ความคิดเห็นที่ 1 โจรใต้คนนึงจำชื่อไม่ได้ที่ต่อสู้กันกับขุนพันธ์ นั่นก็ยิงฟันแทงไม่เข้า จากคุณ : สายลมปุยเมฆกับฟ้าสีคราม - [ 28 มี.ค. 50 00:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จริง ๆ การเหนียวนี่มีได้หลายอย่าง ทั้งเหนียวจากเครื่องรางของขลัง หรือ เหนียวจาก คาถา ถ้าของภาคกลาง นอกจากออกหลวงมงคล แล้ว ก็ ท่านออกญาโกษาธิบดี (ปาน) ครั้นเป็นออกพระวิสูตรสุนทร ราชฑูตไปเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับ หลุยส์ที่ 14 ตอนนั้น ก็มีการท้าดวลปืนกัน (ฝรั่งมีจดบันทึกไว้) ปรากฏว่า ยิงไม่ตาย ทำให้ หลุยส์ที่ 14 ขอ .."เชื้อ" พวกคงกระพันพวกนี้ไว้ที่ฝรั่งเศส พวกนี้เหนียวเพราะคาถา ******************************** ภาคเหนือ ปลายยุคกรุงศรี ก็มี พญามือเหล็ก หรือ หนานข้อมือเหล็ก ทหารเอกของ ท้าวลิ้นก่านที่ครองเมืองลำปาง ตอนหลังชาวบ้านยกให้เป็น เจ้าพ่อประตูผา ศาลท่านยังมีอยู่ที่ลำปาง ค่ายฝึกรบพิเศษประตูผา ตามตำนานเล่าว่า ท่านใช้ แขนตัวเองต่างโล่ห์ ป้องกัน คมดาบพม่าได้ ท่านสู้กับพม่าชนิด 1 : 100 สบาย ๆ (ลิโอไดนัส เห็นแล้วต้องหนาว) แต่ไม่ได้พักร่างกายเลย ข้าวก็ไม่ได้ทาน สุดท้าย (น่าจะ)หัวใจวายตาย ท่านเจ้าพ่อ ก็เหนียวเพราะคาถา *************************************** สุด ๆ ก็คราว ๆ สงครามอินโดจีน ที่สมรภูมิปอยเปต ทหารไทย สองนายลุกพรวดจากแนวป้องกัน เดินดุ่ม ๆ เข้าไปตัดลวดสนาม โดยที่ฝ่ายฝรั่งเศสก็ระดมยิงปืนกลหนักเข้าใส่ แต่ไม่ระคายผิว ทั้ง ๆ ที่ หมวกเหล็กทะลุเป็นรู แต่คนไม่ยักกะเป็นอะไร ล้มกลิ้งล้มหงาย แล้วก็ลุกขึ้นมาใหม่ได้ จนกองทัพฝรั่งเศสต้องล่าถอยทิ้งที่มั่นไป ทหารญวนที่โดนเกณฑ์มาก็กลัวทหารไทยมาก กรณีนี้ เท่าที่จำได้ ทหารไทย พก ผ้าถุงของแม่ กับ ฟันของพ่อ ซึ่งเป็นเครื่องรางที่คนไทยโบราณถือว่า เป็นของสูง จริง ๆ มีพระแจกนะครับ ปลุกเสกโดยเกจิดังยุคนั้น 4 รูป คือ หลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี หลวงพ่อจง พุทธสโร วัดหน้าต่างนอก อ.บางไทร จ.พระนครศรีอยุธยา หลวงพ่อคง วัดบางกระพ้อม อ.อัมพวา จ.สมุทรสงคราม หลวงพ่ออี๋ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี มีนามเรียกว่า "จาด จง คง อี๋" แต่บางท่านก็บอกว่า ไม่ใช่หลวงพ่ออี๋ แต่เป็นอีกท่านหนึ่ง ก็ว่ากันไป รายละเอียดต้องลองไปอ่านดูในหนังสือ ศิลปวัฒนธรรม เล่มที่มีเรื่องพระมเหสีของพระนเรศวร หรือไม่ก็ต้องไปอ่านในหนังสือพระราชทานเพลิงศพพันตรีหลวงนิมมานกลยุทธ ดูนะครับ ในสมรภูมิต่อมา คราวศึกเชียงตุง ในหนังสือ ทหารเหลือใช้สงคราม ของ พลตรี ถาวร ช่วยประสิทธิ์ (ลุงตุ๊ หรือ พี่ตุ๊ ของ คุณชายถนัดศรี ในรายการครอบจักรวาล) ท่านบันทึกไว้ว่า ท่านไปรบที่เชียงตุง ระหว่างที่อยู่เชียงใหม่ ฐานของท่านโดนเครื่องบินสัมพันธมิตรบินทิ้งระเบิดเพราะเข้าใจผิดว่าเป็นฐานทัพญี่ปุ่น ท่านก็เลยควัก เสื้อยันต์ของหลวงพ่อจาด วัดบางกระเบา ที่ทางการสร้างแจกทหาร ออกมา กระทำในลักษณะปัดให้ลูกระเบิดพ้นทาง เกิดเหตุอัศจรรย์ ระเบิดปลิวไปในทิศทางที่ท่านปัดไปจริง ๆ ทั้ง ๆ ที่ท่านยืนยันว่า ตอนแรกระเบิดมีเป้าหมายมาที่ หลุมบุคคลที่ท่านหลบภัยอยู่แน่นอน จริง ๆ สมรภูมิเขาค้อ ก็มีเสียงเล่าลือกันถึงความเหนียวของทหารไทยเหมือนกัน แต่เห็นไม่มีการบันทึกไว้เป็นกิจจะลักษณะ ก็เลยจะไม่ขอเล่า จำได้ก็เท่านี้แล จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม (ศรีสิทธิสงคราม) - [ 28 มี.ค. 50 07:59:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตรีเพชรกล้า ตามเรื่องขุนช้าง ขุนแผน อาจารย์ฟ้อน ดีสว่าง ท่านนี้ มีฤทธิ์ด้วย เรื่องเหนียวคง ก็ชิลชิล จากคุณ : โจ๋ย (เพียงผ่านมา) - [ 28 มี.ค. 50 08:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เอาที่เห็นกับตาเลยนะคะ  เมื่อ พ.ศ. 2510 โรงเรียนปิดเทอมใหญ่ จึงได้ไปเที่ยวและพำนักอยู่กับญาติที่ฝายของชลประทานหล่มสักตลอดช่วงสองเดือน เพราะจะได้ไปเที่ยวขี่จักรยาน  และว่ายน้ำ.. กลางดึกของคืนวันหนึ่ง  ได้มีคนมาเรียกคุณลุงอยู่ที่หน้าบ้านพัก.. "นายช่าง..นายช่างครับ" พวกเราเด็กๆ ก็รีบไปมุงดูกันที่หน้าต่าง เพราะ เชื่อว่าต้องมีเหตุร้ายแน่ๆ เพราะที่นั่นก็เปรียบเสมือนกลางป่าดีนี่เอง ผู้คนเขาเข้านอนกันตั้งแต่ตะวันเริ่มตกดิน.. คนที่มาเรียกเป็นชายหนุ่มคนงานที่มีอายุราวๆยี่สิบเศษ จูงจักรยานมาด้วยท่าทางตื่นๆ.. คุณลุงและผู้ช่วยสองสามคน (มีอาวุธพร้อมในมือ) ได้ถามออกไปว่า.. "ใครเป็นไรหรือ?" คนงานตอบกลับมาว่า.. "ผมถูกยิง".. "อ้าว..ถูกยิง..แล้วทำไมมายืนยิงฟันแหง๋อยู่นี่ล่ะวะ" เขาคนนั้นหันหลังมาให้ดู..เสื้อสีขาวหม่นของเขานั้น แผ่นหลังมีรอยกระสุนลูกซองเก้านัดครบ..แต่ละรูมีรอยไหม้และรอยเขม่าดินปืนจับเห็นชัดเจน  เมื่อเข้าไปดูใกล้ๆ เขาถอดเสื้อออกมา  ที่หลังของเขา..เป็นรอยแดงช้ำทั้งเก้าจุด เขาเล่าว่า.. ขี่จักรยานกลับบ้าน แต่ถูกปล้น  คนร้ายจะเอาจักรยาน เขาไม่ให้  ก็เลยถูกถีบกลิ้งตกลงไปข้างทาง โจรโมโห เพราะเห็นว่าบังอาจขัดขืน เลยส่องให้เข้าที่กลางหลัง.. เขาตกใจกลัว..หลังจากถูกยิง รู้สึกชาๆ ก็ลุกขึ้นมา..หมายใจว่าจะวิ่งหนี.. ปรากฏว่า..ฝ่ายที่วิ่ง ก็คือโจร..ที่วิ่งหนีอย่างไม่คิดชีวิต จักรยานก็ไม่เอา   จึงนำความมาแจ้งแก่นายช่าง.. คนงานคนนั้น..ก็ไม่รู้ตัวเองด้วยซ้ำไปว่า "มีของดี" ทั้งเนื้อทั้งตัวก็มีตะกรุดห้อยที่เอวอันเดียว..บอกว่า ปู่ให้มา เป็นของเก่าแก่.. แก้ไขเมื่อ 28 มี.ค. 50 12:56:32 จากคุณ : WIWANDA - [ 28 มี.ค. 50 09:01:52 ]

ความคิดเห็นที่ 5 พระยาสีหราชเดโชชัย ทหารเสือของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช บันทึกในคำให้การขุนหลวงหาวัดกล่าวไว้ว่าคราวตีเมืองเชียงใหม่ ท่านผู้นี้ควบม้าขาวหายตัวได้ จนทำให้ทหารที่รักษากำแพงเมืองตกใจกลัว และโดนตีแตกในเวลาถัดมา อีกคราว กองทัพไทยยกทัพไปล้อมเมืองพุกาม (พม่า) ในพงศาวดารพระราชหัตถเลขาก็บันทึกไว้ว่า พระยาสีหราชเดโชชัย (ทิป) ผู้นี้ถูกพม่าล้อมจับ ทุบตีฟันแทงอย่างไรก็ไม่เข้าจึงจับตัวได้มัดเอาไว้ กะว่าจะนำตัวไปถวายพระเจ้าอังวะ แต่ขณะที่ถูกมัดอยู่นั้น ท่านกลับร่ายมนต์คลายเชือกที่พันธนาการตัวท่านจนหลุดออกมา แย่งดาบจากพม่าได้ก็ไล่ฆ่าฟันทหารพม่าที่อยู่ในค่าย แล้วแหกวงล้อมหนีออกมาได้ ฟังๆ ดูจากในพงศาวดารฉบับนี้ยังเคยคิดเลยว่าเรื่องราวที่เล่ามาคงจะเป็นการฝอยของคนจดพงศาวดารเสียมากกว่า จนกระทั่งผมได้มาอ่านพงศาวดารของพม่า ฉบับมหาราชวงษ์พงศาวดารพม่า ที่นายต่อแปลถวายแก่รัชกาลที่ ๕ มีอยู่ตอนหนึ่งในรัชกาลของพระมหาสีหสุรธรรมราชา ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ของเรา บันทึกเหตุการณ์ครั้งที่ไทยยกทัพเข้าไปในดินแดนพม่าต่างจากที่เราจดไว้ตรงที่ไทยกับพม่าสู้รบกันที่เมืองทวาย แล้วเหตุการณ์ของอิทธิฤท ปาฏิหารของทหารผู้หนึ่งก็ปรากฏอยู่ในพงศาวดารของพม่าฉบับนี้ “ทางฝ่ายเมืองทวายนั้นอำมาตย์ของอยุทธยา ๒ คนได้ยกกองทัพไปตีพลทหารแลเจ้าเมืองทวายที่อยู่รักษานั้นก็ออกตีกองทัพอยุทธยาๆ เสียทีจับตัวอำมาตย์อยุทยาไว้ได้ ๑ คน แต่คนหนึ่งต้องอาวุธตายในที่รบ แล้วจับช้างม้าพลทหารไว้ได้เปนอันมาก ฝ่ายทางเมืองมรแมนนั้นเล่า อำมาตย์อยุทธยา ๒ นายเปนแม่ทัพถือพลทหารมาเปนอันมาก ฝ่ายนายทัพนายกองที่รักษาอยู่ที่เมืองมรแมนก็ขับให้พลทหารออกตี กองทัพอยุทธยาทนฝีมือมิได้ก็แตก ขณะนั้นพลทหารพม่าก็จับอำมาตย์แม่ทัพอยุทธยาไว้ได้ทั้ง ๒ คน แต่อำมาตย์คนหนึ่งหายตัวได้ก็หนีไป แต่อีกคนหนึ่งนั้นเอาไปถวายพระเจ้ากรุงอังวะ ในเวลาที่รบกันนั้นพลทหารพม่าจับช้างม้าแลพลทหารสาตราอาวุธของอยุทธยาไว้ได้เปนอันมาก” จากมหาราชวงศ์พงศาวดารพม่า การศึกที่เมืองมรแมนในบันทึกของพม่ามีเหตุการณ์ที่น่าแปลกใจอยู่เรื่องหนึ่งก็คือ เมื่อทหารพม่าตีทัพอยุธยาแตกพ่ายและสามารถจับแม่ทัพไทยไว้ได้ ๒ คน คนหนึ่งถูกนำตัวไปถวายพระเจ้าอังวะ ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น.... หายตัวหนีไปได้....!? ทีนี้เรื่องก็ดันมาตรงกับพงศาวดารของไทยอีกว่า พระยาสีหราชเดโช ทหารเสือคนหนึ่งของสมเด็จพระนารายณ์บุกตีค่ายพม่าแล้วถูกจับ แต่อาศัยฤทธิ์เดชเวทมนต์หายตัวหนีออกมาได้ แถมยังตีค่ายพม่าแตกไปเสียอีก การที่บันทึกได้ตรงกันอย่างบังเอิญเช่นนี้ ทำให้ข้าพเจ้าเริ่มเคลือบแคลงสงสัยว่า เวทมนต์กำบังกายของทหารยุคโบราณมีอยู่จริงหรือไม่ ยังไงวานผู้รู้ช่วยวิเคราะห์ออกมาให้กระจ่างทีเถิด จากคุณ : ออกหลวงมงคล - [ 28 มี.ค. 50 10:29:46 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สุดยอดครับกระทู้นี้ ขอเก็บเกี่ยวความรู้นะครับ อิอิ จากคุณ : ปะหล่อง - [ 28 มี.ค. 50 11:37:27 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ผมว่า เรื่องหายตัว กับหนังเหนียว นี่คุณ mask v เอาไป เป็นไอเดียเขียนการ์ตูนดีนะครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 28 มี.ค. 50 11:45:16 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ถ้ายังมีคนมีวิชาอาคมดีดีในยุดนี้ น่าจะเชิญมาช่วยที่ภาคใต้ จากคุณ : hayashimali - [ 28 มี.ค. 50 12:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในสมัยโบราณ ผมเชื่อว่ามีเพราะคนโบราณส่วนใหญ่ เป็นคนจริงพูดจริงทำจริง ถือสัตย์ น่าจะเป็นการส่งเสริมบารมีไปในตัว มีพิธีกรรมหลากหลายที่เอาไปปฏิบัติจริง เช่นการเสกน้ำมนต์เพื่ออาบ หรือ ไม่ใช้ภาชนะของกิน ร่วมกับใคร แต่คนสมัยปัจุบัน เป็นยังไงก็รู้กันอยู่ ของมันก็เสื่อมหมดแล้วหละครับ จากคุณ : DerFerre - [ 28 มี.ค. 50 14:34:51 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณทุกท่านสำหรับข้อมูลครับ คุณสายลมปุยเมฆกับฟ้าสีคราม : ใช่อะแวซาดอหรือเปล่าครับ? ไม่รู้จำถูกหรือเปล่า คุณศรีสิทธิสงคราม (ศรีสิทธิสงคราม) : คราวสงครามอินโดจีนนี่ ใช่ที่ฝรั่งเศสมันเล่าลือกันว่าเป็นกองพันผีดิบหรือเปล่าครับ คุณโจ๋ย (เพียงผ่านมา) : ขอรายละเอียดอีกนิดนึงสิครับ พอดีผมไม่ค่อยรู้จักทั้งสองท่านนี้เท่าไหร่ คุณ WIWANDA : อ่า เคยเห็นกับตาตัวเองด้วยหรือครับ น่าตื่นเต้นดีนะครับ คุณออกหลวงมงคล : น่าสนใจดีครับ แต่พม่าดูจะบันทึกไว้น้อยจัง น่าจะคิดเป็นทางอื่นได้อีกมังครับ คุณปะหล่อง : เอามาแจมกันบ้างก็ดีนะครับ คุณเชษฐา: 555+ ใช่แล้วครับ มีคนรู้ทันจนได้ คุณ hayashimali : นั่นสิครับ แต่ไม่รู้ว่าวิชาโบราณจะกันกระสุนรุ่นใหม่ได้หรือเปล่า ปืนสมัยนี้มันแรงขึ้นเรื่อยๆ ยงคิดเล่นๆอยู่ว่า ถ้าท่านขุนพันธ์ฯยังอยู่ และยังหนุ่มๆ ท่านจะลงมาตามจับอ้ายโจรพวกนี้กับมือเองเลยหรือเปล่า คุณ DerFerre : นั่นสิครับ วิชาพวกนี้ ได้ยินมาว่าคนที่มีของต้องปฏิบัติตัวค่อนข้างเคร่งครัด ไม่รู้เดี๋ยวนี้พวกที่มีแล้วจะรักษาไว้ได้กี่มากน้อย อ่า... จะว่าไปดูเหมือนจะมีอีกรายหนึ่งที่มีประจักษ์พยานเห็นกันเยอะ อย่างอ้ายอ่วมอกโรยนี่นับเป็นพวกหนังเหนียวหรือเปล่าครับ จากคุณ : masked v - [ 29 มี.ค. 50 01:10:42 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ค่ะ..คุณ masked v เห็นกับตาอย่างใกล้ชิด เพราะต้องให้หนุ่มคนนั้นมาพักจนถึงเช้า..คุณลุงจะต้องพาตัวเข้าอำเภอไปแจ้งความ  ทุกคนตื่นเต้นและฮือฮามาก  หลังของเขาตอนที่มาใหม่ๆ เห็นช้ำชัดเจนเป็นเก้าจุด  (ทั้งที่เป็นคนผิวสีเข้ม) แต่สักพัก..มันแดงไปหมด  แต่จุดที่โดนกระสุนก็ยังช้ำอยู่ ยิ่งตอนที่พาไปแจ้งความ..ตำรวจทั้งโรงพักก็แตกตื่นพอสมควร .. ขนาดเห็นกับตา ก็ต้องเชื่อว่า วิชาอาคมนั้น เป็นของดีทีมีอยู่จริง.. แต่..ไม่เคยฝักใฝ่ ไม่เสาะแสวงหามาบูชา  และไม่เชื่อในคำโฆษณาอิทธิฤทธิ์ใดๆ  เพราะเชื่อในเรื่อง"กรรม" เพียงอย่างเดียว จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 50 02:31:12 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เคยได้ยินแต่ปู่ย่าเล่ามาน่ะครับ ระดับแม่ทัพนายกองผมว่าปกติต้องเป็นวิชาพวกนี้บ้างล่ะ เหลือมาถึงปู่ผม ตอนนี้แค่ แก้เจ็บตา ตาแดง แก้พิษงู แมงป่อง (ไม่ได้ใช้ยานะครับถุยน้ำลายกะสวดเป่า แล้วโยนทิ้งถ้าโยนไปโดนอะไรสิ่งนั้นก็จะเจ็บแทน อันนี้เห็นมาแล้ว ) ส่วนวิชาที่ยากๆ  ซ่อนประตูบ้าน ควายธนูปู่ไม่กล้าเรียนครับ พ่อของปู่กับพ่อของย่าสอนมาอีกที เพราะต้องรักษาศีลเยอะ ถ้าไม่เคร่งของจะเข้าตัว พอมาถึงรุ่นพ่อผมก็ไม่มีคนสนใจจะเรียนแล้ว ส่วนพวกวิชายากๆ ต้องรุ่นทวดผมขึ้นไปถึงทำได้ครับ (อันนี้ปู่ย่าเล่ามาครับ) จากคุณ : ไม่เชื่อไม่ว่ากันครับ (Zorro) - [ 29 มี.ค. 50 06:24:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เคยอ่านเจอบ้างค่ะ  เขาว่าท้าให้เอาปังตอฟันแขน  เพื่อพนันกัน ปรากฏว่าฟันแล้วไม่เข้าจริง ค่ะ  เขาได้เงินรางวัลไป แต่ก็ต้องเสียแขนข้างนั้นไปเช่นกัน เป็นเพราะว่า หนังฟันไม่เข้าก็จริง  แต่เนื้อข้างใน  เละไปหมดเลยค่ะ อิอิอิ  ใช่คะ  ฝึกหนังเหนียวมาแต่ลืมฝึกให้เนื้อเหนียวด้วย จากคุณ : softvolume - [ 29 มี.ค. 50 06:58:08 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมว่าคนสมัยก่อนเค้าทำบุญ มีสัจจะ จากคุณ : P Lloyd - [ 29 มี.ค. 50 08:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 # คุณ Mask V ใช่ครับ สงครามเดียวกัน ที่ พวกเวียตนามขนานนามว่า ทหารไทย เป็นกองพันผีดิบ หรือ ทหารผี นั่นหละครับ ************************************** กรณี อ้ายร่วมอกโรย ไม่น่าจะเหนียวครับ เพราะโดนประหารโดนการเอาขวานผ่าอก ครับ คุณอเนก นาวิกมูล ก็มีบันทึกไว้เหมือนกันครับ ********************************* เรื่อง เครื่องรางของขลัง หรือ คาถา อาคมนี่ ขึ้นอยู่กับหลาย ๆ ปัจจัย ครับ ที่จะทำให้ ขลัง หรือ ไม่ขลัง 1.. จิต ของผู้ใช้ ไม่ว่าจะคาถา หรือ ของขลัง 2.. กรรม ครับ ถ้าจิตแน่วแน่ มั่นคง รับรองครับ ยิงไม่ระคายผิวแน่นอน เหมือนอย่างกรณีของ ทหารไทย ที่ไปรบที่ ปอยเปต นั่นหละครับ กระสุนทะลุหมวกเหล็กนะครับ แต่ไม่ตาย ไม่มีแผลอะไรเลย หลวงพ่อเงิน วัดดอนยายหอม ท่านเปรียบเอาไว้ว่า กำลังใจของคนที่เกาะพระ (พุทธเจ้า) ถ้ากำลังใจเข้มแข็งสูงสุดท่านเปรียบว่าถ้าเป็นอาวุธปืนจะยิ่งไม่ออก โบราณเขาเรียกว่า [b]มหาอุตม์ [/b] รองลงมาหน่อยหนึ่งยิงออกแต่ไม่ถูกจะเป็น [b]แคล้วคลาด [/b] รองลงมาอีกหน่อยหนึ่งยิงถูกแต่ไม่เข้าเป็น [b]คงกระพัน [/b]ยิงถูกแต่ไม่เข้านไม่เอาไหนแล้วในความหมายของท่าน ลดลงไปอีกหน่อยหนึ่งยิงเข้าแต่ไม่ตาย ก็ถือว่าคุณเฮง โชคดีไป ที่แย่จริง ๆ คือถ้าหากว่านึกถึงพระแล้วแต่กำลังใจมันแย่มากเลย ถึงตายก็ไปสวรรค์เพราะเกาะพระอยู่ เพราะฉะนั้นรีบ ๆ ไปสวรรค์ซะจะได้ไม่ลำบากนาน แต่ถ้ากรรมตามทันนี่ ยังไงก็ตายครับ ตัวอย่าง เช่น มหาโจร ที่แขวนเขี้ยวเสือของ หลวงพ่ปาน วัดคลองด่าน (บางเอี้ย) นั่นหละครับ ตอนตำรวจรุมยิง ไม่ระคายผิวเลย แต่พอถึงฆาตจริง ๆ เสร็จครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 29 มี.ค. 50 09:15:01 A:58.10.222.224 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อีกมิติหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องอยู่ยงคงกระพันซึ่งอยากเขียนให้คนไทยอ่าน เพราะว่ามันเป็นวิทยาศาสตร์ ไม่ใช่ไสยศาสตร์ที่มีเรื่องเกี่ยวกับคาถาอาคม ไม่ต้องมีเรื่องสัจจะ ไม่ต้องมีเรื่องเคารพบูชา หรือถือศีลอะไร หากแต่เป็นเรื่องการเข้าใจกฎเกณฑ์แห่งธรรมชาติ เมื่อหลายปีมาแล้วมีทีมนักวรยุทธ์ของจีน ออกแสดงทั่วโลก เรามีโอกาสได้ดูการแสดงในนครลอนดอน  ในการแสดงมีนักวรยุทธ์เด็กๆผู้หญิงผู้ชายที่อายุต่ำกว่า 20 ปี  ซึ่งเป็นนักกายกรรมด้วย พวกเขาสาธิตการใช้อาวุธได้รวดเร็วกว่าหนังกำลังภายในเสียอีก นั่นก็คือว่าตีลังกาฟันแทงกันกลางเวหา   จากนั้น ทีมนักแสดงหญิง (อายุ 15-16 เอง) สวมชุด silk satin รำมวยไทชี่ (ไทเก็ก) สวยงามเป็นยิ่งนัก  ต่อไปเป็นฉากการแสดงอยู่ยงคงกระพัน คราวนี้ต้องใช้คนอายุเลย 50 ปีขึ้นไปเนื่องจากเด็กๆยังฝึกวรยุทธ์ไม่ถึงขั้นอยู่ยงคงกระพัน ก่อนแสดงเขาเชิญให้คนดูขึ้นไปทดสอบอาวุธบนเวที  เรานั่งแถวหน้าสุดก็เลยขึ้นไปทดสอบอาวุธเอง  ทั้งกระบี่ ดาบใหญ่ ทวน ง้าว ทุกอย่างของจริงคมหมด  เราลองทั้งฟันและแทงแผ่นไม้กระดานหนาๆ  ปรากฎว่ามันฟันแทงทะลุหรือขาดกระจุยไปเลย .......... ครั้นพอลงมือแสดงจริงๆ ผู้แสดงเปิดส่วนที่จะให้ฟันให้แทง ให้เปลือย (แต่ไม่ถึงกับโป๊) คือเปิดให้ฟันที่หน้าอก (ผู้ชาย) ท้อง  และแทงที่คอหอย     การฟันไม่ใช่ฟันหลอกแบบฟันเล่นๆ แต่คนถูกฟันนอนคว่ำเอาท้อง (บางทีหน้าอก) วางลงไปบนคมดาบที่วางอยู่บนแท่น (เป็นแท่นที่มั่นคง มีร่องสำหรับวางดาบให้หันคมดาบขึ้นด้านบน)  แล้วบนหลังคนถูกฟันมีแผ่นปูนหนาๆ สองสามแผ่นวางไว้ แล้วให้คนอีกคนเอาตะลุมพุกตีลงไปบนแผ่นปูนจนแผ่นปูนกระจายกระเด็นไปทั่ว  พอคนที่นอนทับคมดาบลุกขึ้นมา ปรากฏว่าไม่มีรอยดาบบนตัวเลย???? การสาธิตการแทง  นักแสดงสองคนเอาทวนที่มีปลายคมสองด้าน วางไว้ตรงคอหอยของตนเองแล้วเดินเข้าหากันจนทวนหักสะบั๊น แต่ที่คอหอยไม่มีรอยทวนบาดเลย จุดตรงคอหอยที่ว่านี้ หมายถึงส่วนบุ๋มๆด้านหน้าข้างล่าง ระหว่างกระดูกที่เป็นปีก  ซึ่งส่วนนี้เราเคยในระหว่างการต่อสู้ข้างถนนกับฝรั่ง เราโดนฝรั่งปล้ำ ทำให้ออกอาวุธไม่ถนัด  เราเลยเอาปลายนิ้วมือแทงเข้าไปตรงจุดนี้   คู่ต่อสู้เราก็หายใจไม่ออกเกือบตายแล้ว แต่นักแสดงจีนโดนปลายทวนแทงตรงนี้อย่างจังกลับไปแสดงอาการเจ็บปวดเลย..............แถมยังไม่มีรอยแผลอีกด้วย.... ??? เขาสัมภาษณ์นักแสดงว่า ให้อธิบายว่า ทำได้อย่างไร  นักวรยุทธ์จีนอธิบายว่า ใช้สมาธิขับเคลื่อนลมปราณไปยังจุดที่จะถูกฟันถูกแทง  เมื่อลมปราณไปที่จุดนั้นๆ  มันจะทำให้จุดนั้นๆหนาขึ้นมา และมีลักษณะเหมือนยางรถยนต์  ..........ใครเคยเอามีดพยายามฟันหรือแทงยางรถยนต์ที่มีลมอัดแน่นอยู่บ้าง  เมื่อฟันไปหรือแทงไป มีดมันจะกระเด้งออกมา  ..........นี่คือหลักการณ์ที่เป็นวิทยาศาสตร์ มิใช่ไสยศาสตร์เหมือนของไทย   นักแสดงอยู่ยงคงกระพันคนหนึ่ง อายุเกือบ 60 ปี หน้าตายังเด็กมากๆเลย ถ้าไม่บอกอายุ จะคิดว่าอายุแค่ 35 เอง  ผิวเกลี้ยงเกลา ไม่มีรอยเหี่ยวย่นเลย ..........โฆษกเล่าประวัติให้ฟังว่า เขาไม่เป็นเพียงแค่นักวรยุทธ์เท่านั้นนะ แต่เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพร  ครั้งหนึ่งเขาขึ้นภูเขาไปเก็บสมุนไพรแล้วโดนเสือโคร่งกระโจนเข้าใส่ทำร้าย เขาสู้กับเสีอชนะแล้วกลับลงจากภูเขาได้อย่างปลอดภัย .........พอเขาถอดเสื้อผ้าเหลือแค่ตรงพันรอบๆหว่างขานะ ส่วนต่างๆทั่วๆตัวเขา ไม่มีรอยเล็บเสือเลย แปลกจริงๆแฮะ................ แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 50 09:47:13 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 29 มี.ค. 50 09:33:05 ]

ความคิดเห็นที่ 17 บ้านเราก็มีเยอะครับ สำหรับเรื่องสมุนไพร สำนักเขาอ้อที่ พัธลุง ก็ทำมานานแล้ว กับพิธีอาบว่านให้คงกระพัน ต้องอาบกัน 3-5-7 วัน แล้วแต่ความสมัครใจ คนมาเลเซีย ก็เคยมาอาบนานถึง 9 วันก็มีมาแล้ว รุ่่นหลัง ปู่ขุนพันธ์นิดหน่อย การอาบว่านของสำนักเขาอ้อ ต้องว่าคาถากำกับด้วย จริง ๆ ก็มีกันอยู่ทุกภาคอยู่แล้ว เรื่อง เสกปูน คาดอาพัด นี่มีถมเถไปครับ หลายปีก่อน พอ.ชม สุคนธรัต ที่บ้านท่านอยู่ บางโพ กทม. ท่านก็สาธิตการดับพิษร้อนได้ พอ.ชม ท่านเรียนมาจาก พระธุดงค์ในป่า ที่ท่านไปเจอตอน สงครามโลกครั้งที่ 2 มันเป็น เรื่องของ จิต ล้วน ๆ หลายปีก่อน เคยดูรายการเรื่องจริงผ่านจอ มีตอนหนึ่งเป็นตอนล้างป่าช้าแถวอิสาน ล้างไปล้างมา ไปเจอศพอยู่ศพหนึ่งมันน่าแปลกตรงที่ว่า ร่างกายส่วนอื่นเน่าหมดแล้ว เหลือแต่ ตรงบริเวณที่สักยันต์ไว้เท่านั้นเอง ที่ยังเป็นเนื้อสด ๆ ไม่เน่าเปื่อยแต่อย่างใด แต่ก็น่าเห็นใจ เพราะสมัยนี้ คนหลอกลวงก็มีเยอะ ทั้งไทย และ ต่างประเทศ ของจีน พระวัดเส้าหลินที่ใช้เหล็กตีหัวแล้วเหล็กหัก นั่น รายการ Mega Klever ก็พิสูจน์แล้วว่า มันเป็นเหล็กพิเศษ สั่งทำขึ้นมา ความแข็งน้อย แต่ วิชาอาภรณ์เหล็กของจีน จริง ๆ ก็มีอยู่ แต่ไม่ได้ฝึกกันง่าย ๆ เพราะต้องเริ่มฝึกตั้งแต่เด็ก ต้องหวด ต้องตี ต้องทุบ ร่างกายทุกวันเพื่อให้ร่างกายเกิดปฏิกิริยาเพื่อให้ทนต่อ แรงตี แรงหวด ต่าง ๆ จนร่างกายมันชิน จะเหนียวไม่เหนียว ไม่ยาก ก็ลอง คว้า ปังตอ สับหมูบนร้านขายหมูไปสับดู ถ้าไม่เข้า ก็โอเคเหนียวจริงครับ กำลังภายในเยี่ยม จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 29 มี.ค. 50 14:58:26 A:58.10.222.224 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กาลเวลามันทำให้หลายสิ่งเปลี่ยนไปจริงๆ . . . จากคุณ : ขอซักชื่อเหอะ - [ 29 มี.ค. 50 15:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 คุณ WIWANDA : นั่นสิครับ ไอ้ผมก็เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ให้ไปหามาไว้ติดตัวคงไม่เอาล่ะครับ ไม่รู้จะรักษาศีลได้ครบหมดหรือเปล่า แถมบางทีถึงของจะดี แต่ถ้าถึงคราว ยังไงมันก็ต้องตายอยู่แล้ว คุณไม่เชื่อไม่ว่ากันครับ (Zorro) : ครับ พวกวิชาแขนงอื่นๆก็น่าสนใจ ถ้ามีเกร็ดน่าสนใจเอามาเล่าสู่กันฟังก็จะขอบคุณมากๆเลยครับ คุณ softvolume : ฮ่ะๆ แบบนั้นก็น่ากลัวนะครับ แต่โดยมากได้ยินมาว่าพวกหนังเหนียวมักจะตายเพราะช้ำในนะครับ คุณ P Lloyd : นั่นสิครับ คุณศรีสิทธิสงคราม : เอ... เท่าที่ผมจำได้ เห็นว่าอ้ายอ่วมนี่ฤทธิ์มากนัก ทีแรกทางการจะตัดหัว แต่ตัดไม่เข้าเพราะหนังมันเหนียว สุดท้ายก็เลยใช้ขวานสับเข้าที่อก ฟันย้ำๆจนเข้าในที่สุด(คงสยองน่าดู) หรือผมจำผิดก็ไม่ทราบได้ อาจจะจำสับกับบุญเพ็งหีบเหล็ก คุณ tansy (iwrite4u) : เคยสู้ข้างถนนกับฝรั่งด้วยเหรอ(ว้าว) นั่นสินะครับ ลองดูของประเทศอื่นมั่งก็น่าสนใจดีนะครับ คุณศรีสิทธิสงคราม : อืม... ถ้าจะพิจารณาเช่นนั้น คงกระพันแบบวัดเส้าหลิน น่าจะจัดอยู่ในหมวดเคล็ดวิชาสินะครับ คุณขอซักชื่อเหอะ : ครับ นั่นสินะครับ พูดถึงคนหนังเหนียวที่อื่นกันดูบ้าง อย่างอคลีลีส(มันยุคตำนานนิ ไม่รู้นับเปล่า?) ไม่รู้ว่าอันนั้นเข้าข่ายแช่น้ำว่านหรือเปล่า เห็นว่าคุณแม่เอาแช่แม่น้ำสติกซ์ตั้งแต่เกิด(แต่ดันลืมจุ่มตรงข้อเท้า) จากคุณ : masked v - [ 30 มี.ค. 50 00:34:07 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เรื่อง อ้ายร่วมอกโรย นี่ ผมจำรายละเอียดไม่ได้ทั้งหมดครับ แต่คิดว่า เป็นคดีอุฉกรรจ ดังนั้น ก็ตามการลงโทษแบบโบราณ ต้องไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่าง ก็เลยต้องทำตามนั้น ในความคิดผม ขวานของคนไทยคงไม่ใหญ่มากเท่ากับขวานของ โคแนน หรือ ขวานของทางยุโรป ก็คงลำบากหน่อยครับเวลาจะผ่า ********************** ส่วนเรื่อง วัดเส้าหลินนี่ เป็นเคล็ดการฝึกหนะครับ จริง ๆ ก็มีตำนานอยู่หลาย ๆ เรื่อง อย่าง ของ ฟางซื่ออวี้ หรือที่บ้านเรารู้จักกันในนามของ ปึงซีเง็ก ก็มีตำนานเล่าว่า ปู่ กับ ย่า ของ ปึงซีเง็ก เป็นนักบู๊ทั้งคู่ และ ก็บังคับให้ ปึงซีเง็ก อาบน้ำว่าน มาตั้งแต่เด็ก ๆ จึงเหนียว (สกัดจุดมังกรหยก : อ.ถาวร สิกขโกศล) แต่สุดท้ายก็มาตาย เพราะช้ำใน จากการปะทะกับ นักพรตของสำนักอู่ถัง (บู๊ตึ้ง)ครับ จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 30 มี.ค. 50 09:53:07 A:58.10.222.242 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ที่หลังเท้า ตรงจุดกึ่งกลาง (บนเท้าทั้งสองข้าง) มีจุด เราอ่านจีนไม่ค่อยชัด คิดว่าเรียกว่า หยุ่งชวน หรือตาน้ำที่ปรุๆอยู่  จุดนี้ในวิชาแทงเข็ม มีขื่อว่า K1 คือ Kidney 1 ถ้าคนที่อยู่ยงคงกระพัน (โดยใช้กำลังภายใน) โดนจู่โจมทำร้ายจุดนี้ เช่นโดนกระบองตีจนแตกกระจุย ระบบการหายใจของเขาจะติดขัด และจะสูญเสียวิชาอยู่ยงคงกระพันไปทันที  อีก 2 จุดก็คือที่ตา 2 ข้าง ถ้าถูกทำให้ตาบอดไปในระหว่างการต่อสู้ ก็จะทำให้วิชาอาภรณ์เสื้อเหล็กถูกทำลายไปได้อีกด้วย แต่การฝึกวิชาของจีน ก็น่าที่จะปลอดภัยกว่าฝึกวิชาของไทยนะ เพราะเห็นเคยได้ยินคนไทยเล่าให้ฟังว่า ฝึกวิชาของไทยอยู่ดีๆหนังเหนียวแต่ เผลอไปด่า ออกไปแค่ครั้งเดียวนะ ก็โดนฟันโดนแทงทะลุแล้ว แต่ฝึกแบบจีน ด่าได้ทุกวัน วันละหลายๆรอบ เพียงแต่ว่าต้องระวังอย่าให้โดนจู่โจมจุดยุทธศาสตร์ ซึ่งก็คงคล้ายๆกับ  Achilles heel   ของฝรั่งนั่นแหละ ส่วนที่ข้างบนว่า "แต่สุดท้ายก็มาตาย เพราะช้ำใน จากการปะทะกับ นักพรตของสำนักอู่ถัง (บู๊ตึ้ง)ครับ" ที่เป็นเช่นนั้นก็เพราว่า วิชาของ Wu Dong หรือ Wu Dang กันแน่หว่า...??? ชักไม่แน่ใจตัวสะกดแบบ pinyin (อู่ถัง หรือบู๊ตึง) ไม่ได้ทำร้ายคู่ต่อสู้ด้วย "แรกกระแทก" เหมือนวรยุทธ์ที่ใข้ "ความแข็ง" ....... หากแต่ว่า พลังที่อ่อนๆ (เพียงแค่สัมผัสเบาๆ) ของสำนัก Wu Dong สามารถทำลายอวัยวะภายในของผู้ถูกทำร้ายได้ ที่แรกเราก็ไม่เชื่อเรื่องสกัดจุดหรือจับจุด แต่พอเรียนวิธีกดจุดตามเส้นทางเดินเลือดลมเพื่อปรับปรุงสุขภาพ  พอกดจุดตรงฝ่าเท้าเพื่อนบางจุด พบว่าเพื่อนเราเรอออกมาได้ หรือออกอาการต่างๆมากมาย ก็เลยเชื่อได้ว่า การใช้ฝ่ามือหรือนิ้วมือสัมผัสกับจุดบางจุด ในบางช่วงเวลาของวัน นอกจากจะรักษาโรคได้แล้ว ยังทำร้ายคนได้อีกเช่นกัน ...... แก้ไขเมื่อ 30 มี.ค. 50 12:51:32 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 30 มี.ค. 50 12:10:21 ]

ความคิดเห็นที่ 22 สวัสดีครับ คุณศรีสิทธิสงคราม : เรื่องอ้ายอ่วมอกโรยผมก็ไม่ค่อยแน่ใจนัก เคยอ่านๆมา แต่ไม่มีหนังสือเก็บไว้ อาการหนังเหนียวที่มาจากเคล็ดวิชาก็น่าสนใจนะครับ เอาเข้าจริงไม่รู้ว่าอย่างไหนดีกว่ากัน เพราะด้านนั้นก็ต้องอาศัยการฝึก นอกจากต้องมีผู้เชี่ยวชาญมาสอนแล้ว ยังต้องฝึกอย่างเคร่งครัดมากๆอีกด้วย แต่ถ้าพูดถึงระดับความเหนียวนี่ สายอาคมน่าจะเหนียวกว่ากระมังครับ ไม่รู้ว่าเหนียวแบบจอมยุทธ์จะกันกระสุนได้หรือเปล่านี่สิ คุณ tansy (iwrite4u) : ขอบคุณมากครับ ได้ความรู้ด้านวรยุทธ์มาเสริมอีกทางหนึ่ง เอ... หรือว่าอคลีลีสจะฝึกด้วยวิธีนี้หว่า ดูแล้วช่างคลับคล้ายคลับคลึงกันเหลือเกิน ไม่แน่ใจว่าโรแลนด์ อัศวินของพระเจ้าชาร์ลเลอมาญจะประมาณนี้ด้วยหรือเปล่า เหมือนจะเคยอ่านมาว่าหนังเหนียวกับเขาด้วยเหมือนกัน นึกได้อีกคนในประวัติศาสตร์ที่หนังเหนียวครับ นายทองอยู่นกเล็กนั่นไงครับ ที่ว่ามีสะดือทองแดง(เป็นยังไง?) ฟันแทงไม่เข้า มีวิชาแต่ดันทำตัวเกะกะเกเร พระเจ้าตากก็เลยประหารโดยเอาไปถ่วงน้ำเสียเลย(555+ ง่ายดีไหมล่ะ) จากคุณ : masked v - [ 31 มี.ค. 50 01:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ผมมีอีกท่าหนึ่งครับ  คือ  กรมหลวงชุมพรฯ  ซึ่งได้รับวิชาคงกระพันชาตรีมาจากหลวงพ่อศุข  วัดปากคลองมะขามเฒ่า  ชัยนาท มีเรื่องเล่าว่าครั้งหนึ่งขณะที่เสด็จในกรมกำลังเสวยน้ำจัณฑ์อยู่ที่วัง  ได้มีคนเข้ามาทูลว่ามหาดเล้กของพระองค์ได้เกิดวิวาทกับพวกนักเลงใกล้ๆ  กับวังนางเลิ้ง  และน่ากลัวจะเพลี่ยงพล้ำ  เพราะพวกนักเลงมีมาก  พระองค์จึงรีบขี่ม้าออกไปช่วย  เมื่อเสด็จถึงทรงเห็นว่าพวกนักเลงกำลังจะลงดาบฟันมหาดเล็กของพระองค์  พระองค์จึงได้กระโจนลงจากม้าขึ้นคร่อมมหาดเล็ก  ดาบจึงฟังถูกหลังของพระองค์ดัง "บึ๊ก"  พอดีพวกมหาดเล็กที่เหลือตามเสด็จมาทัน  พวกนักเลงจึงได้หนีไป  ว่ากันว่าที่พระวรกายของพระองค์ไม่ปรากฎว่ามีรอยคมดาบเลย  ทรงปัดฝุ่นออกจากร่ายกายแล้วแย้มพระสรวลกับมหาดเล็กที่มีเรื่อง เรื่องเล่านี้ผมเอามาจากหนังสือเล่าเรื่องเมืองสยามครับ แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 11:38:10 แก้ไขเมื่อ 01 เม.ย. 50 11:37:17 จากคุณ : รอยใบลาน - [ 31 มี.ค. 50 09:17:14 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณคุณรอยใบลานครับสำหรับข้อมูลเพิ่มเติม จากคุณ : masked v - [ 1 เม.ย. 50 00:33:22 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จริง ๆ เรื่อง จุดต่าง ๆ นี่ ก็ต้องระวังให้ดีอยู่แล้ว ไม่ค่อยเกี่ยวกับ การที่จะได้วิชาอาภรณ์เหล็กเท่าไรหรอกครับ ตา ก็เป็นจุดสำคัญจุดหนึ่ง ที่ต้องระวัง เพราะการต่อสู้สมัยก่อน สามารถควักนัยน์ตาได้ จิ้มตาก็ได้ การต่อสู้ ไม่เหมือนกับ การแสดงคิวบู๊ ที่มีการเตรียมกันมาอยู่แล้ว ถ้าได้ดูการแข่งขันพวก UFC หรือ PRIDE จะเห็นว่า การต่อสู้แบบนี้ เป็นแบบที่ฝรั่งเรียกว่า Dog Fight หรือ พูดง่าย ๆ ภาษาไทยคือ สุนัขกัดกัน ไม่มีกติกา และ กฏ ที่จะช่วยป้องกันผู้แข่งขันเท่าไรนัก ใครทนกว่า เจ็บตัวน้อยกว่า ก็ชนะไป การฝึกวิชาของไทย กว่าจะออกไปใช้จริงได้ ต้องใช้เวลานานอยู่พอควร อย่างน้อย ๆ สมาธิต้องทรงตัวระดับหนึ่ง อย่างเร็วที่สุดก็ต้องมีของขลัง และ ก็ต้อง อาราธนาติดตัวไว้ทุกวัน เป็นการฝึกสมาธิจิตแบบหนึ่งอีกเหมือนกัน ที่เราท่านเรียกกันง่าย ๆ ว่า การ "ปลุกพระ" นั่นแล ส่วนของจีน ถ้าฝึกกันจริง ๆ ต้องฝึกกันอย่างเข้มงวดมาก ไม่ได้ฝึกกันง่าย ๆ จะฝึกสำเร็จหรือเปล่าก็ยังไม่รู้ ตัวอย่าง อ.ไห่เติง ที่ ฝึกวิชาดรรชนี ของ วัดเส้าหลินเหนือได้ สำเร็จที่มี Clip วิดีโอเผยแพร่บน YouTube นั้น ถ้าไปดู กิจวัตรประจำวันของท่านจะพบว่า ท่านต้องเข้าฌานทุกวัน รักษาอารมย์ไม่ให้ข้องแวะกับกิเลส ทานข้าวแต่น้อย ซึ่งดู ๆ ไป ต้องเคร่งกว่า การใช้คาถา หรือ ของขลังแบบไทย ๆ ผมคิดว่า ที่เรามักมองกันว่า ใช้ลำบาก ใช้ยากสำหรับของขลังแบบไทย ๆ เพราะว่า คนสมัยนี้ ไม่มี "สัจจะ" เท่่าคนสมัยก่อน อย่าง โจรสมัยก่อน ก็ยังมี สัจจะ มากกว่า คนธรรมดาสมัยนี้ เท่าที่ดูโดยส่วนมาก ตั้งแต่ยุค เสือฝ้าย เสือมเหศวร เสือใบ หรือ เสือดำ ************************** วิชาของ อู่ถัง หรือ บู๊ตึ้ง (Wutang) ใช้ตัว T ครับ ถ้าเป็นตัว D ในภาษาจีนกลาง ตัว D จะเทียบเสียงได้กับ ตัวอักษร " ต " ในภาษาไทยครับ อู่ถัง เป็นภาษาจีนกลาง ส่วน บู๊ตึ้ง เป็น แต้จิ๋ว จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 3 เม.ย. 50 07:26:43 A:58.10.222.165 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 26 วิชามวยของจีน สามารถแบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ ก็คือ 1..มวยภายใน หรือ เน่ยเจียเฉวียน (Nei Jia Chuan) 2..มวยภายนอก หรือ เว่ยเจียเฉวียน (Wei Jia Chuan) ไทเก๊ก ปากว่าจ่าง สิงอี้ ล้วนจัดเป็นข้อแรก จริง ๆ ก็ยังมีอีกหลายมวย เช่น อี้เฉวียน , ถงเป่ยเฉวียน ฯลฯ เป็นต้น ส่วนมวยภายนอก ก็ พวกที่ใช้แต่กำลัง แต่ไม่เน้นฝึกบ่มเพาะ "ชี่" ดังนั้น ต่อให้ ฝึก อาภรณ์เหล็กมาเก่งแค่ไหน เมื่อเจอกับ มวยภายใน ก็เสร็จทุกรายครับ ก็เหมือนกับ คนหนังเหนียวสมัยก่อน ก็เสร็จทุกรายเมื่อเจอทุบด้วยของแข็ง เหมือนกัน จากคุณ : ศรีสิทธิสงคราม - [ 3 เม.ย. 50 07:30:39 A:58.10.222.165 X: TicketID:025907 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณคุณศรีสิทธิสงคราม สำหรับข้อมูลเพิ่มเติมครับเพิ่มเติมครับ จากคุณ : masked v - [ 4 เม.ย. 50 12:46:24 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มีเหนียวกว่าที่ว่ามาอีกนะครับ เมียที่บ้านครับเหนียวจริงๆ ตายยาก แถมขอเงินก็ไม่ให้ จากคุณ : wi_pae - [ 24 เม.ย. 50 17:48:11 ]