บันทึกของคนเดินเท้า
ทหารอาสาสงครามโลกครั้งแรก
การที่ประเทศไทยได้ส่งทหารไทย ออกไปปฏิบัติการนอกประเทศนั้น มิใช่แต่ใน ปัจจุบันที่เป็นข่าวฮือฮา เพราะได้มีข่าวปรากฏทางโทรทัศน์เท่านั้น แต่ทหารไทยได้เคยออกไปปฏิบัติการรบนอกประเทศ ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราชมาแล้ว
ส่วนในสมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ก็มีสงครามเกาหลี สงครามเวียตนาม และการปฏิบัติงานของเสือพราน ในประเทศลาว และประเทศเขมร
สำหรับเรื่องที่จะนำมาเล่าในคราวนี้ เป็นเรื่องของทหารไทยในสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ.๒๔๖๐ ที่ล่วงมาเพียงไม่ถึงร้อยปี แต่คนไทยทั่วไปอาจจะลืมไปแล้ว
สงครามโลกครั้งที่ ๑ มีประเทศอังกฤษ ฝรั่งเศส รุสเซีย เบลเยี่ยม และ แซร์เบีย เป็นฝ่ายสัมพันธมิตร อันต่อมาภายหลังมีประเทศอิตาลี อเมริกา และไทยเข้าร่วมด้วย ฝ่ายหนึ่ง กับมีประเทศเยอรมัน เอ๊าสเตรียฮุงกาเรีย รวมกันเรียกว่าฝ่ายประเทศท่ามกลางยุโรปเป็นอีกฝ่ายหนึ่ง สงครามได้เกิดขึ้นเมื่อ พ.ศ.๒๔๕๗
เดิมประเทศไทยวางตัวเป็นกลางไม่เข้ากับฝ่ายใด ครั้นต่อมาถึง พ.ศ.๒๕๖๐ สงครามทั้งสองฝ่ายเข้าที่คับขัน และฝ่ายประเทศท่ามกลางยุโรป คือเยอรมัน ออสเตรีย กำลังทำการรบได้เปรียบฝ่ายสัมพันธมิตร พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้ทรงตัดสินพระทัยเข้าร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร ประกาศสงครามกับฝ่ายเยอรมันและออสเตรีย เมื่อ ๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ พร้อมกับส่งทหารไทยไปร่วมรบกับฝรั่งเศสในทวีปยุโรป ด้วย
ในคราวนั้นประเทศไทยส่งทหารไปประมาณพันสองร้อยเศษ โดยมี พลตรี พระยาพิชัยชาญฤทธิ์ (ผาด เทพหัสดิน ณ อยุธยา) ผู้บัญชาการกองพลทหารบกที่ ๔ เป็นหัวหน้า และมี ร้อยโท เมี้ยน โรหิตเศรณี เป็นนายทหารคนสนิทของผู้บัญชาการ
ร้อยโท เมี้ยน โรหิตเศรณี ท่านนี้ ต่อมาก็คือ พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ ท่านได้เป็นนายกสมาคมสหายสงคราม (ทหารผ่านศึกในสงครามโลกครั้งที่ ๑) ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๔ ท่านได้เล่าเรื่องเกี่ยวกับสงครามครั้งนี้ไว้ หลายครั้งหลายคราว ตลอดเวลาที่ท่านเป็นนายกสมาคมอยู่นานถึง ๓๒ ปี เป็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากสำหรับคนรุ่นหลัง เพราะเป็นสิ่งที่ท่านได้รู้เห็นมาด้วยตนเอง ท่านเล่าว่า
การรบพุ่งในคราวมหาสงครามโลกครั้งที่ ๑ นั้น เป็นการรบหรือพิฆาตฆ่าซึ่งกันและกัน ด้วยความเหี้ยมโหดเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถ้าไม่ระลึกถึงระเบิดปรมาณูของปลายสงครามโลกครั้งที่ ๒ เข้ามาผสมด้วยเสียอย่างเดียวแล้ว สงครามโลกครั้งที่ ๑ ก็ต้องจัดว่าเหี้ยมโหดยิ่งไปกว่าสงครามโลกครั้งที่ ๒
เพราะต่างฝ่ายต่างก็ใช้แก๊สพิษเข้าต่อสู้ประหัตประหารซึ่งกันและกัน สนามรบอันกว้างใหญ่ไพศาลเต็มไปด้วยกลิ่นศพ นอนตายทับถมสังเวยแม่พระธรณีจนกลิ่นตระหลบไปหมด ทหารตายด้วยแก๊สพิษมีจำนวนมากยิ่งกว่าตายด้วยอาวุธใด ๆ เมื่อมีการเปลี่ยนแนวรบไปข้างหน้า กองฝังศพก็ตามไปทำการฝัง
ศพที่ถูกฝังไว้ใหม่ ๆ ประเดี๋ยวพ่อเจ้าประคุณกระสุนปืนใหญ่ขนาดมหึมาก็ตกมาระเบิด ขุดพลิกแผ่นดินเอาซากอสุภกลับขึ้นมาใหม่อีก จนสนามรบเต็มไปด้วยแมลงวันหัวเขียวขนาดโต ๆ มันกินศพเสียอิ่มหมีพีมันไปตาม ๆ กัน และเจ้าหนูในสนามรบก็ชุกชุมและตัวใหญ่ไม่ใช่เล่น เพราะได้อาหารจากศพจนสุขภาพสมบูรณ์
ส่วนมนุษย์เราสิปลิดชีวิตกันจนตายซับตายซ้อน ประดุจว่าในขณะนั้นชีวิตมนุษย์ไม่มีค่าอะไร
สมัยนั้นนักคำนวณทางทหารบวกลบคูณหารว่า ส่วนเฉลี่ยนักบินมีอายุยืนเพียง ๓ เดือน ทหารม้า ๖ เดือน ทหารราบ ๑ ปี ดูท่าก็จะใกล้ความจริงอยู่ไม่น้อย
ท่านได้กล่าวสรุปไว้ว่า มีนักรบทั้งสองฝ่ายเข้าสงคราม หกสิบหกล้านคน เสียชีวิตเก้าล้านคน บาดเจ็บสามสิบหกล้านคน
ส่วนทหารไทยที่ว่าส่งไปพันกว่าคนนั้น ตายไปสิบหกคน และบาดเจ็บ สามสิบเจ็ดคน
ตามบันทึกของ พลตรี ถวิล อยู่เย็น ได้ลำดับเหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับไทยไว้ว่า
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๐ ไทยได้ประกาศสงครามกับเยอรมัน เข้าข้างสัมพันธมิตร ภายหลังที่วางตัวเป็นกลาง
๑ ตุลาคม ๒๔๖๐ ประกาศใช้ธงไตรรงค์แทนธงช้าง
๘ มกราคม ๒๔๖๐ (ขณะนั้นวันที่ ๑ เมษายนเป็นวันขึ้นปีใหม่) กองทูตร่วมศึก สัมพันธมิตรของไทย เข้ากราบถวายบังคมลา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว คณะทูตของไทยมี ๑๒ ท่าน
๑๙ มิถุนายน ๒๔๖๑ ทหารอาสาออกเดินทางจากพระนคร โดยเรือกล้าทะเลและเรือศรีสมุท ออกเรือเวลา๐๖.๐๐ น. ถึงป้อมพระจุลจอมเกล้า ๑๑.๐๐ น. เสียเวลาคอยน้ำขึ้นอยู่จนกระทั่ง ๒๐ มิถุนายน ๒๔๖๑ เวลา ๐๒.๓๐ น.จึงได้ถอนสมอออกไปเทียบเรือเอ็มไพร์ที่เกาะสีชัง
๓๐ มิถุนายน ๒๔๖๑ เรือเอ็มไพร์ถึงเมืองมาเซยย์ กองบินทหารบกเข้าที่พักข้างโบสถ์ฝรั่งห่างท่าเรือ ๔ ก.ม. กองรถยนต์เข้าที่พักที่โรงทหารซังตซาลส์ ห่างท่าเรือ ๗ ก.ม. กองทหารเดินแถวไปตามถนนมีแตรวงนำหน้า ทหารเดินเป็นระเบียบเรียบร้อย ส่วนนายทหารพักโรงแรม
๕ สิงหาคม ๒๔๖๑ กองทหารทั้งสองกองเคลื่อนย้ายกำลังเข้าที่ชุมพล กองบินทหารบกไปฝึกที่เมืองอิสต์อยู่เหนือเมืองมาเซยย์ ๕๐ ก.ม. กองทหารบกรถยนต์ไปฝึกที่เมืองดรูดอง และเมืองลียอง
๑๔ ตุลาคม ๒๔๖๑ กองทหารบกรถยนต์เริ่มปฏิบัติการในสนามรบ โดยแบ่งออกเป็น ๓ กองย่อย
๒ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ ศิษย์การบินคนสุดท้าย เสร็จการหัดคันบังคับเดี่ยว มีผู้ผ่านการสอบ ๙๕ นาย ในจำนวน ๑๐๖ นาย
๙ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ พระราชทานธงชัยเฉลิมพล จัดส่งไปให้กองบินทหารบก และกองทหารบกรถยนต์
๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๖๑ มีการลงนามในสัญญาสงบศึก (ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ ใน อีก ๗ เดือนต่อมา)
๒๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๖๑ กองทัพฝรั่งเศสมอบตราครัวเดอแกรร์ แก่นายทหารในกองทหารบกรถยนต์ ๕ นาย
๒๔ มิถุนายน ๒๔๖๒ เซ็นสัญญาสงบศึก
๑๔ กรกฎาคม ๒๔๖๒ มีพิธีสวนสนามในนครปารีส กองทหารบกรถยนต์ได้ร่วมทำการสวนสนามฉลองชัยชนะด้วยจำนวน ๑๒๐ นาย
๑๙ กรกฎาคม ๒๔๖๒ กองทหารบกรถยนต์ จำนวน ๔๕ นาย ไปสวนสนามที่กรุงลอนดอน
๒๒ กรกฎาคม ๒๔๖๒ กองทหารบกรถยนต์ จำนวน ๑๖๗ นาย สวนสนามฉลองชัยชนะ ที่กรุงบรัสเซลส์ ในประเทศเบลเยี่ยม
๒๙ สิงหาคม ๒๔๖๒ ทหารอาสาส่วนใหญ่กลับมาถึงเกาะสีชังโดยเรือมิเตา
๒๑ กรกฎาคม ๒๔๖๒ ทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ (ส่วนใหญ่) กลับมาถึงท่าราชวรดิษฐ์ ได้รับพระราชทานเครื่องอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์ รามาธิบดี แก่ธงชัยเฉลิมพล กองทหารบกรถยนต์ ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม
๒๔ กันยายน ๒๔๖๒ มีพิธีบรรจุอัฐิทหารที่เสียชีวิต ณ อนุสาวรีย์ทหารอาสา ที่มุมสนามหลวง (ทหารไทยที่ไปปฏิบัติราชการครั้งนี้ มีจำนวน ๑๒๘๔ นาย เสียชีวิต ๑๙ นาย)
พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ ได้กล่าวทางสถานีวิทยุกระจายเสียง กรมประชาสัมพันธ์ เนื่องในวันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๒๕ เป็นครั้งสุดท้าย มีความบางตอนว่า
เมื่อฝ่ายสัมพันธมิตรได้ชัยชนะโดยเด็ดขาด เขาได้ถามเราว่า เราได้ลงทุนมาช่วยเขารบจนได้ชัยชนะเช่นนี้แล้ว เราจะเอาเบี้ยปรับสงครามแก่ฝ่ายพ่ายแพ้สักเท่าไร เรื่องนี้ทางฝ่ายสมเด็จพระมงกุฎเกล้าฯ มีกระแสรับสั่งว่า ให้ตอบเขาไปว่าสยามไม่ต้องการเบี้ยปรับสงคราม หรืออะไรเลย ไทยอยากได้อยู่เพียง ๒ อย่างคือ
๑.ขอให้เลิกศาลกงสุลเสีย เพราะเราอับอายมานานแล้ว
๒.ขอให้เรามีสิทธิ์เก็บภาษีขาเข้าได้ตามชอบใจ
เขาก็ตอบว่าเรื่องภาษีนั้นยอมให้เก็บได้ตามชอบใจ แต่เรื่องศาลกงสุลนั้นประเทศไทยยังไม่มีประมวลกฎหมายแพ่ง อาจทำให้คนของเขาเสียเปรียบในทางศาล จึงจำเป็นต้องรอให้เรามีประมวลกฎหมายแพ่งเสียก่อน เขาจึงจะตกลงด้วยได้
ซึ่งต่อมาพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ใช้ให้พระยากัลยาณไมตรี (ดร.แบแยร์) บุตรเขยประธานาธิบดีวิลสัน ซึ่งขณะนั้นรับราชการเป็นที่ปรึกษาอยู่กับรัฐบาลไทย เอาโค้ทแพ่งของเราไปอวดนานาประเทศ ซึ่งมีสัญญาผูกมัดรัดคอเราอยู่ทั้งสองเรื่อง เพื่อขอให้เป็นไปตามข้อตกลงทั้งสองอย่าง
ทางฝ่ายราชสัมพันธมิตร มีประเทศอเมริการับรองก่อน ประเทศใด ๆ แล้วต่อไปก็มีฝรั่งเศส อังกฤษ ยอมทำตาม ส่วนประเทศเล็ก ๆ นั้น เมื่อเห็นประเทศใหญ่ยินยอม ก็เลยยอมตามทุกประเทศ
เมื่อข้าพเจ้ายังเป็นเด็ก ๆ อยู่ประเทศเรามีงบประมาณแผ่นดินใช้ทั่วประเทศเพียงปีละเก้าสิบถึงร้อยยี่สิบล้านบาท บัดนี้เรามีเงินงบประมาณเพิ่มมากขึ้นกว่างบประมาณเก่า ปีละหลายหมื่นหลายแสนล้าน
ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประเทศไทยมีโรงพยาบาลอยู่สองแห่งเท่านั้น คือ ศิริราชพยาบาล และจุฬาลงกรณ์ โรคอหิวาต์และโรคไข้ทรพิษได้คร่าชีวิตคนไทยไปปีละนับหมื่นนับแสน ทั้งนี้เพราะความยากจนเป็นต้นเหตุ เมื่อมีเงินเสียอย่างเดียว จะทำอะไรก็ทำได้ตามกำลังเงิน
ทหารอาสาทั้งหลายมีอยู่ ๑,๒๘๔ คน บัดนี้ล้มหายตายจากไป จนขณะนี้มีเหลืออยู่เพียง ๑๓๒ คนเท่านั้น ซึ่งที่อยู่ก็ล้วนแต่จะไปไหนทีก็ต้องมีคนพยุงซ้ายพยุงขวา มิฉะนั้นก็จะหกล้ม
พวกข้าพเจ้าจะอยู่ให้ท่านดูหน้าทหารอาสาอีกได้ไม่เกิน ๑๐ ปีก็ตายหมดแล้ว
แต่ก่อนจะถึงเวลาที่ว่านั้น พันเอก หลวงยุทธสารประสิทธิ์ (เมี้ยน โลหิตเศรณี)ยังมีวีรกรรมอีกมากมายในสมัยสงครามอินโดจีน
ซึ่งจะได้นำมาเล่าในตอนต่อไป.
##########
ถนนนักเขียน ห้องสมุดพันทิป
W3614458
๑๙ กรกฎาคม ๒๕๔๘
จากคุณ :
เจียวต้าย
- [
29 เม.ย. 50 08:22:58
]