ความคิดเห็นที่ 1 "ข้อสำคัญซึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลที่ ๕ เนื่องด้วยเรื่องพุทธเจดีย์ มีเรื่องพระบรมสารีริกธาตุอีกเรื่อง๑  ด้วยประเทศพม่า มอญ ไทย เขมร นับถือพระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากลังกาทวีปช้านาน  แลถือคติตามลังกาว่า  พระบรมธาตุของพระพุทธองค์มีลักษณะและสัณฐานเป็นเช่นนั้นๆ  ทั้งมีอิทธิฤทธิ์อาจทำปาฏิหาริย์ไปสู่ที่แห่งหนึ่งแห่งใดได้โดยลำพัง  เพราะฉะนั้น  พระธาตุที่ได้มาจากลังกาก็ดี หรือพบปะ ณ ที่ใดๆ ก็ดี  ต่อมีลักษณะต้องตามตำราจึงจะเชื่อถือว่าเป็นพระบรมธาตุของพระพุทธองค์  เมื่อรัฐบาลอินเดียจัดการตรวจค้นของโบราณ  ได้พบพระธาตุที่บรรจุไว้ในพระเจดีย์  มีอักษรจารึกบอกว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า  และพระธาตุที่พบนั้นล้วนเป็นอัฐิมนุษย์  ได้มีชาวประเทศสยาม (รวมถึงพระองค์ผู้นิพนธ์เรื่องนี้ด้วย)  เคยเอาใจใส่ตรวจตราพระบรมธาตุที่ขุดพบในอินเดีย  ซึ่งเขาส่งไปไว้ในพิพิธภัณฑสถาน ณ กรุงลอนดอนบ้าง  เอาไว้ในพิพิธภัณฑสถานในอินเดียบ้าง  ก็เห็นเป็นอัฐิมนุษย์ทั้งนั้น  แต่ไปเกิดสงสัยด้วยปรากฏว่าได้มาแต่ที่เจดียสถานหลายแห่ง  ถ้าจะประมาณพระธาตุแม้ที่รักษาไว้ในพิพิธภัณฑสถานก็มากมายหลายทะนาน  จึงออกแคลงใจไม่คิดขอเอามา........ (ตำนานพระพุทธเจดีย์) จากคุณ : NickyNick - [ 2 มี.ค. 50 13:14:08 ]

ความคิดเห็นที่ 2 (ต่อ) ... ครั้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๔๑  มีผู้ขุดพบที่บรรจุอัฐิธาตุที่เมืองกบิลพัสดุ์  มีอักษรจารึกเป็นอย่างเก่าที่สุดในอินเดียบอกไว้ว่าเป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า  คือส่วนซึ่งกษัตริย์สักยราชได้ไปเมื่อครั้งถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ  เวลานั้น มาเควสเคอสัน (ซึ่งเคยได้เข้ามากรุงเทพฯ คุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมาแต่ก่อน)  เป็นอุปราชครองประเทศอินเดียอยู่  ปรารภว่าสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเป็นพุทธศาสนูปถัมภกมีอยู่ในโลกในปัจจุบันนี้แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว  จึงส่งพระบรมสารีริกธาตุที่พบ ณ เมืองกบิลพัสดุ์นั้นมาถวาย  และครั้งนั้นพวกที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ  คือ ญี่ปุ่น พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย  ต่างแต่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมธาตุ  พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้แบ่งพระราชทานไปตามประสงค์  พระบรมธาตุที่เหลือนั้น  โปรดให้สร้างพระเจดีย์ทองสัมฤทธิ์เป็นที่บรรจุประดิษฐานไว้ในคูหาพระสถูปบนยอดบรมบรรพตวัดสระเกศ  เป็นที่สักการบูชาของมหาชนมาจนทุกวันนี้  เรื่องพระบรมธาตุที่กล่าวมาเป็นข้อสำคัญ  ที่บรรดาพุทธศาสนิกชนในนานาประเทศโดยมากยอมยกสมเด็จพระเจ้าแผ่นดินสยามเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภกมาแต่ครั้งนั้น" จากคุณ : NickyNick - [ 2 มี.ค. 50 13:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 3 พระบรมสารีริกธาตุ ณ วัดสระเกศ มีรายละเอียดตามลิ้งค์นี้ครับ http://www.watsrakesa.com/hstr/hstr_popup07.htm#top จากคุณ : NickyNick - [ 2 มี.ค. 50 13:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ....ครั้นพระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพาน  เหล่ามัลลกษัตริย์ซึ่งครองเมืองกุสินาราก็ช่วยกันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ  แล้วคิดจะสร้างพระสถูปประดิษฐานพระบรมธาตุไว้ ณ เมืองกุสินาราแต่ครั้งนั้น  เมื่อข่าวพระพุทธองค์เสด็จเข้าสู่พระนิพพานและถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ ณ เมืองกุสินาราทราบไปถึงเมืองอื่น  เจ้าเมืองที่เลื่อมใสในพระพุทธเจ้าหลายเมืองด้วยกัน  ต่างให้ไปรับพระบรมธาตุ  เพื่อจะเชิญไปประดิษฐานไว้ให้มหาชนบูชา ณ เมืองของตน  เดิมพวกมัลลกษัตริย์เมืองกุสินาราไม่ยอมให้  ข้างเจ้าเมืองอื่นก็จะเอาไปให้ได้  เกือบจะเกิดรบกันขึ้น  หากโทณพราหมณ์ว่ากล่าวไกล่เกลี่ยจึงปรองดองกัน  แบ่งพระบรมธาตุออกเป็น ๘ ส่วน  แล้วแจกไปยังที่ต่างๆ แห่งละส่วนตามปรารถนา คือ ...... จากคุณ : NickyNick - [ 2 มี.ค. 50 13:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ...... ๑. พระเจ้าอชาตศัตรู  ได้ไปยังเมืองราชคฤหมหานครอันเป็นราชธานีของมคธราฐในสมัยนั้น (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงราชะเคีย) ส่วน๑ ๒. กษัตริย์สักยราช พระญาติวงศ์ของพระพุทธองค์ได้ไปยังเมืองกบิลพัสดุ์ (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงภูอิละอยู่ในเนปาลราฐ) ส่วน๑ ...ส่วนนี้ที่ได้มายังประเทศสยามและบรรจุประดิษฐานไว้ในพระสถูปบนพระบรมบรรพต วัดสระเกศ ๓. กษัตริย์ลิจฉวี  ได้ไปยังเมืองเวสาลี (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงเพสารห์) ส่วน๑ ๔. กษัตริย์ถุลิยะ  หรือเรียกอีกส่วนหนึ่งว่าบุลิ  ได้ไปยังเมืองอัลกัปปะ  ส่วน๑ ๕. มหาพราหมณ์ผู้ครองเมือง  ได้ไปยังเมืองเวฏฐทีปกะ ส่วน๑ ๖. กษัตริย์โกลิยะ  ได้ไปยังรามคาม  (เดี๋ยวนี้อยู่ในเขตเนปาลราฐ) ส่วน๑ ๗. มัลลกษัตริย์เมืองปาวา  ได้ไปยังเมืองปาวา (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงปัทระโอนะ) ส่วน๑ ๘. มัลลกษัตริย์เมืองกุสินารา  ได้ไว้ ณ เมืองกุสินารา (เดี๋ยวนี้เรียกว่าแขวงกาเสีย) ส่วน๑ พระบรมธาตุที่แจกไปครั้งนั้น  ต่างเมืองต่างก็สร้างพระสถูปเป็นที่ประดิษฐานไว้  จึงเกิดมีพระธาตุเจดีย์ขึ้น ๘ แห่งเป็นปฐมด้วยประการฉะนี้ จากคุณ : NickyNick - [ 2 มี.ค. 50 13:38:06 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ๑ ในประเทศที่แต่งคณะสมณทูตอย่างเป็นทางการเข้ามาขอรับพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุจากล้นเกล้าฯ ร.๕ และได้รับพระราชทานไป คือ ญี่ปุ่นค่ะ ปัจจุบันประดิษฐานอยู่ที่วัดไทย-ญี่ปุ่น ชื่อ นิตไทยจิ ที่เมืองนาโงย่า  วัดสร้างเสร็จเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๔๗ ค่ะ  ทรงพระราชทานสมบัติล้ำค่า คือ พระพุทธรูปต่าง ๆ จากไทยให้ไปด้วยในโอกาสเดียวกันค่ะ   ล้นเกล้าฯ ร. ๖ ครั้งเสด็จเยือนญี่ปุ่นก็เสด็จวัดนี้ด้วยค่ะ มาในรัชกาลปัจจุบัน ก็เข้าใจว่าทรงพระราชทานพระพุทธรูปให้ไปประดิษฐาน และป้ายไม้มีตราพระปรมาภิไธยของทั้งสองรัชกาลกำกับอยู่ด้วย  ป้ายไม้สลักว่า "พระพุทธศากยมุนี" ค่ะ มีรูปค่ะ ได้ไปวัดนี้มาก่อนกลับเมืองไทย แต่อยู่ที่คอมพ์อีกตัวหนึ่ง  เดี๋ยวถ้ามีเวลา จะอัพโหลด และ/หรือ ทำลิ้งค์มาให้ก็แล้วกันนะคะ น่าเสียดายค่ะ ที่คนไทยในญี่ปุ่นไม่ค่อยมีใครรู้จักหรือให้ความสนใจวัดนี้เลย  ทั้ง ๆ ที่มีสิ่งที่มีค่าทั้งทางประวัติศาสตร์ของชาติ และของมนุษยโลกประดิษยฐานอยู่ คนญี่ปุ่นเองกลับให้ความสำคัญวัดนี้มากกว่าเราด้วยซ้ำมั้งค่ะ  ถนนเส้นทางเข้าวัดมีสัญลักษณ์รูปช้างตามร้านรวงต่าง ๆ เต็มไปหมด  ไปถามชาวบ้านคนญี่ปุ่นเขาบอกว่า เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้วพระมหากษัตริย์ไทยทรงพระราชทานพระบรมสารีริกธาตุและทรงมีส่วนร่วมในการสร้างวัดนี้  และช้างเป็นสัญลักษณ์ของไทย  ของพระมหากษัตริย์ไทย   ยิ่งไปกว่านั้น ในรัชกาลต่อ ๆ มา  ได้เคยทรงพระราชทานช้างไปให้เมืองนาโงย่าจริง ๆ ด้วยค่ะ และทั้งพระและชาวเมืองก็ช่วยกันพยายามรักษาดูแลมันอย่างดีและกลายเป็นช้างเพียงสองเชือกหรือเชือกเดียวนี่แหละค่ะจากทั้งญี่ปุ่นที่รอดชีวิตจากสงคราม ที่ด้านหน้าวัดมีพระบรมราชานุสาวรีย์รัชกาลที่ ๕ ด้วยค่ะ  ใครจะไปเชื่อคะ ถ้าไม่ไปเห็นกับตาว่า อยู่ในประเทศญี่ปุ่นแท้ ๆ เราจะมีพระบรมราชานุสาวรีย์ของบูรพกษัตริย์ไทยที่สูงเด่นเป็นสง่าขนาดนั้น กิจกรรมหลักของวัด นิตไทยจิ ที่น่าซาบซึ้งและคนทราบน้อยมากก็คือ ทุกปี ระหว่างเดือน มค. ถึง มีค. ซึ่งก็ระหว่างนี้เลยน่ะค่ะ ทุก ๆ วัน พระที่นี่จะสวดมนต์ถวายพระพรชัยมงคลให้กับทั้งองค์สมเด็จพระจักรพรรดิญี่ปุ่นและพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวของเราค่ะ  จะถวายพระพรให้กับทั้งสองราชวงศ์อย่างนี้ในสามเดือนแรกของทุกปีมาเป็นร้อยกว่าปีแล้วค่ะ ตั้งแต่สร้างวัดเสร็จ ที่ทราบก็เพราะว่า ได้มีโอกาสไปสัมภาษณ์รองเจ้าอาวาสมาค่ะ  เป็นส่วนหนึ่งของงานที่ตั้งใจว่าจะทำ เห็นกระทู้ของคุณ NickyNick มีส่วนเกี่ยวข้องพอดี  ก็เลยถือโอกาสแวะมาคุยด้วยคน  อนึ่ง ช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา  เป็นช่วงที่ยังรับทุนวิจัยอยู่ญี่ปุ่นพอดี  ก็เลยถือโอกาสไปทำบุญใหญ่ที่วัดนิตไทยจินี่ล่ะค่ะ เป็นค่าบำรุงวัดตลอดจนสนับสนุนการศึกษาทั้งด้านปริยัติของพระ/เณรญี่ปุ่น ตามนิกายต่าง ๆ ของเขาน่ะนะคะ และด้านการสอนสมาธิกับฆราวาสชาวเมืองแถวนั้นด้วย  ถวายเป็นพระราชกุศลแด่ล้นเกล้าฯ ร.๕ ด้วย และถวายในหลวงด้วย  ก็ขอให้ทุกท่านที่เข้ามาอ่านกระทู้นี้ได้รับบุญนี้ไปด้วยกันทุกท่านนะคะ สวัสดีค่ะ จากคุณ : kenzen - [ 2 มี.ค. 50 22:30:15 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สวัสดีครับพี่นิค แวะเข้ามาเก็บความรู้ครับพี่ จากคุณ : กัมม์ - [ วันมาฆบูชา 10:02:19 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณมากครับ เรื่องพระบรมสารีริกธาตุจากอินเดีย ผมไม่มีหนังสือจดหมายเหตุเล่มใหญ่ จึงไม่รู้ที่ไปในระยะเวลาหลังๆ ครับ มาทราบจากคุณ kenzen ในส่วนองค์ที่ไปประดิษฐาน ณ ประเทศญี่ปุ่น จึงทำให้เกิดความภาคภูมิใจเป็นอย่างมากครับ ตอนนี้คำถามแรก ตอบบ้างแล้ว ยังเหลืออีก ๓ ประเทศ คือ พม่า ลังกา และประเทศไซบีเรีย (รัสเซีย)  จะรอชมรูปและรายละเอียดอื่นๆ ครับ จากคุณ : NickyNick - [ วันมาฆบูชา 13:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 9 สวัสดีค่ะ คุณ NickyNick, ดีจังวันนี้เป็นวันมาฆบูชาพอดี ขอแปะรูปถวายเป็นพุทธบูชาก็แล้วกันนะคะ รูปแรกเป็นด้านหน้าประตูใหญ่ของวัดค่ะ จะเห็นว่าวัดใหญ่มาก เมื่อเทียบกับมาตรฐานญี่ปุ่นในปัจจุบัน จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:30:06 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ้าวรูปไม่มา ขอลองอีกสักทีนะคะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:31:22 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ป้ายชื่อวัดค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:32:40 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ภายในอุโบสถหลักค่ะ  ท่านรองเจ้าอาวาสท่านเมตตาเล่าว่า  ช่างศิลป์ญี่ปุ่นได้เดินทางมาตระเวณดูวัดวาอารามของไทย  แล้วได้กลับไปออกแบบให้เป็นส่วนผสมของไทยกับญี่ปุ่นค่ะ  เป็นวัดเดียวในโลก  หาที่ไหนไม่ได้อีกแล้วล่ะค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ด้านข้างเยื้องไปด้านหลังอุโบสถ เป็นทางเดินเชื่อมไปยังห้องที่จัดเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงศิลปวัตถุโบราณที่ล้นเกล้าร.๕ และ รัชกาลต่อ ๆ มาทรงพระราชทานไปให้ที่วัดนี้ค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ป้ายบอกประวัติที่มีการค้นพบพระบรมสารีริกธาตุที่อินเดีย  รวมถึงการที่มีการส่งไปถวายล้นเกล้าร.๕ ที่ไทย และเล่าไปถึงที่ญี่ปุ่นแต่งขบวนสมณทูตไปขอพระราชทานด้วยค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:37:42 ]

ความคิดเห็นที่ 15 รูปนี้ต้องกลั้นใจดี ๆ นะคะ  ตอนที่ตัวเองไปเห็นนั้น มือไม้สั่นไปหมด  นึกว่าของจริง อยากจะเอื้อมไปแตะเหลือเกิน แต่ว่าเป็นองค์จำลองค่ะ แหะ ๆ ของจริงเขาเก็บงำไว้อย่างดี     ที่เห็นนี้เป็นการจำลองผอบ (ไห?) เรียกไม่ถูกค่ะ คงจะมีราชาศัพท์ที่ถูกต้อง ที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุอยู่ในอินเดียน่ะค่ะ  เข้าใจว่าญี่ปุ่นก็ได้รับพระราชทานไปด้วย ๑ ผอบเหมือนกัน เชิญนักศึกษาอักขระโบราณแกะตัวอักษรอ่านกันตามสบายนะคะ  รูปนี้ตั้งใจถ่ายสุดฝีมือเลยค่ะ (ความจริงถ่ายมาหลายรูปน่ะค่ะ แหะ ๆ) [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:42:33 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ใจยังเต้นตึกตักกันอยู่หรือเปล่าคะ?  พักเหนื่อยกันสักครู่ไหมคะ  เดินไปอีกนิดหนึ่ง ด้านหลังวัดมีสวนญี่ปุ่นใหญ่มากอยู่บนเนิน  มองออกไปก็จะเป็นทางไปกุฏิเจ้าอาวาสน่ะค่ะ บอกแล้วไงคะว่าวัดนี้ใหญ่สำหรับมาตรฐานญี่ปุ่นปัจจุบัน  และอยู่ใจกลางเมืองนาโงย่าด้วย จะว่าไปแล้ว  เดินจากสถานีรถไฟหลักแห่งหนึ่ง (ลืมชื่อไปแล้วค่ะต้องไปค้น) ประมาณ ๑๐ นาทีเองมั้งคะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:44:49 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วก็มีเรื่องให้หัวใจเต้นแรงกันได้อีกแล้วล่ะค่ะ  เมื่อได้เห็นพระบรมราชานุสาวรีย์ของล้นเกล้าฯ ร.๕ เด่นเป็นสง่าอยู่เคียงข้างอาคารหลักของวัดนิตไทยจิ นี้  ทุกปี ในวันปิยมหาราช ท่านทูตไทยจะนำข้าราชการและประชาชนชาวไทยไปถวายการสักการะค่ะ   วันที่ไปถ่ายรูปนี้นั้น เป็นช่วงเดือนธค. ก็ยังมีพวงมาลัยสีชมพูด้วยค่ะ ไม่ทราบใครเพิ่งไปถวายบังคม [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 18 หนึ่งในรูปช้างที่ประดับอยู่ตามท้องถนนก่อนถึงวัด ความจริงมีอีกเยอะค่ะ แต่อยู่คอมพ์อีกเครื่องหนึ่ง  นี่ไปโหลดมาจากเวบอัลบั้มของตัวเองแล้วต้องมาลดขนาดภาพแล้วอัพโหลดใหม่ ก็เลยนำมาฝากแค่นี้ก่อนนะคะ   เห็นแล้วชื่นใจดีไหมคะ  เห็นแล้วเข้าใจเลยว่า ความสัมพันธ์ไทย-ญี่ปุ่น นั้น แน่นแฟ้นมากว่าร้อยปีแล้วอย่างไร   สำหรับคนญี่ปุ่นในนาโงย่าที่ไม่เคยลืมพระมหากรุณาธิคุณของบูรพมหากษัตริย์ไทยของเราเลย  ไม่มีใครไปบอกให้เขาทำนะคะ  เขาทำของเขากันเอง  เรื่องการรู้บุญคุณคนนั้น อยู่ในสายเลือดเขาค่ะ   ตอนที่เดินเข้าไปถามเกี่ยวกับภาพช้างต่าง ๆ  ที่มีอยู่ตามท้องถนนนั้น ก็ไม่ได้บอกเขาว่าเป็นคนไทย  แล้วหน้าตาตัวเองกับคนที่ไปด้วย ก็ไม่ค่อยไทยน่ะค่ะ  แต่คนญี่ปุ่นแถวนั้นก็เล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจ  ถึงประวัติศาสตร์ร่วมกันที่ญี่ปุ่นมีกับไทยในตอนนั้น สวัสดีค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kenzen - [ วันมาฆบูชา 16:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 19 รีเฟลชอ่านก่อนปิดคอมฯ ตื่นเต้นไปกับคุณ kenzen ด้วยครับ  เห็นอะไรที่แสดงถึงความเป็นไทย ย่อมปลื้มใจเป็นธรรมดา ยิ่งชาวเมืองนาโงย่าแสดงถึงความกตัญญูต่อองค์พระมหากษัตริย์ไทย และรำลึกถึงประชาชนชาวไทยด้วยแล้ว มีความรู้สึกซาบซึ้งอย่างบอกไม่ถูก เย็นนี้จะรีบพาครอบครัวไปเวียนเทียน เพิ่งมาอยู่ในท้องถิ่นใหม่นี้ได้ไม่นาน ยังไม่รู้จะไปวัดไหน เวลาไหนแน่ อีกสองวันนี้จะไปแสดงความกตัญญูต่อผู้มีพระคุณยิ่งใหญ่อีกสองท่าน คงจะมาติดตามกระทู้นี้ได้อีกครั้งในวันอังคารครับ ขอบุญกุศลจงมีแด่คุณ kenzen ที่กรุณาเอื้อเฟื้อความรู้ให้  รวมถึงทุกท่านที่เข้ามาติดตามกระทู้ด้วยครับ จากคุณ : NickyNick - [ วันมาฆบูชา 17:38:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สวยดีครับ จากคุณ : NgaoMak - [ 4 มี.ค. 50 12:02:52 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วพระบรมสารีริกธาตุประดิษฐานที่ไหน ในเจดีย์ทองๆข้างล่างที่ให้ปิดทองได้ หรือข้างบนที่เป็นเจดีย์ใหญ่ๆ?? จากคุณ : aprex (aprex) - [ 6 มี.ค. 50 18:18:11 ]

ความคิดเห็นที่ 22 จากข้อความใน คห.๒ และจากลิ้งค์ของวัดสระเกศใน คห.๓ รวมความได้ว่า พระบรมสารีริกธาตุที่ได้มาจากอังกฤษ (อินเดีย) ครั้งนั้น ประดิษฐานอยู่ในคูหาพระสถูปเจดีย์ทองบนยอดพระบรมบรรพต ไม่ใช่ข้างล่างครับ ขอคัดลอกจากลิ้งค์นั้นมาให้อ่านกันเลยครับ ..................... การทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ ๒      การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ ๒ นั้นมีเรื่องว่า เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๑ มิสเตอร์ วิลเลียมแคลกตัน เปปเป   ชาวอังกฤษ   ได้ขุดพบอัฐิธาตุในพระสถูป    ณ ที่ใกล้ตำบล ปิปราหวะ     ตั้งอยู่ปลายแดนเนปาล   คือเมืองกบิลพัสดุ์     มีอักษรจารึกเป็นอย่างเก่าที่สุดในอินเดีย   บอกว่า   เป็นพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้าคือส่วนที่กษัตริย์ศากยราชในกรุงกบิลพัสดุ์   ได้รับแบ่งปันในเวลาที่ถวายพระเพลิง   พระพุทธสรีระ   เวลานั้น มาเควส   เคอสัน   เป็นอุปราช ครองอินเดียอยู่   แต่ก่อนเคยอยู่ที่กรุงเทพ ฯ    มีความคุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว     ได้ปรารภว่า   สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินที่เป็นพุทธศาสนูปถัมภกมีอยู่ในโลก ปัจจุบันนี้   แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์เดียว    มีความประสงค์จะถวายพระบรมสารีริกธาตุนั้น   แด่พระองค์   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ     ให้เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม เปรียญ)   แต่ครั้งยังเป็นพระยาสุขุมนัยวินิต   เป็นผู้แทนประเทศไทยออกไปเชิญพระบรมสารีริกธาตุนั้น   และครั้งนั้น   พวกที่นับถือพระพุทธศาสนาในนานาประเทศ   คือ   ญี่ปุ่น   พม่า   ลังกา   และไซบีเรีย   ต่างก็ได้ส่งทูตเข้ามาทูลขอพระบรมสารีริกธาตุ   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ได้พระราชทานไปตามประสงค์    พระบรมสารีริกธาตุที่เหลือนั้น    โปรดสร้างพระเจดีย์ทองสัมฤิทธิ์เป็นที่บรรจุ   แล้วโปรดให้ประกอบพระราชพิธีบรรจุ ในพระเจดีย์บนยอดบรมบรรพต   เมื่อวันที่ ๒๓    พฤษภาคม   พุทธศักราช   ๒๔๔๒     การบรรจุพระบรมสารีริกธาตุคราวนี้   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   ทรงพระประชวร    เสด็จพระราชดำเนินไม่ได้   จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ    ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าอัษฎางค์เดชาวุธ กรมขุนนครราชสีมา เสด็จแทนพระองค์ จากคุณ : NickyNick - [ 9 มี.ค. 50 09:56:05 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในลิ้งค์นั้น บอกด้วยว่า ก่อนหน้านั้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เช่นเดียวกัน มีการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุที่ได้รับในพระบรมราชจักรีวงศ์แต่เก่าก่อนไว้ในเจดีย์ใหญ่เช่นเดียวกัน เจดีย์ใหญ่นั้นน่าจะหมายถึง พระเจดีย์ทองบนยอดครับ .................... การทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุครั้งที่ ๑        ในรัชกาลที่ ๕   พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว   โปรดให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ  ๒ คราว คือคราวแรกโปรดให้อัญเชิญ   พระบรมสารีริกธาตุ   ที่ได้รับไว้ในพระบรมราชจักรีวงศ์    มีกระบวรแห่ออกจากพระบรมมหาราชวัง ไปประดิษฐาน ณ โรงพระราชพิธี ที่บรมบรรพต วัดสระเกศ ในวันศุกร์ เดือนยี่ ขึ้น ๑ ค่ำ   ปีฉลู   นพศก   จุลศักราช ๑๒๓๙    ตรงกับพุทธศักราช ๒๔๒๐   ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ   ในพระเจดีย์ใหญ่บรมบรรพต จากคุณ : NickyNick - [ 9 มี.ค. 50 09:59:00 ]

ความคิดเห็นที่ 24 วัดสระเกศ เมื่อผมเป็นหนุ่มรุ่นๆ ใกล้ยี่สิบ เคยไปวิ่งออกกำลังกายรอบพระเจดีย์ภูเขาทอง แต่ตอนหลังเขาไม่อนุญาตให้วิ่งได้ จึงเลิกไป  ไม่รู้ตอนนี้เป็นยังไง เพราะเวลาก็ล่วงเลยกว่ายี่สิบปีแล้ว เพราะหลังจากครั้งนั้นแล้วก็ไม่เคยเข้าไปในวัดอีกเลย ตอนนั้นยังไม่ค่อยสนใจเรื่องราวประวัติศาสตร์เท่าใด เรื่องพระพุทธศาสนาก็พอมีความรู้บ้าง แต่ไม่เคยสังเกตเรื่องพระเจดีย์ทองทั้งข้างล่างและข้างบน  ด้วยไม่เคยทราบความสำคัญมาก่อน พอให้นึกในตอนนี้เฉพาะช่วงเวลาสั้นๆ จึงมองไม่เห็นภาพ หากมีเวลาว่าง คงจะได้ไปกราบนมัสการ ณ วัดนี้อีกครั้งหนึ่ง แล้วก็จะได้มีความเข้าใจในภูมิประวัติศาสตร์ของวัดเพิ่มขึ้น จากคุณ : NickyNick - [ 9 มี.ค. 50 10:05:53 ]