ความคิดเห็นที่ 1 ปางที่ ๑ มัตสยาวตาร พระวิษณุมหาเทพทรงทราบดีว่าในเวลาที่พระพรหมทรงบรรทมอยู่นั้นเป็นการเริ่มต้นของ “พรหมราตรี” เป็นราตรีที่ยาวนานเป็นช่วงที่โลกทั้งหลาย ถึงกาลอวสาน น้ำจะท่วมโลกสรรพชีวิตทั้งหลายไม่อาจอยู่รอดได้ โลกจะตกอยู่ในความมืดมิดปราศจากแสงสว่างทั้งจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ พรหมราตรีนี้มีระยะเวลานานกับ ๔,๓๒๐ ล้านปีมนุษย์หรือเท่ากับครึ่งกัลป์ พระวิษณุมหาเทพทรงพิจารณาเห็นถึงมหันตภัยที่จะมากร้ำกรายแก่โลก และบรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายในสากลโลก อันมีพระมหากษัตริย์และไพร่ฟ้าประชาชนที่ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันประเสริฐ จึงทรงอวตารลงมาเป็นปลากรายทองชื่อศผริ (อ่านว่า “ศะ-ผะ-ริ”) อยู่ในฝั่งแม่น้ำเมืองอโยธยา (ในโลกมนุษย์) รอเวลาเมื่อพระสัตยพรตพระราชาผู้ตั้งอยู่ในศีลสัตย์เสด็จมาวักน้ำ สรงพระพักตร์ ปลาน้อยก็ติดขึ้นมาในอุ้งพระหัตถ์กล่าวร้องขอให้ช่วยชีวิต พระราชาจึงนำมาเลี้ยงไว้ในบาตรปลานั้นก็โตเต็มบาตร แม้จะเปลี่ยนภาชนะ เป็นอ่างเป็นสระ ทะเลสาบจนในที่สุดต้องนำไปปล่อยลงในมหาสมุทรเพราะปลาจะขยายใหญ่โตเต็มขนาดของภาชนะที่ใส่ ทำให้ทรงพระสัตยพรตสงสัย ว่าปลาตัวนี้คงมิใช่ปลาธรรมดา คงจะเป็นพระผู้เป็นเจ้าอวตารมาเพื่อลองพระทัย จึงทรงบูชากราบไหว้พญาปลาด้วยความนอบน้อมและเคารพยิ่งพญาปลา ที่เป็นพระวิษณุอวตารก็พอใจยิ่งนักจึงแจ้งเรื่องภัยพิบัติ คือน้ำกำลังจะท่วมโลกและให้สัญญาว่าจะช่วยชีวิตของพระราชาไว้ โดยแนะนำให้พระองค์พร้อม ด้วยข้าราชบริพารเสด็จลงเรือใหญ่พร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตน และเก็บรวบรวมพันธุ์ไม้ตลอดจนสรรพสัตว์ทั้งหลายอย่างละคู่เตรียมไว้ด้วย และในที่สุดภัย พิบัติดังกล่าวก็มาถึงเมื่อพระพรหมธาดาทรงบรรทมหลับสนิทบังเกิดพายุใหญ่พัดโหมกระหน่ำไปทั่วสากลโลก พาให้น้ำในมหาสมุทรท่วมท้นโลกจนพินาศ ดวงอาทิตย์ดวงจันทร์และดวงดาวต่างจมอยู่ใต้น้ำพระราชาพร้อมด้วยพระฤาษีเจ็ดตนและสัตว์ต่าง ๆ ต้นไม้ ฯลฯ อาศัยเรือลำใหญ่ลอยเคว้งคว้างอยู่กลาง มหาสมุทรที่ท่วมโลกแล้วนั้นโดยมีปลาศผริเป็นผุ้ชักลากจูงเรือไปฝ่าคลื่นและลมพายุอยุ่ในมหาสมุทรตลอดพรหมราตรีอันยาวนาน จนน้ำค่อย ๆ ลดลงและ สรรพสิ่งกลับเข้าสู่สภาวะปกติ เรือลำใหญ่นั้นก็เทียบชายฝั่งพร้อมกับกับส่งพระราชาพร้อมด้วยช้าราชบริพารเรียบร้อยแล้ว ปลาศผริ (อวตาร) ก้รีบดำดิ่งลง สู่มหาสมุทรเพื่อตามล่าอสูรหัยครีพทวงเอาพระเวทคืนกลับมาจนพบอสูรหัยครีพจึงทรงจัดการสังหารเสีย ซึ่งก่อนหน้านั้นอสูรหัยครีพได้นำพระเวททั้ง ๔ไป ฝากกับสังข์อสูร ทำให้พระวิษณุมิได้พระเวททั้ง ๔ คืนมาและจักต้องทรงอวตารมาอีกเพื่อทวงเอาพระเวททั้ง ๔ คืน แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:55:04 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:54:51 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:52:33 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:50:57 จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 12:48:24 ]

ความคิดเห็นที่ 2 คุณเหงามากลองเสิร์ชคำว่า vishnu avatar ในกูเกิลดูก็แล้วกันครับ ดูว่ามีกี่แห่งที่นับถือปางพลรามเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก และกี่แห่งที่นับถือพุทธาวตารเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก ถ้าเป็นปางที่คนไทยแปลงมา เอามาหลายเวอร์ชัน และไม่ตรงกัน ส่วนใหญ่เอาปางเล็กมาเพื่อแทนปางพุทธาวตาร ถ้าลอกมาจากเวปนี้ก็จะเป็นชุดของคนไทยที่ไม่มีพระพลรามครับ http://www.devalai.com/vishanuhis.htm แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:06:12 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:56:04 จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 12:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ปางที่ ๒ กูรมาวตาร พระนารายณ์อวตารลงมาเป็นเต่ายักษ์ เพื่อปราบอสูรมัจฉา เรื่องกล่าวย้อนไปถึงการกวนน้ำอมฤต ในขณะที่พระนารายณ์ทรงอวตารเป็นเต่ายักษ์ เพื่อหนุนแผ่นดินมิให้ทะลุลงไปถึงโลกมนุษย์ พระองค์ได้พบกับอสูรมัจฉาในขณะกำลังใช้ปากแทะแผ่นดินเพื่อเปิดทางให้น้ำอมฤตไหลทะลักสู่ โลกมนุษย์ ด้วยอสูรมัจฉามีความคิดที่ต้องการเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียวในโลก เมื่อพระนารายณ์ (เต่ายักษ์) เห็นการกระทำนั้นจึงเข้าขัดขวางทำการ ต่อสู้กับอสูรตนนั้น หากจะกล่าวถึงอิทธิฤทธิ์ของอสูรย่อมมีมากมายนัก ส่วนเต่ายักษ์ก็เข้าต่อสู้จนที่สุดแล้วเต่ายักษ์เป็นฝ่ายมีชัยชนะ เรื่องจึงจบลง และเต่ายักษ์จึงกลับร่างเป็นพระนารายณ์คืนสู่วิมานดั่งเดิม แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:55:36 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 12:52:23 จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 12:51:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ........ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 12:53:25 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ....... [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 12:55:56 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ปางที่ ๓ วราหาวตาร อวตารปางที่นี้อยู่ในโลกยุคที่ ๑ พระวิษณุทรงอวตารเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ผู้มีนามว่า “หิรัณยากษะ” (ผู้ซึ่งมีนัยน์ตาทอง) ซึ่งเป็นอสูรที่ชั่วร้ายมีความร้ายกาจยิ่งนัก เดิมนั้นอสูรตนนี้ได้บำเพ็ญตบะเพื่อบูชาพระอิศวรทำให้พระองค์โปรดปรานและพอพระทัยยิ่งนัก จึงประทานให้อสุรตนนี้มีฤทธิ์สามารถปราบได้ทั่วสากลจักรวาล พญาอสูรจึงได้มีความฮึกเหิมอหังการยิ่งนัก ได้จัดการม้วนแผ่นดินโลกทั้งหมด แล้วหนีบใต้รักแร้ หนีลงไปอยู่ในบาดาล ในที่สุดต้องเดือดร้อนถึงพระวิษณุอวตารลงมาเป็นหมูป่า (วราห์) เพื่อปราบปรามยักษ์ตนนี้ หมูนี้มีเขี้ยว เป็นเพชร ดำน้ำลงไปในมหาสมุทรต่อสู้กับพญาอสูรหิรัณยักษ์ จนเวลาล่วงเลยไปถึง ๑ พันปี จึงสามารถฆ่าหิรัณยักษ์ได้สำเร็จ ท้ายที่สุดก็เอา เขี้ยวเพชรนั้นงัดเอาแผ่นดินขึ้นมาไว้บนผืนน้ำตามเดิม [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 12:59:41 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ปางที่ ๔ นรสิงหาวตาร อวตารปางนี้อยู่ในยุคที่ ๑ ของโลกคือ กฤดายุคเช่นเดียวกัน เรื่องราวของการอวตารในปางนี้ก็มีอยู่ว่าหลังจากหิรัณยากษะ (หิรันตยักษ์) ถูกพระวิษณุอวตาร เป็นหมูป่าสังหารเรียบร้อยแล้วนั้น พญายักษ์ชื่อว่า “หิรัณยกศิปุ” ผู้เป็นน้องชายฝาแฝดก็ขึ้นมาเป็นใหญ่ในหมู่อสูร (ใต้บาดาล) แทนพี่ชาย พญายักษ์นี้มีจิตใจ หยาบช้ากว่าพี่ชายยิ่งนักได้ไปบำเพ็ญตบะขอพรต่อพระพรหมว่าขออย่าให้ตนเองถูกมนุษย์ เทวดา สัตว์เดรัจฉานทั้งหลาย ฆ่าเอาให้ตายได้ อย่าให้ตายด้วย อาวุธใด ๆ ในสากลโลก อย่าให้ตายในเวลากลางวันและกลางคืน อย่าให้ตายในบ้านนอกบ้าน ซึ่งพระพรหมธาดาก็ประสิทธิ์ประสาทพรให้ตามที่ขอทุกประการ ทำให้พญาหิรัณยกศิปุมีความฮึกเหิมไม่เกรงกลัวผู้ใด แม้แต่พระผู้เป็นเจ้า พญายักษ์ตนนี้มีโอรสองค์หนึ่งชื่อว่า “ประหลาทกุมาร” ซึ่งเป็นอสูรที่ตั้งมั่นอยู่ในศีล ธรรมอันดีมีความจงรักภักดีต่อพระวิษณุมหาเทพยิ่งนัก ทำให้แนวความคิดของพญาหิรัณยกศิปุนั้นแตกต่างกันโดยสิ้นเชิงแลพญายักษ์ก็มีความรักในโอรสยิ่งนัก เรียกได้ว่ารักดังหัวแก้วหัวแหวน ประหลาทกุมารผู้ตั้งอยู่ในศีลธรรมก็พยายามโน้มน้าวจิดใจของบิดาให้เลิกประพฤติชั่วหันมาทำความดีมีความจงรักภักดีต่อผู้เป็นเจ้า แต่บิดาก็หาได้ฟังไม่เที่ยวเบียดเบียนบีฑาบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้เดือดร้อนไปทั่วทุกหัวระแหง พระอินทร์จึงชักชวนบรรดาทวยเทพทั้งหลายไปขอร้องให้พระวิษณุ มหาเทพมาช่วยปราบพญาอสูรผู้ชั่วร้ายตนนี้เพราะไม่มีใครจะปราบมันได้ พระวิษณุมหาเทพก็ทรงรับปากว่าจะช่วยแต่ทรงขอเวลาคิดหาหนทางปราบพญาอสูรก่อน ฝ่ายประหลาทกุมารผู้เป็นโอรสก็เพียรพยายามขอร้องให้บิดาเลิกเบียดเบียนผู้อื่นฝ่ายพญาอสูรผู้บิดาก็หาเชื่อฟังไม่จึงใช้พวกพราหมณ์อสูรทั้งหลายไปอบรมพระโอรส ให้มาเข้าข้างตนพระโอรสก็ไม่ยอมแม้จะพยายามอย่างใดพระโอรสก็ไม่ยอม จากความรักมากก็กลายเป็นความชังมากจึงสั่งให้จัดการฆ่าโอรสของตนเสีย แต่ไม่ว่าจะ ใช้วิธีใด ๆ ก็ไม่สามารถฆ่าโอรสของตนได้ พญาหิรัณยกศิปุจึงถามโอรสตรง ๆ ว่าพระวิษณุมหาเทพนั้นมีจริงหรือไม่ ถ้ามีจริงและแน่จริงก็ปรากฏตัวออกมาเลย และทัน ใดในระหว่างนั้นเสาศิลากลางห้องท้องพระโรงก็แตกออกมา มีตัวประหลาดเป็นครึ่งคนครึ่งสิงห์ ปราดเข้ามาจับตัวหิรัณยกศิปุลากออกไปวางไว้บริเวณธรณีประตู (คืออยู่ในปราสาทครึ่งตัวอยู่นอกปราสาทครึ่งตัว) และนรสิงห์ผู้นั้นก็ถามพญาอสูรว่าตนเป็นมนุษย์เทวดาหรือสัตว์ พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งมนุษย์เทวดาและสัตว์,นรสิงห์ ก็ถามต่อไปว่าเวลานี้ร่างของหิรัณยกศิปุ อยู่นอกเรือนหรือในเรือน พญายักษ์ตอบว่าไม่ใช่ทั้งในเรือนและนอกเรือน และนรสิงห์ถามต่อไปอีกว่าเวลานี้เป็นกลางวันหรือกลางคืน หิรัณยกศิปุตอบว่า มิใช่ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่เป็นเวลาโพล้เพล้นรสิงห์จึงชูมือกางกรงเล็บออกมาถามพญายักษ์ว่าอันนี้คืออาวุธหรือไม่ พญายักษ์ก็ตอบว่าไม่ นรสิงห์จึงประกาศว่าพรทั้งหลายของพระพรหมธาดาเป็นอันเสื่อมแล้ว และตัวพญาอสูรก็ตกอยู่ในภาวะอันนอกเหนือจากพรหมประกาศิตทุกประการแล้ว กล่าวจบนรสิงห์ก็จัดการ สังหารพญาอสูรด้วยการใช้กรงเล็บฉีกกระชากท้องของพญาอสูรจนถึงทรวงอกจนขาดใจตาย พระวิษณุมหาเทพจึงประทานแต่งตั้งให้ประหลาทกุมารเป็นใหญ่แทนบิดาต่อไป พร้อมกับสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลธรรมอันดีแล้วเสด็จกลับยังที่ประทับของพระองค์ คืนความสงบให้กลับมาสู่ไตรโลกอีกต่อไป [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:00:38 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ปางที่ ๕ วามนาวตาร หรือ ทวิชาวตาร อวตารปางนี้ทรงอวตารมาเป็นคนแคระเพื่อช่วยเหลือพระอินทร์ให้ได้กลับมาครอบเมืองสวรรค์ เพราะมีอสูรตนหนึ่งชื่อพลีซึ่งเป็นหลานของประหลาท (ในปางที่ ๔) จอมอสูร ได้เสียทีถูกบรรดาทวยเทพฆ่าตาย ภายหลังจากได้รับการช่วยชุบชีวิตจากพวกพราหมณ์ในใต้บาดาลแล้วก็เริ่มทำพิธีกรรมเพื่อเพิ่มฤทธานุภาพของตนให้มากยิ่งขึ้นจนสำเร็จ แล้วก็ยกพลบรรดาแทตย์และอสูรทั้งหลายพากันมาตีเอาเมืองสวรรค์ได้ ซึ่งพระอินทร์พร้อมทวยเทพบริวารที่แปลงกายเป็นนกยูงได้พากันไปขอร้องให้พระวิษณุมหาเทพลง มาช่วยปราบขุนพลี องค์พระวิษณุมหาเทพจึงอวตารไปเกิดเป็นโอรสของพระกัศยปมุนีและพระนางอทิติเมื่อประสูติออกมาแล้วประทานชื่อให้ว่า “วามน” อันมีความหมายว่า เตี้ยหรือสั้น และได้ศึกษาเล่าเรียนศิลปะวิทยาการต่าง ๆ จนเจนจบครบถ้วนและก็บวชเป็นพราหมณ์ตามประเพณี ต่อมาวามนพราหมณ์ทราบข่าวว่าขุนพลีจะประกอบพิธีบูชายัญ เพื่อเพิ่มอำนาจอีก วามนพราหมณ์ก็ลาพระบิดาและพระมารดาไปยังมณฑลพิธีของขุนพลี ซึ่งขุนพลีก็มีความศรัทธานำน้ำมาล้างเท้าให้แล้วเอ่ยถามว่าวามนพราหมณ์ต้องการอะไร วามนพราหมณ์ก็ออกอุบายขอแผ่นดินเพียงสามย่างก้าวเท่านั้น ฝ่ายขุนพลีไม่ทันคิดก็ตกลงยกให้ทันที พร้อมนั้นก็ยกเต้าน้ำขึ้นเพื่อหลั่งให้ตามประเพณี พระศุกร์ผู้เป็นอาจารย์ของ ขุนพลีก็ร้องห้ามแต่ขุนพลีเป็นกษัตริย์ตรัสแล้วย่อมไม่คืนคำ พระศุกร์จึงหาทายตัวเข้าไปอุดรูเต้าน้ำนั้นเสีย จึงไม่อาจหลั่งทักษิโณทกได้ วามนพราหมณ์รู้ทันจึงได้เอายอดหญ้าคา แยงเข้าไปในน้ำเต้าถูกลูกตาของพระศุกร์ ๆ ทนไม่ไหวจึงรีบออกมาวามนพราหมณ์ก้รีบแบมือรับน้ำได้ตามปรารถนาพร้อมกันนั้นก็สำแดงเดชย่างก้าวทีหนึ่งลงไปชนแดนยักษ์ (แดนอสูร) ย่างก้าวที่สองลงไปชนแดนมนุษย์ ขุนพลีเห็นดังนั้นก็ผวาเกรงกลัวพร้อมยกมือไหว้ วามนพราหมณ์ ก็กลับร่างเป็นพระวิษณุทันทีทรงเป่าสังข์เรียกบรรดาทวยเทพทั้งหลายให้มาประชุม พร้อมกันทันทีและเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้เหล่าทวยเทพทั้งหลายฟัง และมีเทวโองการให้พระอินทร์กลับเข้าไปครองสวรรค์ตามเดิม ส่วนขุนพลีนั้นพระวิษณุทรงมีเทวโองการให้ลงไป ปกครองอยู่ใต้สุดบาดาลชั้นที่สาม และทรงสั่งสอนให้ตั้งอยู่ในศีลในธรรมอย่าเบียดเบียนผู้อื่นอีก ส่วนอวตารอีกเรื่องหนึ่งมีลักษณะคล้ายกันที่มีชื่อเรื่องว่า “ทวิชาวตาร” อวตารปางนี้ พระวิษณุทรงอวตารมาเป็นพราหมณ์หนุ่มน้อยรูปงามเข้าไปปราบท้าวตาวันอสูรที่ทูลขอที่ดินจากพระอิศวร ๓๐๐ โยชน์เพื่อจับสัตว์ทั้งหลาย (ทั้งสี่เท้าสองเท้า รวมทั้งเทวดาและมนุษย์ด้วย) ที่พลัดหลงเข้าไปในที่ดิน ๓๐๐ โยชน์นั้นจับกินเป็นอาหาร พระวิษณุอวตารลงมาใช้อุบายของที่ดินเพียง ๓ ก้าว เช่นเดียวกับเรื่องของวามนาวตาร และขับไล่ท้าวตาวันอสูรไปดินแดนที่ตน ขอพระอิศวร และต่อมาท้าวตาวันอสูรไปอาศัยอยู่เชิงเขาพระสุเมรุและลักลอบเป็นชู้กับนางสนมของพระอินทร์จนฝนที่สุดพระอินทร์จับได้จึงสังหารท้าวตาวันอสูรเสีย http://www.devalai.com/vishanuhis.htm แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:03:14 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:02:09 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ปางที่ ๖ ปรศุรามาวตาร กล่าวถึงว่าพระนารายณ์ทรงอวตารเป็นมนุษย์นามปรศุราม เพื่อปราบท้าวอรชุน กษัตริย์ใจพาล รังแก่ผู้คนทั่วไปไม่เว้นแม้พราหมณ์ ฤาษีที่บำเพ็ญตบะก็ไม่มีเว้น คัมภีร์ทางศาสนาฮินดูได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาถือกำเนิดเป็นมนุษย์เป็นบุตรของฤาษีนาม ชมทัคนีกับนางเรณุกา เมื่อกำเนิดขึ้นมาแล้วได้ชื่อว่า ราม ต่อมาได้รับขวานเพชรจากพระเป็นเจ้าจากสวรรค์ประทานมาจึงได้ชื่อว่า "ปรศุราม" ตั้งแต่นั้นมา เรื่องการปราบท้าวอรชุนเริ่มจากว่า ท้าวอรชุนได้ไปประพาสป่าและได้ขอเข้าพักที่อาศรมของฤาษีชมทัคนีกับนางเรณุกาผู้เป็นบิดามารดาของปรศุราม ท้าวอรชุนได้รับการต้อนรับเป็นอันดีจากนางเรณุกา (บางก็ว่าท้าวอรชุนได้เสด็จมาพบฤาษีชมทัคนี แต่ฤาษีไม่อยู่) ก่อนที่จะเสด็จกลับ ท้วอรชุนเห็นโคตัวหนึ่งที่ฤาษีเลี้ยงไว้จึงได้จูงโคตัวนั้นกลับไปด้วย โดยที่นางเรณุกาไม่สามารถทัดทานอะไรได้แต่นิ่งเฉยไว้ด้วยเกรงกลัวต่อท้าวอรชุน เมื่อฤาษีชมทัคนีกลับบมาถึงอาศรมนางเรณุกาจึงเหล่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้ฟัง จึงสร้างความโกรธให้กับฤาษีมากเนื่องจากโคตัวนั้นมีความสำคัญกับฤาษีชมทัตนีมาก ต่อมาเมื่อปรศุรามทราบเรื่องนี้จึงอาสาไปแก้แค้นท้าวอรชุนแทนบิดาของตน ฝ่ายนางเรณุกาได้แต่ห้ามปรามขอร้องมิให้ไปแต่ก็หาได้มาผลไม่ ปรศุรามจึงเดินทางเพื่อแก้แค้นท้าวอรชุนที่นครมหิษมดีที่ท้าวอรชุนปกครองอยู่ เมื่อผ่านการเดินทางถึงนครมหิษมดี จนได้พบกับท้าวอรชุนจึงเกิดการต่อสู้กันจนพื้นดินสะเทือนตากผลัดกับรุกพลัดกับถอยอยู่มิพลาดพลั้งกัน แต่แล้วโอากสก็เป็นของปรศุรามเข้าฟันท้าวอรชุนถึงความถึงได้รับชัยในที่สุด เรื่องจะจบลงตรงนี้ก็คงไม่ใช่ ดั่งว่าฆ่าเค้าคนของเค้าย่อมกลับมาแก้แค้น ท้าวอรชุนกษัตริย์ก็มีโอรสนามว่า อริชา เมื่อปรศุรามมาฆ่าบิดาตน โอรสอริชาจึงกลับไปแก้แค้นโดยฆ่าบิดาของปรศุรามที่อาศรม โดยมิสนใจว่าฤาษีกำลังบำเพ็บตบะ ที่ไม่มีโอกาสได้ต่อสู้หรือป้องกันตัวแต่อย่างใด เมื่อปรศุรามได้รู้ข่าวจึงรีบกลับอาศรมเมื่อพบศพบิดาจึงเกิดความรู้สึกถึงว่าการตายในครั้งนี้ช่างโหดเหี้ยมนัก ทำไมจึงฆ่าได้โดยที่บิดาตนมิได้ป้องกันตนและฆ่าได้แม้ผู้ที่ไม่มีทางต่อสู้ได้ นับแต่นั้นเป็นต้นมาจึงสาบานว่าจะฆ่าศัตรูที่มิได้อยู่ในศิลธรรมมักรังแก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็นการรังแกเหล่าฤาษี ชี พราหมณ์ให้เดือดร้อนจนกว่าจะครบอายุตน (ขณะนี้นอายุ 21 ปี) จึงเท่ากับต้องฆ่าถง 21 ครั้ง จึงจะลดความแค้นได้ ปรศุรรามนับแต่นั้นจึงออกค้นหาผู้ที่ใจบาปเที่ยวรบกวนระราน ทำผิดทั้งหลายที่พบและฆ่าให้ตายเป็นแบบนี้อยู่ตลอด จนในที่สุดเมื่อคิดขึ้นมาได้ว่าหากเราฆ่าคนบาป คนทำผิดก็คงจะหมดโลกนี้แน่ ว่าแล้วก็ตั้งจิตใหม่จะฆ่าก็แต่เฉพาะผู้ที่เป็นกษัตริย์ใจบาปหยาบช้า จิตใจชั่วร้าย เที่ยวรบกวนผู้อื่นรวมถึงฤาษี ชี พราหมณ์ ผู้ทรงศีลเท่านั้น เมื่อคิดดังนั้นจึงไปบำเพ็ญตนอยู่ ณ เขามเหนทรบรรพต และหากมีข่าวคราวใดที่มีเหล่ากษัตริย์ใจพาล พระปรศุรามก็จะออกจากเขาไปฆ่ากษัตริย์ใจพาลนั้นทันที http://www.omaarti.com/aartip8.htm แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:07:05 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:06:33 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ปางที่ ๗ รามาวตาร “พระราม” เป็นโอรสของท้าวทศรถและพระนางเกาสุริยา กษัตริย์แห่งกรุงอโธยามีพระอนุชาทรงพระนามว่า “พระลักษมณ์” “พระพรต” และ “พระสัตรุต” ต่อมาภายหลังพระรามได้ทำสงครามกับท้าวราพนาสูร(ทศกัณฐ์)เพราะว่าท้าวราพนาสูรมาลักพาตัวนางสีดา ผู้เป็นชายาของพระองค์ไปกักขังไว้ที่กรุงลงกา การสงครามครั้งนี้เป็นสงครามระหว่างยักษ์กับมนุษย์โดยมีกองทัพวานร (ลิง) มาช่วยมนุษย์ด้วยโดยที่พระรามมีขุนพลเป็นวานรเป็นวานรคู่พระทัยคือ “หนุมาน” พระรามและพระลักษมณ์ได้คุมกองทัพวานรของสุครีพข้ามทะเลไปทำสงครามกับทศกัณฐ์ เป็นศึกสงครามที่ยืดเยื้อกินเวลาหลายปี ทั้งพระรามและพระลักษมณ์ได้ฆ่าพวกพ้องของท้าวราพนา สูรตายจนหมด จนในที่สุดท้าวราพนาสูรต้องถอยออกมาสู้รบด้วยตนเอง ซึ่งเป็นการรบตัวต่อตัวกับพระรามทั้งสองได้ต่อสู้กันหลายครั้งหลายหน พระรามก็ไม่สามารถสังหารท้าวราพนาสูรได้ พิเภกทูลพระ รามว่าที่ท้าวราพนาสูรไม่ตายนั้นก็เพราะว่าถอดดวงใจฝากไว้กับพระฤาษีโคบุตรผู้เป็นอาจารย์ พระรามจึงส่งหนุมานไปหลอกเอากล่องดวงใจจากฤาษีโคบุตรมาทำลายเสีย เมื่อหนุมานได้กล่องดวงใจมาแล้ว พระรามก็ออกไปรบกับท้าวราพนาสูรเป็นครั้งสุดท้าย พระรามแผลงศรไปปักอกท้าวราพนาสูร พร้อมกันนั้นหนุมานก็ขยี้กล่องดวงใจของท้าวราพนาสูร ก็ถึงแก่ความตายทันที พระรามจึงโปรดให้จัดพิธีอภิเษก ให้พระยาพิเภกให้เป็นกษัตริย์ครองกรุงลงกาต่อไป แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:12:38 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:10:04 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ปางที่ ๘ กฤษณาวตาร กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ และตำนานเก่าต่าง ๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่น ๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่ เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตารลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ ๙ ในการอวตาร ๑๐ ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจ แย่งชิงมเหสีจากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระ วิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 14:31:29 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:14:35 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:14:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ปางที่ ๙ พลรามาวตาร พี่ชายพระกฤษณะ ชาวฮินดูเชื่อว่าพระพลราม คืออวตารปางหนึ่งของพระวิษณุ อวตารคู่กับพระกฤษณะครับ ปางนี้ขอข้ามเลยครับ ยังไม่มีรายละเอียดของปางนี้ และหนังสือก็ไม่มีรายละเอียดปางนี้ครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:16:20 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ปางที่ ๑๐ กัลกิยาวตาร พระวิษณุอวตารในปางนี้ ทรงเป็นมหาบุรุษขี่ม้าขาวถือดาบในมือขวาทำลายศัตรูของมนุษย์เพื่อปราบกลียุค ที่เต็มไปด้วยเหล่าคนชั่วหรือเหล่าอธรรมทั้งหลาย เมื่อปราบอธรรมแล้วก็จะสถาปนาศาสนาขึ้นใหม่ มหาบุรุษนี้จะมีนามว่า กัลก, กัลกี, หรือ กัลกิน เป็นบุตรของพราหมณ์ชื่อวิษณุยศ อวตารนี้เป็นอนาคตาวตาร (อนาคต+อวตาร) คือ เป็นการอวตารของพระวิษณุยังไม่เกิดขึ้น และหลังจากอวตารแล้ว กลียุคก็ จะสิ้นสุดลง จึงพอจะกล่าวได้ว่ากัลกยาวตารนี้เป็นอวตารที่จะเสด็จลงมาปราบคนชั่วที่มีมากมายโดยไม่เจาะจงว่าเป็นใครจะมีลักษณะคล้ายกับกฤษณาวตารที่คนชั่วมีมากจนไม่อาจจะชี้ชัดได้ว่าเป็นใครซึ่งต่าง กับรามาวตาร (อวตารเป็นพระราม) หรือนรสิงหาวตารที่จะอวตารลงมาเพื่อปราบปรามคนใดคนหนึ่งโดยเฉพาะและอาจกล่าวได้ว่าโลกเราทุกวันนี้ก็คงจะจะใกล้ถึงยุคของกัลกยาวตารเพราะว่าคนชั่วมากมายเหลือเกิน [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:17:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 พระกัลกีอีกแบบ มีหัวเป็นม้าครับ จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 13:19:15 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ปางที่ ๘ กฤษณาวตาร กล่าวถึงคัมภีร์ปุราณะ มหากาพย์รามายณะ มหาภารตะ และตำนานเก่าต่าง ๆ ของอินเดีย รวมถึงคัมภีร์ทางศาสนาฮินดูอื่น ๆ ได้บันทึกและกล่าวถึงไว้ว่า พระวิษณุเทพได้อวตารลงมาเพื่อปราบยุคเข็ญให้แก่ เหล่ามวลมนุษย์ทั่วไป ในช่วงเหตุการณ์โลกเกิดกลียุคและเกิดความไม่สงบสุขจากเหล่าอสูร จึงทรงอวตารลงมาในปางต่างๆ ซึ่งปางพระกฤษณะเทพ คือปางที่ ๙ ในการอวตาร ๑๐ ปาง ของพระวิษณุเทพ นั่นเอง ลัทธิไวษณพนิกาย กล่าวไว้ว่าพระกฤษณะเกิดมาเพื่อทำลายอสูร ชื่อกังสะ ซึ่งเป็นลุงของพระกฤษณะเอง อสูรกังสะตนนี้ปลอมตัวมาเป็นกษัตริย์นามว่า อุคราเสน แห่งเมืองมถุรา และได้ใช้อำนาจ แย่งชิงมเหสี(นางเทราปตี)จากกษัตริย์ (องค์จริง) มาโดยมิชอบ และมเหสีก็ทรงไม่ทราบว่าเป็นอสูรที่แปลงกายมาเป็นสวามีของตนอสูรกังสะ เมื่อขึ้นครองเมืองก็สร้างความเดือดร้อนให้ประชาชนทั่วไป ต่อมาเมื่อพระ วิษณุเทพทรงทราบถึงความเดือดร้อนของประชาชน จึงทรงอวตารมาในปางพระกฤษณะเพื่อปราบอสูรกังสะตนนี้ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 13:14:35 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา  - [ 27 พ.ค. 50 13:14:22 ] ^ ^ ^ อันนี้ถ้าลอกมาจากเวปนี้ http://www.devalai.com/kritsanahis.htm หรือเวปนี้ http://www.omaarti.com/aartip12.htm ก็ไม่น่าจะเติม (นางเทราปตี) เพราะนางเทราปตี เป็นภรรยาของพี่น้องปาณฑพทั้งห้าในเรื่องมหาภารตะ ไม่รู้ว่าเติมเข้าไปได้อย่างไร จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 13:33:20 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ถ้าคุณเหงามากไปดูเวปที่คุณลอกๆมา (ส่วนใหญ่ http://www.devalai.com/vishanuhis.htm แต่อันนี้จะแทนพุทธาวตารกับปรศุรามาวตาร ด้วยมหิงสาวตาร และอัปสราวตาร ซึ่งเป็นปางเล็กมาก คุณจึงต้องหาข้อมูลปรศุรามาวตารจากที่อื่น) ก็จะเห็นว่า ไม่มีสักเวปที่กล่าวถึงพระพลรามเป็นอวตารหลักสิบปาง คุณจึงไม่มีข้อมูลของพระพลราม คุณจึงจำต้องลอกมาจากหลายแห่ง และในจำนวนที่คุณลอกๆมา เพื่อให้เข้ากับทฤษฎีของคุณที่ว่าพระพลรามเป็นอวตารหลัก ก็ไม่มีที่ไหนที่บอกว่าพระพลรามเป็นอวตารหลัก คุณจึงหาข้อมูลไม่ได้นั่นเอง จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 13:41:08 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อย่างที่บอกแต่แรกว่าแม้แต่ในอินเดียก็มีการถกเถียงกันว่านารายณ์ปางที่เก้านี้เป็นพระพลรามหรือพระพุทธเจ้า แต่ผมอยากให้ดูว่าความเชื่อไหนได้รับการยอมรับเป็นทางการมากกว่ากัน ลองเสิร์ชคำว่า vishnu avatar ในกูเกิลดู ดูว่ามีกี่แห่งที่นับถือปางพลรามเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก และกี่แห่งที่นับถือพุทธาวตารเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก ปางกัลกยาวตาร บางทีก็หน้าเป็นม้า แต่รูปปั้นหัวหม้าที่คุณเอามาเนี่ย ผมคิดว่ามันคือรูปปั้นของพระวิษณุปางหัยครีพ (Hayagriva) ซึ่งเป็นปางที่หน้าเป็นม้าอยู่แล้ว http://www.earthportals.com/Portal_Messenger/vadavamukha.html จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 14:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อีกรูป http://www.clas.ufl.edu/users/vasu/cambodia/museeguimet/hayagriva.htm จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 14:12:27 ]

ความคิดเห็นที่ 19 โทดที.........สับสนระหว่างกังสะกับทุรโยทน์ ช่วงนี้อากาศร้อน ๆ เลยงี่เง่านิดนึง.......บางครั้งมันเบลอ ๆ อะ ----------- อ้อ มีเทพองค์นึง มีหัวเป็นม้า คือเทพอัศวิน เป็นเทพฝาแฝดอะ....... พระกัลกี มี 2 แบบ แบบหัวคน กับหัวม้า หัยครีพ ก็ไม่ใช่ปางสำคัญ ของพุทธก็จีน ญี่ปุ่น ทิเบต เทพอัศวิน ก็ไม่ใช่เทพสำคัญอะไร ส่วนรูปเทพที่มีหัวเป็นม้า เคยอ่านผ่าน ๆ เขาบอกว่าคือเทพกัลกี........ ส่วนปางมหิงสา กับอัปสรา(โมหินี) ปางเล็กมาก ๆ ไม่สำคัญอะไร แถมเรียงผิดอีกต่างหาก รูปอัปสราวตาร ก็เอารูปปรศุรามมาใส่.......ก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ได้ไง เว็บไทยไม่มีพลรามหรอกครับ เขาคงยึดตามหนังสือลิลิตนารายณ์10ปางมั้งครับ เพราะแต่ก่อน ไม่มีพุทธาวตารอยู่ในอวตารทั้ง10 ซึ่งมันก็ดีอยู่แล้ว มีแต่พลรามอยู่ในนั้นแทน ส่วนภาพปรศุราม ก็เอาเนื้อหาอัปสราวตารไปใส่ ไม่รู้ใส่ได้ไง แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 14:25:32 จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 14:24:47 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ก็โอเคนะ ผมรู้สึกโอเคที่คุณผิดแล้วมาขอโทษเรื่องนางเทราปตี ที่เวปที่คุณลอกมานั้นใช้รูปมาขัดกันเอง คิดว่าเพราะเขาไม่ต้องการเอารูปชุดที่มีพระพุทธเจ้ามา แต่ก็ไม่มีรูปชุดที่มีปางนางอัปสรกับ มหิงสา จึงต้องเอารูปชุดที่มีพระพลรามมาแทน ชาวฮินดูนั้นจริงๆมีความเชื่อหลากหลาย บางแห่งก็เชื่อว่า พระพลรามเป็นอวตารปางที่แปด พระพุทธเจ้าเป็นอวตารปางที่เก้า ส่วนพระกฤษณะนั้นไม่นับเป็นอวตาร แต่เป็นตัวพระนารายณ์มาเอง ในหลายๆแห่งเชื่อว่า พระพลรามไม่ใช่อวตารของพระนารายณ์ด้วยซ้ำ แต่เป็นการแบ่งภาคของพระยาอนันตนาคราช ทั้งนี้ในลักษณะเดียวกับที่พระยาอนันตนาคราชแบ่งภาคมาเป็นพระลักษณ์ ส่วนความเชื่อไหนเป็นหลักของเขาก็พูดยาก อย่างที่ผมแนะนำก็คือให้ลองเสิร์ชคำว่า vishnu avatar ในกูเกิลดู ดูว่ามีกี่แห่งที่นับถือปางพลรามเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก และกี่แห่งที่นับถือพุทธาวตารเป็นหนึ่งในสิบปางหลัก ก็จะค่อนข้างเห็นได้ชัดเจนมาก สรุปนะครับ ส่วนตัวผมคิดว่าตามประวัติศาสตร์ พระพลรามน่าจะจัดอยู่ในทศอวตารก่อนหน้าพระพุทธเจ้า การจัดเอาพระพุทธเจ้าเข้ามาในทศอวตารเป็นความพยายามในการกลืนศาสนาพุทธ และทำให้พลรามกลายเป็นอวตารเล็ก หรือ เป็นพระยาอนันตนาคราชอวตารมาแทนไป ปัจจุบันถ้าเราถามคนฮินดู ส่วนใหญ่คงระบุว่าพระพุทธเจ้าคืออวตารปางที่เก้าแหละครับ คงมีส่วนน้อยที่ระบุว่าเป็นพระพลราม แต่การที่คุณเหงามากมาทักผมก็ดีเหมือนกัน เพราะทำให้ผมได้ตื่นตัวไปค้นหาเรื่องพระพลราม ซึ่งก่อนหน้านี้ผมไม่คิดว่าอยู่ในทศอวตารมาก่อน สรุปแล้วไม่มีใครผิดใครถูกนะครับ ผู้สนใจ เสิร์ชคำว่า Balarama as vishnu avatar ดู ก็จะทราบมากขึ้นครับ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 15:48:24 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 15:43:48 จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 14:53:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ^ ^ แต่ตามวัดพระวิษณุ ภาพ10ปาง ไม่มีปางพระพุทธเจ้า จะพบที ก็เป็นภาพวาดเฉย ๆ จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 15:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%99%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%93%E0%B9%8C ผมแก้เพื่อให้ชัดเจนขึ้นแล้วนะครับ วานผู้รู้ตรวจสอบด้วย ข้างล่างคือภาพก่อนแก้ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 15:14:40 แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 15:13:56 [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 15:09:05 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ้อ มีเทพองค์นึง มีหัวเป็นม้า คือเทพอัศวิน เป็นเทพฝาแฝดอะ....... พระกัลกี มี 2 แบบ แบบหัวคน กับหัวม้า หัยครีพ ก็ไม่ใช่ปางสำคัญ ของพุทธก็จีน ญี่ปุ่น ทิเบต เทพอัศวิน ก็ไม่ใช่เทพสำคัญอะไร ส่วนรูปเทพที่มีหัวเป็นม้า เคยอ่านผ่าน ๆ เขาบอกว่าคือเทพกัลกี........ ^ ^ อ่านผ่านๆแล้ว ดูเวปที่ผมเอามาให้จะได้อ่านจริงๆจังๆนะครับ มีสองเวป ...  ...  ... แต่ตามวัดพระวิษณุ ภาพ10ปาง ไม่มีปางพระพุทธเจ้า จะพบที ก็เป็นภาพวาดเฉย ๆ ^ ^ โอเคครับ เก่งครับ จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 15:24:35 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แก้แล้ว ดูดีขึ้นเยอะ....... จะดีกว่านี้ ถ้าสลับเอาพลราม ขึ้นก่อนพุทธาวตาร.......... ----------- เคยลงบทความเกี่ยวกับพุทธาวตาร ซึ่งหลายคัมภีร์(ถ้าจำไม่ผิด เขียนไว้มากกว่า 10 คัมภีร์) ก็ไม่รู้ว่าจะเกลียดศาสนาพุทธอะไรนักหนา บอกว่าชาวพุทธเป็นพวกอสูร(เป็นศัพท์สมัยนั้น ใช้เรียกพวกนอกรีต พวกนอกวรรณะ และวรรณะศูทรอะ) อ้างว่าสอนให้คนเลิกท่องมนต์ ท่องพระเวท เลิกบูชาพระเจ้าของเขา บอกว่าสั่งสอนให้คนหลงผิด(คงไม่ชอบคนนอกวรรณะ กับวรรณะศูทรบวช และมีหน้ามีตา และออกบิณฑบาตได้อะ) บางทีก็บอกว่าปางที่10 อวตารเมื่อเกิดกลียุค(อ่อ ในสายตาเขา ยุคพระพุทธศาสนา คงเป็นกลียุคของเขาอะ) ลงมาเพื่อกวาดล้างอสูร(คนพุทธ) และอีกหลายเหตุผลเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ศาสนาตน จากคุณ : เมื่อไรจะหายเหงา - [ 27 พ.ค. 50 15:30:04 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ย้ายข้อความนี้ไปไว้รวมกันข้างบนจะได้เป็นอันเดียวครับ แก้ไขเมื่อ 27 พ.ค. 50 15:44:26 จากคุณ : เชษฐา - [ 27 พ.ค. 50 15:36:38 ]

ความคิดเห็นที่ 27 คำว่า เสียมเรียบ แปลว่า สยามแพ้ เกิดจากเมื่อครั้งที่พระเจ้าทรงธรรมยกกองทัพไปรบกับเขมร แต่ทัพไทยต้องพ่ายแพ้กลับมา เขมรจึงเรียกสถานที่ที่เป็นสมรภูมิแห่งนั้นว่า "เสียมเรียบ" ฝ่ายคนไทยคงจะกระดากที่จะเอ่ยคำว่า เสียมเรียบ จึงได้เรียกให้เพี้ยนไปเป็น เสียมราฐ แปลว่า รัฐของสยาม http://www.komchadluek.net/column/pra/2004/05/06/02.php บ้างก็ว่าเป็นเหตุการณ์สมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ ออกญาสวรรคโลก (เจ้าพญาโอง) เจ้าเมืองโพธิสัตว์พาทัพอโยธยาเข้าตีกรุงกัมพูชา พระองค์จันท์เจ้ากรุงกัมพูชาตีแตกกลับไป เสียเจ้าพญาโองในการศึกครั้งนั้น http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/09/K4721913/K4721913.html#13 แก้ไขเมื่อ 28 พ.ค. 50 06:37:49 จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 พ.ค. 50 06:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เสือพบสิงห์ ลิงอย่างกระพ้มก็เมาสิครับ กระทู้ดี ๆ แบบนี้ เซฟโลดดดด ขอบพระคุณผู้รู้ทุกท่านที่มาให้วิทยาทานครับ จากคุณ : ปะหล่อง - [ 28 พ.ค. 50 11:28:16 ]

ความคิดเห็นที่ 29 เอาบทความของพระธรรมปิฎก (ป.อ.ปยุตโต) เกี่ยวกับเรื่องพุทธาวตารมาเสริมเพื่อความเข้าใจ พุทธาวตาร : ปางที่เก้าของพระนารายณ์ สร้างสรรค์หรือทำลาย http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5453627/Y5453627.html จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 28 พ.ค. 50 13:10:53 ]

ความคิดเห็นที่ 30 แวะเข้ามาทักทายครับ เหงามาก  อยากหายเหงา ก็หาคนรู้ใจมาไว้ข้างกายสิครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 28 พ.ค. 50 19:52:01 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เคยคุยเล่นๆในชั้นเรียน ว่าวราหาวตาร นี่ดูศาสนสถานต่างๆที่มีการสร้างรูปเคารพปางนี้ ช่างคล้องจองกับ ตอนที่โมกุล(อิสลาม)รุกรานอินเดียได้อย่างเหมาะเจาะหรือจงใจโปรโมตรูปหมูขึ้นมาเพื่อต่อต้านโมกุลก็ไม่รู้ อาจารย์ด่ายับครับ แต่ท้ายชั่วโมงท่านบอกว่า....เออน่าคิดนะ เพราะปางที่เก้าเกิดขึ้นช่วงพุทธศาสนารุ่งเรืองเช่นกัน เอแต่เพื่อนคงรู้หมดเลยว่าผมเป็นใคร... จากคุณ : วิเศษนิยม - [ 29 พ.ค. 50 14:22:44 A:58.181.136.4 X: ]