ความคิดเห็นที่ 1 กระทู้นี้เรื่องค่อนข้างยาว และนำมาจากหนังสือหลายเล่ม ดังนั้นเรื่องจึงอาจวกไปวนมา ประกอบกับไม่ใคร่มีเวลาตรวจทานนัก จึงยิ่งเพิ่มความสับสนไปได้บ้าง เพราะมีคิวกระทู้พันทิปต่ออีกหลายเรื่องในช่วงนี้ แต่ก็พยายามเก็บความให้ได้มาก ตั้งแต่ช่วงพระองค์เสด็จสวรรคตที่อังกฤษ และเหตุการณ์ช่วงพระบรมอัฐิเสด็จกลับถึงเมืองไทย ซึ่งใช้เวลายาวนานถึง 8 ปี หนังสือที่อ้างอิงมีดังนี้ 1. เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ   นายหนหวย , 2530 2. ชีวิตเหมือนฝัน คุณหญิงมณี สิริวรสาร  นรุตม์ เรียบเรียง 2544  แพรวสำนักพิมพ์ 3. หนังสือ  งานพระเมรุมาศ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์  พิมพ์ในงานถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7  ณ พระเมรุมาศ ท้องสนามหลวง วันอังคารที่ 9 เมษายน พุทธศักราช 2528 4. หนังสือ “พระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุ สมัยกรุงรัตนโกสินทร์” โดย พลเรือตรีสมภพ ภิรมย์ ศิลปินแห่งชาติ ราชบัณฑิต, 2539 5. สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น ของ หม่อมเจ้าหญิงพูนพิศมัย ดิศกุล, 2543 6. เกิดวังปารุสก์ ฉบับสมบูรณ์, 2540 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์  น.307 และเล็กๆ น้อยจากอีกหลายเล่ม จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:16:22 ]

ความคิดเห็นที่ 2 พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ ได้นิพนธ์ไว้ใน "เกิดวังปารุสก์" มีเรื่องเล่าไว้ในเรื่องการเสด็จไปยุโรป และการสละราชสมบัติ ดังนี้ ...... เสด็จมารักษาพระเนตรยังยุโรป ออกจากกรุงเทพฯ เมื่อ 12 มกราคม 2476 (โดยเรือพระที่นั่งศรวรุณ แล้วไปลงเรือเมล์บริษัทอิสต์เอเชียติก (E.A.C.) ชื่อเรือวลัย) ขึ้นบกที่เมืองมาร์เซย  แล้วประทับอยู่ที่แคว้นริเวียรา มีเหตุบังเอิญ สมเด็จพระเจ้าแผ่นดินเบลเยี่ยม แอลเบิต (Albert) สิ้นพระชนม์ลงอย่างกะทันหัน เมื่อ 18 ก.พ. 2476  ทูลหม่อมอาตกลงพระทัยจะส่งข้าพเจ้าไปแทนพระองค์ เสด็จมาอังกฤษอย่างไปรเวตโดยรถไฟกลางเดือนเมษายน แล้วพระองค์ทรงเช่าที่ประทับเพื่อทำการผ่าตัดพระเนตรอีกข้างหนึ่งที่ตำบล Knowle Park, Cranleigh, Surrey เมื่อพระเนตรหายเป็นปกติแล้วก็เริ่มจะกะกำหนดเสด็จกลับ พระเจ้าอยู่หัวจึงทรงมีลายพระราชหัตถ์มาทรงปรารภถึงประโยชน์ของพระองค์แก่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ คือ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนริศรานุวัดติวงศ์ พระราชปิตุลา ซึ่งได้ทรงแต่งตั้งไว้เมื่อก่อนเสด็จ มีใจความของผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ถึงนายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ....... ลว.  14 ต.ค. 2477 ....... พระองค์มีพระราชประกาศเรื่อง “การสละราชสมบัติ”  ลว. 2 มี.ค. 2477 ที่อยู่  บ้านโนล. แครนลี, ประเทศอังกฤษ สำเนาโทรเลข นายกรัฐมนตรีส่งจากกรุงเทพ(พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา) ลว. 7 มี.ค. 2477 ถึงอรรคราชทูตสยาม ณ กรุงลอนดอน  ให้กราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า เรื่องสภาผู้แทนราษฎรได้ลงมติเห็นชอบในการอัญเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ขึ้นทรงราชย์ สืบราชสันตติวงศ์ต่อไป ตามทางราชการประกาศให้ถวายพระนามว่า สมเด็จเจ้าฟ้ากรมหลวงสุโขทัยธรรมราชา ตามเดิม แต่คนโดยมากยังคงเรียกว่า สมเด็จพระปกเกล้าฯ อยู่นั่นเอง จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:22:07 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ท่านหญิงพูนพิศมัย ได้บันทึกไว้ใน "สิ่งที่ข้าพเจ้าพบเห็น" จากการรับฟังสืบต่อกันมาให้พวกเราได้รับทราบกัน ดังต่อไปนี้ "......เราได้รู้เรื่องสวรรคตต่อมาภายหลังว่า  สมเด็จพระปกเกล้าฯ ไม่ทรงมีพระอนามัยดีมาแต่ประชวรแล้ว  ต้องมีนางพยาบาลคอยประจำดูแลเรื่องพระหทัยอยู่ด้วยเสมอ  ในตอนที่ไทยทำสงครามกับอินโดจีน  ก็ทรงรำคาญอยู่เป็นนิตย์  ครั้นพอเห็นหนังสือพิมพ์ว่า  ญี่ปุ่นจะเป็นผู้ไกล่เกลี่ยก็หมดกำลังพระทัย  เช้าวันที่ 30 นั้นก็ยังทรงสบายเป็นปกติ จนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพฯ ทูลลาเสด็จออกไปซื้อของ  แต่พอถึง 4 แยกแห่งหนึ่ง  ตำรวจรักษาการณ์ก็เข้ามาหยุดรถบอกว่าเขาโทรศัพท์มาให้เสด็จกลับเดี๋ยวนี้  ถึงที่ประทับเห็นสมเด็จพระปกเกล้าฯ เสด็จสวรรคตแล้วอย่างบรรทมหลับสบาย  นางพยาบาลรายงานว่า  เมื่อเสวยเช้าแล้วก็ทรงหนังสือพิมพ์  สักครู่ใหญ่ๆ ก็ทรงบ่นว่า  เวียนหัวไม่สบาย  นางพยาบาลลุกไปหยิบยา  พอกลับมาก็เห็นพระหัตถ์ห้อยลงมาอยู่ข้างๆ แล้ว  และหนังสือพมิพ์นั้นก็ตกอยู่กับพื้น  สมเด็จพระปกเกล้าฯ หลับพระเนตรเหมือนหลับอยู่อย่างสบาย  จับพระชีพจรดูจึงรู้ว่าสวรรคตเสียแล้ว ชายศุภสวัสดิ์ฯ เล่าว่า  สมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงสั่งไว้ว่า  ถ้าพระองค์สวรรคตเมื่อไรให้ทรงพระภูษาแดงและทรงสะพักผ้าขาวผืนเดียวเอาลงหีบแล้วให้รีบถวายพระเพลิงพระบรมศพให้เร็วเท่าที่จะทำได้  และไม่ให้รับเกียรติยศอย่างใดๆ จนอย่างเดียว ทั้งในทางต่างประเทศและทางไทย  ให้เอาซอไวโอลินไปเล่นเพลงที่พระองค์โปรดคันเดียวในเวลาที่กำลังถวายพระเพลิง  เพื่อแทนการประโคม  และถ้า......ยังมีอำนาจอยู่ตราบใด  ก็ไม่ให้นำพระบรมอัฐิกลับมาบ้านเมืองเป็นอันขาด สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีได้ทรงจัดการตามพระราชดำรัสสั่ง และรุ่งขึ้นก็เชิญพระบรมศพไปถวายพระเพลิงที่สุสานสามัญที่ Golders Green ในกรุงลอนดอน  แล้วเก็บรวมพระบรมอัฐิธาตุไว้ในกรุงลอนดอนด้วย........" จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:25:28 ]

ความคิดเห็นที่ 4 มีบันทึกต่อไว้ว่า ".......อย่างไรก็ตาม งานพระเมรุเป็นงานหนึ่งที่เชิดชูความงามของไทยเป็นอันมาก  ถึงพวกนักท่องเที่ยวเพียรถามอยู่เสมอว่า  เมื่อไรจะมีงานพระเมรุ  และถ้ามีเมื่อไรขอให้โทรเลขไปบอกล่วงหน้า  พวกเขาจะเข้ามาชมกันให้ทันเวลา  จนเป็นข้อขันของพระราชวงศ์ว่านักท่องเที่ยวต้องการให้พวกเราตาย  แต่สมเด็จพระปกเกล้าฯ ต้องเสด็จสวรรคตอยู่กับนางพยาบาลคนเดียว  งานพระบรมศพก็มีรถยนต์สมเด็จพระนางรำไพฯ และพระญาติวงศ์ชั้นเด็กๆ ตามไปแต่ 3 รถ  ไม่มี่ใครกล้าเกี่ยวข้องด้วยได้  เพราะเกรงไปว่าจะเป็นการเมือง  ในฐานะที่พระองค์ถูกเป็นศัตรูของรัฐบาลไทย  จึงไม่มีใครกล้าแม้จะนึกถึงด้วยความสงสาร ในเวลาที่ข้าพเจ้าเขียนหนังสือนี้ (พ.ศ.2486) ได้เพียรวิ่งสืบถามถึงการศึกษาและการงานที่ได้ทรงทำไว้ก่อนเสวยราชย์  ยังไม่มีใครกล้าจะรับหาหลักฐานได้  เพราะเกรงจะถูกหาว่าเป็นพวกของพระปกเกล้าฯ  ได้แต่ดูในราชกิจจาฯ และถามจากพวกเจ้าๆ และขุนนางเก่าๆ ได้ 2-3 คน  ใครจะพูดถึงก็ได้แต่ติเตียนซ้ำเติม  แม้พวกที่ได้ทรงชุบเลี้ยงมา  ก็มีที่ซื่อตรงจงรักจริงๆ เพียง 4-5 คน เป็นอันว่ารัชกาลที่ 7 ได้จบลงอย่างน่าอนาถใจ......" จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:26:21 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณหญิงมณี เล่าไว้ใน ชีวิตเหมือนฝันฯ เรื่องพระราชนิพนธ์ "อัตชีวประวัติ" ที่มีแล้ว แต่เสียดายที่ไม่จบ "......ทรงพระราชนิพนธ์พระประวัติขึ้น  แต่น่าเสียดายว่าทรงพระราชนิพนธ์ได้ถึงตอนที่พระองค์เจริญพระชนมายุเพียง 25 พรรษาเท่านั้น ก็สวรรคตเสียก่อน  มิทันได้พระราชนิพนธ์จนจบไว้เป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์จากฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่านเอง....." จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:28:51 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เนื่องจากเพราะรวดเร็ว และเป็นเรื่องที่ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ไทยมาก่อน เมื่อพระองค์ "สิ้น" ทางการไทยก็ยังสับสนว่าจะใช้คำใด ถึงจะเหมาะสม ........ ข่าวการสวรรคต ในวาระเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวประชวร และเสด็จสวรรคตที่ประเทศอังกฤษเมื่อ พ.ศ.2484 นั้น  ทางราชการได้ออกคำแถลงการณ์ดังนี้  “รัฐบาลแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทราบด้วยความสลดใจอย่างยิ่งว่าสมเด็จพระปกเกล้าได้สิ้นพระชนม์ด้วยพระโรคพระหทัยพิการเมื่อเช้าวันที่ 30 พฤษภาคม 2484  ดังนั้นจึงได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศ มีโทรเลขแสดงความเสียใจไปถวายสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี  ทั้งได้สั่งให้อัครราชทูตไทย ณ กรุงลอนดอน  จัดถวายความสะดวกเกี่ยวกับพระศพให้สมพระเกียรติอย่างเจ้าฟ้าทุกประการ กรมโฆษณาการ 31 พฤษภาคม 2484” จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:47:17 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ฉบับนี้ก็ใช้อีกอย่างหนึ่ง ...................... วันที่ 13 มิถุนายน พ.ศ.2484 เรื่อง สมเด็จพระปกเกล้าถึงทิวงคต จาก  อัครราชทูต ณ กรุงลอนดอน ถึง  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ด้วยเมื่อวันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม ศกนี้  หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ สวัสดิวัตน์  ได้โทรเลขมายังข้าพเจ้าว่า  สมเด็จพระปกเกล้าฯ ได้ถึงทิวงคตโดยโรคหัวใจในตอนเช้าวันนั้น  ข้าพเจ้าจึงได้รีบโทรเลขรายงานให้ทราบในวันเดียวกัน  และว่า  จะได้ถวายความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้ตามสมควรแก่ฐานะที่ทรงเป็นพระบรมวงศานุวงศ์  กับขอทราบว่า  ข้าพเจ้าจะควรไปในงานพระศพตามทางราชการหรือในฐานส่วนตัว ต่อมาเมื่อวันอาทิตย์ที่ 1 เดือนนี้  ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขของท่าน  ให้นำความขึ้นทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ  ในนามของรัฐบาลของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและในนามของท่านเองว่า  มีความเศร้าสลดใจในครั้งนี้  และให้ข้าพเจ้าถวายความช่วยเหลือและอำนวยความสะดวกให้สมกับพระเกียรติยศเจ้าฟ้าฯ  ส่วนงานพระศพนั้น  ให้ข้าพเจ้าไปในทางราชการได้ ข้าพเจ้าได้นำความทั้งนี้  ทูลสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ  ในวันเดียวกัน  และได้รับตอบว่า  จะทรงแสดงความขอบใจไปยังท่านโดยตรง  ข้าพเจ้าจงมิได้รายงานข้อความทั้งนี้ให้ทราบโดยทางโทรเลข ครั้นเมื่อวันที่ 3 เดือนนี้  ได้มีการถวายพระเพลิงที่ Golden Green  ข้าพเจ้าได้รับโทรเลขผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ส่งมาจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์  ลงวันที่ 1 เดือนเดียวกัน  ให้จัดนำพวงมาลาไปวางในพระปรมาภิไธยของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 1 พวง  และสำหรับพระประยูรญาติอีก 1 พวง  ข้าพเจ้าได้จัดการตามพระราชประสงค์  และได้โทรเลขตอบให้ผู้ช่วยราชเลขานุการในพระองค์ทราบแล้ว ข้าพเจ้าได้ไปในงานพระศพ  และได้นำพวงมาลาไปวางเป็นทางราชการ  ในฐานที่เป็นอัครราชทูต  ผู้ที่ไปในงานมีพระประยูรญาติ  และคนไทยบางคนที่ทรงรู้จักคุ้นเคย  ส่วนชาวต่างประเทศมีอาทิเช่น นายเครก ซึ่งเคยเป็นที่ปรึกษากระทรวงเกษตราธิการ  และกงสุลใหญ่ไทย ณ กรุงลอนดอน  และนายดันบาร์แห่งกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ  ซึ่งไปในนามของ นายอีเดน  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศอังกฤษ  ก่อนนำพระศพเข้าที่ นายเครกเป็นผู้กล่าวสุนทรพจน์ถึงพระประวัติและคุณงามความดีที่ได้ทรงกระทำไว้แต่หนหลัง  ดังปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์  The times ซึ่งแนบมา ณ ที่นี้ อนึ่ง ข่าวทิวงคตของสมเด็จพระปกเกล้าฯ นี้  ได้มีหนังสือพิมพ์ในประเทศอังกฤษนำลงกัน  และหนังสือพิมพ์ The times ก็ได้นำพระประวัติมาลงอย่างยืดยาว  มีข้อพาดพิงถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครองในประเทศไทย  จนกระทั่งเวลาสละราชสมบัติอยู่ด้วย  แต่มีข้อความซึ่งไม่ตรงต่อความจริงบางประการ  ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้ว  เห็นว่าอาจทำให้ประชาชนที่อ่านข่าวนี้เข้าใจผิดในเหตุการณ์ต่างๆ ได้  จึงได้มีหนังสือชี้แจงแก้ไขไปยังบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ที่กล่าวนี้  ดั่งความพิสดารปรากฏในหนังสือพิมพ์ซึ่งตัดเสนอมา ณ ที่นี้ ขอแสดงความนับถือ (ลงนาม) มนูเวทย์วิมลนาท (พระมนูเวทย์วิมลนาท) จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:48:53 ]

ความคิดเห็นที่ 8 นายหนหวย ได้เขียนรายละเอียดเกี่ยวกับการเสด็จไปพำนักยังประเทศอังกฤษไว้อย่างละเอียด สำหรับตอนช่วงใกล้สวรรคต และเหตุการณ์หลังจากนั้น มีบันทึกไว้เป็นลำดับดังนี้ .............. พุทธศักราช 2484  ได้ย่างเข้ามาพร้อมกับการขยายตัวอย่างกว้างใหญ่ไพศาลของมหาสงครามในเอเชีย  กองทัพญี่ปุ่นของสมเด็จพระเจ้าจักรพรรดิ  ผู้ถือดวงอาทิตย์เป็นบรรพบุรุษได้เปิดฉากสงครามขึ้นในเอเชียบูรพา  สมรภูมิยุโรปเยอรมันยังเป็นผู้พิชิตอยู่  เกาะอังกฤษตกอยู่ในวิกฤตกาล  ฝูงบินเยอรมันทยอยกันเข้าทำการทิ้งระเบิดราวกับจะพยายามกดดันเอาเกาะอังกฤษให้จมลงใต้ทะเล  กองทัพอังกฤษได้พยายามอย่างสุดลมหายใจทำการต่อต้านข้าศึกเพื่อดำรงไว้ซึ่งเกียรติภูมิของนักรบอังกฤษ ณ ตำหนัก Compton House ตำบลเวอร์ยิเนียวอร์เตอร์  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีพร้อมด้วยข้าราชบริพารของพระองค์พำนักอยู่อย่างเงียบๆ ตลอดมา  พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวค่อยดีขึ้นมากแล้ว  ตราบจนฤดูวินเตอร์ของปีนั้นผ่านไป  ข่าวคราวทางเมืองไทยในระยะนี้ไม่สู้จะได้รับบ่อยนัก  แต่อย่างไรก็ตามในระยะนี้การครองชีพในเกาะอังกฤษนับวันแร้นแค้นขึ้นทุกวัน  ทุกสิ่งทุกอย่างต้องมีการปันส่วน  แต่ถ้าอยู่อย่างคนธรรมดาที่ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยก็พอจะอยู่ได้อย่างสบาย  แต่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวซึ่ง  “สามวันดีสี่วันไข้” สถานการณ์เช่นนั้นจึงนับว่าอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างจะทารุณอยู่บ้าง  และระยะนั้นพระองค์ก็เสวยอะไรไม่ค่อยจะได้  ของเสวยที่อยากจะเสวยก็ล้วนแต่เป็นของหายากในเมืองอังกฤษทั้งนั้น ครั้นแล้วฤดูสปริงก็เริ่มผ่านเข้ามาในเดือนเมษายนของปี พ.ศ.2484  ฤดูนี้สำหรับเมืองอังกฤษรู้สึกเป็นฤดูที่สดชื่นที่สุด  โดยที่หิมะได้ละลายไปบ้างแล้ว  ท้องฟ้าเริ่มแจ่มใส  พระอาทิตย์สาดแสงจ้าลงมาสร้างความอบอุ่น  ในเดือนนั้นเองพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์ผู้อาภัพของชาติไทยก็ได้เริ่มประชวรหนักด้วยโรคพระหทัยพิการอีก  และทรงอ่อนเพลียลงทุกวัน ทุกวัน  เนื่องจากเสวยไม่ค่อยได้  ต้องบรรทมอยู่บนพระที่แทบตลอดวันในระยะที่ประชวรหนักนี้เอง  จึงจำเป็นต้องจ้างพยาบาลมาประจำพระองค์  แหม่มคนนี้มีอายุเลยกลางคนเข้าไปแล้ว  และเป็นผู้ที่ได้ถวายการพยาบาลอยู่ตราบจนวาระสุดท้าย  ขณะที่ทรงบรรทมอยู่บนพระที่  ดร.หลุย เวลเลน หมอเฒ่าประจำพระองค์ได้พยายามถวายการรักษาจนสุดฝีมือ  และยังได้นำแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะโรคมาร่วมด้วยเป็นบางครั้ง  ถึงกระนั้นก็หาได้ทำให้พระอาการของพระองค์ดีขึ้นไม่  ความอาภัพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในครั้งนั้นเต็มไปด้วยความเศร้าสลดยิ่งนัก  พระมหากษัตริย์ผู้เคยครองบัลลังก์เหนือคนนับเป็นสิบล้าน  พระมหากษัตริย์ผู้เคยอยู่ใต้พระเศวตฉัตร์และท่ามกลางการแวดล้อมข้าราชบริพาร  ท่ามกลางความจงรักภักดีของประชาชน  ณ บัดนั้นต้องบรรทมอย่างโดดเดี่ยวอยู่ในดินแดนต่างด้าว  ต่างบรรยากาศ  ต่างรสนิยมทางจิตใจ  ปราศจากพระสงฆ์องค์เจ้าและขนบประเพณีบำรุงขวัญ  เพียงยาอย่างเดียวหาได้ทำให้พระบาทสมเด็๗พระเจ้าอยู่หัวมีพระอาการดีขึ้นไม่  แม้จะทรงฝืนพระทัยยิ้มแย้มแจ่มใส แต่ในแววพระเนตร์ที่เลื่อนลอยของพระองค์ท่ามกลางความมืดมนอนธกาล ท่ามกลางความแร้นแค้นกันดารทางกาย ท่ามกลางความหดหู่อ้างว้างทางใจ  จะมองเมืองไทยได้ก็แต่ในแผนที่  และในลักษณะการที่เจ็บหนัก  จนต้องนอนรำพึงอยู่เช่นนั้น  แม้แต่กลิ่นธูปควันเทียนก็ไม่ผ่านเข้าสู่โสตร์ประสาท  เป็นท่านเล่าจะรู้สึกอย่างไร  แต่นี่ละคือพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในวาระสุดท้าย จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:52:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ในระยะนี้พระองค์ลุกจากพระที่ไม่ได้เลยแม้แต่การโกนพระมัสสุก็ไม่สามารถจะทำโดยพระองค์เองได้เช่นเคย  จึงต้องตกเป็นหน้าที่ของนายบวยต้องถวายงาน  พระสรีระร่างของพระองค์ซึ่งบอบบางอยู่แล้วก็ซูบลงทุกวัน ทุกวัน  อาการโรคหัวใจเป็นโรคที่ทำให้อ่อนเพลียที่สุดจนแม้แต่ลุกก็ลุกไม่ได้  ต้องนอนแซ่วอยู่เช่นนั้น  สำหรับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  พยาบาลต้องฉีดยาถวายทุกวันๆ  ทุกคนที่ได้เห็นพระอาการก็เดาออกทันทีว่า  พระอาการเช่นนั้นคงร่นวาระสุดท้ายของพระเจ้ากรุงสยามนอกราชบัลลังก์ใกล้เข้ามาทุกทีแล้ว  แต่วันไหนเท่านั้นแหละที่ไม่มีใครคาดถึง  สมเด็จพระบรมราชินีซึ่งได้ทรงร่วมทุกข์ร่วมสุข ผ่านวิบากกรรมมาทุกระยะ  ก็ได้ทรงพยายามสร้างความชุ่มชื่นพระทัยให้แก่พระองค์ตลอดเวลา  แต่ในห้วงลึกของน้ำพระทัยนั้น  ความเศร้าสลดยังเป็นเจ้าเรือนครอบครองอยู่ ครั้นแล้วในกลางเดือนพฤษภาคมนั้นเอง  พระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่ก็กลับดีขึ้นอย่างแปลกประหลาด  จนถึงกับทรงลุกออกจากพระที่เสด็จพระราชดำเนินไปมาตามพระระเบียงพระตำหนักได้ เพื่อตากอกาศและทอดพระเนตร์ดอกทูลิปที่พระองค์ทรงปลูกไว้หน้าพระตำหนัก  แต่ก็ยังไม่แข็งแรงพอที่จะเสด็จลงเรือนกระจกกล้วยไม้  หรือเสด็จพระราชดำเนินรอบๆ พระตำหนักได้เช่นเคย  อย่างไรก็ตาม การฟื้นพระอาการของพระองค์ในครั้งนั้นก็ได้สร้างความอุ่นใจให้แก่ผู้ใกล้ชิดอย่างมากทีเดียว  ทุกคนคาดหมายว่าพระองค์คงจะมีอาการดีขึ้นทุกวัน ทุกวัน  แต่อนิจจา  เป็นความคาดหวังที่ผิดทั้งเพ  อาการของโรคพระหทัยพิการยังกรุ่นอยู่ภายใน  หมอเท่านั้นที่จะทราบพระอาการของพระองค์ได้ดีกว่าคนอื่น จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:58:21 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ครั้นแล้ววันที่ 30 พฤษภาคม 2484  ก็ได้มาถึง  มันเป็นวันสุดท้ายของพระชนม์ชีพของพระมหากษัตริย์ผู้อาภัพของชาติไทย  ประหนึ่งว่าพระยามัจจุราชผู้จ้องคอยทีอยู่ได้แสดงบทบาทขึ้นอย่างรวดเร็วอย่างไม่มีผู้ใดจะคาดฝัน  แม้แต่หมอผู้เยี่ยมพระอาการอยู่ทุกวัน  รุ่งอรุณของวันนั้น  ท้องฟ้าแจ่มใสแสงแดดจ้าอบอุ่นกว่าทุกๆ วัน  จนในตอนเช้าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงลุกจากพระที่เสด็จพระราชดำเนินไปตามระเบียงพระตำหนัก Compton House ได้  แสงแดดจ้า ท้องฟ้าแจ่มและลมเอื่อย เป็นเช้าที่หาได้ค่อนข้างยากสำหรับเมืองอังกฤษ  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพาพระสรีระร่างอันบอบบางและซูบผอมของพระองค์ประทับอยู่ที่เฉลียงและทอดพระเนตร์ดอก Tulip ที่พระองค์ทรงปลูกไว้หน้าพระตำหนักอย่างสบายพระทัย  ไม่มีวี่แววของการจู่โจมของมัจจุราชเลย  ตราบจนพระกระยาหารเช้าผ่านไป และเจ้า Sam แสนรู้ก็คงกระดิกหางของมัน  เคล้าคลออยู่แทบพระบาทตลอดเวลา  เมื่อได้เห็นพระอาการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสดชื่นกว่าทุกวัน  สมเด็จพระบรมราชินีมีพระราชประสงค์จะไปดูพระตำหนักเก่าที่เมือง Kent  และเพื่อเก็บดอกไม้ในสวนของพระตำหนัก Vane Court ด้วย  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ทรงอนุญาต  ดังนั้นในเวลา 9.30 น. ของวันนั้นเอง สมเด็จพระบรมราชินีพร้อมด้วยมิสเตอร์เกร๊กส์ที่ปรึกษากฎหมายประจำพระองค์  และนายบวยจึงออกจาก Compton House โดยรถยนต์ส่วนพระองค์ Wolesley  หมายเลข FYT 6   หมายเลขรถทุกคันของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทางรัฐบาลอังกฤษอนุญาตพิเศษ  จึงมีเบอร์พิเศษซึ่งตำรวจจราจรทั้งเกาะอังกฤษต้องรู้จักดี  ขณะที่สมเด็จพระบรมราชินีออกจาก Compton House นั้น  ท้องฟ้ากระจ่างแดดกล้าขึ้นทุกทีๆ  นายบวยเป็นผู้ขับรถกะจะให้ถึง Kent ภายในบ่ายโมงของวันนั้น  ส่วนพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เมื่อสมเด็จพระบรมราชินีเสด็จไปแล้ว  พระองค์ก็เสด็จเข้าสู่ห้องพระบรรทมเพื่อพักผ่อนอันเป็นพระราชกิจประจำวันของพระองค์ซึ่งเพิ่งจะ “ฟื้นไข้”  เวลานั้นในพระตำหนักมีพยาบาลชาวอังกฤษ  นางสำเภาภรรยานายบวย  พระองค์เจ้าจีระศักดิ์ และเจ้า Sam เท่านั้น  ส่วนหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ทรงประทับอยู่บ้านอีกหลังหนึ่ง  ใกล้ๆ Compton House นั้นเอง  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นพระที่บรรทมอยู่ตราบจนเวลาประมาณ 11 น.เศษ จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 13:59:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ณ บัดนั้นพระยามัจจุราชผู้ไม่แสดงตัวก็ได้เริ่มบทบาทขึ้นแล้ว  อาการพระหทัยพิการของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เริ่มแสดงอิทธิพลขึ้นขณะพระองค์บรรทมอยู่แต่ลำพังในห้องบรรทมตามทางสันนิษฐานของนายแพทย์ว่า พระหทัยคงจะเต้นอ่อนลง อ่อนลงทุกขณะ  และในที่สุดจะเนื่องจากเหตุอันใดก็ยากที่จะทราบได้  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอาการช็อค  แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่จะมีพระอาการช็อค  พระองค์ได้ทรงพยายามรวบรวมกำลังกดกริ่งเรียกพยาบาลแต่ช้าไปเสียแล้ว  พยาบาลได้รีบเข้าไปในห้องพระบรรทมเพื่อถวายการพยาบาลตามหน้าที่  แต่ภาพที่ปรากฏแก่สายตาของพยาบาลก็คือ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้อาภัพของชาติไทย  บรรทมหงายเหยียดยาว  พระเนตร์ทั้งสองข้างปิดสนิท และเมื่อพยาบาลเข้าไปจับพระวรกายนั้น  พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จสวรรคตเสียแล้ว  แต่พระวรกายยังอบอุ่นอยู่ วินาทีนั้นเอง  พยาบาลรีบตะลีตะลานวิ่งลงมาบอกนางสำเภาและพระองค์เจ้าจีระศักดิ์ฯ พยาบาลก็ได้โทรศัพท์ถึง ดร.หลุย เวลเลนส์  นายแพทย์ประจำพระองค์  ความโกลาหลได้บังเกิดขึ้นใน Compton House หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ พระองค์เจ้าจีระศักดิ์ฯ หม่อมมณี  รีบรุดขึ้นสู่ห้องบรรทม  และประมาณ 20 นาทีต่อมา  นายแพทย์ประจำพระองค์ก็มาถึง  แต่หมดหนทางที่จะทำการแก้รักษาใดๆ ได้แล้ว  นายแพทย์ชราจึงได้แต่คำนับพระบรมศพ  แล้วก็ถอยห่างออกไป  พยาบาลจึงจัดการหยิบผ้าคลุมพระพักตร์  ในทันทีนั้นท้องฟ้าก็เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน  ราวกับสวรรค์ไว้อาลัยต่อพระมหากษัตริย์ผุ้อาภัพ  แดดที่สาดแสงจ้าอยู่เมื่อตะกี้ถูกบดบังด้วยหมู่เมฆหนาทึบ  ลมที่โชยเอื่อยอยู่สดุดนิ่ง  ในห้องบรรทมเต็มไปด้วยความเงียบสงัดวังเวงอย่างพิกล  บรรยากาศในฤดูสปริงแปรเปลี่ยนเป็นระยะเยือกเย็นอย่างประหลาดราวกับถูกสะกด  ในห้องนั้นมีแต่เสียงสะอื้น และธารน้ำตา  พระประยูรญาติต่างเข้ากราบพระบาทและร่ำกรรแสงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวผู้ครองบัลลังก์เหนือประชาชนกว่าสิบล้านได้จบพระชนม์ชีพของพระองค์ลงอย่างโดดเดี่ยวและอ้างว้างว้าเหว่ในดินแดนต่างด้าว  ครั้นได้สติ หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ จึงทรงโทรศัพท์ขอความช่วยเหลือจากตำรวจให้จัดการเรียกรถยนต์ที่สมเด็จพระบรมราชินีเสด็จไปเมือง Kent กลับคือ Compton House โดยด่วน  โดยให้ทูลว่ามีเหตุสำคัญเกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 14:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 อีกมุมหนึ่งบนถนนในชนบทซึ่งลาดยางยาวเหยียด  เวลาประมาณ 11 น.เศษ  นายบวยคนขับรถ Wolesley นำสมเด็จพระบรมราชินีมุ่งสู่ Vane Court อย่างรีบด่วน  ฝ่าไออุ่นอันเกิดจากแสงแดดไปอย่างร่าเริง  ฤดูสปริงเป็นฤดูที่สบายที่สุดสำหรับเมืองอังกฤษ  ทุกคนหาได้สังหรณ์ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้นทาง Compton House  แล้ว  สมเด็จพระบรมราชินีทรงตั้งพระทัยจะเสด็จไปเสวยพระกระยาหารกลางวันที่ Vane Court ซึ่งจะได้เวลาพอดีเมื่อรถไปถึง  แต่ขณะนั้นเอง  ทางตำรวจที่เวอร์ยิเนียวอร์เตอร์ได้โทรศัพท์ดักไว้ที่เมือง Maid Stone ก็จะลงซื้อพระกระยาหารบางอย่างเพื่อไปเสวยที่ Vane Court ดังนั้น พอรถถึง Maid Stone จึงให้รถหยุดและลงไปซื้อของในร้านแห่งหนึ่งกับมิสเตอร์เคร๊กส์ ให้นายบวยเฝ้ารถอยู่หน้าร้าน ณ บัดนั้นเอง จราจรเมืองอังกฤษนายหนึ่งซึ่งเฝ้าคอยดูเบอร์รถยนต์  พอเห็น Wolesley คันหมายเลข FYT 6  จอดอยู่ก็ปรี่เข้ามาทันที  และแจ้งกับนายบวยว่าให้ทูลสมเด็จพระบรมราชินีว่าเกิดเหตุสำคัญที่ Compton House ให้รีบเสด็จกลับโดยด่วน  นายบวยจึงไปบอกมิสเตอร์เคร๊กส์ให้ทูลสมเด็จให้เสด็จกลับ  สมเด็จพระบรมราชินีพอได้ทรงทราบก็ทรงสังหรณ์พระทัย  พระพักตร์ซีดเผือดลงในทันใด และทุกคนก็เริ่มรู้สึกว่าคงจะมีอะไรเกิดขึ้นแก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นแน่นอน  แล้วความหวิววาบและความตื้นตันระคนกันวิ่งเข้าสู่ความรู้สึก สมเด็จพระบรมราชินีทรงสั่งนายบวยขับรถกลับเวอร์ยิเนียวอร์เตอร์  ในนาทีนั้นเองราวกับฟ้าบันดาล ราวกับสวรรค์ได้แสดงความเศร้าสลดในการสูญสิ้นของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  และราวกับลางบอกเหตุท้องฟ้าที่แจ่มใสมืดครึ้มไปในอึดใจ  พอกลับรถเรียบร้อยย้อนสู่ทางเก่าฝนก็เทลงมาอย่างหนัก  นายบวยเหยียบคันน้ำมันจนมิดโดยไม่พะวงถึงถนนที่ลื่นและนองน้ำฝน  ควบรถฝ่าความวิปริตปรวนแปรของดินฟ้าอากาศมุ่งสู่ Compton House  แต่ถึงกระนั้นก็ยังช้า  ดวงใจของทุกคนในรถคันนั้นพุ่งเข้าสู่พระตำหนักเสียก่อนแล้ว  สมเด็จพระบรมราชินีพระพักตร์ซีด ขอบพระเนตร์แดงก่ำ  ตรัสอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว  มิสเตอร์เคร๊กส์ต้องปลอบพระทัยมาตลอดทาง  ประมาณ 1 ชั่วโมงให้หลังที่ Wolesely ควบแข่งพายุมา  ก็ย่างเข้าสู่ตำบลเวอร์ยิเนียวอร์เตอร์ จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 14:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 13 และในที่สุดก็เลี้ยวเข้าสู่ประตูพระตำหนัก Compton House  ณ ที่บันไดใหญ่นั้นเอง  พระประยูรญาติได้ยืนรอรับสมเด็จพระบรมราชินีอยู่  ทุกพระองค์เงียบกริบ มีแต่ความเศร้าสลดละเลงไล้อยู่ในพระพักตร์  ทุกสิ่งทุกอย่างเงียบสงัดแม้แต่ลม  สนใหญ่หน้าพระตำหนักยืนทมึนราวกับจะหลับมาตลอดปี  ทุกสิ่งทุกอย่างมีสภาพถูกสาปหลับนิ่งเงียบงันไปหมด  ท้องฟ้าคงครึ้มทั้งๆ ที่เป็นเวลาเพียงบ่ายเศษๆ  สมเด็จพระบรมราชินีทรงก้าวลงจากรถอย่างร้อนรน  หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ปราดเข้าประคองและนำสมเด็จขึ้นบันได้พระตำหนักไป  พระประยูรญาติและข้าราชบริพารตามขึ้นไปเบื้องหลัง  ทุกคนตื่นเต้น เศร้า และงงงันสมองทำงานอย่างว้าวุ่น  พอทอดพระเนตร์เห็นพระบรมศพบรรทมหงายอยู่บนเตียง สมเด็จพระบรมราชินีก็มีพระอาการซวนเซ  น้ำพระเนตร์ไหลนองตรงเข้าทรุดพระองค์ลงกราลและจูบพระบาท  และสะอึกสะอื้นกรรแสงซบอยู่ปลายพระที่นั้นนิ่งงันไปชั่วขณะ  ความตื้นตันระคนกันเข้าสู่ขั้วพระทัย  จนตรัสอะไรไม่ออกแม้แต่คำเดียว  พระองค์ฝืนพระทัยข่มอารมณ์ได้อย่างประหลาด  ไม่มีคำพิลาปรำพันเพ้อใดๆ หลุดออกมาจากพระโอษฐ์เลยแม้แต่คำเดียว  จากชั่วโมงนั้นก็ทรงจัดการกับพระบรมศพทันที  หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ ต้องว้าวุ่นด้วยการติดต่อแจ้งข่าวสวรรคตไปทั่วโลก  มีโทรเลขถึ่งพระเจ้ากรุงอังกฤษ  เดนมาร์ค  ดยุ๊คออฟวินเนอร์  สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล และพระราชชนนีศรีสังวาลที่โลซานส์  สวิสเซอร์แนด์  และทางรัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ  และทุกหนทุกแห่งที่พระบรมวงศานุวงศ์พำนักอยู่  ในเย็นวันนั้นเองหนังสือพิมพ์หลายฉบับในกรุงลอนดอนก็เสนอข่าวการสวรรคต  และทางสถานีวิทยุรอยเตอร์ก็กระจายข่าวก้องโลกในวันนั้นเช่นเดียวกัน  บรรดาผู้คุ้นเคยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  เมื่อได้ทราบข่าวก็พากันเศร้าสลดเป็นอย่างยิ่ง  ในเมืองไทยคนหลายคนต้องฟุบลงด้วยความเศร้าสลด และหลายคนต้องแอบร่ำไห้ในพระชะตากรรมและความขมขื่นที่ได้บังเกิดขึ้นแก่พระองค์ ก่อนพระอาทิตย์ตกดินของวันนั้นเอง  พระองค์เจ้าวรานนท์ ซึ่งเสด็จออกจาก Wilts Hire ในทันทีที่ได้รับโทรศัพท์ก็ได้มาถึงและตรงเข้ากราบพระบรมศพ  สมเด็จพระบรมราชินีจึงสั่งให้จัดการพระบรมศพตามประเพณีไทยเท่าที่จะทำได้  โดยให้นายบวยทำหน้าที่นี้ท่ามกลางพระประยูรญาติ  นายบวยได้สรงพระบรมศพด้วยน้ำที่เจือน้ำอบไทย  แล้วแต่งพระองค์ใหม่  ให้ทรงฉลองพระองค์ด้วยผ้าสีแดง  และทรงเสื้อชั้นนอกคอปิดสีขาวและหวีพระเกศาให้เป็นวาระสุดท้าย  พระบรมศพอยู่ในท่าพระบรรทมปกติไม่มีการตราสังฆ์  ไม่มีพิธีทางศาสนา  ไม่มีพระโกศ  และพระเศวตฉัตรตามพระราชประเพณี  จากนั้นสัปเหร่อฝรั่งสองคนพร้อมด้วยหีบศพไม้แบบยุโรปสี่หลี่ยมข้างในบุนวมแพรก็มาถึง  สัปเหร่อฉีดยาให้พระบรมศพแล้วก็อัญเชิญลงสู่หีบไม้ เปิดฝาไว้ใช้ผ้าคลุม  เพื่อให้ผู้ที่จะถวายบังคมพระบรมศพได้มองเห็นพระพักตร์เป็นครั้งสุดท้าย  ครั้นแล้วความมืดก็แผ่ครอบคลุมไปทั่วบริเวณตำบลเวอร์ยิเนียวอร์เตอร์  และ ณ พระตำหนัก Compton House  ก็ตกอยู่ในความวังเวงเงียบสงัด  ประดุจถูกตัดขาดออกจากโลกแล้ว  ทางกรุงเทพฯ รัฐบาลได้ออกแถลงการณ์ทางวิทยุกรมโฆษณาการสั้นๆ ว่า “รัฐบาลแห่งสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  .....  31 พ.ค. 2484  (ได้ลงไว้แล้วข้างต้น) จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 14:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ในวันรุ่งขึ้นนั้น  โทรเลขแสดงความเสียใจและไว้อาลัยต่อการเสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็ปลิวว่อนมาจากทุกมุมโลก  จากรัฐบาลหลายประเทศและจากพระเจ้าแผ่นดินหลายพระองค์  และฉบับสุดท้ายจากรัฐบาลไทยที่กรุงเทพฯ  และในวันนั้นเองพระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ฯ พระองค์เจ้าพีระพงษ์ฯ และเจ้านายไทยอีกหลายองค์ตลอดจนนักเรียนไทยในอังกฤษ   อัครราชทูตไทยประจำกรุงลอนดอนก็ทยอยเข้าถวายบังคมพระบรมศพ  แต่บางคนก็ไม่กล้าไป  เพราะเกรงว่าจะเป็นที่ไม่พอใจของรัฐบาลทางกรุงเทพฯ  แต่ในจำนวนนี้  Mr.R.D. Sard คนขับรถเก่าแก่ประจำพระองค์  ซึ่งได้ออกไปนานแล้ว  พอได้ทราบข่าวสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว  กรรมกรโรงงานสร้างอาวุธเฒ่าผู้นี้ก็เดินน้ำตาคลอเข้าสู่ Compton House เข้าถวายบังคมพระบรมศพ  และขออาษารับใช้พระองค์เป็นครั้งสุดท้ายในชีวิตด้วยการขับรถพระบรมศพไปยังสุสาน  นี่เป็นเรื่องจิตใจคนอังกฤษ  ซึ่งจะเห็นว่าผิดกับคนไทยบางคนในกรุงลอนดอนขณะนั้นที่ไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปถวายบังคมพระบรมศพพระมหากษัตริย์ผู้ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ตน  ข้างฝ่ายเจ้า Sam สัตว์เดรฉานที่คนทั้งหลายเรียกว่า “หมา” ซึ่งตามปกติจะต้องคลอเคลียอยู่แทบพระบาทของพระองค์ในเวลาน้ำชาตอนบ่ายทุกวัน  เพื่อประจบประแจงเอาแซนวิส  จากวาระนั้นมาราวกับรู้ความ  เจ้า Sam นั่งซึมกระทือน้ำตาไหลอยู่อย่างเงียบๆ ตามประสา “หมา” และต่อมาไม่นาน เจ้า Sam ก็ตายลงหาสาเหตุไม่ได้  นี่เป็นเรื่องของหมา ไม่ใช่เรื่องของคน  ทางเมืองไทย หนังสือพิมพ์ “ประชาชาติ” ฉบับวันจันทร์ที่ 2 มิถุนายน 2484 ได้เสนอข่าวนี้ต่อประชาชน โดยพาดหัวข่าวว่า สมเด็จพระปกเกล้าฯ สวรรคตด้วยพระโรคหทัยพิการ รัฐบาลโทรเลขให้อัครราชทูตไทยจัดการให้ความสะดวกในการจัดพระศพให้สมเกียรติ วิทยุกระจายเสียงจากกรุงลอนดอนแพร่ข่าวว่า สมเด็จพระปกเกล้าฯ กษัตริย์นอกราชบัลลังก์ของประเทศไทยได้สวรรคตเสียแล้วเมื่อวันวานนี้ (ที่ 30) ด้วยโรคพระหทัยพิการ ณ พระตำหนักในมณฑลเซอร์เรย์ พระราชประวัติสังเขป...... เสวยราชย์....... ทรงสละราชสมบัติ...... .................... เรื่องราวในบั้นปลายพระชนมชีพ รวมถึงเรื่องคนขับรถชาวอังกฤษ หนังสือประวัติคุณหญิงมณี จะมีรายละเอียดอีกเยอะ และอาจแตกต่างกันออกไป จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 14:17:52 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ถวายพระเพลิงพระบรมศพอย่างเรียบง่าย ณ ต่างแดน ครั้นเก็บพระบรมศพไว้ ณ พระตำหนัก Compton House ได้ 5 วัน ก็กำหนดถวายพระเพลิงในวันพุทธที่ 4 มิถุนายนปีนั้นเอง ณ สุสาน Golders Green  แห่งพระมหานครลอนดอน เวลา 9 น.เศษ  ได้ทำการอัญเชิญหีบพระบรมศพคลุมด้วยธงชาติไทยผืนใหญ่ลงสู่รถยนต์พระที่นั่ง  Mr.R.D. Sard เป็นผู้ขับ  พระประยูรญาติและข้าราชบริพาร ตลอดจนผู้จงรักภักดีตามพระบรมศพอีก 3-4 คันรถ วันนั้นเป็นวันที่ทุกคนเศร้าสลดใจอย่างหนักอีกครั้งหนึ่ง  สมเด็จพระบรมราชินีน้ำพระเนตร์คลอหน่วย  หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ พระเชษฐาของพระองค์จึงต้องทรงปลอบโยนอยู่ตลอดเวลา  ทุกคนที่ตามพระบรมศพเงียบงันและบรรยากาศรอบบริเวณนั้นก็สงบนิ่ง  บนท้องฟ้าครึ้มด้วยหมู่เมฆ  ทุกอย่างเงียบสงัดนอกจากเสียงถอนหายใจ  ครั้นประมาณ 10 น. ขบวนพระบรมศพก็ค่อยๆ เคลื่อนออกจากประตูใหญ่  รถแล่นช้าๆ ตามกันมุ่งสู่สุสาน Golders Green  อันเป็นสถานที่สุดท้ายที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะได้ทรงเปลี่ยนสภาวะเป็นเถ้าถ่ายไปตามกฎธรรมดาของโลก่ของความไม่เที่ยงแท้ ผู้ตามพระบรมศพในวันนั้นคือ สมเด็จพระบรมราชินี  หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ พระองค์เจ้าจุลจักรพงษ์ฯ  พระองค์เจ้าพีระพงษ์ฯ  หม่อมเจ้าผ่องผัสมณีฯ  หม่อมเจ้าการวิกฯ  พระองค์เจ้าวรานนท์ฯ  พระองค์เจ้าจีระศักดิ์ฯ  หม่อมมณี  หม่อมเสมอ  หม่อมราชวงศ์สมัครสมานฯ  นายบวย นิลวงษ์  นางสำเภา นิลวงษ์  มิสเตอร์เคร๊กส์  ดอกเตอร์หลุยเวลเลน  รถทั้ง 4 คันวิ่งไม่สู้จะเร็วนัก  ประมาณ 1 ชั่วโมงจึงถึงสุสาน Golders Green  ณ ที่นั้นมีผู้มารอคอยอยู่คือ  ผู้แทนรัฐบาลอังกฤษ  อัครราชทูตไทย  กับนักเรียนไทย นายแพทย์สมาน ตันตาภรณ์ (น่าจะ มันตาภรณ์ –NickyNick)  นายชุมเจษฐ กสิกผลิน  นอกจากนี้ดูเหมือนจะมีคนไทยอีก 2-3 คนที่อุตส่าห์ไปถวายบังคมพระบรมศพในวาระสุดท้าย  จากนั้นก็ยกหีบพระบรมศพลงจากรถขึ้นสู่เชิงตะกอน  มิสเตอร์เคร๊กส์ขึ้นกล่าวสุนทรพจน์ไว้อาลัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวสั้นๆ  แล้วทุกคนก็ยืนก้มหน้าสงบนิ่ง  น้ำตาคลอหน่วย  จากนั้นก็เริ่มพิธีถวายพระเพลิง  โดยสมเด็จพระบรมราชินีทรงวางดอกไม้ธูปเทียนหลังหีบที่พระบรมศพเป็นพระองค์แรก ต่อจากนั้นทุกคนก็ทยอยกันเข้าถวายบังคม  วางดอกไม้ธูปเทียน  Mr.R.D. Sard คนขับรถกับนายบวย นิลวงษ์  เป็นคู่สุดท้าย  แล้วก็ถอยห่างออกมา  สัปเหร่อให้สัญญาณกดสวิสไฟฟ้าเตรียมการ พระบรมศพค่อยๆ เคลื่อนตามรางเข้าไปทีละน้อยๆ  เคลื่อนเข้าไปสู่เตาข้างในทุกคนแลตามจนลับสายตา  ตราบจนบานประตูแลม่านสีดำหน้าเตาโรยตัวของมันลงและปิดบังไว้มิดชิด  ทุกคนใจหายหวิววาบไปชั่วขณะ  และน้ำตาที่คลอเบ้าตาอยู่ก็ล้นปรี่ออกมา  พอสัปเหร่อให้สัญญาณอีกครั้งสวิสใหญ่ก็ถูกกด  ไฟฟ้ากำลังสูงก็เริ่มทำงานแปรพระสรีระร่างอันปราศจากวิญญาณของพระเจ้ากรุงสยามผู้อาภัพเป็นพัศมธุลีลงในบัดดล จากวาระนั้นในพื้นพสุธานี้ก็ไม่มีพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัววอีกต่อไปแล้ว  จะคงเหลืออยู่ก็แต่พระนามและพระเกียรติคุณเท่านั้น  และสิ่งสุดท้ายที่ทรงเหลืออีกอย่างหนึ่งก็คือ  พระบรมอัษฐิสมเด็จพระบรมราชินีทรงอัญเชิญเข้าสู่พระโกศเล็กๆ และทรงตั้งไว้บูชาสำหรับพระองค์เคียงกับพระพุทธรูปประจำพระองค์ตลอดเวลา  ตราบจน..... ...................... แนะนำให้ไปอ่านเล่มเดิมข้างบน มีเหตุผลในการเก็บพระศพไว้ได้จำนวนวันเท่านั้นเท่านี้ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 14:20:48 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณสำหรับความรู้ดีๆคะ จากคุณ : กระต่ายสีเงิน - [ 27 พ.ค. 50 14:59:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อีก 2 วันพบกันใหม่ครับ จะมาต่อเรื่องพระบรมอัฐิ แต่หากใครมีข้อมูลอะไร จะเพิ่มเติม หรือนำหน้าก่อนก็ยินดีครับ ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมรับชมครับ จากคุณ : NickyNick - [ 27 พ.ค. 50 15:28:01 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พระมหากษัตริย์ในยุคสมัยแห่งความสับสนวุ่นวาย ในยุคที่ขุนศึกชิงพระราชอำนาจมาสู่พวกพร้องโดยอ้างประชาชน ยุคที่อำนาจเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองกระจายลงสู่ฐานแห่งปิรามิดดังปุยนุ่น ทีละน้อย ....ทีละน้อย กษัตริย์ในทุกแว่นแคว้นของโลกต่างผ่านช่วงเวลาแห่งยุคสมัยนี้ ไม่พร้อมกัน .....ต่างก็ล้วนเจ็บปวด.....บางพระองค์เรื่องราวยิ่งกว่านิยาย ผ่านมา 58 ปี ในวันสวรรคตขององค์พระผู้เสวยสวรรค์ สถิตในมหาปราสาทแห่งวิษณุโลกโดยนิรันดร์ "พระราชอำนาจ"ที่ทรงพระราชทานไว้ให้กับคนไทย ก็ยังถูกบิดเบือนมาโดยตลอด เหมือนหมายจะให้สิ้น..................โดยเร็ววัน จากคุณ : วรณัย - [ 27 พ.ค. 50 16:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 สะเทือนใจมาก ๆ ค่ะ  พูดอะไรไม่ออกเลยค่ะ ขอบพระคุณนะคะที่กรุณานำมาให้อ่าน จากคุณ : biebie999 - [ 27 พ.ค. 50 20:08:01 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ขอบคุณค่ะ คุณNickyNick จะรออ่านเรื่องพระบรมอัฐินะคะ จากคุณ : ธ - [ 27 พ.ค. 50 21:17:41 A:222.123.14.174 X: TicketID:111006 ]

ความคิดเห็นที่ 21 สวัสดีคับ  คุณนิค         รู้สึกมาโดยตลอดครับว่าในหลวงรัชกาลที่ ๗  ทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงเสียสละอย่างยิ่ง          แล้วจะมาตามอ่านต่อนะครับ  เป็นกำลังใจให้ครับ สู้ สู้ : ) จากคุณ : เกนหลงหนึ่งหรัด - [ 27 พ.ค. 50 21:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ดิฉันสงสัยอย่างหนึ่ง เป็นความสงสัยส่วนตัวว่า เมื่อสิ้นรัชกาลที่ 7 แล้ว เหตุใดจึงมีรัชกาลที่ 8 ต่อมา คือเท่าที่เข้าใจเหตุที่รัชกาลที่ 7 ประกาศสละราชสมบัติแล้ว ถ้าพวกคณะราษฎร์ไม่ต้องการให้มีสถาบันอยู่แล้ว ทำไมยังมีการหาผู้สืบทอดราชบังลังค์ต่อ?? ทำไมไม่ถือว่า การสวรรคตของรัชกาลที่ 7 ถือเป็นการสิ้นสุดแล้วคืนอำนาจให้ประชาชน??  อย่างนี้การที่ท่านสละราชสมบัติก็สูญเปล่า (คืออาจไม่สูญเปล่าในแง่ที่เป็นการปรับ absolute monarchy มาเป็น democracy) แต่สูญเปล่า ถ้าเทียบกับว่าในหลวงรัชกาลที่  7 ต้องทรงเผชิญอะไรบ้าง ดิฉันไม่ได้มีเจตนาจะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนะคะ เพียงแต่สงสัยเท่านั้นค่ะ ถ้าเห็นว่าไม่เหมาะสมก็ลบได้ค่ะ จากคุณ : คุณแม่น้องหมีสงสัย (คุณนายน้องหนู) - [ 28 พ.ค. 50 03:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 23 บทความ 24 มิถุนา 2475: คณะราษฎรรีบร้อนจริงหรือ http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=4026&SystemModuleKey=HilightNews&SystemLanguage=Thai จากคุณ : UnlimitedDreams - [ 28 พ.ค. 50 03:22:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 รัชกาลที่ ๗ ทรงสละราชสมบัติ ด้วยเพราะ ทรงทนไม่ได้ที่คณะราษฎร์เองมิได้ทำตามที่กล่าว ว่าจะกระจายอำนาจสู่ประชาชน เพราะขณะนั้น ไม่ว่าจะสส หรือ พฤฒิสภา ก็เป็นคนของคณะราษฎร์ทั้งนั้น คณะราษฎร์เองคงมิได้มุ่งหวังให้สถาบันพระมหากษัตริย์ล้มลงไป ไม่ว่าเหตุผลใดก็ตาม จะเพราะกระแสสสังคมที่ประชาชนยังต้องการสถาบันพระมหากษัตริย์ หรือเพราะ คณะราษฎร์เองในใจยังอยากให้สถาบันพระมหากษัตริย์คงอยู่ จึงมีการเสนอพระนามพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ให้เป็นพระมหากษัตริย์ พระองค์ต่อมา ในการสละราชสมบัติ มิได้สูญเปล่าเท่าไรหรอกครับ เพราะเป็นสัญลักษณ์ให้ทั่วโลกรู้ว่า รัฐบาลทำเช่นไร ตามคำที่พูดหรือไม่ ส่วนสิ่งที่รัชกาลที่ ๗ ทรงเผชิญก็เป็นเรื่องที่น่าเห็นพระทัยพระองค์มาก เปลี่ยนจาก absolute monarchy มาเป็น Constitutional Monarchy ครับ จากคุณ : natthaset - [ 28 พ.ค. 50 03:42:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณค่ะคุณนิค   จะรออ่านภาคต่อนะคะ อ่านไปก็จะร้องไห้  หดหู่ยังไงก็ไม่รู้  .... จากคุณ : ปริยวาที - [ 28 พ.ค. 50 08:45:13 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ทุกคนจำพระเจ้าหลวงได้ ทุกคนจำคณะราษฎร์ได้ แต่เป็นความทรงจำที่แตกต่างกัน คุณ NickyNick รีบๆเข้ามานะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 28 พ.ค. 50 08:55:58 ]

ความคิดเห็นที่ 27 พระองค์ท่านทรงมีพระมหากรุณาธิคุณสูงสุดยิ่ง พระองค์หนึ่ง จากคุณ : toomood - [ 28 พ.ค. 50 09:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 28 อ่านแล้วจะร้องไห้ค่ะ สงสารพระองค์ท่านเหลือเกิน ถึง คห.ที่22 ตามความคิดของเรานะคะ เราคิดว่า ระบอบกษัตริย์และสังคมไทยผูกพันแน่นแฟ้นกันมานาน ทั้งพระมหากษัตริย์ราชวงศ์จักรีทุกพระองค์ทรงทำคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติมากมาย แล้วจู่ๆจะเอาใครที่ไหนก็ไม่รู้ เป็นตาสีตาสามาปกครองประเทศ แน่นอนว่าประชาชนต้องไม่ยอมรับ และอาจเกิดการจราจลขึ้นได้(ตามความคิดของเรานะคะ) จึงทำให้ต้องดำรงค์สถาบันกษัตริย์ต่อไป ที่สำคัญ ล้นเกล้ารัชกาลที่ 8 ก็ยังทรงพระเยาว์อยู่มาก ทั้งยังมีเพียงแค่ แม่กับพี่สาว(ขออนุญาตใช้คำสามัญนะคะ)เท่านั้น ยังต้องพึ่งผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน ดังนั้นรัฐบาลก็ยังสามารถทำอะไรอิสระได้ดีกว่าตอนที่รัชกาลที่ 7 ครองราชย์ ก็เท่านั้นเองค่ะ(จริงๆแล้วเคยอ่านเจอเหมือนกันว่ารัชกาลที่ 7 ท่านก็ทรงเกรงว่าจะเกิดกรณีเดียวกันกับราชวงศ์โรมานอฟ ของรัสเซีย ที่ซาร์ ซาริน่า แกรนด์ดัสเชส ซาเรวิส เจ้านายชั้นสูง ถูกรัฐบาลคอมนิสสั่งเก็บ แต่เราว่า คงไม่ร้ายแรงถึงขั้นนั้นหรอกนะคะ เพราะเราว่ามันโหดร้ายเหลือเกิน) นี่เป็นเพียงความคิดของเราซึ่งวิเคราะห์ดูจากสภาพสังคมไทยสมัยนั้นนะคะ และถึงแม้เป็นสมัยนี้ก็ตาม เราเชื่อว่าถ้ามีใครมามุ่งร้ายพระบรมราชวงศ์ คนไทยคงไม่มีใครยอมเป็นแน่ แค่ภาพวันที่สีเหลืองบานเต็มลานพระบรมรูปทรงม้าวันนั้นก็น่าจะเป็นเครื่องพิสูจน์ได้เป็นอย่างดีค่ะ จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ 28 พ.ค. 50 11:31:33 ]

ความคิดเห็นที่ 29 http://www.prachatai.com/webboard ในเวปบอร์ดนี้ มีการตั้งกระทู้ และ แสดงความคิดเห็น หมิ่นพระเกียรติ รายวันครับ ขอย้ำว่ารายวัน นี่คือกระทู้ตัวอย่าง " http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=188278&page=1 " " http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=188043 " " http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=184736&page=1 " " http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=184736&page=2 " " http://www.prachatai.com/webboard/topic.php?id=184736&page=3 " นี่คือ ตัวอย่างความเห็นที่แสดงกันในกระทู้ " โพสต์: หึหึ ID#188283 | เมื่อ: 2550-05-28 12:56:00 | IP: 203.148.239.202 x (บุคคลนิรนาม) อยากรู้นักพอขึ้นเลข 10 แล้ว ไอ้พวกคลั่งจ้าวพวกนี้ยังจะรักเทิดทูน ยอมตายแทนได้เหมือนตอนนี้หรือเปล่า หรือที่ผ่านมาหูหนวกตาบอด ไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรเลย ถ้าแบบนัน้ก็เชิญโง่ต่อไปเถอะ คิดว่าคงได้เห็นกันแน่ ไม่นานนี้หรอก " " โพสต์: ชินจัง ID#187213 | เมื่อ: 2550-05-27 20:22:07 พวกคลั่งเจ้า แน่จริงพวกลื้อไปยกเลิกกฎหมายหมิ่น กฎหมายห้ามฟ้องร้องก่อนไป แล้วมาเถียงด้วยเหตุผลกับอั้วใหม่ อยากรู้ว่าเหตุผลใครจะฟังขึ้น แหกปากอยู่คำเดียว ว่าวิจารณ์แบบไม่มีหลักฐาน ก็ฟ้องร้องไม่ได้ อั้วจะเอาหลักฐานมาจากไหน อย่าว่าแต่หลักฐาน แค่พูดถึงยังไม่ได้เลย วัว ไม่มีสมองคิดเหรอ ถ้าดีจริงจะต้องทำกฎหมายไว้คุ้มทำไม นอกจากจะไม่ดีจริง " ใครมีอำนาจตรวจสอบ ช่วยกันด้วยครับ ทนไม่ได้จริงๆ จากคุณ : LONG LIVE THE KING - [ 28 พ.ค. 50 16:48:41 A:202.133.139.218 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 สวัสดีทุกท่านครับ เช้านี้อ่านกระทู้อย่างมีความสุข พวกเราร่วมกันแสดงความคิดเห็นอย่างมีเหตุมีผล เรื่องเหล่านี้ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว และบางเรื่องก็จะค่อยๆ เลือนหายไป ผมไม่ค่อยรู้เรื่องเหล่านี้เท่าไร จึงเพียรพยายามพิมพ์คัดลอกความรู้ที่ได้อ่านมาถ่ายทอดกันให้ฟัง ด้วยหวังว่า ผู้ที่เข้ามาอ่าน อาจมีข้อเสนอแนะหรือข้อคิดเห็นเพิ่มเติมให้เราได้ร่วมรับทราบไว้บ้าง เพราะประวัติศาสตร์ช่วงเวลาดังกล่าวค่อนข้างสับสน แม้จะเป็นสมัยที่ข้อมูลข่าวสารสามารถเข้าถึงได้ง่ายกว่าเมื่อร้อยปีก่อนก็ตาม บุคคลที่เกี่ยวข้องต่างก็ค่อยๆ ทยอยล้มหายตายจากไปตามกาลเวลา หากไม่มีการบอกเล่าให้รับทราบ จากบุคคลชั้นต้น หรืออย่างน้อยก็ชั้นสอง แล้วมีการบันทึกเก็บไว้ เรื่องราวดังกล่าวก็จะสูญหายไปอย่างน่าเสียดาย คุณแม่น้องหมีสงสัย (คุณนายน้องหนู) เกรงว่าหากการเสนอความคิดเห็นของตนไม่เหมาะสม ก็ให้พวกเราช่วยกันโหวตลบได้ ผมกลับไม่มีความรู้สึกเช่นว่านี้เลย  เพราะเป็นความสงสัยที่มีเหตุมีผล และเป็นเรื่องที่น่าจะรับรู้ไว้  เพราะหากไม่มีการอธิบายไว้ตรงนี้ ก็จะมีกระทู้อื่นๆ ถามได้อีกเรื่อยๆ และบางคนอาจจะไม่มีวิธีสุขุมลุ่มลึกแบบคุณ "คุณแม่น้องหมีสงสัย (คุณนายน้องหนู)" ซึ่งอาจเป็นเหตุให้กระทู้ร้อนแรงขึ้นมาได้ แล้วก็โชคดีที่มีผู้เข้ามาร่วมอธิบายไว้ ขอบคุณมากครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:18:50 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เรื่องการวิพากษ์วิจารณ์กัน แม้แต่ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ยังมีพระราชปรารภอย่างมีน้ำใจนักกีฬา หากผู้ที่ไม่เคยรับรู้  จะหาอ่านได้จาก คห.คุณ UP ในกระทู้นี้ครับ นามสกุลกับชื่อแซ่ - พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/05/K5445480/K5445480.html#13 กัมม์   - [ 25 พ.ค. 50 16:09:39 ] พระองค์ทรงอธิบายไว้ได้อย่างชัดเจน หากคนในบ้านเมือง (บางคน) ยอมรับฟังคำวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความเคารพในข้อคิดเห็น รวมทั้งผู้วิจารณ์กระทำด้วยเจตนาที่สุจริต เมืองไทยคงไม่ยุ่งเหยิงอย่างนี้ แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 50 14:56:27 จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:24:22 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ขอเชิญพระราชปรารภมาแปะไว้ด้วยครับ  เมื่อกี้ลืม Browse มาต่อกันเลยครับ   หลายคนคงจะสงสัยเรื่องเจ้า Sam   ซึ่งมีในบันทึกไว้ว่า ....ในระยะนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงซื้อลูกสุนัขพันธุ์แอร์เด็ลมาเลี้ยงตัวหนึ่ง  พระราชทานชื่อมันว่า Sam  เจ้าสุนัขตัวนี้พระองค์โปรดมันมาก  ทรงเลี้ยงตั้งแต่เล็กๆ จนเจ้า Sam มีรูปร่างใหญ่โตได้ขนาดตามพันธุ์ของมัน  เจ้า Sam  มักจะมีโอกาสไปเดินเล่นกับพระองค์เสมอๆ และดูเหมือนว่าพระองค์ทรงโปรดเจ้า Sam เพียงไร  เจ้า Sam ก็จงรักภักดีมากขึ้น  มันมักติดตามพระองค์เข้าออกนอกในแม้แต่ห้องบรรทมตลอดเวลา....... .......... ใครมีรูปสุนัขเจ้า Sam รบกวนส่งรูปเข้ามาร่วมด้วยช่วยกันได้ครับ หรือไม่มี แต่มีรูปภาพสุนัขพันธุ์นี้ "พันธุ์แอร์เด็ล" ก็ยินดีครับ อยากเห็นเหมือนกัน จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:29:03 ]

ความคิดเห็นที่ 33 กระบวนการอัญเชิญพระบรมอัฐิเสด็จกลับประเทศไทยค่อนข้างยาวนาน ขอตัดตอนเหลือเท่านี้ก่อนครับ ......... นอกจากนี้นายปรีดี พนมยงค์ ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน  รัฐบุรุษอาวุโสยังได้แสดงความจริงใจเปิดเผยต่อบุคคลหลายคนและหนังสือพิมพ์ว่า  จะคืนวังสุโขทัยที่ตกเป็นของรัฐตามคำพิพากษาคืนให้แก่จำเลยที่ 2 ซึ่งยังดำรงพระชนม์ชีพอยู่  คือสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี  ยิ่งไปกว่านี้ ในฐานะผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน  นายปรีดี พนมยงค์ ดำริจะอัญเชิญพระบรมอัษฐิของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกลับคืนประเทศไทย  ได้มีการติดต่อเป็นทางการสมานรอยร้าวในอดีตกับสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีเป็นที่เรียบร้อย  และรู้กันทั่วไป  พยานหลักฐานที่แสดงความจริงใจต่อพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นปรากฏอยู่ในคำปราศรัยของนายปรีดี ขณะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กล่าวในรัฐสภา เนื่องในวาระที่มีพระราชกฤษฎีกาปิดสมัยประชุมในวันที่ 9 พฤษภาคม 2487  ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของการใช้รัฐธรรมนูญฉบับปี 2475 และจะเริ่มใช้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ปี 2489  ซึ่งมีความเป็นประชาธิปไตยมากกว่าอันเกิดจากแนวความคิดของนายปรีดี พนมยงค์ ดังต่อไปนี้ ......... แต่นายปรีดี พนมยงค์ ถูกกรรมเก่าซ้ำเติมจนต้องเปลี่ยนสถานภาพไป  การอัญเชิญพระบรมอัฐิจึงมาเกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม ผู้มาจากการรัฐประหารปี 2490 โลกนี้คือละครโรงใหญ่  มนุษย์คือตัวละครที่สรวมบทบาทต่างๆ หมุนเวียนเปลี่ยนไปจนวาระสุดท้ายของแต่ละชีวิต  ซึ่งวาระนั้นบทบาทของแต่ละคนจึงจะจบลงไม่มีใครเลี่ยงพ้นกฎแห่งกรรมไปได้ ..................... จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:33:28 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นช่วงพระบรมอัฐิเสด็จกลับเมืองไทย ................ ทางลอนดอนสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินี  ได้ตกลงพระทัยอัญเชิญพระบรมอัฐิกลับเมืองไทยบ้านเกิดเมืองนอนตามคำกราบบังคมทูลของรัฐบาล  นายรองสนิท โชติกเสถียร  กับคณะผู้แทนรัฐบาลได้ไปจากเมืองไทยและประสานงานนี้ ดังนั้นในวันที่ 1 พฤษภาคม 2492 สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีและหม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์ฯ พระเชษฐาและข้าราชบริพารผู้ใกล้ชิดได้อัญเชิญพระบรมอัฐิของพระมหากษัตริย์ผู้อาภัพพระองค์นี้ออกจากพระตำหนัก Compton House  ท่ามกลางบุคคลผู้ทรงเกียรติ์  และผู้แทนรัฐบาลอังกฤษ  พิธีได้เริ่มขึ้นอย่างสมพระเกียรติยศ  ข้าราชการสถานทูตผู้หนึ่งเป็นผู้กะฤกษ์เคลื่อนขบวนเวลา 10.26 น.  กะให้ถึงเซาท์แธมตันในเวลา 12.00 น. ของวันนั้น เพ่อลงเรือวิเลมไรส์ ของบริษัทเดินเรือเนเธอร์แลนด์ที่เทียบท่ารออยู่  ขบวนบรมพระอัฐิถึงท่าเรือเซาท์แธมตันในเวลา 12.00 น. ตรง  ณ ที่นั้นเอง  กองทหารอังกฤษ 1 กอง ภายใต้บังคับบัญชาของนายทหารชั้นนายพลซึ่งรอรับเป็นกองเกียรติยศ  ก็กระทำวันทยาวุธพรึบขึ้นพร้อมกับเสียงเพลงสรรเสริญพระบารมี  ซึ่งเป็นเวลาตั้ง 14 ปีเศษแล้วได้จางหายไป  และบัดนั้นได้กระหึ่มขึ้นต่อพระบรมอัฐิอีกครั้งหนึ่ง  ซึ่งฟังวังเวง  กระเทือนใจยิ่งนัก  จากนั้นสมเด็จพระบรมราชินีก็อัญเชิญพระบรมอัฐิลงสู่เรือ  พร้อมกับธงมหาราชสีเหลืองอันมีพระยาครุฑแดงร่าเป็นสัญลักษณ์ของพระเจ้ากรุงสยามอยู่กลางผืนธงก็ชักปราดขึ้นสู่ยอดเสา  สมเด็จพระบรมราชินีทรงเสด็จขึ้นบกทำการตรวจพลตามประเพณีแล้วก็เสด็จลง  วิลเลมไรส์ค่อยๆ เคลื่อนลำออกอย่างแช่มช้า เสียงปืนใหญ่ยิงสลุดถวายบังคมพระบรมอัฐิสะท้านสะเทือนขึ้น  วิลเลมไรส์ใช้ฝีจักรห่างจากฝั่งออกไปทุกที-ทุกที  ตราบจนภูมิภาพเมืองเซาท์แธมตันลับหายไป  ลาก่อน Compton House  ลาก่อนมหานครลอนดอน – ลาก่อน เกาะอังกฤษ ................. จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:39:50 ]

ความคิดเห็นที่ 35 วิลเลมไรส์  รอนแรมมาในเส้นทางเดินเรือสายยุโรป – เอเชีย  ผ่านหลายทะเล – หลายคาบสมุทรจนบรรลุถึงสิงคโปร์  ดินแดนสุดท้ายในอาณานิคมอังกฤษ ณ ที่นั้นต้องอัญเชิญพระบรมอัฐิขึ้นบกเพื่อเปลี่ยนลงเรือ  ภาณุรังษี  ซึ่งทางรัฐบาลที่กรุงเทพฯ ส่งออกไปรับ  และที่สิงคโปร์นั้นเอง  กองเกียรติยศกองสุดท้ายของทหารอังกฤษในบังคับบัญชาของนายทหารชั้นนายพล  ก็ได้ตั้งแถวรอรับพระบรมอัฐิอีกครั้งหนึ่ง  ตราบจนวันอัญเชิญพระบรมอัฐิลงสู่ "ภาณุรังษี" และเสียงปืนใหญ่ที่ยิงสลุด 21 นัด  ถวายบังคม  จางหายไปในบรรยากาศ 5 น.เศษ  ของคืนวันที่ 24 พฤษภาคม 2492  "ภาณุรังษี" ก็ผ่านสันดอน  ไออุ่นของลำน้ำเจ้าพระยาเป่าวูบไปทั่วลำเรือ  พร้อมกับน้ำพระเนตร์ของสมเด็จพระบรมราชินีได้ล้นออกมาจากพระเนตร  พอรุ่งอรุณ  ร.ล.แม่กลองแห่งราชนาวีไทยก็ปรากฏลำขึ้นตามหมายกำหนดการของรัฐบาล  ครั้นอัญเชิญพระบรมอัฐิลงสู่ ร.ล.แม่กลองแล้วเรือรบหลวงแห่งราชนาวีลำนี้ก็กลับลำตะบึงเข้าสู่กรุงเทพฯ  พระมหานครและเข้าเทียบท่าราชวรดิษฐในเย็นวันนั้น จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 36 และจากนาทีนั้นเอง  ท่ามกลางประชาชนกว่าหมื่นคน  ท่ามกลางความอบอุ่นแปรจากความเศร้าสลดและจงรักภักดี  ท่ามกลางกลิ่นระเหยของดินปืนที่ยิงสลุต  และท่ามกลางพระราชวงศ์ผู้รอคอย  พระบรมอัฐิก็ได้ถูกอัญเชิญลงสู่แผ่นดินไทย จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:44:41 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แถวทหารบก, ทหารเรือ, ทหารอากาศ ยาวเหยียดและพนักงานอัญเชิญพระบรมอัฐิครบถ้วนถูกต้องตามพระราชประเพณีก็เข้าขบวนตามพระบรมอัฐิ  ท้องฟ้ามืดครึ้มราวกับทำนบสวรรค์จะพังลงมา  แต่ก็เป็นเพียงนิมิตเท่านั้น  ประชาชนผู้รอคอยการเสด็จนิวัติพระนครของ “ราชันผู้นิราศ” สะอื้นอยู่ภายในจนมิอาจจะกลั้นน้ำตาแห่งความปลื้มปิติไว้ได้  ก็ปล่อยทำนบน้ำตานองออกมา  ตราบจนพระบรมอัฐิเคลื่อนเข้าสู่ประตูวิเศษไชยศรีแห่งพระบรมมหาราชวัง............ จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:46:07 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ในอีกบันทึกหนึ่ง ............. การรับพระบรมอัฐิ ทรงพระกรุณาโปรดให้กองทัพเรือจัดเรือรบหลวง พร้อมด้วยเรือรักษาการ และโปรดให้พนักงานพระราชพิธีไปรับพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ปากน้ำเจ้าพระยา วันที่ 24 พฤษภาคม  เรือภาณุรังษี  ซึ่งเป็นเรือเชิญพระบรมอัฐิมาถึงหน้าป้อมพระจุลจอมเกล้า  ผู้บัญชาการกระบวนเรือพร้อมด้วยพนักงานพระราชพิธีลงเรือเล็กไปยังเรือนั้น  เวลา 10.00 นาฬิกา  พนักงานพระราชพิธีเชิญพระบรมอัฐิลงสู่เรือเล็ก  ขณะนั้นเรือรบหลวงยิงปืนใหญ่ถวายเคารพ  เชิญพระบรมอัฐิมาสู่ ร.ล.แม่กลอง  ประดิษฐาน ณ ที่ๆ ได้แต่งไว้ เวลา 12.00 นาฬิกา  กระบวนเรือเชิญพระบรมอัฐิออกจากจังหวัดสมุทรปราการถึงกรุงเทพมหานคร  เวลา 15 นาฬิกา 30 นาที  เทียบท่าราชวรดิฐ พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ผู้ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  เสด็จไปยังพระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย  คอยรับพระบรมอัฐิ .............. พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ในที่นี้หมายถึง  สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอชั้น 5 พระองค์เจ้ารังสิตประยุรศักดิ์ กรมพระยาชัยนาทนเรนทร จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เมื่อ ร.ล.แม่กลอง  เทียบท่าราชวรดิฐเรียบร้อยแล้ว  พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ผู้ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  เสด็จขึ้นไปบน ร.ล.แม่กลอง  ถวายสักการะพระบรมอัฐิ  แล้วโปรดให้พนักงานพระราชพิธีเชิญพระโกศพระบรมอัฐิลงจาก ร.ล.แม่กลอง  ขณะนั้นทหารเรือยิงปืนใหญ่ถวายเคารพ  ทหารกองเกียรติยศถวายเคารพ  แตรวงบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี  ชาวพนักงานประโคมมโหระทึก  สังข์แตร  และกลองชนะ  พนักงานพระราชพิธีเชิญพระโกศพระบรมอัฐิขึ้นประดิษฐานเหนือบุษบกราเชนทรรถ  ตั้งกระบวนพยุหยาตราใหญ่ 4 สาย  มีกระบวนทหาร  และกระบวนพระบรมราชอิสริยยศแห่นำ  และตามพระบรมอัฐิ  พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ผู้ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  และพระบรมวงศานุวงศ์ตามพระบรมอัฐิมาทางถนนมหาราช  ถนนท้ายวัง  ถนนสนามไชย  และถนนหน้าพระลาน  เข้าสู่พระบรมมหาราชวังทางประตูวิเศษไชยศรี  กระบวนพระบรมราชอิสริยยศเข้าประตูพิมานไชยศรี  หยุดพระราเชนทรรถเทียบเกยหน้าพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  พนักงานพระราชพิธีเชิญพระโกศพระบรมอัฐิลงจากบุษบกราเชนทรรถ  ขึ้นประดิษฐานเหนือพระที่นั่งพุดตานถมบรมราชาอาสน์  นพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฎลมหาเศวตฉัตร  แวดล้อมด้วยเครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศ  ภายในพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  แล้วหยุดประโคม พระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ผู้ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  เสด็จขึ้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท  ทรงจุดธูปเทียนเครื่องราชสักการะถวายบังคมพระบรมอัฐิแล้วเสด็จกลับ วันนี้แต่งกายเครื่องแบบเต็มยศไว้ทุกข์  ประดับราชอิสริยาภรณ์  พระบรมราชวงศ์  ทรงสายสะพายขัตติยราชอิสริยาภรณ์มหาจักรี  นอกกว่านั้น  สวมสายสะพายราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้าหรือสายสะพายมงกุฎไทย จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 40 พระราชพิธีต่อเนื่อง .................... งานพระราชกุศลทักษิณานุปทาน วันที่ 25 พฤษภาคม  เวลา 16.00 นาฬิกา บนพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท แต่งกายเต็มยศไว้ทุกข์ วันที่ 26 พฤษภาคม เวลาเช้า เชิญพระโกศพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  และพระบรมอัฐิสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ  ออกประดิษฐานเหนือพระที่นั่งพุดตานถมบรมราชอาสน์บนพระราชบัลลังก์ภายใต้นพปฏลมหาเศวตฉัตร เสด็จทรงทอดผ้าไตร  พระสงฆ์ 9 รูป สดับปกรณ์พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่งกายเต็มยศไว้ทุกข์ จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:53:49 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ประกาศสำนักพระราชวัง เรื่องเปิดโอกาสให้เข้าถวายสักการะพระบรมอัฐิ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เลขาธิการพระราชวัง  รับพระบัญชาพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ผู้ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมอัฐิสมเด็จพระบรมปิตุลาธิราช  พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ออกประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง เพื่อเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามาถวายสักการะได้ตั้งแต่วันที่ 13 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน พุทธศักราช 2492  เวลาระหว่าง 10.00 นาฬิกา ถึง 16.00 นาฬิกาทุกวัน  เข้าออกพระบรมมหาราชวัง ทางประตูวิเศษไชยศรี ประตูพิมานไชยศรี การแต่งกาย  แต่งเครื่องสุภาพตามแบบการเข้าออกพระราชฐาน  จะไว้ทุกข์หรือไม่ก็ได้  หญิงชาติที่ไม่มีประเพณีนิยมสวมกางเกงโดยปรกติ  จะสวมกางเกงเข้ามาไม่ได้ จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:54:34 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ประกาศสำนักพระราชวัง เลขาธิการพระราชวัง  รับพระบัญชาพระเจ้าบรมวงศ์เธอฯ ทรงทำหน้าที่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์  ประกาศให้ทราบทั่วกันว่าตามที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานโอกาสให้ได้เข้าถวายสักการะพระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยในพระบรมมหาราชวัง  ตั้งแต่วันที่ 13 ถึงวันที่ 20 มิถุนายน 2492 เป็นต้นมาแล้วนั้น  บัดนี้กำหนดจะได้เชิญพระบรมราชสรีรางคารพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวไปบรรจุ ณ พุทธบัลลังก์พระพุทธอังคีรส  วัดราชบพิธ ในวันที่ 30 มิถุนายน 2492 นี้แล้ว  ฉะนั้น  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระบรมอัฐิออกประดิษฐาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย  เพื่อให้ข้าราชการ พ่อค้า คหบดี ประชาชน นักเรียน ได้มีโอกาสเข้าถวายสักการะได้อีกต่อไป  ระหว่างเวลา 10.00 นาฬิกา ถึง 16.00 นาฬิกา ทุกวัน  จนถึงวันที่ 29 มิถุนายน 2492 การแต่งกาย  แต่งเครื่องแบบสุภาพตามแบบราชการเข้าออกพระราชฐาน  จะไว้ทุกข์หรือไม่ก็ได้  หญิงชาติที่ไม่มีประเพณีนิยมสวมกางเกงโดยปรกติ  จะสวมกางเกงเข้ามาไม่ได้ (จบแต่เพียงเท่านี้) จากคุณ : NickyNick - [ 29 พ.ค. 50 09:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แปะโป้งไว้ก่อน  ตอนเย็นจะกลับไปอ่านที่บ้านค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 29 พ.ค. 50 12:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณครับ พี่ สำหรับความรู้ที่ได้รับ และรูปที่ผมจะแอบเก็บไว้ เห็นพระพักตร์ของสมเด็จพระนางเจ้า ฯ พระบรมราชินีแล้ว รับรู้ได้(นึกไปเอง)ว่าพระองค์จะทรงรู้สึกยินดีเพียงใด จากคุณ : กัมม์ - [ 29 พ.ค. 50 13:48:30 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ทรงพระเจริญ จากคุณ : ดร คลองตาล - [ 29 พ.ค. 50 19:34:13 ]

ความคิดเห็นที่ 46 สิ่งที่พระองค์ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นเมื่อเกือบ 75 ปีที่แล้ว ว่าประเทศไทยยังไม่เหมาะกับระบอบประชาธิปไตย นั่นถือว่าพระองค์ท่านทรงทอดพระเนตรเห็นได้อย่างถ่องแท้ เพราะแม้นในบัดนี้ ประชาชนคนไทยส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจถึงความหมายของประชาธิปไตยเลย และยังเป็นเบี้ยล่างของนักการเมืองโดยทั้งเต็มใจและไม่เต็มใจ.... จากคุณ : S. Smooth - [ 29 พ.ค. 50 21:17:45 A:172.20.100.164 X:203.150.235.242 TicketID:105578 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ราชันย์ผู้นิราศ จากคุณ : กริชครับผม - [ 29 พ.ค. 50 21:50:24 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณทุกท่านมากครับ ความจริงยังมีรูปอีกเยอะ แต่คิดว่าพอสมควรกับกระทู้แล้ว จึงไม่ได้นำมาเพิ่มเติม เมื่อวานนี้ วันที่ 30 พฤษภาคม 2550 ในอนาคตก็คงได้บรรจุไว้ว่า "วันนี้ในอดีต" มีความสำคัญอย่างไรสำหรับกระบวนการประชาธิปไตยแบบไทยไทย คุณกริชครับผม คงจะเคยอ่านหนังสือของ "นายหนหวย" ที่ผมใช้อ้างอิงส่วนหนึ่งของกระทู้นี้นะครับ  หนังสือเล่มนั้นใช้ชื่อว่า  "เจ้าฟ้าประชาธิปก ราชันผู้นิราศ"  ซึ่งมีการเขียนที่ต่างกับคำในพจนานุกรมที่เรารู้กันอยู่ คือ "ราชันย์ผู้นิราศ" ในหนังสือเล่มนี้ รวบรวมข้อมูลไว้ได้เยอะและดีมาก  แต่บางเรื่องก็ต้องอ่านใคร่ครวญให้ดี เพราะส่วนหนึ่งมาจากคำสัมภาษณ์ของบุคคลต่างๆ มากมาย อาจจะจำอะไรได้ผิดพลาด หรือมีอคติไปบ้าง ซึ่งท่านผู้นิพนธ์ไม่ได้แบ่งจำแนกไว้  ว่าตรงไหนอ้างอิงมาจากแหล่งใด เชื่อถือได้มากเท่าใด แล้วข้อมูลอ้างอิงหลายอย่างก็ผิดพลาด  อาจเพราะไม่มีเวลาตรวจทาน จากคุณ : NickyNick - [ วันวิสาขบูชา 10:53:04 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อยากชมภาพอีกค่ะ หากเป็นไปได้ รบกวนคุณNickyNick ช่วยกรุณาเพิ่มเติมอีก ก็จะเป็นพระคุณค่ะ จากคุณ : ธ - [ วันวิสาขบูชา 12:55:34 A:222.123.58.172 X: TicketID:111006 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ยิ่งอ่านก็ยิ่งซาบซึ้งที่สุดท้ายพระบรมอัฐิก็เสด็จกลับคืนสู่ประเทศไทย จากคุณ : นางพญามารเมฆไฟ - [ วันวิสาขบูชา 13:12:03 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ตอนนี้ภาพอยู่ที่คอมอีกเครื่องหนึ่งครับ ไม่ได้หยิบ handy driive มาด้วย เอาไว้โชว์ในกระทู้อื่นเกี่ยวกับพระปกเกล้าฯ ตอนนี้คิดๆ ไว้ได้เพิ่มเติมอีกอย่างน้อย 2 กระทู้แล้วครับ ขอบคุณที่ติดตามรับชม แล้วก็อ่านอย่างละเอียดเลยครับ จากคุณ : NickyNick - [ วันวิสาขบูชา 13:12:18 ]

ความคิดเห็นที่ 52 จะติดตามนะคะ จากคุณ : ธ - [ วันวิสาขบูชา 19:31:09 A:124.157.198.97 X: TicketID:111006 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ได้ความรู้เยอะแยะเลยครับ จากคุณ : ทูนหัวของแม่ - [ 2 มิ.ย. 50 00:27:33 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณทุกท่านที่ร่วมติดตามนะครับ ถ้ามีอะไรพอช่วยเหลือได้ในแง่ข้อมูลและความรู้ต่างๆ ก็บอกไว้ในกระทู้นี้ หรือกระทู้ต่างๆ ที่ผมเป็นเจ้าเรื่องได้ หรือว่าจะไปแนะนำในบล็อกแก้งของผมก็ได้ครับ ก็ขอออกตัวไว้ก่อนครับว่าไม่ได้รู้เรื่องอะไรมาก เพียงแต่อยากค้นคว้าหาความรู้ วิธีตั้งและเขียนกระทู้ก็เป็นวิธีหนึ่งที่ทำให้เราจำได้แม่นหน่อย แล้วก็ผมชอบขีดๆ เขียนๆ พิมพ์ๆ แบบนี้ละครับ  เรื่องจะถูกจะผิดก็แล้วแต่ข้อมูลที่นำมาอ้าง และเพื่อนๆ ในนี้ก็ร่วมด้วยช่วยกันแก้ไขเพิ่มเติมให้ อยากให้ตั้งกระทู้แบบไหน เชิญแนะนำได้นะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 2 มิ.ย. 50 08:54:08 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ขอถามผู้รู้ค่ะ ว่าเหตุใดคณะราษฏร์ถึงได้เปลี่ยนแปลงการปกครองสำเร็จ ทั้งที่ในสมัยนั้นพระมหากษัตริย์ มีพระราชอำนาจเต็มที่ การล้มล้างราชบัลลังก์ไม่น่าจะทำได้ง่าย ๆ อีกอย่างถ้าระบบสมบุรณาญาสิทธิราช มีข้อบกพร่อง ก่อนที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้ ก็น่าจะมีข้อกล่าวหา ที่พอจะอ้างอิงได้ ทำไมประชาชนถึงได้ยอมรับการเปลี่ยนแปลงโดยไม่มีการต่อต้าน เปรียบเทียบดูแล้วการเปลี่ยนแปลงสมัยนี้ยังยากกว่าเสียอีก จากคุณ : ภุมรีภิรมย์ - [ 12 มิ.ย. 50 13:58:57 ]

ความคิดเห็นที่ 56 รอผู้เชี่ยวชาญมาให้คำตอบครับ และได้แจ้งทางหลัง&ไมค์ให้คุณภุมรีภิรมย์ทราบแล้วครับ จากคุณ : NickyNick - [ 22 มิ.ย. 50 14:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ต้องขอขอบคุณ คุณ NickyNick และ อ.วรณัย ด้วยค่ะ ที่กรุณาให้ความรู้ ถามทีไร ไม่ผิดหวังเลยค่ะ จากคุณ : ภุมรีภิรมย์ - [ 25 มิ.ย. 50 12:46:07 ]