ความคิดเห็นที่ 1 เพื่อเป็นสิริมงคล เราตะลอนไปกลางเมืองโบราณสุพรรณบุรีกันที่วันมหาธาตุ เส้นทางเข้าวัดมหาธาตุ เป็นเส้นทางหลักที่จะเดินทางไปเที่ยววัดพระนอนและวังมัจฉา ถนนเส้นนี้ ในช่วงสงกรานต์ จะเป็นถนนสายเล่นน้ำที่วัยรุ่นนิยมมาเล่นกันมากมาย วัดมหาธาตุมีปรางค์ใหญ่ ท่เชื่อกันว่า สร้างก่อนสมัยกรุงศรีอยุธยา แต่ผมเชื่อ(เอง)ว่า สร้างในช่วงต้นกรุงศรีอยุธยาในช่วงเวลาที่รัฐสุพรรณภูมิยังไม่ได้รวมกับเมืองท่าอยุธยาอย่างสบูรณ์ ในสมัยพระศรีนครินทร์ ปรางค์นี้พบพระเครื่องมากมาย เช่นเดียวกับที่พบในกรุวัดต่าง ๆ ทั่วเมืองสุพรรณบุรี ที่มาของพระ คือการขโมยขุดกรุโดยการลักลอบในเวลาค่ำคืน คนสุพรรณรุ่นเก่าเลื่องลือชื่อนักในเรื่องของการขุดกรุเพื่อหาพระเครื่อง จนเจดีย์มากมายกว่า 20 แห่งถูกทำลายไป วัดมหาธาตุหันหน้าออกทางแม่น้ำ หรือหันไปทางตะวันออกตามคติพุทธศาสนา ใกล้ ๆ กันมีวัดร้างอยู่ริมสะพาน เหลือเจดีย์ทรงลังกา ส่วนโบสถ็วิหารอยู่ใต้ถนนไปแล้ว เลยตามถนนมาหน่อย จะพบวัดโบราณสมัยอยุธยาชื่อวัดผึ้ง และก็เป็นศาลหลักเมืองที่คนจีนตลาดมาร่วมกันสร้างไว้ มีรูปเคารพเป็นพระนารายณ์ฮินดูเป็นหลักของศาล คนจีนสมัยก่อนที่เข้ามาค้าขาย ก็จะให้ความเคารพกับรูปเคารพท้องถิ่นที่เก่าแก่ โดยไม่ต้องบอกว่าเป็นศาสนาอะไร แม้ที่ศาลพระยาจักร ที่อู่ทองเองก็เป็นรูปเคารพที่คนจีนพ่อค้ายุคแรกตั้งถิ่นฐานที่อู่ทองใหม่ นำเอาเทวรูปพระนารายณ์จากโบราณสถานที่ถูกเมืองใหม่สร้างทับไปแล้วมาเป็นประธานของศาล ดูคนโบราณเข้าเข้าใจเรื่องรูปเคารพดี ใกล้ ๆ กัน มีดครงการโดยท่านบรรหารเป็นผู้นำ จะสร้างมังกรยักษ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกในพื้นที่ของศาลหลักเมือง ด้านในตัวมังกรจะทำเป็นห้องสมุด ห้องนิทรรศการ โดยมีคนไทยเชื้อสายจีนให้การสนับสนุนมาก แต่ก็เริ่มชลอการสร้างมานานแล้ว หรือเพราะจะรอใช้งบประมาณแผ่นดินเพื่อเหตุการท่องเที่ยว ดังเช่นที่ไปทำที่บึงฉวากกว่า 1000 ล้าน ก็ไม่กล้ารู้ได้ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 15:22:20 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เลยวัดมหาธาตุขึ้นไป จะไปถึงคุ้มขุนแผน และวัดแค ทางซ้ายมือ หากขับรถไปจะเห็นป้อมลอยน้ำ น่าจะบูรณะแล้ว [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 15:25:48 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เลยจากวัดแค ที่เล่ากันตามนิทานท้องถิ่นเรื่องขุนช้างขุนแผน ตอนขุนแผนเสก(โลโซ)ต่อ ก็จะเป็นวัดพระลอย ที่นี่ก็มีวังมัจฉา เช่นที่วัดพระนอนที่เลยขึ้นไปอีกหน่อย ทางซ้ายมือเป็นวัดหน่อพุทธางกูร [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 15:29:39 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กลับลงมาทางใต้ วัดพระรูปมีชื่อเสียงเรื่องพระเครื่องโดยเฉพาะขุนแผนไข่ผ่าซีก หรือพระชุมกิมตึ๋ง ( 4 - 5 องค์) ที่เจดีย์ก็ถูกขุดพรุนมานานแล้ว เจดีย์ 2-3 องค์ ถูกทำให้ล้มโดยตั้งใจ เพื่อหาพระเครื่องและของเก่า เหลือรอดมาเพียงองค์เดียว อาจารย์ น ณ ปากน้ำ จัดให้เจดีย์วัดพระรูปอยู่ในสมัยก่อนอยุธยา หรือสมัยอโยธยา สุพรรณภูมิ ข้างวัดเป็นอาชีวะ ตรงข้ามท่าจีนเป็นชุมชนเก่าแก่ของสุพรรณบุรี เชื่อว่าเป็นเก่าของพี่นิคด้วย เพราะคนจีนอพยพขึ้นมาตั้งถิ่นฐานทำการค้า และตั้งถิ่นฐานครั้งแรกที่ตลาดเก่า ก่อนจะขยายมาที่ตลาดใหม่ในปัจจุบัน ตลาดโต้รุ้งริมน้ำก็เริ่มหมดสีสันลง เมื่อเทศบาลจัดระเบียบให้ไปสร้างถนนคนเดินต่อจากหอบรรหารไปทางหลังโรงเรียนเทคนิคสิ้นสุดที่วัดปราสาท บ้านเมืองเปลี่ยนแปลงไปเร็วจังเลย เคยไปนั่งจีบน้องยุ้ย สาวร้านน้ำปั่นริมท่าจีนตรงตลาดโต้รุ่ง คนมากมาย วันนี้มีอยู่ไม่กี่ร้านเปิดขายอยู่ ฮือ .....น้องยุ้ยหายไปมี....แล้ว ฮือ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 15:40:32 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จากวัดปราสาท ข้ามสะพานอาชาสีหมอก ผ่านโรงพยาบาลเจ้าพระยายมราช ( อึ๋ย ....พระยายม มาเป็นชื่อโรงพยาบาล ......)  ตรงนี้จะมีการบูรณะป้อมลอยน้ำหรือป้อมยื่น รวมทั้งขุดแต่งกำแพงเมืองเก่าสมัยกรุงศรีอยุธยาเรียบร้อยแล้ว น่าไปชม เมืองสุพรรณบุรี น่าจะถูกใช้เป็นฐานใหญ่ในการป้องกันพระนครในหลายสมัย ผังเมืองดูจะพรั่งพร้อมในการทำสงครามจากมหาอริราชศัตรูจากปัจฉิมทิศ การที่ป้อมยื่นออกไป เทคนิคนี้จะทำให้ข้าศึกเข้าประชิดคูเมืองได้ยากกว่าเดิม แต่ก็แค่ชั่วคราวหากกำลังของข้าศึกมากกว่า เช่นทัพหลวงของพระเจ้าอลองพญาก็เดินทัพผ่านป้อมสุพรรณบุรีนี้ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 15:52:39 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ออกจากเมืองมาทางทิศตะวันตก ไปตามนนสายสุพรรณฯ-ดอนเจดีย์ เราจะพบโบสถ์ใหญ่ของวัดป่ามีตรามงกุฏในแผนดินพระจอมเกล้าที่หน้าบันเป็นสง่า ทางซ้ายมือมีเจดีย์อยู่ในโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย  2 วัด ด้านหน้าโรงเรียนเรียกว่าวัดชุมชนุมสงฆ์ ที่นี่ขุดพบพระเครื่องเป็นจำนวนมาก เมื่อเกือบ 80 ปีที่แล้ว ส่วนด้านหลังโรงเรียนมีเจดีย์วัดพริก อยู่ร่วมสมัยกัน พบพระเครื่องในคราวบูรณะเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หลงเหลืออยู่บ้าน เป็นพระดินเผานาคปรกองค์เล็ก ๆ หน้าโรงเรียนกรรณสูต จะเป็นสถานีรถไฟสายสุพรรณบุรี ที่มีเพียงเที่ยวไปและกลับ ต่อ 1 วัน ใครอยากเที่ยวสุพรรณแบบอ้อมโลก ก็ต้องมาทางนี้ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 16:04:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ออกมาตามถนนสายมาลัยแมนไปทางอู่ทอง จะต้องผ่านอำเภอสวนแตง "สาวสวนแตงแห่งเมืองสุพรรณ ชื่อเสียงน้องมาลือลั่น ว่าแจ่มจันทร์เจ้าแตงร่มใบ..." สวนแตงเคยมีชื่อเรื่องแตงโมมาก ๆ เดี๋ยวนี้หากินยากหน่อย เพราะไม่นิยมปลูกแล้ว ใครผ่านมาก็น่าจะแวะนมัสการพระธาตุสวนแตง อายุร่วมสมัยกับปรางค์วัดมหาธาตุ หันไปทางทิศตะวันออกเข้าหาแม่น้ำ ตรงนี้เป็นดอนชุมชนโบราณที่สืบต่อกันมาจนถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา รอบ ๆ สวนแตงมีการลักลอบขุดหลุมศพโบราณสมัยก่อนประวัติศาสตร์ตามดอนต่าง ๆ เป็นจำนวนมาก สวนแตงจัดเป็นแห่งแรก ๆ ของการขุดพบสุสานยุคลูกปัด เมื่อประมาณ 40 ปีที่แล้ว จนขยายการขุดทำลายไปยังอู่ทองและดอนเจดีย์ในเวลาต่อมาไม่นานนัก ลูกปัดสุพรรณจึงเริ่มมีชื่อเสียงแพร่หลายและนิยมกันมาก จนขยายไปทั่วจนถึงศรีประจันต์ ชาวสุพรรณนิยมนำมาทำทำร้อยเส้น เป็นสร้อยคอ เป็นสร้อยข้อมือ และเครื่องประดับอื่น ๆ ร้านที่นิยมคือร้านเฮียตง ร้านทองสุพรรณหัวมุมทางเข้าตลาด จากที่ไม่รวยเลย หันมาเป็นช่างทองรับลูกปัดและเลี่ยมพระ วันนี้รวยเป็นร้อยล้านแล้ว ข้ามไปลพบุรีเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว จนกระจายไปหาถึงนครสวรรค์ ชัยนาทอุทัยธานี พิจิตร กยังพบสามารถขุดพบสุสานโบราณยุคลูกปัดและยุคอื่น ๆ ที่ไม่มีลูกปัดได้มากมาย แก้ไขเมื่อ 19 เม.ย. 50 16:25:13 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 16:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากมาลัยแมนมาประมาณ 30 กว่ากิโลเมตร จะมาถึงเมืองโบราณอู่ทอง ที่มีชุมชนใหม่ซ้อนทับ  สมัยก่อนขุดลงไปตรงไหนก็จะพบโครงกระดูกและของที่ฝังอยู่ด้วยจนเป็นเรื่องปกติ โดยเฉพาะบริเวณริมน้ำจระเข้สามพันตรงท่าพระยาจักร จะมีร่องรอยของชุมชนโบราณอยู่ใต้บ้านเรือนในปัจจุบัน ก่อนถึงเมืองอู่ทองโบราณ ก็จะผ่านแนวคลองชลประทานแม่กลอง ที่ผ่านขึ้นมาตรงนั้นจะเป็นชุมชนลาวโซ่งหรือไทยดำ หรือไทยทรงดำ (ตามแต่จะเรียก) กลุ่มชาติพันธุ์ลาวโซ่งชอบใส่ผ้าย้อมดำ จึงมักถูกเรียกว่าไทยดำ บ้านดอน บ้านดอนมะเกลือ เป็นที่วิจัยของผมในปี 2335 เพื่อเรียนรู้และศึกษาข้ามวัฒนธรรม อันเป็นพื้นฐานของวิชามานุษยวิทยา ประเพณีของลาวโซ่ง คือการเสนเรือน มีชุดเสื้อฮี ที่ใช้ในพิธีกรมทั้งมงคลและอวมงคล เป็นเอกลักษณ์ เลยมาอีกหน่อย ก็เป็นลาวอีกกลุ่มหนึ่ง คือลาวครั่ง หรือลาวภูคัง ที่ถูกกวาดต้อนลงมาจากลาวกลาง พร้อม ๆกับลาวเวียงที่อพยพขึ้นไปตามเส้นทางข้ามด่านช้างไปตั้งถิ่นฐานที่บ้านไร่ อุทัยธานี เดิมลาวครั่ง มีการทอผ้าและการผลิตเพื่อการพึ่งตนเองสูง แต่ด้วยแย่ใกล้ชุมชนจีนบ้านตลาดอู่ทอง จึงกลายเป็นแหล่งผลิตพืชผักและเนื้อส่งเข้าส่ตลาดในเวลาต่อมา ประเพณี่สำคัญของบ้านลาวครั่ง บ้านโคก คือ การเลี้ยงผี ซึ่งจะทำกันในช่วงต้นฤดูกาลผลิตที่บริเวณหอผี หรือศาลปู่ตา ตามคติโบราณของชาวลาว ปัจจุบันก็ยังดำเนินอยู่ ในหมู่บ้านโคก มีร่องรอยของเจดีย์ทวารวดีอยู่ 2 แห่ง โดนไถราบไปแล้ว จากการสำรวจ ฐานของเจดีย์องค์หนึ่งจะอัดแน่นด้วยทรายและดินแข็ง แต่อยู่ในทุ่งนาข้าว ก็รอวันแต่จะหายไป ท่าพระยาจักร เป็นท่าเรือเก่าของพ่อค้าชาวจีนที่เข้ามาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินเมื่อประมาณ 100 ปีที่แล้ว จนขยายตัวผสมกับชาวลาวกลายมาเป็นจีนปนลาว หรือก็คนไทยดี ๆ นั่นแหละ ด้านนอกเมืองจะเป็นที่ตั้งของเจดีย์ใหญ่ที่สุดของเมืองโบราณอู่ทองเรียกกันว่าวัดปราสาท หรือวัดช่องลม ( เจดีย์ร้าง) [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 16:41:11 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ทางเข้าวัดเขาพระ(วัดศรีสรรเพชญ) หากไม่สังเกตจะผ่านบ้านชั้นเดียวเป็นแนวยาว ทางซ้ายมือจะเป็นเจดีย์ทวารวดีขนาดใหญ่อีกองค์หนึ่ง แต่ต้องเดินเท้าเข้าไป [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 16:43:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถนนจากอู่ทองจะตัดตรงไปยังวัดเขาพระจนสุดทาง วัดเขาพระ(ยาแมน) มีร่องรอยของโบราณวัตถุตั้งแต่สมัยทวารวดี มากมาย มาจนถึงสมัยอยุธยา ยอดเขามีเจดีย์ใหญ่ ฐานเป็นทวารวดี ด้านบนสร้างทับในสมัยอยุธยา แต่สร้างสมัยเดียวก็ร้างไป อิฐของทวารวดีกับอิฐของอยุธยาที่นี่ดูง่ายแตกต่างกัน ตีนเขาทางทิศใต้ มีสถูปหมายเลข 13 ขุดพบพระธรรมจักร เสาและแท่นสมบูรณ์ ปัจจุบันอยู่ในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติอู่ทอง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 16:51:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เลยจากเมืองโบราณอู่ทองมาทางทิศใต้ จะเป็นที่ตั้งของคอกช้างดิน ( ติดกับสุสานจีน) ที่มีการขุดพบร่องรอยของการฝังเงินทวารวดีใต้ศาสนสถานอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก ใกล้กันเป็นทางเข้าวัดถ้าเสือที่มีชื่อเสียงของพระเครื่อง "พระถ้ำเสือ"ที่เวียนพระพยายามลากไปเป็นพระในสมัยทวารวดี แต่พระถ้ำเสือนั่งปางมาวิชัย ในสมัยทวารวดีนิยมพระในปางสมาธิ ไม่มีพระปางมารวิชัย ยกเว้นในยุคหลังคือสมัยอยุธยาแล้ว......ก็ต้องว่ากันไป เล่ากันว่า พบพระเพราะร่วงลงมาจากช่องเขาด้านบน เจดีย์พังลงมา ครั้งแรกเห็นเสือนอนทับไว้ จึงเป็นที่มาของชื่อถ้าเสือ พระถ้าเสือมีจำนวนมาก เป็นที่นิยมของคนสุพรรณ ปัจจุบันกระจายไปพบทั่วเขาภูเขาของอู่ทอง ทั้งเขาดีสลัก เขากำแพง สำปะชิว ก็เชื่อว่าพบของแท้ และนำลงมามากมาย หลายสายก็ไม่เชื่อว่าถึงยุค ...ก็ว่ากันไป หากมองภาพแผนที่ โดยลบถนนออกไป จะเห็นว่ามีเส้นทางน้ำจระเข้สามพันคดเคี้ยวอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งระหว่างทางน้ำกับเขตเขา ทางตะวันตก ที่ราบระหว่างนั้น มีการพบสุสานโบราณมากกว่า 4 - 6 แห่ง ระหว่างทางจากเมืองโบราณมาถึงคอกช้างดิน และเลยไปตลอดลำน้ำ ผมเคยไปดูที่เขาเก็บไว้ ตรงทางเข้าโรงโม่หิน เป็นลูกปัแก้วผสมสี ขีดเป็นเส้นขาวแดง ลูกปัดสีเขียวอ่อน แถวนี้เขาเรียกกันว่า "แสลน" ราคาเม็ดละ 500 บาทขึ้นไป ปัจจุบันราคนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว แสลนสีนี้เขาเรียกว่าสแลนศรีวิชัย หากเม็ดดำ เส้นขาว เหลือง แดง สลับกัน เรียกว่า แสลนโซ่ง หากเม็ดเหลือง สีแดงขวาน้ำเงินขวาแดง เรียกว่าสแลนธงชาติ หากสีน้ำเงิน เส้นขาว เรียกว่าแสลนน้ำเค็ม ( เพราะไปเหมือนกับที่ขุดพบที่บ้านน้ำเค็ม ที่พังงา) เอาล่ะ ผมเปิดเส้นทางตะลอนทัวร์ตามสายลมแห่งประวัติศาสตร์บ้านพี่นิคไว้คอยท่าแล้ว เชิญทุกท่านครับ ช่วยใส่เรื่องราวในประวัติศาสตร์จากความทรงจำกัน เดี๋ยวตะลอนไปบ้านท่านอื่นบ้าง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 19 เม.ย. 50 17:11:36 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถูกใจมากๆๆ ขอขอบคุณ จขกท เพราะใจกำลังนึกอยู่ว่าทำไมอู่ทองถึงมีโบราณสถานไม่มาก สมกับชื่อเสียเรียงนามว่าเป็นเเดนดินถิ่นเก่าอันดับต้นๆ ของสุวรรณภูมิ อยากได้รูปประกอบ คห. 9 และ 10 ด้วยฮะ จะไปเร็วๆนี้อ่ะ จากคุณ : Babatov - [ 19 เม.ย. 50 23:14:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ตามมาชมอีกคนครับ จากคุณ : หมาป่าดำ - [ 20 เม.ย. 50 09:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โอ้โฮ ถูกใจจริง เหมือนคนข้างบน เพิ่งเปิดมาเห็นนะเนี่ยะ ใช้ชื่อเราเป็นกระทู้ซะเลย อ๊ายอาย มัวแต่ไปมั่วในกระทู้รบทัพจับศึก เปิดเน็ตแต่เช้าก็วนอยู่แต่กระทู้นั้น ตรงนี้เป็นเรื่องใกล้ตัว และปัจจุบันกว่า ค่อนข้างสันทัด แต่ว่าคุณวรณัยอธิบายซะละเอียดยังงี้แล้ว จะไปต่อเติมอะไรให้มากความซะเล่า จากคุณ : NickyNick - [ 20 เม.ย. 50 10:37:37 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณวรณัยคะ อธิบายเสียละเอียด จนคนหลงทางเก่งอย่างดิฉันนึกภาพตามได้เลยค่ะ  ว่าจะพิมพ์ออกมาเก็บไว้ใช้เวลาไปเที่ยวเมืองสุพรรณฯ ด้วยค่ะ ขอบคุณนะคะ คุณนิค หายเขินแล้วเขียนแนะนำเพิ่มเติมได้นะคะ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 50 11:00:09 แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 50 11:01:59 จากคุณ : little kitty - [ 20 เม.ย. 50 11:00:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คือ เพราะพี่นิคเองนั่นแหละที่ชวนไปกระทู้เพชรพระอุมา (โทษเสียเลย)เลยไปปล่อยไก่ตัวโต แล้วเห็นวิธีการ เทียบชื่อบ้านนามเมืองของสุพรรณบุรี แถมยังเล่าเรื่องเก่า ๆ ซึ่งมีความเป็นจริงและเชื่อมโยง จับต้องได้มาประกอบเป็น"บริบท" มันจะทำให้เราสามารถ"จินตนาการ" ตัวของเราเองเข้าไปในประวัติศาสตร์ที่ไกลไปกว่านั้นได้ อย่างมีความสุข และเข้าถึงเพราะเรา"จับต้องได้" ผู้ที่จะเล่าก็ได้ทวนสมองและความทรงจำ ผู้ที่รับก็จะไม่เครียดและได้อะไรเพิ่มขึ้น เช่นอย่างที่คุณกัมภ์ เพียรพยามเอาเอกสารมาให้อ่าน หลายคนก็ไม่มีเวลาจะเขาไปค้นหา ก็มีบรรณารักษ์อินเตอร์เน็ตหมวดห้องประวัติศาสตร์มาแนะนำ เพราะเราตัดสินอดีตไม่ได้ หากแต่ถ้าเราได้เรียนรู้บ้าง เห็นบ้าง และมันมาเกี่ยวกับเราได้โดยปัจจุบัน( Real Times) เช่น "เมื่อคุณ little Kitty จะไปเที่ยว"จินตนาการจากประวัติศาสตร์จะตามมา พี่นิคและชาวห้องสมุดลองมาเล่าประวัติศาสตร์ท้องถิ่นกันสิครับ โดยเริ่มจากสุพรรณไปอู่ทอง จำอะไรได้ก็มาบอก มาเล่า ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ต่างจากประวัติศาสตร์หลวง คือ.......ก็อย่างที่พี่นิคไปทำที่กระทู้รบทัพจับศึกนั่นแหละ  ไม่ได้ยึดจากพงศาวดารหรือหนังสือเพียงอย่างเดียว แต่ยึดจากคำบอกเล่าของคนรุ่นที่แล้ว ....เล่าต่อกันมาด้วย นี่คือประวัติศาสตร์ราษฏร์ (Little Tradition) ในทางวิชา(เกิน)ครับ รูปตราท้าวกุเวรดินเผา ประมาณ 2,000 ปี ได้มาจากตา(นกกา)เหว่า ยายเมี้ยน ( พวกหาโบราณวัตถุมาขาย)ที่อู่ทองเมื่อประมาณ 10 ปีที่แล้ว ต้นแบบสู่ท้าวจุมพลและท้าวเวสสุวรรณ ในพุทธศาสนา ของแท้ต้องมีหม้อเงินและหม้อทองอยู่ซ้ายขวา ถึงจะรวยจริง แก้ไขเมื่อ 20 เม.ย. 50 13:29:57 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : วรณัย - [ 20 เม.ย. 50 13:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณคุณวรณัยซะเหลือขนาด ที่ชมกันซะจนตัวลอย คุณกัมม์ด้วย ได้ยินคำชมมั่งเปล่า ยังไม่มีเวลาอ่านเท่าไร  แล้วก็ใจเต้นตึ๊กตั๊กตลอดระหว่างพิมพ์อยู่นี้ จะทำยังไงให้เขายังคงคำชมไว้เหมือนเดิม เงียบไว้เป็นดีที่สุด เพราะภูมิที่มีอยู่บ้างจะได้ไม่โผล่ให้คนรู้ว่าเหลืออยู่แค่ไหน แม้จะไม่ว่างและต้องรีบเร่ง แต่ความอยากมีส่วนร่วมจึงต้องกระโจนเข้ามาในตอนนี้ ไม่ต้องห่วงภาพพจน์ตัวเองกันละ เดี๋ยวเหลือเวลาอีกแค่ชั่วโมงกว่าๆ ก็จะต้องปิดคอมให้สนิทจนถึงพรุ่งนี้ ดีใจที่ได้เห็นบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองได้รับการเผยแพร่ออกสู่สาธารณชน ไม่ได้เห็นกูเกิ้ลเอิร์ธมานาน เพราะไม่ได้รับอนุญาตให้เปิด สมใจก็คราวนี้เอง และเห็นว่าภาพดูอัพเดทกว่าเมื่อก่อน ก่อนนี้เป็นภาพเก่าเก็บ 4-5 ปีก่อน สังเกตง่ายจากถนนหนทางเมืองสุพรรณที่พัฒนามานานแล้ว แต่กูเกิ้ลตอนนั้นยังไม่แสดงให้เห็นบางถนนเมืองบรรหารบุรีบ้านเรา เข้าใจเปิดภาพแสดงศูนย์กลางเมืองในอดีตเลยครับ ภาพหัวเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงคูเมืองโบราณสุพรรณบุรีสมัยหลัง เน้นคำว่า สมัยหลัง นะครับ เพราะสมัยก่อนหน้านี้จะเป็นเมืองอกแตกคร่อมสองฟากฝั่งแม่น้ำ  แผนที่ทางอากาศที่ถ่าย 2 รอบแรกคือ มกราคม 2496 กับ ธันวาคม 2496 จะยังเห็นคูเมืองฝั่งตะวันออกของแม่น้ำสุพรรณ (แม่น้ำท่าจีน) ได้ดีกว่าในอีก 2 สมัยหลัง วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ ชาวบ้านเมืองสุพรรณเรียกว่า วัดพระธาตุ เป็นวัดศูนย์กลางเมือง เคยร้างมาพักหนึ่ง ด้านหลังไปทางตะวันตกเป็นศาลเจ้าพ่อหลักเมือง อธิบายไว้ได้อย่างน่าฟัง วัดป่าเลไลยก์ เป็นวัดนอกเมือง เขาเรียกกันว่าวัดฝ่ายอรัญวาสี  เมื่อก่อนเรียกวัดลานมะขวิด  แต่ความจริงภายในเขตวัดปัจจุบันมีวัดเก่าอยู่ 2 วัด คือวัดลานมะขวิด กับวัดโคกกระต่าย มีวัดชุมนุมสงฆ์ที่อยู่ด้านหน้าโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย อยู่ฝั่งตรงข้ามถนนมาลัยแมน แต่เนื้อที่วัดนี้คงจะกินเข้าไปในวัดป่าปัจจุบันด้วย คุณวรณัยรู้ทุกจุด ทุกซอกทุกมุมเหมือนกับคนพื้นที่เลยครับ น่านับถือเป็นอย่างยิ่ง เขียนก็น่ารัก ได้ทั้งความรู้ความบันเทิง  ไปเที่ยวสุพรรณคราวหน้าผมต้องขอจองให้เป็นไกด์ส่วนตัวครับ แต่พลาดไปนิด ที่โลเคทตำแหน่งโลตัสผิดไปหน่อย ตรงนั้นเป็นแมคโคร  โลตัสจะอยู่ใต้ลงมา และแนวราบเดียวกับแนววัดพระรูปครับ ผมรู้ เพราะผมเดินเที่ยวบ่อยครับ คุณวรณัยไม่ค่อยได้ไปเลยแพ้ทางผมตรงนี้แหละ จากคุณ : NickyNick - [ 20 เม.ย. 50 14:48:33 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ภาพใน คห.1 แสดงรายละเอียดรอบวัดพระธาตุ เสียดายที่ตอนนี้เจดีย์รอบพระปรางค์เหลืออยู่น้อยมาก เทียบไม่ได้กับในอดีต ผมได้แผนผังเจดีย์รอบปรางค์วัดนี้มา เป็นฝีมือของสมเด็จครู คือสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ อยากอวดใจแทบขาด แต่ไม่มีเครื่องสแกน คิดในทางดีเสียว่าคุณวรณัยคงจะเคยเห็นแล้วจากหอจดหมายเหตุ เป็นแผนผังเขียนตอนที่พระองค์ตามเสด็จสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณครั้งแรก สมเด็จได้เสด็จส่วนพระองค์ต่างหากมาที่วัดนี้  ต้องลุยป่าลุยดงเข้าไปสำรวจพระปรางค์และองค์พระเจดีย์รายรอบ นับคร่าวๆ ได้ว่ากว่า 30 องค์ เสียดายที่การเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณครั้งแรก พวกเราจะอ่านได้จากพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเป็นส่วนใหญ่  ส่วนพระราชกิจรายวัน ร.5 ตอนนี้ก็ไม่ค่อยมีเปิดเผยให้อ่านกันเท่าไร แผนผังหรือแผนที่ที่สมเด็จครูได้วาดไว้เลยไม่ค่อยปรากฎต่อสาธารณชนเท่าใด แต่ก็อาจเป็นข้อโชคดีที่อีก 10-20 ปีถัดไป หากผมไม่รู้จะทำมาหากินอะไรแล้ว อาจจะควักแผนที่นี้เอามาศึกษาข้อมูลและเขียนบทความไว้หาเลี้ยงชีวิตบั้นปลายก็ได้นะ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่อยู่ทางตะวันตกของวัด สร้างตั้งแต่ก่อนสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพประพาสเมืองสุพรรณคราวแรก และเป็นเหตุให้เกิดนิทานโบราณคดีที่เกี่ยวเนื่องเรื่องหนึ่งขึ้นมาคือ "เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ" เกี่ยวกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ ผมเคยเขียนละเอียดลงในเวปไซด์หนึ่ง แต่ห้องนี้ถูกปิดไปแล้ว คุณวรณัยอาจจะเคยเห็นข้อเขียนของผมแบบผ่านๆ บ้างนะครับ ส่วนองค์พระเจดีย์ที่คุณวรณัยเขียนไว้ว่า "เจดีย์(วัดร้าง)" ทางขวาสุดของภาพ อยู่ตีนสะพานข้ามแม่น้ำท่าจีนของถนนมาลัยแมน ฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ  คือเจดีย์วัดกุฎีสงฆ์ครับ หากคุณวรณัยได้อ่านในหนังสือห้าเดือนกลางซากอิฐปูนอยุธยา ของอาจารย์ น. ณ ปากน้ำ ตอนที่ท่านมาบุกเมืองสุพรรณ รู้สึกท่านจะเขียนว่า วัดเจดีย์โซ่ง  ก็คือวัดเดียวกันนี่เอง ท่านคงจะฟังสำเนียงหลวงเมืองสุพรรณแล้วเข้าใจผิดครับ นับถือในความสามารถของคุณวรณัยจริงๆ ............... เข้ามาแก้ไข สมเด็จกรมนริศเสด็จทำแผนที่รอบพระปรางค์วัดมหาธาตุ ด้วยวิธี "อนุมาณด้วยย่างท้าว" บอกว่า ประมาณอายุไม่ถูก แต่ฝีมืออยู่ระหว่าง ลโว้ กับ อยุทธยา ฝีมืออยู่ในหว่างกลางสองประเทศนั้น คล้ายคลึงเปนทำนองเดียวกันกับเมืองสุโขไทย แต่อย่างไรก็ดีเห็ฯจะไม่แก่กว่าลโว้ อ้อ เป็นการสำรวจเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นครั้งที่ 2 ครับ สำรวจวันที่ 21 ตุลาคม ร.ศ.127  หรือ พ.ศ.2451 ครับ แก้ไขเมื่อ 21 เม.ย. 50 17:34:53 จากคุณ : NickyNick - [ 20 เม.ย. 50 15:06:51 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ภาพใน คห.2 เป็นตอนเหนือสุดของคูเมืองโบราณ ตอนที่จะต่อกับแม่น้ำสุพรรณทางด้านเหนือ ที่เขียนไว้ว่าป้อมลอยน้ำ ผมไม่รู้ว่าทางนักประวัติศาสตร์เขาจะเรียกอย่างถูกต้องกันยังไง แต่ชาวบ้านแถวนั้นเรียกกันง่ายๆ ว่า ป้อมปราการ หรือเชิงเทิน เป็นป้อมที่ส่องดูข้าศึกหรือเพื่อเหตุผลอื่น  รอบคูเมืองมีอยู่ทั้งหมด 6 ป้อม แต่เดิมคูเมืองสุพรรณมีช่องทางน้ำโผล่ออกสู่แม่น้ำท่าจีนทางตอนเหนือด้วย  แต่ว่ามาถูกปิดไปตั้งแต่ปี 2504 ตอนที่มีการขุดสร้างทำถนนสายวัดพระธาตุ-โพธิ์พระยานี่แหละครับ ตอนนั้นยังเป็นถนนดิน แล้วเป็นถนนลูกรัง แล้วมาเป็นถนนราดยางราวปี 2528 หลังจากถูกปิดไปแล้ว ตรงปลายทางที่ต่อกับแม่น้ำก็มีบ้านปลูกสร้างอยู่ก่อนแล้ว เป็นที่มีโฉนด ตรงปลายสุดของคูเมืองส่วนนี้คือตัวคุ้มขุนแผนครับ แต่ไม่ใช่วงที่ระบุไว้  อยู่ตรงใต้ลงมาหน่อย เป็นแนวต่อของคูเมืองนั่นแหละครับ  แล้วขอบคูเมืองชั้นนอกตรงนั้น จะมีต้นมะขามขุนแผน ที่ขุนแผนเอาใบเสกเป็นต่อเป็นแตน ส่วนที่ระบุว่าเป็นคุ้มขุนแผน คือส่วนกุฏิของวัดแคครับ  และทางเหนือที่บอกว่าเป็นวัดแค คือวัดสารภีครับ วัดสารภี ตอนนี้อยู่ริมน้ำ  แต่อีกฝั่งหนึ่งของถนน มีวัดร้างอยู่ 2 วัด คือ วัดพระอินทร์ทางเหนือ กับวัดน้อยทางใต้ 2 วัดนี้มีกำแพงรั้วติดกัน  สมัยก่อนกำแพงโบสถ์ของวัดพระอินทร์มีรูปทัพพีแปะอยู่รอบ ชาวบ้านเรียกทัพพีว่าสารภีครับ  ภายหลังแผ่นดินงอกออกไป ตามการวิเคราะห์ของผมในกระทู้สงครามยุทธหัตถีนั่นแหละครับ  ทำให้วัดพระอินทร์กับวัดน้อยอยู่ห่างไกลแม่น้ำออกไป  พระเณรจึงลำบากที่จะหาบน้ำหาบท่าไว้กินไว้ใช้  เลยมาสร้างกุฏิเพิ่มเติมที่ใกล้แม่น้ำ คนแถวนั้นเชื่อกันว่า วัดพระอินทร์ (ร้าง) กับวัดสารภี ในปัจจุบันคือวัดเดียวกันครับ เพราะที่วัดพระอินทร์มีรูปสารภีแปะอยู่ที่กำแพงโบสถ์ แต่ทางราชการนับกันว่าเป็นคนละวัด คงเพราะอยู่คนละฟากถนนอย่างหนึ่ง หรือเพราะไม่รู้ประวัติศาสตร์ หรือเพราะมีโฉนดชาวบ้านคั่นกลางระหว่าง 2 วัดนี้อยู่ วัดไม่ติดกัน ต้องเป็นคนละวัด ชัวร์เลย เหนื่อยครับ พอก่อน พรุ่งนี้ค่อยมาต่อ จะมาเล่าเรื่องการขุดรื้อองค์เจดีย์ และกำแพงคูเมืองโบราณ ส่งนอกครับ คือส่งอิฐไปขายยังพระนครกันอย่างเป็นล่ำเป็นสัน เจดีย์วัดร้างริมน้ำเมืองสุพรรณพังทลายและสูญหายไปหลังสงครามโลกครั้งที่สองเป็นจำนวนมาก  เพราะทางรัฐส่งเสริมให้ทำกิจการนี้กันครับ  ไม่ทราบว่าคุณวรณัยจะพอรู้เรื่องนี้มั้ย คุณวรณัยทำดีมากครับที่สร้างสรรค์กระทู้แบบนี้ขึ้นมา การลงตำแหน่งภาพผิดเล็กๆ น้อยๆ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เพราะคุณมีเวลาคิดเพียงนิดเดียว แถมเป็นการรื้อฟื้นความทรงจำด้วย หากผมมีเวลาก็จะมาร่วมด้วยและได้ระบายอะไรออกบ้าง เก็บไว้นานคนเดียวหลายปีไม่ดี เดี๋ยวของจะขึ้น จากคุณ : NickyNick - [ 20 เม.ย. 50 15:50:54 ]

ความคิดเห็นที่ 20 รูปใน คห.3 วัดหน่อพุทธางกูร ทางตะวันตกของแม่น้ำสุพรรณ มีจิตรกรรมฝาผนังที่โบสถ์เก่า ตาม คห.71 และ 88 ของกระทู้นี้ครับ http://www.pantip.com/cafe/chalermthai/topic/A5324963/A5324963.html นายคำ ผู้วาดจิตรกรรมฝาผนังเป็นชาวลาวอพยพครับ มาจากเวียงจันทน์และถูกต้อนไปอยู่กรุงเทพสมัยศึกเจ้าอนุวงศ์สมัยรัชกาลที่ 3 ในเวปสำนักศิลปากรที่ 2 สุพรรณบุรี บอกว่าก่อนหน้านั้น นายคำได้วาดจิตรกรรมฝาผนังที่วัดสุทัศน์ฯ ด้วย http://www.fad2.go.th/webpage/watnor_suphan.htm นายคำสืบหาญาติพี่น้องจนมาเจอที่นี่ คือบ้านโพธิ์หลวง เป็นแหล่งพักพิงแห่งหนึ่งของชาวลาวเวียงอพยพครั้งนั้น ซึ่งในตัวเมืองสุพรรณจะมีแหล่งใหญ่ของลาวเวียงสมัยรัชกาลที่ 3 อยู่ 4 ที่ รอบเมืองทุกทิศทางเลยครับ และก็ได้ฝากฝีมือจิตรกรรมฝาผนังไว้ที่โบสถ์เก่าของวัดหน่อนี้ ร่วมกับนายเทศ บุตรเขยของตนที่ถูกต้อนมาอยู่กรุงเทพพร้อมกัน และนายเทศก็เลยตกค้างอยู่เมืองสุพรรณ มีลูกหลานสืบสกุลอยู่ที่สองฝั่งแม่น้ำแห่งนี้ ลูกหลานของนายเทศ ใช้นามสกุล กุลเกตุ ทราบว่าคุณวรณัยเคยไปกินนอนอยู่เมืองสุพรรณ และสำรวจพื้นที่ร่วมกับครูโรงเรียนกรรณสูตพักหนึ่ง ครูสอนศิลปะคนหนึ่งของโรงเรียนนั้น นามสกุล กุลเกตุ สืบทอดศิลปะแขนงนั้นมาจากนายเทศ ผู้เป็นปู่ทวด และนายคำผู้เป็นเทียด ด้วยครับ จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 13:28:14 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รูปใน คห.3 เช่นเดิม วัดพระลอย เป็นวัดที่พัฒนามาแต่ยุคหลวงพ่อจอน แล้วก็หลวงพ่อแต้ม สมัยหลังๆ ก็มีพระนักพัฒนารุ่นต่อๆ มา ถ้าดูตามแนวคูเมืองโบราณสุพรรณบุรียุคแรก ไม่ใช่รูปคูเมืองรุ่นใน คห.เปิดกระทู้นะครับ แต่เป็นยุคก่อนสมัยเป็นเมืองอกแตก  คูเมืองจะต่อเนื่องไปและข้ามแม่น้ำสุพรรณที่ตอนใต้ของวัดพระลอยหน่อยหนึ่ง  ระหว่างวัดพระลอยกับคูเมืองโบราณตอนนี้ ซึ่งความกว้างราวครึ่งกิโลเมตร จะมีวัดอยู่เยอะ เช่น - วัดกระโจมทอง - วัดราชเดชะ (เป็นวัดใหญ่ที่สุดในกลุ่มนี้) แถวนี้เจอลูกปัดเยอะ ในข้อมือศพโบราณด้วย คุณวรณัยอาจจะเคยเห็นบ้าง - วัดมะกอก - วัดสร้อยฟ้า สมัยหลวงพ่อแต้ม ท่านชอบอนุรักษ์ของเก่า จึงเห็นความสำคัญของของเก่าทุกอย่าง รวมถึงวัดโบราณเหล่านี้ด้วย ท่านจึงพยายามรวบรวมจตุปัจจัยเพื่อซื้อที่วัดร้างเดิมรอบวัดพระลอยของท่าน ทางด้านใต้  เพื่อกลับให้มาเป็นวัดดังเดิม ซึ่งก็ได้ผลส่วนหนึ่ง แต่ก็ทำได้เท่าที่มีความสามารถ  วัดร้างที่เหลือใกล้เคียงก็ยังเป็นที่ดินครอบครองของชาวบ้านไป จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 13:38:28 ]

ความคิดเห็นที่ 22 แว้ก  ตลาดจะวายไปก่อนไหมเนี่ย   จองนะคะที่นั่งนี้ จากคุณ : biebie999 - [ 21 เม.ย. 50 13:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 23 รูปใน คห.4 คุณวรณัยพูดถูก เครือญาติผมอยู่แถวนี้เยอะครับ แล้วก็หนาแน่นตลอดลำน้ำขึ้นไปทางเหนือจนถึงวัดหน่อพุทธางกูร ส่วนน้องยุ้ย ร้านน้ำปั่นโต้รุ่ง เธอคงเกิดไม่ทันผม เลยคลาดกัน ในรูปที่โชว์ให้เห็นวิทยาลัยเทคนิคสุพรรณ ในนั้นจะมีวัดร้างอยู่ 3 วัดครับ คือ - วัดละคร - วัดโหน่งเหน่ง - วัดช่องลม ทางใต้ลงมาหน่อยหนึ่ง คือวัดพระรูป ในเขตวัดนี้ ยังมีวัดร้างเก่าอยู่อีกวัดหนึ่งครับคือ - วัดพลายชุมพล และภายในรัศมีเพียง 1 กม. รอบๆ วัดพระรูป ก็มีวัดร้างเก่าๆ เป็นร้อยวัดเลยครับ สาธยายสิบวันไม่มีจบ แต่หาซาก ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง เพราะเกิดเหตุรอบใหญ่ครั้งนั้นคือ ปรากฏการณ์ขนอิฐลงเรือส่งออกนอก (เมือง) สมัยโน้น คุณวรณัยเห็นทางซ้ายมือสุดของภาพไหมครับ มีที่ว่างอยู่ภายในเขตวิทยาลัยเทคนิค ตรงนั้นแหละครับ ลากตามแนวเหนือใต้ลงมา จะเจอป้อมกลางน้ำของคูเมืองสุพรรณรุ่นสองทั้งเหนือและใต้ แนวนี้เป็นแนวคูเมืองโบราณรุ่นแรกของเมืองสุพรรณครับ ที่อยู่สุดฟากตะวันตก เป็นคูเมืองรุ่นอกแตกคร่อมสองฝั่งแม่น้ำ จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 14:24:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ตลาดวายนานแล้วครับคุณเบบี๋ ไม่มีใครมาไม่เป็นไร คุยคนเดียวก็ได้ จขกท.ก็คงมึน เพราะเห็นตั้งกระทู้ไว้ติดๆ กัน ท่าทางกำลังร้อนวิชา ดูรูป คห.5 ต่อครับ พอเห็นรูปนี้ ก็เรียนให้ทุกท่านรู้ว่า ลากเส้นจากป้อมคูเมืองล่างสุดนี่แหละครับ ขึ้นเหนือขนานกับคูเมืองแถบตะวันตกที่เหลือ จะไปเจอกับที่ว่างๆ ทางตะวันตกของวิทยาลัยเทคนิค ซึ่งเป็นแนวคูเมืองโบราณสุพรรณรุ่นแรก ที่คุณวรณัยแต้มสีไว้ เป็นคูเมืองโบราณรุ่น 2 ครับ ที่ดินผมสองแปลงใหญ่อยู่แถวนี้ละครับ - แปลงหนึ่งอยู่ภายในเขตกำแพงเมืองโบราณรุ่น 1  และภายในเขตกำแพงเมืองโบราณรุ่น 2 ด้วย - อีกแปลงหนึ่งอยู่ภายนอกเขตกำแพงเมืองรุ่น 1 แต่อยู่ภายในเขตกำแพงเมืองโบราณรุ่น 2 ทั้งสองแปลงอยู่ใกล้กันนิดเดียว รอบหมู่บ้านสร้างใหม่นี่เอง ใครอยากซื้อ จะขายให้ถูกๆ ถูกใจเจ้าของที่ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 14:34:33 ]

ความคิดเห็นที่ 25 รูปใน คห.6 เจ๋งครับ ระบุได้ถูกหมด โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย จะอยู่ในบริเวณจุดสกัดด้านเหนือคือเจดีย์วัดพริก (ร้าง) และด้านใต้คือเจดีย์วัดชุมนุมสงฆ์ (ร้าง) ไปทางตะวันออกอีกเล็กน้อยจากตรงนี้จะเป็นคูเมืองโบราณสุพรรณบุรีที่เห็นกันแล้ว ดังนั้น แถวนี้จึงเคยมีค่ายพม่าตั้งอยู่อย่างแน่นอน สมัยก่อนเมื่อรถแทร็กเตอร์ยังไม่ระบาดเหมือนปัจจุบัน เขาทำนากันโดยใช้วัวควาย  จึงสามารถเห็นแอ่ง หรือบ่อ หรือกำบังสูงภายในนาได้ชัดเจน หลายแห่งด้วย และกำบังสูงเหล่านี้จะหันหน้าไปทางคูเมืองโบราณ มีแอ่งอยู่ข้างหลังเป็นที่กำบัง ชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นค่ายพม่าครับ แล้วก็มีหลายค่าย ค่ายเล็กค่ายน้อยอยู่แถวนี้ แต่ตอนหลังรถแทร็กเตอร์ขายดี เกรดหลักฐานพวกนี้หายเกลี้ยงไม่เหลือหรอ จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 14:43:52 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ภาพใน คห.7 ตรงนี้มี 2 ตำบล เห็นคลองที่คดเคี้ยวกลางภาพมั้ยครับ นี่แหละคือแม่น้ำท่าว้าท่าคอย ที่เราคุยกันในกระทู้เพชรพระอุมาเรื่องศึกยุทธหัตถีนั่นแหละ เป็นแม่น้ำสำคัญในอดีต  ดังนั้นจึงมีการตั้งถิ่นฐานของมนุษย์มาแต่โบราณกาล การขุดเจอลูกปัดรอบๆ แม่น้ำสายนี้จึงไม่ใช่เรื่องแปลกครับ ตอนแม่น้ำผ่านแถวนี้ จะแบ่งด้านขวามือเป็น ตำบลสวนแตง อำเภอเมือง แล้วทางซ้ายมือเป็นตำบลศาลาขาว อำเภอเมือง วัดพระธาตุแห่งนี้ ตั้งอยู่ในเขตตำบลศาลาขาว แต่ใกล้ตลาดสวนแตง คนจึงเรียกวัดพระธาตุสวนแตงกัน ถนนที่เห็นคือถนนมาลัยแมน สาย 321 จากเมืองสุพรรณทางขวา วิ่งไปอู่ทองและนครปฐมทางซ้ายมือ ขณะเดียวกัน ใต้ลงไปอีกหน่อย แม่น้ำท่าว้าสายนี้ จะแยกสาขาลงใต้เป็นคลองสวนแตง และเป็นสาขาชื่ออื่นอีกจนออกสู่แม่น้ำสุพรรณที่อำเภอสองพี่น้อง และวิ่งไปทางซ้ายกลายเป็นแม่น้ำจระเข้สามพัน ที่เรารู้จักกันดีในประวัติศาสตร์ พุ่งสู่เมืองโบราณอู่ทองไงครับ คุณวรณัยทำให้ผมเห็นถนนมาลัยแมนตรงโค้งสวนแตงทางขวามือล่างสุด แล้วก็แม่น้ำท่าว้าที่คดเคี้ยวไปมาได้ดีเลยครับ ช่วยเปิดโลกทัศน์ให้กว้างขึ้น จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 14:54:01 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ภาพใน คห.8-9-10 ชักเยอะแล้วครับ เหนื่อย คุณวรณัยทำวิจัยแถวนี้มานาน ข้อมูลเพียบอยู่แล้ว ผมไม่ขอออกความเห็นใดๆ นะครับ ว่างๆ จะเล่าเรื่องที่ค้างไว้แต่เมื่อวานครับ เรื่องการรื้ออิฐของกำแพงเมืองโบราณสุพรรณและวัดร้างต่างๆ สองฟากฝั่งแม่น้ำสุพรรณเพื่อส่งนอกกันครับ เรื่องเยอะเชียวแหละ แต่จะสรุปสั้นๆ ไม่กี่หน้า จากคุณ : NickyNick - [ 21 เม.ย. 50 14:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 28 คุณนิคขา  ข้างหลังโรงเรียนกรรณสูตฯ มีอีกวัดหนึ่ง  จำชื่อไม่ได้แล้วล่ะค่ะ  ว่าชื่ออะไร  มีประวัติเป็นมาอย่างไรพอทราบไหมคะ จากคุณ : biebie999 - [ 21 เม.ย. 50 20:00:25 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ข้างหลัง รร.กรรณสูต หรือทางทิศเหนือนั่นเอง คือวัดพริก ครับ มีรูป คห.6 ของคุณวรณัย กับ คห.25 ของผมได้อธิบายไว้บ้าง ประวัติความเป็นมา ผมไม่รู้ ชื่อวัดร้างในเมืองสุพรรณที่เรารู้จักกันในขณะนี้ ส่วนใหญ่ไม่ใช่ชื่อจริงในอดีต เพราะไม่มีประวัติให้เราเห็นกัน แต่เป็นชื่อที่ตั้งขึ้นใหม่เมื่อไม่นานมานี้ รุ่นปู่ย่าตายายของพวกเราเอง การตั้งชื่อ จะมาจากลักษณะสภาพแวดล้อม มีสิ่งของสำคัญภายในวัดคืออะไรบ้าง   สังเกตเห็นอะไรในนั้นที่เด่นๆ บ้าง มีพืชผักต้นไม้อะไรขึ้นแถวนั้นบ้าง แล้วเจ้าหน้าที่ทางราชการก็จะตั้งชื่อกันตามนั้น บางทีชาวบ้านเรียกอีกชื่อหนึ่ง ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ ขณะนี้จึงมีว่า - วัดร้างบางวัดมีหลายชื่อ - หลายวัดแถวนี้ ก็มีชื่อเหมือนๆ กัน - ถ้าคนโบราณมาเกิดใหม่ คงจะงงกับชื่อวัดบ้านตัวเองแน่ๆ จากคุณ : NickyNick - [ 22 เม.ย. 50 09:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เรื่องรื้ออิฐโบสถ์เจดีย์เก่า เอาไว้อีกสองวันครับ เดี๋ยวจะไม่ว่างแล้ว หรือไว้กระทู้ต่อๆๆๆๆ ไปเลยทีเดียว จากคุณ : NickyNick - [ 22 เม.ย. 50 16:03:57 ]

ความคิดเห็นที่ 31 แว้ก...ปล่อยไก่ตัวเบ่อเร่อเลยเรา  เพลินจริง ๆ เลยค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 22 เม.ย. 50 19:10:59 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ปล่อยไก่ออกจากเล้าบ้างครับพี่นิค เป็นสีสัน ไมรู้ว่า มีคนไปเที่ยวสุพรรณฯกันบ้างหรือเปล่า หรือเรื่องมันหนักไปก็ไม่รู้ แต่ก็อยากให้ คนในเน็ตได้มีโอกาสรู้"เรื่อง"นอกหนังสือบ้าง ความรู้ไม่จำเป็นต้องท่องจำ จากคุณ : วรณัย - [ 22 เม.ย. 50 22:40:50 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมคงจะหยุดกระทู้นี้ไว้ตรงนี้ก่อนครับ งานยุ่งมาก แล้วจะได้มีเวลาติดตามกระทู้อื่นๆ บ้าง เดี๋ยวไม่ทันสมัยกะเค้า แต่ก็ยินดีเข้าร่วมในทุกกระทู้ของคุณวรณัยหากตนพอรู้เรื่องบ้างนะครับ อ้อ เรื่องที่เราต่างร่วมนำเสนอ เป็นเรื่องไม่หนัก แต่ว่าต้องใช้จินตนาการพอสมควร คนที่จะอ่านเข้าใจได้ไวต้องรู้จักพื้นที่มาบ้าง อย่างกะคุณเบบี๋ ที่พวกเราได้โอกาสจับไก่จากเล้าของเธอไง ขอบคุณมากคุณเบบี๋ สำหรับกำลังใจที่ให้ไว้กับเรา จากคุณ : NickyNick - [ 24 เม.ย. 50 15:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ตามคุณนิคไปทุกที่ จากคุณ : biebie999 - [ 25 เม.ย. 50 19:15:55 ]

ความคิดเห็นที่ 35 มาช่วยต้อนไก่ในเล้าผมเหรอครับ แรงต้องดีพอสมควร เพราะไก่หลุดเยอะ จากคุณ : NickyNick - [ 26 เม.ย. 50 08:50:47 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอเรียนเชิญคุณเบบี๋ คนสุพรรณทุกท่านรวมถึงท่านผู้มีเกียรติ มาร่วมแสดงความยินดีและชื่นชมกับความสวยความงามของงานสำคัญที่ปรากฏในเมืองสุพรรณครั้งหนึ่ง รวมทั้งหยาดเหงื่อแรงกายของผู้ที่ปิดทองหลังพระ ที่มีอยู่แล้วในทุกงาน รวมทั้งงานคราวนี้ด้วย เชิญคลิกที่ My Blog ของคุณวรณัยได้เลยครับ หรือที่ลิ้งค์นี้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=voranai&month=04-2007&group=3&date=25&gblog=5 จากคุณ : NickyNick - [ 26 เม.ย. 50 10:01:16 ]