ความคิดเห็นที่ 1 ล้าสมัยแล้วนี่ครับ นักวิชาการหลายๆท่านก็กล่าวว่าเป็นแนวทางเศรษฐกิจที่เป็นไปไม่ได้ เพราะขัดกับหลักธรรมชาติของมนุษย์มากเกินไป คำทำนายการต่อสู้ระหว่างชนชั้นจนทำให้เกิดระบบคอมมิวนิสต์ทั้งโลก ก็ไม่เห็นมีแนวโน้มว่าจะเป็นจริงสักที มีแต่พวกปลดแอกจากการเป็นอาณานิคมที่อยากจะขอยืมอาวุธโซเวียตเท่านั้นแหละ ถ้าหมายถึงสังคมนิยมละก็ใช่ครับ อย่างจีนทุกวันนี้ก็เป็นเผด็จการพรรคเดียวและดำเนินนโยบายเศรษฐกิจแบบกึ่งเสรีกึ่งสังคมนิยมมากกว่า จากคุณ : bluesnow (ผู้แพ้ย่อมไม่มีสิทธิแก้ตัว) - [ 17 ก.พ. 50 16:14:05 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ข้อดี  เสมอภาค เท่าเทียม ข้อเสีย  มนุษย์เมื่อมีอำนาจมักลืมตัว จากคุณ : ซามาร่า-ไม่เคยหลับ - [ 17 ก.พ. 50 16:52:48 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ถ้าอยากรู้ แนะนำว่า google ดู มีข้อมูลเพียบ search ภาษาไทยก็ได้ ถ้าภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ใช้คำ คาร์ล มาร์กซ์ นี่แหละ ตัวอย่างที่ได้ http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A5_%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%8B และมีอีกมากเลย ลองอ่านๆดู แล้วลองมาเปิดประเด็นถกกันสิว่าคุณคิดอย่างไร เป็นแนวคิดที่ยังใช้ได้หรือตกสมัยไปแล้วหรือไม่ อย่างไร ทำไมจึงคิดเช่นนั้น จากคุณ : ผ่านมา - [ 17 ก.พ. 50 17:19:23 A:58.8.166.173 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เพราะปรัชญามาร์ก เป็นปรัชญาที่อธิบาย มรรควิธี อธิบายพัฒนาการและการดำเนินอยู่ของโลกวัตถุ ได้กระจ่างมากในยุคนั้น ที่จริงมันคือปรัชญาชนิดเดียวที่เป็นปรัชญา"วิธีการ" โครงสร้าง และการผลิต มันเลยถูกใช้นำมาพัฒนาศาสตร์ต่างๆ การผลิตต่างๆ และใช้แก้ปัญหาเศรษฐกิจ มีกฏหลักๆที่ง่ายมากในปรัชญามาร์กซ์ ก็คือ กฏวิพาษวิธี(dialectic) และ กฏการปฏิเสธ2ครั้ง โดยเชื่อว่า ถ้าทุกอย่างเดินไปตามกรอบนี้ทุกอย่างก็จะพัฒนาไปในทิศทางที่ดีขึ้นเรื่อยๆ แต่ที่จริงทุกอย่างมันห่างไกลจากอุดมคติที่มาร์กซ์มองไว้ก็เพราะ  ลัทธิอุตสาหกรรม ที่ฝังรากลึก ในสถาบันการเมือง องกรธุรกิจ ครอบครัว และสถานศึกษา เพราะสังคมกำหนดมาตรฐานมวลชนไว้สำหรับทุกสิ่งและไม่อาจปฏิวัติ(มาร์กซ์เรียกการพัฒนาว่าคือการปฏิวัติ)อะไรได้สำเร็จ และการผลิตในลัทธิอุตสาหกรรมหนักก็ทำลายโลกลงทุกวันๆ จากคุณ : the author - [ 17 ก.พ. 50 17:19:53 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เข้ามายืนยันว่าไม่ล้าสมัยนะครับ... แนวคิดของมาร์กซ์(อาจจะ)ล้มเหลวในเรื่องการทำนายนะครับ อันนี้เห็นด้วยเต็มๆ แต่...ในเรื่องของพลังในการวิพากษ์/วิเคราะห์ทุนนิยมยังคงมีพลังในการอธิบายอยู่มาก ที่ผมบอกว่ายังไม่ล้าสมัยเพราะในปัจจุบันทั้งแวดวงวิชาการทางด้านสังคมศาสตร์(เช่น รัฐศาสตร์,เศรษฐศาสตร์,มานุษยวิทยา,สังคมวิทยา รวมถึงการวิเคราะห์ทิศทางเคลื่อนไหวทางสังคมที่โดดเด่นเป็นอย่างยิ่ง เป็นต้น)ยังคงนำเอาแนวคิดของมาร์กซ์มาใช้วิเคราะห์/วิพากษ์สังคมกันอยู่ ทั้งในแง่ของการสมาทานและการวิพาษ์ นั่นทำให้แนวคิดของมาร์กซ์ยังคงมีสุขภาพที่ดีอยู่ครับ ไม่ล้มหายตายจาก หรือเป็นทฤษฎีที่เลิกพูดถึงกันไปแล้ว... ส่วนใหญ่นะครับ คนที่หาจุดในการล้มล้างแนวคิดของมาร์กซ์นั้นมักจะโจมตีที่การ "ทำนาย" ไม่ใช่การ "วิเคราะห์" แบบมาร์กซ์ (เท่าที่ทราบนะครับ เพราะว่าตัวเองจัดได้ว่าเป็นพวกกบในกะลาตัวนึง และยังไม่อยากออก งุงิงุงิ) แนวคิดของมาร์กซ์โดดเด่นมากครับ ในการวิเคราะห์ทุนนิยมดังที่กล่าวไปแล้ว...เข้าใจเอาเองนะครับว่า ยังไม่มีแนวคิดใดที่มีพลังในการอธิบายได้เท่ากับที่มาร์กซ์ได้ทำเอาไว้เลย... ยินดีแลกเปลี่ยนให้กว้างไกล/ลึกซึ้งต่อไปครับ... เข้ามาแก้คำผิดครับ ...เยอะจังพิมพ์แค่นี้เอง ว้า... แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:29:49 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:29:10 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:28:21 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:26:28 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:25:36 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:24:45 จากคุณ : galapoo - [ 17 ก.พ. 50 17:23:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ^ ^ ต่อคห.5 แต่โลกเปลี่ยนไปแล้ว เมื่อชนชั้นและวิทยาศาสตร์เสื่อมอำนาจลง จากการมีอยู่ของ เทคโนโลยีเบาและอินเตอร์เนท  ทำให้ทุกคนบนโลกได้คุยกัน และทำงานได้ดีขึ้น ทำให้ความเป็นสังคมนิยม ในโลกยุคใหม่กลับมาอีกครั้ง กระนั้นมนุษย์ก็เป็นตัวของตัวเองในแบบอัตถิภาวะนิยม(exitencialism) พอที่จะดำเนินชีวิต และพัฒนาตัวเองในแบบที่ตนต้องการ ปล. มันถือเป็นปรัชญาชนิดเดียวที่เป็นปรัชญาวิธีการของปรัชญา ปล.2 ชอบมาร์กซ์แต่ก็ชอบคนอื่นด้วยผนวกกันไป แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:52:17 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 17:26:20 จากคุณ : the author - [ 17 ก.พ. 50 17:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 7 http://www.marxist.com/ จากคุณ : ผู้แพ้ย่อมไม่มีสิทธิแก้ตัว - [ 17 ก.พ. 50 17:48:36 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ไม่อะไรล้าสมัยไปหรอกครับ มันขึ้นอยู่กับการนำมาประยุกษ์ใช้ วิภาษวิธีของมาร์ก ถือ ว่าดีมาก หลักการก็ ดีในช่วงเวลานั้นๆ แต่ผู้นำไปปฏิบัติ นำไปประยุกษ์ใช้ไม่ดีมากกว่า ทำให้ หลักการที่ดี ผิดเพี้ยนไป ปรัชญา ส่วนใหญ่ที่เกิดขึ้น ก็ มักจะเป็นการเอาแนวคิดเก่าๆ มาปรับปรุงประยุกษ์ใหม่มากกว่า ทุกอย่างต้องเคลื่อนครับ ไม่มีอะไรหยุดนิ่งได้ ดังนั้นแนวคิดหนึ่งๆ อาจใช้ได้ กับยุคสมัยหนึ่งๆ หากนำมาปรับเปลี่ยน ก็จะใช้การในอีกยุคได้ จากคุณ : KongMing - [ 17 ก.พ. 50 18:53:20 ]

ความคิดเห็นที่ 9 คห.5 พลังในการอธิบาย...ใช่เลย คห.8 นำไปประยุกต์ใช้ไม่ดีมากกว่า.......ก็ใช่เลย คห.6 เทคโนโลยีเบา ทำให้ความเป็นสังคมนิยม...กลับมาอีกครั้ง..ก็น่าจะใช่เลย.. โลกาภิวัฒน์คือสุดยอดทุนนิยมที่เกิดขึ้นภายหลังมาร์ค ทฤษฏีไม่ล้มเหลวแต่ภาคปฏิบัติไม่อาจไปถึงดวงดาว ทุนนิยมไม่ตายตามคำทำนายก็เพราะ สิ่งที่มาร์คคาดไม่ถึงคือ  พลังของเทคโนโลยี....... เพราะมันได้เข้ามาช่วยยืดหรือยกระดับทุนให้ยืนยาวต่อไปได้อย่างน่าอัศจรรย์.....ชนิดที่มาร์คคาดไม่ถึง. ทุนได้่ใช้พลังของเทคโนโลยีมายกระดับคุณภาพพื้นฐานของมันขึ้น คือ ลัทธิปัจเจกนิยมเสรี      และได้สร้างสังคมนิยมเสมือนจริงที่ปรากฏในโลกอินเตอร์เนต... แต่ช่องว่าง ระหว่างชนชั้นยังคงดำรงอยู่ เพียงแต่การกระจายตัวซึ่งขึ้นอยู่กับปริบทของประเทศหรือประชาชาติหนึ่งๆ หัวใจของปัญหา......คือการให้การศึกษาพื้นฐานเพื่อให้มวลชนได้เข้าถึงปัญญา-ความรู้.... ให้ทันชนชั้นนายทุนเจ้าเล่ห์ที่พยายามยกระดับชนชั้นตนเองขึ้นเรื่อยๆเช่นกัน.... ด้วยการสร้างมาตรฐานที่ยากแก่การเข้าถึงของผู้มาทีหลัง...เรียกมันว่า การกีดกันโดยอ้างมาตรฐานสากล   ทุนนิยมไม่ตายตามคำทำนาย แต่ขณะเดียวกัน มันได้เกิดสังคมนิยมเสมือนจริงขึ้นอย่างประจักษ์ในโลกอินเตอร์เนต...... อย่างไรก็ตามปัญหาชนชั้นยังคงมีอยู่ทั่วโลก...................... ในขณะที่ทุนนิยมนี่แหละที่ได้สร้างปัญหาขนาดใหญ่แก่โลกกายภาพใบนี้ด้วย มลพิษจากของเสียที่ตนขุด-สูบ-เจาะ-และผลาญใช้อย่างไม่บันยะบันยัง.................. เทียบไม่ได้กับมวลชนส่วนใหญ่ที่ใช้สอยเท่าที่มาตรฐานชีวิตขั้นพื้นฐานจะหาได้ ดังนั้น...ทุนนิยมได้ก้าวเลยขีดจำกัดของความเจริญไปมากแล้ว... มากจนกระทั่งจากการกดขี่คนด้วยกัน.....กลายมาเป็นผู้กดขี่และทำลายธรรมชาติอย่างไม่รู้ตัว  ปลายทางตรงนั้นแหละคือ หรืออาจเป็นจุดจบของมัน ขณะนี้กลายเป็นว่า...... ปัญหาใหญ่ของมนุษย์ไม่ใช่ปัญหาทางชนชั้นดังยุคของมาร์ค แต่ทั่วโลกกำลังวิตกกังวลกับปัญหาที่ตนเองโดยเฉพาะประเทศทุนขนาดใหญ่เป็นผู้ก่อ แต่ไม่ยอมรับความจริงนั้นหรือไม่อยากจะพูดถึงมัน............... แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 50 20:57:02 จากคุณ : dicky5 - [ 17 ก.พ. 50 20:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ทำไมคนส่วนใหญ่ชอบเข้าใจว่ามาร์กซ์ อยู่ในกรอบแค่ระบบเศรษฐกิจแบบคอมมิวนิสต์เท่านั้นนะ แนวคิดของมาร์กซ์ เป็นแนวคิดที่ปฏิวัติระบบการศึกษาวิชาในหมวดมนุษย์ศาสตร์และสังคมศาสตร์ทั้งหมดครับ เอางี้ครับ ระบบการประกันสังคมต่างๆ นานา ทั้งสามสิบบาทต่อโรค กองทุนหมู่บ้าน ฯลฯ เป็นแนวคิดที่จะช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาส ซึ่งมาร์กซ์เป็นคนแรกที่ริเริ่มและเรียกร้องให้มีการใช้เครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ในการช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสทั้งนั้นครับ มาร์กซ์ไม่เคยตาย ตราบใดที่ยังมีสถาบัน องค์กร และเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ที่จะช่วยเหลือคนด้อยโอกาส ในการศึกษาทางประวัติศาสตร์ก็เช่นกัน มาร์กซ์ เป็นคนแรกๆ ที่เอาวิธีการศึกษาประวัติ ศาสตร์แบบวัตถุนิยมวิภาษวิธี ซึ่งเป็นวิธีการศึกษาประวัติศาสตร์ที่เป็นวิธีการที่ได้รับการยอมรับจากนักวิชาการมาตลอด และนำมาใช้ศึกษากันมาจนทุกวันนี้ ทั้งทางรัฐศาสตร์ เศรษฐศาสตร์ ประวัติศาสตร์ มาร์กซ์ได้ทิ้งแนวคิดอันเป็นประโยชน์ในสาขาวิชานั้นๆ มาจนถึงทุกวันนี้ทั้งนั้น เราทุกคนล้วนเป็นหนี้บุญคุณของมาร์กซ์กันทั้งสิ้น จากคุณ : lb'sN - [ 17 ก.พ. 50 22:37:22 A:125.26.138.60 X: TicketID:137941 ]

ความคิดเห็นที่ 11 การที่มาร์กซ์พูดได้ว่านายทุนขูดรีดแรงงานนั้น เพราะนายทุนเป็นผู้ติดต่อรับหน้าอยู่กับผู้ใช้แรงงาน แต่ที่จริงมีผู้อยู่หลังฉาก คือฝ่ายเจ้าของที่ดิน (อาจเป็นคนเดียวกับนายทุน แต่เวลาพิจารณาต้องแยก) กล่าวคือ รายได้หรือผลผลิตต้องมีการแบ่งออกไป 3 ทาง คือ ค่าใช้ที่ดิน (ค่าเช่า) ค่าแรง และ ค่าใช้ทุน (ดอกเบี้ย) ส่วนที่นายทุนและแรงงานได้รับจะน้อยลงเมื่อเจ้าของที่ดินมีสิทธิ์ตามกฎหมายที่จะรับส่วนแบ่งไป ทั้งๆ ที่ตนเองไม่มีส่วนร่วมในการผลิต (รวมทั้งการแลกเปลี่ยนซื้อขายผลผลิต) แทนที่ค่าใช้ที่ดินจะเข้ารัฐ คาร์ลมาร์กซ์ได้กล่าวว่าโลกเราเปลี่ยนจากระบบเจ้าที่ดิน (Feudalism) ซึ่งในสาระสำคัญก็คือ “ที่ดินนิยม” มาเป็น “ทุนนิยม” แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์ (แรงงานนิยม) ในที่สุด  แต่ทั้งคาร์ลมาร์กซ์และผู้รับฟังมิได้ทันเฉลียวใจว่าโลกเรานี้ยังไม่เคยมีประเทศใดเป็น ”ทุนนิยม” ที่แท้จริงเลย เพราะโลกเสรีตามที่เรียกกันในปัจจุบันมีลักษณะกึ่งทุนนิยมกึ่งที่ดินนิยมผสมกันอยู่  ถ้าหากเกิดระบอบ “ทุนนิยม” ที่แท้จริงขึ้นก็จะหมายถึงว่าได้เกิดระบอบ “แรงงานนิยม” ที่แท้จริงขึ้นด้วย จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 17 ก.พ. 50 23:33:32 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ค่าแรงกับดอกเบี้ยจะสูงขึ้นหรือต่ำลงไปด้วยกัน เหตุที่ดอกเบี้ยสูงขึ้นหรือต่ำลงตามค่าแรงก็เพราะทุนกับแรงงานเป็นประหนึ่งสิ่งเดียวกัน เพราะทุนเกิดมีขึ้นได้ด้วยการใช้แรงงาน ทุนคือแรงงานในอดีต คือแรงงานที่ได้ใช้ไปแล้วเพื่อการผลิต แต่เพิ่งจะนำมาใช้ประโยชน์ บางท่านเรียกทุนว่า คือ “แรงงานที่สะสมไว้”  (Stored-up Labour) ความต้องการใช้แรงงาน พอจะแบ่งออกได้ดังนี้ 1) เพื่อบริการ 2) เพื่อผลิตโภคทรัพย์ (คือ เศรษฐทรัพย์ที่มิใช่ทุน) 3) เพื่อผลิตทุน (รวมทั้งซ่อมแซมทุนที่มีอยู่แล้วด้วย) แรงงาน 3  ประเภทนี้เปลี่ยนแปลงถ่ายเทกันได้พอสมควร สมมติว่าปกติ อัตราส่วนระหว่างค่าแรงกับดอกเบี้ยอยู่ที่จุดสมดุลอันหนึ่ง ต่อไปถ้าเจ้าของทุนจะเรียกร้องเอาผลตอบแทน คือดอกเบี้ย สูงขึ้น หรือค่าแรงถูกกดให้ต่ำลงไปจากจุดสมดุล ความต้องการแรงงานตามข้อ 1), 2) จะมากขึ้น เพราะค่าแรงต่ำลง ความต้องการแรงงานตามข้อ 3) ก็จะมากขึ้นด้วย เพราะทั้งค่าแรงก็ต่ำลง และเพื่อให้ได้ทุนซึ่งมีดอกเบี้ยสูงขึ้น แต่ความต้องการใช้ทุนจะกลับลดลง เพราะต้องเสียดอกเบี้ยสูงขึ้น ในขณะเดียวกันเจ้าของทุนจะเสนอให้มีการใช้ทุนของตนมากขึ้น แต่ผู้ใช้แรงงานจะเสนอแรงงานน้อยลง ผลจากการนี้จะทำให้ค่าแรงกลับสูงขึ้น และดอกเบี้ยลดต่ำลง เข้าหาดุลยภาพดังเดิม ตรงกันข้าม ถ้าดอกเบี้ยต่ำกว่าจุดสมดุล หรือค่าแรงสูงกว่า ความต้องการใช้ทุนก็จะเพิ่มขึ้น แต่ความต้องการแรงงานเพื่อผลิตทุนตามข้อ 3) จะลดลง ความต้องการแรงงานตามข้อ1), 2) ก็จะลดลงเช่นเดียวกัน ซึ่งจะทำให้ดุลยภาพกลับคืนมาใหม่ คำอธิบายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า นายทุนกับผู้ใช้แรงงานมีผลประโยชน์ที่จะต้องรักษาร่วมกัน ไม่ใช่ขัดกันอย่างที่คนทั่วไปหรือคอมมิวนิสต์เข้าใจ ถ้าผู้ใดเป็น “ทุนนิยม” ผู้นั้นจะเป็น “แรงงานนิยม” ด้วย หรือจะเรียกว่าเป็น “แรงงาน-ทุนนิยม” ก็ได้ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 17 ก.พ. 50 23:38:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ที่ดินไม่ควรกลายเป็นสินค้าที่ซื้อขาย ให้เช่า หรือหาประโยชน์อื่นๆ กันโดยไร้เงื่อนไขพิเศษจากรัฐ เพราะที่ดินผิดกับทรัพย์สินอื่นๆ ที่เกิดด้วยการลงแรงลงทุน เช่น สินค้า ซึ่งเมื่อแพงขึ้นเพราะมีผู้ต้องการเพิ่ม ก็จะมีผู้ผลิตเพิ่มทำให้ราคากลับสู่ดุล แต่สถานที่หรือทรัพยากรธรรมชาติผลิตเพิ่มไม่ได้ เมื่อความต้องการเพิ่ม ราคาจึงเพิ่ม ถ้าเราต้องการผลิตทรัพย์สินชิ้นหนึ่ง เราก็จำเป็นต้องมีที่ดิน ที่ดินเป็นแหล่งกำเนิดของทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ถ้ามีการกักตุนสินค้า แม้จะเป็นจำนวนมาก ผู้อื่นสามารถผลิตเพิ่ม แต่ถ้ากักตุนทรัพยากรธรรมชาติ – แหล่งที่มาของทรัพย์สิน – และที่ดิน – สถานที่ซึ่งใช้ทำงาน จะเป็นการกีดกันผู้อื่นมิให้ทำงานผลิต การเก็งกำไรสะสมเก็บกักที่ดิน ทำให้มีที่ดินที่ไม่ได้ทำประโยชน์หรือทำประโยชน์ไม่เต็มที่กระจายอยู่ทั่วไปทั้งในเมืองและนอกเมือง และค่าเช่า/ราคาที่ดินยิ่งมีราคาสูง เป็นการเบียดคนจนออกไปจากโอกาสที่จะเป็นเจ้าของที่ดิน ต้องเช่าที่ดินคนอื่นเป็นที่พักอาศัยและที่ทำกินโดยเสียค่าเช่าแพง ซ้ำยังต้องเสียภาษีทางอ้อมเมื่อซื้อของกินของใช้และสินค้าทุนสำหรับทำงานหาเลี้ยงชีวิต การเก็งกำไรสะสมเก็บกักที่ดินยังมีผลถ่วงการผลิตอย่างมากด้วย ทำให้แรงงานและทุนหางานทำได้ยากขึ้น ต้องว่างงานกันไป ค่าแรงต่ำ คนจนยิ่งช่วยเหลือตนเองได้น้อยลงไปอีก กลายเป็นเหยื่อแก่นายทุนเงินกู้และนายทุนผู้จ้างอีกต่อหนึ่งโดยง่ายดาย จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 17 ก.พ. 50 23:49:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ปฏิรูปที่ดินมีวิธีที่ง่าย ได้ผลดี และทั่วถึงจริง ๆ คือ ปฏิรูปภาษี นั่นคือ ถ่ายเทภาระภาษีแบบค่อย ๆ ทำ ลดภาษีจากการลงแรงและลงทุนผลิตและค้า แล้วชดเชยโดยเพิ่มภาษีจากมูลค่าที่ดิน ถ้าเก็บภาษีมูลค่าที่ดินสูงขึ้น ที่ดินก็จะเปิดออกหาคนทำงานในที่ดิน หรือขายออกไปในราคาต่ำลง คนก็จะหางานทำได้ง่ายขึ้น การว่างงานลด ค่าแรงเพิ่ม ฝ่ายนายทุนจะกลับต้องง้อคนงาน เพราะคนงานบางส่วนจะสามารถจ้างตนเอง เป็นเจ้าของกิจการเอง และหาซื้อที่ดินเป็นที่อยู่ที่ทำกินได้ในราคาต่ำแทบจะเป็นศูนย์ ถึงจะต้องเสียภาษีมูลค่าที่ดิน แต่ภาษีอื่นๆจะลดลง ราคาสินค้าจึงลดตาม เมื่่อค่าแรงเพิ่ม แต่ราคาสินค้าลด ความต้องการสวัสดิการก็ลด จึงไม่ต้องใช้ระบบรัฐสวัสดิการที่เก็บภาษีเงินได้อัตราก้าวหน้า จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 17 ก.พ. 50 23:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เป็นเรื่องน่าเศร้าที่ในระบบปัจจุบัน มีคนเป็นจำนวนมาก รวมทั้งเด็กทารก ซึ่งเกิดเข้ามาสู่โลกนี้โดยไม่มีสิทธิที่จะได้มีชีวิตอยู่อาศัยบนแผ่นดินโลกและทำมาหากินในแผ่นดินโลก ยกเว้นแต่จะต้องจ่ายค่าใช้แผ่นดินให้แก่เจ้าของที่ดินแต่ละบุคคล มิฉะนั้นก็จะต้องเนรเทศตนเอง ไปยัง ขอบริมแห่งการผลิต หรือที่ดินชายขอบอันแร้นแค้นทุรกันดาร ซึ่งก็ไม่แน่ว่าจะหาได้ก่อนอดตายหรือไม่ ข้อนี้ย่อมแสดงว่าเขาไม่มีโอกาสตามธรรมชาติเท่าเทียมกับผู้อื่น เมื่อแม้แต่โอกาสตามธรรมชาติอันเป็นรากฐานแห่งการดำรงเลี้ยงชีวิตก็เกิดความเหลื่อมล้ำกันเสียแล้ว ย่อมไร้ความหมายที่จะกล่าวถึงคำขวัญอันโก้หรูที่ว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน” หรือ “ความเสมอภาค” ความผิดของพ่อแม่ที่ไม่ขวนขวายหรือไม่สามารถหาที่ดินไว้ให้ลูกหลานนั้น สมควรจะให้ลูกหลานต้องรับกรรม รับชดใช้ ต้องแบ่งผลตอบแทนแห่งการใช้หยาดเหงื่อแรงงานของตนให้แก่ผู้ครองสิทธิเหนือแผ่นดินที่ตนอยู่อาศัยและทำกิน ทั้งๆ ที่ตนเองต้องขาดแคลนอยู่แล้ว กระนั้นหรือ ? จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 00:01:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 หาหนังสือเรื่อง "ความผิดพลาดของนายหมาก"มาอ่าน อาจได้ความคิดอะไรดีขึ้น จากคุณ : กร - [ 18 ก.พ. 50 06:51:48 A:124.120.130.155 X: TicketID:019847 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อ่านงานคุณ สุธน มาพอสมควรนะครับ เวลามีใครในนี้พูดถึงมาร์กซ์ สำหรับผมน่าเสียดายนิสส์นึงนะครับ ที่คุณ สุธน ไม่ได้อ้างอิงเช่น "คาร์ลมาร์กซ์ได้กล่าวว่าโลกเราเปลี่ยนจากระบบเจ้าที่ดิน (Feudalism) ซึ่งในสาระสำคัญก็คือ “ที่ดินนิยม” มาเป็น “ทุนนิยม” แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์ (แรงงานนิยม) ในที่สุด" ทำให้ผม(และคนที่สนใจจริงๆ) ไปตามอ่านตัวต้นฉบับไม่ได้ รวมทั้งอาจทำให้ข้อความที่อ้างว่า "มาร์กซ์กล่าวว่า" ดู "น่าเชื่อ" น้อยลง.... จากคุณ : galapoo - [ 18 ก.พ. 50 06:59:54 ]

ความคิดเห็นที่ 18 สวัสดีคุณ galapoo ครับ ขออภัยด้วยครับที่ไม่ได้อ้างอิง คือ เวลาอาจารย์ทั้งหลายมาบรรยายเรื่องคอมมิวนิสต์อย่างย่อ ๆ ท่านก็มักจะกล่าวถึงเรื่องวัตถุนิยมวิภาษวิธี (Dialectical Materialism) ของมาร์กซ์นี้กันทั้งนั้น จนผมคิดว่ามันกลายเป็นความรู้ทั่วไปกันหมดแล้ว  แต่เมื่อมีผู้ทักท้วง ผมก็ต้องไปค้นให้ โดยอาศัย http://www.google.co.th/ และใช้คำค้นว่า "ศักดินา ทุนนิยม คอมมิวนิสต์" ที่หาสิ่งอ้างอิงภาษาไทยก็เพื่อให้ท่านผู้อ่านคนไทยที่สนใจที่ไม่ค่อยถนัดอังกฤษได้รู้ด้วย ก็ได้มาที่ควรกล่าวถึง คือ http://www.ajarnjak.com/mcontents/marticle.php?headtitle=mcontents&id=108037 คอมมิวนิสต์ ผู้ให้กำเนิดคอมมิวนิสต์อย่างเป็นรูปธรรมคือ  คาร์ล มาร์กซ  เขาเห็นว่าวัตถุกำหนดสภาวจิตใจ  เสนอวิภาษวิธี (dialectic) ว่าในสภาวะหนึ่งจะมีข้อเสนอ (thesis) เกิดขึ้น  ในขณะเดียวกันก็จะเกิดข้อแย้ง (antithesis) ขึ้นเช่นกัน  และจากสองแนวทางจะเกิดเป็นข้อสรุป (synthesis) ที่มีเฉพาะข้อดีจากข้อเสนอร่วมกับข้อดีของข้อแย้ง  ซึ่งเมื่อเกิดข้อสรุปแล้ว  ข้อสรุปก็จะกลายเป็นข้อเสนอใหม่ และมีข้อแย้งเกิดขึ้น ก่อนที่จะนำไปสู่ของสรุปใหม่  ต่อเนื่องไปเรื่อย ๆ    ลักษณะเช่นนี้แสดงว่า  ความขัดแย้งนำมาซึ่งการพัฒนาที่ดีกว่า  ประวัติศาสตร์ของมนุษย์ก็เช่นกัน  เริ่มจากคอมมิวนิสต์บรรพกาล  สู่  ทาส  ไพร่(ศักดินา)  ทุนนิยม  และจบลงที่คอมมิวนิสต์  เมื่อถึงยุคที่มีการปกครองแบบคอมมิวนิสต์แล้ว  รัฐก็จะสูญสลายไป  เพราะไม่มีความจำเป็นอีกต่อไป เรื่องนี้มีตำราไทยที่ทำเป็น Block diagram ละเอียดขึ้น อยู่ที่ http://www.geocities.com/sorn_chai1984/po2546/poinch4.doc ครับ ผมดีใจที่ข้อเขียนของผมมีคุณ galapoo เป็นผู้อ่านอยู่ด้วย เพราะชื่อ galapoo ก็ปรากฏให้เห็นในเว็บบอร์ดอยู่เสมอ  ถ้าได้เห็นอะไรที่น่าทักท้วงหรือแนะนำอีกก็กรุณาบอกกล่าวนะครับ  ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 10:19:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เพิ่มเติมครับ ที่ดินนิยม แรงงานนิยม กับ ทุนนิยม (ในความหมายอีกอย่างหนึ่ง) ผมกำหนดเอง แล้วแต่ว่าระบบที่ใช้อยู่เอื้อประโยชน์แก่ เจ้าของที่ดิน ผู้ใช้แรงงาน หรือนายทุน ครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 10:32:30 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณครับคุณ สุธน... อืม...ขอยาดแลกเปลี่ยนให้กว้างไกลออกไปอีกหน่อยนะครับ เท่าที่ผมทราบ dialectic ไม่ใช่มาร์กซ์เสนอเป็นคนแรกนะครับ (อย่างไรก็ตามคุณ สุธน ก็ไม่ได้บอกว่าเป็นคนแรก) และก็ไม่ได้มี dialectic แบบเดียวซะด้วย... จากที่ search ในhttp://en.wikipedia.org/wiki/Dialectic พบว่ามีหลายๆสำนักเลยนะครับที่พูดถึง Dialectic และ...ผมเข้าใจว่ามาร์กซ์ก็ไม่ได้เสนอ/คิด Dialectic ขึ้นเอง  แต่เป็นผลจากการที่เค้าได้อิทธิพลแนวคิดนี้จาก Hegel (?) Marxian dialectics Karl Marx and Friedrich Engels believed Hegel was "standing on his head", and endeavoured to put him back on his feet, ridding Hegel's logic of its orientation towards philosophical idealism, and conceiving what is now known as materialist or Marxist dialectics. This is what Marx had to say about the difference between Hegel's dialectics and his own: "My dialectic method is not only different from the Hegelian, but is its direct opposite. To Hegel, the life-process of the human brain, i.e., the process of thinking, which, under the name of 'the Idea,' he even transforms into an independent subject, is the demiurgos of the real world, and the real world is only the external, phenomenal form of 'the Idea.' With me, on the contrary, the ideal is nothing else than the material world reflected by the human mind, and translated into forms of thought." ยินดีแลกเปลี่ยนเป็นอย่างยิ่งครับ จากคุณ : galapoo - [ 18 ก.พ. 50 11:25:47 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ใช่ครับมาร์กไม่ได้เสนอคนแรกครับ จริงๆ คนแรก ก็ไม่ใช่เฮเกล เหมือนกันครับ เป็นเฮราคิตุส ที่่เป็๋็นคนคิดขึ้น โสเครติสนำมาใช้ต่อจนโด่งดัง ส่วนรุ่นหลังก็นำมาต่อยอดครับ ของเฮเกลจะเป็น วิภาษวิธีแบบจิตนิยมครับ คือ ความเป็นเอกภาพของสิ่งคู่กัน การปฏิเสธด้วยการปฏิเสธ เปลี่ยนแปลงทางปริมาณหรือคุณภาพ ซึ่งทำให้ มาร์กคิด วิภาษวิธีมาแย้งกับทางเฮเกลซึ่งก็คือ ได้รับอิทธิพลที่เกิดมาจากผลงานของเฮเกล ของมาร์กจะเป็น วิภาษวิธีแบบ สสารนิยม คือ การรวมกันของสิ่งตรงข้าม การเปลี่ยนแปลงด้านคุณภาพเชิงปริมาณ หริอ ปริมาณเชิงคุณภาพ การปฏิเสธซ้อนปฏิเสธ จากคุณ : KongMing - [ 18 ก.พ. 50 11:55:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณคุณ KongMing มากครับที่ช่วยอธิบาย "วิภาษวิธี" กระทู้นี้ คุณ จขกท.ถามว่า "เราอยากรู้ว่า แนวความคิดของมาร์กซ์ เค้าโดดเด่นขนาดนั้นเชียวหรือ แล้วจุดเด่นที่ว่านั่นมันคืออะไร  แล้วไม่สามารถมีจุดด้อยมาหักล้าง ความคิดของมาร์กซ์ได้เลยหรืออย่างไร" ผมก็ตอบตามความคิดเห็นที่ 11 ว่า "การที่มาร์กซ์พูดได้ว่านายทุนขูดรีดแรงงานนั้น เพราะนายทุนเป็นผู้ติดต่อรับหน้าอยู่กับผู้ใช้แรงงาน แต่ที่จริงมีผู้อยู่หลังฉาก คือฝ่ายเจ้าของที่ดิน" นี่คือการที่มาร์กซ์คิดรวม ที่ดิน กับ ทุน ไว้ด้วยกัน ซึ่งผมต้องการชี้ให้เห็นข้อบกพร่อง เรื่อง ระบบเจ้าที่ดิน กลายมาเป็น ระบบนายทุน แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ ระบบคอมมิวนิสต์ ตามที่มาร์กซ์กล่าวก็ผิดเพราะเหตุเดียวกัน ผมจึงยกมากล่าวด้วย แล้วผมก็บอกว่า ถ้าหากเกิดระบอบ “ทุนนิยม” ที่แท้จริงขึ้นก็จะหมายถึงว่าได้เกิดระบอบ “แรงงานนิยม” ที่แท้จริงขึ้นด้วย ซึ่งผมก็อธิบายต่อในความคิดเห็นต่อ ๆ มา ให้เห็นว่า ผู้ใช้แรงงาน กับ นายทุน มิใช่ขัดแย้งกัน รวมทั้งวิธีแก้ไขความเดือดร้อนของผู้ใช้แรงงานขั้นพื้นฐาน ซึ่งเกิดจากระบบของเราเอื้อประโยชน์แก่เจ้าของที่ดินต่างหาก แต่คุณ galapoo บอกว่าผมไม่ได้บอกที่มาของข้อความที่ว่า "คาร์ลมาร์กซ์ได้กล่าวว่าโลกเราเปลี่ยนจากระบบเจ้าที่ดิน (Feudalism) ซึ่งในสาระสำคัญก็คือ “ที่ดินนิยม” มาเป็น “ทุนนิยม” แล้วจะต้องเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ระบบคอมมิวนิสต์ (แรงงานนิยม) ในที่สุด" ผมก็เลยต้องหาที่มาเอามาแสดงแก่คุณ galapoo - เท่านั้นเองครับ ครั้นผมเองจะอ้างว่าเคยแต่ฟังซ้ำ ๆ กันมาอยู่หลายเที่ยวจากอาจารย์ทั้งหลายก็คงจะไม่ค่อยเข้าที  แต่ท่านผู้อ่านสามารถพูดได้อีกว่าแหล่งที่มานี้เป็น secondary source แล้วจะไม่เชื่อก็ได้เหมือนกัน แต่ผมไม่ได้ทำวิทยานิพนธ์ ก็เลยไม่ต้องง้อขอคะแนน อิ อิ !! แล้วผมก็ไม่ได้ศึกษาละเอียดเรื่องวิภาษวิธี เรียกว่า งู ๆ ปลา ๆ หรือรู้แบบเป็ดเสียมากกว่า ก็เลยต้องขอบคุณคุณ KongMing อีกครั้งหนึ่งที่ช่วยมาอธิบาย เท่ากับเป็นการแลกเปลี่ยนกับคุณ galapoo แทนผมไปในตัว - ขอบพระคุณครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 17:30:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 คุณKongMing  ยกตัวอย่างวิภาษวิธีแบบจิตนิยมหน่อยสิครับ จากคุณ : webew210 - [ 18 ก.พ. 50 19:37:02 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วหนังสือเรื่อง Comunist Menifesto นี่ยังหาอ่านได้หรือเปล่าคะ  แล้วมีแบบที่แปลไทยมั้ย จากคุณ : BoOKend - [ 18 ก.พ. 50 20:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ่านยาก(ฉ_บ ห_ย) เลยครับ Comunist Menifesto เนี่ย มีฉบับที่เป็น E-book ให้โหลด อ่านไปได้นิดเดียว มึนไปสามวัน จากคุณ : Nexus - [ 18 ก.พ. 50 21:06:46 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตอบ คุณ : webew210 คห23 เฮเกลวิภาษวิธีแบบจิตนิยม ความเป็นเอกภาพของสิ่งคู่กัน การเกิดขึ้นของตัวอ่อน เป็นบทตั้ง การปฏิเสธด้วยการปฏิเสธ เริ่มปฏิเสธแล้วขยายตัวขึ้น เป็นบทแย้ง เปลี่ยนแปลงทางปริมาณหรือคุณภาพ ก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็นบทสรุป มันจะวนไปวนมาครับ เอาอีกซักอัน ความเป็นเอกภาพของสิ่งคู่กัน ครอบครัวที่มีความรักต่อกัน เป็นบทตั้ง การปฏิเสธด้วยการปฏิเสธ สังคมที่แตกต่างกัน เป็นบทแย้ง เปลี่ยนแปลงทางปริมาณหรือคุณภาพ กลายสภาพเป็นรัฐ เป็นบทสรุป นี่คือ ตามที่พอจำได้ลางๆ ผิดถูกไง ใครแย้งมาด้วย จากคุณ : KongMing - [ 18 ก.พ. 50 21:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/คำประกาศเจตนาคอมมิวนิสต์ มีให้ดูนิดหน่อยครับ และแนะนำให้ดูที่ คำประกาศแห่งความเสมอภาค จาก บ้านจอมยุทธ ที่ http://www.baanjomyut.com/library/communist/index.html จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 22:09:03 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ภาษาอังกฤษ ลองดูที่ http://en.wikipedia.org/wiki/Communist_manifesto ครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 22:14:17 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ตอบคุณ คคห.ที่ 24 ไปที่เว็บนี้ดูค่ะ http://www.marxists.org/thai/index.htm "แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์ - Communist Manifesto" http://www.marxists.org/thai/archive/marx-engels/1848/communist-manifesto/index.htm ================= ฉบับหนังสือ Communist Manifesto "แถลงการณ์พรรคคอมมิวนิสต์" เขียนโดย คาร์ล มาร์กซ์ เฟรเดอริค เองเกลส์ โดยชมรมหนังสือ ป.ร. จากเว็บไซต์ห้องสมุดมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ http://search.library.tu.ac.th/ipac20/ipac.jsp?session=11718I24A63I1.132056&profile=pridi&uri=link=3100007@!3166909@!3100001@!3100002&aspect=basic_search&menu=search&ri=1&source=203.131.219.164@!db73_tudb&term=%E0%B9%81%E0%B8%96%E0%B8%A5%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%93%E0%B9%8C%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%84%E0%B8%84%E0%B8%AD%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C+%28the+communist+manifesto%29&index=ALTITLE#focus เคยมีคนเล่าให้ฟังว่า อ่านฉบับแปล (ฉบับนี้) แล้วก็งง คือไม่รู้ว่างงเพราะต้นฉบับงง หรือเพราะคนแปลงง แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 50 22:41:54 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 18 ก.พ. 50 22:34:11 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ระหว่างค้นคำ Communist manifesto ได้เจอ ปาฐกถาวันปรีดี พนมยงค์ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๙ โดย  ศาสตราจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ http://www.pridiinstitute.com/autopage/show_page.php?h=25&s_id=9&d_id=9 จำนวนผู้เข้าชมหน้านี้ 167 คนเท่านั้น มีข้อความน่าสนใจหลายตอน ขอยกตอนใกล้จบมาดังนี้                . . . อีกประการหนึ่งที่ผมเชื่อว่าผมจำไม่ผิด ถ้าในระหว่างที่ผมสนทนากับท่านในครั้งนั้น ท่านบอกว่า ระหว่างที่ท่านอยู่ในประเทศจีน เราก็รู้ๆ กันอยู่ว่าในยุคนั้นซ้ายก็พยายามที่จะทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงระบบเศรษฐกิจการเมืองของไทยด้วยการปฏิวัติที่ใช้อาวุธหักหาญกันอย่างรุนแรง อาจารย์หลวงประดิษฐ์ ก็เป็นหนังหน้าไฟอยู่ที่ประเทศจีนนานหลายปีในระหว่างนั้น พอดีท่านบอกกับผมว่าท่านไม่ได้เป็นหัวหน้าเขาหรอก และไม่ยอมรับที่จะเป็นหัวหน้าแก่กระบวนการก่อการอย่างรุนแรงเหล่านั้น ท่านปฏิเสธเพราะท่านไม่เห็นด้วยในนโยบายป่าล้อมเมือง ท่านเห็นว่าไม่จำเป็น ถ้าทำประเทศไทยก็จะแย่ เพราะท่านปฏิเสธทั้งๆ ที่อยู่ใต้ร่มไม้ชายคาของเขาอยู่ และท่านก็คงได้รับการวิพากษ์วิจารณ์อย่างแรง ซึ่งผมไม่ได้ติดตามรายละเอียด แต่ผมคิดว่าคนที่มีความเชื่อว่าประเทศไทยไม่ควรใช้วิธีรุนแรงที่จะต้องไปสู้กันให้เลือดตกยางออกทุกตำบลทุกหมู่บ้าน ผมคิดว่าเป็นความเชื่อของอาจารย์ปรีดี นับว่าเป็นบุญเป็นคุณต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่ง เรารอดพ้นจากสภาวะในเขมร ในลาว และเวียดนามได้ ก็เพราะจิตใจที่เข้มแข็งยึดมั่นในผลประโยชน์ของชาติบ้านเมืองของบุรุษคนหนึ่งคือผู้ประศาสน์การที่ไปอยู่ในเมืองจีน และอยู่ในเงื้อมมือของเขา ถ้าไม่ใช่บุรุษเหล็กเพชรอย่างท่านอยู่ไม่ได้ และยืนยันตามความเชื่อของตนไม่ได้นะครับ การปฏิเสธไม่ร่วมมือทำให้ท่านขลุกขลักที่จะติดต่อกับโลกภายนอกเป็นเวลานานปี ผมได้ฟังกับหู ท่านที่มาชุมนุมกัน ณ ที่นี้ถือว่าเป็นชาว มธ. ด้วยกันโปรดฟังไว้ด้วย เมื่อเหตุการณ์ของโลกได้เปลี่ยนแปลงไปมากมายอย่างนี้แล้ว มาคิดเสียว่าประเทศไทยก็ได้ผ่านพ้นที่เขาเรียกว่า  Civil War (สงครามกลางเมือง) อย่างหวุดหวิดที่เลือดจะต้องตกทุกหย่อมหญ้า ผมว่าอาจารย์ปรีดี พนมยงค์ มีส่วนสำคัญในการสกัดกั้นภัยพิบัติอันนี้อย่างมหาศาล ที่เราจะต้องยกย่องว่าเป็นวีรบุรุษที่ต่อสู้ให้กับประเทศไทยในต่างแดน และไปพำนักหนีภัยอยู่ประเทศจีนเสียด้วย ดังนั้น ผมจึงว่าหลังจากมีการเปลี่ยนแปลงในประเทศรัสเซียและจีน ซึ่งไม่รู้ว่าจะเปลี่ยนแปลงไปทางใด ยังลูกผีลูกคนอยู่นะครับ และประเทศไทยอย่างน้อยก็ไม่ตกเป็นเหยื่อการทดลองในทางเศรษฐกิจสังคมแล้ว ที่เป็นความฝันอันเจิดจ้าของคนมีอุดมคติในยุคหนึ่ง แล้วเราก็ค่อยๆ ถูไถกันไปอย่างนี้ ก็นับว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่โชคดีเป็นอย่างยิ่ง . . . จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 18 ก.พ. 50 22:56:21 ]

ความคิดเห็นที่ 31 จะคาล มากซ์หรือคาล หมู ก็สู้ มาคก์ อภิสิทธิ์มิได้ดอก จากคุณ : charity (charity) - [ 19 ก.พ. 50 01:16:45 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ที่จริง กฏวิพาษวิธี(มาร์กซ์) ต้องศึกษา คู่สาระมณฑล ของมันด้วยครับ เพราะการเปลี่ยนแปลง ทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพ จะเป็นลักษณะที่กลับขั้วกันไป และพัฒนาดำเนินไปอย่างต่อเนื่องระหว่างกัน สาระมณฑลพื้นฐานที่ว่าก็จะมี -ธาตุแท้และปรากฏการณ์   คือสิ่งที่กำหนด -รูปแบบและเนื้อหา -เหตุและผล จากลักษณะลักษณะความสำพันธ์ของเหตุและผลนำไปสู่การมองเห็น -ความจำเป็นและความบังเอิญ -ลักษณะความเป็นไปได้และลักษณะความเป็นจริง จากกฏความเป็นคู่ตรงกันข้าม ที่ใช้วิเคราะห์ได้ทุกอย่างบนโลก   ตั้งแต่พัฒนาการระหว่าง ความสำพันธ์ของคนเรา(ในขั้วตรงกันข้ามกัน) ไปจนถึง การดำเนินนโยบายของรัฐที่กลับขั้ว กันระหว่าง ความเป็นทุนนิยมกับสังคมนิยม รัฐเองก็มีความขัดแย้งภายในตัวเอง เหมือนกับคนเรา และทุกสิ่งทุกอย่าง แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 50 02:34:49 แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 50 02:32:48 จากคุณ : the author - [ 19 ก.พ. 50 02:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 33 โอ้โหหห ไม่ได้เข้ามาดูนานเลย ต้องขอบคุณ คุณ the author คุณ ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) คุณ AntiSpam (อันตราคนี) คุณ KongMing คุณ galapoo และท่านอื่นๆที่หนูตกหล่นนะคะ (คงต้องเรียกตัวเองว่า หนู แล้ว แหะๆ) ได้รับความรู้เพิ่มขึ้นเยอะเลยค่ะ พอดีว่า หนูเรียน วิชา Theory Policy เศรษฐศาสตร์การเมือง อ่ะค่ะ แล้วอาจารย์เค้าให้ คำถามมา เกี่ยวกับมาร์กซ์ ประมาณว่า ให้วิเคราะฺห์ จุดเด่น จุดด้อยของ ทฤษฎีเศรษฐศาสตร์การเมืองของมาร์กซ์ อ่านหนังสือแล้วก็ยังวิเคราะห์ไม่ค่อยได้ แต่พอได้มาถามในห้องปรัชญานี้ ทำให้ ได้รับความรู้ แล้วก็แง่คิดเพิ่มเลยค่ะ อีกทั้งยังได้รู้เรื่อง ที่มากกว่าที่ถามอีก อิอิ ขอบคุณทุกๆ คนเลยนะคะ ถ้าจะให้ดี เข้ามาเพิ่มเติมความรู้ได้เรื่อยๆ นะคะ หนูจะได้ เอาไปตอบอาจารย์ได้อีก ขอบคุณค่า -/\- จากคุณ : ชื่อนี้มีคนใช้แล้วค่ะ - [ 19 ก.พ. 50 03:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 กระทู้ตอบกัน น่าชื่นใจกว่าที่คิด จากคุณ : มานิเฟสโต้ - [ 19 ก.พ. 50 12:00:52 A:124.121.5.106 X: TicketID:098379 ]

ความคิดเห็นที่ 35 communist manifesto หาซื้อหาอ่านไม่ยากครับเล่มบางๆเล็กๆ ที่คิโนคูนิยะรู้สึกยังมีขายเลยครับ เล่มละไม่เท่าไหร่เอง(ผมว่านะ) ถ้าสนใจก็ซื้อเถอะครับ ฝึกภาษาด้วย ของผมก้มีพี่ชายซื้อมาจากอังกฤษที่นั่นขายเล่มละ 2.50 ปอนด์เอง ภาษาไทยก็มีเล่มใหม่หน่อยรู้สึกพวกรามฯจะออกมาพิมพ์ขายเป็นเล่มเล็กๆ หรือไปซึ้อที่คณะรัฐศาสตร์ มธ.ก้ได้ครับ เป็นเอกสารโรเนียวออกขายติดต่อที่ชั้นสอง คณะรัฐฯ มธ. ท่าพระจันทร์ เป็เอกสารในหมวดของอาจารย์เกษียร เตชะพีระครับ จากคุณ : สนใจ - [ 21 ก.พ. 50 12:53:11 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เรื่องที่ดินของคุณสุธนน่าสนใจดีครับ เคยได้อ่านแล้ว แต่ก็รู้สึกว่าน่าสนใจขึ้นเรื่อยๆ จากคุณ : มังกรใจเย็น - [ 22 ก.พ. 50 13:18:53 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ขอบคุณครับ แก้ปัญหาที่ดินเพื่อความเป็นธรรมแก่ผู้ใช้แรงงานและผู้ลงทุน เพราะเห็นความสำคัญของผู้ใช้แรงงานและผู้ลงทุน ปฏิรูปที่ดินวิธีง่ายและได้ผลดีที่สุดคือปฏิรูปภาษีครับ จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 23 ก.พ. 50 08:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 38 มาอ่านแล้ว ไม่รู้เรื่องง่ะ รู้แต่ว่า มาร์กส์ ดาร์วิน กะ ฟรอยด์ มีอิทธิพลมากที่สุดกับต่อความคิดของมนุษยชาติในศตวรรษที่ผ่านมา จริงเปล่า ไม่รู้ดิ จำเค้ามา ใครรู้บ้าง จากคุณ : ธุลี - [ 23 ก.พ. 50 11:17:08 A:125.25.193.86 X: TicketID:138928 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ^ ^ ^ ก็ใช่ ทั้งในเชิงสังคมวิทยาและมนุษย์วิทยา คือในยุควิทยาศาสตร์ระบบปรัชญามันแตกแขนงเยอะมาก และเข้ากันไม่ได้เลย  อย่างฟรอยด์ก็เป็นทวินิยม ในแบบ นายแพทย์ที่ชื่อเรเน่ เดกาส์ เชื่อว่ากายแยกกับจิต (แต่เอาเข้าจริงๆทวินิยมก็สร้างปัญหาการรับรู้ในตัวคนเรา คือคนเราจะตีความเข้าหาตัวเองและตัดขาดความรู้ทุกอย่าง(และรักการกดขี่เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน)) ที่อิงมาจาก ลักษณะสำพัทธ์และเชิงเหตุผลตามกรอบของมาร์กซ์ แต่มาร์ก กับดาร์วิน จะเป็นลักษณะของ สำพัทธ์นิยม และพัฒนาการ (เอาเข้าจริงๆโครงสร้าง พัฒนาการของสรรพสิ่งของดาร์วินก็อิงมาจากมาร์กซ์ในเรื่อง ความจำเป็นและความบังเอิญนะแหละ) เพียงแต่มาร์กซ์ นำกรอบปรัชญาตัวเองมาใช้ในทางเศรษฐศาสตร์มากกว่า ศตวรรษที่ผ่านมาเป็นยุคบุกเบิกวิทยาศาตร์ จากกรอบวิธีของมาร์กซ์ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 50 15:42:17 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 50 03:01:12 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 50 02:52:17 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 50 02:50:00 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 50 02:46:21 จากคุณ : the author - [ 24 ก.พ. 50 02:43:33 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ถ้าจะพูดศตวรรษที่ 19 แล้วผู้คนในสาย Continental Philosophy มักจะถือกันว่า Marx, Nietszche และ Freud นั้นเป็นผู้ยิ่งใหญ่ หรือ เป็น Maker of 20th Century ครับ ที่คนเหล่านี้ยิ่งใหญ่ ในทางปรัชญา โดยคร่าวๆ แล้ว ก็เพราะ พวกเขาตั้งคำถามที่ Radical มากๆ กับสิ่งที่เคยถือกันว่าเป็นเรื่องปกติ อาทิ Marx ตั้งคำถามกับวิธีการผลิตทางเศรษฐกิจและวิธีคิดที่ครอบงำ (จริงๆ ก่อน Marx ก็มีคนทำแต่ตัว Marx ทำเป็นระบบมากกว่า), Nietszche นั้นตั้งคำถามกับ Morality และ Truth (พูดง่ายๆ นะครับ อาจ Oversimplify ไปนิด) ส่วน Freud นั้นตั้งคำถามกับ ตัวตน ของคน ว่าสิ่งที่ตระหนักรู้อยู่นั้นเป็น Self จริงๆ หรือเปล่า? (ซึ่งสิ่งเหล่านี้มีผลต่อแนวคิดเรื่อง Cartesian Subject ทำนอง Cogito Ergo Sum อันเป็น subject ที่ปรัชญาใช้กันมาตั้งแต่ Descartes ด้วย) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นการปฏิวัติในระดับรากฐานความคิดทีเดียว เป็นการวางรากฐานใหม่ให้คิดต่อ ดังจะเห็นได้ว่าในศตวรรษที่ 20 มีนักคิดมากมายคิดต่อจากที่นักคิดทั้งสามได้คิดได้ (รวมทั้งเอามาผสมกัน ซึ่งพวกแรกๆ ที่ทำน่าจะเป็นพวก Frankfurt School) ส่วนที่งานเศรษฐศาสตร์การเมืองไทยส่วนหนึ่งนั้นใช้ Marx อย่างเข้มข้น ผมว่าต้องดูบริบทด้วย ในสมัยหนึ่งมีพวก “หัวก้าวหน้า” ในสมัยนั้นใช้พวกนี้อยู่มากในระดับหนึ่งเลย ซึ่งนอกจากมันจะเป็นเรื่องวิชาการ (มันเหมาะที่จะใช้เพราะ มันทำให้มองปรากฏการณ์ได้เที่ยงตรงกว่า) แล้วมันยังเป็นเรื่องการเมืองด้วย เป็นการแสดงจุดยืนทางทฤษฎี ถ้ารู้จักงานในสายเศรษฐศาสตร์ จะพอว่า Debate ในระดับทฤษฎีแบบที่มันถึงรากถึงโคนจะน้อยมากๆ (ถ้าจะเทียบกับปรัชญา) เดี๋ยวนี้เถียงกันแบบนักคณิตศาสตร์และนักสถิติด้วยซ้ำ ในพื้นที่ทางวิชาการแบบนี้สิ่งที่จะทำให้คุณหนีจากของพวกนั้นได้ในอาณาบริเวณของเศรษฐศาสตร์เอง ก็แทบจะมีแต่เศรษฐศาสตร์การเมือง ซึ่งเศรษฐศาสตร์การเมืองใหม่ๆ ก็ถูกพวกนั้นกินไปในระดับหนึ่งแล้ว ย้อนไปย้อนมา ก็ต้องกลับมาที่พวก Classical Political Economy กลับมา Marx และก็ต้องกลับมาใช้งานที่เขียนไว้ตั้งแต่ปีมะโว้แล้ว วนไปวนมาอย่างนี้เรื่อยๆ ซึ่งเท่าที่ผมทราบก็เป็นสิ่งที่ School ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งทำ ... ซึ่งก็ไม่ผิดอะไร เพียงแต่ผมว่ามันน่าจะมี Choice มากกว่านี้ ในการศึกษาเศรษฐศาสตร์การเมืองในประเทศไทย ส่วนงานของ Marx นั้นย่อมมีข้อผิดพลาดบ้างอยู่แล้ว ถ้าเราไม่อ่านงานของเขาเป็นคัมภีร์ของศาสดาอะไรเทือกนั้น ซึ่งข้อผิดพลาดต่างๆ นั้นก็ออกมาได้สารพัดรูปแบบ ขึ้นอยู่กับจุดยืนและมุมมองของผู้วิจารณ์ อาทิ วิจารณ์ในความไม่คงเส้นคงวาของ Marx, วิจารณ์การใช้ข้อมูลที่ผิดของ Marx, วิจารณ์ Epistemology ของ Marx ไปจนถึงการวิจารณ์ที่ดูจากสายตาในแบบวิชาการแล้วน่าขันของพวกขวาจัดสมัยก่อน ที่วิจารณ์ (ไม่อยากใช้คำนี้ด้วยซ้ำ แต่หยวนๆ แล้วกัน มันถูกใช้หลวมๆ อยู่แล้ว) แบบจะเอาให้ได้ การโจมตี Marx นั้นก็เรียกได้ว่าหนักหนามากๆ จากฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ซึ่งก็ไม่แปลกอะไร สำหรับนักคิดที่มีชื่อเสียงขนาดนี้ ซึ่งถ้ายากจะหาข้อผิดพลาดของ Marx เบื้องต้นแล้วก็น่าจะลองหางานพวกนั้นอ่านดู จากคุณ : FxxkNoEvil - [ 7 มี.ค. 50 08:51:04 ]

ความคิดเห็นที่ 41 มาร์กซ์พลาดมากที่คิดแยกคนเป็นแค่ 2 พวก คือ คนรวย กับ คนจน ทั้ง ๆ ที่มาร์กซ์เคยแสดงว่าเห็นต้นเหตุความยากจนจากปัญหาที่ดิน:-- มาร์กซ์กล่าวว่า “ในสังคมปัจจุบันเครื่องมือของแรงงานถูกผูกขาดโดยเจ้าของที่ดิน (การผูกขาดกรรมสิทธิ์ที่ดินถึงกับเป็นมูลฐานของการผูกขาดทุน) และนายทุน . . . นายทุนปกติมิใช่เจ้าของที่ดิน แม้แต่ที่ดินอันเป็นที่ตั้งแห่งโรงงานของเขาเอง” (จาก Marginal Notes to the Programme of the German Workers’ Party Written by Karl Marx, เม.ย./พ.ค. 1875 ตีพิมพ์ใน Die Neue Zeit, No. 18, Vol. I, 1891, พร้อมด้วยฉบับตัดย่อ ต้นฉบับเป็นภาษาเยอรมัน http://www.oppressedpeople.org/library/cgp75.html ) และใน Das Kapital, vol. III, p. 901-2 คาร์ล มาร์กซ์ได้กล่าวว่า - "จากมุมมองของรูปแบบทางเศรษฐกิจที่สูงขึ้นของสังคม การให้เอกชนบางคนมีกรรมสิทธิ์ในแผ่นดินโลกเป็นความเฉาโฉดเหมือนกับการให้บุคคลหนึ่งมีกรรมสิทธิ์ในอีกบุคคลหนึ่ง แม้แต่สังคมหนึ่ง หรือแม้แต่ทุกสังคมรวมกัน ก็ไม่ใช่เจ้าของแผ่นดินโลก พวกเขาเป็นเพียงผู้ครอบครอง ผู้ใช้แผ่นดินโลก และจะต้องส่งต่อไปยังชนรุ่นหลังๆ ในภาวะที่ดีขึ้น เสมือนบิดาที่ดีของครอบครัว" (จาก http://www.progress.org/geonomy/thinkers.html ) แต่เฮนรี จอร์จเข้าใจดีว่าปัญหาที่ดินเป็นปัญหารากฐาน วิธีแก้ปัญหาไม่ใช่จัดหาที่ดินให้คนจนเพราะจะไม่มีวันสิ้นสุด แต่ใช้วิธีเก็บภาษีเดี่ยวจากมูลค่าที่ดิน รวมทั้งทรัพยากรธรรมชาติ เลิกเก็บภาษีจากการลงแรงลงทุนผลิตและค้า ซึ่งภาษีนี้ไปลดรายได้ของผู้ผลิตและเพิ่มรายจ่ายของผู้บริโภค (แทบทุกคนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค) โดยถือว่าที่ดินและทรัพยากรธรรมชาติเป็นของส่วนรวมร่วมกัน รัฐเป็นผู้แทนของประชาชนรับภาษีจากแหล่งนี้มาใช้ประโยชน์แทนภาษีที่เคยเก็บจากการผลิตและการบริโภค ราษฎรก็จะมีความเท่าเทียมกัน ไม่เกิดการได้เปรียบเสียเปรียบกันในการครองที่ดินมากน้อยหรือดีเลวผิดกันอีกต่อไป คนที่เคยนั่งกินนอนกินอยู่ได้อย่างฟุ่มเฟือยจากฐานะเจ้าของที่ดินจะหมดไป และทุกคนจะได้รับผลตอบแทนเต็มที่จากการลงแรงลงทุนผลิตของตน ของกินของใช้ก็จะราคาถูกเพราะไม่ถูกเก็บภาษี จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 14 พ.ค. 50 23:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 42 การเก็บภาษีที่ดินเพิ่ม และเลิกภาษีอื่นๆ มีความเป็นธรรม:-- 1. ทุกคนที่เกิดมาในโลกนี้ต้องมีที่ดินเพื่ออยู่อาศัยและทำกิน เพราะถ้าไม่มี เขาตาย แต่เขาเกิดมาแล้ว เขาก็มีสิทธิ์มีชีวิตต่อไป 2. ไม่มีมนุษย์คนไหนลงแรงหรือลงทุนผลิตหรือสร้างที่ดินขึ้นมา จึงไม่ควรมีใครอ้างว่ามีสิทธิ์ในที่ดิน 3. มูลค่าของที่ดินส่วนใหญ่ (โดยเฉพาะที่ดินย่านชุมชนซึ่งมีราคาสูง) เกิดจากกิจกรรมของส่วนรวมที่แยกไม่ออกว่าเป็นของคนไหนเท่าไรและจากภาษีที่เก็บเอาไปสร้างสิ่งสาธารณูปโภค แต่ที่แน่ๆ คือมูลค่าที่ดินไม่ได้เกิดจากบุคคลในฐานะเจ้าของที่ดิน (ยกเว้นการเก็งกำไรที่ดิน) เจ้าของที่ดินอาจลงแรงลงทุนก่อสร้างและทำการผลิตหรือค้าในที่ดินของตนเอง แต่ที่ทำเช่นนั้นเขาทำในฐานะผู้ลงแรงและหรือผู้ลงทุน ซึ่งเขาควรได้รับผลตอบแทนจากการลงแรงหรือลงทุนของเขาเต็มที่ ส่วนประโยชน์จากมูลค่าที่ดินควรเป็นของส่วนรวม (แต่ไม่ใช่เอาที่ดินมาแบ่งกันเพราะที่ดินมีมูลค่าแตกต่างกันตามทำเลที่แตกต่างกัน ซึ่งให้ผลตอบแทนแก่การลงแรงลงทุนต่างกัน และจะต้องแบ่งกันไม่รู้จบเพราะคนในครอบครัวมีตายมีเกิดทำให้จำนวนเปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ) 4. การซื้อที่ดินมิใช่การลงทุนที่แท้ คือลงทุนผลิตของกินของใช้ (โภคทรัพย์) หรือเครื่องมือช่วยการผลิต (ทุน) แต่เป็นการซื้อสิทธิ์สืบต่อตามกฎหมายที่ไม่เป็นธรรมเพื่ออำนาจเรียกแบ่งผลตอบแทนจากผู้ทำงานและนายทุน และการเก็งกำไรกักตุนที่ดินกันไว้มากๆ ทำให้ที่ดินแพง ค่าแรงต่ำ หางานทำยาก คนจนก็เดือดร้อนยิ่งขึ้น 5. การเก็บภาษีจากรายได้จากการลงแรงลงทุนผลิต (รวมทั้งจำหน่าย) ไม่ยุติธรรม เพราะเป็นการเอาจากแต่ละคนไปบำรุงส่วนรวม ในกรณีนี้ควรเก็บจากมูลค่าที่ดินเพราะมูลค่าที่ดินเกิดจากกิจกรรมของส่วนรวม แต่การเปลี่ยนแปลงควรค่อยเป็นค่อยไปเพื่อมิให้เกิดความเดือดร้อนแก่เจ้าของที่ดินมากเกินไป จากคุณ : ยูโทเพียไทย (สุธน หิญ) - [ 14 พ.ค. 50 23:28:49 ]