ความคิดเห็นที่ 1 ในเรื่องจอมคนแผ่นดินเดือดเล่ม 16 ตอนท้าย หวงอี้ ได้กล่าวถึงต้นกำเนิดของสำนักมารไว้พอสังเขป คร่าวๆ มีดังนี้ > ในรัชสมัยตังฮั่น ลัทธิเต๋า ศาสนาพุทธ และ นักวิชาการ ได้หลอมรวมกัน สร้างจุดยืน และ ขับเคลื่อน ปกครองสังคมในขณะนั้น จนเกิดเป็นกระแสหลักในสังคม เมื่อเกิดกระแสหลัก ก็มีกระแสแปลกแยก ซึ่งก็คือ ทฤษฎีคำสอนที่นอกเหนือกระแสหลัก ซึ่งกระแสแปลกแยกเหล่านี้ เหล่าผู้ปกครองเกรงว่า เมื่อเกิดความคิดที่แตกต่าง เจตจำนงไม่ตรงกัน เบื้องสูงจะไม่สามารถปกครองเป็นหนึ่งเดียว ดังนั้นควรยึดถือคำสอนตามกระแสหลัก หลังจากนั้น เมื่อฝ่ายปกครองพยายามดันกระแสหลักให้ เป็นหนึ่งเดียว กระแสแปลกแยกก็ถูกกีดกัน และ อยู่ในสภาพเผชิญหน้ากับ กระแสหลักตั้งแต่นั้นมา ซึ่งค่ายพรรคที่ยึดกระแสหลัก คือ สำนักฝ่ายธัมมะ ส่วนค่ายพรรคที่ยึดกระแสแปลกแยกคือ พรรคมาร กล่าวคือ ในความคิดของหวงอี้ พรรคมาร คือ กลุ่มคนทื่ไม่ดำเนินตามจารีตในสังคม คือกลุ่มคนที่แปลกแยกทางความคิดทางด้านคำสอน การปกครองหรือ ศาสนา แต่กลุ่มคนเหล่านี้โดยส่วนใหญ่ต้องการให้จารีต หรือข้อปฏิบัติของกลุ่มตนเป็นที่ยอมรับ จึงมักใหญ่ใฝ่สูง เผชิญหน้ากับค่ายพรรคในกระแสหลัก เพื่อช่วงชิงให้มวลชนมาอยู่ฝ่ายตน จากคุณ : ซ่อนวิญญาณ - [ 6 มิ.ย. 50 04:05:29 A:58.8.35.167 X: TicketID:146748 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มารครับเทพอะไรคือคนที่บัญญัติละครับ ธรรมกับอธรรม อะไรคือคนที่บัญญัติละครับ มันก็คือมนุษย์งั้นแสดงว่า จะมารหรือเทพ ธรรมหรืออธรรม มันก็เริ่มมาจากแนวคิดของมนุษย์นะแหละครับ อย่างที่บางครั้งเราประนามผู้ก่อการร้านแทบเป้นแทบตาย แต่ในมุมหนึ่งก็มีคนสรรเสริญเค้าแทบเป้นแทบตายเหมือนกันก็เพราะสองคนยลตามช่องคนหนึ่งมองเป็นเพชร คนหนึ่งมองเป้นหิน มันก็จึงเอวังด้วยประการฉะนี้แล ดังนั้นผมก็สรุปเอาจากนิยายจีนที่เคยอ่านมาประมวลความคิดเองหลักใหญ่ๆ ที่เกิดขึ้นก็คือถ้าคนส่วนใหญ่มองว่ามารก็เพราะว่าเค้าทำตัวขัดกับหลักปฎิบัติในยุคนั้น ๆ ละครับ จากคุณ : et009 - [ 6 มิ.ย. 50 09:41:53 ]

ความคิดเห็นที่ 3 555 งัน พรรคนาซี ก็พรรคมารในชีวิตจิงอะดิ ป๋มว่าอยู่ที่การช่วงชิงมวลชนถ้าอยากเป็งเทพต้องกำใจมวลชน ให้ๆได้ ง่ายๆแค่นี้ก็เป็งฝ่ายธรรมมะแระ จากคุณ : ง (ปึงปอยี้) - [ 6 มิ.ย. 50 10:01:25 ]

ความคิดเห็นที่ 4 กำใจมวลชน 16-19ล้านเสียงป่ะ จากคุณ : ativan - [ 6 มิ.ย. 50 10:40:49 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าหวงอี้ พูดถึงพรรคมารคือแนวคิดที่ไม่ใช่กระแสหลัก กลุ่มคนเหล่านั้นมีแก่นความคิดที่จับต้องได้บ้างไหมครับ ถ้าไม่ใช่กระแสหลักแล้วคืออะไร? มีธรรมะแนวไหน แล้วพรรคมารของหวงอี้ define ตนเองเป็นธรรมะหรืออธรรม จากคุณ : เชษฐา - [ 6 มิ.ย. 50 13:34:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เป็นการที่มนุษย์เรา แบ่งแยกคนส่วนใหญ่กับคนส่วนน้อย กล่าวคือ ใครที่คิดอย่างเดียวกัน มีบรรทัดฐานเดียวกันในสังคมส่วนใหญ่ ผู้คนก็จะบอกว่าเป็นคนปกติ แต่หากเป็นคนที่คิดและทำนอกกรอบ นอกลู่ทางของบรรทัดฐานทางสังคม หรือทำอะไรที่แปลกกว่าชาวบ้าน ก็มักจะสรุปเอาเลยว่า เป็นพวกผิดปกติ หรือพวกมารนั้นเอง ทั้งที่ไม่ดูเลยว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร ดังคำที่ว่า "ในมืดมีสว่าง ในสว่างมีมืด  ในเทพมีมาร ในมารมีเทพ" จากคุณ : พฤกษิรา - [ 6 มิ.ย. 50 13:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ธรรมะในคราบอสูรก็มีเยอะ อาทิเช่นงักปุกคุ้ง, จ้อแน่เซี้ยง จากคุณ : จ้องจนปวด - [ 6 มิ.ย. 50 13:38:16 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตามแนวคิดของหวงอี้ ก็เหมือนอย่างที่ความเห็นที่ 3 และ 6 กล่าวมาครับ ค่ายพรรคไหน ที่ช่วงชิงมวลชนได้ นั่นคือกระแสหลัก หรือ ฝ่ายธัมมะ ดังนั้น พรรคมารจึงพยายามช่วงชิงความเป็นใหญ่ มาโดยตลอด แต่หลักคำสอนของกระแสหลัก ต่างหยั่งรากลึกในสังคมแล้ว ดังนั้นไม่ว่า พรรคมารสามารถช่วงชิงความเป็นใหญ่ได้ ก็ยังถูกมวลชนมองว่านอกรีตอยู่ดี ถ้าจะยกตัวอย่างแก่นความคิดของพรรคมารก็อย่างเช่น จู๋ฝ่าชิ่ง สร้างนิกายเมตไตรย ขึ้นมาโดยมีแนวปฏิบัติที่แปลกแยกจากศาสพุทธ นิกายเมตไตรย มีการนุ่งห่มคล้ายพระสงฆ์แต่ พระในนิกาย สามารถร่วมสังวาสกับหญิงสาวได้ แถมยังฆ่าสัตว์ ฆ่าคนได้ตามใจชอบ สร้างความวุ่นวายให้กับสถาบันสงฆ์เป็นอย่างมาก แถมในช่วงต้นราชวงศ์สุมา จะดันนิกายนี้เป็นศาสนาหลัก ซึ่งนั่นจะทำให้ พรรคนอกรีต จะมาเป็นส่วนหนึ่งของกระแสหลัก แต่สุดท้าย เอี้ยนเฟยก็ตัดหัวจู๋ฝ่าชิ่ง ล้มนิกายเมตไตรย เป็นผลสำเร็จ จากคุณ : ซ่อนวิญญาณ - [ 6 มิ.ย. 50 14:54:29 A:203.107.158.44 X: TicketID:146748 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขออนุญาตนำเสนอนักเขียนหน้าใหม่ สำนวนเหลือร้ายจริงๆ (อ่านขำขำ) http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5481754/P5481754.html จากคุณ : เซียวอิด - [ 6 มิ.ย. 50 15:36:26 A:202.90.6.36 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอนที่ 1 และ 2 ครับ http://www.pantip.com/cafe/rajdumnern/topic/P5467286/P5467286.html จากคุณ : เซียวอิด - [ 6 มิ.ย. 50 15:42:36 A:202.90.6.36 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ชอบ คห. 6 ครับ โดนใจ + __ + จากคุณ : b_B (blacklimpbizkit) - [ 6 มิ.ย. 50 17:20:26 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตามทฤษฎีการตีตรานั้นได้อธิบายไว้ว่าเราจะเป็นอะไรไม่ใช่อยู่ที่เราเป็นสิ่งนั้น แต่อยู่ที่สังคมมองว่าเราเป็น ซึ่งมีนิทานที่เป็นตัวอย่างของทฤษฎีนี้ คือ มีเมืองอยู่เมืองหนึ่งมีพระราชาเป็นผู้ปกครอง อยู่มาวันหนึ่งเกิดอาเพศทำให้น้ำในแหล่งน้ำของเมืองนี้เป็นพิษหากใครดื่มเข้าไปจะเสียสติกลายเป็นบ้า ยกเว้นแต่น้ำในบ่อส่วนตัวของพระราชาที่ยังคงเป็นน้ำธรรมดา ชาวเมืองต่างพากันมาหาพระราชาเพื่อของน้ำจากพระองค์แต่พระราชาก็ไม่ยอมให้เนื่องจากกลัวว่าน้ำในบ่อจะหมด เมื่อชาวเมืองอดน้ำจนทนไม่ไหวก็เลยต้องยอมดื่มน้ำที่เป็นพิษจนค่อยๆ กลายเป็นบ้าไปทีละคน ทีละคนจนในที่สุดชาวเมืองทุกคนก็กลายเป็นบ้าไปหมด ชาวเมืองที่เป็นบ้าไปแล้วนั้นก็พากันไปหาพระราชาอีกแล้วกล่าวว่าบัดนี้พระราชาได้กลายเป็นคนวิกลจริตไปแล้ว พระราชาได้โต้ตอบกลับไปว่าพวกเจ้าต่างหากที่เป็นคนบ้า เราเป็นคนเพียงคนเดียวในเมืองนี้ที่เป็นคนปกติ เมื่อการโต้เถียงได้ดำเนินไปซักพัก ในที่สุดชาวเมืองก็ต่างพร้อมใจกันเข้าจับตัวพระราชาเอาไว้ แล้วบังคับให้พระองค์ดื่มน้ำเช่นเดียวกับพวกเค้าจนทั้งเมืองมีแต่คนที่เป็นบ้า ที่พล่ามมาทั้งหมดนี้ก็เพียงแค่อยากจะบอกว่าจะเทพหรือมารนั้นอยู่ที่สังคมซึ่งก็คือคนส่วนใหญ่มอง ซึ่งอาจจะถูกหรือผิดก็ได้ อย่างพรรคเม้งก่าจะถูกมองว่าเป็นพรรคมารแต่กลับมีอุดมการณ์กอบกู้ชาติ ขณะที่งักปุกคุ้งที่ชาวยุทธยกย่องจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงวิญญูชนจอมปลอม จากคุณ : third arrow - [ 6 มิ.ย. 50 20:59:59 ]

ความคิดเห็นที่ 13 พรรคมารที่ถกกันในที่นี้ จริงๆ มีตัวอย่างในประวัติศาสตร์ที่ง่ายมาก นั่นคือ สมัยยุคกลางที่ศาสนจักรมีอิทธิพลเเผ่เข้าไปทุกอนูขุมขน ของชาวยุโรป ผู้ที่ไม่ฝักใฝ่ในพระคริสต์ ก็ถูกมองเป็นเหล่ามารอสูร จนทำให้เกิดการเข่นฆ่าผู้หญิงมากมายจนเป็นประวัติศาสตร์ นั่นคือ การล่าเเม่มด นั่นเป็นตัวอย่างเดียวกัน ที่กูกยกให้เป็นกระเเสหลักหรือความเชื่อหลักส่วนมากของมวลชน กระทั่งยังรวมไปถึงปัญหาการเหยียดผิว เเละอื่นๆอีกมากมาย จริงๆ เเล้ว เเบ่งมาร หรือ ไม่มาร หวงอี้ก็ได้บอกชัดเจนในตัวสั้งหวี่เถียน เเละ เล่ม19 ที่ผ่านมา ว่า ถึงเเม้สั้งหวี่เถียนจะขึ้นชื่อว่าเป็นพรรคมารหรือสำนักศักดิ์สิทธิ์ในเรื่อง เเต่ก็ไม่เคยมีจรรยาบรรณร่วมหรือทำตาม ทุกอย่างที่กำหนดว่า เป็นมารหรือไม่ขึ้นอยู่ที่ใจเเละการกระทำ ดั่งเช่น สวรรค์อยู่ในอก นรกอยู่ในใจ จะดีชั่วเเตกต่างกันเพียงนิดเดียว ทุกอย่างอยู่ที่การเลือกที่จะทำ เม้งก่าในมังกรหยกของ กิมย้งถูกยกขึ้นเป็นพรรคมาร เเต่ทำความดีช่วยเหลือประเทศชาติ เเละไม่ได้บ่งบอกออกมาว่าตัวเองเป็น ธรรมหรือธรรมะ มันอยู่ที่การเเสดงออกเเละเจตนาที่เเท้จริง เเละเพื่อใคร เพื่อส่วนรวมหรือตนเอง มันมีหลายปัจจัยขอรับ เเต่ที่มวลชนมองกันมากๆ ส่วนมากจะถูกยกให้เป็น มาร หรือ นอกรีต เนื่องจาก การเสี้ยมสอนที่ผิดหลัก เเละ กระเเสหลักของคนในยุคๆนั้น จากคุณ : กระบี่ต่างฟ้า (Eric_Chin) - [ 6 มิ.ย. 50 21:54:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมคิดว่านิกายเมตไตรยของจู๋ฝ่าชิ่งนั้น มีความคิดที่นอกรีตจากแนวคิดกระแสหลักอย่างเห็นได้ชัด และมีพฤติกรรมคือ "มีการนุ่งห่มคล้ายพระสงฆ์แต่ พระในนิกาย สามารถร่วมสังวาสกับหญิงสาวได้ แถมยังฆ่าสัตว์ ฆ่าคนได้ตามใจชอบ สร้างความวุ่นวายให้กับสถาบันสงฆ์เป็นอย่างมาก" ถ้าฟังอย่างนี้มันฟังดูไม่ดีเลย และไม่มีแก่นความคิดอะไรเพียงพอจะให้อยู่ไปยาวนานเลย ก็แค่มีพระที่ละเมิดศีลธรรมทั้งหมด และมีพลังมากจึงตั้งเป็นกลุ่มที่อิงกับตนเองขึ้นได้ ถ้าไม่มีจู๋ฝ่าซิ่ง พรรคนี้ก็จะล่มทันที แต่พรรคมารตามคุณ  พฤกษิรา คคห.ที่หกนั้น บอกว่า "เป็นคนที่คิดและทำนอกกรอบ นอกลู่ทางของบรรทัดฐานทางสังคม หรือทำอะไรที่แปลกกว่าชาวบ้าน ก็มักจะสรุปเอาเลยว่า เป็นพวกผิดปกติ หรือพวกมารนั้นเอง ทั้งที่ไม่ดูเลยว่าแก่นแท้ของมนุษย์คืออะไร" อย่างนี้กลับฟังดูดีหน่อย ผมเห็นเรื่องเทพมารสะท้านภพของหวงอี้นั้น พรรคฝ่ายอธรรมกลับเหมือนเป็นฝ่ายถูก และฝ่ายดี เพียงแต่ถูกสังคมรังเกียจอย่างไม่เป็นธรรม จึงอยากทราบว่า แนวคิดที่เรียกว่านอกรีตของพรรคอธรรมในเทพมารนี้เป็นอย่างไร เหตุใดจึงถูกรังเกียจ (แต่จริงๆแล้วถูกรังเกียจหรือเปล่า) แนวคิดนอกรีตจากพุทธเต๋าขงจื้อของหวงอี้นั้นเป็นอย่างไร มีแก่นแนวคิดอย่างไร มีคุณธรรมแบบใด จึงอยู่มาได้ยาวนาน พรรคอธรรมไม่มีทางเรียกตัวเองว่าอธรรมเด็ดขาด เพียงแต่เขามีความคิดแนวของเขาที่มองว่าเขาเป็นธรรมะ และคนอื่นเป็นอธรรม ผมคิดอย่างนั้นนะ จากคุณ : เชษฐา - [ 7 มิ.ย. 50 00:08:21 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เอาง่ายๆครับ ประมาณพวก Indy ง่ายกว่าไหม จากคุณ : พ.พาน - [ 8 มิ.ย. 50 21:26:23 A:222.123.151.252 X: ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตอบในแง่การฝึกฝีมือนะคะ รู้สึกว่า เคยอ่านเจอในเหยี่ยวเหนือฟ้า ตอนที่ท้วงเอ็งกับมือโลหิตลี่กง ไปที่ด่านมรณะเพื่อรอพบปรมาจารย์เล่งตังไล้ ลี่กงบอกว่า หลังจากฝึกฝีมือสำเร็จบุคลิกและนิสัยของเขาเปลี่ยนไป นี่เป็นเพราะว่า สิ่งที่ฝ่ายธรรมะกับอธรรมฝึกนั้น (หรือจุดหมายปลายทาง) เป็นสิ่งเดียวกัน เพียงแต่ว่า กระบวนการที่จะไปถึงจุดหมายนั้นต่างกัน ธรรมะเริ่มจากยากตอนต้น ไปง่ายตอนท้าย (อาศัยความเพียร) แต่อธรรมเริ่มฝึกง่าย ยิ่งฝึกขั้นสูงไป ยิ่งยาก แต่สุดท้าย ก็มุ่งไปที่จุดหมายเดียวกัน คือ ความรู้แจ้งที่ข้ามขอบเขตมนุษย์เทวะไป ปล อ้างอิงจากความจำนะคะ หนังสือไม่ได้อยู่ใกล้ตัว จากคุณ : Mr.Golden - [ 8 มิ.ย. 50 22:48:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เล่มแรกของทมิฬสำอางมีการกล่าวถึงวิชาฝีมือที่ฝึก  นี่ขอพูดในอีกแง่นึงนะคะ  คือวิชาที่ฝึกของฝ่ายอธรรมนั้น ฝึกได้ง่ายกว่า ต่างจากฝ่ายธรรมะที่มีการปรับพื้นฐาน ใช้เวลานาน กว่าจะเก่งค่ะ  แต่ข้อเสียของผู้ฝึกวิชาฝ่ายอธรรมก็คือเวลาตายจะประสบกับความทรมานอย่างยิ่ง คล้ายๆ ไฟธาตุแตกนั่นเองค่ะ  ในเรื่องนี้กล่าวถึงผู้ฝึกวิชาฝ่ายอธรรมคนหนึ่งที่ไม่ต้องประสบกับการสลายพลังตอนตาย และบรรดาฝ่ายอธรรมต่างก็อยากได้เคล็ดลับนี้ นอกจากเรื่องของวิชาที่ฝึกแล้ว ในเรื่องของการประพฤติปฏิบัติก็น่าจะเป็นแบบที่สหายทั้งหลายคุยกันไว้ค่ะ ขอเพิ่มเติมอีกนิดว่า สำนักฝ่ายอธรรมจะมีรูปแบบการหาเงินในแนวเป็นนักฆ่า เก็บค่าคุ้มครอง ลักลอบค้าเกลือเถื่อน เปิดบ่อน สำนักนางโลมต่างๆ   ในขณะที่ฝ่ายธรรมะจะไม่ประกอบอาชีพนี้ ไม่แน่ใจว่าเงินได้มาทางใดแต่ก็เข้าใจว่ามีผู้บริจาค(สำนักสงฆ์ พรต)  และยังปลูกผัก ทำนากินเอง จากคุณ : Lily of the Valley - [ 9 มิ.ย. 50 01:23:07 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าในยุคเทพมารสะท้านภพของหวงอี้ ยุคนั้น จู ครองราชโดยแย่งชิงแผ่นดินกลับมาได้ด้วยความร่วมมือจากนิกายบูชาไฟ  พรรคจรัส เม้งก่า(อะไรซักชื่อเนี่ยแหละ)  แล้วหักหลังพรรคพวก พรรคจรัสมีโครงสร้างจากหลายกลุ่ม  เพื่อป้องกันปฏิวัติซ้อนเลยใส่ร้ายผู้กล้าทั้งหลายเป็นพวกนอกรีต เป็นฝ่ายอธรรม ว่ากันไปนู่นเลย แล้วตั้งสำนักหลักมา 8 แห่งเรียกแปดสำนักมาตรฐาน เอาไว้ถ่วงดุลในยุทธจักร  แล้วให้สิทธิพิเศษมากๆ  (เอาเป็นว่าคล้ายๆจริยวีรชน) ศิษย์จบมาแล้วได้งานราชการดีๆ   มีคนนับหน้าถือตาครับ  เป็นการหาพรรคพวกเป็นกันชน จากคุณ : แชจั๊ว - [ 9 มิ.ย. 50 14:23:50 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมคิดว่าทุกความเห็นได้ตอบคำถามคุณ จขกท.หมดแล้ว และบางความเห็นก็ตอบได้ดียิ่ง โดยเฉพาะความเห็นที่ 6 สิ่งที่คุณจขกท. ต้องทำก็คือก็เปิดใจให้กว้าง อ่านและตีความทุกความเห็นให้เข้าใจ ก็จะได้รับคำตอบครับ หากคุณจขกท. จะรอแต่คำตอบที่พ้องกับความเห็นตัวท่านเอง ท่านก็คงต้องสงสัยในคำถามนี้ต่อไปตลอดกาล พี่พูดมานี้ไม่ได้โจมตีหรือว่าด่าว่าท่านนะ อย่าตีความหมายผมผิด เพียงแต่ลักษณะท่านเหมือนเพื่อนฝูงผมมากมายที่มัวแต่ตั้งคำถาม ถามแล้วถามอีก ทั้งๆที่มีผู้คนให้คำตอบที่ชัดเจนและลงตัวอยู่แล้ว เพียงแต่มันไม่ตรงตาม definition ในใจของตัวผู้ตั้งคำถาม จึงยังคงสงสัยและไม่เข้าใจอยู่อย่างนั้น พูดง่ายๆคืออยากได้คำตอบที่ถูกใจ แต่...คำตอบที่ถูกใจ มันไม่ถูกต้องน่ะสิ เปิดใจเถอะครับแล้วจะรู้ว่าคำตอบอยู่ใกล้แค่เอื้อม มีอยู่ในทุกความเห็นแล้ว และชัดเจนแจ่มแจ้งเสียด้วย จากคุณ : mm (MitJung) - [ 5 ก.ค. 50 10:29:19 ]