทางพม่า ทางไทยใหญ่ ทางเวสาลี ทางกระแซ ทางลาว ทางญวน และทางจีน  รจนาพิมพ์ขึ้นไว้นั้นๆมาอ่านเอาเป็นหลัก  และประกอบกับพงศาวดารโยนก พงศาวดารเหนือ คำศิลาจารึก ทั้งพระราชพงศาวดารไทย และมหาราชวงศ์พม่า  สรุปรวบรวมกัน  ปรุงเป็นเล่าเรื่องพงศาวดารไทยใหญ่ขึ้นได้พอตลอดแต่ต้นจนปัจจุบันสมัย  อย่างกะพร่องกะแพร่ง  เป็นต้นเค้าไว้ที

             แม้ไทยใหญ่จะเป็นไทยจำพวกหนึ่งต่างหาก  ไม่ใช่ไทยสยามที่ผสมพันธ์กับขอมหรือมอญ  สืบสัมพันธ์พงศ์มาอีกแผนกสาขาหนึ่ง  ก็ยังเป็นชาติไทยด้วยกัน  ร่วมสายโลหิตปฐมางกูรมูลชาติอันเดียวกัน  น่าไทยเราจะรู้เรื่องราวเค้าเงื่อนของมนุษย์ชาติประยูรญาติไทยด้วยกันไว้เป็นเครื่องประเทืองปัญญาญาณ  ในเชิงพงศาวดารโบราณคดี  เมื่อเห็นเช่นนี้  และทั้งเห็นว่าเรื่องนี้ของไทยยังไม่มีอ่าน  ซ้ำประกอบฉันทอัธยาศัย  โน้มน้ำใจจะใคร่หางานอันใดทำ  เพื่อเป็นคุณูปการต่อเพื่อนร่วมชาติ  และเฉลิมพระกฤษฎาธิการพระบาทสมเด็จพระบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัวมหากษัตราธิราชที่พึ่งของข้าพเจ้า  สนองพระเดชพระคุณตามยถาพลัง  จึงเป็นเครื่องกระตุ้นจูงใจ  ให้เพียรนิพนธ์พงศาวดารไทยใหญ่เรื่องนี้ขึ้น  จนสำเร็จลงให้ท่านอ่านได้  ลำพังหวังใจว่าแม้พลาดพลั้งอย่างใดบ้าง  ด้วยรู้เท่ามิถึงการก็ดี  แต่หากปรารถนาดีไซร้  ก็คงจะได้รับอภัยโทษจากท่านผู้อ่าน  โดยเมตตาปราณีต่อผู้เขียนเรื่องนี้ ผู้มีสติปัญญาวิชาชาญอันน้อย



                                                               ควรมิควรสุดแล้วแต่จะโปรด
                                                  กรุงเทพฯ วันอาทิตย์ที่ ๒๔ ธันว่าคม  พ.ศ. ๒๔๕๖
                                                     (ลงพระนาม) กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์

    แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 50 11:31:06

    จากคุณ : กัมม์ - [ 13 ก.พ. 50 11:29:55 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom