ความคิดเห็นที่ 1 ถกสำนวนไทยของคุณวาณิชนั้นว่ากันหลายสำนวน ข้าพเจ้าขอเลือกเฉพาะสำนวนที่ใช้กันบ่อยๆ และมีที่มาน่าสนใจ ไม่ห่างตัวเกินไป =============== ขึ้นคาน เป็นสำนวนที่ใช้แพร่หลายและมักใช้กับผู้หญิง แต่ที่มาจริงๆ นั้นเป็นอย่างไรแน่? เมื่อแรกเรานึกถึงขื่อคาน แต่คิดว่าจะขื่อหรือคานก็สูงเกินศีรษะทั้งนั้น ผู้หญิงไม่ใช่ลิงหรือแมว จะไปแสดงกายกรรมเปียงยางอะไรกันบนนั้นเล่า....ปัดโธ่ สำนวนขึ้นคานมาจากเรือ ด้วยว่าเรือที่ไม่มีเหตุให้ใช้ในช่วงนั้นหรือปลดระวางแล้ว ชาวบ้านจะนำขึ้นคานพักเรือไว้ เมื่อเรือไร้คนพายก็ย่อมเหมือนคนไร้คู่...อยู่เดี่ยวเพียงลำพัง อ้างว้างเอกา ดังนี้ เงื้อง่าราคาแพง สงสัยค่ะว่า ทำไมต้องราคาแพง แล้ว "ง่า" ที่ว่าคืออะไร คราวนี้ต้องให้คุณวาณิชอธิบายเสียแล้ว คุณวาณิชให้เหตุผลว่า "...มาจากกฎหมายลักษณะวิวาทครั้งกรุงศรีอยุธยา คือมีความทำนองว่า ถ้ามีการเงือดเงื้อง่าง้างจะชกตีแทงถีบถองกระทืบท่าน ให้ปรับไหมกึ่งหนึ่งของชกตีแทงถีบถองกระทืบท่านถูก คือต่อยใครทีหนึ่งถูกปรับหนึ่งบาท แต่ถ้าแค่ง้างจะต่อยโดยไม่ได้ต่อย จะถูกปรับห้าสิบสตางค์ ทำนองนั้น ที่มันแพงเพราะอะไร มันก็แพงตรงที่เงื้อแล้วเงื้ออีกอยู่นั่นแหละ เงื้อทีหนึ่งก็ห้าสิบสตางค์ เงื้อสิบทีโดนไปห้าบาท ถ้าต่อยโครมไปเลยก็เสียแค่บาทเดียว เขาถึงว่า เงื้อง่าราคาแพง" ชัดเจนค่ะ...ชัดเจน จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 14:24:41 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โง่ (แล้วยังอยาก) นอนเตียง ทำไมคะ โง่แล้วนอนเตียงมิได้หรือ การนอนเตียงเกี่ยวอะไรกับสติปัญญากันเล่า เตียงมีหัวมีท้ายค่ะ ไม่เหมือนนอนบนสาดเสื่อ หรือที่นอนปูกับพื้น นิยมทิศไหนว่าเป็นมงคลก็หันหัวไปทางทิศนั้น อีกทั้งตั่งเตียงสมัยโบราณก็มีอุปกรณ์เสริมมิใช่เตียงเปล่าๆ อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี้ อย่างในทวิภพ ตอนที่แม่มณีบุกเข้าหาคุณหลวงถึงเตียง คุณหลวงยังบอกให้แม่มณีเปิดประตูมุ้ง เกี่ยวขอให้เรียบร้อยเสียก่อน แล้วค่อยว่ากัน (เอ๊ะ เราย่อความจนเสียเรื่องไปไหมเนี่ย !!!) สรุปคือ การนอนเตียงใช่ว่าจะล้มตัวลงนอนได้ตามสบายใจ ต้องดูด้วยว่า ตรงไหนหัวเตียง ตรงไหนปลายเตียง หันเท้าเข้าหัวเตียงก็น่าหัวร่อไปเท่านั้น จีบ กริยา "จีบ" นั้นนึกได้สองอย่าง คือจีบนิ้วตอนรำ กับ จับของให้เป็นจีบด้วยการพับกลับไปกลับมา หรือทำให้ย่นเป็นรอย เช่น จีบผ้า นอกจากนี้ เราใช้กริยา "จีบ" กับสำนวน จีบปากจีบคอ แสดงอาการเสแสร้งผิดธรรมชาติ บางคนก็น่าเอ็นดู บางคนก็น่าดูเอ็น ก็เลยให้สงสัย ใยหญิงชายจะเกี้ยวกัน จึงใช้จีบ ไม่รู้ว่าที่มาจากตอนตัวพระเข้าเกี้ยวตัวนางต้องจีบให้สวย สำแดงท่าดีทีไม่เหลวกันสุดฤทธิ์ หรือเพราะกริยาตอนนั้นมันจีบจนยอกย้อนพลิกไปมาหลายชั้นหลายเชิงก็ไม่ทราบ เจ้าชู้ยักษ์ ข้อนี้ คุณวาณิชว่า "หมายถึงเจ้าชู้ประเภทปากกว่ามือถึงจับทึ้งเอาด้วยกำลัง" ยักษ์ตนที่คนไทยรู้จักดีที่สุดก็คงไม่แคล้วทศกัณฐ์ เพราะเมื่อตอนตั้งเขาไกรลาสให้ตรงได้ พระอิศวรประทานพรให้หนึ่งข้อขออะไรไม่ขอ ดันทะลึ่งไปขอพระอุมา ก็เลยต้องทูนไว้เหนือหัว เพราะจับทีไร้ร้อนดั่งไฟลน แถมที่ต้องรบรากับพระรามกันยาวยืดก็เพราะเหตุแห่งความเจ้าชู้เหมือนกัน แต่จะมอบสำนวนเจ้าชู้ยักษ์ให้ทศกัณฐ์เพียงผู้เดียวก็ไม่เป็นธรรม ใครอยากรู้ว่ายักษ์เจ้าชู้อย่างไร ขอให้ไปดูกำแพงวัดพระแก้วเอาเอง ตอน "หนุมานเข้าปราสาทกรุงลงกา" เอ...."ดินสอ" ของพิเภกเป็นอย่างนี้รึ มิน่าถึงดูดวงแม่น (เห็นอสูรตนหนึ่งนอนหลับ มือจับดินสอไว้มั่น สมุดกระดานชนวนนั้น วางข้างกุมภัณฑ์นิทรา) จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 14:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เฉ่งปี๋ หมายถึงชำระความกันให้สิ้นสงสัย จะด้วยวาจาหรืออาวุธครบมือก็ตามเห็นสมควร ปี๋คืออะไร...ชื่อน่าฉงน ปี๋กับปี้น่าจะใกล้กัน ปี้ในพจนานุกรม (โบ) หมายถึงกระเบื้อง แก้ว หรือทองเหลือง ใช้แทนเงินในบ่อนเบี้ย นอกจากนี้ ปี้ (โบ) ยังหมายถึง ครั่งประทับตราใช้ผูกข้อมือจีน เป็นสัญลักษณ์ว่าได้เสียเงินค่าราชการแล้ว ที่ต้องวงเล็บว่า (โบ) เพราะความหมายแบบไม่โบนั้นออกไปเรื่องอื่น ไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ใช้เปรียบรายได้ที่ไม่พอรายจ่าย เข้าทำนองต้นเดือนกินพิซซ่า ปลายเดือนกินมาม่า อะไรทำนองนั้น สำนวนนี้มาจากผ้านุ่งผ้าห่ม จะด้วยเพราะร้อน หรือประหยัดผ้าก็ไม่ทราบ แต่ผ้านั้นปิดหน้าไม่ปิดหลัง ปิดหลังปิดหน้าไม่มิด ขยับหน้าขยับหลังแล้วก็ปิดไม่ตลอดอยู่นั่นเอง ต้นกุฏิ เรียกกันจนกลายเป็นก้นกุฏิไปเสียแล้ว แลดูไม่ค่อยเข้าเค้ากับความหมาย เพราะลงว่าอยู่ก้นกุฏิไม่น่าจะเชิดหน้าชูตาได้เท่าไหร่ มักมีความหมายในเชิงซุกซ่อนหรือเป็นของค้าง เช่น ข้าวก้นหม้อ อุปมาเหมือนนางซินก้นครัว อย่างไรอย่างนั้น ศิษย์ต้นกุฏิ (หรือที่กลายเป็นศิษย์ก้นกุฏิ) หมายถึงศิษย์เอก หรือคนสนิทที่ไว้ใจให้ปฏิบัติหน้าที่สำคัญ ศัพท์ที่ขึ้นด้วยคำว่า "ต้น" โดยเฉพาะเมื่อใช้กับบุคคลนั้นมักหมายถึงบุคคลสำคัญในงานนั้น เช่น ต้นห้อง ต้นหน ต้นเสียง เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 50 19:44:45 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 14:28:08 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตักน้ำใส่กะโหลก ชะโงกดูเงา ไม่ใช่พิธีกรรมของแม่มดวูดูแต่ประการใด ไม่ใช่ตักน้ำใส่กะโหลกผี แล้วร้องถามจากเงาว่า "กะโหลกเอย บอกข้าเถิด ใครงามเลิศในปฐพี...." สำนวนนี้มักใช้ในเชิงจิกด่า เพื่อให้ผู้ฟังสำเหนียกถึงความต่ำต้อยของตน ไม่ได้ให้เห็นเงาสะท้อนแห่งความงาม เพราะเงาสะท้อนจากกะลามะพร้าวที่เขาเรียกว่า "กะโหลก" นั้น คงหางามไม่ได้ สโนไวท์ก็สโนว์ไวท์เหอะ กะโหลกหมายถึงกะลามะพร้าว คุณวาณิชอธิบายความเพิ่มว่า ยังหมายถึงเครื่องใช้สำหรับตักน้ำล้างเท้าก่อนขึ้นเรือน เป็นขั้นตอนหนึ่งในการแสดงความให้เกียรติเจ้าบ้าน ดังนั้น เมื่อกระทบกระเทียบถึงขั้นให้ดูเงาตัวในกะโหลกตักน้ำล้างเท้า....มันช่างเหยียดหยามกันเสียนี่กระไร เต็มประตู สำนวนไทยที่มาจากการเล่นพนันขันต่อนั้นมีพอควร เช่น เฉ่งปี๋ งงเป็นไก่ตาแตก ไก่รองบ่อน เบี้ยล่าง แจงสี่เบี้ย แฉโพย ถือหาง ฯลฯ เต็มประตูก็เช่นกัน เรามักใช้สำนวนนี้ว่า "ผิดเต็มประตู" และ "เสียเปรียบเต็มประตู" เคยเห็นว่า "ได้เต็มประตู" เหมือนกัน ที่มาของสำนวนนี้มาจากถั่วโป ในการแทงเขาจะใช้กระดาษวาดกากบาทสี่ช่อง ช่องนี่แหละที่เรียกว่า ประตู หากแทงเพียงช่องเดียวแบบรักเดียวใจเดียว โอกาสพลาดก็มีสูง แต่ถ้าถูกก็ได้สามต่อ เต็มเต็ง ความหมายเดียวกับ เต็มบาท "บาท" นี้เราว่าไม่ใช่เงินบาท เพราะเงินบาทขาดเฟื้องไม่ใช่เรื่องใหญ่ ราคาเงินก็เป็นเท่าที่มี แต่ทองไม่เต็มบาทนั้นหมายถึงทองน้ำหนักบาท แต่ปริมาณทองไม่ครบ อันนี้เรื่องใหญ่แน่ แต่อาจจะหมายถึงเงินหนึ่งบาทจริงๆ ก็ได้ เพราะว่า เรามีสำนวนด่าอีกคำว่า สามสลึง แต้จิ๋วในเมืองไทยเรียก ซาจี๊ ไม่รู้ว่า ไม่เต็มบาท กับ สามสลึง นั้นมีที่มาเกี่ยวพันกันหรือไม่ ส่วน "เต็ง" นั้นหมายถึงตาชั่งจีน แบบที่มีลูกตุ้มเลื่อนไปมาได้นั่นแหละ ต่อยหอย หมายถึงพูดมาก พูดเร็ว และพูดด้วยเสียงจิ๊กๆๆๆๆๆๆ ถี่ยิบโดยไม่มีทีท่าจะหยุดง่ายๆ ถึงจะสมสำนวน "ต่อยหอย" สำนวนนี้ไม่ได้มาจากการฝึกซ้อมของนักมวยแต่ประการใด ยังไม่เคยปรากฏว่ายิมที่ไหนเรียกนักมวยมาฝึกซ้อมโดยให้ทุบเปลือกหอย เว้นแต่ค่ายนั้นจะมีธุรกิจทำหอยดอง กริยา "ต่อย" นั้น ไม่ได้หมายถึงกำหมัดชกแต่ประการเดียว แต่ยังหมายถึงทำเปลือกให้แตกเพื่อใช้ของข้างใน เช่น ต่อยไข่ ต่อยหอยจึงมาจากการทุบเปลือกหอยให้แตกซึ่งย่อมส่งเสียงกร๊อบๆ แกร๊บๆ ตามมา ฟังแล้วสำราญ (หรือรำคาญ) หูยิ่งนัก จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 14:30:10 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เถียงคำไม่ตกฟาก ตกฟากนั้นใช้กับเวลาเกิดด้วย เคยคิดว่า ฟากคงเป็นญาติกับฟูก..ละม้ายคล้ายกัน เออออและห่อหมกกับการเกิดได้ เอาเข้าจริงๆ ฟาก หมายถึงพื้นเรือนของคนทั่วไป ทำจากไม้ไผ่ผ่ากลางแบออก เถียงคำไม่ตกฟากนั้น อุปมาเหมือนกับว่า เมื่อฝ่ายหนึ่งพูดอะไรออกไป ยังไม่ทันเว้นจังหวะให้คำทันตกถึงฟาก ก็รับมาสวนกลับได้ทันที (เก่งแฮะ) สำนวนนี้ความหมายใกล้เคียงกับ "ทันควัน" หรือ สวนทันควัน ก็คืออีกฝ่ายหนึ่งยิงปืนควันไม่ทันจาง อีกฝ่ายหนึ่งก็สวนกลับได้อย่างรวดเร็ว แทรกเป็นยาดำ หมายถึง มีสิ่งใดสิ่งหนึ่งปรากฏให้เห็นอยู่เสมอและทำให้ผู้ประสบพบเห็นไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก ยาดำ นั้นเป็นอย่างไร ข้าพเจ้าก็ไม่เคยเห็น เคยเจอแต่ ยาแดง ยาเหลือง ยาเขียว คุณวาณิชอธิบายว่า ยาดำ คือยาระบายชนิดหนึ่ง ซึ่งหมอยามักใส่รวมไปกับยาหม้อแก้สารพัดโลก ทั้งๆ ที่ยาหม้อสำรับนั้นไม่ได้เกี่ยวได้ข้องอันใดกับโรคท้องผูก พูดง่ายๆ ก็คือ หมอยาแกใส่ไว้เพื่อเสริมสภาพคล่องของผู้ป่วยนั่นแล "แทรกเป็นดีเกลือ" ก็เป็นสำนวนที่มีความเดียวกัน แต่เราไม่ค่อยได้ยินกันมากเท่าแทรกเป็นยาดำ ====== เดี๋ยวมาต่อค่ะ ====== จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 14:31:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ... เข้ามาจอบ  โห ขยันพิมพ์จริงๆ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 4 มี.ค. 50 16:53:31 ]

ความคิดเห็นที่ 7 โฮ่... ดีครับดี เอาอีกๆ โหวต!! จากคุณ : ชาเขียว - [ 4 มี.ค. 50 17:03:31 ]

ความคิดเห็นที่ 8 อ่านแบบสนุกมากเลยครับ ไม่เครียด จากคุณ : ธันวาธาวิน - [ 4 มี.ค. 50 19:35:56 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หนังสือของขุนวิจิตรมาตรา  ชื่อ  "สำนวนไทย"  ก็ให้ประโยชน์เยอะเลยครับ ทั้งเกร็ดความเป็นมาต่าง ๆ ลองไปหาดูนะครับ จากคุณ : ปะหล่อง - [ 4 มี.ค. 50 20:14:16 ]

ความคิดเห็นที่ 10 มีคนชวนโหวต เอาเลยชอบโหวตอยู่แล้ว มีอยู่คำหนึ่งสงสัยมานานแล้ว ไม่กล้าถามใครกลัวเขาหาว่าโง่ ถามครูแป๋มไม่เป็นไรเพราะเป็นครูโรงเรียนเดียวกัน คำว่าเต็ง มาจากคำว่าอะไร เช่นม้าเต็งหนึ่ง นางงามตัวเต็งเห็นบ่อย ๆ ในหนังสือพิมพ์หัวมีสี ไม่เห็นมันเกี่ยวอะไรกับตาชั่งหรือตาเต็ง มาจากคำว่าเก็ง แบบเก็งข้อสอบหรือเปล่า ที่มันกลายเป็นเต็งไปเพราะคนเขียนไม่เต็มเต็งหรือเปล่า ถามสำเร๊จเสร็จสรรพขยับเม้าส์ ฉุบฉับรีบโหวตทันที่ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 4 มี.ค. 50 21:08:06 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ได้กระทู้อ่านเพลิน ๆ วันหยุด ขอบคุณครับผม จากคุณ : วศินสุข - [ 4 มี.ค. 50 22:09:53 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ชอบ จากคุณ : เอวังด้วยประการฉะนี้ - [ 4 มี.ค. 50 23:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เพลิน สวัสดีคุณเอฯค่ะ จากคุณ : แสนอักษร - [ 4 มี.ค. 50 23:36:45 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาแจมค่ะ และสวัสดีคุณแสนอักษรด้วย หนังสือเรื่องสำนวนไทยของขุนวิจิตรมาตราที่คุณปะหล่องแนะนำนั้น งานสัปดาห์หนังสือปีนี้จะไปหาค่ะ เรื่อง "เต็ง" ตอนที่เขียนถึงเต็มเต็ง ก็นึกถึงเต็งตัวนี้อยู่เหมือนกัน เดาว่ามาจากภาษาหวยที่มีโต๊ดมีเต็ง....แต่ทำไมวงการหวยไปเอาคำว่า "เต็ง" มาจากไหนนั้น....ยังเป็นปริศนาที่รอท่านชายพจน์อยู่ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:47:01 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ว่ากันต่อ =================== น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย ผิดหลักวิทยาศาสตร์ชัดๆ น้ำเดือดๆ เอาปลาลงหม้อสิ ตายแหงๆ แต่จะเลี้ยงปลา (ทั้งปลาตู้และน้องปลา :p) ย่อมต้องใช้น้ำเย็น ปลาน้อยจะว่ายน้ำเล่นอย่างเบิกบาน...ยิ่งถ้าเป็นน้ำใหม่ ก็เข้าตำรา "ปลากระดี่ได้น้ำ" เนื่องจากประโยคนี้เป็นสำนวนค่ะ ตีความตรงไปตรงมาย่อมไม่ได้ความ สำนวน "น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย" มักใช้กับการพูดจาหว่านล้อม น้ำร้อนเปรียบกับการพูดจากระโชกโฮกฮากไม่หวานหู เหยื่อ...เอ๊ย เป้าหมายที่เราต้องการหว่านล้อมย่อมรู้ตัว สร้างกำแพงไม่ยอมตามโดยง่าย ต่างกับใช้น้ำเย็นซึ่งเปรียบกับคำพูดไพเราะเสนาะหู ผู้ฟังย่อมคล้อยตามให้เราจับลงหม้อต้มยำปลาช่อนแต่โดยดี นอนกินบ้านกินเมือง ครั้งแรกที่ได้ยินสำนวนนี้ นึกไปถึงหนุมานตอนแปลงกายใหญ่โต แล้วนำแท่นบรรทมพร้อมพระรามไว้ในปาก แต่ถูกไมยราพบุตรเจ้าบาดาลใช้กล้องปัทมราชเป่ายาจนหนุมานรวมถึงเหล่าทหารลิง สิบแปดมงกุฏหลับใหลสิ้นสติไม่สมประดี แล้วจึงขโมยพระรามเพื่อให้นางพิรากวนต้มกิน (เอ๊ะ พระรามหรือพระถังซัมจั๋งเนี่ย) แต่คิดไป....หนุมานอมแค่พลับพลาที่ประทับเท่านั้น ยังไม่ถึงขั้นกินเมือง "กินเมือง" หมายถึงการครองเมือง ใช้กันทั่วไปในเอกสารโบราณ กระนั้น คำว่านอนกินเมืองแม้จะหมายถึงการนอนสบายราวกับเป็นเจ้าเมือง ยังให้ภาพพจน์ถึงการไม่ใส่ใจกิจการที่พึงดูแล วันๆ เอาแต่นอนไม่รับไม่รู้สิ่งใดอีกด้วย คงเป็นเจ้าเมือง "หลับแล" นกต่อ ได้ยินแต่ "นางนกต่อ" ไม่เคยได้ยินว่า "นายนกต่อ" นกต่อนั้น ต่ออะไร??? คุณวาณิชอธิบายไว้ว่า การต่อนกนั้นหมายถึงเอานกตัวเมียที่ฝึกไว้จนเชื่องใส่กรงเปิดประตูไว้ นางนกต่อจะร้องเรียกหาคู่ เมื่อมีนกหนุ่มไร้เดียงสาโผเข้ากรง ก็ปิดประตูกรงฉับ จับนกได้โดยง่ายไม่ต้องออกแรง (คน) เมื่อมีนกต่อหลอกล่อนกไร้เดียงสา มันต้องมีนกอีกประเภทที่ไม่หลงกลนางนกต่อเอาง่ายๆ ประเภทนี้เรียกว่า นกรู้ หมายถึงคนที่รู้ทันกลลวงล่อหลอก ไม่ติดกรงกับนกต่อ อาจบินเฉี่ยวๆ แล้วโฉบหาย ให้คนจับนกเจ็บใจเล่น จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 16 บิดตะกูด ตะกูดคืออะไร???? เหมือนตะกรุดหรือมะกรูดไหม ???? ตะกูดคือหางเสือเรือ แทนที่จะคัดท้ายให้ดีๆ ไปบิดมันซะ เรือย่อมแล่นไม่ตรงทางบิดซ้ายบิดขวา เปรียบเทียบกับการพูดจาที่ไม่ตรงประเด็น หรือฟังได้ความอย่าง แต่จงใจบิดตะกูดไปตอบซะอีกอย่าง เป็นหนึ่งภาคบังคับของเหล่ามารป่วนกระทู้ทั้งหลาย ปล่อยไก่ สำนวนนี้คงไม่ต้องอธิบายมาก หมายถึงทำเรื่องเปิ่นเทิ่นขายหน้า แต่ทำไมต้องเป็นไก่ ???? สำนวนนี้ พิจารณาได้ว่ามาจากการทำบุญโปรดชีวิตสัตว์เป็นแน่ เรานิยมปล่อยนกปล่อยปลา เพราะสัตว์ทั้งสองรู้ทางแห่งอิสรภาพตน ปล่อยนกก็บินปร๋อขึ้นฟ้า ปล่อยปลาลงน้ำก็แหวกว่ายไม่กลับทางเก่า แต่ปล่อยไก่....ไก่จะไปไหน ก็เดินเต๊าะแต๊ะอยู่แถวนั้น แถมบินก็ไม่สูง ปล่อยไปรังแต่จะถูกข้างบ้านจับไปเจี๋ยนเป็นไก่ไหว้เจ้าเท่านั้น เปิ่นจริงๆ ด้วย ปล่อยไก่เนี่ย ปากหวานก้นเปรี้ยว ปากหวานนั้นพอเดาได้ว่าหาทางชิมรสได้อย่างไร แต่ก้นเปรี้ยวนั้นไม่กล้าคิด ปากหวานก้นเปรี้ยวในที่นี้ไม่ใช่ปากกับก้นของใครที่ไหน แต่หมายถึงน้ำตาลสดที่เก็บไม่ดี ถ้าใครเคยไปอยุธยาหรือเมืองเพชร แม่ค้าพ่อขายจะมีน้ำตาลสดใส่กระบอกไว้ขาย  ถ้าเก็บน้ำตาลไม่ดีล่ะก็ ส่วนบนของปากกระบอกน้ำตาลนี้จะหวานรสดี แต่กินไปๆ ก้นกระบอกกลับเปรี้ยวเพราะน้ำตาลบูดซะอย่างนั้น ปากหวานก้นเปรี้ยวจึงหมายถึงคนที่ท่าทางดี บุคลิกภายนอกหวายเจื้อยชวนเชื่อถือ แต่ใจจริงกลับเปรี้ยวบูดไม่น่าคบหาเลย จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:53:06 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ปากหอยปากปู หอยกับปูมีปากด้วยหรือคะ ปูนั้นเคยพิจารณา มีปากอยู่นิดๆ หอยนั้นปากอยู่ตรงไหนยังไม่รู้ ไม่น่าจะฉอเลาะตอหลดสิ่งใดได้ตามสำนวนปากหอยปากปู คนโบราณเขาถึงนำมาใช้กระทบกระเทียบเปรียบเปรยไงคะว่า เรื่องที่ตนไม่น่าจะพูดได้เต็มปาก เพราะไม่รู้จริง แต่ก็อยากจะพูด ขอให้งุบงิบซุบซิบก็ยังดี เหมือนหอยปูที่ไม่มีปากแต่ก็ขอมีส่วนร่วมกับเขาด้วย สำนวนนี้ใช้กับการนินทาเป็นหลัก เปรียบเทียบกับคนช่างนินทาเอามัน  แต่เชื่อถืออะไรไม่ได้เลย ปั่นหัว สำนวนนี้มาจากการปั่นจิ้งหรีดค่ะ บรรดาเซียนที่นิยมการกลั่นแกล้งจิ้งหรีดจะมีไม้ปั่น ใช้ผมติดกับไม้ ไปปั่นหน้าจิ้งหรีด เจ้าจิ้งหรีดก็ถูกหลอกว่าเป็นศัตรู เข้าฟาดฟันอย่างเอาเป็นเอาตาย ส่วนนักปั่นก็สนุกไปเท่านั้น สำนวนนี้ไม่เกี่ยวข้องอันใดกับการปั่นกระทู้นะคะ ผีซ้ำด้ำพลอย สำนวนนี้เข้าใจที่มาง่ายมากค่ะ แต่ที่เอามาติดไว้เพราะเรามักจะใช้กันว่า ผีซ้ำด้ามพลอย และกลายเป็นคำที่ถูกต้องเสียแล้วด้วย ** มาเพิ่มค่ะ เป็นความคลาดเคลื่อนในการอธิบายค่ะ ที่บอกว่ากลายเป็นคำที่ถูกต้องเสียแล้วหมายถึง ใช้กันซะจนกลายเป็นถูก แต่ในพจนานุกรม ยังใช้ "ผีซ้ำด้ำพลอย" อยู่นะคะ ขออภัยค่ะ ** "ด้ำ" ที่เพี้ยนเป็นด้ามก็หมายถึง ผีเรือน เมื่อได้ความหมายของด้ำดังนี้ สำนวนนี้ก็ชัดเจนค่ะว่า เรื่องร้ายที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าให้สถานการณ์ย่ำแย่ลงไปอีก แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา สำนวนนี้ใช้กันทั้งผู้หญิงและผู้ชาย แปลว่า จะหาชายหญิงถูกชะตาสมเป็นคู่นั้นไม่ยาก แต่ทำไมต้องไม่ไร้เท่าใบพุทรา ฟังแล้วเหมือนต้นพุทรานั้นมีจำนวนใบน้อย ทั้งๆ ที่จริงๆ ใครเคยเห็นต้นพุทรา ก็จะบอกว่า ใบมันก็ไม่มากไม่น้อย เท่าต้นไม้อื่นๆ จะบอกว่า เพราะพุทรามีเสียงที่เข้าจังหวะได้รสได้อารมณ์ดี ก็ออกจะเป็นเหตุผลที่เบาเกินไป คุณวาณิชว่าไว้ดังนี้ค่ะ น่าจะมาจาก "แผ่นดินไม่ใช่เท่าใบพุทรา" ใบพุทรานั้นใบเล็กนิดเดียวค่ะ ถ้าเป็นตามนี้ดูเข้าเค้ากว่าเยอะเลย แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 50 10:41:32 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:57:12 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ฟื้นฝอยหาตะเข็บ แปลว่าหาเรื่องเล็กเรื่องน้อยมาทำเป็นเรื่องใหญ่ให้มันมีเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง เคยคิดว่า เหมือนกับไปรื้อผ้าผ่อนมาดูแนวตะเข็บ แต่ฝอยล่ะ เกี่ยวกับฝอยขัดหม้อหรือไม่ ที่มาของสำนวนนั้นไม่เกี่ยวกับฝอยขัดหม้อ และตะเข็บผ้าด้วย ฝอยในที่นี้แปลว่าขยะ (ขยะมูลฝอย) ส่วนตะเข็บหมายถึงสัตว์ตัวเล็กๆ ตระกูลเดียวกับตะขาบ มักพบในที่สกปรกอย่างกองขยะนี่เอง สำนวนนี้ให้ความหมายที่ลึกซึ้งนะคะ แปลว่า นอกจากจะต้องไปเกี่ยวกับเรื่องไม่น่าอภิรมย์แล้ว สิ่งที่ได้ยังไม่มีประโยชน์ มีแต่โทษ เสียเวลาไปเปล่าๆ โดยแท้ ============================= จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:58:34 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เสียดายค่ะที่หนังสือ ถกสำนวนไทย ของคุณวาณิช จบที่ ม ม้า โดยสำนวนในกลุ่ม ม นั้นไม่มีที่น่าข้องใจแต่ประการใด เป็นสำนวนทั่วไป เข้าใจได้ทันที จึงไม่ขอนำมาลง ณ ที่นี้ ส่วนที่เหลือถึง ฮ นกฮูกตาโตนั้น คุณวาณิชบอกว่าไปต่อเล่มสาม แต่เท่าที่เสาะแสวงหามานาน ไม่เคยพบเล่มสามของหนังสือเล่มนี้เลย ทั้งที่ห้องสมุดด้วย น่าเสียดายจริงๆ ครั้นจะด้นต่อซะเองก็ด้อยภูมิซะด้วย ท่านผู้รู้ท่านใดมี "สำนวนสันนิษฐาน" เด็ดๆ ขอเชิญค่ะ :) จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 4 มี.ค. 50 23:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชอบจริงๆ กับคำอธิบายปากหอยปากปู เพิ่งรู้ว่า  ผีซ้ำด้ำพลอย  กลายเป็น  ผีซ้ำด้ามพลอยไปเสียแล้ว ว่าแต่สำนวน   แผ่นดินไม่ใช่เท่าใบพุทรา  นี่  ผมเปลี่ยนมาเป็น... แผ่นดินไม่ใช่เท่าใบมะขาม แทน  จะมีใครด่าว่าไหมนี่ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 5 มี.ค. 50 00:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 มาโหวต สงสัยมานานคำนึงคือ"คาหลังคาเขา"นี่ล่ะ คิดไม่ออกจริงๆ จากคุณ : สู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่ - [ 5 มี.ค. 50 00:19:04 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สำนวนนี้ที่จริงคือ "คาหนังคาเขา" เนื่องมาจากพวกที่ชอบลักลอบขโมยว้ว ขโมยควายของชาวบ้าน พอจูงออกมาได้ระยะทางไกลพอประมาณคาดว่าเจ้าของจะตามมาไม่พบ ก็ไปหาสุมทุมพุ่มไม้ที่ลับตาคนจัดการฆ่าว้วหรือฆ่าควายเสีย แล้วถลกหนังแล่เนื้อออกเพื่อนำไปขาย ในระหว่างนั้น ถ้าเจ้าของตามไปพบเข้า ก็ไม่มีเรื่องแก้ตัวเพราะมีหนังและเขาเป็นหลักฐานพยานอยู่ เจ้าของเขาย่อมจำลักษณะเขาและสีของหนังได้ เรียกว่าคาหนังคาเขา แต่ถ้าไม่มีเขาและหนังเป็นวัตถุพยาน ก็ปรักปรำไม่ได้เต็มที่ สมมุติว่าเจ้าของพบคนหาบเนื้อมาตามทาง เจ้าของย่อมไม่รู้ว่าเนื้อที่หาบมานั้นเป็นเนื้อของวัวหรือควายของตนเองหรือไม่ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 01:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อยากรู้ว่ากินปูนร้อนท้อง มีที่มายังไงครับ จากคุณ : ชาเขียว - [ 5 มี.ค. 50 01:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ทู้นี้ดี ทำให้รู้ที่มาที่ไปของคำและสำนวน Vote ให้ จากคุณ : PatPDX - [ 5 มี.ค. 50 01:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มีคำภาษาไทยอยู่คำหนึ่ง ใช้เป็น adverb ขยายคำกริยาได้มากมายมีประโชน์มาก  คำนั้นคือ ขี้ เช่น ขี้เกียจ ขี้คร้าน ขี้โม้ ขี้คุย ขี้เหนียว ขี้โอ่ ขี้อวด ขี้ฉ้อ ขี้โกง ขี้หลอก ขี้แสนงอน ขี้น้อยใจ ขี้ร้องไห้ ขี้เล่น คำว่าขี้มีอยู่ในสำนวนไทยเป็นอันมากเช่นเดียวกัน เช่น "กำขี้ดีกว่ากำตด" สำนวนนี้แม้แต่คนไทยก็เข้าใจได้ยาก แต่ถ้าแปลเป็นสำนวนฝรั่งว่า "Something is better than nothing". ก็อาจจะเข้าใจได้ง่ายกว่าแปลว่า "Better get hold of a shit than a fart". จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 02:36:11 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มีสำนวนที่แสดงถึงความขี้เหนียวเห็นแก่ตัวสำนวนหนึ่ง   คือ "ขี้ก็ไม่ให้หมากิน"   หมายความถึงคนที่ขี้เหนียวเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ขนาดของที่ตัวเองไม่ต้องการจะทิ้งอยู่แล้ว ยังไม่ยอมให้คนอื่นที่จะเอาไปใช้ประโยชน์ได้   สำนวนนี้ถ้าแปลเป็นภาษาฝรั่งตรง ๆ ว่า "He is so stingy that he would not let his dog eat his shit". ฝรั่งนอกจากครูแอนดรูบิกส์คงจะไม่มีใครเข้าใจ เพราะหมาฝรั่งกินอาหารกระป๋อง ถ้าจำเป็นจะต้องแปลเป็นภาษาฝรั่งอาจถูไถแปลว่า "He is a stingy bastard". ได้กระมัง แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 50 02:44:41 จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 02:40:44 ]

ความคิดเห็นที่ 27 อีกสำนวนหนึ่งคือ "กินบนเรือน ขี้บนหลังคา" แปลว่าคนอกตัญญูไม่รู้คุณคน หมายถึงคนที่ได้รับความกรุณา เลี้ยงดูมาอย่างดี แต่กลับเนรคุณก่อเรื่องยุ่งยากให้ผู้มีพระคุณ เวลาแปลเป็นภาษาฝรั่งห้ามแปลว่า "He eats inside the house but shits on the roof". เป็นอันขาด จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 02:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มีอีกสำนวนหนึ่งเกี่ยวกับขี้คือ "ขี้ใหม่หมาหอม" หมายความถึงคนที่ขี้เห่อชอบของใหม่ สำนวนนี้ห้ามแปลเป็นภาษาฝรั่งว่า "New shit smells good to the dog".   เพราะฝรั่งจะไม่มีทางเข้าใจ สำนวนนี้ ครูที่เคยสอนภาษาอังกฤษตอนเรียนมัธยมท่านหนึ่งสอนไว้ให้แปลว่า "New broom sweeps good". นี่ก็หลายสิบปีมาแล้ว ท่านผู้สอนก็เสียชีวิตไปแล้ว แต่ยังจำได้และรำลึกถึงพระคุณของท่านมาจนถึงบัดนี้ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 02:52:08 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เพิ่งนึกขึ้นได้อีกสำนวนหนึ่ง จำเอามาจากคุณ Tansy เพราะแกชอบพูดบ่อย ๆ คือ "ขี้เต็มกางเกง" ใครเจอคุณ Tansy ช่วยตามมาอธิบายแล้วแปลเป็นภาษาอังกฤษให้ด้วย จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 02:53:51 ]

ความคิดเห็นที่ 30 vote จากคุณ : วัชรานนท์ - [ 5 มี.ค. 50 02:57:35 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ว่าจะเข้านอนแล้วเชียว นึกอะไรขึ้นมาได้ต้องเอามาเขียนไว้ก่อน ตื่น มาพรุ่งนี้เดี๋ยวลืม "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" บางเวอร์ชั่นก็บอกว่า "เห็นช้างขี้อย่าขี้ตามช้าง" ไม่รู้อันไหนถูก หรือถูกทั้งสองอัน สำนวนนี้มีเอาไว้เตือนใจตนเองว่าจะทำอะไรให้รู้จักประมาณคน เห็น คนใหญ่คนโต เศรษฐีคนมีเงินทำอะไรก็อย่าไปทำตาม เปรียบเสมือนขี้ ช้างย่อมก้อนโต กว่าอุจจาระคน ทำอย่างไรก็ขี้ก้อนโตให้เท่าช้างไม่ได้ ส่วนเวอร์ชั่นภาษาอังกฤษยังนึกไม่ออก ใครนึกได้ช่วยบอกมาด้วย จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 04:34:10 ]

ความคิดเห็นที่ 32 "อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้" สำนวนนี้บางคนพูดว่า "อย่าเอาไม้สั้นไปดันขี้" ความหมายก็คล้าย ๆ กัน แต่สำนวนเก่าแก่ออริจินัลโบราณจริง ๆ คือ "อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้" อธิบายคือ การเอาไม้สั้นไปรันหรือไปดันขี้ อาจจะมาเปรอะเปื้อนมือ ร่างกาย หรือเสื้อผ้าได้ ไม่สมควรทำอย่างยิ่ง ไม่ว่าไม้สั้นหรือไม้ยาวก็ไม่ควร ขี้ในที่นี้หมายถึง คนพาลสันดานหยาบช้า ทางที่ดีควรหลีกให้ห่างเข้าไว้ ไม่ควรไปข้องแวะคบค้าสมาคมเสวนาด้วยเป็นอันขาด ถ้าไม่อยากให้อัปมงคลมาแปดเปื้อนตน เวอร์ชั่นภาษาอังกฤษข้างล่างนี่มีครูมาเข้า แปลได้เข้าท่ามีสัมผ้สนอกสัมผัสใน "Don't poke a short pole into a shit hole". ตอนเด็ก ๆ ครูเคยให้ท่องโคลงภาษาฝรั่งเกี่ยวกับเรื่องนกแก้ว จำอยู่ได้บรรทัดก่อนสุดท้ายว่า "Always shun bad company". แต่ความหมายยังไม่สะใจเท่ากับที่แปลจากภาษาไทย ข้างบน จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 04:40:01 ]

ความคิดเห็นที่ 33 นึกขึ้นมาได้อีกแล้ว เอามาเขียนไว้ก่อน เดี๋ยวลืม "อย่าเห็นขี้ดีกว่าไส้" ความหมายก็คือ อย่าไปเก็นคนอื่นดีกว่าญาคิพี่น้องตัวเอง ภาษาฝรั่งเขาว่า "Blood is thicker than water" จากคุณ : * (nickycharles) - [ 5 มี.ค. 50 05:05:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 มา(ค่อยๆ)อ่าน  ขอบคุณจขกท (แสนคิดถึง) บทความของคุณวานิชนี่เคยติดตามอ่านในสตรีสาร สัปดาห์ไหนแกหายไปเรางี้เหงาไปเลยเชียวแหละ จากคุณ : akebi1 - [ 5 มี.ค. 50 06:40:19 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เรื่องขี้ๆอีกอย่าง Shit Happens = แล้วแต่ดวง จากคุณ : PatPDX - [ 5 มี.ค. 50 09:55:08 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ฝากสำนวน "เฒ่าหัวงู" ด้วยครับ ทำไมต้อง หัวงู จากคุณ : pbns - [ 5 มี.ค. 50 10:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ก่อนจะมาแจมกับความคิดเห็นอื่นๆ ขอตอบคุณเข้ามาจอบก่อนค่ะ โดนใจ ชอบๆ นั่นสิ ที่ใช้ใบพุทราก็คงเพราะฟังดูรื่นหูสมกับการนำมาใช้ประกอบสำนวน ถ้าจะวัดเอาขนาดใบ ถ้าอย่างนั้น ใบกระถินคงเล็กกว่าอีก เอ๊ะ...แต่ "แผ่นดินไม่ใช่เท่าใบกระถิน" ซุ่มเสียงฟังดูใช้ได้นะคะ จะแผ่นดินไม่ใช่เท่าใบมะขาม หรือ แผ่นดินไม่ใช่เท่าใบกระถิน คุณเข้ามาจอบคงไม่สงวนลิขสิทธิ์แต่ประการใด ======================= เรื่องกินปูนร้อนท้องของคุณชาเขียว สำนวนนี้ว่ากันเต็มๆ คือ "ตุ๊กแกกินปูนร้อนท้อง" มาจากนิทานหรือเรื่องเล่าต่อๆ กันมาอย่างไรนั้น พิสูจน์ไม่ได้ แต่เรื่องที่ว่านี้คือ ตุ๊กแกแอบกินปูนสำหรับใช้กินคู่กับหมาก คุณสมบัติของปูนชนิดนี้ คงมีความเผ็ดร้อนในตัว กินเข้าไปก็ร้อง "ตั๊บแก่ๆๆๆๆ" ไม่ยอมหยุด ฟ้องผู้คนว่าตัวเองแอบกินของร้อนเข้าไป (และบอกด้วยว่า มันแก่แล้ว) ป.ล. เคยรอรถแอร์ ปอ. 8 ที่ท่าราชวรดิษฐ์ มองขึ้นไปบนต้นมะขามประจำป้ายรถ  (ไม่รู้ว่าต้นเดียวกับคุณเข้ามาจอบหรือเปล่า) เห็นมหาตุ๊กแกยักษ์เกาะต้นไว้ ข้าพเจ้ารีบถอยกรูดมายืนในที่โล่งแจ้งทันที ชีวิตนี้ไม่เคยกลัวอะไรเท่ากลัวตุ๊กแกกระโดดเกาะ เขียนๆ ไปนี่ยังขนลุกเลยค่ะ บรื๋ออออออออววววววว จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 5 มี.ค. 50 11:00:22 ]

ความคิดเห็นที่ 38 พูดถึง gecko ไอ้ตัวนี้ ดังแล้วน่ารักมากด้วย อิอิ จากคุณ : PatPDX - [ 5 มี.ค. 50 11:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ขอมาร่วมแจมเรื่องสำนวนไทยกับคุณ AntiSpam ด้วยคน ติดหลังแห คุณฉันทิชย์ กระแสสินธุ์ ปราชญ์ทางด้านภาษาไทยผู้หนึ่ง ได้เขียนไว้ว่า ติดหลังแห กลายเป็น ติดร่างแห ก็เพราะผู้พูดไม่เคยเห็นเคยรู้ถึงการทอดแหของชาวประมง ชาวประมงทอดแหเพื่อเอาปลาที่ติดอยู่ภายในจอมแหครอบเท่านั้น แต่ยังมีปลาเจ้ากรรม อยู่นอกอาณาเขตที่แหครอบว่ายเข้าไปชน หลังแห ที่ชาวประมงกำลังดึงขึ้นมา เลยพลอยติดหลังแห ขึ้นไปกับปลาในแหครอบด้วย เป็นสำนวนที่กล่าวถึงผู้ที่มิได้ทำความผิด แต่พลอยถูกจับไปกับเขาผู้ทำความผิด จึงพูดว่า พลอยติดหลังแห ไปกับเขา ไม่ใช่ ติดร่างแห ดังเช่นที่พูดและเข้าใจกัน (ผิดๆ) ขมิ้นกับปูน ม.ล.ศรีฟ้า ลดาวัลย์ หรือ จุลลดา ภักดีภูมินทร์ ผู้เขียนนวนิยายเรื่อง ขมิ้นกับปูน อธิบายไว้ว่า ทำไมจึงไม่ถูกกัน เพราะขมิ้นมันกัดพิษปูน ถ้าต่างพวกต่างอยู่ ก็ไม่เกิดอะไรขึ้น แต่พอเอามาผสมกันเข้า ขมิ้นมันกัดพิษปูน แปรสีจากสีปูนขาวและขมิ้น เป็นสีแดงๆ ชมพู ที่นิยมเรียกกันว่า ‘สีปูน’ คือสีปูนกินกับหมากพลู (สีปูนผสมขมิ้นนี้เห็นมีแต่ในเมืองไทย แขกในอินเดียกินหมากก็เห็นใช้ปูนขาว ผสมเครื่องเทศจุกๆ จิกๆ และหมากแห้งๆ พับเป็นคำ ที่ชวา และพม่าบางถิ่นก็เห็นรับประทานหมากพลูบ้ายปูนขาวๆ แบบเดียวกับอินเดีย) สำนวน ‘ขมิ้นกับปูน’ จึงหมายถึงเข้ากันไม่ได้ ต่างคนหรือต่างพวกก็ต่างอยู่ เอามาผสมกันเข้าเมื่อใด เป็น ‘เกิดเรื่อง’ เหมือนเอาขมิ้นกับปูนมาผสมกัน ถอยหลังเข้าคลอง สำนวนนี้หมายถึงการหวนกลับไปทำในสิ่งที่พ้นสมัยสิ่งที่เขาเลิกทำกันมานานแล้ว  คนทั่วไปเข้าใจว่ามาจากการเดินถอยหลังเข้าไปหาคลอง แต่จริง ๆ แล้วหาใช่ไม่ ต้องนึกถึงสมัยก่อนเราใช้คลองการแทนถนน ใช้เรือแทนรถ ฉะนั้น ถอยหลังเข้าคลอง คือ การพายเรือถอยหลังเข้าไปในคลองนั่นเอง ซึ่งไม่คล่องเหมือนการพายหันหน้าเข้าหาคลอง ถอยหลังเข้าคลอง  เป็นทั้งสำนวน ทำนองเพลงไทยเดิม และชื่อกลบท คือ "กลอักษรถอยหลังเข้าคลอง" พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราชนิพนธ์เพื่อจารึกไว้ในวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (วัดโพธิ์) เพื่อเป็นตัวอย่างวิธีการแต่งเพลงยาวกลบทต่าง ๆ  ดังนี้ “เจ้างามสรรพสารพางค์ดังนางสวรรค์ โพยมแจ่มจันทร์เปรียบพอเทียบกัน ทันเทียบพอเปรียบจันทร์แจ่มโพยม โฉมชะอ้อนอับสรทรงเสมอสมร สมรเสมอทรงอับสรชะอ้อนโฉม ฤทัยโทรมโทรมเศร้าประเล้าประโลม ประโลมประเล้าเศร้าโทรมโทรมฤทัย ไฉนคิดจะชิดชมสนมสนิท สนิทสนมชมชิดจะคิดไฉน เจียมใจด้วยไหวหวั่นเพราะพรั่นใจ ใจพรั่นเพราะหวั่นไหวด้วยใจเจียม เสงี่ยมงามเจ้าแจ้งประจักษ์รักแถลง แถลงรักประจักษ์แจ้งเจ้างามเสงี่ยม ร้อนอกเรียมเทียมระทมกรมเกรียม เกรียมกรมระทมเทียมเรียมอกร้อน ............................................ ...(ต่อไปยาวอีกหลายบท).......... .................................... สองภิรมย์ชมชิดประสิทธิสม สมประสิทธิชิดชมภิรมย์สอง กลบทบรรยายย้ายทำนอง ชื่อถอยหลังเข้าคลองตรองอ่านเอย" จากบทความเรื่อง ถ้อยคำสำนวนไทย โดย  จุลลดา ภักดีภูมินทร์ นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ ๒๕๔๓ ปีที่  ๔๙ ประจำวัน  อังคาร ที่  ๑๕ กรกฎาคม  ๒๕๔๖ แก้ไขเมื่อ 05 มี.ค. 50 11:58:14 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 5 มี.ค. 50 11:56:37 ]

ความคิดเห็นที่ 40 โอ้..ดีและสนุกเหลือหลาย ขอบคุณมากๆ ค่ะ โหวตและเก็บเข้าคลัง จากคุณ : สาวไกด์ใจซื่อ - [ 5 มี.ค. 50 13:09:56 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เรียน ความคิดเห็นที่ 36 ความหมายของ "เฒ่าหัวงู"  อันนี้ผมก็สงสัยมานานเหมือนกันครับ ว่าที่จริงแล้วมันเปรียบกับอะไร ผู้หลักผู้ใหญ่และคุณครูต่างสอนว่า เพราะงูเป็นสัตว์มีพิษ ที่เจ้าเล่ห์  หลอกล่อเหยื่อเก่ง  เมื่อคนแก่แสดงความเจ้าชู้ออกมา ก็เปรียบเหมือนมีหัวเป็นงู ผมว่ามันดูแปลก ๆ กับคำสอนของครูน่ะครับ ลองคิดไปคิดมา  ขึ้นชื่อว่างู นี่มัน ต้องเลื้อยนี่นา  แล้วงูมันก็อยู่ในรู... ผมก็เลยมาถึงบางอ้อว่า ความหมายของ เฒ่าหัวงูนี้  น่าจะมาจาก พวกที่เห็น "รู" เป็นไม่ได้ ต้องหาเลื้อยลงรูตลอดเวลา ความหมายน่าเกลียดดีครับ มิน่า ผู้ใหญ่เขาจึงต้องเฉไฉบอกเด็กไปว่าอย่างอื่น ผิดถูกอย่างไร ช่วยติติงด้วยครับ เพราะผมเดาเอาจากความคิดของผมเองครับ จากคุณ : {``-_-}{-``-}{-_-``} - [ 5 มี.ค. 50 15:34:23 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณ PatPDX เจ้าญาติตุ๊กแกตัวนี้น่ารักจริงๆ แหละ แต่เจ้าตุ๊กแกตัวจริงนี่ แค่คิดยังขนลุก คุณธันวานาวิน, คุณวศินสุข, คุณเอวังด้วยประการฉะนี้, คุณแสนอักษร, คุณสู่ฝัน...อันยิ่งใหญ่, คุณวัชรานนท์คนอุดรฯ, คุณ akebi1 (เป็นแฟนหนังสือด้วยวาณิชด้วย!) และคุณสาวไกด์ใจซื่อ ขอบคุณที่แวะมาเยี่ยมค่ะ (ถ้าตกหล่นท่านใดไป ก็ขออภัยนะคะ) คุณ * และคุณเพ็ญฯ ขอบคุณหลายๆ ที่หยิบสำนวนมาเล่าให้ฟัง รวมถึง "กลอักษรถอยหลังเข้าคลอง" ด้วยค่ะ ตอบคุณ pbns และคุณ {``-_-}{-``-}{-_-``} เรื่องเฒ่าหัวงู คุณวาณิชว่าไว้สอดคล้องกับที่คุณ {``-_-}{-``-}{-_-``} ว่ามาค่ะ คุณวาณิชอธิบายไว้ค่ะว่า สำนวนนี้น่าจะมีที่มาจากการล้อคำว่า "เฒ่าหัวหงอก" แต่เมื่อคิดเล่ห์กระเท่หวังเคลมเด็ก ก็เหมือนมีงูอยู่บนหัว เพราะงูนั้นร้ายนัก คล้ายๆ กับที่คุณ {``-_-}{-``-}{-_-``} ได้รับฟังมานั่นแหละ...ส่วนข้อสันนิษฐานของคุณนั้น ....ต้องรอเหล่า "ตัวเป็นขนด" มายืนยัน :p ที่สำคัญ...."งู" นั้นขอบเขมือบ (อี) "หนู" ป.ล. แต่ก็มีบ้างที่เกิดความผิดพลาดทางเทคนิค....เป็นหนูกินงู จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 5 มี.ค. 50 18:57:39 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มาจากกระทู้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5195587/K5195587.html  พอดีมีคนแนะนำมา ขอถามหน่อยแล้วกันนะครับ "ลางเนื้อชอบลางยา" ทำไมต้องเนื้อกับยาด้วยครับ เจอคำถามนี้มา ผมเองก็ไม่รู้จะถามใครดี เพราะคนยิงคำถามก็สงสัยว่าทำไมต้องกล่าวถึง "เนื้อ" กับ "ยา" ด้วย ลองหาดูในกูเกิ้ลก็ไม่ค่อยกระจ่างนัก ใครทราบที่มาที่ไปของ "ลางเนื้อชอบลางยา" รบกวนอธิบายหน่อยนะครับ ขอบคุณมากๆ ครับ จากคุณ : katana - [ 6 มี.ค. 50 01:17:45 ]

ความคิดเห็นที่ 44 เป็นกระทู้ที่มีประโยชน์มาก ๆ เลยนะคะ ทำให้รู้อะไรที่ไม่เคยรู้ (หรือไม่เคยแม้แต่จะสงสัย เพราะได้ยินก็เข้าใจไปเลยอ่ะค่ะ) vote ค่ะ จากคุณ : หมอ-ยา-ผู้-น่า-รัก - [ 6 มี.ค. 50 07:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ลางเนื้อชอบลางยา  ความหมายคือ ๑. ยาอย่างเดียวกันใช้ได้กับคนหนึ่งแต่ไม่ถูกกับอีกคนหนึ่ง ๒. ของสิ่งเดียวกัน คนหนึ่งชอบแต่อีกคนหนึ่งไม่ชอบ ลาง   มีความหมายว่า ต่าง, แต่ละ, บาง ชอบ  มีความหมายว่า พอใจ, ถูกต้อง,เหมาะ, ถูกใจ, ถูกกัน หากเปลี่ยน ลาง เป็น บาง จะได้ว่า บางเนื้อชอบบางยา  แปลตามตัวอักษรคือ เนื้อบางอย่างเหมาะกับบางคน แต่อาจเป็นยา (พิษ) สำหรับบางคน ยกตัวอย่างเช่น กุ้งอาจจะเป็นอาหารที่อร่อยสำหรับบางคน แต่ถ้าให้คนที่แพ้กุ้งรับประทานอาจเป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 มี.ค. 50 08:17:04 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เห็นมีแต่สำนวนที่อยู่ในกลุ่มเนกาทีฟแทบทั้งนั้น เลยขอมาแจมด้วยคน สำนวนเกี่ยวกับปาก ที่คล้ายคลึงกับ ปากหวานก้นเปรี้ยว ใน คห.๑๖ ก็น่าจะเช่น ปากปราศรัยน้ำใจเชือดคอ  ซึ่งก็ไปคล้ายกับ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก ซะอีก ซึ้งกับคำเหล่านี้แล้วครับ เพราะเจอมาเยอะ ไม่เลือกว่าจากชนชั้นไหน  บางทียังไม่ทันสุกงอม ก็อาจถึงกับต้อง สาวไส้ให้กากิน เฮ้อ...... จากคุณ : NickyNick - [ 6 มี.ค. 50 09:22:01 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จขกท อยู่หนายยยย ฮ่าฮ่าฮ่า จากคุณ : PatPDX - [ 6 มี.ค. 50 09:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เพราะรักดอก จึงหยอกเล่น เอ้า..เอาใหม่ No gecko this time. จากคุณ : PatPDX - [ 6 มี.ค. 50 09:52:19 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดด ดีนะที่มีสตาร์บั๊คมาปลอบใจ อย่างนี้เข้าข่าย "ตบหัวแล้วลูบหลัง" นี่หว่า จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 10:10:06 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถือโอกาสถามต่อเลยนะครับ สุ่มสี่สุ่มห้า สุ่มที่ว่าหมายถึงสุ่มไก่หรือสุ่มปลา ทำไมต้องสี่กับห้า สุ่มสองสุ่มสามไม่ได้เหรอ จากคุณ : หยองแหยง - [ 6 มี.ค. 50 10:25:04 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เอ่อที่อยากถามเพราะคาใจมานานแล้วก็คือคำว่า "ก็ใช่เหตุ" คนไทยมักจะพูดประโยคอะไรยาวๆมาข้างหน้า แล้วเว้นวรรค แล้วพูดว่า "ก็ใช่เหตุ"  ซึ่งคนพูดหมายถึง "ก็ไม่ใช่เหตุ" ..........อยากรู้ว่าการใช้ภาษาแบบนี้ ทำไมสื่อความหมายตรงกันข้ามกันไปได้? เมื่อกี้ลองเข้าไปใน google แล้วค้นคำว่า "ก็ใช่เหตุ" หาเจอเพียบเลย ถ้าใครจะอธิบายโดยยกตัวอย่างก็ไปหาประโยคภาษาไทยพวกนี้จาก google ได้เลย จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 6 มี.ค. 50 11:20:06 ]

ความคิดเห็นที่ 52 อ้า ตรรกะ ตรรกะ ....คุณ จขกท .....กินตุ๊กแก (เขาว่า)  บำรุงร่างกายมากกว่ากินกาแฟนะ จะบอกให้ .... เราเห็นกาแฟแล้วกรี๊ดๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แต่เห็นตุ๊กแกแล้วเฉยๆ  ถ้าใครเอาตุ๊กแกดองยามาให้ก็คงจะกินอ่ะ ......แต่ใครเอาการแฟมาให้ก็ไม่กิน ....อิๆๆๆๆๆ..... แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 11:25:35 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 6 มี.ค. 50 11:24:30 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ที่คุณ NickyNick ทักว่า มีแต่สำนวนเชิงร้ายทั้งนั้น ก็เห็นจริง ด้วยว่าเงื่อนไขในการเลือกสำนวนมาถกในกระทู้นี้ล้วนเป็นสำนวนใกล้ตัว และมีที่มาที่น่าสนใจค่ะ สำนวนที่พูดในทางดีนั้น เท่าที่ดู จะเทียบกันตรงๆ เช่น น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ปิดทองหลังพระ จะว่าไป อาจเป็นเพราะการว่าร้ายนั้นต้องมีชั้นเชิง มุกก้านต้องแพรวพราวกว่าการว่าดี ทั้งเพื่อลดน้ำหนักของการว่าร้าย (หรือเพิ่มก็ไม่รู้)   ศิลปะแห่งการว่าร้าย จึงต้องมีอุปมาอุปมัยเปรียบเทียบยอกย้อนเช่นนี้แล จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 11:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คำว่า "ใช่" ในภาษาไทย บางกรณีอาจหมายความว่า "ไม่ใช่" ก็ได้ ยกตัวอย่างเช่น คนเห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนเห็นคนใช่คนใช่คนไม่ คนเกิดมาเป็นคนทุกคนไป จะจนดีผู้ดีไพร่ไม่พ้นคน ผู้แต่งน่าจะเป็นคุณเนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 มี.ค. 50 11:49:26 ]

ความคิดเห็นที่ 55 คุณหยองแหยง เรื่องสุ่มสี่สุ่มห้า ตอบได้แบบเดาๆ ไม่มีเอกสารอ้างอิงในมือ (ใครมีที่มาที่น่าเชื่อถือได้ กรุณาเอามาเผยแพร่ด้วยเทิ้ด จักเป็นพระคุณ) คิดว่าสุ่มนั้นไม่ใช่สุ่มไก่ แต่เป็นการเดาสุ่ม หรือ สุ่มตรวจมากกว่า คำว่าสุ่มสี่สุ่มห้า น่าจะมาจากการคิวซีในสมัยก่อน เปรียบเปรยถึงผู้ตรวจที่ใช้วิธีมักง่าย คัดแบบสุ่มๆ มากองละสี่ห้าชิ้นมาพิจารณา แล้วก็บอกว่าของทั้งกองนั้นดีแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงก็ใช่ว่ารับรองได้ว่าของทั้งกองนั้นดีเสียเมื่อไหร่ สุ่มสี่สุ่มห้าจึงเป็นการหาคำตอบแบบมั่วๆ ไม่รอบคอบ รับรองอะไรไม่ได้เลย ส่วนที่ว่าทำไมไม่เป็นสองหรือสาม....ธรรมดาของสำนวนนั้น เสียงคำและจังหวะการวางคำมีส่วนอย่างมากที่สำนวนนั้นจะติดหรือไม่ติดหูด้วย การบอกว่า สุ่มสองสุ่มสาม กับ สุ่มสี่สุ่มห้า...สุ่มสี่สุ่มห้าได้อารมณ์มั่วๆ มึนๆ...สุ่มบ้าสุ่มบอกว่าแยะ ป.ล. คนตอบก็สุ่มสี่สุ่มห้าตอบเหมือนกัน จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 11:50:43 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณคุณอันตราคนีมาก ช่างวิเคราะห์ได้เนียนจริงๆ การว่าร้ายนี้ต้องมีชั้นเชิงเยอะนะ  มุขก้านก็แพรวพราว อย่างนี้ต้องขอติดตามตลอดแล้วล่ะ จากคุณ : NickyNick - [ 6 มี.ค. 50 12:01:28 ]

ความคิดเห็นที่ 57 สุ่มสี่สุ่มห้า พจนานุกรมให้ความหมายว่า ไม่ดูหน้าดูหลัง  น่าจะเกี่ยวเนื่องกับการเดิน น่าจะมีที่มาอย่างเดียวกับ คำว่า "เดาสุ่ม" อันหมายถึงการจับปลาด้วยเครื่องมือที่เรียกว่า "สุ่ม"  เดาไปเรื่อย ๆ จนพบตัวปลานั่นแหละ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 มี.ค. 50 12:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 58 โหวตๆๆครับ จากคุณ : เด็กสันดานเสียแห่งโลกใบนี้ - [ 6 มี.ค. 50 12:28:53 ]

ความคิดเห็นที่ 59 คุณแท่นสี ตุ๊กแกนั้นคงเป็นยาดีผีไม่ต้องบอกแน่ๆ เพราะมีการทำฟาร์มตุ๊กแกขายอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เคยดูสารดดี (ว่าแต่เกลียดตุ๊กแกแล้วจะดูทำไมเนี่ย) บ้านที่เขาเลี้ยงตุ๊กแกขาย ก็มีสัตว์จตุบาทสัญชาตินี้วิ่งไปมาร่าเริงยิ่ง ทั้งหลังคา ขื่อคาน แลเสาจรดพื้น ล้วนมีสัตว์ตัวน้อยเกาะเลื้อยลายพร้อยอยู่ทั่ว ราวกับเป็นศิลปะยุคไบแซนไทมิมีผิด ที่แน่ๆ หากข้าพเจ้าไปอยู่ในจังหวัดอันเป็นที่ตั้งของบ้านหลังนี้ ข้าพเจ้าคงขออยู่ให้ห่างสิบกิโลเมตรเป็นอย่างน้อย แต่ไม่แน่ๆ อยู่ๆ ไป เราอาจจะเป็นพวกเปิบพิสดาร จับมากินซะเองก็ได้ ใครจะรู้ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 12:54:21 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณ คุณเพ็ญชมพู มากๆ เลยครับ ^_^ จากคุณ : katana - [ 6 มี.ค. 50 12:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องคำว่า ก็ใช่เหตุ เราไม่ค่อยใช้คำนี้ นึกไม่ออกเว่าเคยอรรถาธิบายความด้วยคำนี้หรือไม่ ถ้าเราจะพูด เราคงใช้ หาใช่เหตุไม่ เคยใช้แต่ "ก็ใช่ที่" เหตุที่ทำให้ "ก็ใช่เหตุ" สื่อความหมายเป็นเชิงปฏิเสธ คือบอกว่า สิ่งที่กล่าวมาข้างหน้าวลีนี้ไม่ควรนับเป็นเหตุเป็นผล ก็อย่างที่คุณเพ็ญชมพูได้ยกมาแล้ว ว่าหลายครั้งหลายครา คำว่า "ใช่" แปลว่า "ไม่" เช่น ถ้าบอกว่า "แม้ตุ๊กแกเป็นยา ก็ใช่เหตุที่แอนไทสแปมควรกินวันละตัวเป็นยาบำรุง (ไม่)" มันก็คงได้ความกระชับรัดกุมดีแล้ว โดยไม่ต้องอาศัยคำว่า "ไม่" ตามหลังแต่ประการใด กลั้นใจพูดเรื่องตุ๊กแกต่อเนื่องกันได้ขนาดนี้ นับว่าเป็นเรื่องอัศจรรย์พันลึกสำหรับข้าพเจ้าอยู่ใช่น้อย จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 13:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62 #54 ผู้แต่งน่าจะเป็น พรานบูรพ์ นะครับ เท่าที่จำได้ มีสองบทดังนี้ คนเห็นคนเป็นคนนั่นแหละคน คนเห็นคนใช่คนใช่คนไม่ กำเนิดคนเป็นคนทุกคนไป จนหรือมีผู้ดีไพร่ไม่พ้นคน เกิดหนหนึ่งตายหนหนึ่งพึงนึกไว้ ใช่เกิดใหม่ตายใหม่ได้หลายหน อย่าโอหังอย่างจะดีวิเศษล้น ก็แค่คนคนหนึ่งเท่านั้นเอง นายเลียง ไชยกาล สส.ยุคสงครามโลกใช้กลอนของพรานบูรพ์สองบทนี้อภิปรายโต้ตอบจอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีขณะนั้น เมื่อกำลังเสนอร่างพรบ.พุทธมณฑลบุรี จะว่าเรื่องตุ๊กแก แถวอุดรฯหนองคาย บ้านผม จับตุ๊กแกไปตากแห้งส่งเมืองจีน ได้ข่าวว่ารับซื้อกันกิโลกรัมละ 500 ส่งออกกิโลละ 1200 เอาไปเป็นยาโป๊ว มีทีมมาขอจับตุ๊กแกตามบ้านให้ค่าเหมาจับบ้านละหลายร้อย คราวพระเทพฯเสด็จฯจีนที่ฉงชิ่ง(จุงกิง) มณฑลเสฉวนก็เคยเสวยพระกระยาหารค่ำ ที่มีเนื้อหมาดำและตุ๊กแกประกอบด้วย พระองค์ทรงวินิจฉัยว่าเหมือนไก่ แต่คาวกว่า ไม่ทราบว่าจะเป็นตุ๊กแกแถวอุดรฯส่งไปให้เสวยถึงเมืองจีนหรือเปล่า ที่แน่ๆแถวอุดร ตุ๊กแกหายสาบสูญจากบ้านคนไปเลย แก้หลายครั้งเพราะสืบหากลอนส่วนที่ถูกที่สุดครับ แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 14:12:49 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 14:05:47 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 14:03:10 แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 14:02:41 จากคุณ : โกฏิดารา - [ 6 มี.ค. 50 13:58:02 ]

ความคิดเห็นที่ 63 มาช่วยเพิ่มเติมเรื่องที่พอมีความรู้อยู่บ้างค่ะ สำนวนแทรกเป็นยาดำนั้นนะคะ ยาดำ ก็คือยางสีเหลืองของว่านหางจระเข้นี่เองล่ะค่ะ มีลักษณะเป็นก้อนสีดำๆแข็งๆหน่อย  มีฤทธิ์เป็นยาระบายประเภทกระตุ้นการทำงานของลำไส้ใหญ่ค่ะ  ที่ว่าแทรกเป็นยาดำนั้นก็เพราะว่ายาหลายตำรับได้ใส่ยาดำเข้าไปเพื่อให้มีฤทธิ์ระบายได้ด้วย  (ว่านหางจระเข้มีหลายสรรพคุณอย่างที่รู้ๆกันอยู่) ในภาษาอังกฤษถ้าพูดถึงaloe เฉยๆก็จะหมายถึงยาดำค่ะ จากคุณ : PhArMaRAnGeR - [ 6 มี.ค. 50 14:21:59 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ข้อมูลของคุณโกฏิดารา ใน # ๖๒ น่าจะถูกต้อง ผู้แต่งคือคุณจวงจันทร์ จันทร์คณา หรือ พรานบูรพ์ ขอบพระคุณที่ช่วยแก้ไข จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 6 มี.ค. 50 14:33:19 ]

ความคิดเห็นที่ 65 แน่ะ มีหมอยามาด้วย (ดูจากชื่อ) ขอบคุณค่ะ ^_^ เลยได้รู้จากคคห.ของคุณโกฎิดาราด้วยว่า ตุ๊กแกเป็นสัตว์เศรษฐกิจที่ทั้กระทรวงพาณิชย์และกระทรวงเกษตรควรเร่งเพาะพันธุ์ส่งออกให้เป็นที่กว้างขวาง ตุ๊กแกไทยก้าวไกลไประดับโลก (เลียนแบบชื่อคุณปลิงฯ ในห้องสีลม คงไม่เคืองเน้อ) แก้ไขเมื่อ 06 มี.ค. 50 14:45:17 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 14:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เพื่อเป็นการขัดจังหวะให้คุณอันตราคนีลืมเรื่องตุ๊กแกไปสักครู่ ขออนุญาตเอาความคิดเห็นที่ 43 "ลางเนื้อชอบลางยา"  มาประแป้งแต่งตัวใหม่ ทำเป็นเวอร์ชั่นอินเตอร์ จะเอาไปประกวดหนังเมืองคานส์ สำนวน สุภาษิต หรือคำคม ของฝรั่งที่คล้าย กับของไทยข้างบนก็มีเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว พอจะกล้อมแกล้มได้คือ "One man's meat is another's poison". แปลได้ตรง ๆ เลยว่า "อาหารของคน ๆ หนึ่งอาจจะเป็นพิษสำหรับคนอื่นก็ได้" ลองให้ฝรั่งหรือญี่ปุ่นก็แล้วแต่ กินตำบักหุ่งใส่ปลาแดก แถมพริกขี้หนูอีกฟายมือ ที่พี่น้องบางภาคของเรากินกันเอร็ดอร่อย คนที่ไม่เคย กินไปสักคำดียว รับรองว่าต้องท้องเสียถึงกับหามไปให้หมอหยอดน้ำเกลือที่โรงพยาบาลเป็นแน่ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 6 มี.ค. 50 16:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผู้เขียนเป็นคนชอบกินเนยแข็ง เพราะก่อนหน้านี้เคยมีธุระต้องไปฝรั่งเศสบ่อย ๆ อาหารฝรั่งเศสนี่ยกสุดท้าย ก่อนกินกาแฟ เขาเอาเนยแข็งชนิดต่าง ๆ ฝานใส่เขียงไม้เอามาเสริฟ คนฝรั่งเศสเจัาภาพชอบมาขยั้นขะยอให้กิน เราก็ค่อย ๆ เลือกเอาชนิดที่มันไม่เหลว กลิ่นไม่แรงมากินพอเป็นพิธีไม่ให้เสียมารยาท ตอนหลังนี่เกิดชอบ กินหมดทุกอย่างที่ขวางหน้า ที่ทำจากนมม้า นมแพะ นมแกะ แม้แต่นมควาย ที่กลิ่นแรง ๆ ยิ่งชอบ คนฝรั่งเศสก็เลยเกรงกลัวบารมียอมนับญาติด้วย จากคุณ : * (nickycharles) - [ 6 มี.ค. 50 16:56:51 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เคยไปเที่ยวโคเป็นเฮเกนกับลูกสาว ไปเจอร้านขายเนยแข็งร้านใหญ่เบ้อเริ่มสามคูหา ขายแต่เนยแข็งอย่างเดียว หน้าตาเป็นร้านโบราณ พื้นยังปูด้วยไม้ แล้วมีขี้เลื่อยไม้สนโรยบนพื้น มีกลิ่นยางสนอ่อน ๆ หอมดี เข้าไปอยู่ในร้านได้ไม่ถึงห้านาที ลูกสาวมาสะกิดบอกว่า ทนไม่ไหวร้านนี้กลิ่นเหมือนส้วมหลุมตามวัดบ้านนอก พ่ออยากอยู่ต่อก็ได้ หนูจะไปดูเสื้อรอที่ร้านเบเนตองตรงกันข้าม จากคุณ : * (nickycharles) - [ 6 มี.ค. 50 17:01:12 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เรื่องจะเล่าต่อไปนี้เกี่ยวกับน้ำ เคยไปที่เมืองดึสเซลดอร์ฟ เยอร์มัน เพื่อนที่เป็นคนเยอร์มันมาเตือนด้วยความหวังดีว่าอย่ากินน้ำก๊อกเป็นอันขาด เราไปอยู่ที่โรงแรมไกล้ ๆ กับปาร์คกลางเมือง รู้สึกจะชื่อปาร์กโฮเต็ล อยู่ติดกับโรงโอเปรา วันแรกเราก็สำรวจดูทีท่าก่อน น้ำก๊อกก็ดูใสสะอาดดี เวลาชักโครกก็มีกลิ่นคลอรีนออกมาคลุ้ง น้ำในอ่างอาบน้ำก็ไสไม่มีตะกอนเลย ดูทีท่ามาสองวัน พอถึงวันที่สามก็เลยลองของดื่มเข้าไป เพราะน้ำดื่มที่เขาใส่ตู้เย็นเอาไว้ในห้องค่อนข้างจะแพงเอามาก ๆ เนื่องจากเป็นน้ำแร่ฝรั่งเศส ราคาไกล้เคียงกับเครื่องดื่มน้ำดำ ที่ถูกที่สุดคือเบียร์ชนิดต่าง ๆ ถัดมาเป็นไวน์ราคาถูกขวดเล็ก ๆ ผลปรากฎว่าท้องเสียครับเพราะกินน้ำจากน้ำก๊อกเมืองเยอร์มัน จากคุณ : * (nickycharles) - [ 6 มี.ค. 50 17:11:44 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ตอนหลังไปอ่านบทความที่ไหนจำไม่ได้แล้ว เขาบอกว่าแม่น้ำไรน์ มีต้นน้ำจากหิมะที่ละลายจากภูเขาแอลป์ส ไหลผ่านเมืองเล็กเมืองใหญ่ไปจนออกทะเล เขาบอกว่า น้ำในแม่น้ำไรน์ตั้งแต่ต้นน้ำบนภูเขา จนกว่าจะไหลออกทะเล ผ่านระบบทางเดินอาหารของคนไปเจ็ดครั้ง คิดเอาเองก็แล้วกันว่าน่ากลัวกว่าตุ๊กแกแค่ไหน เรื่องน้ำผ่านระบบทางเดินอาหารของคนกี่ครั้งต่อกี่ครั้งนี่ มนุษย์อวกาศก็ต้องกินต้องใช้น้ำที่ผ่านระบบของตัวเองที่เอามารีไซเคิลกรองกลับเอามาใช้ใหม่ ไม่รู้ว่ากี่ครั้ง ต้องมากกว่าเจ็ดครั้งแน่นอน ถ้าอยู่บนสถานีอวกาศเป็นปีอาจจะเกินร้อยครั้ง หมายเหตุ ..... เย็นนี้จะต้องไปสวดศพคุณแม่เพื่อนที่วัด ขอพักเรื่องอาหารเอาไว้ก่อน เชิญเสวนาเรื่องตุ๊กแกเพื่อกวนกระเพาะคุณอันตราคนีกันต่อได้แล้ว กลับมาจะมาเขียนเรื่องอาหารต่อ ของถนัดอยู่แล้ว เขียนปั่นกระทู้นี้ได้อีกหลายตอน รายการนี้แช้มป์ปั่นกระทู้ตัวจริงมาเอง ไม่ต้องห่วง จากคุณ : * (nickycharles) - [ 6 มี.ค. 50 17:19:11 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ขอบคุณคุณAntiSpam (อันตราคนี) และ คุณเพ็ญชมพู ที่ช่วยให้ความเห็น สรุปก็ยังไม่รู้อยู่ดี จากคุณ : หยองแหยง - [ 6 มี.ค. 50 18:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 72 สนุกมากค่ะ อ่านเพลินเลย จากคุณ : lilymay - [ 6 มี.ค. 50 19:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ว้าย ไม่ได้มาดูแค่วันเต็มๆ คห.ล้นต้องคลิกไปมาหัวท้าย สนุกจัง เมื่อเร็วๆนี้มีสาว(ไม่ค่อยน้อย)ญี่ปุ่นสาวหนึ่งมาบอกว่า"สำนวนไทยกับญี่ปุ่นนี้เหมือนกันเดี๊ยเลยนะ เราก็ถามไปว่า " ไหนๆสำนวนอะไรจ๊ะแม่ดอกซากุระ อาจจะมีอะไรคล้ายๆกันมั้ง" (เพราะภาษาวัฒนธรรมบางอย่างประเทศเราต่างก็หยิบยืมมาจากประเทศใกล้เคียงเหมือนๆกันอย่างจีน งี้อ่ะนะ) แม่ดอกซากุระบอกว่า " ก็สำนวน"แม้แต่ลิงก็ตกต้นไม้น่ะซิ"" ไฮ้ สำนวนนี้อาจารย์ญี่ปุ่นจากมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศโอซาก้าที่เคยมาประจำสอนภาษาญี่ปุ่น เมื่อสมัยโน้นเราแปลจากภาษาญี่ปุ่นเป็นไทยในตำราไวยากรณ์ญี่ปุ่นที่ ท่านพระอาจารย์ทำไว้ให้ลูกศิษย์ลูกหาใช้ในสมัยที่ยังไม่มีตำราไวยากรณ์ญี่ปุ่น ให้นักศึกษาไทยใช้เลยสักเล่ม   (พระ)อาจารย์บอกว่านี่เป็นสุภาษิตญี่ปุ่น  หนูๆจำมาสอบซะ (อาจารย์ได้เสียชีวิตไปแล้วเมื่อสักสิบกว่าที่แล้ว ถ้าเอ่ยชื่อหลายๆท่านที่เกี่ยวข้องกับภาษาญี่ปุ่นไทยก็คงร้องอ๋อแน่) สมัยโน้นเราก็จำไปสอบแล้วก็ยังคิดเลยว่ามันมีความหมายคล้าย"สี่ตีนยังรู้                                  พลั้ง นักปราชญ์ยังรู้พลาด"  ของไทย อ้าวๆๆ เราก็ถามแม่ดอกซากุระอีกว่า "ใครบอกหนูจ๊ะว่าเป็นสุภาษิตไทย" แม่ดอกซากุระก็บีบเสียงตอบเสียงใส "คนไทยค่ะ" คำถามของakebi1ถึงทุกท่านในนี้ค่ะว่า "แม้แต่ลิงยังตกต้นไม้"นี่ พอกาลผ่านไปหลายสิบปีเข้าไหงจึงกลายเป็นสุภาษิตสำนวนไทยไป หรือว่าakebi1เริ่มมีอาการความจำเสื่อมแล้วรึไฉน ใครช่วยให้วิทยาทานทีเจ้าค้า จากคุณ : akebi1 - [ 6 มี.ค. 50 20:02:44 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ่าวววววว  กลายเป็นกระทู้ตุ๊กแกเสียแล้ว เพิ่มเติมอันนี้นิด V V V แต่เรื่องที่ว่านี้คือ ตุ๊กแกแอบกินปูนสำหรับใช้กินคู่กับหมาก คุณสมบัติของปูนชนิดนี้ คงมีความเผ็ดร้อนในตัว กินเข้าไปก็ร้อง "ตั๊บแก่ๆๆๆๆ" ไม่ยอมหยุด ฟ้องผู้คนว่าตัวเองแอบกินของร้อนเข้าไป (และบอกด้วยว่า มันแก่แล้ว) อ่านแล้วนึกถึงเรื่องคุณตาคุณยายยังเด็กน่ะครับ ตอนที่เขียนถึงตุ๊กแกนี่แหละ ตอนที่งูเลื้อยเข้ามากินตับตุ๊กแก ว่าแต่ตุ๊กแกเนี่ย  เคยเจอเป็นฝูง(ย้ำ...เป็นฝูงอยู่ครั้งหนึ่ง) สถานที่เจอคือ  บริเวณพระธาตุนาดูน(จำชื่อสวนไม่ได้แล้วอ่ะ) บังเอิญไปรับน้องแถวนั้น  แล้วมองขึ้นไปบนขื่อของศาลาที่พัก ... แล้วเห็น "ตุ๊กแก" อ๊ะ... เลยเคาะๆ เสาศาลาดู  โห...ออกมาให้พรึบ ตอนนี้ไม่รู้ยังอยู่กันหรือเปล่า  ว่างๆ ลองไปพิสูจน์ดูดิ จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 6 มี.ค. 50 20:14:04 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มายืนยันอีก 1 เสียงว่า แม้แต่ลิงยังตกต้นไม้ เป็นสำนวนญี่ปุ่นแน่ๆ เพราะการ์ตูนญี่ปุ่นที่อ่าน ใช้กันเยอะครับ แต่ว่า สำนวนไทยมัน "สีตีนยังรู้พลาด นักปราชญ์ยังรู้พลั้ง" มังครับถึงจะคล้องจอง แต่อย่างผมนี่ต้อง "สี่ตายังมองบ่เห็น" แล้ว หุๆ(สำนวนสร้างเองนะครับ) จากคุณ : โกฏิดารา - [ 6 มี.ค. 50 21:46:36 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ^ ^ ไปเคาะมันทำไมล่ะนั่น รบกวนสันติสุขของตุ๊กแกเปล่าๆ ปลี้ๆ ระวังมันอาฆาตแค้น แปลงร่างเป็นก็อตซิล่ามาจับไอ้ตัวในรูปกินซะหรอก แฮ่..... ป.ล. ยังยืนยันค่ะว่า กระทู้นี้ถกกันด้วยเรื่องสำนวนไทยเป็นเมนคอร์ส เวลานึกอะไรไม่ออก ก็คุยเรื่องตุ๊กแกเป็นเครื่องเคียง จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 21:52:09 ]

ความคิดเห็นที่ 77 คคห.ที่ 76 ที่มีชี้ขึ้นข้างบนนั้นหมายถึง คคห.ที่ 74 ของคุณเข้ามาจอบนะคะ ขอบคุณค่ะคุณลิลลี่เมย์ที่แวะมาเยี่ยม ดีใจมากค่ะที่อ่านแล้วเพลิน เรื่องสำนวนลิงตกต้นไม้นั้น เท่าที่นึกออก ไทยไม่มีสำนวนนี้นะคะ สำนวนไทยเกี่ยวกับลิงเท่าที่นึกออกก็คือ "พูดจนลิงลับ" และ "เชื่อ(มัน)ออกลูกเป็นลิง" <<<< อันนี้ไม่รู้เกี่ยวอะไรกับนางสวาหะ ลิงตัวนี้ไม่เคยเห็นปีนต้นไม้ แต่ฉลาดน่ารักที่ซู้ดดดดด จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 6 มี.ค. 50 22:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 78 ^ ^ ฮะๆๆๆ วันนี้ได้หัวเราะแต่เช้า คห.75 ขอบคุณที่มาช่วยยืนยันว่าความจำเรายังไม่เสื่อม นึกว่าลิงญี่ปุ่นกลายเป็นลิงไทยไปแล้ว หรือว่าเราๆกำลังเป็นพยานกรรมวิธีกรรมวิถีของการแปลงการกลืนชาติทางภาษาวัฒนธรรม อย่างสำนวนหนองหนังสือ นี่ มีเหมือนกันทั้งอังกฤษญี่ปุ่น ใครใช้ก่อนใคร ใครลอกเลียนแบบใคร ??? แน่ๆที่สุดคือ ออกลูกเป็นลิงนี่ สมัยเด็กใช้บ่อย  ปัจจุบันพ้นวัยเจริญพันธุ์?ไปแล้ว จะใช้ก็อายเด็ก เขิน บ้าย บาย จากคุณ : akebi1 - [ 7 มี.ค. 50 06:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คุยเรื่องตุ๊กแกแล้วกลัว เอางูดีกว่า เพราะถ้าฝันเห็นเขาว่าจะได้แฟน หรือไม่ก็เอาไปแทงหวยได้ ภาษิต สำนวนไทยเรื่องงูนี่ก็พอมีพูดถึงอยู่นะคะ ตีงูให้กากิน ทำไมต้องให้กากินก็ไม่รู้เหมือนกัน ส่งไปขายเมืองจีนสิ พวกกินเรียบ จากคุณ : PatPDX - [ 7 มี.ค. 50 09:44:02 ]

ความคิดเห็นที่ 80 งูหล่อๆ ไม่รู้อยู่ไหนนะคะ คุณ จขกท ขา มีแต่งูสวยๆแบบนี้ เอาไปดูแก้ขัดแล้วกัน จากคุณ : PatPDX - [ 7 มี.ค. 50 09:46:50 ]

ความคิดเห็นที่ 81 งูนั้นเราค่อยรู้สึกเป็นญาติมิตรสนิทกันหน่อย โดยเฉพาะงูลายสวยๆ เราก็ชอบดู สำนวน ตีงูให้กากิน ฟังไปคล้าย หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว ก็มีทั้งส่วนที่เหมือนและไม่เหมือนนะคะ งูนั้นเป็นสัตว์ร้าย กาเป็นสัตว์เจ้าเล่ห์ จากถกสำนวนไทยของคุณวาณิช ตีงูให้กากิน หมายถึงทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งด้วยความลำบาก แต่กลับถูกผู้อื่นเอาไปใช้ประโยชน์เสียดื้อๆ ธรรมชาติของงูนั้น ถ้าไม่ไปทำให้มันรู้สึกตระหนกก่อน มันก็เลื้อยของมันดีๆ ค่ะ หลายคนคงเคยเห็นงูเลื้อยผ่านหน้าจะๆ มาแล้ว การตีงูให้กากินจึงไม่ได้หมายความแค่ทำงานยากและเสี่ยงโดยไม่ได้ประโยชน์ แต่ยังอุปมาถึงการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต โดยที่ไม่ก่อให้เกิดผลดีอันใดเลย แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 16:04:56 แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 15:51:46 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 7 มี.ค. 50 14:47:33 ]

ความคิดเห็นที่ 82 สองอันนี้สิแปลก น่าสงสัย ใครรู้ที่มาลองอธิบายหน่อยดิ...... แล้วที่แปลกมากๆก็คือว่า  มันตรงกันข้ามกับภาษาอังกฤษเลยอ้ะ "เตะปี๊บดัง" คนไทยหมายถึง "ฟิตปึ๋งปั๋ง" แต่ "kick the bucket"  ฝรั่งพูดหมายถึง "ตาย" ทั้งๆที่ bucket มันเป็นถังน้ำมีหูหิ้วหรือกระแป๋ง ที่ถ้าเป็นโลหะนะ ก็คล้ายๆปี๊บได้เหมือนกัน "อายุยืนจริง"  คนไทยพูดหมายถึง "คนๆนี้พอพูดถึงก็มาเลย" แต่เวลาฝรั่งพูดถึงใครอยู่แล้วคนๆนั้นก็โผล่มาจริงๆเขาจะพูดว่า "talk of the devil" หรือ "speak of the devil" ซึ่งตรงกันข้ามเลย เพราะว่า devil มันเป็น ปีศาจ นินา มันจะอายุยืนได้อย่างไรกัน?   เง็ง ??? มันคงคล้ายๆกับที่คนไทยเวลาปอกผลไม้ขนาดเล็กๆเช่น apple จะหันคมมีดออกไปจากตัว คือปอกออกไปข้างหน้าแต่ฝรั่งจะหันคมมีดเข้าหาตัว คือปอกถอยหลังกลับมา  ...... ลองไปบริกรรมดูดิ  ..... แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 14:57:34 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 7 มี.ค. 50 14:54:19 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ปิ้งปลาประชดแมว ต้องมีสร้อย "หุงข้าวประชดหมา" ด้วยมั้ยครับ? จากคุณ : โกฏิดารา - [ 7 มี.ค. 50 15:11:03 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ปิ้งปลาประชดแมว ขอบคุณค่ะคุณโกฎิดารา สำนวนนี้เต็มๆ คือ หุงข้าวประชดหมา ปิ้งปลาประชดแมว หมาในโลกนี้ไม่กินข้าวหลายตัว แต่ "ปลา" นั้น ทั่วโลกคงรู้ว่าเป็นอาหารแมว แต่มีแมวอยู่อย่างน้อยสามตัวในโลกนี้ที่ข้าพเจ้ารู้จัก ว่า มันไม่ชอบหรือต้องการว่าจะกินปลา คือ 1. วิงกิพิงกิ (Winkipinki) ของซานริโอเจ้านี้พูดชัดเจนว่า Fishes are friends, not food (อะไรทำนองนี้แหละ) 2. เฮลโหล คิตตี้ (Hello Kitty) ของซานริโออีกเหมือนกัน เธอคนนี้ไม่มีปากด้วยซ้ำ ก็เลยไม่ทราบว่าชอบกินอะไร ดูดีๆ เป็นแมวไร้อารมณ์แฮะ (แต่ในการ์ตูน คิดตี้พูดได้นะ) 3. ซิลเวสเตอร์ (Sylvester) ของ วอร์เนอร์ บราเธอร์. เจ้านี่ไม่เคยพิศวาสจะกินปลา หวังแต่เจ้าทวีตตี้ตัวเดียวเท่านั้น เพราะฉะนั้น สำนวน ปิ้งปลาประชดแมว จึงใช้ไม่ได้กับแมวสามตัวนี้   แต่ที่แน่ๆ ใช้กับเจ้าแมวอ้วนสีส้มของ จีม เดวิส ได้...ก็เจ้าการ์ฟิลด์ไง สำนวนนี้หมายถึง การทำสิ่งใดด้วยการลงทุนลงแรงเป็นประชดอีกฝ่ายหนึ่ง โดยฝ่ายนั้นก็คว้าปลาไปกินอร่อยไป ไม่รู้ไม่ชี้หรือเกิดความละอายในการกินปลานั้นแต่อย่างใดไม่  และโดยนิสัยแมว มันไม่ใช่หมา มันนึกว่าที่เอาปลาไปให้มันกินนั้น เป็นสิ่งที่ชอบที่ควรแล้ว เพราะมันเป็นเจ้านายเรา (หน็อยแน่ !!!) คนปิ้งปลาจึงเสียประโยชน์โดยแท้ เสียทั้งปลาทั้งเวลา อาจได้หน้านิดหน่อย ก็เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 07 มี.ค. 50 15:48:18 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 7 มี.ค. 50 15:44:42 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อีกสำนวนว่าด้วยเรื่องแมวๆ (พยายามพูดเรื่องอื่นสุดฤทธิ์ มิให้กระทู้นี้ตกเป็นจำเลยสังคม มีชื่อเล่นติดตัวว่ากระทู้ตุ๊กแก) ก็คือ "(ซื่อเหมือน) แมวนอนหวด" ใช้เปรียบเทียบกับคนที่ดูเหมือนซื่อ แต่ไม่ได้ซื่อจริงๆ แมวนั้นใครๆ ก็รู้ว่านิสัยมันหาได้ "สัตว์เซ่อ" แต่อย่างใดไม่ สำนวนไทยที่เปรียบกับแมวนั้น ไม่ค่อยดี ไม่ว่าจะเป็น ตีนแมว, แมวขโมย...ส่วนนางแมวยั่วสวาทนั้น เราไม่แน่ใจ ที่พอจะมีกลางๆ ก็คือ แมวมอง แต่ก็บอกถึงเรื่องลับเล่ห์ซ่อนแอบไม่เปิดเผย "หวด" ในสำนวน "แมวนอนหวด" นั้นหมายถึงอุปกรณ์นึ่งข้าวเหนียวของชาวบ้าน ตรงปลายจะบานออก โดยธรรมชาติแมวนั้น มันชอบนอนในที่แคบๆ หรือในภาชนะหรือกล่องที่ห่อตัวมันไว้พอดี หวดจึงกลายเป็นที่นอนของเจ้าแมวได้เหมาะเจาะ ตอนมันนอนตัวกลมนั้น ดูแล้วไร้พิษสงเสียนี่กระไร เห็นแมวนอนในหวดหน้าตาบ้องแบ๊วอย่างนั้น อย่าไปคิดว่ามันซื่อเป็นอันขาด ใครสนใจเรื่องแมวๆ ไปอ่านที่เว็บนี้ดูค่ะ ละเอียดดี http://www.thai-folksy.com/L2Qua/L31-60/35-L2Q.htm ป.ล. ในรูปนี้เป็น "แมวนอนอวด" หรือ "แมวนอนแผ่" ว่าแต่คนไหน เอ๊ย...ตัวไหนเป็นแมว คงไม่ต้องบอกนะคะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 7 มี.ค. 50 16:29:09 ]

ความคิดเห็นที่ 86 จาก คคห.ของคุณแท่นสี # 82 "มันคงคล้ายๆกับที่คนไทยเวลาปอกผลไม้ขนาดเล็กๆเช่น apple จะหันคมมีดออกไปจากตัว คือปอกออกไปข้างหน้าแต่ฝรั่งจะหันคมมีดเข้าหาตัว คือปอกถอยหลังกลับมา  ...... ลองไปบริกรรมดูดิ  ....." หูยยยยยยยยย จะ "บริกรรม" ให้ได้ผลโดยปอกเปลือกแอปเปิลเป็นสายโดยไม่ขาดได้นั้น  ข้าพเจ้าคงต้องไปเข้าคอร์ส หัดปอกแอปเปิลเป็นแอปเปิลที่ดูกินได้ ไม่ขี้ริ้ว และนิ้วทั้งสิบไม่ต้องเสียเลือดเสียเนื้อเสียก่อนละม้างงงง เอาแอปเปิ้ลชุบยาพิษ หลอกล่อให้กินน่าจะเห็นผลเร็วกว่า ง่ายกว่าเป็นไหนๆ ไม่ต้องมาบริกรรมปอกแอปเปิ้ลให้เสียเวลา เหอๆๆๆ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 7 มี.ค. 50 16:49:35 ]

ความคิดเห็นที่ 87 เห็นภาพงูแสนสวยใน # ๘๐ แล้วนึกถึง งู ๆ ปลา ๆ  ทำไมสัตว์ ๒ ชนิดนี้มาทีละ ๒ ตัว แล้วจึงมีความหมายว่า รู้ไม่จริง ถามคุณแท่นสีดีกว่า  snake snake fish fish  จริง ๆ แล้วฝรั่งเข้าพูดกันว่าอย่างไร ในภาพมีแค่ snake และ fish อย่างละตัว  ก็เป็นอย่างที่เห็นนั่นแหละ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 7 มี.ค. 50 18:04:22 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ชอบกระทู้นี้จัง ขอติดตามด้วยคนนะค่ะ จากคุณ : สาวใหม - [ 7 มี.ค. 50 20:35:33 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ตอนนี้งานชุม...อ่านอย่างเดียว รบกวนอธิบายและหาที่มาที่ไปคำว่า "งมโข่ง" โข่ง???.....และทำไมต้องไปงม?? รบกวนด้วยครับ จากคุณ : ฎร - [ 8 มี.ค. 50 05:37:03 A:217.42.156.130 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 90 สำนวนเกี่ยวกับส่วนสรีระก็น่าสนใจนะ ตย.เวลาจะเลิกทำอะไรที่ไม่ค่อยเสริมสร้าง คนไทยเราพูดว่า"ล้างมือ" คิดว่าภาษาอังกฤษก็เหมือนไทย คือล้างมือ แต่ญี่ปุ่นเขาไม่ล้างมือ เขาล้างเท้า ส่วนคห.89 เดาเอาว่าโข่งในท้องนา กินได้ งมยากมั้งเพราะอยู่ในโคลนตม จากคุณ : akebi1 - [ 8 มี.ค. 50 07:01:03 ]

ความคิดเห็นที่ 91 งม   นอกจากหมายความว่า ดำน้ำลงไปคลำหาของแล้ว ยังหมายถึง งุ่มง่าม, ชักช้า อีกด้วย โข่ง นอกจากหมายถึง หอยโข่ง ยังมีอีกความหมายหนึ่ง คือ เปิ่น หรือ ไม่เข้าท่า ความหมายเดียวกับคำว่า เชย ดังนี้เอา งม มารวมกับ โข่ง จึงหมายถึง งุ่มง่ามไม่เข้าท่า จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 8 มี.ค. 50 07:08:31 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ขยายความ คคห 15ค่ะ ......น้ำร้อนปลาเป็น น้ำเย็นปลาตาย...... ราษฎรอาวุโส ศ. ประเวศ วสี  เคยเปรียบเทียบสำนวนนี้กับสภาพความตื่นตัวของสังคมไทย  ช่วงที่น้าทักษิณ กับลุงสนธิ กำลังก่อสงครามเย็นต่อกัน อาจารย์ประเวศท่านอธิบายว่า  วิกฤตทางการเมืองในช่วงก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงนั้น ถือเป็นโอกาสที่เกิดขึ้นในยามวิกฤต เอ๊ะ   แล้วเกี่ยวอะไรกับปลาด้วยเล่า? ท่านเปรียบเทียบถึงกบที่อยู่ในหม้อน้ำค่ะ   ถ้าน้ำค่อยๆร้อนขึ้นทีละน้อย  กบก็จะไม่กระโดดหนี และเมื่อน้ำร้อนถึงขนาด มันก็จะตาย แต่ถ้าน้ำร้อนขึ้นโดยกระทันหัน กบมันก็จะกระโดดหนี  และรอดขีวิตได้ อ่านความหมายแล้วเข้าท่าดีนะคะ  เหมือนเราเองคงไม่รู้สึกอะไรหากความเปลี่ยนแปลงค่อยคลืบคลานเข้ามาทีละน้อย อีกหน่อยก็จะปรับตัวได้ และชินกับสภาพไปเอง แต่ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงกะทันหันชนิดจากหน้ามือเป็นหลังมือ หากยังเป็นปลาที่พอมีแรงกระโดดหนีได้   ก็คงไม่มีใครยอมเป็นปลาแปะซะในหม้อเป็นแน่แท้ เขียนไปเขียนมาเจอคำว่า "เข้าท่า"   ก็เลยขอจอดตรงท่านี้สักหน่อย "ท่า" ในที่นี้คงหมายถึงท่าเรือคะ  ซึ่งในสมัยก่อน  บ้านเรือนริมคลองทุกหลังก็คงมี"ท่า" เอาไว้จอดเรือ แต่ "ท่า" ที่เป็นตำนานรักของหนุ่มมหาชัย   ก็คงเป็นท่าฉลอมนะคะ ส่วนสำนวน "ออกเรือ อย่ารื้อท่า"  โบราณท่านหมายถึงอะไรคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 8 มี.ค. 50 12:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณที่เข้ามาช่วยกันถกช่วยกันตอบค่ะ ซึ้งใจยิ่งนัก =========== คำว่า "เข้าท่า" ที่คุณกาสะลองบานแล้วได้หยุดแวะ นอกจาก ที่มาของ "เข้าท่า" อาจมาจากเรือที่จอดเข้าท่าได้สนิท อำนวยความสะดวกแก่ผู้โดยสารมิให้ตกน้ำตกท่าไปนั้น คำนี้ข้าพเจ้าเห็นเป็นอื่นด้วย คือเห็นว่าอาจจะมาจาก "เข้าท่าเข้าทาง" ก็เป็นได้ ขอเสนอดังนี้ "ทาง" ในบริบทภาษาไทยแผนโบราณ คงคล้ายๆ กับ "แนว" ในภาษาไทยแผนปัจจุบัน ใช้บ่อยมากในวงการศิลปะ อย่างเวลาเล่นเพลง เราจะมีศัพท์ว่า ทางของครูท่านนั้นท่านนี้  โน้ตที่ถืออยู่หรือทำนองที่จำอยู่ในหัวเป็นทางระนาด ทางฆ้อง ทางจะเข้ ฯลฯ จะเล่นประสานกันได้นั้นต้องเป็นไปใน "ทางเดียวกัน" เข้ากันได้ กลมกลืนกลมกล่อมได้ผลเป็นความไพเราะที่พึงสดับ อย่างไรก็ดี นี่เป็นความเห็นจากผู้ชำนาญด้านการเดา ในระดับซึ่งเป็นที่ไม่ยอมรับจากสถาบันระดับโลกมาแล้ว :p เข้าตำรา หนัก(ไม่)เอาแต่เดาสู้ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 8 มี.ค. 50 18:14:50 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ส่วน "ออกเรืออย่ารื้อท่า" นั้น ในนามแห่งความสัตย์ซื่อถือคุณธรรมดั่งเปาเอ็มวอช ข้าพเจ้าไม่เคยได้ยินสำนวนนี้มาก่อนเลยค่ะ... กระนั้นสำนวนโบราณหายไปมากมาย จึงขอขอบคุณเป็นอย่างยิ่งที่คุณกาสะลองฯ ได้นำมาจารึกไว้ให้ขบคิด ไม่แน่ว่าจะเหมือนสุภาษิตฝรั่ง Don't burn your bridge (ใช่ป่าวหว่า...) เพราะนั่นอาจจะนำเราไปสู่ทางตันในวันหนึ่ง และอาจจะเป็นคุณที่เผาสะพานไปแล้วเรียบร้อยโรงเรียนจีนนั่นเองที่ต้องหันกลับมาข้ามสะพานนี้ สำนวนนี้เป็นภาษิตให้ระลึกถึงคนที่เคยทำงานด้วย ไม่ควรมั่นใจว่า ชาตินี้จะไม่ต้องเจอหน้า หรือพบเห็นกันอีกแล้ว เราไม่อาจมั่นใจได้เช่นนั้น ทำดีต่อกันไว้ไม่เสียหลาย... ไม่ทราบว่า "ออกเรืออย่ารื้อท่า" กับ "อย่าหันกลับมาเผาสะพาน" นั้นจะมีความหมายเหมือนกันหรือไม่ ว่าแต่ "เรียบร้อยโรงเรียนจีน" นั้น ได้ยินมาว่า มาจากการปิดโรงเรียนสอนภาษาจีนในสมัย จอมพล ป. พิบูลสงคราม มิทราบว่าถูกผิดประการใดคะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 8 มี.ค. 50 18:21:03 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ไม่ใช่ปิดโรงเรียนจีนค่า เจ้าหน้าที่กระทรวงไปตรวจ  ...แล้วทุกสิ่งทุกอย่างเรียบร้อยตามระเบียบ ถึงจะไม่ถูกระเบียบไปบ้าง  ท่านที่มาตรวจ บังเอิญ มองข้ามไป ทุกอย่างเรียบร้อยหม๊.ด.... ความก็เป็นดั่งนี้แล  ท่านผู้เจริญ จากคุณ : แสนอักษร - [ 8 มี.ค. 50 20:24:20 ]

ความคิดเห็นที่ 96 บางทีการหันกลับมาเผาสะพาน  ก็มีความจำเป็นในบางกรณีนะคะ อย่างเช่นเมื่อคราวที่ระพิน ไพรวัลย์  แอนด์เดอะแก๊งค์ ถอยทัพออกมาจากการฝ่าดงมนุษย์กินคนเข้าไปช่วยเหลือมาเรีย เมื่อพระเอกคนรั้งท้าย ข้ามผ่านสะพานมรณะมาได้อย่างสะบักสะบอมเหนือความคามดหมายแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะหันกลับไปบึ้มสะพานให้ราบเป็นหน้ากลอง   ด้วยเหตุผลที่ว่า เป็นการสกัดกั้นการติดตามจากศัตรู  ถึงแม้ว่าจะตามทัน  แต่ก็ต้องใช้เส้นทางอื่นซึ่งเสียเวลานานมาก   วิธีนี้ นิยมใช้ในสมรภูมิรบที่ต้องพยามยามลดความร้อนแรงของข้าศึกค่ะ แต่เหตุผลที่คุณ AntiSpam   (ชอบชื่อนี้มากกว่าค่ะ) คาดเดาไว้  ก็น่าจะเป็นไปได้ค่ะ เคยได้ยินคำๆนี้ จากผู้เฒ่าจากแดนไกลค่ะ  ท่านสอนลูกหลานด้วยสุภาษิตคำนี้   คนโบราณนี่เก่งนะคะ  ทั้งๆที่ไม่ค่อยได้เรียนหนังสือ   แต่ทำไมถึงมีคำคมไว้สอนลูกสอนหลานเยอะจังเลย ท่านผู้ฒ่า สอนลูกหลานไว้ เมื่อคราวที่มีเหตุการณ์ "ดังแล้วต้องแยกวง"  ชนิดที่ว่าจะไม่ต้องเจอกันอีกแล้วชาตินี้ จึงเป็นไปได้ที่มีความหมายว่า  เมื่อออกเรือจากท่านี้ไปแล้ว  ก็จงอย่ารื้อท่านั้นเสีย  เพราะไม่แน่ว่าวันข้างหน้า  เราอาจจะต้องย้อนกลับมาขึ้นท่านี้อีกก็ได้ หรือ อาจจะหมายความว่า  จงเก็บท่าเรือนั้นไว้ เพื่อเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ถึงแม้ว่าตัวเองจะออกเรือไปแล้วก็ตาม คาดเดาจากบริบทได้ความว่า "อย่าเห็นแก่ตัว" ได้ไหมเนี่ย? เรื่อง" ท่า"  ยังไม่หมดค่ะ   ยังข้องใจคำว่า "ท่าดี ทีเหลว" ท่า แบบนี้  หมายถึง ท่ารำ  ท่าทาง   ท่าเดิน หรือท่าอะไรคะ สุภาษิตไทยเนี่ย  ง่ายนิดเดียวจริงๆ....  ที่เหลือยากหมด.... ส่วนคำว่า "ราบเป็นหน้ากลอง"  ก็คงจะเปรียบเอาตามรูปพรรณสัณฐานของเครื่องดนตรีอีกแล้วเช่นกันใช่ไหมคะ แต่คำว่า ราบเป็นหน้ากลอง  ความหมายไปในทางพินาศย่อยยับนะคะ แบบว่าเกิดไฟไหม้เผาซะราบเป็นหน้ากลอง ที่เดาๆกันมา  ไม่ทราบว่าจะเข้าเค้าอะไรบ้างหรือเปล่า แต่คำไทยแทบทุกคำมักมีคำเปรียบเทียบเปรียบเปรย ให้ต้องขบให้ต้องคิด น่าทึ่งค่ะ ที่ภาษาของเรา เล่นได้คำได้สนุกสนานถึงเพียงนี้ หวังว่าการเดากันในครั้งนี้   คงไม่ทำให้ท่านเจ้าของคำคม  ลุกขึ้นมาแล้วกลั้นใจตายอีกรอบนะคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 8 มี.ค. 50 21:05:21 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ระหว่างรอคุณแท่นสีส่งข่าวว่า งูๆ ปลาๆ นั้น หากส่งภาษาไปว่า two snakes, two fishes จะมีอั่งม้อที่ไหนรู้เรื่องบ้าง คุณวาณิชได้สันนิษฐานค่ะว่า คงมาจากคนที่แยกไม่ออกว่า สิ่งที่จับได้นั้น งูหรือปลา...คงเป็นการจับปลาไหล เพราะคงไม่มีปลาอื่นใดหน้าตาคล้ายงูเท่าปลาชนิดนี้ เมื่อแยกไม่ออก ก็จับผิดจับถูก หาความเดือดร้อนแก่ตัวดังนี้ น้ำแกงของปลาไหลคงจะรสดี คนที่แขยงปลาไหล ทั้งหาว่าคาวบ้าง เป็นปลากินของสกปรกบ้าง ก็ยังชอบน้ำแกง ตามที่ว่า "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" น้ำแกงปลาไหลเราไม่รู้ว่าอร่อยหรือไม่ แต่ข้าวหน้าปลาไหล ทั้งข้าวกล่องและข้าวปั้น ล้วนอร่อยเด็ดถูกใจทั้งนั้น จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 8 มี.ค. 50 21:21:20 ]

ความคิดเห็นที่ 98 คุณกาละสองฯ คคห.ที่ 96 คะ ถ้าท่านลุกขึ้นมากลั้นใจตายอีกรอบ ดิฉันคงแสนภูมิใจที่ทำหน้าที่เป็นยาดี ให้ท่านฟื้นขึ้นมาใหม่ได้ต่างหาก ================ ขอบคุณค่ะคุณแสนฯ กับการไขที่มาของเรียบร้อยโรงเรียนจีน กลับมาต่อค่ะ... เรื่องราบเป็นหน้ากลอง ก็คงใช้เพื่ออุปมาเอาว่า ไร้สิ่งใดๆ เหลืออยู่ให้ค้างคาเป็นอนุสรณ์ ในคติโบราณ จะราบได้สนิทถึงปานนั้น ที่นึกถึงและเห็นภาพกันได้ทั่วกันก็คงมีแต่กลองกระมังคะ เพราะกลองนั้น ใช้หนังดีปานใด แต่ขึงไม่ตึงไม่เรียบ ตีไม่ดังไม่มันมือ อ๊ะ..เปิดพจนานุกรมดู ราบเป็นหน้ากลอง แปลว่า ราบเรียบหมดเสี้ยนหนาม...ถูกเผงเลยค่ะ มีอีกคำค่ะ ราพณาสูร (ราบ-พะ-นา-สูน) คำนี้หมายถึงยักษ์ก็ได้ แปลว่า สูญราบ, สูญเสียจนหมดเกลี้ยงก็ได้เช่นกัน (ความหมายจากพจนานุกรม พ.ศ. 2525) สำหรับ ท่าดีแต่ทีเหลว ท่าก็คือ ท่าทาง คือบุคลิกลักษณะภายนอกที่ดูดีน่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นสิ่งที่เลียนขึ้น เสริมขึ้น แต่งขึ้น ดัดขึ้น ... ได้ทั้งนั้น แต่วัดว่าดีจริงสมรูปหรือไม่ต้องวัดกันตอนทำ ท่าดีแต่ทีเหลวจึงหมายถึง บุคลิกภายนอกดูดีมีราคา แต่เมื่อได้ที (พจนานุกรมแปลว่า ท่าทาง, ชั้นเชิง, โอกาส) กลับปวกเปียก ทำได้ไม่สมที่คาดไว้เลย คำว่า "เหลว" นั้น เรายังใช้ประสมกับคำว่า "ไหล" เป็น เหลวไหล อีกด้วย สำนวนนี้มีความหมายตรงกันข้ามกับ คมในฝัก จะรู้ว่าในฝักนั้นคมอย่างไร ต้องพิจารณาสักระยะ ดูจากภายนอกหรือจากเสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดมิได้เลย แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 50 22:46:54 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 8 มี.ค. 50 22:43:40 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เคยทำงานที่บ้านนอก แล้วบางครั้งเขาก็มีแกงปลาไหลในสำรับอาหาร ข้าพเจ้าก็ทำตัวตามตำราเปี๊ยบ คือกินแต่น้ำแกง (อร่อยมาก เพราะถึงเครื่อง) แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 50 03:57:51 จากคุณ : PatPDX - [ 9 มี.ค. 50 03:53:45 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ถึงอันดับที่ ๑๐๐ พอดี เลขหนึ่งร้อยนี้ชวนให้น่าสนใจยิ่ง  มีสำนวนร้อยสีพันอย่าง  ร้อยแปดพันเก้า  ร้อยทั้งร้อย   ร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำ  ร้อยลิ้นกะลาวน   และส่งท้ายจากลิลิตพระลอ   ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือสู้พระแม่ได้ มองหาหนุ่ม ๆ ในกระทู้นี้มาตอบ   จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 9 มี.ค. 50 06:33:15 ]

ความคิดเห็นที่ 101 คุณ PatPDX นกฮูกตัวจริง [ 9 มี.ค. 50 03:53:45 ] ขอแสดงความยินดีกับคุณ เพ็ญชมพู ที่ได้น๊อคมืด อันดับที่ 100 มองหาหนุ่ม ๆ ในกระทู้นี้มาตอบ "ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือสู้พระแม่ได้" เราไม่ qualify จะตอบปัญหาข้อนี้เพราะไม่ได้เป็นหนุ่ม(ยังเด็กอยู่) อีกประการหนึ่ง ก็ยังไม่เคยมีเมียร้อยคน แต่ก็พอจะเดาถูกว่าบ้านไหนมีเมียร้อยคนอยู่บ้านเดียวกันจะโกลาหลแต่ไหน(นึกแล้วสยองขวัญ) จากคุณ : * (nickycharles) - [ 9 มี.ค. 50 07:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ป.ล. เราได้เลข one-oh-one  ถูกใจมาก จากคุณ : * (nickycharles) - [ 9 มี.ค. 50 07:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 103 "ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน" นี่ถ้าคนข้างตัวเราคิดจะ prove the point เรื่องนี้ งานนี้แม่เอาตาย... จากคุณ : PatPDX - [ 9 มี.ค. 50 09:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 104 งั้นสาวๆ ต้องพิสูจน์เรื่องนี้สิ "เสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใคร" ยังไม่มีวาสนาได้มีทั้งสองอย่าง แต่ตอนนี้ทองบาทละหมื่นฝ่าๆ เหอๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 9 มี.ค. 50 09:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 105 คมในฝัก   อิอิ   ชักดาบออกมาสนิมร่วงพรู สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อยชักเชือดฟันจนบรรลัย นึกถึงสภาบรรลั..เอ๊ย  สภาอะไรแห่งหนึ่ง ที่ช่างคิดสั่งทำดาบขุนแผนขึ้นมาเป็นที่ระลึก ท่านประธานคณะกรรมการคงเผลอคิดว่าตนเป็นขุนแผนเมืองสุพรรณเป็นแน่ อดีตวิศวกรและผู้เชี่ยวชาญอาวุธแถวนี้ เมตตาอธิบายให้ฟังว่า เหล็กไทยนั้นมีแมงกานีสมาก  เมื่อตีแล้วก็ขึ้นสีเขียวมันระยับเหมือนดาบฟ้าฟื้น ขุนแผนจ่ายเงินค่าจ้างทำไปสิบห้าตำลึง  เท่าค่าตัวนางแก้วกิริยาพอดี นางศรีมาลา ได้บอกกับพลายเพชรลูกชายว่า ขุนแผนซ่อนดาบฟ้าฟื้นไว้ .............          ดาบของปู่เล่มหนึ่งนั้นถึงดี ให้ชื่อเทพศักดาฟ้าฟื้น         กินคนเกือบหมื่นไม่นับผี เอาออกอ่านฟ้าก็ผ่ามาทุกที      ซ่อนไว้ที่เขาใหญ่ในโพลงรัก ปากถ้ำข้างทิศบูรพา           เร่งไปพิจารณาให้จงหนัก ไม่ไกลกันกับกาญจนบุรีนัก      เอาไว้เมื่อใกล้จักรมรณา ครั้นจะให้ลูกเต้าทั้งปวงไว้       บาปจะติดตัวไปเมื่อภายหน้า กระซิบบอกออกให้แต่มารดา     ครั้งลูกยาเจ้ายังอยู่ในครรภ์ อื้อฮือ....ฟ้าฟื้นกินเลือดถึงปานนี้ จากคุณ : แสนอักษร - [ 9 มี.ค. 50 10:30:37 ]

ความคิดเห็นที่ 106 หา....บาทละหมื่นฟ่าแล้วรึ? หัวเราก็โตเสียด้วย (แต่ข้างในมีแต่ขี้เลื่อย) Let me think..let me think..he is my good investment งานนี้ขอคิดหน่อย Hmmmmmmmmmm... Change mind ท่าจะดี งานนี้กลับกลอก เป็นแบบ ต่อหน้ามะพลับ ลับหลังตะโก เกี่ยวกันอย่างไรก็ไม่รู้ พูดไปได้เรื่อยเจื้อยนั่นแล จากคุณ : PatPDX - [ 9 มี.ค. 50 11:10:51 ]

ความคิดเห็นที่ 107 สำนวนเกี่ยวกับชู้สาวละก้อนี่ไงตัวอย่าง กินน้ำใต้ศอก คนโบราณเขาพูดได้ให้เห็นภาพเลย สมัยนี้คงไม่รองน้ำกินมือเปล่าให้น้ำรั่วไหลไปถึงศอกแล้ว แต่สำนวนนี้ก็ยังใช้เปรียบเทียบได้ดี๊ดี แถมอีกหนึ่ง "ถ่านไฟเก่าคุ" สมัยนี้ไม่ใช้ถ่านใช้ฟืนกันแล้วก็เถอะ รู้เรื่องแหละ จากคุณ : akebi1 - [ 9 มี.ค. 50 14:04:46 ]

ความคิดเห็นที่ 108 มีคนคิดจะ invest สามีจริงๆด้วยหรือคะเนี่ย? ======================== ส่วนสำนวนนี้ หนุ่มๆไม่กล้ามาตอบค่ะ เพราะกลัว "แม่เอาตาย" "ร้อยชู้ หรือจะสู้เมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้" สรุปแล้ว... ยังไม่มีใครกล้า confirm จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 9 มี.ค. 50 20:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ชู้ทางใจ ,  ถ่านไฟเก่า , ที่ใดมีรักที่นั่นมีทุกข์ (เอาพื้น ๆ เลย), น้ำผึ้งขม , แรกรักน้ำต้มผักยังว่าหวาน , แม้นสิ้นชายที่พึงเชย  อย่ามีคู่เสียเลยจะดีกว่า , แผ่นดินไม่ไร้เท่าใบพุทรา .... วลีไหนเป็นสำนวน  วลีไหนไม่ใช่   วานท่านผู้รู้แนะนำด้วยค่ะ vote ให้แล้ว  อ้อ แถม Roses are red Violet are blue Sugar is sweet And so are You หวาน(เชย ๆ)ดีน้า จากคุณ : ภูสุภา(บังอร-บังเอิญ) (บังอร-บังเอิญ) - [ 9 มี.ค. 50 20:48:31 ]

ความคิดเห็นที่ 110 #100 กระผมยังเป็นเยาวเรศรุ่นเจริญศรี มิมีเมีย ตอบบ่ได้เด้อครับ เห็นถามหาหนุ่มๆ หนุ่มๆมาตอบแล้ว จากคุณ : โกฏิดารา - [ 9 มี.ค. 50 21:49:24 ]

ความคิดเห็นที่ 111 จะน่าลงทุนมากๆ ค่ะ ถ้าทองเท่าหัวที่ว่านี้ หมายถึงความสูงจากเท้าจรดศีรษะของพ่อเจ้าประคุณ ส่วน "กินน้ำใต้ศอก" นั้น มาคู่กับ "น้ำตาเช็ดหัวเข่า" เสมอ ทั้งเข่าทั้งศอกของสองสำนวนนี้เป็นเรื่องเศร้า แต่ถ้าจะให้ดี ก็ควรจะใช้ทั้งเข่าและศอกปราบผู้ก่อเหตุเสียให้อยู่หมัด น่าจะดีกว่า จะมาเสียเวลาอาลัยอาวรณ์กับถ่านเก่าๆ ทำไมกัน คุณเพ็ญฯ คะ เรื่อง "ร้อยชู้หรือจะสู้เนื้อเมียตน เมียร้อยคนหรือจะสู้พระแม่ได้" ที่หนุ่มๆ ล้วน "พูดไม่ออกได้แต่กลอกหน้า" นั้น เห็นด้วยกับคุณกาสะลองฯ ว่า จำต้องเสียสัตย์เพื่อรักษาชีวิตไว้เป็นแม่นมั่น ... อิอิ (ก็แม่คาดโทษไว้นี่หว่า "ถึงตาย" สถานเดียวเท่านั้น) ป.ล. ขุนแผนนี่ป๋าจริงๆ เจ้าบุญทุ่มมากๆ มีทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่สิบห้าตำลึง ภรรยาก็เป็นของเขาอื่น ยังมีแก่ใจทำบุญทำทาน ไถ่สาวมาปล่อยไว้กับตัวได้อีกแน่ะ ใจบุญจริงจริ๊งงงงงงงงง แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 00:46:51 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 9 มี.ค. 50 23:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 112 คุณบังอร-บังเอิญคะ ตอบตามมาตรฐานข้าพเจ้า เห็นว่าเป็นสำนวนหมดเลยค่ะ :) สำนวนตามพจนานุกรมท่านก็ว่าไว้แล้ว (อ่านแล้วรู้เรื่องอย่างไรก็ตามแต่ผู้อ่านเถิดค่ะ) เราจะเรียกประโยคใดว่าเป็นสำนวนนั้น น่าจะเป็นการใช้คำที่เรียงต่อกันแล้วสื่อความหมายแสดงอารมณ์นอกเหนือไปจากเนื้อความ โดยมีการใช้ลูกเล่นเช่น สร้างคำคล้องจอง อุปมาอุปมัย และเมื่อนำมาใช้ ผู้อ่านผู้ฟังก็รับได้ทั้งอารมณ์และความหมาย มีอยู่ประโยคหนึ่งค่ะ คือ "แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย อย่ามีคู่เลยจะดีกว่า"  (บางคนบอกว่า "แม้นไร้ซึ่งสตรีที่พึงเชย ขอมีคู่เป็นกะเทยจะดีกว่า") เคยพูดไว้ก่อนหน้านี้ แต่ขอกล่าวอีกครั้งหนึ่ง หลายคนเข้าใจว่า ผู้กล่าวประโยคนี้น่าจะเป็นบุษบา จริงๆ แล้วคือ "อิเหนา" ค่ะ อิเหนาจารใส่กลีบดอกลำเจียกผ่านนางทาสไปให้บุษบาว่า "ในลักษณ์นั้นว่าจรกา                      รูปชั่วต่ำช้าทั้งศักดิ์ศรี ทรงลักษณ์พิกลอินทรีย์                    ดูไหนไม่มีจำเริญใจ เกศานาสิกขนงเนตร                       สมเพชพิปริตผิดวิสัย เสียบแหบแสบสันเป็นพ้นไป              รูปร่างช่างกระไรเหมือนยักษ์มาร เมื่อยิ้มเหมือนหลอกหยอกเหมือนขู่     ไม่ควรคู่เคียงพักตร์สมัครสมาน ดังกากาจชาติช้าสาธารณ์                  มาประมาณหมายหงส์พงศ์พระยา แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชย             อย่ามีคู่เลยจะดีกว่า พึ่พลอยร้อนใจแทบทุกเวลา              หรือวาสนาน้องจะต้องกัน" (ตัวสะกดใช้ตามฉบับที่มีอยู่) ที่มาของ "แม้นแผ่นดินสิ้นชายที่พึงเชยฯ" จึงเป็นวาจาของผู้ชายเจ้าชู้ปากจัดเหน็บผู้หญิง แต่กลับใช้กันบ่อยในหมู่ผู้หญิง เพื่อแสดงทิฐิว่า หากไม่ได้ชายดีพึงประสงค์ ก็ไม่ขอเลือกใครเลย ทว่า...ตามรูปประโยคชวนให้คิดเช่นนั้นได้จริงๆ ค่ะ ในบริบทปัจจุบัน จะใช้ในความหมายนี้ก็น่าจะได้เหมือนกัน เพราะคนพูดไม่จำเป็นต้องสวมบท "อิเหนา" เสมอไป จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 9 มี.ค. 50 23:48:09 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ฟังคุณ  AntiSpam  ว่าเรื่องอิเหนา  นึกถึงสำนวนที่ว่า "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" และฉายา "บุษบาท่าพระจันทร์"  เห็นทีต้องให้คุณ  AntiSpam  อธิบายต่อ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 10 มี.ค. 50 07:48:49 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ต้องแม่นางรจนานี่สิ ถึงจะเจ๋ง มองเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน รูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง (ภาพเขียนสีน้ำฝีมือ อจ จักรพันธุ์ รูปนี้ เจ้าของคือ มรว อัจฉรีเพราพรรณ วรรณพฤกษ์) ชายหนุ่มน่าเกลียดอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะเอา เหมือน Beauty and the Beast จากคุณ : PatPDX - [ 10 มี.ค. 50 08:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ต้นร้าย ปลายดี เมื่อหนุ่มหน้าดำถอดรูป น้อยหรือน่ารักเป็นนักหนา     หน้าตาจิ้มลิ้มยิ้มย่อง สอดใส่เครื่องประดับรับรอง   ผิวพรรณผุดผ่องดังทองทาฯ รูปนี้ คุณหญิงกอแก้ว บุณยะจินดา เป็นเจ้าของภาพ จากคุณ : PatPDX - [ 10 มี.ค. 50 08:45:05 ]

ความคิดเห็นที่ 116 มีใครเคยได้ยินคำว่า 1.สนทนาประสาสะ 2.ศรัทธาประสาสะ     บ้างไหมคะย่อมาจากอะไร  และแปลว่าอะไรคะ ในคำแต่ละคำ จากคุณ : ลูกชิ้นปลากราย - [ 10 มี.ค. 50 08:59:55 ]

ความคิดเห็นที่ 117 กำลังคิดถึงคุณเพ็ญชมพูก็เจอตัวพอดี ตื่นขึ้นมารีบคลิกไปดูกระทู้คุณเพ็ญชมพูปรากฎว่าหายไปจากหน้ากระทู้แนะนำแล้ว ที่อยากคลิกเข้าไปดูเพราะติดใจฉากสุดท้าย Grand Finale อยากจะเข้าไปอ่านใหม่ อยากจะบอกว่าโปรดักชั่น "เพ็ญชมพู Show" ทำได้ยอดเยี่ยม บรรยากาศมีแต่ความรื่นเริงหรรษา แต่เต็มเปี่ยมด้วยสาระ"เพ็ญชมพู Show" เป็นกระทู้แนะนำอยู่ได้เกินหนึ่งเดือนซึ่งนับว่านานมากสำหรับกระทู้ที่ไม่ใช่เรื่อง controversy เรื่องทะเลาะเบาะแว้ง เรื่องแฉโพยต่าง ๆ ที่กำลังฮิตติดอันดับอยู่ขณะนี้ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 118 Production เรื่องนี้ ถ้าต้องการ rating อย่างเดียวโดยไม่นึกถึงความรับผิดชอบต่อสังคม ก็ทำได้ง่ายมาก โดยเปลี่ยนบทพียงไม่กี่บรรทัด ให้ตัวนำฝ่ายหญิงประกาศว่าเรื่องราวทั้งหมดเป็นผลงานที่กลั่นกรองจากมันสมองของเธอ รอไปสักครู่พอมีคนมาเข้าชมมาก ๆ ก็ให้อีกฝ่ายหนึ่งโวยวายขอความเห็นใจจากแฟนคลับว่าถูกลอกเลียนความคิด แค่นั้นก็เรตติ้งพุ่งกระฉูด บรรยากาศของความเป็นมิตรเอื้ออาทรต่อกันก็จะกลายเป็นสงครามกลางเมืองแบบอีรัค แต่คนดูชอบครับ เพราะคนส่วนใหญ่ชอบดูหนังแอคชั่นชอบดูคนตีกัน จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:31:39 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ตอนต้นเกริ่นเรื่องฉาก Finale เอาไว้ ตามปกติฉากสุดท้ายของโชว์จะพยายามทำให้ยิ่งใหญ่อลังการให้ผู้ชมไม่ลืม เรียกว่า Grand Finale ผู้แสดงทุกคนจะมาปรากฎตัวบนเวที นักร้อง ตัวแสดงนำ ต้วระบำใส่เครื่องแต่งตัวปักขนนกกระจอกเทศวูบวาบ ตัวระบำเปลือยก็มาปรากฎตัวหมดในฉากนี้  เป็นฉากที่ค่าสร้างแพงมากที่สุดฉากหนึ่ง Variety Show ที่ดัง ๆ ในโลกต่างปิดตัวไปตาม ๆ กันเพราะทนค่าใช้จ่ายไม่ไหว จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:33:54 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ตอบ คคห.ที่ 116 ค่ะ น่าจะเป็น 1. สนทนาวิสาสะ 2. ศรัทธาปสาทะ 1. สนทนาวิสาสะ วิสาสะหมายถึงเป็นกันเอง เช่น ถือวิสาสะ นำ "สนทนา + วิสาสะ" ความหมายไปกันได้ค่ะ ออกแนวปูเสื่อคุยกันอย่างสบายอารมณ์ 2. ศรัทธาปสาทะ เห็นคำนี้ครั้งแรกในบทความ "เพียงความเบิกบานน้อยๆ"  ซึ่งพจนา จันทรสันติ แปลจาก On Little Joys ของ แฮร์มันน์ เฮสเซอ ("ท่านขาดศรัทธาปสาทะ" ศาสนจักรประกาศก้อง...) เราเป็นคนห่างวัด ศาสนาเป็นยาขม ลองหาจาก google ได้ความหมายของ ปสาทะ ว่าหมายถึงความเลื่อมใสและก่อให้เกิดศรัทธาในธรรม http://www.dhammathai.org/webboard/view.php?No=2870 ศรัทธาปสาทะแปลว่ากระไรแน่นั้น ผู้รู้จริงโปรดเฉลยเถิด จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 10 มี.ค. 50 12:35:01 ]

ความคิดเห็นที่ 121 ที่ยังยืนยงคงกระพันก็เห็นมีที่ Radio City New York ที่ญี่ปุ่น Nichi Geki ที่ Yurakucho ปิดตัว"ไปหลายสิบปีแล้วเพราะโรงเล็ก ยังเหลือแต่ Yurakuza ปลายถนน Ginza ที่มีระบำควบกับหนัง แล้วก็มี Takarazuka ที่ตัวแสดงหญิงแสดงเป็นผู้ชาย มีแฟนคลับเป็นผู้หญิงหลงไหลมาก   ที่ปารีสเป็นเมืองท่องเที่ยว Cabaret Showที่เก่าแก่ที่สุดของปารีสที่ยังชูโรงอยู่บนถนนChamps Elysee คือ Moulin Rouge มีอาหารเย็นและดูโขว์ด้วย หรือจะดูโขว์อย่าเดียวก็ได้ อาหารก็พอปานนั้น แต่จะว่าไม่อร่อยก็ไม่ได้ เพราะในฝรั่งเศสหาร้านอาหารที่ไม่อร่อยยาก จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:35:58 ]

ความคิดเห็นที่ 122 คาบาเร่ต์ โชว์โรงเล็ก ๆ ที่คนฝรั่งเศสชอบไปดูคือ Crazy Horse อยู่ในถนนแยกจาก Champs Elysee อยู่เยื้อง ๆ ตรงข้าโรงแรม George V  ที่นี่โป๊กว่ามูแลงรูจ และสนุกกว่าบรรยากาศตลกโปกฮา ถ้าฟังภาษาฝรั่งเศสออก ไม่ค้องรู้มากก็ได้แค่ serpent serpent poisson poisson ก็พอ จะสนุกมากขึ้นไปอีก อีกแห่งหนึ่งซึ่งฉีกตัวออกมาอยู่ฝั่งซ้ายแม่น้ำเซนน์แถบลาตินควอเตอร์ถิ่นนักเรียนนักศึกษาคือ Le Paradis Latin มีอาหารเย็นและโชว์บรรยากาศเป็นกันเองมากกว่า Le Moulin Rouge จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:44:21 ]

ความคิดเห็นที่ 123 กำลังจะเขียนถึงฉาก Finale ของเพ็ญชมพูShow เมื่อคืนวานนี้ ทำไมถึงได้หลงทางเรื่อยเฉื่อยไปเสียไกลก็ไม่ทราบ นึกออกแล้ว ที่อยากจะบอกก็คือฉากสุดท้ายของทุกแห่งเขาจะจัดอย่างอลังการ ตัวแสดงออกมาเต็มเวทีอย่างที่เล่ามาแล้วข้างต้น เขาเรียกฉากนี้ว่า Grand Finale หรือที่มูแลงรูจเรียกว่า Grand Spectacle จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:49:51 ]

ความคิดเห็นที่ 124 แต่ฉากสุดท้ายของ เพ็ญชมพูโขว์ เมื่อคืนนี้ ปรากฎว่ามีผู้แสดงนำฝ่ายหญิงเพียงผู้เดียว ยืนอยู่ตรงกลางเวที ไฟสลัว มีสปอตไลท์ จับอยู่บนใบหน้า เธอเป็นตัวแทนพูดแทนผู้แสดงทุกคน แต่สามารถตรึงผู้ชมได้ดีกว่า Grand Finale หรือ Grand Spectacle ที่เคยดูมาทั้งหมด ที่เป็นเช่นนี้เพราะเธอไม่ได้แสดง ทุกอยางเป็นไปตามธรรมชาติ เป็นของจริง เธอพูดจากใจจริงของเธอ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:51:59 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ขอความกรุณาผู้ที่พลาดชมฉากสุดท้ายของ เพ๊ญชมพูโชว์ โปรดคลิกไปชมเอาเอง เพราะบรรยายไม่ถูก เกินคำบรรยายจริง ๆ ขอความกรุณาพลเมืองดีช่วยทำลิ้งค์ให้ด้วยครับ หาไม่เจอไม่ทราบว่าอยู่ที่ไหน มีภาระกิจต้องไปวัดอีกแล้ว คราวนี้เป็นวัดธาตุทอง ฉุกละหุกจริง ๆ ยังไม่ได้แต่งตัวเลย ไม่มีเวลาตรวจ ต้องขอโทษด้วยอย่างมาก โพสท์ไปก่อนแล้วกัน กลับมาแล้วจะมาแก้ทีหลัง จากคุณ : * (nickycharles) - [ 10 มี.ค. 50 12:54:54 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ฮัดเช่ยยยยยยยยยย ฟังคุณ * แถลงเรื่องเนื้อหายอดนิยมอันได้แก่เรื่องตีกันนั้น ข้าพเจ้าเกิดอาการร้อนท้อง เอ๊ย...ตัวร้อน ต้องไปหายาแก้ไขแก้ปวดมาระงับอาการทันที ฮ้าดดดดดดดเช่ยยยยยยยย ===================== "บุษบาท่าพระจันทร์" นั้นไม่ทราบจริงๆ ค่ะคุณเพ็ญฯ   เท่าที่ถามท่านมหากุ๊กเกิ้ล ท่านให้รหัสที่พอจะต่อได้คือเป็น สมญาที่ "อิงอร" นักประพันธ์อาวุโส มอบไว้แด่คุณนิภา (บางยี่ขัน) ทองถาวร   "ว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง" นั้นมาจากอิเหนาที่เคยออกปากกว่า บุษบานั้นมีอะไรดี ทำไมถึงต้องมาแย่งกันจะเป็นจะตาย แต่ในที่สุดตัวเองนั่นแหละที่ไปหลงรักนางบุษบา  ในที่สุดก็ไปแย่งกะเขาด้วยเหมือนกัน ความช่วงนี้อยู่ในอิเหนาตอนศึกกะหมังกุหนิง เป็นอย่างไรไปลองอ่านดูค่ะ http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=42424 หลังจากอิเหนาได้อ่านจดหมายด่วนของท้าวกุเรปันซึ่งเรียกตัวให้ไปรบกับทัพกะหมังกุหนิงตามสัตยาบันของวงศ์เทวัญที่ว่า หากเมืองใดเกิดเหตุ เมืองที่เหลือก็ต้องไปช่วย อิเหนาซึ่งขณะนั้นกำลังรักอยู่กับนางจินตะหรา ณ เมืองหมันหยาถึงกับถอนใจเฮือกใหญ่แล้วกล่าวว่า "ครั้นอ่านสารเสร็จสิ้นพระทรงฤทธิ์         ถอนฤทัยคิดแล้วสงสัย บุษบาจะงามเพียงไร                          จึงต้องใจระตูทุกบุรี หลังรักรูปนางแต่อย่างนั้น                   จะพากันมาม้วยไม่พอที่ แม้นงามเหมือนจินตะหราวาตี              ถึงจะเสียชีวีก็ควรนัก แล้วว่าแก่ดะหมังเสนา                       เราจะยกโยธาไปโหมหัก หากเมื่อได้เจอกัน อิเหนาก็หลงรักนางบุษบาหัวปักหัวปำเสียเอง ไม่พอ ยังสำแดงอาการตกหลุมรักอาการหนักกว่าใครเพื่อน เจอคนสวยแล้วเหงื่อแตก แถมยังแต่งกลอนสดุดีความงามของแม่นางได้ฉับพลันอีกด้วย "งามจริงยิ่งเทพนิมิต                      ให้คิดเสียดายเป็นหนักหนา เสโทไหลหลั่งทั้งกายา                     สะบัดปลายเกศาเนืองไป กรกอดอนุชาก็ตกลง                       จะรู้สึกพระองค์ก็หาไม่ แต่เวียนจูบสียะตรายาใจ                  สำคัญพระทัยว่าเทวี ความรักรุมจิตพิศวง                       จนลืมองค์ลืมอายนางโฉมศรี ไม่เป็นอารมณ์สมประดี                    ภูมีหลงขับขึ้นฉับพลันฯ เจ้าเอยเจ้าดวงยิหวา                        ดั่งหยาดฟ้ามาแต่กระยาหงัน ได้เห็นโฉมฉายเสียดายครัน               ฉุกใจไม่ทันคิดเอยฯ สังคามาระตาโฉมเฉลา                     ค่อยสั่นพระเพลาพลางสะกิด หยิกเอาบาทบงสุ์พระทรงฤทธิ์          ภูวไนยได้คิดก็นิ่งไปฯ" แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 50 21:29:34 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 10 มี.ค. 50 15:21:02 ]

ความคิดเห็นที่ 127 โอ...ต่อมความรู้ผลิบานค่ะ อ่านเพลิดเพลินเชียว  โดยเฉพาะ สำนวน ฟืนฝอยหาตะเข็บ  และปากหวานก้นเปรี้ยว ที่ได้ยินบ่อยๆ  แต่ไม่เคยเฉลียวใจถึงที่มาว่าจะเป็น อย่างนี้เลยค่ะ  พูดแล้วก็คิดถึงพี่วา (วาณิช) มากๆ เป็นน้องใหม่ที่เพิ่งเข้ามาส่งเสียงนะคะ แต่แอบอ่านห้องนี้มานาน  ชื่นชมคุณแสนอักษร และคุณเพ็ญชมพู มากๆ ค่ะ   อยากเห็นลิงค์ "เพ็ญชมพู" โชว์ค่ะ ขอบคุณล่วงหน้านะคะ จากคุณ : ต้นจั่น - [ 10 มี.ค. 50 17:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 128 มาแปะลิงก์ คำที่มักเขียนหรือพิมพ์ผิดบ่อย ๆ ภาค ๒ จากคุณ : เพ็ญชมพู  - [ 7 ก.พ. 50 09:39:17 ] http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5115945/K5115945.html จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 10 มี.ค. 50 18:18:34 ]

ความคิดเห็นที่ 129 ในฐานะผู้ศึกษาประวัติศาสตร์ของชาววรรณศิลป์ มธ. ต้องขอบอกว่า ปิ๊งป่อง! ครับ บุษบาท่าพระจันทร์ นั้น เป็นสมญาที่ "อิงอร" สมัยแรกเริ่มรุ่งเรืองกับการเขียนนิยายลง "บางกอก" และเขียนบทละครวิทยุเล่นกันวันละหลายสำนัก ตั้งไว้ให้กับ นิภา บางยี่ขัน(ทองถาวร) ในยุครุ่งเรืองของกลอนสดทางโทรทัศน์ และหนังสือเล่มละบาทยุค "กลอนหาผัวหาเมีย"(ตามคำเรียกของสุจิตต์ วงษ์เทศ) เหตุที่ขนานนามว่า "บุษบาท่าพระจันทร์" นั้น คำว่า "บุษบา" ก็มาจากการเปรียบเทียบกับสำนวนเดิม "บุษบาท่าเรือจ้าง" ของคุณพุ่ม กวีหญิงฝีปากจัดจ้านระดับทัดเทียมสุนทรภู่ในสมัยรัชกาลที่ ๔ แถมด้วยรูปร่างหน้าตาของคุณนิภาก็สะสวยไม่น้อยหน้าสาวนักกลอนสามย่านยุคนั้นอย่างคุณจินตนา ปิ่นเฉลียว แต่อย่างใด ส่วน "ท่าพระจันทร์" ก็เนื่องจากคุณนิภาศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ขณะนั้นเองครับ จากคุณ : โกฏิดารา - [ 10 มี.ค. 50 21:10:26 ]

ความคิดเห็นที่ 130 ความคิดเห็นที่ 114   ต้องแม่นางรจนานี่สิ ถึงจะเจ๋ง มองเห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน รูปเงาะสวมไว้ให้คนหลง (ภาพเขียนสีน้ำฝีมือ อจ จักรพันธุ์ รูปนี้ เจ้าของคือ มรว อัจฉรีเพราพรรณ วรรณพฤกษ์) ชายหนุ่มน่าเกลียดอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะเอา เหมือน Beauty and the Beast ^ ^ ^ คุณ PatPDX ( คห.114) ครับ ผมว่าตอนนี้  หากคิดดูดีๆ ผมว่านางรจนาคงไม่ได้หวังจะเลือกเจ้าเงาะหรอก ด้วยรูปร่างหน้าตาของเจ้าเงาะ  พอนางรจนาเห็นก็คงตกใจอ่ะครับ และสิ่งที่อยู่ในมือของนางรจนาขณะนั้นก็คือ  พวงมาลัยสำหรับเลือกคู่ นางรจนาคงลืมตัวอ่ะ  เลยเอาพวงมาลัยปาเจ้าเงาะ(ไม่ได้เสี่ยงพวงมาลัยให้) สุดท้ายเลยต้อง "ตกกระไดพลอยโจน" จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 11 มี.ค. 50 10:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ^ ^ ================== ว่ากันถึงบุษบาท่าพระจันทร์ แล้ว คุณพุ่ม "บุษบาท่าเรือจ้าง" ที่คุณโกฏิดาราทิ้งรหัสลับไว้ให้ล่ะ ไปอ่านเต็มๆ ได้ที่นี่ค่ะ http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetail.asp?stcolumnid=552&stissueid=2424&stcolcatid=2&stauthorid=13 โดยย่อๆ "...คุณพุ่ม เดิมเป็นชาววังตำแหน่งพนักงานพระแสง ซึ่งมีหน้าที่ใกล้ชิดพระเจ้าแผ่นดิน ต้องเป็นคนที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่ง เพราะต้องเชิญพระแสงตามเสด็จแต่บนที่ (ที่พระบรรทม เรียกกันสั้นๆ ว่า "บนที่") ไปทรงบาตร เมื่อเสด็จกลับขึ้นหอพระต้องคลานผ่าน6เจ้านายฝ่ายใน ซึ่งเฝ้าอยู่ตลอดพระที่นั่งไพศาลทักษิณมาถวายพระแสงให้ทรงถือที่พระทวารา (ในรัชกาลที่ ๔ พระราชทานชื่อพระทวารานี้ว่า "เทวราชมเหศร") ต่อมาคุณพุ่มกราบถวายบังคมลากลับไปอยู่บ้านบิดา อ้างว่าป่วยไม่สบาย บ้านพระยาราชมนตรี (ภู่) อยู่ตรงท่าช้างวังหลวงในปัจจุบันนี้ คุณพุ่มมีแพอยู่หน้าบ้านทำนองสโมสร ซึ่งมีผู้เข้าใจว่าเป็นบ้านเรือนของคุณพุ่มด้วย แต่ที่จริงแล้วคุณพุ่มไม่ได้นอนในแพนั้น แพเป็นเพียงที่ชุมนุมเล่นสักวาทำนองสโมสรดังกล่าว การเล่นสักวาและแต่งเพลงยาวในสมัยรัชกาลที่ ๓ เฟื่องฟูมาก โดยเฉพาะการชุมนุมที่แพของคุณพุ่มต้องเป็นสังคมชาวราชสำนักที่ "ดัง" มากทีเดียว ...." ตัวอย่างสำนวนเด็ดของคุณพุ่ม http://www.thaigoodview.com/library/teachershow/ratchaburi/sudarath_d/section02p03.html (กรมหลวงภูวเนตรเขียนสักวาให้คนอื่นนำมาอ่าน ดังนี้) "สักวาวันนี้พี่สังเกต           เหมือนพุ่มพวงดวงเนตรของเชษฐา มิได้เห็นลับลี้หลายปีมา....... (คุณพุ่มฟังก็รู้ว่าเป็นกลอนของกรมหลวงฯ จึงตอบว่าอย่างนี้) "สักวาน่าโห่ให้เรือล่ม                  นี่หรือกรมภูวเนตรเศษสวรรค์ เอานายทิมเข้ามาแทนพอควรกัน           เหมือนอย่างหั่นใบขี้เหล็กให้เด็กยำ" แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 50 10:46:07 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 11 มี.ค. 50 10:40:55 ]

ความคิดเห็นที่ 132 ดอกไม้เลือกคู่นี้   นวนิยายอิงพงศาวดารจีน เรื่องชั่นบ้อเหมา ของ คุณ ป.ร. เริ่มนำเข้ามา เรียกว่า พวงไฉกิ้ว ตัวนางเอกหน้าตาอัปลักษ์ ขึ้นไปอยู่บนหอสูง  แล้วเสี่ยงพวงมาลัย ซึ่ึงเป็น ดอกไม้กายสิทธิ์ทำด้วยทองคำ นางเอกอ่านมนต์เรียกเทพยดาแม้นยู่สิ่น แปลว่า เทพยาเดินหน (คงเป็นเทพยดา แมสเซ็นเจอร์ ประมาณนี้) มีอยู่ ๔๐ องค์มาใช้สรอยได้   โดยสั่งให้แปลงเป็นชายหนุ่มชาวเมือง มาแย่งกันรับพวงไฉกิ้ว พระเอก เห็น จีนมุง ก็เข้าไปดูกับเขาด้วย เมื่อเห็นนางเอกหน้าดำ หรือหน้าลายดำสลับขาว ตัวอ้วนๆ ยืนอยู่ ก็หัวเราะ ว่า  ว้า...มารับพวงมาลัยทำไม แล้วก็เดินหนีไป นางเอกก็ขว้างพวงมาลัยที่ตัวเองเสกไว้ ด้วยความเร็วของการปาลูกเบสบอล นางเอกแข็งแรงมาก และเป็นลูกศิษย์ผู้วิเศษ พระเอกเสร็จ.... นางรจนานี่ มีจริตอันงาม  เมื่อจะทิ้งพวงมาลัย ก็หันหน้าไปอีกทาง  ทำเป็นอาย แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 50 10:49:59 จากคุณ : แสนอักษร - [ 11 มี.ค. 50 10:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 133 เจ้าเงาะ ภาพเขียนสีน้ำของ อจ จักรพันธุ์ โปษยกฤต เอารูปเงาะสวมองค์ทรงเข้าแล้ว   ใส่เกือกแก้วถือไม้เท้าห้าวหาญ เหาะขึ้นเวหาเหินทะยาน             ออกจากเมืองมารรีบมา ถ้าเป็นสมัยนี้ พี่เงาะคงต้องขี่บีเอ็ม พร้อมดาวเต็มบ่า รจนาเราถึงจะเสี่ยงพวงมาลัยให้ จากคุณ : PatPDX - [ 11 มี.ค. 50 11:19:13 ]

ความคิดเห็นที่ 134 น้องรจนา เมื่อนั้น                    รจนานารีมีศักดิ์ เทพไทอุปถัมภ์นำชัก  นงลักษณ์ดูเงาะเจาะจง อาย (แต่เอา) จากคุณ : PatPDX - [ 11 มี.ค. 50 11:34:13 ]

ความคิดเห็นที่ 135 อ่านไปอ่านมา ได้สำนวนเพิ่มอีก ต่อไปอาจคุ้นหูมากขึ้น ด้วยเป็นเรื่องของรักๆ ใคร่ๆ ของหนุ่มสาว ....น่าเกลียดอย่างไร ข้าพเจ้าก็จะเอา หรือ อาย (แต่เอา) ขอบคุณคุณ PatPDX ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 11 มี.ค. 50 13:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 136 เอาไว้ก่อน อิอิอิ จากคุณ : PatPDX - [ 11 มี.ค. 50 13:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 137 เอาก็เอา อิอิอิ จากคุณ : NickyNick - [ 11 มี.ค. 50 13:43:39 ]

ความคิดเห็นที่ 138 ๕๕๕ รู้จักอายบ้าง  ก็น่าเอ็นดู จากคุณ : แสนอักษร - [ 11 มี.ค. 50 14:09:58 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ดีกว่าไม่มี อิอิอิ ================ จากภาพคคห.ที่ 134 รจนาของอาจารย์จักรพันธุ์นั้นโพสต์ท่าได้สง่างามมากค่ะ ส่งสายตาที่มีแววรู้ทันในกลเจ้าเงาะ ไม่ว่ารจนาจะปาพวงมาลัยเพราะลืมตัว หรือจงใจเสี่ยงมาลัยเลือกคู่เพราะมีตาเอ็กซเรย์เห็นรูปสุวรรณอยู่ชั้นใน  เราก็ยังให้เธอเป็นที่หนึ่งในบรรดานางในวรรณคดีไทยทั้งหมดอยู่เสมอ สำนวนที่ได้จากสังข์ทองนอกจาก รูปสุวรรณอยู่ชั้นใน เสี่ยงพวงมาลัยเลือกคู่ ก็คือ เงาะถอดรูป ขอยืมคำบรรยายสังข์ทองของ "ศศิวิมล" จากบทความเรื่อง "สังข์ทอง" จากหนังสือ รวมเรียงความของศศิวิมล สัตมบรรพ ลำดับเจ็ด ดังนี้ "พระสังข์จะถอดรูปก็ต่อเมื่อมีเหตุสำคัญๆ เช่นเมื่อท้าวสามนต์ใช้ให้ไปหาเนื้อ-หาปลากระนั้นก็ยังไม่มีใครรู้ข้อเท็จจริง หกเขยไปขอเนื้อขอปลาจากพระสังข์ก็นึกว่าขอจากเทวดา มีแต่นางรจนาเท่านั้น ที่รู้ว่าเจ้าเงาะถอดรูปได้ จึงเมื่ออ้อนวอนให้เจ้างอกออกไปตีคลีพนันเอาบ้านเอาเมือง และเง้าเงาะเล่นตัวไม่ยอมไปง่ายๆ นางจึงว่า จงถอดเงาะเสียเถิดนะทูนหัว        จะซ่อนเนื้อซ่อนตัวไปถึงไหน จนตกไร้ได้ยากลำบากใจ             ช่างกระไรไม่คิดแกล้งบิดเบือนฯ เจ้าเงาะลำบากมาเสียจนไม่กลัวลำบาก ถ้าพระอินทร์ไม่มายุ่ง เงาะก็เห็นจะอยู่กับรจนาที่ปลายนาอย่างนั้น ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อท้าวสามนต์ยกธานีให้พระสังข์ได้เสวยวังแล้ว จะเป็นสุขอย่างเมื่ออยู่ปลายนาหรือไม่..." ภาพที่นำมาลงเป็นภาพวาดฝีมือ จักรพันธุ์ โปษยกฤต ประกอบบทความนี้ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 50 16:03:15 แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 50 15:49:27 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 11 มี.ค. 50 15:46:15 ]

ความคิดเห็นที่ 140 อ่านคำวิจารณ์ของคุณ * แล้วรู้สึกตัวเบาเหมือนจะลอยได้ ใครก็ได้กรุณาเอาไม้สอยลงมาหน่อย เปลี่ยนบรรยากาศเรื่องรัก มาเป็นเรื่องรบ (กันเอง) บ้าง  คุณ  AntiSpam คงรู้จักสำนวนที่ว่า "กาคาบข่าว"  มาจากเรื่องของ "วีรกา"  ต้นรัชสมัยรัชกาลที่ ๒  ต้องรบกวนคุณ AntiSpam ช่วยขยายอีกแล้ว ด้วยว่าติดใจในสำบัดสำนวนชวนติดตามของเธอเป็นยิ่งนัก   จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 12 มี.ค. 50 06:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 141 กาคาบข่าว ไปติดตามเรื่องได้ในกระทู้กบฏยังเติร์กเลิยครับ จากคุณ : โกฏิดารา - [ 12 มี.ค. 50 20:56:05 ]

ความคิดเห็นที่ 142 โฮ่ๆๆๆๆ กาคาบข่าว ตัวนี้ไม่ทราบว่าเป็นตัวเดียวกับในใจของคุณเพ็ญฯ หรือเปล่านะคะ และจะเป็น "วีรกา" หรือไม่...ก็ไม่ทราบ แต่ที่แน่ๆ ขอเรียกว่า "กาเคจีบี" เพราะถึงขั้นเด็ดพระชนม์ชีพองค์เจ้าฟ้าแห่งวังท่าพระพระองค์แรกได้ทีเดียว ในปีที่พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยเสวยราชสมบัติ มีข่าวลือว่า เจ้าฟ้ากรมขุนกษัตรานุชิตหรือ "เจ้าฟ้าเหม็น" พระโอรสแห่งพระเจ้ากรุงธนบุรี และเจ้าฟ้าฉิมใหญ่ ซึ่งเป็นพระธิดาในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 1 ก่อกบฏ หรือที่เรียกกันว่า "กบฏเจ้าฟ้าเหม็น" โดยเหตุที่ข่าวนี้ไม่เป็นข่าวลับอย่างที่ควรจะเป็นก็เพราะว่ากันว่า มีกาคาบหนังสือบอกความรู้ไปถึงกรมวังตำรวจว่า เจ้าฟ้าเหม็นคิดการแย่งชิงราชสมบัติ มาทิ้งไว้หน้าพระมหาปราสาท ดังความในพงศาวดารฉบับเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ดังนี้ "ครั้นเดือน ๑๐ ขึ้น ๑๒ ค่ำ มีกาคาบหนังสือทิ้งที่ต้นแจง หน้าพระมหาปราสาท พระยาอนุชิตราชาเป็นผู้เก็บได้ อ่านดูใจความว่า พระเจ้าหลานเธอเจ้าฟ้าธรรมธิเบศร ซึ่งเป็นกรมขุนกษัตรานุชิต เป็นบุตรเจ้ากรุงธนบุรี กับพี่น้องร่วมบิดาเดียวกันอีกสองคนคือ นายหนูดำหนึ่ง จอมมารดาสำลีในพระบัณฑูรน้อยหนึ่ง คบคิดกับขุนนางเป็นหลายนายจะแย่งชิงเอาราชสมบัติ จึงนำความขึ้นกราบทูลแต่สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กรมพระราชวังบวรสถานมงคล โปรดให้ไต่สวนได้ความจริงแล้ว รุ่งขึ้นวันจันทร์ เดือน ๑๐ ขึ้น ๓ ค่ำ จึงให้นายเวรกรมพระตำรวจวังไปหากรมขุนกระษัตรานุชิตเข้ามาที่ประตูพิมานไชยศรีสองชั้นแล้วจับ..." http://www.carabao.net/webboard/messageDetail.asp?MessageId=21818 คำว่ากบฏเป็นสมญาที่มักตกแก่ผู้แพ้เสมอ...ในที่สุด เจ้าฟ้าเหม็นทรงถูกสำเร็จโทษด้วยท่อนจันทน์ ส่วนขุนนางข้าหลวงและพระญาติพระวงศ์ที่คาดว่าจะเกี่ยวข้องด้วยก็ถูกสำเร็จโทษตามเจ้าฟ้าเหม็นไปอีกหลายชีวิต นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "อย่าไว้ทาง อย่าวางใจกา" กานั้นไม่ใช่แค่ปากยาว ไม่ใช่แค่มีปากที่เขียนหนังสือได้...แต่ยังอ่านหนังสือออกอีกด้วย แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 21:58:54 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 21:22:34 แก้ไขเมื่อ 12 มี.ค. 50 21:21:44 จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 12 มี.ค. 50 21:21:13 ]

ความคิดเห็นที่ 143 เมื่อเด็กๆก็เคยท่องกลอนอาขยานอะไรเกี่ยวกับกาเยอะเหมือนกัน แต่ดูท่ากาจะเป็นนกอาภัพ เพราะคนชอบเปรียบเปรยมันไปในทางร้าย ว่า รูปชั่วตัวดำอย่างกะอีกา หรือไม่ก็ปากยาวยิ่งกว่าปากกา big mouth ไปโน่น แล้วก็ขี้ขโมยด้วย ไข่นกตัวอื่นถ้าเผลอมันก็จะลักไปกกเอง งุบงิบเป็นลูกตัวเสร็จสรรพ เคยดูในทีวี เขาว่ามันเป็นนักวางเพลิงมือหนึ่งก็ได้ เพราะถ้าเห็นก้นบุหรี่วาบๆที่ไหน มันจะคาบไปทิ้งที่ลอมฟาง รู้สึกจะเป็นพวก..เอ่อ..ภาษาอังกฤษว่าอย่างไรนะ พวกชอบเล่นกับไฟน่ะ ที่แน่ๆตอนนี้ก็คอยระวังระไวไม่ให้มันมาฝากรอยเท้าไว้ที่ใบหน้าของเรา ไปให้ห่างๆเลยแก จากคุณ : PatPDX - [ 13 มี.ค. 50 00:28:12 ]

ความคิดเห็นที่ 144 กาไรหว่า อ่านออกเขียนได้ จากคุณ : * (nickycharles) - [ 13 มี.ค. 50 05:09:24 ]

ความคิดเห็นที่ 145 "กาลังอ่าน"   มองการเมืองไทย ย้อนสมัยรัตนโกสินทร์ (ยังเติร์ก ภาค 102) http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5167296/K5167296.html ตามคำแนะนำของคุณโกฏิดารา จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 มี.ค. 50 06:19:02 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ความจริงเขียนแจมไปแล้วใน #143 ยาวเสียด้วย แต่ความเห็นเข้ามาในช่วงที่พันทิปคงมีปัญหาเท็คนิคอล ทู้เลยโดนดูดหายไป เก๊กซิมมาก เล่นเอาหมดอารมณ์เลยนะเนี่ย จากคุณ : เอาทู้ของหนูคืนม้า (PatPDX) - [ 13 มี.ค. 50 06:43:29 ]

ความคิดเห็นที่ 147 อยากอ่าน ๑๔๓ เหมือนกันครับ ไม่รู้ว่าโดนดูดจากปัญหาเทคนิคอล หรือติดเรท 555 ค่อยๆ นึกนะครับ บ่ายๆ จะรีเฟลชดูใหม่ จากคุณ : NickyNick - [ 13 มี.ค. 50 08:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ถูกดูดเขียนใหม่ได้                    อย่าเก๊ก  ซิมนา ความเห็นเรื่องใหญ่เล็ก              อ่านได้ ปัญหาเรื่องทางเทค                  นิคอล  แก้ยาก ปัญหาสำนวนไทย                    แก้ง่ายสบายดี วีรกรรมของ "กาเคจีบี" ยังได้รับคำสดุดีจากรัชกาลที่ ๓ ควรเห็นว่าไท้เทพ                   จงผลาญ นาพ่อ กาก็เป็นเดียรัจฉาน                  ชาติข้า ดังฤาออกนามสาร                   ส่อโทษ ถวายแฮ แท้ว่าบุญเจ้าหล้า                     หากให้ดาลดล ปางประหยัดยกชอบให้             แก่กา ทั่วนิคมสีมา                           ท่านนั้น ผู้ใดอย่าริษยา                        ยีย่ำ มันแฮ บำเหน็จกาเข้าปั้น                    ไปเว้นวันเสมอ ป.ล.  เชิญชวนผู้สนใจการออกเสียงภาษาอังกฤษไปเยี่ยมเยือนห้องเรียนการออกเสียงพยัญชนะตอนที่ ๒ ของอาจารย์ชุมศักดิ์และช่วยกันโหวตได้ที่ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5209142/K5209142.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 มี.ค. 50 08:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 149 ค่ะ พันทิปมีปัญหาพอสมควร เข้าใจว่าช่วงที่คุณแพทโพสต์ คงเป็นช่วงที่พันทิปเดี้ยงแน่ๆ เขียนอะไรยาวๆ เขียนใส่ Notepad หรือ Word ไว้ดีกว่า ไม่งั้นเก๊กซิมแบบกินเก๊กฮวยก็ช่วยไม่ได้ ขอให้ฟื้นอักษรได้เร็วๆ น่อ รออ่านจ้า จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 13 มี.ค. 50 10:17:15 ]

ความคิดเห็นที่ 150 วันนี้สำคัญไฉนใครทราบบ้าง เป็นวันช้างของไทยใคร่เฉลย ที่สิบสามมีนามาเช่นเคย ขอเอื้อนเอ่ยสำนวนช้างบ้างเถิดเอย http://www.lib.ru.ac.th/journal/elephant.html ขี่ช้างจับตั๊กแตน                                               ช้างตายทั้งตัว  เอาใบบัวมาปิด                           ช้างเท้าหลัง                                                 ดูช้างให้ดูหาง  ดูนางให้ดูแม่                             ถี่ลอดตาช้าง  ห่างลอดตาเล็น                           เห็นช้างขี้  ขี้ตามช้าง                                     อ้อยเข้าปากช้าง สำนวนนี้สั่งตรงมาจากต่างประเทศ อยู่บนหอคอยงาช้าง   live in an ivory tower สำนวนนี้สำหรับคุณ NickyNick ช้างป่าต้น คนสุพรรณ http://www.matichon.co.th/techno/techno.php?srctag=0536010246&srcday=2004/09/15&search=no ภาพบรรยากาศวันช้างไทยเมื่อปีโน้น (๒๕๔๘) ที่ปางช้างแม่สา เชียงใหม่ http://www.pantip.com/cafe/blueplanet/topic/E3349935/E3349935.html แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 11:16:16 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 มี.ค. 50 10:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 151 ขอบคุณครับที่ระลึกนึกถึงคนสุพรรณเช่นผม ยังนึกนิยมความเป็นเจ้าแม่ลิ้งค์ที่คุณแอนตี้สแปมยกย่อง ส่วนเจ้าพ่อลิ้งค์ที่ผมขนานนามให้ ก็ยังไม่เคยแวะเวียนเข้ามา อาจขอร้องคุณเพ็ญชมพูผู้มีความหมายเต็มเปี่ยมไปด้วยความสุข ลองเชื้อเชิญเธอมาเยี่ยมเยียนบ้างเป็นไร รึว่าเธอจะแสลงกับนามแอนตี้แอนไท? ถ้ามีคำว่าสุพรรณ เปิดโอกาสให้ผมขึ้นมาคราวใด กระทู้ไหนก็กระทู้นั้น ผมจะบรรเลงยืดยาวไปเรื่อยๆ จนกว่าจะเหนื่อย หรือรู้สึกว่าคนรอบข้างจะเริ่มระอา แต่ ณ ที่นี้ ขอเสริมสั้นๆ เพียงเล็กน้อยจากลิ้งค์ที่แปะไว้ให้ คำว่าช้างป่าต้น คนสุพรรณ เขามีกันมานานแล้ว คนท้องถิ่นจึงพยายามเสาะแสวงหาว่า ป่าต้นของเมืองสุพรรณอยู่ ณ ที่แห่งใด สรุปความแล้ว บอกว่าคือป่าที่เมืองอู่ทองนั่นเอง  ซึ่งที่นั่นไม่ไกลจากคูเมืองอู่ทองโบราณ มีคอกช้างดินอยู่  (แต่ภายหลังในบทความของอาจารย์ศรีศักร วิลลิโภดม บอกว่า แท้จริงแล้วไม่ใช่คอกช้างดิน แต่เป็นบารายต่างหาก บารายที่กักเก็กน้ำในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ของขอมนะครับ) จากคุณ : NickyNick - [ 13 มี.ค. 50 11:29:48 ]

ความคิดเห็นที่ 152 อ้าว ลอยเหมือนกัน กำลังส่งเรด้าร์ไปสำรวจว่าคุณเพ็ญชมพูอยู่ระดับกี่หมื่นฟุต อยู่ทิศทางไหน เมื่อคืนนึกว่ามีแต่เราคนเดียวที่โพสท์แล้วหาย ตอนแรกนึกสงสัยว่าจะถูกของ แต่น้าแอ๊ดคิดว่าคอมพิวเตอร์พันทิพย์อาจจะเดี้ยง ก็เลยเบาใจไป http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5198015/K5198015.html จากคุณ : * (nickycharles) - [ 13 มี.ค. 50 11:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 153 มาพร้อมกันทีเดียวเลยทั้งสอง nicky เรียนคุณ * อยู่แค่ระดับยอดกระถินเท่านั้นเอง ไม่กล้าขึ้นไปสูงกว่านั้น กลัวว่าตกลงมาแล้วจะเจ็บ เรียนคุณ NickyNick เอานิราศสุพรรณคำโคลงของสุนทรภู่ มาฝาก บทที่ ๒๕๔  มีความว่า ๏ บูราณท่านว่าน้ำ            สำคัน ป่าต้นคนสุพรรณ              ผ่องแผ้ว แดนดินถิ่นที่สูพรรณ          ธรรมชาด มาศเอย ผิวจึ่งเกลี้ยงเสียงแจ้ว         แจ่มน้ำคำสนองฯ http://members.thai.net/sunthornphu/Nirat/supan.htm ป.ล. แจ้งให้เจ้าพ่อลิ้งก์ของคุณ NickyNick ทราบแล้ว จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 13 มี.ค. 50 12:04:18 ]

ความคิดเห็นที่ 154 #94 "เรียบร้อยโรงเรียนจีน" ตอนนั้นดูรายการคุณพระช่วยค่ะ เขาอธิบายไว้จนเข้าใจดี ก็เป็นอย่างที่คุณ "แสนอักษร" ได้ตอบมาแล้วแหละค่ะ แต่จะขอเสริมนิดนึงนะคะ ตามรายการเขาว่า "สมัยจอมพล ป. ไม่แน่ใจว่าเป็นผู้ก่อการร้าย หรือคนสอนศาสนาค่ะ (อันนี้เราจำไม่ได้เอง) จะหลบซ่อนอยู่ตามโรงเรียนสอนภาษาจีน ทีนี้เมื่อมีการตรวจค้น ตำรวจชั้นผู้ใหญ่ ก็สั่งให้ตำรวจชั้นประทวนไปตรวจ แล้วพอถามเข้า ก็ได้รับคำตอบว่า "เรียบร้อยโรงเรียนจีน" คือตรวจสอบแล้วเรียบร้อยดีค่ะ #97 "เกลียดตัวกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง" เคยได้ยินว่ามาจากตัวตะกวด ค่ะ คือจากรูปลักษณ์แล้วไม่น่าดูเป็นที่รังเกียจ แต่ไข่ของมันนั้นอร่อยยิ่งนักถึงขนาดเคยขึ้นโต๊ะเสวยในราชวงศ์สมัยก่อนทีเดียว หากผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ จากคุณ : กระปุกกลิ้ง - [ 13 มี.ค. 50 12:14:15 ]

ความคิดเห็นที่ 155 เปลี่ยนจากกาเป็นช้างก็ดี เพราะพูดถึงกาแล้วก็เสียวๆว่ามันชอบฝากรอยรักไว้บนใบหน้าผู้คน เพื่อให้รู้ตัวว่าแก่ แล้วช้างก็เผอิญเป็นของสะสมเล่นของดิฉัน เลยต้องขออวดกันหน่อย แต่เจอของจริงก็ต้องหลีกๆกันให้พ้นทาง เพราะไม่อยากถูกเหยียบ แก้ไขเมื่อ 13 มี.ค. 50 14:52:51 จากคุณ : PatPDX - [ 13 มี.ค. 50 13:18:42 ]

ความคิดเห็นที่ 156 อีกอันที่เคยได้ยินแต่จำไม่ได้แม่น ว่าอะไรนะคะที่ช้างรบกันแล้วหญ้าแพรกแหลกลาญ.. รูปที่เห็นนี่หลังคาตู้ไม่ใช่กระจกฝ้านะคะ แต่เป็นขี้ฝุ่นค่ะ(อายจัง) จากคุณ : PatPDX - [ 13 มี.ค. 50 13:34:18 ]