แกมเฟอร์เข้าเขตเมืองไทยเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม ค.ศ. ๑๖๙๐ กลับออกไปวันที่ ๒๓ กรกฎาคม ค.ศ. เดียวกัน ระยะเวลาที่ท่านอยู่ในบ้านเมืองไทย แม้จะน้อยเพียง ๒ เดือน (๕๗ วัน) แต่ท่านได้ให้ข้อมูลตามความรู้เห็นไว้มาก และก็เป็นข้อมูลตอนสำคัญ คือตอนผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากสมเด็จพระนารายณ์มาเป็นแผ่นดินสมเด็จพระเพทราชา ข้อมูลเหล่านี้เราจึงน่าจะรวบรวมไว้เพื่อให้เกิดความรู้ความเข้าใจในเรื่องราวตอนสำคัญของบ้านเมืองเรา หัวหน้าบริษัทฮอลันดาในเวลานั้นชื่อ ฟอนฮูน (Van Hoorn) จะเขียนอะไรเกี่ยวกับเรื่องราวในเวลานั้นหรือไม่ เรายังไม่มีทางทราบได้เราจึงต้องอาศัยข้อมูลจากแกมเฟอร์เขียนไว้ ตีพิมพ์อยู่ในหนังสือชื่อ "History of Japan" 1
ภูมิหลังของแกมเฟอร์ในทางวิชาการ สูงกว่าฝรั่งใด ๆ ที่เคยเข้ามากรุงศรีอยุธยาคือ เมื่อท่านเข้ามากรุงศรีอยุธยานั้น ท่านเป็นผู้เรียนรู้หลายภาษาจากมหาวิทยาลัย Cracow, โปแลนด์ จนได้ปริญญาเอก (Doctor in Philosophy) และเรียนต่อที่ Kenigsburg ปรัสเซีย ในวิชาแพทย์อีก ๔ ปี เมื่อออกจากปรัสเซียไปยังสวีเดน ก็ได้รับยกย่องจากคณาจารย์มหาวิทยาลัย Upsala เมื่อราชสำนักสวีเดนเชิญท่านเข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์ท่านไม่ยินดีรับ เพราะอยากท่องเที่ยวหาประสบการณ์เพิ่มเติม ในที่สุดรับตำแหน่งเลขานุการคณะทูตสวีเดนไปเจริญทางพระราชไมตรีกับรุสเซีย และกับเปอร์เซีย ได้เข้าเฝ้าทั้งพระเจ้าปีเตอร์มหาราชแห่งรุสเซีย และชาห์สุไลมานแห่งอิหร่าน ในวันที่เข้าเฝ้าชาห์แห่งอิหร่าน ท่านได้พบคณะทูตจากหลายประเทศได้เข้าเฝ้าในวันเดียวกัน (คือ ๓๐ มิถุนายน ค.ศ. ๑๖๘๕) มีราชทูตจากสมเด็จพระนารายณ์เข้าเฝ้าด้วย ครั้นเสร็จเรื่องราวทางการทูตแล้ว ท่านไม่สมัครจะกลับยุโรป โดยประสงค์จะท่องเที่ยวหาประสบการณ์ต่อไป จึงได้งานใหม่ในตำแหน่งนายแพทย์ประจำบริษัทการค้าของฮอลันดา ได้ลงเรือท่องเที่ยวในอ่าวเปอร์เซีย และลงใต้เข้าเขตอาณาจักรโมเลกุลในอินเดียทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกและแวะเยี่ยมเกาะลังกา เกาะสุมาตรา และในการเดินทางกับคณะทูตของฮอลันดา จะไปยังประเทศญี่ปุ่น ได้แวะที่กรุงศรีอยุธยาก่อนเป็นเวลาร่วม ๒ เดือน เพื่อยื่นศุภอักษรจากผู้สำเร็จราชการหมู่เกาะชวาต่อออกญาโกษาธิบดี ขณะนั้นแกมเฟอร์มีอายุได้ ๓๙ ปี นับว่าเป็นผู้รอบรู้มีประสบการณ์เหนือฝรั่งใดๆ ในที่เคยเข้ามาในกรุงศรีอยุธยา
อันที่จริง หนังสือนี้เป็นเรื่องราวเกี่ยวกับญี่ปุ่น มีข้อมูลที่ละเอียดพิสดารมากและได้ตีพิมพ์ที่กรุงลอนดอนด้วย เมื่ออังกฤษเข้าไปตั้งสถานกงสุลในเกาะญี่ปุ่นอีก ๑๖๕ ปีต่อมา (ก่อนจักรพรรดิเมจิจะครองราชย์) อังกฤษประสบโศกนาฏกรรมหลายครั้งหลายหนสูญเสียชีวิตพ่อค้าข้าราชการไปหลายคน ทั้งนี้เพราะไม่ศึกษาขนบประเพณีของญี่ปุ่นที่แกมเฟอร์ได้เขียนบอกไว้ไปประพฤติทะเลิกทะลักโดยเฉพาะกับขบวนเจ้านครที่ต้องเข้ากรุงโตเกียวเป็นงานประจำปี ต้องเสียชีวิตโดยฝีดาบซามูไรหลายต่อหลายครั้ง ขบวนเจ้านครเหล่านี้ แกมเฟอร์เขียนไว้ว่า อย่างน้อยมีผู้คนจำนวนเป็นพัน และในขบวนเจ้าผู้ครองนครใหญ่ ๆ มีถึง ๑๐,๐๐๐ - ๒๐,๐๐๐ ก็มี ทุกคนอยู่ในระเบียบวินัย น้อมเกียรติให้เจ้านครเป็นอย่างดี เมื่อพ่อค้าข้าราชการอังกฤษขี่ม้าทะเลิกทะลักผ่าขบวนเข้าไป (โดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์) จึงโดนซามูไรฆ่าตายในระยะระหว่างปี ๑๘๕๒ - ๑๘๖๙ 2 โศกนาฏกรรมนี้จึงจะมีขึ้นบ่อยครั้ง
ในเรื่องราวของประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะนโยบายต่างประเทศมีหนังสือตำราหลาย ๆ เล่มเขียนไว้ว่า ญี่ปุ่นปิดประเทศแต่ ค.ศ. ๑๖๓๖ ไม่คบค้ากับโลกมากกว่า ๒๐๐ ปี ข้อเท็จจริงตามข้อมูลที่แกมเฟอร์ให้ไว้ขัดแย้งกับคำกล่าวนี้ คือฮอลันดายังคงคบค้าติดต่อกับญี่ปุ่นตลอดเวลาโดยไม่ขาดสาย มีการส่งเอกอัครราชทูตไปเฝ้าโชกุนปีละครั้งเป็นธรรมเนียม ห้างค้าขายก็ยังเปิดอยู่ที่เมืองนางาซากิตลอดระยะเวลา ปิดประเทศ อังกฤษเองห้างที่ตั้งที่เมือง Firando แต่ ค.ศ. ๑๖๑๓ ปิดลงอีก ๑๐ ปีต่อมา และเมื่อเข้าไปติดต่อจะเปิดห้างใหม่ใน ค.ศ. ๑๖๗๓ ทางรัฐบาลญี่ปุ่นไม่อนุมัติ เพราะพระเจ้าแผ่นดินอังกฤษ (พระเจ้าชาลส์ที่ ๒) ไปสมรสกับเจ้าหญิงโปรตุเกส ซึ่งญี่ปุ่นถือว่าประเทศโปรตุเกสเป็นศัตรูของญี่ปุ่น ส่วนจีน, มอญ, สยาม ฯลฯ แกมเฟอร์ให้ข้อมูลว่า มีการกำหนดเรือสินค้าให้เข้าไปค้าขายได้ในประเทศญี่ปุ่น ปีละเท่านั้นลำ (คือจีนปีละ ๗๐ ลำ, อยุธยาและปัตตานีปีละ ๔ ลำ, ญวนปีละ ๒ ลำ, เขมรปีละ ๒ ลำ) นอกจากข้อมูลจากแกมเฟอร์ศาสตราจารย์ชาวญี่ปุ่น ชื่อเซอิจิ อีวาโอะ ได้เสนอบทความไว้เป็นเรื่องการค้าขายในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองและสมเด็จพระนารายณ์กับญี่ปุ่น เพราะฉะนั้นการ ปิดประเทศ จึงหมายความเพียงญี่ปุ่นไม่ยอมคบค้ากับประเทศที่นับถือศาสนาโรมันคาธอลิคเท่านั้น คือ โปรตุเกศ และสเปน (ฝรั่งเศสในสมัยนั้นยังไม่แผ่อำนาจมาทาง Far East)
เมื่อเรือสินค้าฮอลันดานำแกมเฟอร์เข้ามาในน่านน้ำสยาม คือแต่เมืองปัตตานีเข้ามาบนเรือลำนั้นมีข้าราชการสยามโดยสารมาแต่เมืองปัตตาเวียด้วย ชื่อ Monpromcena (ข้าพเจ้าเดาว่า หม่อมพรหมเสนา)3 ท่านผู้นี้โดนฝรั่งเศสคุมตัวไปเมื่อเกิดการรบพุ่งกับทหารไทยที่เมืองบางกอกใน ค.ศ. ๑๖๘๘ และไปปล่อยไว้ที่เมือง กาลิกัด ในประเทศอินเดีย ผู้ว่าราชการเมืองจึงส่งท่านมาปัตตาเวีย และท่านจึงขอโดยสารเรือฮอลันดาเข้ามากรุงศรีอยุธยาด้วย หม่อมพรหมเสนาผู้มีประสบการณ์ในการเดินเรือค้าขาย ระบุชื่อเมืองต่าง ๆ ในอ่าวสยามให้แกมเฟอร์ฟัง คือ ปราณ, ชะอำ, เพชรบุรี, แม่กลอง, (นคร) ไชยศรี และที่ปากน้ำ โดยระบุชื่อ Pagnam Taufia หรือปากน้ำเจ้าพระยา นี่เป็นข้อมูลว่า ชื่อ ปากน้ำเจ้าพระยา เป็นชื่อที่เรียกกันมาแต่รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์แล้ว
วันที่ ๖ มิถุนายน ค.ศ. ๑๖๙๙ เรือฮอลันดาเมื่อจอดที่ปากน้ำ ก็ยิงปืนใหญ่ ๕ นัด เป็นธรรมเนียมเป็นการบอกกล่าวว่ามีเรือเข้ามาในราชอาณาจักรสยามแล้ว นอกจากเรือหาปลาซึ่งแลเห็นได้ทั่วไป มีเรือสำเภาจีนจอดอยู่หลายลำ แกมเฟอร์ยังระบุป้อมปืนใหญ่ทั้ง ๒ ฟากของปากน้ำซึ่งตั้งขึ้นไว้เนื่องจากความยุ่งยากกับฝรั่งเศสเมื่อปีเศษ ๆ ที่ผ่านมา เราเข้าพบและได้รับการต้อนรับอย่างดีจากผู้ว่าราชการเมืองชื่อ Core เป็นชนชาติสวีเดน แกมเฟอร์ให้ภูมิหลังของ คอร์ ไว้ด้วยว่า มียศเป็นสิบเอกทหารสวีเดนมาก่อนที่จะเข้ารับราชการในราชอาณาจักรสยาม
วันที่ ๙ มิถุนายน แกมเฟอร์กับพวกลงเรือใบลำเล็กเข้ามาที่เมืองบางกอก แกมเฟอร์บันทึกว่า เราแลเห็นป้อมใหญ่ ซึ่งฝรั่งเศสสร้างขึ้นบนฝั่งขวาของแม่น้ำ ป้อมนี้เสียหายมาก เหนือเมืองบางกอกมีผู้คนอาศัยหนาแน่นทั้งสองฝั่ง มีบ้านเรือนตั้งอยู่เป็นหมู่บ้าน แกมเฟอร์ได้วาดแผนที่ของลำน้ำเจ้าพระยาให้ไว้ด้วย แต่ในบทความนี้ข้าพเจ้าจะนำแผนที่ของวิศวกรฝรั่งเศสชื่อ Francois 5 มาลงไว้ เพราะเขียนขึ้นก่อนกันเพียงปีเดียวแต่กระจ่างชัดกว่าของแกมเฟอร์มาก
ป้อมใหม่ที่แกมเฟอร์กล่าวไว้ คือ ป้อมวิไชเยนทร์ที่ปากคลองตลาด ร.๑ ได้โปรดให้รื้อเพื่อนำอิฐมาสร้างกำแพงเมือง รัตนโกสินทร์ ในรัชกาลของพระองค์ เป็นการขยายกำแพงเมืองของสมเด็จพระเจ้ากรุงธน ซึ่งมีคูเมือง คือ คลองหลอดปัจจุบันหน้ากระทรวงมหาดไทยมาเป็นคลองโอ่งอ่าง หน้าวังบูรพา กรุงรัตนโกสินทร์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกจึงกว้างใหญ่กว่า กรุงธนบุรี ฟากด้านตะวันออกของสมเด็จพระเจ้าตากสินมาก เหตุใดจึงให้ชื่อป้อมใหม่ที่ฝรั่งเศสสร้างว่า ป้อมวิไชเยนทร์และป้อมเก่าทางด้านตะวันตกว่า ป้อมวิไชยประสิทธิ์ ข้าพเจ้ายังไม่พบข้อมูล แต่ป้อมทั้งสองนี้ต้องสร้างขึ้นในระหว่าง ๖ ปีสุดท้าย ในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์ ป้อมทั้ง ๒ นี้ได้มีบทบาทครึกโครมในหนังสือของชาวต่างประเทศ มีการสู้รบกันด้วยปืนใหญ่ข้ามแม่น้ำมีการล้อมป้อมวิไชเยนทร์โดยทหารไทย จนทหารฝรั่งเศสยอมจำนน ยอมถอนตัวออกจากเมืองบางกอกแต่โดยดี รายละเอียดและหลักฐานปรากฏในหนังสือ ออกญาวิไชเยนทร์ กรุงเทพ ๒๕๐๖ แล้ว(แต่พระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาของเรา ไม่ได้กล่าวถึงเรื่องราวนี้แม้แต่คำเดียว)
วันที่ ๑๑ มิถุนายน ราว ๗ โมงเช้า แกมเฟอร์มาถึงห้างค้าขายฮอลันดาใต้กรุงศรีอยุธยาด้วยสุขภาพสมบูรณ์ในบ่ายวันนั้น ทางรัฐบาลสยามส่งข่าวมาว่า ให้ควบคุมผู้คนไว้ในตัวห้างให้เรียบร้อย พระเจ้าแผ่นดินสยามจะเสด็จโดยทางชลมารค แกมเฟอร์จึงบันทึกประสบการณ์ที่เปอร์เซียไว้ให้ว่า เมื่อฝ่ายใดของกษัตริย์จะเสด็จออก ประชาชนต้องปิดประตูหน้าต่าง และอยู่แต่ในบ้านห้ามทำเสียงอึกทึก ถ้าพบขบวนพระมหากษัตริย์ พระราชินี หรือเจ้านาย ราษฎรต้องหมอบกับพื้น หันหลังให้แก่ขบวนเสด็จจนขบวนผ่านพ้นไปแล้วจึงจะเดินเหินต่อไปได้ 7 นี่เป็นประสบการณ์ของแกมเฟอร์ที่กรุง Isphahan ซึ่งขณะนั้นเป็นราชธานีของอิหร่าน แกมเฟอร์อยู่ในประเทศอิหร่านร่วม ๒ ปี เมื่อพบเห็นอะไรที่อยุธยาพอจะเปรียบเทียบกับเรื่องราวทางอิหร่านได้ แกมเฟอร์ก็เขียนบอกไว้
ภาพตุ๊กตาฝรั่ง พบในแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณเกาะเมือง
แก้ไขเมื่อ 05 พ.ค. 50 11:35:39