ความคิดเห็นที่ 1 ช่วยโหวตครับ จะได้เห็นกันเยอะๆ จากคุณ : NickyNick - [ 29 เม.ย. 50 15:14:42 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มันก็ไม่เชิงเป็นอย่างที่คุณว่าไปซะทีเดียวนะ บ.ที่ require เกรดผมคิดว่าน้อยกว่าที่ไม่ require ส่วน U นั้นเค้า require มาบ้าง อันนี้เป็นเรื่องจริงครับ เพราะฉะนั้นคนที่ฝันอยากจะเข้า U top ตั้งใจเรียนนะครับ จากคุณ : Shinemon คุง - [ 29 เม.ย. 50 22:39:16 ]

ความคิดเห็นที่ 3 บ.ส่วนใหญ่ไม่รีไควร์เกรด ยกเว้นบ.ใหญ่ๆที่เลือกได้ครับ แต่ทุกแห่งดูเกรดแน่นอน และหลายๆแห่งให้เงินเดือนไม่เท่ากันตามเกรดแหละครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 29 เม.ย. 50 22:41:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรื่องเกรดนี่ บางบริษัทก็ดู บางบริษัทก็ไม่ บริษัทใหญ่ ๆ หลายบริษัทก็ไม่ดู หลายบริษัทก็มีแนวคิดว่าเด็กเกรดดีเกินไป มีปัญหาในการทำงานร่วมกันเป็นทีมก็มี แต่ผมสนับสนุนให้ขยันเรียนให้ได้เกรดดี ๆ เพราะทุนการศึกษาทุกทุน ดูเกรด คิดดูสิ ถ้าเราเกรดดี ได้รับทุนไปเรียนต่อเมืองนอก ได้ไปเปิดหูเปิดตาต่างประเทศ กลับมาก็ได้งานดี ๆ ทำ มันช่างคุ้มค่าเสียจริง จากคุณ : หัวหน้าแดน (Black Cat) - [ 29 เม.ย. 50 22:47:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เห็นด้วยครับ เกรด ป.ตรีเป็นใบเบิกทางชีวิตเพื่อรับสิทธิพิเศษต่างๆ ได้มากมาย เหมือนถือบัตรไททาเนียม หรือ แพทตินัมเลย 1.มีสิทธิขอทุนเรียนต่อได้เยอะ ทั้งในและนอกประเทศ 2.จะศึกษาต่อป.โท บางมหาวิทยาลัย เช่น จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  หรือ นิด้าก็ไม่ต้องสอบเข้า ใช้สิทธิ์เป็นเด็กกลุ่มพิเศษสอบสัมภาษณ์อย่างเดียวก็ได้ 3. ไปสมัครงาน เขาก็สนใจเลือกคุณมาพิจารณาก่อน ฯลฯ จากคุณ : นายวุ้นกะทิ - [ 29 เม.ย. 50 22:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เกรด ดูทุกบริษัทนะ ...แต่บางที่รับเฉพาะเกรดน้อยเพราะกลัวว่าคนเกรดมากมาแล้วอยู่ไม่ทน..เพราะงานมันลูกทุ่งมากไป..แม้ว่าภายนอกชื่อเสียงจะใหญ่โต ผมเห็นด้วยเต็มที่ครับ...ตั้งใจเรียนใว้นะครับเพราะ...มันจะติดตัวไปตลอด...และอาจจะเสียโอกาสหลายอย่าง..จริงๆ ผมเป็นอย่าง..มีครบประสบการณ์...ภาษา..ฝึกทีหลังได้หมด...แต่เกรดนี้จนใจ จากคุณ : 3...จุด - [ 29 เม.ย. 50 23:00:54 A:124.121.182.86 X: TicketID:143744 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับคุณเชษฐาครับ จากคุณ : Tony Almeida - [ 29 เม.ย. 50 23:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เกรดดี เป็นตัวบอกหลายๆ อย่างของคนๆ นั้น 1. สติปัญญา 2. การใช้เวลา 3. ความรับผิดชอบ 4. ความทุ่มเท จากคุณ : เสี่ยวเหลียงจือ (เสี่ยวเหลียงจือ) - [ 29 เม.ย. 50 23:46:10 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับ ตั้งใจเรียนเข้าไว้ ผมเองเกรดไม่ค่อยดี  transcript แทบไม่อยากโชว์ใคร   เวลาสมัครงานมันก็เหมือนกับเราไม่มั่นใจไปเลยในตอนแรกๆหลังจบ ตอนนี้เรียนปริญญาโท พร้อมทำงานไปด้วย เหนื่อยก็เหนื่อย  พยายามตั้งใจเรียน แต่มันก็ไม่เต็มร้อยเหมือนปริญญาตรี ก็จะขอทำให้ดีที่สุดละกัน เพื่อพ่อแม่ของผม เป็นกำลังใจให้ทุกคนนะครับ จากคุณ : นายกาเมศ - [ 30 เม.ย. 50 00:32:42 ]

ความคิดเห็นที่ 10 เกรดดีแล้วขึ้นอยู่กับมหาวิทยาลัยด้วยหรือเปล่าคะ อย่างเช่นเวลาเค้าดูคัดเลือกเข้าทำงาน จบมาสายเดียวกัน อักษรศาสตร์จุฬา เกรดไม่ค่อยดี มนุษยศาสตร์ เกษตร กลางๆ มนุษย์ศาสตร์ ขอนแก่น เกรดสูง ม.เอกชน เกรดสูง... เค้าจะดูอย่างไหนก่อนหรอคะ แล้วชื่อเสียงมหาวิทยาลัยเกี่ยวข้องมากหรือน้อยคะ อ่ะสมมุติว่าหนูเอนท์ติดมหาวิทยาลัยภูมิภาค ขยันเรียนได้เกรดสูง ซัก 3 กว่าๆ กับมหาวิทยาลัยรัฐใน กทม. ซัก 2 ปลายๆ เค้าจะเลือกแบบไหนมากกว่าหรอคะ แล้วคณะทางสายวิทย์ สายภาษา สายสังคม เค้ามีเกณฑ์ดูหรือป่าวคะ จากคุณ : mintra - [ 30 เม.ย. 50 00:40:19 A:125.25.136.219 X: TicketID:120385 ]

ความคิดเห็นที่ 11 มันสำคัญขนาดนั้นเลยหรือ.. หนุ่มสาวทั้งหลาย จากคุณ : tyler (ดร คลองตาล) - [ 30 เม.ย. 50 01:47:34 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ถามจริงเถอะครับ กะอีแค่เรียนให้ได้เกรดดี ๆ นี่ทำไม่ได้กันหรือครับ ตั้งใจหน่อยก็ได้แล้ว เกรดก็คือการวัดผลของการศึกษา คนที่มาบอกเกรดไม่สำคัญ นั่นพวก องุ่นเปรี้ยวครับ คุณลองเป็นเจ้าของบริษัทแล้วรับคนแบบไม่ดูเกรดสิครับ คนจะเข้ามาอยู่ในบริษัทอย่างน้อย ๆ ก็ เป็นเดือน ๆ จะมาเล่นเสี่ยงเซียมซีคงไม่ไหวครับ ต้องเอาเกรดเนี่ยล่ะคัดกรองไปส่วนหนึ่ง แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 50 02:00:09 จากคุณ : Ammytr (AmmyTr) - [ 30 เม.ย. 50 01:58:33 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แต่เราดูว่าจบจากไหนมากกว่า เกรดมันมีมาตรฐานไม่เหมือนกันทุกมหาลัยหรอก ก็เหมือนกับปัญหาเด็กเอ็นท์ตอนนี้ ที่เอาจีพีเอมาคิดคะแนนด้วย เด็กเตรียมเสียเปรียบโรงเรียนอื่นอะ ดูมหาลัยก่อน แล้วค่อยดูเกรด จากคุณ : หน้าอ่อนใส่แว่น - [ 30 เม.ย. 50 05:40:41 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมจะพยายามครับ ^^ จากคุณ : หล่อเลือกได้ครับ - [ 30 เม.ย. 50 05:58:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เคยอยากได้ทุนแต่เกรดไม่ถึง ได้แค่ 2.9 ถ้าเกรดดี จะมีโอกาสที่เข้าถึงมากขึ้นกว่าเดิม จากคุณ : High Bridge - [ 30 เม.ย. 50 06:29:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อืมมม์ ถ้าเกรดไม่ดี(กลางๆ) แต่หนักไปทางกิจกรรมล่ะครับ :-S ไม่ได้จะแก้ตัวนะครับ ยกตัวอย่างที่ชัดเจนเลย อย่างเรื่องติดต่อขอสปอนเซอร์ ติดต่อหน่วยงานราชการ มันก็ต้องติดต่อไป working hour เค้าอ่ะคับ ก็เบียดบังไปจากเวลาเรียนนี่แหล่ะครับ แถมเรื่องอื่นๆอีกมากมาย แต่เห็นด้วยกับ จกขท.ครับ เกรดดีนี่เป็นใบเบิกทาง ผมเองยังเครียดๆเลย เกรดกลางๆ ไม่รู้จะต่อโทได้ที่ๆหวังไว้รึปล่าว? น้องๆ ก็ตั้งใจเรียนนะครับ จากคุณ : เซียงหยาง (xiangyang) - [ 30 เม.ย. 50 08:57:43 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พยายามยังไง เกรดมันก็ไม่กระเตื้องขึ้นมาเลยค๊าปปปปปปปป มันเท่ากับกับตอนไม่พยายามเลยอะค่ะ - -' จากคุณ : lanarin - [ 30 เม.ย. 50 10:55:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบคุณมากๆค่ะที่ช่วยเตือนกัน จากคุณ : BoOKend - [ 30 เม.ย. 50 11:23:01 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตั้งใจเรียนแต่อย่าถึงตั้งใจแต่จะเอาเกรดเลยนะ จากคุณ : floral_flory - [ 30 เม.ย. 50 11:44:06 ]

ความคิดเห็นที่ 20 มาตอบในฐานะที่รับคนเข้าทำงานได้ไหมคะ เกรด....สำคัญค่ะ แต่ไม่ใช่ทั้งหมด ตามประสบการณ์ของตัวเองนะคะ เวลาสัมภาษณ์ จะดูหลายอย่างประกอบกัน บุคลิกภาพ ผลการเรียน มารยาท การพูดการจา พบเหมือนกันนะคะ ที่เกรดสูงมาก เกียรตินิยมมาเลย แต่ว่าบุคลิกไม่ดี พูดจาไม่น่ารัก ไม่รู้จักกาละเทศะ ก็ไม่เลือกค่ะ เลือกคนที่เกรดอาจจะด้อยกว่า แต่ดูภาพรวมแล้วมีความเหมาะสม และที่สำคัญเวลาสัมภาษณ์ ก็จะถามด้วยค่ะ ว่าทำกิจกรรมหรือเปล่า ทำอะไรบ้าง เล่ามาซิ และก็ทำไมถึงทำ (ทำตามเพื่อนหรือเปล่า หรือว่าทำเพราะเห็นว่ามันมีประโยชน์ต่อสังคม เพราะบ่อยครั้งที่เด็กมักจะตอบตรง ๆ ว่า ทำตามเพื่อนในกลุ่ม กลุ่มหนูทำกิจกรรมกันทุกคน....แป่ว แล้วตกลงเอ็งได้ประโยชน์อะไรกะเขาบ้างไหมเนี่ย) บางคนไม่ทำกิจกรรม เกรดก็ไม่ดีมากมายอะไร แต่เขาต้องดูแลครอบครัว เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงสำคัญของบ้าน อันนี้ก็เป็นคะแนนบวกให้ค่ะ เพราะว่าท่าทางเขาจะรับผิดชอบและเป็นผู้หลักผู้ใหญ่เกินวัย สรุปอีกทีว่า เกรดสำคัญ ถ้าจะเรียนต่อ แต่ว่าถ้าจะทำงาน ในฐานะผู้คัดเลือก ก็จะใช้เป็นแค่ screening criteria ค่ะ สัก 2.5 ขึ้นไป ก็โอเคแล้วล่ะ เลือกมาสัมภาษณ์ดูก่อน แต่ไม่ใช่ว่าถ้ามีตำแหน่งว่าง 1 ตำแหน่ง มี candidate 3 คน 2 คนได้เกียรตินิยม อีก 1 คนไม่ได้แล้วจะไม่เรียกคนนี้มา เรียกหมดล่ะค่ะ จากคุณ : หมอ-ยา-ผู้-น่า-รัก - [ 30 เม.ย. 50 12:49:48 ]

ความคิดเห็นที่ 21 จะเรียนต่อ ป.โท บางที่ถ้าเกรด 3 กว่าก็เข้าได้เลยไม่ต้อง สอบ (ม.รัฐนะ) บางทีเกรดขั้นต่ำต้อง 2.5 โดยเฉพาะถ้าจะ เรียนภาคปกติซึ่งค่าเทอมถูกกว่าภาคพิเศษเยอะมากๆ ถ้าใครเคยตระเวณหางานไม่ว่าจะตามเวป หรือหนังสือพิมพ์ ต่างๆ เขาจะระบุเกรดขั้นต่ำเลยว่าต้องเท่าไหร่ จบจาก ม.รัฐ ชื่อเสียงดีแต่เกรดไม่ถึงตามที่กำหนดก็หมดสิทธิ์แต่แรก แล้ว บริษัทใหญ่ๆดูเกรดหมด สอบ กพ.หน่วยงานรัฐยัง กำหนดเกรดขั้นต่ำเลยว่าต้องได้เท่าไหร่ถึงจะมีสิทธิ์สมัคร คนจบใหม่ประสบการณ์ทำงานก็ไม่มี การดูเกรดเป็นวิธีง่าย ที่สุดแล้วที่จะพิจารณาคนเข้าทำงานหรือเรียนต่อ ถ้าหาก นาย ก.จบ ม.รัฐ เกรดต่ำ นาย ข.จบ ม.เอกชนเกรดกลางๆ บริษัทจะเลือกรับคนแค่ 1 คนยังไงก็เอา นาย ก.แต่ถ้า เปลี่ยนเป็น นาย ข.เกรด 3 กว่า ผมว่าบริษัทก็น่าจะฉุกใจ คิดบ้างว่าจะเอาใครดี ยังไง นาย ข.เกรด 3 กว่าก็น่าจะมี โอกาสมากกว่า นาย ข.เกรดกลางๆ ใช่หรือไม่ จะมีก็แค่บางบริษัทเท่านั้นที่ไม่ดูเกรดเลย แต่เขาก็จะดู ประสบการณ์ทำงานและความสามารถพิเศษร่วมด้วย คน จบใหม่ๆยังไงก็น่าจะให้เกรดดีๆไว้ก่อน เพราะนั่นหมายถึง โอกาสที่มีมากกว่าคนเกรดน้อยๆแน่นอน จากคุณ : DEDETE - [ 30 เม.ย. 50 13:24:02 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ถ้าเกรดทั่วไป แต่มี 2 ใบ มีลุ้นบ้างมะ แบบว่า ม.เปิดใบ ม.ปิดใบ จากคุณ : pizza hell - [ 30 เม.ย. 50 13:31:36 ]

ความคิดเห็นที่ 23 แล้ว ราชภัฏล่ะคะ จากคุณ : ขอบคุณที่เตือนค่ะ (น้องนิดหน่อย) - [ 30 เม.ย. 50 13:51:52 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอแชร์ประสบการณ์ในฐานะคนที่เรียน ป.ตรี มาแบบไม่สวยงาม จบมาที่ 2.53 ยืนยันด้านหนึ่งว่า โอกาสในชีวิตมันค่อนข้างหรี่ลงพอสมควรเวลาส่งใบสมัคร เคยสมัคร บริษัทใหญ่ๆดังๆ เช่น ปตท. / แอล.จี. / ลีเวอร์ / เอส.จี.วี. / ซีตี้แบงค์ สุดท้ายเค้าก็ไปเคยเห็นเรียกมาสัมภาษณ์สักแห่ง (อ้อ..มีที่หนึ่งสัมภาษณ์แต่ไม่ผ่าน) ทั้งๆที่ภาษาเราดีมาก   ชื่อเสียงมหาวิทยาลัยก็ระดับต้นของประเทศ (คะแนนเอ็นท์ไม่สูงเป็นอันดับ 1 ของประเทศแต่ก็เรียกว่าต้นๆชองประเทศ) เหตุผลหนึ่งที่ถูกมองข้ามคือ เรามี F ถึง 2 วิชา - สถิติ/เศรษฐศาสตร์ และวิชาคำนวณได้แต่ D D+ C ธรรมดา ทั้งที่เรียนสาขาบริหารธุรกิจ จบมา 2.53 มันคือบาดแผลในทรานสคริปต์ ! สุดท้ายเราก็ต้องเปลี่ยนทางเดินมาเรียนสายภาษาแล้วก็ทำงานวงการสอนภาษา จิตใจหนึ่งก็อยากใช้คุณวุฒป.ตรีธุรกิจบ้าง เพราะบาดแผลในทรานสคริปต์นี่ล่ะครับ มันเลยมาตัดโอกาสเราไป อ้อ.....เกรด ป.โทที่จะช่วยให้สอบชิงทุนต่างๆได้ส่วนมากเรียกกันที่ 3.50 - 3.75 นะครับ   ถ้าทำไม่ถึงก็เป็นแค่ธรรมดาๆคนหนึ่งไป น้องๆรุ่นหลัง ถ้าทำเกรดสูงๆได้ก็ให้ทำ ขอบอกว่าคนได้เกรดสูงๆไม่ใช่คนที่เป้นคนเห็นแก่ตัวและเอาแต่อยู่ในโลกส่วนตัวเสมอไปทุกคนไม่ คนเรียนเก่งด้วย ทำกิจกรรมเก่งด้วย เข้าสังคมเป้นด้วยก็มีเยอะแยะในสังคม จากคุณ : GSK - [ 30 เม.ย. 50 13:53:30 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ม.รามคำแหงแย่เลยมีสองเกรดเอง คือ P=2.25   G=4 แล้วถ้าคะแนนค่อนข้างไปอีก2-3 คะแนนเกือบ Gก็ได้แค่  P จากคุณ : cheewinh - [ 30 เม.ย. 50 13:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ก็ไม่เสมอไปนะ ตอนเพื่อนเรียนนิติ ไปทำกิจกรรมรู้จักคนเยอะ จบมาเกรดไม่เท่าไหร่แต่ลูกความเยอะ เพราะเค้าแนะนำต่อๆกันไป จากคุณ : Ninjax - [ 30 เม.ย. 50 15:09:36 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ป.ตรี ไม่สวย แต่โชคดีที่เกิดก่อน ก็เลยไม่ต้องแข่งกันมาก มาแก้ตัวตอนเรียน ป.โท ได้เกรดสวยอย่างใจ จากคุณ : satitp - [ 30 เม.ย. 50 15:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เกรดบอกอะๆไรได้หลายๆ อย่างนะ แต่ใช้ไม่ได้ทุกครั้งกับ "สติปัญญา" ให้ตายเถอะโรบิ้น เจอมาเยอะแล้ว!! จากคุณ : แพรเพลง - [ 30 เม.ย. 50 16:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 29 แล้วแต่คณะอ่ะ ผมจบศิลปกรรมมา เกรดก็ทำมะดา แต่เน้นรางวัลเยอะอ่ะเน้นแข่งอ่ะ ผมว่าเกรดมันคือความรับผิดชอบแต่รางวัลคือฝีมืออ่ะ พอดีสายงานผมเขาเน้นฝีมือมากกว่า แก้ไขเมื่อ 30 เม.ย. 50 17:39:47 จากคุณ : madera - [ 30 เม.ย. 50 17:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 30 เห็นด้วยค่ะ ถึงแม้บางคนจะบอกว่า เกรดไม่ได้วัดอะไรได้ทุกอย่าง แต่มันก็คือใบเบิกทางชิ้นสำคัญอีกอันหนึ่ง ซึ่งอาจจะเป็นตัวเปิดโอกาสที่ดีในการแสดงฝีมือให้เห็นต่อไปสำหรับบางคน ขณะที่เป็นตัวปิดโอกาสในการแสดงความสามารถที่มีอยู่จริงสำหรับบางคนไปเลย ก่อนจะรับเข้าทำงาน เค้าไม่สามารถวัดอะไรเราจากอย่างอื่นได้ นอกจากเกรดนี่แหละ สำหรับบางสายงานอาจจะวัดจากอย่างอื่นก็จริง ยกตัวอย่างจากคนใกล้ตัวเราเลย สายงานเค้าก็ต้องดูจาก Portfolio จากกผลงานต่างๆที่ผ่านมาเหมือนกัน ซึ่งเขาก็พอมี แต่พอเขาต้องการจะเรียนต่อปริญญาโท ซึ่งเกรดต้อง 2.5 ขึ้นไป แต่เขา... 2.4 ปลายๆ ก็น้ำตาตกในกันไปสิครับทั่น ไงก็ตั้งใจเรียนไว้นะคะน้องๆ ตัวอักษร ABCDF และตัวเลขไม่กี่ตัว บนกระดาษที่เรียกว่า Transcript ใบนั้นน่ะ บางทีก็เปลี่ยนเส้นทางชีวิตเราได้เลยทีเดียว ปล. ไม่ได้สนับสนุนให้วัดค่าของคนกันที่เกรดหรอกนะ แต่สนับสนุนให้ขยันๆกันไว้มากกว่า จากคุณ : B l a c k D a h l i a - [ 30 เม.ย. 50 18:52:31 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าทำได้มันก็ดีค่ะ แต่ว่าบางคนก็มุ่งแต่จะเอาเกรดอย่างเดียวจนลืมอะไรหลายๆอย่างๆไป เช่น เด็กปีสี่ ต้องทำโปรเจ็ค แต่ท่านๆก็จะไม่ค่อยสนใจจะทำกันสักเท่าไหร่หรอกค่ะ มุ่งแต่จะไปทำวิชาอื่นเอาเกรด ทั้งๆที่การหัดทำโปรเจ็คมันจะช่วยประเมินตัวเราได้ว่าเราสามารถที่จะเอาวิชาความรู้ที่ได้ร่ำเรียนมา (ที่เกรดสูงๆน่ะ) ว่าเอามาใช้ได้จริงมั้ย หรือว่าเด็กบางคน มาเกรดนี่เห็นแล้วโห...มันเก่งจริงๆว่ะ แต่พอมาทำโปรเจ็คปรากฏว่าล่มไม่เป็นท่า เพราะว่าคิดอย่างเป็นเหตุเป็นผลไม่เป็น ตอนเรียนท่องมาสอบ เพื่อจะได้คะแนนสูงๆ เลยบอกไม่ได้ว่าเห็นด้วยมั้ยๆกับ จขกท โอเคค่ะว่า เรียนต้องขยัน ตั้งใจเรียน รับผิดชอบ แต่ก็ต้องอย่างลืมเก็บเกี่ยวเรื่องอื่นๆไปด้วย และต้องพยายามเอาความรู้ที่ได้เรียนมามาใช้ได้จริง.....แต่....ก็ไม่ได้หมายความว่าให้เรียนไปวันๆแบบไร้แก่นสาร ได้ก็ช่าง ไม่ได้ก็ช่าง อันนั้นมันเกินไป อาจารย์ที่ปรึกษาเคยเล่าให้ฟังว่า มีเด็กมาทำโปรเจ็ค คนนึง 2.5 อีกคนนึง 3.8 ปรากฏว่า คนที่ 2.5 ทำแลบไปโลด เพราะว่ามี scientific thinking แต่อีกคนไม่มี แต่ถ้ามองว่าเกรดสูงคือใบเบิกทางก็ถูกค่ะ จากคุณ : แลนซ์ลอท - [ 30 เม.ย. 50 19:12:29 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เพราะมันเป็นตัวชี้วัดที่ง่าย จึงมักถูกใช้เป็นพื้นฐาน แต่ต้องยอมรับว่ามันมีข้อจำกัดมาก และผู้เชี่ยวชาญทางด้านทรัพยากรบุคคลมักไม่ใช้เป็นตัวชี้วัดหลัก จากคุณ : g9h - [ 30 เม.ย. 50 20:33:40 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ผมเป็นคนหนึ่งที่เกรดต่ำที่สุดในภาควิชาครับ แต่ไม่รู้ทำไมเพื่อน ๆ มักจะคิดว่าผมฉลาดเป็นอันดับต้น ๆ มีอะไรก็ชอบมาปรึกษาผมก่อนอยู่เรื่อย ทั้งอาจารย์บางท่านก็คาดหวังกับผมไว้สูง ผมเชื่อว่าตนเองมีความสามารถหลากหลาย สามารถเรียนรู้อะไรได้ไวและดี รวมทั้งตั้งใจทำอะไรก็สำเร็จสมประสงค์ แต่พอมาเรื่องเรียนให้ได้เกรดสูง ๆ แล้ว ....  - -*  เน่าเลย จากประสบการณ์ส่วนตัวทำให้ผมเชื่อว่า  เกรดวัดศักยภาพทั้งหมดของมนุษย์ได้น้อยมากครับ  แต่สามารถวัดความรับผิดชอบและความมีวินัยได้อย่างแน่นอน  (ไอ้สองอย่างนี้ของผมดิ่งเหว) ซึ่งสองคุณลักษณะนี้  จำเป็นสำหรับมนุษย์ทั่ว ๆ ไปครับ เป็นส่วนสำคัญที่ทำให้องค์กรอยู่ในระบบระเบียบ หลายบริษัทจึงวัดคนที่เกรดไว้ก่อน ดังนั้น  ถ้าท่านไม่คิดว่าตนเองเป็นอัจฉริยะ หรือมีความสามารถแฝงอยู่ในตัวอย่างสุด ๆ ก็ตั้งใจเรียนเอาเกรดดี ๆ ไปเถอะครับ อย่าเลียนแบบผมเลย  ไม่ดีหรอก *0* จากคุณ : Innocent&Pure - [ 30 เม.ย. 50 21:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 34 HRM สมัยใหม่ เริ่มจะมองข้ามเรื่อง เกรดไปแล้วครับ เพราะธุรกิจปัจจุบันนี้ ไม่ค่อยต้องการคนเก่งมากซักเท่าไหร่ แต่ต้องการคนที่ปรับตัว เปลี่ยนแปลง ทุ่มเท สร้างสรร และสนุกกับงานครับ เพราะธุรกิจใหม่ๆ ต้องการนวัตกรรมเยอะมาก ผมเห็นแต่พวก Old Business เท่านั้นละครับตอนนี้ ทีี่ต้องการคนจบเก่งๆ ประเภทธุรกิจที่เติบโตมาในยุค industrial age ส่วนพวกธุรกิจที่เกิดที่หลังในยุค Post industrial age ต้องการคนอีกประเภทครับ พอดีบ้านเราค่อนล้าหลังในการพัฒนาธุรกิิจแบบใหม่ๆ เกรดเลยค่อนข้างสำคัญอยู่ และพวกเราัยังตัดสินงานที่ดี หรือไม่ดี ที่จำนวนเงินที่ไ้ด้รับ มากกว่าคุณภาพชีวิตของคนทำงาน ผมเลยไม่แปลกใจที่ มันออกมาในรูปแบบนี้ครับ ผมอาจจะประหลาด ในสายตาหลายๆ คน แต่ผมมองว่า เกรดดีๆ ถ้ามันต้องแลก ด้วยอะไรซักอย่างที่คุณต้องจ่าย ถ้าคุณคิดว่าคุ้ม ก็เอาเถอะครับ เรียนติดโปร คาบเส้น ก็มันไปอีกแบบ มันสอนให้คุณสู้ชีวิต (ไม่สู้ก็ไม่จบ) รู้จักเสี่ยง รู้จักล้มเหลว รู้จักวางแผน (ผ่อนหนักผ่อนเบา) รู้จักแพ้... รู้จักเพื่อนแท้... เรียนไม่ดีก็ไม่ได้แย่ไปทั้งหมด แต่ยังไงก็ต้องฉลาดเอาตัวรอดให้ได้ละกันครับ เมาเหล้าดีกว่าอ่านตำรา พกกัญชาดีกว่าทำแบบฝึกหัด จากคุณ : เกือบไม่จบ (master_zo) - [ 30 เม.ย. 50 21:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เกรดตอน ป.ตรี ไม่ดีอย่างแรง มีแต่ C ซะเยอะถึงไม่ติดเอฟ ละก็มีดแค่2วิชาก็เถอะ  ไปสมัครงานแทบไม่อยากเอาทรานสคิปให้เค้าไปด้วย สุดท้ายเลยต่อ ป.โทดีกว่า รอลุ้นให้เกรดป.โทดูสวยๆหน่อยอะครับ มีใครเป็นแบบนี้มั่งมะครับ จากคุณ : เดสโทราตี้ - [ 30 เม.ย. 50 21:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ทำเกรดเยอะๆไว้ก้อดีค่ะ แต่ขอบอกว่าเกรดไม่ใช่ทุกอย่างจริงๆ ไม่ใช่ว่าคนที่ได้เกรดเยอะกว่าจะได้เข้าทำงานเสมอไปค่ะ เค้าต้องดูอะไรมากกว่านั้น เช่น ถ้าเคยทำงานหรือกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับตำแหน่งที่สมัคร จะช่วยมากกว่าเรื่องเกรดอีกค่ะ เราเจอมาหลายคนแล้วที่เกรดธรรมดาๆแต่สามารถเข้าบริษัทดีๆได้ค่ะ ถ้าให้เราแนะนำ เราว่าควรสร้างโอกาสให้ตัวเองได้ทำนู่นทำนี่เยอะๆค่ะ ประสบการณ์ต่างๆจะช่วยคุณได้เมื่อจบไปแล้ว ยังไงก้อเอาดีให้ได้ซักอย่างก้อแล้วกันค่ะ ^^ จากคุณ : Aimar ฮอบบิทน้อย - [ 30 เม.ย. 50 22:33:56 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เกรดดีหรือไม่........ตอบง่ายๆ ตามหลักการ เหมือนถามว่ามีเงินน้อยกับมีเงินมากอันไหนย่อมดีกว่า เกรดดีก็ย่อมได้เปรียบ มันแปลว่าคุณได้ทำหน้าที่ (ถึงจะอยากทำหรือไม่ก็เหอะ) ได้ผลดี มีประสิทธิภาพ ไม่รู้แฮะ เราไม่ค่อยเชื่อว่าคนเรียนไม่ดี กิจกรรมจะดี หรือคนเรียนเก่ง กิจกรรมจะห่วย เพราะพิจารณาพวกเรียนดีๆ ตั้งแต่มัธยมจนมหา'ลัย ก็ล้วนกิจกรรมเป็นเลิศทั้งนั้น บริษัทสมัยใหม่ (ถึงแม้บริษัทที่ทำอยู่จะตั้งมาร้อยกว่าปี ก็ยังยืนยันว่าเป็นบริษัทล้ำสมัยแหงๆ :p) พิจารณาคนหลายแบบ เกรดดีก็เป็นอะไรที่ดึงดูด น่าจับตา แต่เวลาเลือกคน ย่อมวัดกันที่ความรู้ ....... รู้จริงไม่รู้จริง วัดกันที่ข้อสอบพนักงานใหม่ คิดว่าหลายบริษัทหันมาใช้วิธีนี้นะคะ คือใช้ข้อสอบควบคู่กับการสัมภาษณ์และเกรด เกรดสวยแต่ไม่มีความรู้ (เป็นไปได้ไหม ??? ก็อาจจะได้) กับเกรดไม่สวยแต่ทำข้อสอบได้ดี คนหลังย่อมได้เปรียบ เอาเป็นว่า เกรดจะเป็นอย่างไร ก็ควรจะมีความรู้ พูดจารู้เรื่องสมกับเป็นบัณฑิต (ที่อุตส่าห์เรียนหนังสือสูงกว่าชาวประชาโดยเฉลี่ย) ไม่ใช่เรียนจบมา แล้วก็ยังถามว่า "หนูจะไปสมัครงาน แต่งชุดอะไรดีคะ" (แต่งชุดไทยปัจจุบันจ้ะ) "หนูจบไอ้นี่มา หนูจะไปทำงานอะไรดี" (หนูจบมาหนูยังไม่รู้ แล้วใครจะรู้กะหนูล่ะจ๊ะ) "หนูจะไปเรียนจุลาหรือทำมะสาดดีคะ เหงเค้าบอกว่าเอ็มบีเอทำมะสาดดัง จุลาก็ดี" (หนูควรใช้สติปัญญาไปสอบถามข้อมูลจากคณะที่หนูอยากเรียน อย่าเชื่อคนอื่นมาก แล้วเขียนหนังสือให้ดีๆ หน่อยจะเป็นพระคุณ) "เหงเพื่อนบอกว่าเด๋วนี้ทำงานอยู่กับบ้านก็ได้ตังค์หลายหมื่น แค่คลิกเม้า พี่ๆ ว่าจิงมั้ยคะ" (เอ๋อ......ช่วยคิดหน่อยได้ไหมว่ากิจการอะไรมันจะจ้างคนตั้งหลายหมื่นมาให้คลิกอย่างเดียว) อีแบบนี้ เกียรตินิยมดีเด่นก็ช่วยอะไรไม่ได้ล่ะจ้ะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 30 เม.ย. 50 23:19:19 ]

ความคิดเห็นที่ 38 จริงๆ เราไม่อยากให้คิดว่าเกรดคือสิ่งที่สำคัญโคตรๆนะคะ  เพราะเจอมาว่าคนเรียนเก่งแต่เห็นแก่ตัวก็มีถมไป  อยากให้เน้นที่กิจกรรมและการทำงานในมหาวิทยาลัยมากกว่าค่ะ   แต่มันก็เป็นเรื่องจริงที่เวลาสมัครงาน ยังไงเสียสิ่งแรกที่เขาต้องดูก็คือเกรด ส่วนที่จะรับรึเปล่า อันนี้ต้องดูความเหมาะสมอีกหลายๆอย่างค่ะ เช่นถึงเกรดสูง แต่คุณไม่เคยทำกิจกรรมอะไรในมหาวิทยาลัยเลย อันนี้เราว่าก็แย่นะ  และมองว่าจบไปจะได้อะไรไหมเนี่ย  เข้าไปทำไรในนั้นตั้งสี่ปี แค่เรียนให้เกรดดีๆอย่างเดียวเองหรือ สำหรับความคิดของเราก็คือ  เรียนให้สบายๆค่ะ  แต่ก็อย่าให้ห่วยมากๆ จะได้เป็นก้าวที่มั่นคงในการต่อปริญญาโท  เอาสักสามต้นๆก็พอแล้วล่ะ   มันไม่ยากหรอกค่ะ   ที่กล้าบอกแบบนี้เพราะเราก็ใช่จะเป็นคนหัวดี  อาศัยขยันก็ทำได้  มันขึ้นกับความรับผิดชอบล้วนๆ อีกอย่างนึงที่เราไม่ชอบเลย  คือตอนนี้มักจะมีเด็กๆมาถามเสมอว่า "พี่คะ เรียนสายเดียวกับพี่เห็นเขาว่าเงินเดือนมาก จริงไหมคะ" 90% ถามอย่างนี้หมด ก็ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรกันอยู่นะ  คือถามแต่เรื่องเงินอย่างเดียวเลย  ไม่เคยถามเลยว่าเรียนแนวไหน หรือจบไปจะทำงานอะไร  แล้วองค์ความรู้ที่ได้ไปพัฒนาด้านคอมพิวเตอร์ยังไงบ้าง  มีแต่ "Start ขั้นแรกเท่าไหร่คะ" ทั้งๆที่ตัวคนถามยังไม่ได้เรียนม.4ด้วยซ้ำ  คือถ้าเป็นรุ่นน้องที่ภาคซึ่งกำลังจะจบป.ตรีมาถาม เราจะไม่ว่าเลย  แต่นี่อะไรกัน มีแต่ถามเรื่องเงิน  งงมากๆเลยค่ะ แนะแนวที่โรงเรียนสอนให้คิดแค่นี้เองหรือ ไม่เข้าใจจริงๆอ่ะค่ะ จากคุณ : ไกลนั้น - [ 30 เม.ย. 50 23:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ลืมบอกไป ที่ขอให้ได้เกรดสามกว่าๆก็พอ เพราะเราสามารถเอาเกรดตรงนี้ยื่นเข้าเรียนต่อป.โทโดยที่ไม่ต้องสอบค่ะ จากคุณ : ไกลนั้น - [ 30 เม.ย. 50 23:59:38 ]

ความคิดเห็นที่ 40 เกรดป.โทก็สำคัญนะครับ ถ้าสนใจเรียนต่อป.เอก จากคุณ : พลายแป้ง - [ วันแรงงาน 09:19:03 A:203.151.206.73 X:210.203.176.107 TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 41 พลาดไปแล้วอ่ะค่ะ ได้แค่ประมาณสาม ตอนแรกก้คิดว่าหรูแล้ว เพราะทำกิจกรรมค่อนข้างเยอะ เพื่อนมีน้อยกว่าเราตั้งหลายคน จบออกมาถึงได้รู้ซึ้ง อยากเรียนต่อหลักสูตรหนึ่งในไทยนี่แหละ เกรดไม่ถึง สมัครไม่ได้ เศร้าไปเลย จะไปเรียนต่อต่างประเทศ ถึงจะมีทุนเยอะแยะมากมาย แต่ก็ต้องให้พ่อแม่ส่ง เพราะเกรดไม่ดีพอที่จะไปขอทุนได้ อยากเรียนต่อเมืองนอก หลักสูตรดังๆ มหาลัยดังๆ ก็เครียดมากมาย เพราะเห็นเกรดคนอื่นๆ สูงๆ ทั้งนั้น เกรดเราไม่อยู่ในแรงค์ของหลายมหาลัยซะด้วยซ้ำ อย่างว่าแหละ เคยพยายามปลอบใจตัวเอง ไม่เป็นไรหรอก ถึงเกรดไม่เยอะ แต่เราทำกิจกรรมเยอะนะ เด่นๆ ด้วย พอทดแทนกันได้มั๊ง แต่พอคิดไปคิดมา มีตั้งหลายคนนี่นา รอบๆ ตัวเราทั้งนั้นที่ทำกิจกรรมมากมาย เด่นๆ ดังๆ แต่ผลการการเรียนก็ยังระดับเกียรตินิยมอันดับหนึ่ง ว่าแล้วก็เฮ้อ อยากกลับไปเรียนปริญญาตรีใหม่จัง จากคุณ : * เทมมี่จัง * - [ วันแรงงาน 10:34:04 ]

ความคิดเห็นที่ 42 เสียโอกาสดีๆ ที่ผ่านเข้ามาอย่างมากมาย ว่าแล้วก็ต้องพยายามสร้างโอกาสขึ้นมาแทนเอง เราว่าคนเกรดดี กะเกรดไม่ดี โอกาสทุกอย่างมีเท่ากัน เพียงแต่คนเกรดดีเหนื่อยน้อยหน่อยหรือไม่เหนื่อยเลย ในขณะที่คนเกรดไม่ดีต้องเหนื่อยมากกว่าเค้าหน่อยเท่านั้นเองเพื่อจะให้ได้มาซึ่งโอกาสดีๆ นั้นๆ จากคุณ : * เทมมี่จัง * - [ วันแรงงาน 10:38:06 ]

ความคิดเห็นที่ 43 มันจะมีผลในช่วงที่จบใหม่ ๆ มากกว่า เพราะยังไม่มีประสบการณ์ทำงาน เค้าก็จะพิจารณาจากสถาบันและเกรดเป็นหลัก เรื่องสถาบัน ... จะว่าจบที่ไหนก็เหมือนกัน มันก็ใช่ แต่บางบริษัทเค้าเรียกแต่เด็กจุฬา ธรรมศาสตร์ และมหาวิทยาลัยปิดอื่น ๆ ตามลำดับ  ส่วนใบสมัครของเด็ก ม.เอกชน ราม มสธ. โยนทิ้งไปเลย จริง ๆ  (เพื่อนที่ทำ HR ของบริษัทอสังหาริมทรัพย์แห่งหนึ่งบอกมา) เรื่องเกรด...นี่ก็สำคัญ  อย่างเพื่อนที่จบวิศวะ ไปสมัครบริษัทผลิตรถยนต์แห่งหนึ่ง เค้ารับเกรด 2.5 ขึ้นไป แต่เกรดมันไม่ถึง มั่วนิ่มยังไงไม่รู้บอกเค้าว่าจะเอาทรานสคริปมายื่นทีหลัง พอเค้ารับเข้าไปแล้ว ก็เลยหยวน ๆ  ฮ่าๆๆ ทุกวันนี้บอกน้อง ๆ หลาน ๆ ที่บ้านเสมอ ว่าการเรียนมหาวิทยาลัยสำคัญมาก เพราะสามารถกำหนดทิศทางชีวิตของเราในวันข้างหน้าได้เลย จากคุณ : ดินนา - [ วันแรงงาน 14:36:10 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณมากนะคะ กำลังเรียน ป.ตรีอยู่ จะทำให้ดีที่สุดเลยค่ะ จากคุณ : ลี ซูอิน - [ วันแรงงาน 15:16:49 A:58.137.54.34 X:58.137.54.35 TicketID:144297 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ไม่เสมอไปครับ แต่ก็แนะนำให้ตั้งใจเรียนดีที่สุด จากคุณ : Disorder - [ วันแรงงาน 20:28:55 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ครับพี่ผมจะตั้งใจ ทำเกรดให้ดีครับ จากคุณ : เด็กผี991 (เด็กผี991) - [ วันแรงงาน 20:45:16 ]

ความคิดเห็นที่ 47 จะตั้งใจค่ะ แต่ สถิติ/เศรษฐศาสตร์ และวิชาคำนวณได้แต่ D D+ C อ่ะค่ะ หนูจะสู้ไหวมั๊ยคะเนี่ย จากคุณ : รักรากเลือด - [ วันแรงงาน 22:19:14 ]

ความคิดเห็นที่ 48 เกรดปริญญาตรี สำคัญแน่นอน สำหรับ 1 การสมัครงานครั้งแรก 2 เรียนต่อทันทีหลังจากจบป. ตรี หรือขอทุนไปเรียนต่อ หลังจากคุณทำงานแล้วสัก 2-3 ปี เกรดปริญญาตรีจะมีความสำคัญน้อยลงไปเรื่อยๆครับ แต่ประวัติการทำงานของคุณ จะมีผลมากขึ้นเรื่อยๆ ทั้งในการประกอบอาชีพต่อไป และการศึกษาต่อครับ หลังจบป. ตรีมาแล้วสัก 5-6 ปี เกรด ป. ตรีของคุณไม่ค่อยสำคัญอะไรแล้วครับ อย่าว่าแต่เกรดเลย เผลอๆ ความรู้ที่คุณเรียนมา ต้องมาอัพเดทกันใหม่ด้วยซ้ำ แต่ก็เห็นด้วยครับ ที่ควรรักษาเกรดปริญญาตรีไว้ให้ดี เพราะมันทำให้คุณได้เปรียบช่วง 2-3 ปีแรกนั่นละ แต่ถ้ามันสายไปแล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจมากครับ ชีวิตนี้มันอีกยาว จากคุณ : GPA 2.1 - [ 2 พ.ค. 50 01:59:30 A:203.151.206.73 X:128.253.26.149 ]

ความคิดเห็นที่ 49 จะพยายามค่ะ ^^/ จากคุณ : กำลังจะเข้าปี1 (AdOrA) - [ 2 พ.ค. 50 09:36:02 ]

ความคิดเห็นที่ 50 กระทู้นี้โดนใจค่ะ ตอนปีหนึ่ง  ก็เล่นซ้า  หนุกดี หนุกดี คือรู้สึกยังเด็กอยู่  เกรดได้ 2. 88 + 3.12 = 3.00 (avg) พอเรียนปี 2-3-4 สปีดมันขึ้นมาได้ไม่ดีพอ เรียนจบเลยได้แค่ 3.40   ความรู้สึกคือเสียดายมาก  พอทำงานตอนนี้ ย้อนกลับไปคิด   รู้สึกว่าไม่มีอะไรง่ายไปกว่า การเรียนแล้ว   เพื่อนๆคะ  ที่ฉันเสียดายไม่ใช่เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง แต่เป็น.....  ความพยายามที่เราไม่ได้ทำให้เต็มที่ต่างหาก >>>>>>>> อย่างน้อยๆ เรียนม.รัฐ ก็ใช้ภาษีของคนที่เสียให้เรา อาจเป็นภาษีของพ่อแม่เด็กที่ลูกเค้าไม่ได้เรียนม.รัฐซะด้วยซ้ำ ประเด็นที่ จขกท. ต้องการจุดนั้น  เข้าใจนะคะ อายุ 17-18 เรียนปีหนึ่ง  ก็เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของวัยรุ่นไปเป็นผู้ใหญ่ .... ความรับผิดชอบ ... คือสิ่งที่บ่งชี้วุฒิภาวะของคนคนหนึ่ง จากคุณ : Wendy Darling - [ 2 พ.ค. 50 10:14:38 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เห็นด้วยกับคุณ เชษฐา ครับ แต่ถ้าต่อโทในประเทศ ผมว่าเกรดไม่ใช่ส่วนที่สำคัญสุดนะครับ เพราะต้องดูหลายๆอย่างด้วย เช่น การสัมภาษณ์ คะแนนทดสอบ ภาษาอังกฤษ คะแนนสอบเข้า ป.โท สรุป มันไม่ใช่ทุกอย่างครับ แต่ก็สำคัญ ผมเองได้แค่ 2.3 กว่าเอง ไม่มีปัญญาหา ม.ดีๆเมืองนอกต่อ ต้องต่อที่เดิมต่อไป จากคุณ : สนิมเหล็ก - [ 2 พ.ค. 50 12:07:54 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จะได้เป็นลูกจ้างที่มีเกรดหน่อย ของผมได้ 2.0เสียว อีกนิดเดียวก็ไม่จบ ทำงานเป็นลูกจ้างไม่มีระดับบริษัทก็เล็ก แต่ก็ภูมฺใจในงานที่ทำมากๆที่ทำงานก็ดี อบอุ่นเล็กๆแต่สนิทสนมกันดีทุกคน ตอนนี้ไม่ได้เป็นลูกจ้างแล้ว ลาออกมาเป็นลูกแง่แทนเมื่อไม่เป็น ลูกจ้างเกรดนั้นจะสำคัญไฉน จากคุณ : psvp - [ 2 พ.ค. 50 12:11:14 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ไหนๆ ก็ได้เรียนแล้ว ก็ทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด ให้สมกับที่อุตสาห์แย่งกันเข้ามาเรียนก็แล้วกัน ผมก็เคยใช้ข้ออ้างว่า ทำกิจกรรม เป็นข้อแก้ตัว สำหรับเกรดไม่ดีเหมือนกัน แต่พอเริ่มสมัครงาน บางแห่งเขาดูเกรด เขาก็ปิดโอกาสที่เราจะได้แสดงศักยภาพที่ได้มาจากการทำกิจกรรมซะแล้ว เวลามันผ่านไปแล้ว แก้ไขอะไรไม่ได้ ก็ต้องหาทางทำวันนี้ให้ดีที่สุดต่อไป จะเรียนอย่างไร ก็พึงระลึกว่า วันนี้เราทำดีที่สุดแล้วหรือยัง จัดอันดับความสำคัญให้ดี อะไรควรมาก่อน เหล้าหรือเรียน ไพ่หรือหนังสือ บอลหรือการบ้าน ส่วนใหญ่ คนที่เรียนๆ เล่นๆ แล้วประสบความสำเร็จ เขามักจะเป็นผู้ที่แบ่งเวลา และจัดความสำคัญของสิ่งที่จะทำได้ดี รู้ว่า เวลาไหนควรเรียน เวลาไหนควรเล่น เพราะเมื่ออ่านหนังสือไม่ทันแล้ว แต่ก็ยังจะเอาเวลาไปทำกิจกรรมต่างๆ ที่ตัวอยากทำ อย่างนี้แล้วจะหวังอะไรจากการเรียนได้ รู้สึกผิดเหมือนกัน ที่เมื่อก่อน เวลาทำกิจกรรมแล้ว เพื่อนอ้างว่า ต้องอ่านหนังสือ ต้องไปทำกิจกรรมกับครอบครัว แต่มันเป็นหัวหน้างาน เราที่ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมอย่างมาก คล้ายว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ไม่พอใจ หาว่า เขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีสปิริตบ้างล่ะ แต่พอโตขึ้น ก็ได้รู้ว่า เรากับเขานั้นไม่เหมือนกัน จะเอาบรรทัดฐานของเราไปวัดเขาเสียทั้งหมดคงทำไม่ได้ เขาคงจะทำได้ดีที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของเขาแล้ว และก็ไม่ผิดถ้ากิจกรรมจะเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญรองลงมา เกรดดีหรือไม่ดี กิจกรรมจะทำหรือไม่ทำ เป็นเรื่องที่แล้วแต่ใครกำหนดความสำคัญ แต่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในทุกโอกาส ทางแห่งความสำเร็จมีให้เลือกเดินหลายสายนัก แต่มันยากตรงที่ว่า คุณรู้ทางที่เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ก็เท่านั้นเอง เสนอไว้ให้ลองพิจารณาดูครับ จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 2 พ.ค. 50 14:09:16 ]

ความคิดเห็นที่ 54 พอดีมีประสบการณ์ เกรดไม่ดี แล้วสมัครงานนะครับ เลยอยากแบ่งปัน ตอนสมัครงาน ผม จบมา 2.1 ผมไม่เห็นอายใครเลย ผมก็เอากางหลาให้ดูทุกที ผมภูมิใจด้วยซ้ำว่าจบมาได้ จากติดโปร 3 เทอม แก้ได้เทอมสุดท้าย และเกรดเทอมหลังๆ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ จนจบมากด้วยเกรด 2.1 เวลาไปสมัครงานเค้าก็ถาม ผมก็เล่าว่า ผมต่อสู้นะ ผมจะไม่จบแล้วนะ ตอนแรก แต่ผมก็ทำได้เห็นไหม มันกลายความมั่นใจ และภาคภูมิใจ K - U ก็ทำได้ โวย จบได้เห็นเปล่า Defend Project อยู่ 4 ชั่วโมง ก็จบได้ จนในทุกวันนี้ ผมกลายเป็นคนสู้งาน เอามาเถอะ งานนะ ถ้าไม่ตายก่อน มันก็ต้องทำได้ซักวันแหละ คนเรามุ่งมั่น ตั้งใจจริง พยายามซักอย่าง ถ้ามันเป็นสิ่งที่คนธรรมดาทำได้ เราก็ต้องทำได้ (ก็ไม่อัฉริยะ เหมือนไอสไตร์นี่ งานพวกนั้นก็ยอมรับเถอะว่าทำไม่ได้ ปล่อยให้คนอัฉริยะเค้าทำไปเถอะ) ตอนแรกๆ หางานยากเหมือนกันก็ท้อ แต่พอทำงานได้ซักพักก็ดีขึ้น ทำงานทุ่มเท ผลงานเป็นที่ยอมรับ กลายเป็นวิศวกรแนวหน้าขององค์กร ที่ได้มีส่วนร่วมในกิจกรรม และโครงการต่างๆ ที่สำคัญๆ พอทำงานวิศวได้ปีครึ่ง ก็อยากทำงานที่ดีขึ้นหน่อย ก็เลยสมัครงานไป 18 บริษัท ได้งาน 16 บริษัท แม้แต่บริษัทที่เข้ายากๆ เช่นบริษัทรถยนต์ ที่กำหนดเกรด ก็ยังเข้าได้ ตอนนั้นเกรด เค้าไม่ค่อยดูแล้วครับ ดูตอนสัมภาษณ์เสร็จแล้ว พอเป็นธรรมเนียมครับ แต่ผมก็เลือกทำงานกับบริษัทที่ให้คุณภาพชีวิตที่ดีมากกว่า ทำงาน 8-5 ตอนเย็นไปเรียน โท เสาร์นอน อาทิตย์ทำกิจกรรมกับครอบครัว ผมไม่เถียงว่าเพื่อนผมที่เก่งๆ บางคนทำงานได้เงินมากว่า ผม 2 เท่า (ความจริงถ้าผมเข้าบริษัทรถก็ได้เท่ามันแหละ) แต่ผมมีวันหยุดมากกว่า มีเวลาให้ครอบครัว และตัวเองมากกว่า (ยังไม่มีคนรักนะครับ ถ้ามีคงมีปัญหาเหมือนกัน) เกรดได้เท่าไหร่ ไม่ต้องอายหรอกครับ จบ 2.00 ได้ดิบได้ดีก็มีเยอะ อาตจตอนแรกลำบากหน่อยเท่านั้น (เฉพาะคนที่เอาดีทางทำงานนะครับ ถ้าจะเอาดีทางวิชาการก็ต้องเกรดสูงๆ ไว้ก่อนแน่นอนครับ) จากคุณ : master_zo - [ 2 พ.ค. 50 16:59:36 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ไม่จริงเสมอไปค่ะ เราจบมาเกรด 3 กว่า เอกภาษาอังกฤษ  ได้เงินเดือนสตาร์ท 13,000 (ปัจจุบันขึ้นไปเท่าตัว) แฟนเราจบ แค่ 2 กว่าๆ ด้านวิศวะ  เงินเดือนสตาร์ท 18,000 ปัจจุบัน 35,000 แล้วค่า     ไม่เกี่ยวกับเกรดค่ะ  เกี่ยวกับสาขาที่จบมากกว่า  ยิ่งด้านคอมพิวเตอร์ระบบ  เงินยิ่งดีค่ะ สาขาไหนเรียนยาก  ตลาดต้องการเยอะ  เงินก้อดี จากคุณ : mawantha (mawantha) - [ 2 พ.ค. 50 17:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณสำหรับพี่ๆทุกคนในกระทู้นี้ค่ะ พลาดมากว่าครึ่งแล้ว เหอๆ คณะหนูถ้าใครขยันท่องก็ได้เกรดดีกันแล้ว จากคุณ : fighting (autumn...story) - [ 2 พ.ค. 50 17:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เอาจริงๆ ผมก็ไม่ได้คิดว่ากระทู้นี้จะมีคนสนใจเยอะขนาดนี้นะครับ แต่ก็ต้องขอบคุณทุกคนที่มาร่วมแสดงความเห็นกันมาก คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับน้องๆหลายๆคนที่เข้ามาอ่าน only work but no play makes jack a dull boy ผมไม่ได้มีเจตนาจะบอกให้น้องๆต้องทุ่มเทกับเกรดจนไม่เป็นอันทำอย่างอื่นหรอกครับ เพียงแต่ต้องจัดสรรเวลาให้ดี ผมเห็นคนที่เขาทำกิจกรรมเยอะๆเก่งๆ เที่ยวเล่นบ้าง แต่ยังรักษาเกรดให้ดีได้ ก็มีมากมายไป เพราะเขาจัดเวลาได้ไงครับ และมันก็เป็นเรื่องถูกต้องอย่างที่สุดครับว่าชีวิตของเราไม่มีอะไรสายเกินไป ถึงวันนี้จะทำพลาดไปแล้ว ก็ยังมีโอกาสใหม่ๆมาเสมอถ้าเราพยายามพอ ผมเพียงแต่อยากบอกว่าอย่าได้ถือเอาการแก้ตัวในอนาคตนั้นเป็นเหตุให้ไม่ตั้งใจเรียนในปัจจุบัน หรือถือว่าเรียนมาแล้วเกรดไม่ดีในอดีต ก็ไม่มีกำลังใจจะทำคะแนนต่อข้างหน้า ผมมีเพื่อนบางคนที่มีประสบการณ์ทำงานดีมากซึ่งผมก็นับถือว่าเขามีความสามารถมากกว่าผม แต่พอเขาจะเรียนต่อ ปรากฏว่าเขาไม่สามารถเข้ายูที่มีคอร์สที่เขาคิดว่าดีและเหมาะกับเขาได้เพราะตอนปริญญาตรีเมื่อหลายๆปีก่อนนั้น เขาทำเกรดไว้ไม่ถึง แล้วก็มีเพื่อนบางคนที่เก่งมากฉลาดมาก เรียนประถมมัธยมได้ทอปมาตลอด แต่ป.ตรีกลับปล่อยตามสบาย ก็เลยได้เกรดไม่ดี เข้าทำงานบริษัทใหญ่ๆที่ควรจะเข้าได้ไม่ได้ พวกนี้เป็น case study จริงทั้งนั้น ทั้งนี้ผมไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องมีเกรดดีเพื่อจะไปเข้ามหาวิทยาลัยดังๆ หรือบริษัทใหญ่ๆนะครับ เราต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมกับเรา ไม่ใช่ดูแค่ชื่อเสียงอย่างเดียวอยู่แล้ว แต่การที่เรามีเกรดดีมันทำให้เราเลือกได้ว่าจะเข้าไปเป็นเรียนหรือทำงานที่ไหน ซึ่งเลือกได้กับเลือกไม่ได้นี่มันไม่เหมือนกันนะครับ ถ้าเราเกรดไม่ดี บางทีอาจจะต้องไปอยู่ในที่ๆมันไม่เหมาะกับเรา เพราะเราไม่มีทางเลือก ผมคิดว่าตามมุมมองของคนทำงานแล้วมองย้อนมา ส่วนใหญ่ก็คงเห็นเหมือนผมว่าการทำเกรดในป.ตรีให้ดีนั้น มันไม่ยากอะไรหรอกครับ เพียงแต่สมัยเป็นนักศึกษาเรายังไม่ได้อยู่ในสังคมที่บีบให้เรามีความรับผิดชอบ ดังนั้นเราจึงปล่อยตัวได้ง่าย ดังนั้นผมอยากจะมาย้ำเตือนว่าการตั้งใจเรียนเป็นของสำคัญครับ ถ้าหากว่าเรามีความรับผิดชอบด้วยตัวเองในระดับหนึ่งตั้งแต่เวลานั้น มันจะเป็นการลงทุนที่ถูก และได้ผลตอบแทนที่ประเมินค่าไม่ได้เลยครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 2 พ.ค. 50 19:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ค่อนข้างเข้าใจ messege ที่คุณเชษฐาต้องการจะสื่อ เพราะก็เห็นค่อนข้างจริง สำหรับเด็กเพิ่งจบ Profile ก็จะมีอะไรไม่มาก สิ่งที่เราจะพิจารณาได้อย่างเป็นรูปธรรมที่สุดก็คือเกรด ในมุมของการเรียนต่อ ถ้าคิดจะขอทุน แน่นอนว่า คนมาให้ทุนนั้นๆ เลือกดาษดื่นเหมือนฝูงลิง และทุนก็มีจำกัดจำเขี่ย อาจารย์เคยบอกว่า ถ้าทุนดีๆ ในการพิจารณาครั้งแรกคนจะส่งคำขอเข้าไปเยอะ เพราะงั้นวิธีคัดจะง่ายมากเลยคือ เกรดต่ำกว่า 3.2 ไม่ต้องคิดเลย เกรดต่ำกว่า 3.5 ก็พอลุ้น อันนี้แค่พิจารณาขั้นแรก แล้วค่อยไปแสดงฝีมืออีกทีตอนสอบแข่งขัน เพราะงั้นเกรดก็เป็นใบเบิกทางที่สำคัญ ในด้านการทำงาน ตอนอยู่บริษัทเก่า เคยจะต้องรับคนมาทำงานเป็นผู้ช่วย ก็เลยได้เป็นคนที่ทั้งคัดเลือกและคนสัมภาษณ์ ดูทั้ง Resume ข้อสอบที่ทำ แล้วก็การสัมภาษณ์ แน่นอนว่าคนอยากได้งานก็เยอะ เราคงไม่สามารถจะเข้าไปพูดคุยได้ทุกคน เกรดก็เลยสำคัญ เพราะมันบ่งบอกอะไรบางอย่าง โดยส่วนตัวคิดว่า เกรดดี (ไม่ต้องถึงกับเลิศ แต่ก็ควรจะ 2.75 ขึ้น) แสดงว่า คุณมีความรับผิดชอบและรู้หน้าที่ตัวเองดี เพราะว่า การเรียน ป. ตรี หน้าที่ที่สำคัญที่สุดก็คือเรียน เพราะคุณเป็นนักเรียน ไม่ใช่นักกิจกรรม เพราะงั้น ถ้าหากว่าตรงนี้ยังไม่ตระหนัก ก็เสี่ยงเหมือนกันว่า ตอนที่มาทำงาน จะตระหนักหน้าที่ตัวเองรึเปล่า แต่ พอทำงานไปเรื่อยๆ Profile ของคุณก็จะมีอะไรมากมายขึ้น เกรดก็จะสำคัญน้อยลงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็เถอะ การที่ Profile การทำงานของคุณดี เช่น ได้ทำงานในบริษัทใหญ่ หรือว่าเป็นพนักงานประจำ หรือว่า อยู่ในตำแหน่งดีๆ ก็เป็นเพราะว่าเกรดจาก ป ตรี ด้วย มันก็ขึ้นเป็นสเต็ปๆ ไป เพราะงั้น ตั้งใจเรียนเต๊อะ ไม่เสียหาย มีแต่ได้กับได้ จากคุณ : peiNing - [ 2 พ.ค. 50 20:37:25 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เราจบปริญญาตรีมาเป็นทศวรรษแล้ว ด้วยเกรดอันแสนห่วยทั้งๆที่ไม่ได้เรียนวิชายาก เห็นด้วยบางส่วนกับคุณเจ้าของกระทู้ว่า ว่าเกรดปริญญาตรีสำคัญ แต่ก็ไม่เห็นว่ามันสำคัญโคตรๆค่ะ เพราะทุกวันนี้เราก็มีชีวิตที่ดีโคตรๆชนิดนั่งอิจฉาตัวเองอยู่ทุกวัน คริ คริ (อันเป็นผลมาจากการได้ทำงานที่ชอบที่ถนัด) มีอยู่ประเด็นหนึ่งที่อยากเปิด คือ เราว่าคงน้อยคนมากนะคะ ที่เรียนหนังสือแบบไม่อยากได้เกรดดีๆ อย่างเราเอง ถึงให้ย้อนกลับไปเรียนใหม่สมัยปริญญาตรี เราก็คงทำเกรดได้แค่เท่าเดิม หรืออาจมากกว่าเดิมเล็กน้อยเท่านั้น (สมัยเรียน เราไม่ใช่ทั้งเด็กเรียนไม่ใช่ทั้งนักกิจกรรมหรือนักดนตรีกีฬาใดๆทั้งสิ้น) ...อยากบอกว่า คนที่เรียนหนังสือแล้วเกรดปริญญาตรีไม่ดี ไม่ได้หมายความว่าเค้าไม่มีวินัยหรือไม่ตั้งใจเรียนนะคะ เค้าอาจตั้งใจแล้ว แต่มันไม่ได้เองก็ได้ค่ะ (จะบอกว่าโง่ก็กลัวสะเทือนใจตัวเอง) ดังนั้นน้องๆที่กำลังเรียนตรีอยู่แล้วเกรดไม่ดี ก็อย่าเพิ่งตกใจตาเหลือกว่าอนาคตดับมืดหรือไม่มีเงาหัวบนบ่าแล้วตรู ...ถ้าหลังจากนี้พยายามทำให้เกรดสูงขึ้นได้ก็พยายาม แต่ถ้าพยายามแล้วมันไม่เวิร์กขอให้กลับไปอ่านคำสุดท้ายของความเห็น 48 จากคุณ : คลื่นลมแรงแสลงใจ - [ 2 พ.ค. 50 21:55:13 A:203.151.206.73 X:58.98.80.47 TicketID:102916 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ความคิดเห็นที่ 53 ตรงนี้ โดนใจที่สุดเลยค่ะ "รู้สึกผิดเหมือนกัน ที่เมื่อก่อน เวลาทำกิจกรรมแล้ว เพื่อนอ้างว่า ต้องอ่านหนังสือ ต้องไปทำกิจกรรมกับครอบครัว แต่มันเป็นหัวหน้างาน เราที่ให้ความสำคัญกับการทำกิจกรรมอย่างมาก คล้ายว่าเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย ก็ไม่พอใจ หาว่า เขาไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่มีสปิริตบ้างล่ะ แต่พอโตขึ้น ก็ได้รู้ว่า เรากับเขานั้นไม่เหมือนกัน จะเอาบรรทัดฐานของเราไปวัดเขาเสียทั้งหมดคงทำไม่ได้ เขาคงจะทำได้ดีที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของเขาแล้ว และก็ไม่ผิดถ้ากิจกรรมจะเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญรองลงมา เกรดดีหรือไม่ดี กิจกรรมจะทำหรือไม่ทำ เป็นเรื่องที่แล้วแต่ใครกำหนดความสำคัญ แต่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในทุกโอกาส ทางแห่งความสำเร็จมีให้เลือกเดินหลายสายนัก แต่มันยากตรงที่ว่า คุณรู้ทางที่เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ก็เท่านั้นเอง" จากคุณ : deepriver - [ 2 พ.ค. 50 22:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 61 เรื่องที่โดนทำงานคนเดียว..กะโพ้ม..ทำตั้งแต่..ป.6ยันม.6ไม่รู้ว่าพอขึ้นมหาลัย...จะเป็นแบบนี้อีกรึป่าว..แต่ก็ชินแล้วแหละ..ดีซะอีก...ไม่ต้องทะเลาะกับใคร..ฝึกฝีมือเราด้วย..ตอนนี้ก็รอผลเอ็นอยู่อะนะ..ถ้าเอ็นติด..พอเข้าไปเรียน..กะโพ้มสัญญา..ว่าจะตั้งใจเรียนเหมือนที่เรียนมัธยม..ขอรับ จากคุณ : bible..สู้วุ้ย!! (bible_za) - [ 3 พ.ค. 50 00:41:15 ]

ความคิดเห็นที่ 62 อ่านกระทู้นี้แล้วรู้สึกว่าความยุติธรรมไม่มีในโลก แต่ยังไงก็ขอเซฟไว้เตือนใจตัวเอง เรียน ป.ตรีมาครึ่งทางเกรดได้ 2.5 เอง ใครจะรับเข้าทำงานเนี่ย จากคุณ : เครียดเลย - [ 3 พ.ค. 50 00:53:44 A:58.8.58.101 X: TicketID:135124 ]

ความคิดเห็นที่ 63 การเรียนดี กิจกรรมเด่น จะสมบูรณ์แบบที่สุด เกรดสำคัญนะจะบอกให้ แต่ไม่ใช่ทั้งหมดอย่างหลายคนบอกนั่นแหละ แต่มันเป็นปราการด่านแรกของท่านชายและท่านหญิง จากคุณ : Antares Kung - [ 3 พ.ค. 50 01:06:03 ]

ความคิดเห็นที่ 64 มาเล่าให้หลายๆคนสบายใจนะคะ แฟนพี่(ต้องใช้คำว่าพี่ละมั๊งเพราะหลายๆคนยังไม่จบหรือพึ่งจบนี่) ใช้เวลาเรียนป.ตรี ทั้งหมด ๖ ปีค่ะ ค่ะน้องๆอ่านไม่ผิดหลอกค่ะ หกปีจริงๆ แล้วก็ต่อโท ที่ ม.เดิม ยังไม่ทันจบก็ไปเรียนต่อที่เมืองนอกซ่ะก่อน (เพราะได้เข้าในโครงการ คอสแซนวิทน่ะคะ คือ ป.โทและเอก ในสามปี) เพื่งจะมาเริ่มเรียนปรับพื้นฐานก็มาเจอพี่ซ่ะก่อนก็เป็นอันพับโครงการเก็บใส่กระเป๋า กลับบ้านเกิดมาเก็บโทที่ทิ้งค้างไว้ หลังจากจบ(ใช้เวลาในการจบโทและตรี รวม ๙ ปีค่ะ) ก็สมัครงาน แทบไม่น่าเชื่อเลยว่าเค้าจะได้งาน เพราะว่าผู้สมัครคนอื่นๆนั้นจบ จากม.ดังมากๆแล้วก็เกรดค่อนข้างดีทีเดียว(ม.โตเกียวค่ะ) ส่วนแฟนพี่นั้นก็จบจากม.ธรรมดา ไม่ได้ดังมากมายอะไรนัก ก็ยังได้งานในบ.ที่ถือว่าใหญ่ที่สุดสำหรับการผลิดรถยนต์ล่ะค่ะ ปล.แฟนพี่เป็นคนญี่ปุ่นค่ะ จากคุณ : 3L - [ 3 พ.ค. 50 02:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ของแบบนี้มันพูดยากนะ เรียนให้เกรดดีดีก็ดีนะ แต่บางทีคนเรามันอยู่ในวัย มันเป็นเรื่องของความสนุกสนานอะไรหลาย ๆ อย่างด้วย อย่างตัวเองก็เรียนแบบไปเรื่อย ๆ เละ ๆ เทะ ๆ เรียนเพื่อ ความสนุกสนานเอามัน มีแฟน เตร็ดเตร่ อกหัก สุดท้าย เกรดออกมาสองจุดหนึ่ง ทุกวันนี้มาเรียนต่อต่างประเทศก็ไม่ใช่ว่าจะเลวร้ายอะไรนะ หลาย ๆ ครั้งก็เคยคิดว่าเสียดายถ้าจะเรียนมหาวิทยาลัยดีดี แต่พอมีโอกาสเข้าแล้วไม่อยากเรียนอีก ชอบชีวิตที่ได้โลดแล่น เห็นโน่นเห็นนี่ วิชาการก็ชอบใน ระดับหนึ่งแต่ไม่คิดว่ามันเป็นทั้งหมดของชีวิต แต่มีไว้ก็ดี คนเราก็งี้แหล่ะมีผิดพลาดบางมีทุกข์บ้างสุขบ้างเป็นของ ธรรมดา อย่าไปคิดมาก อย่าเรียนจนป่วยก็ใช้ได้แล้ว จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 3 พ.ค. 50 09:37:39 A:203.122.76.167 X: TicketID:115899 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เกรดนั้นสำคัญ แต่สำคัญที่ว่าเราได้ "ความรู้" จากวิชาที่เรียนมาหรือเปล่า เกรดดีก็เป็นเรื่องดี เพราะหมายถึงประสบความสำเร็จในการเรียน คือ ตั้งใจอ่านหน้งสือ และตอบข้อสอบได้ตรงกับคำถามของอาจารย์ แต่คนที่เกรดไม่ดีก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความรู้ หรือโง่ แต่อาจจะเป็นเพราะว่า บางช่วงเวลาที่เรียนวิชานั้น เราอาจมีเรื่องอื่นมากระทบจิตใจ หรืออาจจะไปสนใจสิ่งอื่นที่นอกเหนือจากตำราเรียน หรือวิชานั้นตัวเองอาจจะไม่ถนัด ฯลฯ แต่ในสังคมการทำงานแล้ว โอเค เกรดอาจจะเป็นเหมือนการกรองชั้นแรกก่อนสำหรับบริษัทที่เป็นองค์กรใหญ่ แต่ท้ายที่สุดแล้ว ก็เป็นเรื่องความสามารถล้วนๆ ที่จะเอาไปวัดผลในการทำงานนั่นแหละค่ะ เป็นกำลังใจให้น้องๆ ทุกคนนะคะ จากคุณ : waidhaya - [ 3 พ.ค. 50 09:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เกรดมันก็สำคัญมากจริงๆ นั้นแหละ ทั้งในแง่ของการเรียนต่อและการทำงาน มาคิดได้ตอนนี้มันก็สายเกินไปละ จบมา 3 ปีกว่าแล้วครับ ยังไงน้องๆ ที่กำลังเรียน ถ้าเข้ามาอ่านก็อยากให้พยายามตั้งใจเรียนมากๆ ครับ จะเกรดดีหรือไม่ดีก็ชั่งมัน อย่างน้อยเราก็ทำดีที่สุดละ เพราะเวลาที่มันผ่านไปแล้วเราเรียกคืนหรือกลับไปแก้ไขไม่ได้ครับ จากคุณ : Blancpain - [ 3 พ.ค. 50 11:46:35 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เราเองก็เกรดไม่ดีเท่าไหร่แถมคณะและเอกที่เรียนก็ไม่ใช่ว่าจะหางานกันได้ง่ายๆ แต่โชคดีที่บริษัทที่ทำงานอยู่นี่เค้าให้โอกาสกับเด็กจบใหม่   คุณจะจบมาเกรดเท่าไหร่ มหาลัยไหน คณะอะไรเค้าไม่สนเลยแหละ เค้าสนแค่ว่าทำงานให้เค้าได้หรือเปล่าเท่านั้นเอง ทุกวันนี้งานที่ทำกับเรื่องที่เรียนมานี่มันคนละเรื่องกันเลยแหละ..สำคัญว่าสิ่งที่เป็นในทุกวันนี้มันทำให้ชีวิตเรามีความสุขมากแค่ไหนดีกว่า จากคุณ : captainhyuk - [ 3 พ.ค. 50 15:31:21 ]

ความคิดเห็นที่ 69 สนับสนุนให้ตั้งใจเรียนอยู่แล้ว เกรดก็สำคัญ ....แต่ก็ไม่ทั้งหมด ถ้าจะให้พูดจริงๆก็ต้องแล้วแต่สายอาชีพ สาขางานด้วยค่ะ ถ้าสาขาอาชีพที่ค่อนข้างเป็นวิชาการ อย่างหมอ พยาบาล ทนายความ ครูอาจารย์ เกรดก็คงสำคัญมากพอสมควร เพราะอาชีพแบบนี้คนที่เพิ่งจบก็แทบไม่มีอะไรมาให้เปรียบเทียบกันนอกจากเกรด บุคลิกท่าทาง แนวความคิดอาจจะมีส่วนช่วยบ้างถ้าได้สัมภาษณ์ แต่สายอาชีพที่เน้นทักษะ อย่างพวกงานออกแบบ ดีไซน์เนอร์ หรืออาชีพสายบันเทิงทั้งหลาย โปรดิวเซอร์ นักจัดอีเวนท์ ออร์กาไนเซอร์ อาร์ไดฯ พวกนี้เน้นประสบการณ์กับผลงานที่ผ่านมามากกว่า หลายๆที่ที่ทำงานมา แทบไม่ดูเกรดเลย จบเกรดเท่าไหร่มาก็ดูผ่านๆนิดหน่อย ถ้าเกรดดีก็ชมว่าเออเรียนเก่งนะ แต่สุดท้ายก็ตัดสินกันที่ portfolio อาชีพสายนี้ คนจบใหม่ๆจะลำบากหน่อย สมัครงานยาก เพราะส่วนใหญ่ทุกบริษัทจะอยากได้คนที่มีประสบการณ์ ถ้าจบใหม่ แล้วมี port ผลงานดีๆ มีประสบการณ์ มีกิจกรรมสมัยเรียนเยอะๆ หรือเคยรับจ๊อบระหว่างเรียนมาก็ได้เปรียบ... และ ..เป็นความจริงที่ว่า รุ่นพี่หรือเพื่อนฝูงในวงการ มีความสำคัญมาก เพราะอาชีพแบบนี้ไม่ค่อยประกาศรับสมัครทั่วไป เปิดหนังสือหางานไปก็ไม่เจอ จะรับใครทีก็ใช้วิธีฝากบอกปากต่อปาก ขอให้แนะนำคน แนะนำเด็กฝีมือดีๆให้ ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่าเส้นสายนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิด จะเป็นการกรองสองชั้นมากกว่า คือแทนที่จะสุ่มหาคนมีฝีมือจะใบสมัครเป็นร้อยๆ (ซึ่งแทบไม่รู้เลยว่า port ที่ทำมาของจริงมั้ย เอางานคนอื่นมาลง งานกลุ่มเอามาโม้ว่างานตัวเองคนเดียวรึเปล่า) ส่วนใหญ่วงการนี้จะแนะนำคนรู้จัก รุ่นน้องที่มีฝีมือเชื่อถือได้ต่อๆกันมามากกว่า ถ้าแนะนำมาแล้ว ก็มีดู portfolio อีกที คุยตอนสัมภาษณ์ ทัศนคติในการทำงานไปกันได้ ผลงานที่ผ่านมาเข้าตา ก็ได้งาน เพราะฉะนั้น เห็นได้ชัดว่า อาชีพสายนี้ คนที่ก้มหน้าก้มตาเรียนเอาเกรดอย่างเดียว ไม่สนใจเพื่อนฝูง ไม่เคยลองไปร่วมกิจกรรมที่ไหน ไม่หาประสบการณ์ระหว่างเรียน ต่อให้ได้เกรดสูงลิ่ว ก็ไปไม่ค่อยรุ่งค่ะ ปล. แต่ก็เป็นความจริงเหมือนกันที่บางบริษัทดูกันที่สถาบันที่จบมา... (อย่างเช่นบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่แถวสุขุมวิทเป็นต้น) แก้ไขเมื่อ 03 พ.ค. 50 21:15:52 จากคุณ : ouiya - [ 3 พ.ค. 50 20:58:07 ]

ความคิดเห็นที่ 70 สำหรับผม เวลาผมรับคนเข้ามาทำงาน ผมไม่ดูที่เกรดเป็นหลัก แต่ดูที่ความสามารถและความคิดมากกว่า (โปรแกรมเมอร์ครับ) สำหรับผม จบใหม่ๆ คงจะไม่มุ่งไปที่ บ. ใหญ่ๆ หรอกครับ จะไปทำ บ. เล็กๆ หรือที่เปิดใหม่จะดีกว่า เพราะได้ประสบการณ์ดีๆ มากมายๆ สะสมสักพักแล้วค่อยไป บ. ใหญ่ๆ ถึงตอนนั้นเค้าก็ดูประสบการณ์การทำงานแล้วล่ะครับ จากคุณ : กลมกลิ้ง - [ 4 พ.ค. 50 09:41:31 ]

ความคิดเห็นที่ 71 แฟนเราได้เกียรตินิยม หางานยากเย็น จบ วิศวะ โยธา เขาว่าเกรดเยอะๆอย่างนี้เดี๋ยวทำงานไม่นานก็เรียนต่อ ส่วนเรา ตอนตรี ได้ 2.34 ซึ่งปี1-ปี2 เกรดห่วยมาก ต่อโทที่ จุฬาฯ เขาไม่ดูเกรดนะเขาดูคะแนนสอบเข้า ซึ่งเราก็เตรียมตัวดี ได้คะแนนค่อนข้างดี เรียนก็ได้เกรดค่อนข้างดี ไปสมัครงานเขาก็ดูเกรดตอนโทน่ะ มันไม่ได้เป็นอย่าง จขกท เสมอไป แต่ก็ต้องขอบคุณในความหวังดีจ้า จากคุณ : - (nongnou) - [ 4 พ.ค. 50 10:01:58 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ผมว่าจขกท. เพิ่งมีประสบการณ์มากกว่าเลยคิดว่าเค้าพิจารณาที่เกรด ถ้าระดับบริหารเค้าดูประสบการณ์+ความสามารถทางภาษามากกว่าเกรดป.ตรีครับ พิจารณาที่สถาบันมากกว่าพิจารณาเรื่องเกรดอีกต่างหากจขกท. จากคุณ : กบในกะลา (พุงโตกว่า) - [ 4 พ.ค. 50 17:33:36 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ความสามารถทางภาษา???? ถ้าตำแหน่งหน้าที่นั้น ไม่จำเป็นต้องใช้ภาษา จะเอาไปทำแป๊ะอะไรครับ???? ประสบการณ์ มันก็เรียนรู้กันได้ มีประสปการณ์ แต่ไม่มีความสามารถ ก็แป้กเหมือนกันครับ ถึงเจ้าของกระทู้ เห็นด้วยว่าคนเรียนหนังสือ สมควรจะทำเกรดให้ได้ดีๆ แต่ไม่ได้แปลว่า "เกรด ป.ตรี นี่สำคัญโคตรๆแล้วครับ" มันแล้วแต่ทางเดิืนชีวิตของแต่ละคนว่ะ สมมติว่าคนชอบค้าขาย ตั้งแต่คุณเปิดแผงขายของเนี่ย เกรดเกียรตินิยมนี่ยัดลงถังขยะได้เลย เกรดช่วยอะไรคุณไม่ได้ มีเกรดดี ก็ได้เปรียบ แต่ก็ไม่ใช่แปลว่าจะได้เปรียบทั้งหมด และคนเกรดแย่ จะไม่ได้แปลว่าตามคนเกรดดีไม่ทันตลอดไปนี่ครับ ยี่สิบต้นๆ เอง หนทางยังยาวนักไอ้หนู จากคุณ : lb'sN - [ 4 พ.ค. 50 23:01:31 A:125.26.138.217 X: TicketID:137941 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ไม่เห็นด้วยกับเจ้าของกระทู้เลยค่ะ ประเด็นของเรื่องคือ  เราไม่อยากให้น้อง ๆ คิดว่า เกรดป.ตรี สำคัญเมื่อเรียนจบ  จึงต้องทำให้ได้เกรดดี ๆ และแห่กันลงวิชาง่าย ๆ เพื่อให้ได้เกรดขึ้นตามที่หวังไว้   ทำให้เกิดการแข่งขันแย่งกันลงวิชาที่ได้เกรดง่ายกันเองในคณะหรือมหาวิทยาลัย อย่างนั้นจะได้บัณฑิตที่มีคุณภาพไหม อันนี้แล้วแต่คนเรียนที่จบออกมา ลองคิดดูว่า วิชาที่ได้ลงเรียนไปนั้น มีประโยชน์ไหมเมื่อเอามาใช้จริงในชีวิตเรา ปัญญากับความรู้เป็นขุมทรัพย์ที่มีค่ากับตัวคุณเอง แม้ว่า คุณไม่มีทรัพย์สินติดตัวมาเถอะ แต่คุณมีปัญญาและสมองที่สะสมความรู้มาตลอดก็เป็นมนุษย์แล้ว ตัวเราเองก็เกรดไม่ค่อยดีมาตลอด  และทำกิจกรรมเยอะมาก พูดได้ 3 ภาษาอย่างคล่องแคล่ว แต่ไม่เคยคิดว่า เกรดป.ตรี สำคัญไหมเมื่อเรียนจบ  ตรงนี้ขอยอมรับตรง ๆ ว่า ปัจจุบันนี้สังคมไทยบางส่วนยังมีค่านิยมเก่าว่า จะรับคนเข้าทำงานดูที่เกรดมาก่อนเป็นอันดับแรก  และตามด้วยชื่อเสียงสถาบัน  เกรดสวย ก็รับมาเลย ความจริงแล้วบริษัทใหญ่ ไม่ได้รับเข้ามาด้วยความคิดดังกล่าวว่า คนเก่งต้องมาก่อน  ทุกคนมีสิทธิ์เท่ากันหมดค่ะ  คือบริษัทมีกำหนดคุณสมบัติไว้ก่อนแล้ว ค่อยสมัคร หลังส่งใบสมัครแล้วมีจดหมายเรียกไปสอบข้อเขียนและสอบสัมภาษณ์ด้วยนะคะ รับหรือไม่รับ อยู่ีที่วิสัยทัศน์ของคนที่รับเข้าทำงานที่มีต่อผู้สมัครงานต่างหากค่ะ มีหลายเคสเยอะแยะไป  คนสมัครงานเกรดน้อย แต่ทำกิจกรรมเยอะ ทำงานเป็นทีมได้ดี และมีผลงาน ให้ผลประโยชน์ต่อส่วนรวม อันนี้ดีต่อองค์กร คนที่มีเกรดสูง บางคน รับเข้ามาแล้ว ทำงานไม่เป็น ก็มี เยอะแยะไป  ขอให้มองกว้างกว่านี้นะคะ น้อง ๆ ที่จบป.ตรี ต้องผจญกับคนหลาย ๆ แบบ ต้องทำใจให้เข้มแข็งไว้นะคะ มันไม่ง่ายเลย ในโลกคนทำงาน ใครมีข้อแย้งกับเรา แย้งได้เลยค่ะ จากคุณ : KJ_FBI - [ วันฉัตรมงคล 03:18:08 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เรื่องเกรด  สำคัญ แน่ครับ   ในตอนสมัครงาน ไม่เชื่อ ถาม HR ของ ที่ๆคุณไปสมัครก็ได้ครับ ตอนแรกคุณไปสมัครงาน  เค้าจะรู้ได้ไงว่าคุณทำงานดีหรือไม่  เค้าก็ดูเกรด  ดูskill  ดูเส้นสายที่คุณมีก่อน บางที่ก็ดู โหงวเฮ้งด้วยก็มี^6^ และเกรดตอนป.ตรีก็สำคัญแน่ๆ ถ้าไม่ระวังให้ดีจริง  มีสิทธิ์โดนไทล์ได้นะครับ  ขอให้ระวังกันไว้ น้องใหม่ทั้งหลาย จากคุณ : mr.wisdom - [ วันฉัตรมงคล 10:28:20 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ไม่แน่เสมอไปครับ การเรียนมหาวิทยาลัยเป็นองค์ประกอบหนึ่งของชีวิต  แต่อย่างว่าแหละ คนที่จะรับคุณเข้าทำงานกับเขา เขาไม่สามารถที่ตรวจสอบคุณ ทดสอบคุณได้ไม่มากนัก เขาก็จะใช้เจ้าเกรดนี่แหละเป็นด่านเบื้องต้น ครั้นเมื่อทำงานไปช่วงหนึ่ง เกรดก็ช่วยอะไรไม่ได้ อยู่ที่กึ๋นน่ะครับ จากคุณ : หนุ่มหลังเขา - [ วันฉัตรมงคล 18:00:46 ]

ความคิดเห็นที่ 77 เอาจากการเป็นผู้รับสมัครรับคนทำงานสมัยหนึ่ง ผมดูเกรดก่อนเลยครับ เพราะตำแหน่งต้องการทักษะสูง เกรดไม่ถึง 3.00 ไม่เรียกมาสอบข้อเขียนและหรือสัมภาษณ์ครับ และลูกสาวได้ทำงานตรวจบัญชีระดับ Big 4 ก็เพราะได้เกียรตินิยม + ภาษาอังกฤษ ใช้ได้ พวก Big 4 ถ้าปีสุดท้ายยังไม่จบเขาก็รับสมัครแล้ว ไม่ได้เกียรตินิยมเขาไม่เรียกไปสอบหรอกครับ ใครว่าเกรดไม่สำคัญ องุ่นเปรี้ยวจริงๆ อย่างที่มีคนกล่าวก่อนหน้า เกรดมันวัดความมีวินัยได้ดีที่สุด และหัวดีในระดับหนึ่ง องก์กรทำงานระดับใหญ่ๆ ไม่มีวินัย งานไม่เสร็จ ก็เอาตัวไม่รอดหรอก ส่วนเรื่องการเรียน เกรดไม่ถึง 3 ไม่ต้องคิดเรื่องขอชิงทุนเลย ลูกชายหัวดีกว่าลูกสาว แต่วินัยการเรียนไม่ดีเท่า ได้เกรด 2.8 ทุกวันนี้ยังไม่มีโอกาสต่อโทเลย ทำงานทางด้าน network engineer ก็เบนเข็มไปทางด้านผู้เชี่ยวชาญประสบการณ์แทนที่จะได้มีโอกาสต่อนอกเหมือนคนอื่นๆ และเพื่อนๆ จากคุณ : K.Senior - [ วันฉัตรมงคล 19:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เกรดสำคัญครับ แต่ไม่ถึงกับว่าต้องเป็นทุกอย่างในชีวิตนะครับ ทำงานกับเอชอาร์สักครั้งคุณก็รู้เอง เรื่องบางเรื่องน่ะ คุยกันได้ ในโลกแห่งความเป็นจริงชีวิตไม่ได้เป็นเส้นตรงหรอกครับ เห็นบางคนด่ากันเหยง ๆ คราวที่แล้วก็พลาดมาครั้งหนึ่ง แล้วไปด่า ว่าไม่จบด้อกเตอร์ยังมาอวดดีวิจารณ์ แล้วเป็น ไง คนนั้นจบด้อกเตอร์จากอังกฤษด้วย อ่านสำนวนแล้วยัง เดาไม่ออกอีก ... จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ วันฉัตรมงคล 20:02:04 A:203.88.224.211 X: TicketID:115899 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ฝากแนะนำอย่างงี้ คุณเป็นนักเรียนคุณมีหน้าที่ตั้งใจเรียนก็เรียนไปเรียนให้ดีที่สุด เรื่องทุนไม่ทุนน่ะ คุณตั้งใจเรียนแล้วรู้เอง ทุนบางอย่างมันเฉพาะสาขา บางทีเขาดูหลายประเด็น รวมถึงจดหมายจากผู้ใหญ่ และอะไรต่าง ๆ อีกเยอะ ไม่ได้ส่งเสริมให้ขี้เกียจ แต่อยากให้คนเราตั้งใจเรียน เพราะสนใจใฝ่รู้ ไม่ใช่อิจฉาริษยาแก่งแย่ง เพราะมันไม่ใช่ เรื่องของการศึกษา แล้วก็ไม่เกี่ยวกับว่าคนบอกว่าเกรดไม่ สำคัญเป็นคนโง่ เลว ขี้อิจฉา องุ่นเปรี้ยว มันคนละเรื่องกัน คราวที่แล้วผมก็เกือบไป มีคนมาแนะแบบนี้ เกรดไม่ดีภา- ษาได้แค่ซี ชีวิตจะไปไม่รอดเรียนเมืองนอกไม่ได้ ผมก็ นั่งเรียนกับเด็กเกียรตินิยม เด็กทุน คะแนนออกมาไม่ได้ ต่างกันเลย บางวิชามากกว่าด้วยซ้ำ อยากให้คนเราคิดใหม่ได้แล้วว่า การศึกษาไม่ใช่เรื่องแข่ง กันเรียน แข่งกันเก่ง มันหมดยุคที่จะมาเบ่งกันแล้ว เรามันก็ คนไทยด้วยกันทั้งนั้น ตั้งใจเรียนได้เกรดดี ๆ กลับมาก็มี งานทำ ถ้าเกรดเยอะโอกาสลุ้นทุนก็มากหน่อย แต่อย่าให้ ถึงกับบ้าบอคอแตก ต้องเรียนจบเป็นโรคกะเพาะ พ่อแม่มา นั่งจุ้นจ้านจ้ำจี้จำไช ต้องเรียนนั่นเรียนนี่ ทั้ง ๆ ที่ไม่ใช่เรื่อง เพราะคนเรียนคือลูก สนับสนุนเจ้าของกระทู้นะ แต่ไม่สนับสนุนบางความคิดเห็นที่ว่า เกรดไม่ดีหมดอนา- คต อันนี้คุณอย่าเชื่อ และห้ามเชื่อโดยเด็ดขาด ขอย้ำ ไม่อย่างงั้นคุณจะเหมือนผม ที่ครั้งหนึ่งลังเลเพราะมีคน บอกว่า ไม่ได้นะ เกรดอย่างงี้เรียนต่อไม่ได้ เกรดอย่างงี้ ไม่ดี สมัครงานบริษัทนี้ไม่ได้ บริษัทใหญ่ แล้วไง ก็มีคน ให้โอกาสจริง ๆ คนเรานี่น้า ถ้าไม่เก่งก็ควรให้กำลังใจ... จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ วันฉัตรมงคล 20:13:06 A:203.88.224.211 X: TicketID:115899 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ไม่ได้ว่าเกรดไม่ดีเรียนต่อไม่ได้ เกรดไม่ดีแค่จะสมัครชิงทุนก็ไม่ได้แล้ว ไม่ใช่พ่อแม่ทุกคนมีเงินส่งลูกเรียนนอก แนะว่าจะเอาอย่างไงก็ได้ ถ้าไม่ตั้งใจเรียน เกรดไม่ดี ไม่ต้องคิดชิงทุนเลย และโอกาสทำงานก็ยากกว่า และความก้าวหน้าไม่ต้องพูดถึงยากกว่ามาก คุณมี choice ให้เลือก มาย้ำอีกที คนไม่มีวินัยในการเรียน แล้วอ้างว่า เกรดไม่สำคัญ องุ่นเปรี้ยวครับ แต่ถ้าไม่มีวินัยในการเรียน ได้แค่ไหน ยอมรับ และทำตัวให้ดีที่สุด อยู่ในสังคมโลกได้ ไม่ทำตัวให้ใครเดือดร้อน เป็นคนดี มันก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร ดังนั้น จงเล่าเรียนให้ดีที่สุด เพราะมันสะท้อนวินัยในตัวเราเอง มันช่วยคุณได้ในการทำงาน ถึงแม้ว่าหัวไม่ดี ก็ทุ่มให้มันเต็มที่ ได้เกรดแค่ไหนก็แค่นั้น ไม่ได้แข่งกับใคร แต่แข่งกับตัวเอง เพราะมันอนาคตของคุณ อาบน้ำร้อนมาก็มากต่อมาก ทำงานจนจะเกษียณแล้ว โลกความจริงเป็นอย่างนี้ เฮ้อ พิมพ์ผิดแล้วผิดอีก แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 21:47:35 แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 21:45:15 จากคุณ : K.Senior - [ วันฉัตรมงคล 21:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ไม่ต้องไปแก้ไขข้อความเก่าหรอก ผมรู้แล้ว เรื่องสมัยเก่า ๆ ประเด็นเก่า ๆ เรื่องในอดีตไม่ต้องไปพูดถึงมันแล้ว พอเหอะ มันไม่ดีกับตัวเองนะ ญาติผมหลายคนก็เกรดไม่ดีนะ แต่ผมค่อนข้างดีใจที่พ่อ แม่เค้าก็ดี ลูกอยากทำงาน อยากเรียนอะไรก็สนับสนุน แล้วสุดท้ายเด็กมันก็สต๊าททำงาน แรก ๆ เงินเดือนก็ไม่ เยอะ ทำงานไปสักพักบริษัทก็ส่งไปต่างประเทศ มีงาน มีเงินอะไรอีกเยอะ ตอนนี้ก็ด้อกเตอร์แล้ว มีญาติคนหนึ่งก็เก่งเกียรตินิยมธรรมศาสตร์ด้วย วันนี้ก็ยัง งั้น ๆ แหล่ะ เก่ง มีเกียรติ ไม่มีเงิน หลาย ๆ ครั้งที่เขาพูด แบบไม่น่าพอใจ เราก็นิ่ง ๆ นั่งฟัง ไม่เคยโกรธ เข้าใจ เอาเป็นว่าใครอ่านกระทู้แล้วคิดงี้แล้วกัน ตั้งใจเรียนไป หาโอกาสให้มันมาก ๆ กิจกรรมก็เลือกที่ ชอบที่มีประโยชน์สัมพันธ์กับงาน ทำอะไรที่ชอบที่เก่งจริง ๆ มันไม่ได้มีแต่ทุนการศึกษาอย่างเดียว ทุนมีหลายอย่าง มาก ๆ แล้วถ้าคุณรู้จักคนเยอะ บริษัทใหญ่เนี่ย ทำงานดีล่ะ ก็ไม่มีปัญหาหรอก ต่อให้เขาไม่ให้ทุนคุณ คุณทำงานเอง สองสามปีก็มีเงินเก็บ ไม่ต้องรอให้เขาให้ทุนก็ได้ คนข้างตัว ก็ทำบัญชี บิ๊กโฟร์เหมือนกัน ตอนนี้เขามาอยู่ ออสเตรเลียด้วย นั่งเรียนด้วยกันตอนนี้แหล่ะ เกรดก็ดีแต่ ไม่ได้อะไรมากขนาดนั้น ไม่ได้จบจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ด้วย แล้วไอ้ที่เขาเรียนมหาวิทยาลัยเนี่ยก็เงินเค้าเองด้วย ตอนนี้ โอนตัวเองมาออสเตรเลียด้วย บางทีเรื่องบางเรื่องเนี่ย มันก็เปลี่ยนไปตามกาลเวลาและก็ มีหลายปัจจัย ซึ่งเราก็ต้องพิจารณาเอง อย่างบางคนเนี่ย เรียนไม่เก่ง แต่กิจกรรมดี เคยช่วยอาจารย์สอน (เก่งบาง วิชาเนี่ย) ผู้ใหญ่เขาก็เซ็นต์จดหมายรับรองให้คุณกับอธิ- การบดีมหาวิทยาลัยที่คุณจะไปเรียนต่อได้ แล้วมันก็มีน้ำ- หนักด้วย ถึงจะได้สองจุดห้า โอกาสเข้าเรียนที่ดี ๆ ก็มี เยอะ อันนี้ลองไปคุยกับอธิการบดีหรือคณบดีมหาวิทยาลัย เอาเอง สนับสนุนให้เรียนดี แล้วก็ต้องทำอะไรให้มันพอดีด้วย จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ วันฉัตรมงคล 22:06:34 A:203.88.224.211 X: TicketID:115899 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ปูเสื่อ นั่งดูคนทะเลาะกันดีก่า ไม่เลิกจะปูเสื่อรอจริง ๆ นะเออ จากคุณ : Antares Kung - [ วันฉัตรมงคล 22:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ตอนนี้สำหรับข้าพเจ้าอาจจะสายไปแล้ว แต่กำลังตัดเกรดทิ้งเรียนใส่กระหน่ำซัมเมอร์อยู่ละ ก็ขอให้ท่านที่ยังไม่สายไปสุ้ๆๆเน้อ ^3^ ปล. ดูด้วยคนนะท่าน ^.^ ยังอ่านไม่หมดเลย เยอะง่า ^0^ จากคุณ : nui (คอมี๋ย่างแซ๊บแซ่บ) - [ 6 พ.ค. 50 02:05:15 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ต่อครับ ได้ความรู้ดี มองคนละมุม discuss กันอย่างสร้างสรร บางประเด็น หาข้อสรุปไม่ได้ ก็ไม่ต้องหา เพราะไม่มีอะไรถูกไปทุกอย่าง และไม่มีอะไรผิดทั้งหมด ชีวิตจริง ไม่ใช่คณิตศาสตร์ แม้แต่คณิตศาสตร์ บางที 1+1 ก็ไม่ใช่เท่าักับ 2 เลยครับ รอฟังความคิดเห็นอยู่นะครับ รู้สึกเปิดมุมมองดี เพราะผมอยูฝั่งเกรดไม่ดีนะครับ ผมเน้นให้น้องๆ หาประสบการณ์ เพิ่มทุนปัญญา โดยการทำกิจกรรม เรียนด้านอื่นๆ เสริมนอกจากทำเกรดดีๆ ผมว่า เรียนไปอ๊วกไป (เพราะเครียด ไม่ใช่กินเหล้าเยอะนะ) เรียนไป เข้าโรงพยาบาลไป (สติแตก กลัวไม่ได้ 4.00) แบบหลายคนๆ มันเสียเปล่านะครับ แล้วแบบ ไม่ได้ A แล้วร้องไห้แบบวันสิ้นโลกก็ไม่เอาครับ ขี้เกียจปลอบ ผมเรียนได้ F ต้องมานั่งปลอบคนได้ B+ นี่ก็ไม่เอาครับ แต่แบบเรียนไม่เอาเลย เที่ยวเล่น เฮฮาไปอย่างเดียวก็ไม่ไหว 2.5 - 3.0 ก็โอเคครับ 2.1 แบบผมก็น่าเกลียดไปหน่อย แต่ตอนทำงาน ผมมีความรู้ข้างทางเยอะ เลยไปได้แบบสบายๆ ครับ ว่าตอนเรียนโท จะเอา 4.00 ดูซะหน่อย เล่นสนุกมานาน สอบอะไรก็อ่านหนังสือแค่ 2 - 3 วัน (ยังอุตสาห์จบวิศวมาได้นะนี่) ลองใช้ความสามารถของ IQ 140 ดูซะบ้าง ว่าจะไปได้ซักแค่ไหน กระทู้นี้ แนะนำ น้องๆ ไม่ต้องคิดมากนะครับ เพราะความแตกต่างทางความคิดค่อนข้างสูง เดี๋ยวจะสับสน เอาเป็นเชื่อในสิ่งที่น้องอยากเชื่อพอครับ เอาข้างเดียวก็พอ เออ ถ้าจะเสนอความคิดต่อ ช่วยเล่าประสบการณ์กับเหตุผลด้วยนะครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : master_zo - [ 6 พ.ค. 50 02:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มีงี้ด้วยหรอ จากคุณ : เคโกะ (jackie_d) - [ 6 พ.ค. 50 17:46:02 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ตอนนี้กำลังเรียนอยู่ครับ อ่านกระทู้นี้แล้วจุดประกายอะไรได้มาก แต่ก็ขอยึดหลักในการเรียนเหมือนเดิม "เรียนให้มีความสุข" กิจกรรมทำเพราะอยากทำ ทำเพราะอยากได้ประสบการณ์ เรียนเพราะชอบ เรียนเพราะรักที่ในสาขาที่เราเรียน ยอมรับเลยครับว่าผมเป็นคนหัวทึบ กิจกรรมไม่เป็นเลิศ เรียนได้แมวบ้าง มดบ้าง ได้รับคติเตือนสติมากจากคำแนะนำของ"พี่ๆ" แต่ก็ย้ำว่าจะยึดแนวทางการเรียนเหมือนเดิมต่อไป ขอเรียนอย่างมีความสุข เพลิดเพลินกับชีวิต ดีที่สุดสำหรับผมแล้วครับ ^ ^ ปล. ผมก็อยู่ม.ที่ได้ชื่อว่าเลอเลิศ แต่ก็ไม่เห็นว่าตัวเองจะเลิศเลอเหมือนชื่อม.      ในทรรศนะของผม ความเลอเลิศของมหาลัยใช้ตัดสินใครจริงไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : a.k.a.Orange Bird - [ 7 พ.ค. 50 02:02:02 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ผมมีความเห็นว่าอย่างนี้ครับ ถ้าคุณจบสถาบันที่มีชื่อเสียงก็เปรียบได้กับคุณมีทุนสำหรับการออกไปเผชิญโชคในโลกภายนอก และถ้าคุณได้เกรดดีก็เหมือนกับว่าคุณถือกุญแจสำหรับเลือกไขประตูที่คุณจะเผชิญกับมัน เกรดยิ่งดีมากเท่าไรก็เหมือนกับกุญแจที่สามารถไขประตูได้หลายบานมากขึ้นเท่านั้น แต่หลังจากที่คุณใช้กุญแจเปิดประตูและก้าวเข้าไปพ้นประตูนั่นแล้ว คุณจะต้องพึ่งความสามารถของตัวเองแล้ว ถึงแม้ว่าคุณจะมีทุนสำรองอยู่ในมือก็ตามถ้าคุณไม่หาทุนมาเพิ่ม ซักวัน ทุนของคุณก็ต้องหมด แล้วเมื่อวันนั้นมาถึงคุณจะรู้ว่า ทุนสำรองกับกุญแจมันสำคัญแค่ทำให้คุณมีโอกาสเริ่มต้นได้ดีกว่าคนอื่นเท่านั้น แต่มีไว้นั้นดีกว่าไม่มีแน่นอนครับ ตัวผมเองจบมาเกรดไม่ดีแต่ก็ไม่เลวสถาบันก็ไม่มีชื่อเสียงปรากฏ ตอนเริ่มหางานทำใหม่ๆ ได้งานยากมากๆมิหนำซ้ำสายที่จบกับงานที่สมัครไม่เข้ากันเลย แต่หลังจากที่ทำงานไปแล้วหลายปี ผมว่าตอนนี้คนที่จบสถาบันดังๆบางคนเงินเดือนน้อยกว่าผมอีก และผมก็ไม่ต้องกลัวว่าจะหางานยากอีกแล้ว ทั้งนี้มาจากการที่ผมหาทุนของผมเพิ่มเติมภายหลังจากการตั้งใจทำงานครับ ใครที่ได้ที่เรียนไม่ดังหรือเกรดไม่ดีอย่าท้อแท้ครับดูกรณีของผมเป็นตัวอย่าง ผมทำได้คุณก็ควรจะทำได้เหมือนกัน จากคุณ : นักดนตรีแก่ - [ 7 พ.ค. 50 09:08:41 A:192.168.0.60 X:203.130.134.243 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ดีแล้วครับ ทำอะไรอย่าตามสังคมจนมากเกินไป เรียนขอให้เรียนให้มีความสุข เรียนสิ่งที่ชอบที่ถนัด แล้ววันเวลาผ่านไปตัวเราจะไม่เสียใจเลยครับ ผมเรียนสิ่งที่บ้านเห็นว่าดี แต่ตัวเองไม่ชอบเกรดก็ไม่ดีครับ แต่ถ้าเรียนสิ่งที่ชอบคิดว่าน่าได้เกียรตินิยมแน่นอน จนวันนี้ผ่านมาเกรดไม่ดี แต่ทุกอย่างมันก็อยู่ได้ไปได้ เรียนต่อก็ได้ ผู้ใหญ่ก็ช่วยสนับสนุน อย่างญาติคนหนึ่ง เรียนวิศวะก็ทำได้ดีระดับหนึ่ง เขาก็มีความสุขของเขา ตอนนี้ก็ทำเรื่องไปต่อเยอรมัน เขาก็มีทางของเขาครับ คนเราไม่ได้หยุดแค่วันนี้ บางทีประสบการณ์แต่ละคนไม่เหมือนกันครับ ต้องเข้าใจ คนด้วย ชีวิตที่เราผ่านมาทุก ๆ วันไม่ใช่เส้นตรง บางครั้ง ผมไปมองคนที่จบมาเกรดสูงกว่า ตอนนี้มาเรียนวิชาเดียว กันใหม่อีกครั้ง คะแนนเราสูงกว่า ก็ไม่ได้แปลว่าเราชนะ ตลอดไป มันเป็นคนละเรื่องกัน สรุปตามเจ้าของกระทู้ครับ น้อง ๆ ป.ตรี ครับ ตั้งใจเรียนนะครับ เกรดป.ตรี สำคัญมาก จบ จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 7 พ.ค. 50 10:13:59 A:203.88.224.147 X: TicketID:115899 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ขอบคุณมากค่ะที่เตือน ตอนนี้หนูเรียน จุฬาฯ เกรดเทอมแรก 2.52 (ห่วยโว้ย) เกรดเทอมสอง 3.36 (ค่อยดีขึ้นนิสนึง) เกรดรวมตอนนี้แค่ 2.95 เองค่ะ ปีหน้าก็ปีสองแล้ว หนูจะพยายามต่อไปค่ะ สู้โว้ย!!! จากคุณ : .. (ปากกาสีครีม) - [ 7 พ.ค. 50 17:18:48 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ถามจริงเถอะครับ กะอีแค่เรียนให้ได้เกรดดี ๆ นี่ทำไม่ได้กันหรือครับ << ค่ะ . . . ทำไม่ได้ (= =") ไม่เคยคิดเลยว่าเกรดไม่สำคัญ แต่เมื่อทำไม่ได้ก็ไม่อยากให้ตัวเองเครียดเป็นบ้าจนไปโดดตึกคณะตาย เราก็เห็นด้วยว่าถ้าเรียนได้ดีๆ มันก็เป็นเรื่องดีอยู่แล้ว แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานการยอมรับความจริง และอะไรอีกหลายอย่าง .. เพื่อให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างสุขภาพจิตดีด้วย เกรดสูงๆ คือใบเบิกทางที่ดี นี่ก็เห็นด้วยอย่างที่สุดค่ะ แต่ได้ผ่านเข้าไปแล้วในทางนั้น .. จะไปรอดหรือไม่รอดมันอยู่ที่ตัวเองแล้วล่ะเนอะ และเราเชื่ออีกอย่างคือมันวัดความรับผิดชอบและมีวินัยได้บางส่วน จริงๆ นะ อย่างบางวิชาอ่ะ แค่ส่งงานให้ครบ ทำงานทุกงานอย่างตั้งใจ เข้าเรียนสม่ำเสมอ C ก็รออยู่แล้ว ทำข้อสอบอีกนิดหน่อยมันก็ขึ้น A ขึ้น B กันเลยทีเดียว แต่มันก็ไม่ใช่วิชาส่วนใหญ่และไม่ใช่ทุกวิชาที่เป็นแบบนั้น แต่ละวิชาก็มีสไตล์ที่แตกต่างกัน ความถนัดของแต่ละคน ความเก่ง วิธีการเรียนการสอน ฯลฯ แต่พอโตขึ้น ก็ได้รู้ว่า เรากับเขานั้นไม่เหมือนกัน จะเอาบรรทัดฐานของเราไปวัดเขาเสียทั้งหมดคงทำไม่ได้ เขาคงจะทำได้ดีที่สุด ภายใต้ข้อจำกัดของเขาแล้ว และก็ไม่ผิดถ้ากิจกรรมจะเป็นเรื่องที่เขาให้ความสำคัญรองลงมา เกรดดีหรือไม่ดี กิจกรรมจะทำหรือไม่ทำ เป็นเรื่องที่แล้วแต่ใครกำหนดความสำคัญ แต่ไม่ใช่เรื่องที่สำคัญที่สุดในทุกโอกาส ทางแห่งความสำเร็จมีให้เลือกเดินหลายสายนัก แต่มันยากตรงที่ว่า คุณรู้ทางที่เหมาะสมกับตัวคุณหรือไม่ก็เท่านั้นเอง" <<< ชอบประโยคนี้มากค่ะ หลายคนมักจะเอาไม้บรรทัดของตัวเองไปวัดคนอื่น ถ้าใครคิดแบบนี้ได้ว่าแต่ละคนไม่เหมือนกัน เป้าหมายแต่ละคนยังไม่เหมือนกันเลย จะมีวิถีทางของชีวิตเหมือนกันได้ไง .. เราว่าเยี่ยมค่ะ ^^ จากคุณ : สาวแว่นเลี้ยวซ้าย - [ 7 พ.ค. 50 19:20:08 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เฮ้อ การศึกษาที่ยังหลงไปในวัตถุนิยม เด็กที่เคี่ยวกรำให้เกร็ดดีแต่ไมจริยธรรม :) :) นานาจิตตัง ตั้งใจทำให้ดีที่สุดละกัน ถ้ามันดีที่สุดของเราแล้วไม่ดีเท่าคนอื่น ก็อย่าไปเครียด ขอบอกน้องๆว่าอย่าไปยึดติดกับคำว่าเกรดเลย แต่ขอให้ยึดถือการทำให้ดีที่สุด หากทำดีที่สุดแล้วต่อให้เกรดมันไม่ดี ความสามารถที่มาจากความตั้งใจ ย่อมเหนือเกรดที่สวยหรูแน่นอนค่ะ ถ้าทุกคนเรียนออกมาได้เกรดเฉลี่ย 4.00 เท่ากันหมด โลกนี่ทุกคนคงไม่มีที่ให้คนยืนอยู่ เพราะทุกคนจะเหมือนถูกก๊อปปี้ชนิดที่เรียกว่า สำเนาถูกต้องจากแม่แบบตัวเดียวกันหมด คนเราความสามารถมันต่างกัน เชื่อมั่นในตัวเองเข้าไว้ค่ะ ตั้งใจเรียนให้สุดความสามารถของเรา ไม่ได้หมายถึงตั้งใจเรียนให้ได้เกรดดีนะค่ะ จากคุณ : sugarhut - [ 7 พ.ค. 50 20:12:21 ]

ความคิดเห็นที่ 92 อิจฉา คุณสาวแว่นเลี้ยวซ้าย จัง ตอนเรียนคณะเราสอบ กลางภาค 40 ปลายภาค 60 ไม่มีคะแนนเก็บ (เฉพาะวิชาของคณะ ที่เป็นทฤษฎี ทุกภาควิชา) สอบวัดเอาอย่างเดียวเลย 40 ได้ D 50 ได้ C 70 ได้ B 80 ได้ A ไม่ตัดตามกลุ่ม แต่ Mean ของคณะไม่ถึง 50 หรอกนะ จากคุณ : master_zo - [ 8 พ.ค. 50 02:24:50 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ต้องแบ่งเวลาให้ถูกครับ ผมเป็นประธานนักเรียน ติดทีมกีฬาของมหาลัย อยู่หลายชมรมยังได้เกรดเกิน3.5สบายๆเลยครับ ผมเรียนวิศวะด้วยนะ ก็เห็นยังมีเพื่อนอีกหลายๆคนที่ทำแบบผมได้ จากคุณ : ลองดู (volta) - [ 8 พ.ค. 50 07:06:27 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เดี่ยวยกตัวอย่างคนอื่นๆที่แบ่งเวลาเป็นให้ดู เพื่อนผมคนหนึงเล่นบอลทีมคณะด้วยนะ ตกเย็นก็ไปเล่นเกม แล้วเขายังเที่ยวกลางคือนบ่อยอีกรู้ไหมครับเขาได้เกรดเท่าไร3.7วิศวะจุฬา เพื่อนอีกคนว่างๆก็ถ่ายแบบเล่นโฆษณาเทอมที่แล้วกดไป 4.0 วิศวะจุฬาเหมือนกัน ถ้าแบ่งเวลาเป็น เกรดสูงๆไม่ยาก จากคุณ : ลองดู (volta) - [ 8 พ.ค. 50 07:17:12 ]

ความคิดเห็นที่ 95 กระทู้โดนใจค่ะ ขอบคุณมากค่ะ จะพยายามค่ะ จากคุณ : pathonggo (puifye) - [ 9 พ.ค. 50 19:03:11 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เเล้วกิจกรรมล่ะครับ ถ้าผมไม่ใช่เด็กกิจกรรมเลยง่า เเล้วอย่างนี้จะทำไงครับ จากคุณ : LoveLaw - [ 10 พ.ค. 50 00:05:47 ]