ความคิดเห็นที่ 1 ผมมองว่า กรณีนี้ ก็เหมือนกับ การโฆษณาเครื่องดื่มชูกำลัง ที่บอกว่า ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด ทั้ง ๆ ที่มันเป็นโทษต่อร่างกาย แต่ก็โฆษณาต่อไปอยู่ดี แถมยังรีบพูดแบบเร็ว ๆ และ ในลักษณะขอไปที ถ้าให้เดา การจะหาคนมาขุดค้นทางความคิดเหมือนอย่างที่ ดร.สุเนตร หรือ ทีมงานโฆษณานั้น น้อยครับ 100 ชัก 10 เผลอ ๆ จะชัก 3 เสียด้วยซ้ำไป แต่จะใ้ห้เข้าขั้นหนอนหนังสือที่ไปหมกตัวใน หอสมุดแห่งชาติ หรือ ค้นหาหนังสือพงศาวดารประเทศอื่น ๆ มาอ่านประกอบ ยิ่งยากเข้าไปอีกครับ ส่วนตัวมองว่า เป็นแค่กระแสเท่านั้นเอง ที่เขาค้าน ๆ กัน นั่นเขาก็เอามาจากประวัติศาสตร์เหมือนกัน ไม่ได้นั่งเทียน make ขึ้นมา ถึงวันนี้ รูปโฉมประวัติศาสตร์สำหรับเด็กรุ่นใหม่ก็จะเปลี่ยนไปแล้ว ไม่เหมือนในอดีตอีกต่อไป ก็เพราะหนังเรื่องนี้อีกเหมือนกัน ก็ว่ากันไปครับ คนที่พร้อมกว่า(ทุนทรัพย์,ชาติตระกูล)ย่อมได้เปรียบ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 23 มี.ค. 50 14:47:44 A:58.10.222.186 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พระเจ้าจอร์จ!!!!!! เพิ่งเห็นว่าเขียนสมเด็จผิด เวงกำ จากคุณ : eagle1000 - [ 23 มี.ค. 50 14:52:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อืม....ถึงจะเป็นกระแส แต่การตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนละ อย่างน้อยก็ถือว่าหนังมีการสร้างอิทธิพลไปแล้ว ถึงจะเป็นกระแสเป็นพักๆ แต่ก็อย่างน้อยก็เป็นการจุดไฟที่ดี ถึงจะเป็นแค่เทียนเล่มหนึ่งไม่ถึงขั้นไฟลามทุ่งก็เถอะนะ รูปโฉมปวศ.อาจเปลี่ยนไป แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเผ็นผลดีหรือเสีย ตอนนี้คงสรุปไม่ได้หรอกครับ รอดูต่อไปเถอะ จากคุณ : eagle1000 - [ 23 มี.ค. 50 14:54:30 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อืม....ถึงจะเป็นกระแส แต่การตีเหล็กก็ต้องตีตอนร้อนละ อย่างน้อยก็ถือว่าหนังมีการสร้างอิทธิพลไปแล้ว ถึงจะเป็นกระแสเป็นพักๆ แต่ก็อย่างน้อยก็เป็นการจุดไฟที่ดี ถึงจะเป็นแค่เทียนเล่มหนึ่งไม่ถึงขั้นไฟลามทุ่งก็เถอะนะ รูปโฉมปวศ.อาจเปลี่ยนไป แต่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นผลดีหรือเสีย ตอนนี้คงสรุปไม่ได้หรอกครับ รอดูต่อไปเถอะ จากคุณ : eagle1000 - [ 23 มี.ค. 50 14:54:56 ]

ความคิดเห็นที่ 5 บทความเรื่อง "ประวัติศาสตร์ชาติ ที่เป็นประวัติศาสตร์ประสาชาวบ้าน" ของ ดร. ฮอง ลิซ่า ที่ลงในศิลปวัฒนธรรมเล่นเดือน มีนาคม 2550 พูดถึงประเด็นเกี่ยวกับทิศทางของประวัติศาสตร์ไทยที่ได้รับผลจากหนัง หรือ ละคร อิงประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะต่อคนรุ่นใหม่ ลองไปหาอ่านกันดูน่ะครับ พอดี ยังไม่มีลงใน matichon.co.th เลยไม่ได้ตัดมาให้ดูกันที่นี้ ในส่วนตัวผมก็เห็นว่าเป็นผลดีในแง่การปลุกความสนใจต่อประวัติศาสตร์ของคนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ แต่ในส่วนของตัวหนังคงไม่ทำให้กระแส (หรือ รูปโฉม) ของประวัติศาสตร์ต่างไปครับ ผมว่าสำหรับคนทั่วไปก็ยังเชื่อตามประวัติศาสตร์กระแสหลัก เพราะหนังทำได้เพียงแค่การเล่าเรื่อง เพียงแต่มีการหยิบยกข้อมูลจากหลักฐานอื่นๆ ที่อยู่นอกเหนือตำราเรียนมาแต่งเต็มเข้าไป เพื่อทำให้แตกต่างจากหนังสือเรียนเท่านั้น นอกจากนั้นส่วนที่ไม่ชัดเจนในหน้าประวัติศาสตร์ก็ถูกแต่งเติมจินตนาการไปจนเต็มครับ ถ้าจะเปลี่ยนรูปโฉมจริงๆ ต้องเปลี่ยนที่การศึกษาตั้งแต่ชั้นมัธยมขึ้นไป ให้เด็กเรียนรู้ที่จะตัดสินบริบทของประวัติศาสตร์ด้วยข้อมูลหลายๆแหล่งด้วยตัวเองครับ แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 50 17:07:54 แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 50 17:07:34 จากคุณ : Vulgar - [ 23 มี.ค. 50 17:03:29 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็น Trend  แบบเดิม ๆ ที่นิยมกันมาตั้งแต่ที่กลุ่มผู้ปกครองจัดงานชื่นชมผลงานภาพ(ยนตร์) ในการประกวดภาพจากพงศาวดารจริง ๆ ครับ เพียงแต่ว่าโลกเปลี่ยนแปลงไปแล้ว เทคโนโลยีการนำเสนอการสื่อสาร (Medie IT) ดีขึ้นกว่า 150 ปีที่แล้ว จากภาพ จากละคร กลายมาเป็น DVD, Digital เรื่องตำนานพระนเรศวรมหาราช ก็ยังเป็นโครงเรื่องเดิม กฤษดาภินิหารเดิม รักชาติเช่นเดิม "ไม่มีอะไรใหม่" ถ้าจะใหม่ คงเป็นเรื่องของเกราะ เรื่องสถานภาพและชนชั้นของผู้หญิงโบราณ ทรงผมและยุทโธปกรณ์ที่ดูจะแต่งเติม เพิ่มสีสันให้ พระเอกกับเหล่าขุนศึกกลายเป็นหนังอัศวินยุโรป ที่ดูมันส์สะใจกว่าเดิม แต่จะRealisticไหม นั่นก็มี DVD ออกมากำกับอธิบายต่างหาก ( ตรงนี้ไม่ค่อยเห็นภาพยนตร์อิงประวัติศาสตร์ของต่างประเทศเขาทำกัน....) เด็กรุ่นใหม่ในปี พ.ศ. นี้ก็มารับรู้จากการผลิตซ้ำ เรียนรู้เรื่องเดิม ๆ ที่มีมาแล้วกว่า 200 ปี ตามพระราชพงศาวดารและบทโคลงกลอนประกอบภาพเดิม ๆ เด็กวัยรุ่นเมื่อปี 2480 กว่า ๆ ก็รับรู้เรื่องเดียวกัน แต่สื่อไม่ทันสมัย ส่วนในรุ่นผม ก็มีหนังสือที่พิมพ์ออกมาโดยศึกษาภัณฑ์เป็นการ์ตูนประวัติศาสตร์น่าอ่าน เป็นภาพยนตร์บ้าง เป็นละครเรื่องเสมาบ้าง เป็นเพลงบ้าง เช่นเพลง"ดอนเจดีย์ ปูชนีสถาน คือองค์พยานข้อศึกรุกรานหมายตีนคร องค์นเรศวรเจ้าเกณฑ์เหล่าประชากร สร้างเป็นอนุสรณ์ครั้งรานรอนกับรามัญ....." เทคนิคการนำเสนอสื่อ(MultiMedia)ที่ทันสมัยขึ้น คนบริโภคกลุ่มใหม่คือกลุ่มที่ไม่เคยสนใจหรือรู้เรื่องประวัติศาสตร์อยู่แล้ว หรือรู้บ้างก็ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไร หรือใช้เพื่อสอบบ้างแต่ก็น้อยนิด ซึ่งเด็กหรือคนในกลุ่มนี้ ถ้ามีอะไรใหม่ ทันสมัย น่าสนใจก็จะสนใจแบบพอประมาณไม่มากมาย หรือก็สุดโต่งหากมันรับเข้ากับวิถีชีวิตของเขา ถ้าเทียบหนังตำนานกับเรื่องคอนเสริตของ Rain รู้สึกว่า Trend ของวัยรุ่นหน้าสวย แต่งตัวไฉไล ส่งอิทธิพลต่อการรับและเรียนรู้จนถึงขึ้นศึกษาเข้าใจ เลียนแบบและนำมาประยุกต์ใช้มากกว่าหนังเสียอีก ส่วนหนังก็ทำหน้าที่ได้ปกติเช่นเดียวกับหนังอิงประวัติศาสตร์ทุกเรื่อง ทั้งไทยและเทศ คือให้ความบันเทิง หากแต่หนังตำนานมีกลยุทธทางการตลาดที่รุนแรงและพยายามยัดเยียด"ข้อมูล"ประวัติศาสตร์ผ่านวิธีการทางการตลาดมากมาย เด็กรุ่นใหม่สนใจมากขึ้นไหม ...สนใจมากขึ้น อย่างแน่นอน แต่ก็มากขึ้นพอ ๆ .. กับเรื่องอื่น ๆ ที่เขาจะสนใจ เรื่องอื่น ๆ อีกมากมายที่เป็นTrend ของสังคมไทย หรืออาจจะสนใจเรื่องราวในประวัติศาสตรืน้อยกว่าด้วยซ้ำ หนังทำให้เรารู้จักตัวละครในประวัติศาสตร์ในฐานะของดารา ดี....ที่ไม่ต้องมาท่องจำ เอาจำชื่อจำดารา จำหน้า ก็เก่งประวัติศาสตร์ไทยแบบสำเร็จรูปได้ แต่จะเข้าใจจุดมุ่งหมายที่ลึกไปกว่าความบันเทิง ที่หนังตำนานพยายาม"ยัดเยียด"ให้เป็นหนังประวัติศาตร์ที่สมบูรณ์ เป็นหนังรักชาติ เป็นความเสียสละอย่างใหญ่หลวง เป็นมหาวีรกรรมที่ยิ่งใหญ่ ตรงนี้ไม่การันตี ว่าจะสะกิดใจคนรุ่นหใม่แค่ไหน แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 50 17:42:47 จากคุณ : วรณัย - [ 23 มี.ค. 50 17:05:06 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ภาพยนตร์เรื่องตำนานสมเด็จพระนเรศวรฯนั้นในภาคแรกมีส่วนของการบกพร่องอยู่มากพอดูนะครับ ดังเช่น การเรียก พระญาตินั้นก็เห็นผิดไปหลายฉากครับ และภาคที่ 2 มีการเน้นทางด้านการรบอยู่มากมาย แต่ผู้ที่เด่นๆในภาคนี้ดูจะเป็น พระราชมนู หรือเจ้าบุญทิ้งในเรื่องนะครับ...ฉากที่ข้าพเจ้าเองชื่นชอบเป็นพิเศษคือ ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรฯยิงพระแสงปืนข้ามแม่น้ำสะโตง...ตรงนี้เป็นสิ่งที่มำให้ผู้ชมในโรงจับตาดูมากและก็น่าที่จะเป็นฉากที่สะกดคนดูได้มากเลยทีเดียว...อย่างไรก็ตาม ภาพยนตร์เรื่องนี้มีคุณค่ามากๆทำให้คนไทยตื่นตัวในความรักชาติ และหันมาสนใจในประวัติศาสตร์ชาติไทยมากยิ่งขึ้น..สวัสดีครับ จากคุณ : เจ้าคุณโบราณ - [ 24 มี.ค. 50 12:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยว่าเรื่องนี้มีกลยุทธทางการตลาดที่น่าจับตาจริงๆ  เนื่องจากเป็นหนังฟอร์มใหญ่ ลงทุนเยอะ แล้วรายได้ก็ทูลเกล้าฯ ถวายในหลวงของเราด้วย มันกลายเป็นโปรเจ็คระดับชาติไปแล้วก็ต้องทำกันให้ใหญ่เป็นธรรมดา ไม่งั้นจะเอาทุนคืนได้ไง การตลาดของหนังก็จ้างบริษัทมืออาชีพจริงๆ ทำกันเป็นเรื่องเป็นราว เรื่องการตลาดหรือโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็เลยลุยกันหนักหน่วง  แล้วก็เป็นธรรมดาอีกเช่นกันที่การโปรโมทหนัง (ผ่านนักทำตลาดมืออาชีพ) บางครั้งหรือบางคำพูดจึงดูเหมือนเวอร์จนบางคนอาจรำคาญมองเป็นการยัดเยียด ปลุกกระแสรักชาติจนเกินไปหรือเปล่า  นั่นก็เป็นผลจากการโฆษณา และการให้ความสนใจจากสื่อแขนงต่างๆ ประสมกันเข้า ประกอบกับสถานการณ์บ้านเมืองแบบนี้กระแสรักชาติก็เลยถูกนำมาชูเป็นประเด็น ซึ่งมันก็เป็นเรื่องที่ดีด้วยซ้ำ สังคมยุคนี้มันมีกระแสโน่นนี่เกิดตลอดแหละ บางเรื่องก็ไร้สาระจะตายไป ถ้าหนังเรื่องหนึ่งมันจะสร้างกระแสให้รักชาติให้สามัคคีเพื่อให้ชาติอยู่รอด หรือให้รู้จักและรู้คุณบรรพกษัตริย์ของเราที่ทรงพระปรีชาสามารถที่สุดพระองค์หนึ่งมันก็เป็นเรื่องที่สมควรดีใจและภาคภูมิใจแล้วไม่ใช่หรือ  หรือหากว่าใครไม่รู้สึกภูมิใจก็แล้วไปแต่ขออย่ารำคาญหรือหมั่นไส้เลยค่ะ ถ้าจะมีกระแสชื่นชมหรือการโปรโมทที่มันล้นๆ เกินไปบ้าง ส่วนใครจะไปต่อยอดอะไรได้แค่ไหนก็สุดแท้แต่เจ้าตัวแล้วล่ะ ได้มากได้น้อยก็ถือว่าได้  ดีกว่าไม่ได้ทำอะไรที่มีคุณค่าเลย   ที่สำคัญก็คือคนดูหนังควรตระหนักด้วยว่าหนังอิงประวัติศาสตร์มันก็คือนำเรื่องราวจากบันทึกทางประวัติศาสตร์ผสมผสานจินตนาการของผู้สร้างไม่ใช่เรื่องจริงทั้งหมด เพราะบางเรื่องที่บันทึกไว้แต่ละพงศาวดารมันไม่เหมือนกันเลย บางเรื่องก็ไม่มีบันทึกเสียด้วยซ้ำ การจะตัดสินว่าจากบันทึกฉบับไหนถูกต้องกว่ากันมันยาก ฉะนั้นการที่นักวิชาการบางท่านจะบอกว่าหนังบิดเบือนมันก็เป็นการมองที่แคบไปหน่อย แต่ส่วนตัวเองนั้น พูดแล้วละอายมาก ฮิฮิ..เพราะดูเอามันเป็นหลักเลย ไม่ค่อยได้ใส่ใจเรื่องรักชาติเท่าไหร่ เน้นบันเทิงค่ะ ดูหนังเพื่อหย่อนใจจริงๆ ไม่ชอบเครียด ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกซาบซึ้งใจในวีรกรรมของพระองค์ท่านและเหล่าทหารทั้งหลายนะ ดูหนังฮีโร่ฝรั่งปลื้มฝรั่งมาตั้งมากมายมาปลื้มคนไทยกันเองบ้างก็เป็นเรื่องที่ดี แล้วก็ชื่นชอบที่หนังไม่ได้สร้างกระแสชาตินิยมแล้วไปโจมตีเหยียบย่ำชาติอื่น ต่างคนต่างรบเพื่อบ้านเมืองของตัวเพื่อนายของตัว   อาการข้างเคียงจากการดูหนังตำนานฯ ก็คือมาค้นประวัติศาสตร์เพิ่มเติมบ้างว่าท่านนั้นท่านนี้มีบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์อย่างไรบ้าง ซึ่งอ่านแล้วยิ่งสับสนเพราะอย่างที่บอกคือบันทึกไว้ไม่ค่อยตรงกัน เลยไม่รู้ว่าใครบิดเบือนกันแน่ หุหุ... ก็เห็นท่านผู้กำกับท่านพูดไว้ว่าถ้าคนดูแล้วสนใจอยากรู้แล้วมาค้นคว้าต่อท่านก็ถือว่าท่านประสบความสำเร็จแล้ว แต่จะมีใครค้นและคว้าลึกซึ้งขนาดต้องเป็นหนอนตำราไปหมกตัวอยู่แต่ในห้องสมุดอ่านพงศาวดารหลายๆ เล่มทั้งของไทยของเทศนั้นท่านมุ้ยท่านคงไม่ได้หวังไว้ขนาดนั้นหรอกค่ะ แม้เราจะมั่นใจว่าต้องมีแน่ๆ เลย คนที่ได้รับแรงบันดาลใจจากหนังขนาดนั้นน่ะ ส่วนตัวเองขอผ่านค่ะ มัวแต่ทำมาหากินไม่มีเวลามากขนาดนั้น เอ่อ..ว่าแต่ว่า ค.ห 1 คำลงท้ายนั้นน่ะ... ****ก็ว่ากันไปครับ คนที่พร้อมกว่า(ทุนทรัพย์,ชาติตระกูล)ย่อมได้เปรียบ*** จะสื่ออะไรและเพื่ออะไรคะ ถ้าได้เปรียบหมายถึงมีบารมีพอที่จะระดมทุนสร้างหรือได้รับความช่วยเหลือจากกองทัพก็โอเคนะ แต่ถ้าหมายถึงว่าได้เปรียบเพราะมีแต่คนเชียร์หรือวิจารณ์อะไรมาก็มีคนเสนอหน้ามาปกป้องล่ะก็เราไม่เห็นด้วยนะคะ สำหรับเรานะความสามารถและประสบการณ์ที่สั่งสมมาหลายสิบปีผนวกกับผลงานที่ได้สร้างไว้ให้เป็นที่ประจักษ์คือสิ่งสำคัญนะคะ ชาติดระกูลไม่เกี่ยว ถ้าไม่เก่งจริงบารมีก็ไม่เกิดหรอกค่ะ แก้ไขเมื่อ 25 มี.ค. 50 01:29:14 จากคุณ : tpensuda - [ 24 มี.ค. 50 22:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ความรู้สึกโดยรวม ที่ได้จากหนังเรื่องนี้ ทั้งเรื่องความรู้ด้านประวิตศาสตร์ ความรู้สึกรักชาติ ความบันเทิง เป็นไปในทางบวกทั้งหมด จากคุณ : pimon (pimon) - [ 25 มี.ค. 50 12:35:59 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมต้องการจะสื่อว่า ทีมงานได้สร้างบรรทัดฐาน ให้กับ ผู้ที่เพิ่งจะสนใจในประวัติศาสตร์ใหม่ ซึ่งโดยส่วนตัว ประวัติศาสตร์ใครจะตีความว่าอย่างไร ผมไม่ค่อยสนใจมากนัก เพราะขึ้นกับหลักฐานที่แต่ละคนได้รับ ผมสนใจจุดประเด็น ความเป็นไปได้ในเรื่องของ สิ่งที่ประกอบในหนังเสียมากกว่า หรือจะเรื่องกระแสโหมการตลาด รักชาติ ไม่รักชาตินั่น ผมก็ไม่ใส่ใจกับตรงนี้เลยเสียด้วยซ้ำไป ซึ่งคนที่ติดตามผมมาตลอดก็จะพบว่า เรื่องของ เสื้อเกราะเหล็กแบบยุโรปนั้น ผมตั้งข้อสงสัยมาตลอดว่า มีการใช้กันจริงหรือ ? http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5067272/K5067272.html กระทู้เก่า ก็มีการตั้งกันไปแล้ว ตามอ่านดูได้ ที่คัดค้าน ไม่ได้เพราะเสียผลประโยชน์อะไร แต่เบื่อการจินตนาการที่ไร้ขอบเขตมากจนเกินไป ซึ่งตรงนี้ มีผลกระทบแน่ ๆ กับประวัติศาสตร์ที่กำลังจะเปลี่ยนไปอย่างที่ผมได้บอกไป เมื่ออาทิตย์ก่อน ดูรายการคุณพระช่วยแล้ว ก็รู้สึกสะท้อนใจขึ้นไปอีกที่พยายามจะจินตนาการกันจนเกินจริงเข้าไปอีก ทั้ง ๆ ที่ หลักฐานประกอบต่าง ๆ ก็มีอยู่ แต่ก็ไม่ทำ ไม่เลือกใช้ แต่เลือกที่จะจินตนาการ แล้ว มันก็จะส่งผลกระทบต่อประวัติศาสตร์โดยตรง แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดชอบตรงนี้ ถ้าสิ่งที่จินตนาการขึ้นมันไม่ถูกต้อง ? จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม (ศรีสิทธิสงคราม) - [ 26 มี.ค. 50 09:27:04 ]