ความคิดเห็นที่ 1 ดูจากบทแปลเผินๆ สำนวนลื่นไหลดีมาก แต่เมื่อวิเคราะห์เทียบกับต้นฉบับ มีข้อบกพร่องฉกรรจ์ค่อนข้างมาก ยังยอมรับไม่ได้ครับ They must concentrate so that they internalize what participants say. >> บทแปลอยู่ที่ไหน หายไปทั้งประโยคเลย อย่างนี้เรียกว่า แปลขาด Later, interviews’question will often flow from this earlier listening. คำตอบของคำถามผู้สัมภาษณ์มักจะพรั่งพรูออกมาในการฟังระดับนี้ >> แปลยังไม่ตรงเจตนาของประโยคต้นฉบับ ที่แปลมานั้นเหมือนกับว่าผู้สัมภาษณ์จะยิ่งคำถามเลยในขณะรับฟังการสัมภาษณ์ ซึ่งผิดเจตนา จริงๆแล้วเขาต้องการสื่อว่า เมื่อฟังเบื้องต้นนี้แล้วจะเป็นข้อมูลสำหรับให้ผู้สัมภาษณ์เตรียมคำถามได้อย่างเหมาะสมสำหรับเอาไว้ถามในขั้นตอนต่อๆไป เขายังไม่ถามครับ อย่างนี้เรียกว่า แปลผิด An outer, or public voice always reflects an awareness of the audience. It is not untrue; it is guarded. It is a voice that participants would use if they were talking to an audience of 300 in an auditorium. เสียงสาธารณะ เป็นเสียงที่มักจะใช้เมื่อพูดในที่สาธารณะท่ามกลางผู้ชมจำนวนมาก >> เขามีตั้งสามสี่ประโยค คุณแปลสรุปความเหลือประโยคเดียว สรุปได้ไม่ผิด แต่ไม่สามารถเรียกได้ว่าการแปลครับ อย่างนี้ก็คือ แปลขาด ขาดเยอะเสียด้วย 1.Whenever I hear a participant use fascinate, I ask for elucidation. 2.By taking participant’s language seriously with out making them feel defensive about it,...... การใช้คำว่า Fascinate เป็นคำที่ข้าพเจ้ามักจะได้ยินเสมอเวลาชมรายการ ทอล์คโชว์ เมื่อได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าก็จะถามผู้ให้สัมภาษณ์ให้เขาอธิบายเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น โดยไม่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน >> ประโยคที่หนึ่งและสองเป็นคนละประโยคกัน เจ้าของกระทู้จับเอามาแปลรวมกัน อย่างนี้ไม่ถูกนะครับ เพราะประโยคที่สองนั้นมันต้องเอาไปรวมกับอนุประโยคของมัน คือ By taking participant’s language seriously with out making them feel defensive about it, interviewers can encourage a level of thoughtfulness more characteristic if inner voice. มันจึงจะได้ความหมายตามเจตนารมณ์ของเขา อย่างนี้จะเรียกอะไรดีล่ะ แปลเกิน? ส่วนที่เหลืออื่นๆโปรดไปตรวจสอบข้อบกพร่องต่างๆดังกล่าวด้วย ดังนั้นต้องเรียนเจ้าของกระทู้ตรงๆว่า บทแปลนี้ยังไม่ดี ยังมีแปลผิด แปลขาด แปลเกิน ซึ่งเป็นข้อถือสาสำคัญของการแปล สำนวนภาษาไทยนั้นดีและลื่นไหล แต่ว่าไม่ใช่การแปลที่ดี คงต้องแก้ไขนะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 19 มิ.ย. 50 11:48:55 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ขอบคุณสำหรับคำแนะนำ จะนำไปปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้น บางส่วนที่มีปัญหา เพราะว่าเวลาอ่านจากภาษาอังกฤษแล้วเข้าใจ แต่ไม่สามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยที่ดีได้ หรือถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยให้ผู้ที่ไม่เห็นภาษาอังกฤษอ่านแล้วเข้าใจได้ คือคิดคำภาษาไทยให้ถ่ายทอดออกมาอย่างที่ตัวเองเข้าใจไม่ได้ อย่างนี้ควรจะแก้ไขอย่างไรดี จากคุณ : จขกท (curiousityy) - [ 19 มิ.ย. 50 16:49:39 ]

ความคิดเห็นที่ 3 "...คิดคำภาษาไทยให้ถ่ายทอดออกมาอย่างที่ตัวเองเข้าใจไม่ได้ อย่างนี้ควรจะแก้ไขอย่างไรดี..." >> ก็แก้ไขที่ทักษะการเขียนภาษาไทยสิครับ ถ้าคุณเข้าใจภาษาอังกฤษได้ 100% แต่ถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาไทยได้แค่ 70% ก็แสดงว่าทักษะการถ่ายทอดมีปัญหา นี่ว่ากันตามหลักการนะครับ และคุณก็คงไม่โดดเดี่ยวในการมีปัญหานี้ หลายคนก็มีปัญหาเหมือนคุณ ทักษะเรื่องภาษาไม่ว่าภาษาไหนก็คือการฟัง พูด อ่าน เขียน ด้านการฟังและการอ่านเป็นการรับเข้า ส่วนการพูดและการเขียนเป็นการส่งออก คุณต้องการพัฒนาทักษะในการส่งออก คุณก็ต้องไปพัฒนาการนำเข้าควบคู่ไปด้วย ไม่อย่างนั้นจะมีอะไรไปส่งออก เหมือนจะไปรบก็ต้องมีกระสุนดินดำ กระสุนดินดำของการใช้ภาษาก็คือคำศัพท์ สำนวน ไวยากรณ์ โครงสร้าง ก็ต้องสะสมสิ่งเหล่านี้ไว้ให้มากเพียงพอ ในขณะที่ก็ต้องฝึกฝนการใช้งานไปพร้อมๆกันกับการสะสม เมื่อสะสมถึงระดับหนึ่งและฝึกฝนถึงระดับหนึ่ง คุณก็เป็นนักรบเจนสนามได้ ที่จริงการใช้ภาษาของคุณเขียนได้ดีมากนะครับ ที่ยังมีปัญหาน่าจะเป็นการตีความต้นฉบับมากกว่า ถ้าคุณเข้าใจและตีความได้ตรง ผมว่าการถ่ายทอดของคุณไม่น่าจะมีปัญหานะ ขอให้อย่าท้อถอย ลุยไปเรื่อยๆอย่าย่อท้อ เดี๋ยวก็ฉลุยครับ ผมว่าคุณน่าจะเก่งนะ กรุงโรมไม่ได้สร้างในวันเดียว ที่ผมวิจารณ์ตรงๆนั้นก็เพื่อให้คุณได้เห็นจุดบกพร่องและได้แก้ไขแต่เนิ่นๆ ขออภัยที่ยาดีมักขม จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 19 มิ.ย. 50 21:43:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอขอบคุณ คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด ที่กรุณาตรวจสอบและบอกข้อบกพร่อง อันเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาและปรับปรุงภาษาของ จขกท ให้ดีขึ้น ได้พยายามแก้ใขข้อบกพร่องตามที่ได้รับคำวิจารณ์มาแล้วข้างต้น รบกวนตรวจแก้ให้ด้วยนะคะ มีข้อมูลที่แปลเพิ่มมาใหม่ข้างท้ายด้วยค่ะ Listen More, Talk Less Listen is the most important skill in interviewing. The hardest work for most interviewers is to keep quiet and listen actively. Interviewers must listen on at least three levels. First, they must listen to what the participant is saying. They must concentrate on the substance to make sure that they are hearing is as detailed and complete as they would like it to be. They must concentrate so that they internalize what participants say. Later, interviews’question will often flow from this earlier listening. ฟังมากขึ้น พูดให้น้อยลง (Listen More, Talk Less) การฟังเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการสัมภาษณ์ สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่ผู้สัมภาษณ์พยายามเงียบและฟังอย่างตั้งใจ ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังอย่างน้อยสามระดับ ดังนี้ 1. ระดับแรก ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังว่าผู้ให้สัมภาษณ์พูดว่าอะไร ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังอย่างตั้งใจเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าเข้าใจสิ่งที่ได้ยินในรายละเอียดต่างๆและตอบคำถามที่เขาต้องการ ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งใจเพื่อที่จะได้เข้าถึงสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมา คำถามของผู้สัมภาษณ์ที่จะถามต่อไปมักจะพรั่งพรูออกมาการฟังในขั้นต้นนี้ On Second Level, interviews must listen for what George Steiner (1978) call “inner Voice” , as opposed to an outer, more public voice. An outer, or public voice always reflects an awareness of the audience. It is not untrue; it is guarded. It is a voice that participants would use if they were talking to an audience of 300 in an auditorium. 2. ระดับที่สอง ผู้สัมภาษณ์ต้องพยายามรับฟังสิ่งที่เรียกว่า เสียงภายใน (Inner Voice) ซึ่งตรงกันข้ามกับ เสียงภายนอก (Outer Voice) เสียงสาธารณะ เป็นเสียงที่มักจะใช้เมื่อพูดในที่สาธารณะท่ามกลางผู้ชมจำนวนมาก There is a language of the outer voice to which interviewers can become sensitive. For example, I often hear the word “fascinate” on talk show interviews; it usually works to communicate some sort of interest while covering up the exact nature of interest. Whenever I hear a participant use fascinate, I ask for elucidation. By taking participant’s language seriously with out making them feel defensive about it, interviewers can encourage a level of thoughtfulness more characteristic if inner voice. เสียงภายนอกหรือเสียงสาธารณะนี้ มักจะสะท้อนถึงความตระหนักรู้ของผู้ชม ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่เป็นจริงและระแวดระวัง เป็นเสียงที่ผู้ให้สัมภาษณ์จะใช้หากว่าเขาต้องพูดท่ามกลางผู้ชมราว 300 คนในหอประชุมผู้ให้สัมภาษณ์ต้องไวต่อภาษาเสียงภายนอก ยกตัวอย่างเช่น การใช้คำว่า Fascinate เป็นคำที่ข้าพเจ้ามักจะได้ยินเสมอเวลาชมรายการ ทอล์คโชว์ คำนี้มักจะใช้ดีเมื่อต้องการสื่อถึงความสนใจขณะเดียวกันก็หมายรวมไปถึงธรรมชาติของความสนใจอย่างจริงจัง เมื่อได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าก็จะถามผู้ให้สัมภาษณ์ให้เขาอธิบายเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น โดยถามถึงการใช้ภาษาของผู้ให้สัมภาษณ์ และไม่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน วิธีนี้ผู้สัมภาษณ์ได้ช่วยผู้ให้สัมภาษณ์เกิดความคิดที่มาจากเสียงภายในมากขึ้น On a third level, interviewers-look like good teachers in a classroom-must listen while remaining aware of the process as well as the substance. They must be conscious of time during the interview; they must be aware of how much has been covered and how much there is yet to go. They must be sensitive to the participant’s energy level and any nonverbal cues he or she may be offering. Interviewers must listen hard to assess the progress of the interview and to stay alert for cues about how to move the interview forward as necessary. 3. ระดับที่สาม ผู้สัมภาษณ์ต้องทำเสมือนเป็นครูที่ดีในห้องเรียน ซึ่งต้องรับฟังไปพร้อมๆกับตระหนักถึงกระบวนการสัมภาษณ์และข้อมูลที่ได้รับมาผู้สัมภาษณ์ต้องระลึกถึงเวลาที่ใช้ระหว่างสัมภาษณ์ ว่าได้ข้อมูลมาตอบคำถามตามที่ต้องการหรือไม่ หากยังไม่ได้ ยังเหลือข้อมูลอีกสักเท่าไรที่ยังต้องสัมภาษณ์เพื่อตอบคำถามที่เหลือเหล่านั้น นอกจากนั้นผู้สัมภาษณ์ยังต้องคอยดูด้วยว่าผู้ให้สัมภาษณ์เหนื่อยล้าหรือไม่ และผู้ให้สัมภาษณ์อาจจะแสดงออกทางภาษากายด้วย ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งใจฟังมากพอที่เข้าใจความก้าวหน้าที่ได้ระหว่างที่สัมภาษณ์และไวต่อเงื่อนงำที่จะมีส่วนทำให้การสัมภาษณ์ดำเนินต่อไปข้างหน้า Follow up on what the participant says When interviews do talk in an interview, they usually ask question. The key to asking question during in-depth interviewing is to let them follow, as much as possible, from what the participant is saying. Although the interviewers comes to each interview with a basic question that establishes the purpose and focus of the interview, it is in response to what the participant says that the interviewer follows up, ask for clarification, seeks concrete details, and requests stories. Rather than preparing a preset interview guide, the interviewer’s basic work in this approach to interviewing is to listen actively and move the interview forward as much as possible by building on what the participant has begun to share. ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมา เมื่อผู้สัมภาษณ์พูดคุยในการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถาม จุดประสงค์หลักของการสัมภาษณ์เชิงลึกก็คือการให้ผู้สัมภาษณ์ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดออกมาให้ได้มากที่สุด แม้ว่าผู้สัมภาษณ์มาสัมภาษณ์แต่ละครั้งพร้อมกับคำถามที่เตรียมไว้ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการมาสัมภาษณ์ครั้งนั้น การที่จะตอบโต้สิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมาก็คือ การที่ผู้สัมภาษณ์ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูด ถามเพื่อความชัดเจนที่มากขึ้น หารายละเอียด ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป แทนที่จะเตรียมถามคำถามต่อไป สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ควรทำก็คือ การฟังอย่างตั้งใจและทำให้การสัมภาษณ์ดำเนินไปพร้อมๆกับการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวออกมา Ask to hear more about a subject When interviewers want to hear more about what a participant is saying, they should trust that instinct. Interviewers should ask questions when they unsatisfied with what they have heard. Sometimes they do not think that they have heard the entire story; other times they may think that they are getting generalities and they want to hear the details; or they may just be interested in what the participant is saying and want to hear more. Sometimes when listening, interviewers begin to feel a vague question welling inside them because they sense there is more to the story. In those instances it is important for them to ask to hear more. เมื่อผู้สัมภาษณ์อยากได้ยินมากกว่าสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดออกมา ผู้สัมภาษณ์ควรเชื่อในความรู้สึกนั้น ผู้สัมภาษณ์ควรถามคำถามเมื่อไม่พอใจกับสิ่งที่ได้ยิน บางครั้งผู้สัมภาษณ์ไม่คิดว่าได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด บางครั้งผู้สัมภาษณ์อาจคิดว่าได้รับเพียงข้อมูลทั่วๆไปเท่านั้นและต้องการได้ยินในรายละเอียด หรือผู้สัมภาษณ์อาจจะเพียงแค่สนใจในสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมาและต้องการได้ยินข้อมูลเพิ่ม บางครั้งในขณะที่รับฟัง ผู้สัมภาษณ์เริ่มรู้สึกว่าคำถามยังคลุมเครือเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวน่าจะมีมากกว่านี้ สำหรับเหตุการณ์เหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สัมภาษณ์ต้องถามเพื่อให้ได้ข้อมูลเพิ่ม ขอบคุณค่ะ จากคุณ : จขกท (curiousityy) - [ 21 มิ.ย. 50 11:38:40 ]

ความคิดเห็นที่ 5 Listen More, Talk Less Listen is the most important skill in interviewing. The hardest work for most interviewers is to keep quiet and listen actively. Interviewers must listen on at least three levels. First, they must listen to what the participant is saying. They must concentrate on the substance to make sure that they are hearing is as detailed and complete as they would like it to be. They must concentrate so that they internalize what participants say. Later, interviews’question will often flow from this earlier listening. ฟังมากขึ้น พูดให้น้อยลง (Listen More, Talk Less) การฟังเป็นทักษะที่สำคัญที่สุดในการสัมภาษณ์ สิ่งที่ยากที่สุดคือการที่ผู้สัมภาษณ์พยายามเงียบและฟังอย่างตั้งใจ ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังอย่างน้อยสามระดับ ดังนี้ 1. ระดับแรก ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังว่าผู้ให้สัมภาษณ์พูดว่าอะไร ผู้สัมภาษณ์ต้องฟังอย่างตั้งใจเพื่อที่จะมั่นใจได้ว่าเข้าใจสิ่งที่ได้ยินในรายละเอียดต่างๆและตอบคำถามที่เขาต้องการ ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งใจเพื่อที่จะได้เข้าถึงสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมา คำถามของผู้สัมภาษณ์ที่จะถามต่อไปมักจะพรั่งพรูออกมาการฟังในขั้นต้นนี้ >> ภาพรวมดีแล้วนะครับ มีข้อติแบบหาเรื่องจับผิดอยู่จุดเดียวคือการเขียนภาษาไทย "..มักจะพรั่งพรูออกมาการฟังในขั้นต้นนี้.." น่าจะเป็น "..มักจะพรั่งพรูออกมาจากการฟังในขั้นต้นนี้.." นอกจากนั้น ผมไม่แน่ใจนักว่าเจ้าของกระทู้เข้าใจคำว่า internalize เพียงใด ที่คุณใช้คำว่า "เข้าถึง" ก็ไม่ผิดพลาดอะไร แต่ถ้าเป็นผม ผมชอบใช้คำว่า "เรียนรู้" เหตุที่ใช้คำว่า "เรียนรู้" ก็เพราะว่ากระบวนการ internalize นั้นก็คือการที่เจ้าต้วรับเอาข้อมูลจากภายนอกมาย่อยแล้วก็กลั่นกรอง มีการสรุปความคิดรวบยอด การนำไปใช้งานแก้ปัญหาการประเมิน สุดท้ายก็นำเอาสิ่งๆนั้นผนวกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของปัญญาของตนเอง อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ใช่ข้อบกพร่องนะครับ เป็นเรื่องของลูกเล่นของใครของมัน สรุปแล้ว วรรคนี้ผ่าน จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 13:23:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 On Second Level, interviews must listen for what George Steiner (1978) call “inner Voice” , as opposed to an outer, more public voice. An outer, or public voice always reflects an awareness of the audience. It is not untrue; it is guarded. It is a voice that participants would use if they were talking to an audience of 300 in an auditorium. 2. ระดับที่สอง ผู้สัมภาษณ์ต้องพยายามรับฟังสิ่งที่เรียกว่า เสียงภายใน (Inner Voice) ซึ่งตรงกันข้ามกับ เสียงภายนอก (Outer Voice) เสียงสาธารณะ เป็นเสียงที่มักจะใช้เมื่อพูดในที่สาธารณะท่ามกลางผู้ชมจำนวนมาก เสียงภายนอกหรือเสียงสาธารณะนี้ มักจะสะท้อนถึงความตระหนักรู้ของผู้ชม ผู้ฟัง เป็นสิ่งที่เป็นจริงและระแวดระวัง เป็นเสียงที่ผู้ให้สัมภาษณ์จะใช้หากว่าเขาต้องพูดท่ามกลางผู้ชมราว 300 คนในหอประชุม >> วรรคที่สองนี้ยังมีข้อบกพร่องฉกรรจ์คือการแปลผิดนะครับ ผิดตรงไหน? An outer, or public voice always reflects an awareness of the audience. คุณแปลว่า "เสียงภายนอกหรือเสียงสาธารณะนี้ มักจะสะท้อนถึงความตระหนักรู้ของผู้ชม ผู้ฟัง" ตรงนี้ผิดจังเบอร์นะครับ คำว่า awareness ในที่นี้ไม่ใช่ awareness ของผู้ฟัง แต่เป็น awareness ของผู้พูดว่าตัวเองกำลังพูดโดยมีคนฟัง การที่คนพูดมีความรู้สึกว่ามีคนจ้องฟังอยู่ทำให้เกร็ง ไม่เป็นธรรมชาติ ดังนั้นเวลาพูดอะไรก็จะพูดแบบระวังตัว กลัวถูกจับผิด ด้วยเหตุนี้เขาจึงขยายความในประโยคต่อมาไงครับว่า It's not untrue, it's guarded. ซึ่งพอคุณแปลว่า เป็นสิ่งที่เป็นจริงและระแวดระวัง มันฟังไม่ได้ใจความต่อเนื่องกับประโยคก่อนหน้า มันต้องแปลว่า "สิ่งที่เขาพูด(เสียงแบบสาธารณะ)นั้นไม่ใช่ว่าโกหกแต่ว่ามันแสดงความระมัดระวังตัว" เขาเน้นคำว่า "ไม่ได้โกหก" หรือ "ไม่ได้พูดเท็จ" ไม่ได้เน้นว่ามันเป็นจริง ซึ่งเมื่อเข้าใจอย่างนี้แล้วก็จะทำให้เข้าใจประโยคต่อไปที่เขียนว่า "ผู้ให้สัมภาษณ์จะพูดด้วยน้ำเสียงและลีลาอย่างเดียวกับที่ใช้เวลาพูดในที่ชุมนุมชนมีคนฟังตั้งสามร้อยคน" พูดง่ายๆคือพูดแบบพระเอก มีการเก๊กท่า ไม่เป็นธรรมชาติ ซึ่งผู้สัมภาษณ์ต้องเข้าใจตรงนี้ ไม่อย่างนั้นจะพลาด เมื่ออ่านถึงตรงนี้ก็ขอสรุปว่า เจ้าของกระทู้ยังมีปัญหาในการอ่านทำความเข้าใจกับต้นฉบับนะครับ ถ้าคุณเข้าใจจริง ไม่น่าจะพลาดในการถ่ายทอด คงต้องพัฒนาทักษะตรงนี้เพิ่มเติม จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 13:46:52 ]

ความคิดเห็นที่ 7 There is a language of the outer voice to which interviewers can become sensitive. For example, I often hear the word “fascinate” on talk show interviews; it usually works to communicate some sort of interest while covering up the exact nature of interest. Whenever I hear a participant use fascinate, I ask for elucidation. By taking participant’s language seriously with out making them feel defensive about it, interviewers can encourage a level of thoughtfulness more characteristic if inner voice. ผู้ให้สัมภาษณ์ต้องไวต่อภาษาเสียงภายนอก ยกตัวอย่างเช่น การใช้คำว่า Fascinate เป็นคำที่ข้าพเจ้ามักจะได้ยินเสมอเวลาชมรายการ ทอล์คโชว์ คำนี้มักจะใช้ดีเมื่อต้องการสื่อถึงความสนใจขณะเดียวกันก็หมายรวมไปถึงธรรมชาติของความสนใจอย่างจริงจัง เมื่อได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าก็จะถามผู้ให้สัมภาษณ์ให้เขาอธิบายเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น โดยถามถึงการใช้ภาษาของผู้ให้สัมภาษณ์ และไม่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน วิธีนี้ผู้สัมภาษณ์ได้ช่วยผู้ให้สัมภาษณ์เกิดความคิดที่มาจากเสียงภายในมากขึ้น >> วรรคนี้ก็มีแปลผิดนะครับ แสดงว่าคุณยังตีต้นฉบับไม่แตกจริง it usually works to communicate some sort of interest while covering up the exact nature of interest. คุณแปลว่า "...คำนี้มักจะใช้ดีเมื่อต้องการสื่อถึงความสนใจขณะเดียวกันก็หมายรวมไปถึงธรรมชาติของความสนใจอย่างจริงจัง.." ตรงนี้ไม่ได้ตรงกับเจตนารมณ์ของคนเขียนเขาเลย น่าจะแปลว่า "..คำนี้มักจะใช้เพื่อแสดงว่าผู้พูดมีความสนใจอะไรสักอย่างแต่ก็อำพรางไว้ไม่ให้รู้ว่าสนใจอะไรกันแน่.." "..เมื่อได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าก็จะถามผู้ให้สัมภาษณ์ให้เขาอธิบายเพื่อความเข้าใจที่มากขึ้น.." ข้อความนี้แปลไม่ผิด แต่สำนวนเก้งก้าง เขียนให้กระชับขึ้นได้ เช่น "เมื่อได้ยินคำนี้ ข้าพเจ้าจะขอให้เขาอธิบายให้กระจ่างขึ้น" "..โดยถามถึงการใช้ภาษาของผู้ให้สัมภาษณ์ และไม่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน วิธีนี้ผู้สัมภาษณ์ได้ช่วยผู้ให้สัมภาษณ์เกิดความคิดที่มาจากเสียงภายในมากขึ้น.." ตรงนี้ก็แปลไม่ผิด แต่ว่ามีกลิ่นนมเนยคลุ้งเพราะว่าเป็นการเรียงประโยคและเรียงความคิดแบบฝรั่ง ควรจะเรียบเรียงให้เป็นคำพูดแบบไทยๆเสียให้หมดกลิ่นนมเนยด้วยการสลับประโยคกันเท่านั้นเอง "ผู้สัมภาษณ์สามารถสนับสนุนให้ผู้ถูกสัมภาษณ์แสดงเสียงภายในได้ดีขึ้นโดยการให้ความสนใจอย่างจริงจังกับภาษาที่ผู้ถูกสัมภาษณ์ใช้แต่อย่าทำให้เขาเกิดความรู้สึกต่อต้าน" จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 14:13:47 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สวัสดีค่ะ คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด ทางที่จะแก้ไข การตีความ Text ให้แตกทำได้โดย 1. อ่านหนังสือภาษาอังกฤษให้มากขึ้น 2. ศึกษาเกี่ยวกับ English Structures เข้าใจถูกต้องไหมคะ จากคุณ : จขกท (curiousityy) - [ 21 มิ.ย. 50 14:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถูกต้องครับ ตรงนี้เป็นภาคการรับเข้า หนทางเดียวที่จะเกิดความเชี่ยวชาญ เกิดทักษะก็ต้องฝึกฝนให้มากขึ้นเท่านั้นเอง เท่าที่ผมสังเกตดู ความผิดพลาดของเจ้าของกระทู้อยู่ที่การแปลแบบคำต่อคำตายตัว ไม่ได้สังเกตบริบทของประโยคและข้อความอื่นๆประกอบด้วย นอกจากนั้นก็อาจขาดความชำนาญในการแปลสำนวน ยกตัวอย่าง awareness of the audience ถ้ายกมาลุ่นๆอย่างนี้มันก็แปลอย่างที่คุณแปลมาคือ ความตระหนักของผู้ชมผู้ฟัง แต่ถ้าอ่านทั้งข้อความให้เห็นบริบทก็จะเข้าใจว่าต้องตีความอย่างที่ผมแนะนำไป หรืออย่าง covering up คุณก็แปลแค่ cover จึงแปลว่า หมายรวมไป แต่ความจริงมันเป็นสำนวน cover up แปลว่า การปกปิด การอำพราง ต่างหาก ก็ไม่มีอะไรที่การอ่านให้มากขึ้นจะแก้ไม่ได้หรอกครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 16:37:23 ]

ความคิดเห็นที่ 10 On a third level, interviewers-look like good teachers in a classroom-must listen while remaining aware of the process as well as the substance. They must be conscious of time during the interview; they must be aware of how much has been covered and how much there is yet to go. They must be sensitive to the participant’s energy level and any nonverbal cues he or she may be offering. Interviewers must listen hard to assess the progress of the interview and to stay alert for cues about how to move the interview forward as necessary. 3. ระดับที่สาม ผู้สัมภาษณ์ต้องทำเสมือนเป็นครูที่ดีในห้องเรียน ซึ่งต้องรับฟังไปพร้อมๆกับตระหนักถึงกระบวนการสัมภาษณ์และข้อมูลที่ได้รับมาผู้สัมภาษณ์ต้องระลึกถึงเวลาที่ใช้ระหว่างสัมภาษณ์ ว่าได้ข้อมูลมาตอบคำถามตามที่ต้องการหรือไม่ หากยังไม่ได้ ยังเหลือข้อมูลอีกสักเท่าไรที่ยังต้องสัมภาษณ์เพื่อตอบคำถามที่เหลือเหล่านั้น นอกจากนั้นผู้สัมภาษณ์ยังต้องคอยดูด้วยว่าผู้ให้สัมภาษณ์เหนื่อยล้าหรือไม่ และผู้ให้สัมภาษณ์อาจจะแสดงออกทางภาษากายด้วย ผู้สัมภาษณ์ต้องตั้งใจฟังมากพอที่เข้าใจความก้าวหน้าที่ได้ระหว่างที่สัมภาษณ์และไวต่อเงื่อนงำที่จะมีส่วนทำให้การสัมภาษณ์ดำเนินต่อไปข้างหน้า >> วรรคนี้ให้ผ่านครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 20:44:14 ]

ความคิดเห็นที่ 11 Follow up on what the participant says When interviews do talk in an interview, they usually ask question. The key to asking question during in-depth interviewing is to let them follow, as much as possible, from what the participant is saying. Although the interviewers comes to each interview with a basic question that establishes the purpose and focus of the interview, it is in response to what the participant says that the interviewer follows up, ask for clarification, seeks concrete details, and requests stories. Rather than preparing a preset interview guide, the interviewer’s basic work in this approach to interviewing is to listen actively and move the interview forward as much as possible by building on what the participant has begun to share. ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมา เมื่อผู้สัมภาษณ์พูดคุยในการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์มักจะถามคำถาม จุดประสงค์หลักของการสัมภาษณ์เชิงลึกก็คือการให้ผู้สัมภาษณ์ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูดออกมาให้ได้มากที่สุด แม้ว่าผู้สัมภาษณ์มาสัมภาษณ์แต่ละครั้งพร้อมกับคำถามที่เตรียมไว้ซึ่งเป็นจุดประสงค์ของการมาสัมภาษณ์ครั้งนั้น การที่จะตอบโต้สิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์กล่าวออกมาก็คือ การที่ผู้สัมภาษณ์ติดตามสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์พูด ถามเพื่อความชัดเจนที่มากขึ้น หารายละเอียด ถามถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นต่อไป แทนที่จะเตรียมถามคำถามต่อไป สิ่งที่ผู้สัมภาษณ์ควรทำก็คือ การฟังอย่างตั้งใจและทำให้การสัมภาษณ์ดำเนินไปพร้อมๆกับการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวออกมา >> วรรคนี้แปลผิดฉกรรจ์นะครับ ก็คงสืบเนื่องจากอ่านต้นฉบับไม่แตก Rather than preparing a preset interview guide, ...มันควรจะแปลว่า แทนที่จะเตรียมแนวทางการสัมภาษณ์ไว้ล่วงหน้า ไม่ใช่แปลว่า แทนที่จะเตรียมถามคำถามต่อไป ..move the interview forward as much as possible by building on what the participant has begun to share. ควรจะแปลว่า "..ดำเนินการสัมภาษณ์ให้คืบหน้าไปให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยการสานต่อจากสิ่งที่ผู้ให้สัมภาษณ์ได้เริ่มเปิดเผยให้ทราบ.." ไม่ใช่ "..ทำให้การสัมภาษณ์ดำเนินไปพร้อมๆกับการสร้างความสัมพันธ์เพื่อให้ผู้ให้สัมภาษณ์เล่าเรื่องราวออกมา.." ดูเป็นเรื่องเล็กน้อยก็จริง แต่มันฟ้องว่างานแปลชิ้นนี้คนอ่านได้รับข้อมูลที่บิดเบือนจากต้นฉบับถ้าปล่อยไป จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 20:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 12 "..interviewers begin to feel a vague question welling inside them because they sense there is more to the story. ผู้สัมภาษณ์เริ่มรู้สึกว่าคำถามยังคลุมเครือเพราะรู้สึกว่าเรื่องราวน่าจะมีมากกว่า >> น่าจะแปลว่า "..ผู้สัมภาษณ์เริ่มรู้สึกว่ามีคำถามเกิดขึ้นแม้จะยังไม่ชัดเจนนักเพราะเขาสำเหนียกได้ว่าเรื่องนี้ยังมีอะไรมากกว่าที่ได้รับรู้มา.." จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 21 มิ.ย. 50 21:04:19 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เคยเรียนการแปลมาเป็นคอร์สสั้นๆ ส่งการบ้านตลอดแต่ก็ไม่มีอาจารย์ท่านใดมีเวลามาตรวจ และ comment ให้อย่างนี้เลย ส่วนใหญ่ท่านจะเพียงตรวจให้รู้ว่าแปลมาถูกหรือผิดตรงไหนเท่านั้น และควรแก้ไขให้ถูก อย่างไร แต่ไม่ได้บอกว่าปัญหาของเราคืออะไร จริงๆก็พอรู้อยู่ว่ามีปัญหาทุกครั้งที่พยายามแปลอะไร แต่ก็ตื้อๆตันๆ พูดไม่ออกบอกไม่ถูกว่าปัญหาที่ชัดเจนคืออะไร ขอขอบคุณ คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด ที่วิจารณ์การแปลได้แบบตัดขั้วหัวใจจริงๆ หากไม่ได้เอาการแปลมาลงกระทู้คงยังหาข้อบกพร่องของตัวเองไม่เจอจริงๆ จะหาความรู้เพิ่มเติมและพยายามพัฒนาต่อไปค่ะ ลองแปลมาเพิ่ม แล้วพบว่ามีปัญหากับบางประโยค ที่แปลไม่ออกและไม่ค่อยแน่ใจ รบกวน (อีกแล้ว) Ask questions when you do not understand It is hard work to understand everything people say. Sometimes the context is not clear. At other times we do not understand the specific referent of what someone is saying. In everyday conversation we often let such things slide by without understanding them. In interviewing such sliding undermines the process. ถามคำถามเมื่อไม่เข้าใจ เป็นงานหนักทีเดียวที่จะเข้าทุกสิ่งที่ผู้คนกล่าวออกมา บางครั้งบริบทก็ไม่ชัดเจนพอ เมื่อมีใครพูดถึงอะไรออกมา บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าเขากล่าวอ้างถึงอะไรโดยเฉพาะ ในการสนทนาประจำวันเรามักจะปล่อยให้บางอย่างผ่านไปโดยไม่ไปทำความเข้าใจกับมัน ในการสัมภาษณ์การปล่อยบางอย่างผ่านไปทำให้การสัมภาษณ์นั้นๆประสบผลน้อยลง จากคุณ : curiousityy (curiousityy) - [ 25 มิ.ย. 50 10:03:55 ]

ความคิดเห็นที่ 14 One interview establishes the context for the next. Not having understood something in an early interview, an interviewer might miss the significance of something participants says later. Passages in interviews become links to each other in ways that can not be foretold. Also, the interviewer who lets a participants know when he or she does not understand something shows the person that the interviewer is listening. การสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งได้สร้างเนื้อหาสำหรับการสัมภาษณ์ที่ดำเนินไป การไม่เข้าใจบางอย่างในช่วงต้นของการสัมภาษณ์ ผู้สัมภาษณ์อาจจะพลาดข้อมูลสำคัญบางอย่างที่ผู้ให้สัมภาษณ์จะกล่าวต่อไป ข้อมูลนั้นอาจจะเชื่อมโยงกับข้อมูลอื่นๆ อย่างที่ไม่สามารถคาดเดาไว้ล่วงหน้าได้ นอกจากนั้น ผู้สัมภาษณ์ที่บอกให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้ว่าเขาไม่เข้าใจบางสิ่งบางอย่างแสดงให้ผู้ให้สัมภาษณ์เห็นว่าเขากำลังฟังอยู่ จากคุณ : curiousityy (curiousityy) - [ 25 มิ.ย. 50 10:04:51 ]

ความคิดเห็นที่ 15 Sometimes it is difficult to get the chronology of an experience straight. It is important for interviewers to understand experiences in the context of time. A question like, “Can you tell me again when that happen?” is a reasonable one. I use the word “again” so as not to imply to participants that they are not being clear, thereby making them defensive, but rather, as in often the case, to suggest that I was just not attentive enough the first time around. เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สัมภาษณ์ต้องเข้าใจประสบการณ์ เรื่องราวตามบริบทของเวลา บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะได้รับประสบการณ์ตรงตามลำดับของเวลา คำถามที่ว่า “คุณกรุณาบอกอีกครั้งได้ไหมว่านั่นเกิดขึ้นเมื่อไหร่” เป็นคำถามที่สมเหตุสมผล ผมใช้คำว่า “อีกครั้ง” เพื่อที่จะไม่ต้องบอกเป็นนัยว่าผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน แต่ในทางตรงข้าม เป็นกรณีที่มักเกิดบ่อย เป็นการบอกว่าผมไม่ตั้งใจมากพอในครั้งแรก วรรคนี้มีส่วนที่ไม่แน่ใจ ดังนี้ค่ะ [chronology of an experience straight. ประสบการณ์ตรงตามลำดับของเวลา] [experiences in the context of time . ประสบการณ์ เรื่องราวตามบริบทของเวลา] [but rather, as in often the case, to suggest that I was just not attentive enough the first time around. แต่ในทางตรงข้าม เป็นกรณีที่มักเกิดบ่อย เป็นการบอกว่าผมไม่ตั้งใจมากพอในครั้งแรก] จากคุณ : curiousityy - [ 25 มิ.ย. 50 10:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 16 Sometimes participants use vague words that seem to be communicating but are not explicit. For example, one community college faculty member whom I interviewed consistently describes his students by saying, “They are very nice.” I did not know what he meant by the term nice. In a way it seemed to trivialize the respect for his students that he had communicated throughout the interview. I asked him, “What is nice?” He said, บางครั้งผู้ให้สัมภาษณ์ใช้คำที่คลุมเครือที่ดูเหมือนเป็นคำที่สื่อสารได้แต่อธิบายไม่ได้ชัดเจนพอ ยกตัวอย่างเช่น ผมได้สัมภาษณ์สมาชิกวิทยาลัยชุมชนคนหนึ่งผู้ซึ่งอธิบายถึงนักเรียนของเขาอยากหนักแน่นว่า “พวกเขาน่ารักมาก” ผมไม่เข้าใจว่าคำว่า น่ารัก ของเขาหมายความถึงอะไร มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญความรู้สึกที่เขามีต่อนักเรียนนักตลอดเวลาการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผมจึงถามเขา “น่ารักคืออะไร” เขากล่าวว่า Notes: Nice ในบริบทนี้ไม่รู้ว่าจะแปลว่าน่ารัก เป็นมิตร เป็นที่น่าพอใจ [In a way it seemed to trivialize the respect for his students that he had communicated throughout the interview. มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญความรู้สึกที่เขามีต่อนักเรียนนักตลอดเวลาการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา] Trivialize  (V) = make a subject, problem seem little important. จากคุณ : curiousityy - [ 25 มิ.ย. 50 10:06:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 The students at the private university [Where he had previously taught] were rude, and they frequently demanding. I don’t mean intellectually demanding. They would say, “You didn’t say that. You didn’t say you were going to test us on that sort of thing.” Our students at the community college are really nice. Maybe our students are not that motivates; maybe that’s why they are not; but they are really nice to teach. You almost never have anything you call a discipline problem. It just doesn’t happen I don’t know; I do like our students. นักศึกษาที่มหาวิทยาลัยเอกชน (ที่เขาเคยสอนมาก่อน)ไม่สุภาพ และมักจะมีข้อเรียกร้อง ผมไม่ได้หมายถึงการเรียกร้องแบบฉลาดนะ พวกเขาจะพูดว่า “คุณไม่ได้พูดอย่างนั้น คุณไม่ได้พูดว่าจะทดสอบเราเรื่องนั้น” นักศึกษาที่วิทยาลัยชุมชนน่ารักจริงๆ นักศึกษาของเราอาจจะไม่ได้รับการกระตุ้นที่เพียงพอ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอย่างนั้น แต่พวกเขาน่ารักที่จะสอน คุณแทบจะไม่มีอะไรที่คุณเรียกว่าปัญหาด้านระเบียบวินัย มันไม่เคยเกิดขึ้น ผมไม่รู้ ผมชอบนักเรียนของผม Notes: ไม่แน่ใจว่าเข้าใจถูกหรือเปล่า [Maybe our students are not that motivates; maybe that’s why they are not; นักศึกษาของเราอาจจะไม่ได้รับการกระตุ้นที่เพียงพอ นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเขาถึงไม่เป็นอย่างนั้น] จากคุณ : curiousityy - [ 25 มิ.ย. 50 10:06:40 ]

ความคิดเห็นที่ 18 In responding to my request for clarification about his use of the word nice, the participant went more deeply into the nature of his teaching experience. By my taking his language seriously, he explored what he meant when he use the word nice. As the interviewer, I then understood better what, for him, were the complexities implied in his use of the apparently simple word nice. ผู้ให้สัมภาษณ์ให้ข้อมูลเกี่ยวกับประสบการณ์สอนของเขาในแง่มุมที่ลึกขึ้น เมื่อเขาตอบคำถามของผมที่ขอให้เพิ่มความชัดเจน คำว่า น่ารัก ที่เขาใช้ ความสนใจอย่างจริงจังของผมที่มีต่อภาษาของเขา เขาอธิบายว่าเขาหมายความว่าอะไรเมื่อเขาใช้คำว่าน่ารัก ในฐานะของผู้สัมภาษณ์ผมเข้าใจเขาได้ดีขึ้น ในฐานะผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นการบอกเป็นนัยถึงความซับซ้อนที่เขาใช้ คำว่าน่ารัก ซึ่งเป็นคำง่ายๆ Notes: ถึงจะค่อนข้างเข้าใจต้นฉบับ แต่รู้สึกว่าแปลออกมาแล้ว ภาษาแปร่งๆ [As the interviewer, I then understood better what, for him, were the complexities implied in his use of the apparently simple word nice. ในฐานะของผู้สัมภาษณ์ผมเข้าใจเขาได้ดีขึ้น ในฐานะผู้ให้สัมภาษณ์ เป็นการบอกเป็นนัยถึงความซับซ้อนที่เขาใช้ คำว่าน่ารัก ซึ่งเป็นคำง่ายๆ] จากคุณ : curiousityy - [ 25 มิ.ย. 50 10:07:08 ]

ความคิดเห็นที่ 19 Ask questions when you do not understand It is hard work to understand everything people say. Sometimes the context is not clear. At other times we do not understand the specific referent of what someone is saying. In everyday conversation we often let such things slide by without understanding them. In interviewing such sliding undermines the process. ถามคำถามเมื่อไม่เข้าใจ เป็นงานหนักทีเดียวที่จะเข้าทุกสิ่งที่ผู้คนกล่าวออกมา บางครั้งบริบทก็ไม่ชัดเจนพอ เมื่อมีใครพูดถึงอะไรออกมา บางครั้งเราก็ไม่เข้าใจว่าเขากล่าวอ้างถึงอะไรโดยเฉพาะ ในการสนทนาประจำวันเรามักจะปล่อยให้บางอย่างผ่านไปโดยไม่ไปทำความเข้าใจกับมัน ในการสัมภาษณ์การปล่อยบางอย่างผ่านไปทำให้การสัมภาษณ์นั้นๆประสบผลน้อยลง >> คุณแปลได้ครบสมบูรณ์ ยกเว้นตรง "บางอย่าง" ซึ่งเผอิญเป็นหัวใจของข้อความนี้ทั้งวรรค เขาปูพื้นมาไว้แต่ต้นว่าบ่อยครั้งที่เราไม่เข้าใจสิ่งที่คนอื่นพูด แล้วเขาก็ติดตามมาด้วยการเอ่ยถึงสิ่งที่ปูพื้นไว้แล้วด้วยคำว่า such tihings แต่คุณใช้คำว่า "บางอย่าง" ซึ่งมันฟังดูทำให้น้ำหนักข้อความน้อยลงเพราะฟังดูไม่ปะติดปะต่อกับข้อความก่อนหน้า เราน่าจะใช้ถ้อยคำที่รักษาเจตนารมณ์ของคนเขียนว่าเขาอ้างอิงถึงการปูพื้นก่อนหน้า อาทิเช่น "ในการสนทนาประจำวันเรามักจะปล่อยให้ความไม่เข้าใจดังกล่าวผ่านไป..." จากนั้นจึงขมวดท้ายด้วยข้อสรุปว่า การไม่ใส่ใจกับความไม่เข้าใจดังกล่าวเป็นการทำให้การสัมภาษณ์ไม่ได้ผล ดูเหมือนเป็นเรื่องขี้ปะติ๋ว แต่อย่าลืมว่า คุณกำลังพยายามจะเป็นช่างฝีมือในการเรียงคำ เหมือนช่างทองช่างเงินช่างเพชรช่างพลอย ช่างฝีมือต้องใส่ใจในรายละเอียดครับ ช่างเรียงคำต้องแสดงฝีมือในการสื่อสิ่งที่เราต้องการได้อย่างแม่นยำ ไม่มากกว่านั้น ไม่น้อยกว่านั้น เราก็ถือพจนานุกรมเล่มเดียวกับคุณทมยันตีแต่ทำไมท่านเป็นนักประพันธ์ยอดนิยม ก็เพราะฝีมือช่างเรียงคำของเธอสิครับ ยิ่งเราแปลงานคนอื่น ยิ่งต้องเคารพต่อต้นฉบับอย่างที่สุดเพราะถ้าเราแปลเพี้ยน คนอ่านก็จะเข้าใจในตัวคนเขียนผิดไปจนวันตาย บาปครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 มิ.ย. 50 20:36:52 ]

ความคิดเห็นที่ 20 One interview establishes the context for the next. การสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งได้สร้างเนื้อหาสำหรับการสัมภาษณ์ที่ดำเนินไป >> แปลอย่างนี้ไม่ด้ายยยยยย! ที่ถูกคือ การสัมภาษณ์ไปครั้งหนึ่งๆเป็นการกำหนดบริบทสำหรับการสัมภาษณ์ครั้งต่อไป next คือ ครั้งต่อไป เพราะว่าการสัมภาษณ์มันไม่ได้มีครั้งเดียวนี่ครับ ส่วนอื่นๆของวรรคนี้ก็ OK นะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 มิ.ย. 50 20:43:21 ]

ความคิดเห็นที่ 21 Sometimes it is difficult to get the chronology of an experience straight. It is important for interviewers to understand experiences in the context of time. A question like, “Can you tell me again when that happen?” is a reasonable one. I use the word “again” so as not to imply to participants that they are not being clear, thereby making them defensive, but rather, as in often the case, to suggest that I was just not attentive enough the first time around. เป็นเรื่องสำคัญที่ผู้สัมภาษณ์ต้องเข้าใจประสบการณ์ เรื่องราวตามบริบทของเวลา บางครั้งเป็นเรื่องยากที่จะได้รับประสบการณ์ตรงตามลำดับของเวลา คำถามที่ว่า “คุณกรุณาบอกอีกครั้งได้ไหมว่านั่นเกิดขึ้นเมื่อไหร่” เป็นคำถามที่สมเหตุสมผล ผมใช้คำว่า “อีกครั้ง” เพื่อที่จะไม่ต้องบอกเป็นนัยว่าผู้ให้สัมภาษณ์ไม่ชัดเจนพอ ซึ่งจะทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกต่อต้าน แต่ในทางตรงข้าม เป็นกรณีที่มักเกิดบ่อย เป็นการบอกว่าผมไม่ตั้งใจมากพอในครั้งแรก >> คุณแปลได้ดี ไม่ผิด ไม่ขาด ไม่เกิน การใช้ถ้อยคำก็ดี ถ้าจะให้ขัดเกลาก็คงมีแต่ตรงนี้แหละที่ต้องเรียบเรียงให้มันเข้าใจง่ายขึ้นแบบไทยๆ "..แต่ในทางตรงข้าม เป็นกรณีที่มักเกิดบ่อย เป็นการบอกว่าผมไม่ตั้งใจมากพอในครั้งแรก.." -> "..แต่ในทางตรงข้ามเป็นการบอกว่าผมยังไม่ตั้งใจพอในครั้งแรก ซึ่งก็เป็นกรณีที่พบได้บ่อย.." จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 มิ.ย. 50 20:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 22 Sometimes participants use vague words that seem to be communicating but are not explicit. For example, one community college faculty member whom I interviewed consistently describes his students by saying, “They are very nice.” I did not know what he meant by the term nice. In a way it seemed to trivialize the respect for his students that he had communicated throughout the interview. I asked him, “What is nice?” He said, บางครั้งผู้ให้สัมภาษณ์ใช้คำที่คลุมเครือที่ดูเหมือนเป็นคำที่สื่อสารได้แต่อธิบายไม่ได้ชัดเจนพอ ยกตัวอย่างเช่น ผมได้สัมภาษณ์สมาชิกวิทยาลัยชุมชนคนหนึ่งผู้ซึ่งอธิบายถึงนักเรียนของเขาอยากหนักแน่นว่า “พวกเขาน่ารักมาก” ผมไม่เข้าใจว่าคำว่า น่ารัก ของเขาหมายความถึงอะไร มันดูเหมือนว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญความรู้สึกที่เขามีต่อนักเรียนนักตลอดเวลาการสัมภาษณ์ที่ผ่านมา ผมจึงถามเขา “น่ารักคืออะไร” เขากล่าวว่า >> คุณก็แปลได้ดีแล้วนะ ยกเว้นประโยคสุดท้ายที่ผมเสนอแนะว่าควรจะแปลอย่างนี้ "ในอีกทางหนึ่ง มันทำให้ดูเหมือนว่าเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของความเคารพต่อตัวนักเรียนที่เขาได้แสดงออกมาตลอดการสัมภาษณ์" สำหรับ nice ลองแปลคำเป็นกลางๆเช่น ดี อะไรทำนองนี้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 มิ.ย. 50 21:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 23 #17&18 ก็โอเคนะ ยกเว้นตรง "intellectually demanding" มันไม่ใช่แปลว่า เรียกร้องแบบฉลาด แต่มันหมายความว่า มันเรียกร้องหรือจำต้องใช้ความคิดหรือสติปัญญาเป็นอันมากในการแก้ปัญหาต่างหาก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 25 มิ.ย. 50 21:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 intellectually demanding เพราะว่า intellectually เป็น ADV ไม่ใช่ ADJ เพราะฉะนั้นจึงไม่สามารถแปลว่า เรียกร้องแบบฉลาด แต่ถ้าเป็น intellectual demanding จึงจะแปลว่า เรียกร้องแบบฉลาด เข้าใจถูกไหมคะ จขกท ละเลยเรื่อง part of speech ทำให้แปลออกมาไม่ได้ความหมายที่ถูกต้อง จากคุณ : จขกท (curiousityy) - [ วันสุนทรภู่ 10:58:39 ]

ความคิดเห็นที่ 25 มีอีกคำถามหนึ่งค่ะ สงสัยว่าเวลาอ่านภาษาอังกฤษในใจ จำเป็นไหมที่เราต้องอ่านแบบออกสำเนียงภาษาอังกฤษไปด้วย ในกรณีที่อ่านแบบตั้งใจ ไม่ได้อ่านแบบ Scan แล้วถ้าสำเนียงภาษาอังกฤษไม่ดี ขนาดเวลาพูดภาษาอังกฤษยังพูดสำเนียงไทย เวลาอ่านภาษาอังกฤษก็อ่านออกเสียงในใจเป็นสำเนียงไทย อย่างนี้ต้องแก้ไขปรับปรุงไหมคะ จากคุณ : curiousityy - [ วันสุนทรภู่ 11:03:28 ]

ความคิดเห็นที่ 26 intellect สติปัญญา intellectual ผู้มีสติปัญญา, มีสติปัญญา intellectually อย่างมีสติปัญญา อย่างใช้สติปัญญา เชิงสติปัญญา intellectually demanding เรียกร้องในทางด้านสติปัญญา ต้องใช้สติปัญญา ถ้าความฉลาด มักจะใช้ wise, wisdom มากกว่า ในที่นี้เขาเริ่มต้นด้วยการกล่าวถึงว่านักเรียนมักจะ demanding คือเรียกร้องความสนใจบ่อยๆ เรียกร้องกับใคร? กับอาจารย์ หน้าที่ของอาจารย์คือสอนเด็ก ซึ่งปกติแล้วก็เป็นภาระในการต้องใช้สติปัญญาอย่างยิ่ง นั่นคือสิ่งที่ demanding สำหรับอาจารย์ที่ถือว่าเป็นสิ่งที่ปกติชอบธรรม แต่อาจารย์คนนี้เขาบอกว่าเด็กมันเรียกร้อง แต่มันไม่ได้เรียกร้องในเชิงที่ต้องใช้สติปัญญาแก้ไข อันที่จริง พูดแบบไทยๆคือ เรียกร้องแบบปัญญานิ่ม นั่นเอง ดังนั้นจะแปลใช้ถ้อยคำเช่นไรก็ขอให้เข้าใจความหมายตรงนี้ก็แล้วกัน อาจารย์เขายังสุภาพไม่บอกว่า เด็กมันงี่เง่า สำหรับคำถามเรื่องการอ่าน อือม์ น่าสนใจนะ ผมอ่านผมออกเสียงไปด้วยไหมในใจ? ผมว่าผมไม่ได้ออกเสียงนะ อย่างไรก็ตาม ผมไม่คิดว่าการออกเสียงถูกหรือไม่ถูกจะมีผลต่อความเข้าใจและตีความถ้อยคำภาษาอังกฤษ ไม่อย่างนั้นผมคงอ่านหนังสือภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่องสมัยที่ผมเริ่มอ่านหนังสือภาษาอังกฤษตอนเล็กๆและยังไม่มีโอกาสฝึกพูด คือผมเจอคำใหม่ๆ ผมก็อ่านตะลุยไป อ่านผิดอ่านถูกก็ไม่รู้ละ เอาความเข้าใจไว้ก่อน ผมต้องมาแก้ทีหลังตั้งหลายคำว่าตูอ่านมาผิดตลอดนี่หว่า จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ วันสุนทรภู่ 11:58:44 ]

ความคิดเห็นที่ 27 กระทู้นี้มีประโยชน์มาก น่าอ่านค่ะ จากคุณ : Care - [ 28 มิ.ย. 50 10:09:11 A:203.188.41.193 X: TicketID:102404 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผีหลอก? ดูหน้ารวมบอกว่ามี 34 คคห พอเข้ามาดูทำไมมีแค่ 27? หรือเป็นเพราะว่า proxy server ของที่ทำงานมันทำงานช้า เลยโหลดเจ้า 7 คคห. เข้า cache ไม่ทัน? หรือเป็นเพราะว่ากรองคำของพันทิปมันของขึ้น เลยจัดการเจี๋ยน คคห.ใหม่ทีเดียวเจ็ด คคห. รวด แต่ก็ไม่น่าเป็นได้ที่จะมีคำที่แสลงต่อกรองคำอยู่ในทั้งเจ็ดกระทู้ งงวุ้ย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 14:01:10 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ใช่จริงๆด้วย ตบทีเดียวตายเจ็ด หายไปเจ็ดอันเลย แปลกประหลาดมหัศจรรย์มาก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 14:03:19 ]

ความคิดเห็นที่ 37 เมือเช้าพยายามจะ post บทความที่แปลมาเพิ่ม บทความนั้นมีคำว่า liar จะเกี่ยวหรือเปล่าค่ะ แล้ว อย่างนี้ต้องทำอย่างไรดี จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 14:24:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คุณลองโพสท์ทีละอันนะครับ อันไหนหายก็แสดงว่าในนั้นแหละมีคำที่เป็นปัญหา ผมเจอบ่อยๆเหมือนกัน โปรแกรมกรองคำมันแยกไม่ออกระหว่างคำหยาบที่เป็นคำโดดๆกับคำที่เหมือนกันแต่แทรกอยู่เป็นส่วนหนึ่งของคำอื่นและมีความหมายอื่นโดยสิ้นเชิง ตระกูล กองกูนฐ์ อังกูร เสร็จมันหมด จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 14:54:09 ]

ความคิดเห็นที่ 41 อ๊ะ ฉลาดขึ้นแฮะ แสดงว่าพันทิปฝึกให้เชื่องขึ้น เมื่อก่อนดุกว่านี้ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 14:55:29 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ลองดู อีทีนะคะ บทความจาก http://www.csoonline.com/read/120105/ht_liar.html How to Spot a Liar Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. By Daintry Duffy We're used to seeing interrogation scenes on TV—the bare lightbulb, the sweaty, hostile detective, you know the drill. But how do investigations play out in the corporate world, when the questioner wears a suit rather than a gun holster, and the chilling environs of a police room are replaced by the bland layout of a corporate office? Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 15:15:47 ]

ความคิดเห็นที่ 43 จะจับคนโกหกได้อย่างไร 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล โดย เดนทรี ดัฟฟี เราเคยเห็นการซักถามทางทีวี – หลอดไฟ เหงื่อเปียกโชก นักสืบที่ไม่เป็นมิตร (You know the drill?) แต่การสืบสวนเหล่านี้ค่อยๆเกิดขึ้นได้อย่างไรในโลกที่เชื่อมโยงกันนี้ เมื่อผู้ถามคำถามสวมสูทมากกว่าที่จะสวมที่ใส่กระบอกปืน  สภาพแวดล้อมที่น่ากลัวของห้องตำรวจแทนที่ด้วยสำนักงานที่ธรรมดา  ต่อไปนี้คือ 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 15:18:18 ]

ความคิดเห็นที่ 46 Know What You're Stepping Into รู้ว่าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร An interview and an interrogation serve very different purposes, so treat them differently. การสัมภาษณ์และการซักถามอย่างมีจุดหมายมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสัมภาษณ์และการซักถามอย่างมีจุดหมายจึงปฏิบัติแตกต่างกันด้วย [Know What You're Stepping Into =รู้ว่าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร รู้ว่าคุณกำลังทำอะไร รู้ว่าคุณกำลังก้าวไปสู่อะไร Stepping Into = get involved in the difficult situation because you think you can or should help with it.] จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 15:34:21 ]

ความคิดเห็นที่ 47 In an interview, the questioner is still gathering information. The investigation is ongoing. In an interrogation (like the made-for-TV vignette above), an investigator believes he already knows what the subject did. The goal is to get a confession or a confirmation about what happened from the subject himself. ในการสัมภาษณ์ ผู้ถามคำถามยังคงเก็บรวบรวมข้อมูล ในระหว่างที่การสืบสวนสอบสวนดำเนินไปนั้น การซักถามอย่างมีจุดหมาย (เหมือนฉากในโทรทัศน์ที่กล่าวมาข้างต้น) นักสืบเชื่อว่าเขารู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกซักถามทำสิ่งนั้น จุดมุ่งหมายก็คือได้รับการสารภาพหรือการยืนยันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากผู้ถูกซักถามด้วยตัวเขาเอง [the subject = ผู้ให้สัมภาษณ์, ผู้ตอบคำถาม ไม่ทราบว่าน่าจะแปลว่าอะไรดีในบริบทนี้] จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 15:42:58 ]

ความคิดเห็นที่ 48 Mixing interviewing with interrogation is a common mistake even among seasoned law enforcement professionals, says Nathan Gordon, coauthor of Effective Interviewing and Interrogation Techniques, who trains police and security officers on interviewing skills as director of the Academy for Scientific Investigative Training in Philadelphia. นาธาน กอร์ดอน ผู้เขียนร่วม เทคนิคการสัมภาษณ์และการซักถามที่มีประสิทธิผล และผู้ฝึกทักษะด้านการสัมภาษณ์ให้กับตำรวจและเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยและยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันฝึกฝนการสืบสวนสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ในฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า การผสมผสานกันระหว่างการสัมภาษณ์และการถามอย่างมีจุดหมายเป็นความผิดพลาดธรรมดาที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสบการณ์ก็ตาม จากคุณ : curiousityy - [ 2 ก.ค. 50 15:53:29 ]

ความคิดเห็นที่ 52 คุณยังอ่านต้นฉบับไม่ขาดนะครับ ต้องฝึก ฝึก ฝึก และฝึก How to Spot a Liar Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. By Daintry Duffy We're used to seeing interrogation scenes on TV—the bare lightbulb, the sweaty, hostile detective, you know the drill. But how do investigations play out in the corporate world, when the questioner wears a suit rather than a gun holster, and the chilling environs of a police room are replaced by the bland layout of a corporate office? Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. จะจับคนโกหกได้อย่างไร 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล โดย เดนทรี ดัฟฟี เราเคยเห็นการซักถามทางทีวี – หลอดไฟ เหงื่อเปียกโชก นักสืบที่ไม่เป็นมิตร (You know the drill?) แต่การสืบสวนเหล่านี้ค่อยๆเกิดขึ้นได้อย่างไรในโลกที่เชื่อมโยงกันนี้ เมื่อผู้ถามคำถามสวมสูทมากกว่าที่จะสวมที่ใส่กระบอกปืน  สภาพแวดล้อมที่น่ากลัวของห้องตำรวจแทนที่ด้วยสำนักงานที่ธรรมดา  ต่อไปนี้คือ 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล ข้อท้วงติง 1....เหงื่อเปียกโชก.... >> เหงื่อเปียกใคร? ดูให้ดีว่า adj. นี้ขยายอะไร ไปทิ้งไว้ลอยๆได้อย่างไร 2....you know the drill.....>> drill แปลว่า การฝึก หมายถึงการที่ได้เห็นได้ทำอะไรซ้ำๆซากๆจนขึ้นใจ ดังนั้นในที่นี้ เขาหมายถึงว่า ฉากการสอบสวนของตำรวจในหนังนั้นคนต้องเคยเห็นกันจำเจจนขึ้นใจแล้ว ไม่ต้องสาธยายกันมาก 3....โลกที่เชิ่อมโยงกันอยู่นี้....>> ไปแปล corporate world มาใหม่นะ 4...กระบอกปืน...>> คุณเอากระบอกปืนมาจากไหน? ในบทเขาว่า gun holster คุณไปเปิดดิกดูใหม่นะครับว่า holster คืออะไร 4 ข้อนี้ฟ้องว่าคุณยังอ่านต้นฉบับไม่ขาดนะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 20:09:29 ]

ความคิดเห็นที่ 53 Know What You're Stepping Into รู้ว่าคุณเข้าไปเกี่ยวข้องกับอะไร An interview and an interrogation serve very different purposes, so treat them differently. การสัมภาษณ์และการซักถามอย่างมีจุดหมายมีจุดประสงค์ที่แตกต่างกัน ดังนั้นการสัมภาษณ์และการซักถามอย่างมีจุดหมายจึงปฏิบัติแตกต่างกันด้วย >> interrogation ก็คือ การสอบสวนหรือการสอบปากคำของตำรวจ ไม่ต้องบัญญัติศัพท์ใหม่ครับ ตรงนี้จะแปลได้ถูกต้องก็ต้องอาศัยความรุ้รอบตัว อ่าน อ่าน และ อ่าน นะครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 20:13:02 ]

ความคิดเห็นที่ 54 In an interview, the questioner is still gathering information. The investigation is ongoing. In an interrogation (like the made-for-TV vignette above), an investigator believes he already knows what the subject did. The goal is to get a confession or a confirmation about what happened from the subject himself. ในการสัมภาษณ์ ผู้ถามคำถามยังคงเก็บรวบรวมข้อมูล ในระหว่างที่การสืบสวนสอบสวนดำเนินไปนั้น การซักถามอย่างมีจุดหมาย (เหมือนฉากในโทรทัศน์ที่กล่าวมาข้างต้น) นักสืบเชื่อว่าเขารู้อยู่แล้วว่าผู้ถูกซักถามทำสิ่งนั้น จุดมุ่งหมายก็คือได้รับการสารภาพหรือการยืนยันเกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นจากผู้ถูกซักถามด้วยตัวเขาเอง [the subject = ผู้ให้สัมภาษณ์, ผู้ตอบคำถาม ไม่ทราบว่าน่าจะแปลว่าอะไรดีในบริบทนี้] >> ก็แปลอย่างที่คุณแปลก็ดีแล้วนี่ครับ แปลตามบริบทของการส้มภาษณ์หรือการสอบสวน ..the investigatiion is still ongoing...ต้องแปลว่า การสืบหาข้อมูลยังอยู่ระหว่างการดำเนินการ เป็นการขยายความของ interview คุณเล่นแปลว่า "ในระหว่างที่การสืบสวนสอบสวนดำเนินไปนั้น..." ทำให้มันมาโยงกับข้อความต่อไปแทนที่จะโยงกับข้อความแรก ผิดความหมายไปเลย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 20:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 55 Mixing interviewing with interrogation is a common mistake even among seasoned law enforcement professionals, says Nathan Gordon, coauthor of Effective Interviewing and Interrogation Techniques, who trains police and security officers on interviewing skills as director of the Academy for Scientific Investigative Training in Philadelphia. นาธาน กอร์ดอน ผู้เขียนร่วม เทคนิคการสัมภาษณ์และการซักถามที่มีประสิทธิผล และผู้ฝึกทักษะด้านการสัมภาษณ์ให้กับตำรวจและเจ้าหน้ารักษาความปลอดภัยและยังเป็นผู้อำนวยการสถาบันฝึกฝนการสืบสวนสอบสวนทางวิทยาศาสตร์ในฟิลาเดเฟีย กล่าวว่า การผสมผสานกันระหว่างการสัมภาษณ์และการถามอย่างมีจุดหมายเป็นความผิดพลาดธรรมดาที่เกิดขึ้นแม้กระทั่งในหมู่ผู้เชี่ยวชาญด้านการบังคับใช้กฎหมายที่มีประสบการณ์ก็ตาม >> "...ผู้เขียนร่วม เทคนิคการสัมภาษณ์และการซักถามที่มีประสิทธิผล.." ชื่อหนังสือเป็นชื่อเฉพาะ ไม่ต้องแปลครับ ยกเว้นแต่ว่าได้มีการแปลเป็นภาษาไทยแล้วและชื่อภาษาไทยเป็นที่รู้จักก้นดี เช่น อาหรับราตรี, พันหนึ่งทิวา จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 20:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ว่าแต่เจ้าของกระทู้รู้หรือยังว่าเพราะเหตุใดจึงถูกระบบกรองคำมันเจี๋ยนเอา จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 2 ก.ค. 50 23:52:57 ]

ความคิดเห็นที่ 57 ยังไม่ทราบเลยคะ ว่าเพราะอะไร ได้ส่งบทแปลที่สมบรูณ์ไปให้คุณ แอ๊ด ปากเกร็ด แล้วทาง email เพราะบทแปลบางส่วน Post ไม่ได้ พยายามลองอ่านดูแล้ว อาจจะมีบางคำที่มีปัญหา จากคุณ : curiousityy - [ 3 ก.ค. 50 11:22:37 ]

ความคิดเห็นที่ 58 1....เหงื่อเปียกโชก.... >> เหงื่อเปียกใคร? ดูให้ดีว่า adj. นี้ขยายอะไร ไปทิ้งไว้ลอยๆได้อย่างไร 2....you know the drill.....>> drill แปลว่า การฝึก หมายถึงการที่ได้เห็นได้ทำอะไรซ้ำๆซากๆจนขึ้นใจ ดังนั้นในที่นี้ เขาหมายถึงว่า ฉากการสอบสวนของตำรวจในหนังนั้นคนต้องเคยเห็นกันจำเจจนขึ้นใจแล้ว ไม่ต้องสาธยายกันมาก 3....โลกที่เชิ่อมโยงกันอยู่นี้....>> ไปแปล corporate world มาใหม่นะ 4...กระบอกปืน...>> คุณเอากระบอกปืนมาจากไหน? ในบทเขาว่า gun holster คุณไปเปิดดิกดูใหม่นะครับว่า holster คืออะไร แก้ไข 1. The sweaty =Adj ขยาย   hostile detective = นักสืบผู้ไม่เป็นมิตรเหงื่อท่วมตัว 2. you know the drill >> ซึ่งคุณก็เคยเห็นมาแล้ว 3. corporate world =โลกที่พวกเราอยู่ร่วมกันนี้   Corperate = relating business 4. gun holster = ซองพกปืน How to Spot a Liar Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. By Daintry Duffy We're used to seeing interrogation scenes on TV—the bare lightbulb, the sweaty, hostile detective, you know the drill. But how do investigations play out in the corporate world, when the questioner wears a suit rather than a gun holster, and the chilling environs of a police room are replaced by the bland layout of a corporate office? Here are four things to know about conducting interviews and interrogations that yield results. แก้ไขประโยคใหม่เป็น จะจับคนโกหกได้อย่างไร 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล โดย เดนทรี ดัฟฟี เราเคยเห็นการซักถามทางทีวี – หลอดไฟ นักสืบผู้ไม่เป็นมิตรเหงื่อท่วมตัวซึ่งคุณก็เคยเห็นมาแล้ว แต่การสืบสวนเหล่านี้ค่อยๆเกิดขึ้นได้อย่างไรในโลกที่พวกเราอยู่รวมกันนี้ เมื่อผู้ถามคำถามสวมสูทมากกว่าที่จะคาดซองพกปืน  สภาพแวดล้อมที่น่ากลัวของห้องตำรวจแทนที่ด้วยสำนักงานที่ธรรมดา  ต่อไปนี้คือ 4 ข้อที่ควรจะรู้เกี่ยวกับการสัมภาษณ์และการซักถามที่ก่อให้เกิดผล หมายเหตุ 1. bare lightbulb ถ้าจะให้เห็นภาพ หลอดไฟ เป็นดวงๆ ที่ห้อยลงมา ไม่ทราบจะแปลว่าอะไร หลอดไฟเปล่า, หรือว่าแค่คำว่า หลอดไฟ ก็เห็นภาพแล้ว 2. the bland layout of a corporate office? แปลว่า สำนักงานธรรมดา นี่ถูกต้องแล้วใช่ไหมค่ะ จากคุณ : curiousityy - [ 3 ก.ค. 50 12:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ข้อความที่หายไปช่วงท้ายค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : curiousityy - [ 3 ก.ค. 50 13:02:55 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อีกวรรคหนึ่งค่ะ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : curiousityy - [ 3 ก.ค. 50 13:04:14 ]

ความคิดเห็นที่ 61 พยายามจะสอบเข้า ปริญญาโท สาขาการแปลและล่าม คณะ อักษรศาสตร์ จุฬา (คณะเดียวกับคุณ kim)ตอนทำข้อสอบ โจทย์บอกว่า แปลให้ถูกต้องและภาษาสวยงาม ทำข้อสอบเสร็จก็แอบมีความหวังว่า แม้ภาษาจะไม่สวยนักแต่ก็พอทำได้บ้าง ผลออกมาคือสอบไม่ติด ตอนนั้นก็เลยคิดว่า ภาษาตัวเองไม่สวย เพราะแปลแบบตรงตัว คำต่อคำ มีกลิ่นนมเนย แต่หลังจาก ลองแปลดูแล้ว คุณ แอ๊ด กรุณา ตรวจแก้ให้ ถึงได้รู้ว่า จริงๆแล้ว นอกจาก การใช้ภาษาแล้ว ปัญหาก็คือการอ่านต้นฉบับไม่แตก แล้วก็คิดเอง เออ เอง ว่า เข้าใจแล้ว แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเองเข้าใจไม่ถูก เหมือนวินิจฉัยโรคผิด ก็เลยรักษาไม่หายสักที ขอขอบคุณ คุณแอ๊ด มากเลยค่ะ ที่กรุณา ชี้ทางให้ แก้ไขเมื่อ 20 ก.ค. 50 09:51:11 จากคุณ : curiousityy - [ 3 ก.ค. 50 13:28:25 ]

ความคิดเห็นที่ 62 corporate world ในที่นี้คือ โลกของวงการธุรกิจ นั่นเอง ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับความเป็นโลกใบเดียวกันที่เชื่อมโยงกันอยู่ เขาเอ่ยถึงวงการธุรกิจเพื่อเปรียบเทียบกับวงการตำรวจเพราะว่าสองวงการนี้ต้องพูดจากับผู้คนเพื่อดึงข้อมูลจากเขาทั้งคู่แต่ว่าด้วยวิธีการที่ต่างกัน ในธุรกิจนั้นใช้วิธีสัมภาษณ์ผู้มาสมัครงานหรือสัมภาษณ์ลูกค้าเพื่อหาข้อมูลทางการตลาดแต่ว่าตำรวจเขาสอบสวนผู้ต้องหา เวลาแปลคงต้องเน้นความแตกต่างตรงนี้ให้ตรงเจตนารมณ์เขา But how do investigations play out in the corporate world, when the questioner wears a suit rather than a gun holster, and the chilling environs of a police room are replaced by the bland layout of a corporate office? >> แต่การสอบสวนนั้นจริงๆแล้วเขาทำกันอย่างไรในวงการธุรกิจในเมื่อผู้ตั้งคำถามนั้นใส่เสื้อนอกแทนที่จะคาดซองปืนและความโหดแบบห้องสอบสวนของตำรวจนั้นถูกทดแทนด้วยความจืดแบบห้องสำนักงานบริษัททั่วไป จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ก.ค. 50 12:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ตรงนี้คุณก็แปลได้ความแล้ว ปรับสำนวนอย่างที่ผมว่าให้ลื่นไหลขึ้น อย่าให้มีกลิ่นนมเนย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ก.ค. 50 13:24:29 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มันลองของ มันลองของ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ก.ค. 50 13:30:52 ]

ความคิดเห็นที่ 67 เอาละ นี่เป็นส่วนที่หายไป จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ก.ค. 50 15:17:26 ]

ความคิดเห็นที่ 68 สวัสดี ค่ะ คุณ แอ๊ด ข้อความส่วนที่หายไปคือ โพสต์ข้อความ 2 ย่อหน้านี้เป็น Text ไม่ได้ใช่ไหมคะ ต้องโพสต์เป็นไฟล์ Gif หรือ Jpeg แสดงว่าต้องมีคำมีปัญหาหรือเปล่า มีคำถามเพิ่มเติมค่ะ จึงเรียนมาเพื่อทราบ แปลเป็นภาษาอังกฤษว่าอะไรคะ Please be informed ได้ไหม ขอแสดงความนับถือ --> With Respect ? แก้ไขเมื่อ 04 ก.ค. 50 17:23:09 จากคุณ : curiousityy - [ 4 ก.ค. 50 17:19:56 ]

ความคิดเห็นที่ 69 Please be informed accordingly. คงพอกล้อมแกล้มได้ Respectfully yours (แปลว่า ขอแสดงความนับถือ เปี๊ยบเลย แต่ใช้ไม่เหมือนกับของเรานะครับ ของเรานี่ใช้ทั่วไปในหนังสือราชการ แต่ของเขานี่ใช้เวลาเขียนถึงท่านประธานาธิบดีเท่านั้น http://www.duluth.lib.mn.us/Databases/Contact/AddressingLetters.html ป.ล. ไปเจอกระทู้นี้มา ยืนยันว่า Please be informed accordingly นะครับ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5578663/K5578663.html ว่าแต่หนังสือนี่ไปขอได้ที่ไหนกันนะ เดี๋ยวต้องถามสำนักนายกฯดู แก้ไขเมื่อ 05 ก.ค. 50 14:35:44 จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 ก.ค. 50 19:37:53 ]

ความคิดเห็นที่ 70 มีบทแปลมาเพิ่ม ต่อจากส่วนที่แล้วค่ะ Watch What They Say—and How They Say It ดูว่าพวกเขาพูดอะไร และพูดอย่างไร It's a given that most employees who are brought into an investigative interview are going to be nervous, whether or not they have done something wrong. Asking simple questions like name, address, marital status, schooling and so on gives you a chance to analyze the subject's truthful behavior in this heightened state and establish your own authority. You should also take this opportunity to create some rapport with the subject and make a little conversation. Maybe you both went to the same school or live in the same town. "People who are alike, like," says Gordon. If you can get the subject to relax early on it will make any stressful or deceptive behavior she exhibits later all the more clear. ผลปรากฏออกมาว่าพนักงานส่วนใหญ่ผู้เข้าให้การสัมภาษณ์ในการสืบสวนสอบสวนมักจะมีทีท่ากระสับกระส่าย ไม่ว่าพวกเขากระทำความผิดหรือไม่ การถามคำถามง่ายๆอย่าง ชื่อ ที่อยู่ สถานภาพ การศึกษาและอื่นๆทำให้คุณมีโอกาสที่จะวิเคราะห์พฤติกรรมที่แท้จริงของผู้ที่เราสอบถามในระดับที่เพิ่มขึ้นนี้และสร้างอำนาจให้กับตัวคุณเอง คุณควรใช้โอกาสนี้สร้างความเป็นมิตรกับผู้ให้สัมภาษณ์และสร้างบทสนทนาเล็กๆน้อยๆ บางทีคุณและผู้ให้สัมภาษณ์อาจเคยเรียนโรงเรียนเดียวกันหรืออยู่เมืองเดียวกัน กอร์ดอนกล่าวว่า “คนที่มีอะไรคล้ายกัน” ถ้าคุณทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่ตอนต้นๆ จะทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์แสดงพฤติกรรมที่ตึงเครียด หรือ หลอกลวงออกมาชัดเจนยิ่งขึ้น ส่วนที่ไม่แน่ใจ [in this heightened state and establish your own authority??] "People who are alike, like,"= “คนที่มีอะไรคล้ายกัน” แก้ไขเมื่อ 06 ก.ค. 50 09:55:51 จากคุณ : curiousityy - [ 6 ก.ค. 50 09:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 71 Gordon developed the Forensic Assessment Interview and Integrated Interrogation Technique, or Faint, a test composed of approximately 30 questions that can fit almost any investigative interview. The format gives interviewers the chance to analyze a subject's verbal and nonverbal responses for truthful or deceptive behavior. กอร์ดอนพัฒนาเทคนิคการสัมภาษณ์ค้นหาหลักฐานและการซักถามแบบผสมผสาน หรือ Faint การทดสอบที่มีประมาณ 30 คำถามซึ่งปรับใช้ได้แทบจะทุกการสัมภาษณ์สืบสวน ผู้สัมภาษณ์จะได้รับรูปแบบที่ทำให้เขามีโอกาสวิเคราะห์การตอบโต้ของผู้ให้สัมภาษณ์ทั้งทางภาษาพูดและไม่ใช้ภาษาพูดเพื่อเห็นพฤติกรรที่เป็นจริงหรือหลอกลวง Faint ถ้าแปลตรงๆคือเป็นลม อ่อนแอ เจือจาง ในบริบทนี้ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไร Nonverbal = เขาไม่ได้บอกว่า body language อย่างนี้เราก็แปลว่า ภาษากายไม่ได้ใช่ไหมคะ จากคุณ : curiousityy - [ 6 ก.ค. 50 09:56:39 ]

ความคิดเห็นที่ 72 As you progress further into the interview, start asking more projective questions, like "What is this interview and investigation about?" and "When the person who did this is caught, what do you think should happen to him or her?" These questions allow you to analyze common verbal cues so that you can be alert for signs of deceptive behavior. เมื่อคุณเข้าสู่การสัมภาษณ์ที่ก้าวหน้ามากขึ้น ก็เริ่มถามคำถามที่เตรียมไว้อย่าง “การสัมภาษณ์และการสอบสวนครั้งนี้เกี่ยวกับอะไร” และ “เมื่อคนที่ทำผิดถูกจับได้ คุณคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขาหรือเธอ” คำถามเหล่านี้ทำให้คุณสามารถวิเคราะห์นัยยะของภาษพูดที่ธรรมดาเพื่อที่คุณจะได้เตรียมพร้อมต่อสัญญาณพฤติกรรมที่หลอกลวง Truthful people are usually more helpful and talkative and will try to narrow the investigation. For example, suppose a large sum of money goes missing from an employee's desk. During interviews, two employees are asked who they think took the money. คนที่พูดความจริงมักจะช่างพูดและให้ความช่วยเหลือมากกว่าและจะพยายามที่จะทำให้การสืบสวนแคบลง ตัวอย่างเช่น สมมติว่า เงินจำนวนมากได้หายไปจากโต๊ะพนักงาน ระหว่างการสัมภาษณ์ พนักงานสองคนถูกถามว่าพวกเขาคิดว่าใครเอาเงินไป [Truthful people = ถ้าแปลว่า คนซื่อสัตย์ จะตรงตัวไปและไม่เข้ากับบริบท จึงเปลี่ยนเป็น คนที่พูดความจริง จะดีกว่าหรือไม่] จากคุณ : curiousityy - [ 6 ก.ค. 50 09:57:44 ]

ความคิดเห็นที่ 73 Employee 1 says, "Several of us had the opportunity, including me, I guess. Betty is the only person who couldn't have done it; she was out sick." พนักงานคนแรก กล่าวว่า “พวกเราหลายคนมีโอกาสรวมทั้งฉันด้วย ฉันเดาว่า เบ็ตตี้เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีโอกาส หล่อนลาป่วย” Employee 2 says, "I didn't see anything, but anyone could have taken it, even someone from outside the department. I was with Tom all day, so it couldn't have been me." พนักงานคนที่สอง กล่าวว่า “ฉันไม่เห็นอะไรเลย แต่ใครก็เอาเงินไปได้ แม้แต่คนที่อยู่นอกแผนก ฉันอยู่กับทอมวันนี้ ดังนั้น ฉันไม่ได้เอาไปหรอก” The second employee's response has some common earmarks of deceptive behavior. A person seeking to mislead a questioner often claims to have no information and will try to broaden the investigation to create as many subjects as possible, Gordon says. Truthful people will often admit that they had the opportunity but will exclude others whom they know to be innocent. Deceptive people often make broad statements to exclude themselves from suspicion, but rarely exclude others. คำตอบของพนักงานคนที่สองมีการปกปิดพฤติหลอกลวงที่ธรรมดา  เขาหาทางทำให้ผู้ถามเข้าใจผิด โดยมักจะอ้างว่าไม่มีข้อมูลและพยายามจะขยายการสืบสวนให้กว้างขึ้นเพื่อสร้างเรื่องให้มากเท่าที่จะเป็นไปได้ กอร์ดอน กล่าว คนที่กล่าวความจริงมักจะยอมรับว่าพวกเขามีโอกาสที่จะทำแต่ก็จะไม่นับรวมพวกที่เขาคิดว่าบริสุทธิ์ คนโกหกมักจะทำให้ข้อมูลกว้างเพื่อที่จะเอาตัวเองออกจากการสงสัยและมักจะรวมคนอื่นเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย [The second employee's response has some common earmarks of deceptive behavior.= คำตอบของพนักงานคนที่สองมีการปกปิดพฤติหลอกลวงที่ธรรมดา?] จากคุณ : curiousityy - [ 6 ก.ค. 50 10:00:57 ]

ความคิดเห็นที่ 74 Your demeanor as an interviewer influences the outcome. If the interviewer seems competent, a truthful person will become less nervous as his fear of being wrongly accused dissipates. In that same situation, a guilty person becomes increasingly nervous as his fear of being correctly identified as the culprit increases. When asked what should happen to the culprit, a truthful person will often make a strong decisive response: "He should be fired, required to repay the money and serve time in jail." A deceptive person usually responds in vaguer terms: "Well that's not up to me. It depends on why he did it." พฤติกรรมของคุณในฐานะที่เป็นผู้สัมภาษณ์มีผลต่อสิ่งที่ปรากฏออกมาภายหลัง ถ้าผู้สัมภาษณ์ดูเหมือนว่าจะเป็นคนมีความสามารถ คนที่พูดความจริงจะกังวลน้อยลงว่าจะถูกกล่าวหาอย่างผิดๆ ในสถานการณ์เดียวกัน ผู้ที่ทำผิดก็จะมีความกังวลมากขึ้นที่จะถูกชี้ตัวว่าเป็นผู้ระทำความผิดได้อย่างถูกต้อง เมือถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับผู้กระทำความผิด คนที่พูดความจริงจะมีคำตอบที่ตัดสินแล้วอย่างแน่วแน่ “เขาควรถูกไล่ออก จ่ายเงินชดเชยและสมควรติดคุก” คนโกหกมักจะตอบอย่างคลุมเครือ “อืม มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับฉัน มันขึ้นอยู่กับว่าทำไมเขาถึงทำมัน” [Your demeanor as an interviewer influences the outcome??. = 1. พฤติกรรมของคุณในฐานะที่เป็นผู้สัมภาษณ์มีผลต่อสิ่งที่ปรากฏออกมาภายหลัง 2. พฤติกรรมของคุณในฐานะที่เป็นผู้สัมภาษณ์มีอิทธิพลต่อผลที่ได้] จากคุณ : curiousityy - [ 6 ก.ค. 50 10:02:05 ]

ความคิดเห็นที่ 75 . จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 12:14:33 ]

ความคิดเห็นที่ 76 .. จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 12:21:02 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 12:53:50 ]

ความคิดเห็นที่ 78 .... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 22:43:48 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ..... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 22:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ...... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 22:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 81 ....... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 6 ก.ค. 50 22:46:16 ]

ความคิดเห็นที่ 82 มีข้อความมาเพิ่ต่อจากส่วนที่แล้วค่ะ What They Do พวกเขาทำอะไร A subject's physical behavior during an interview can also provide you with a great deal of information. The nonthreatening questions that you used to open the interview are critical because they give you a chance to make a baseline observation of a subject's physical demeanor and record any changes that take place as the questions get more sensitive. คุณจะได้รับข้อมูลจำนวนมากจากพฤติกรรมทางกายของผู้ให้การสัมภาษณ์ระหว่างการสัมภาษณ์คำถามที่ไม่ใช่เชิงขู่ที่คุณใช้เปิดการสัมภาษณ์จะมีความสำคัญเพราะคำถามเหล่านั้นทำให้คุณมีโอกาสเริ่มสังเกตพฤติกรรมทางกายของผู้ให้สัมภาษณ์และเก็บข้อมูลการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเมื่อถามคำถามที่ลึกมากขึ้น [a baseline observation = เริ่มสังเกต] [the questions get more sensitive = Sensitive Question เข้าใจว่าเป็นโดยทั่วไปเป็นคำถามควรระวังเพราะอาจจะเป็นการถามเรื่องที่คนตอบไม่เห็นด้วย โกรธ หรือไม่พอใจ แต่ในที่นี้ไม่รู้ว่าจะแปลเป็นคำว่าอะไร] จากคุณ : curiousityy - [ 9 ก.ค. 50 11:44:20 ]

ความคิดเห็นที่ 83 Gordon breaks physical behaviors down into three categories: emblems, illustrators and adaptors. An emblem is a nonverbal response that expresses a person's complete feelings with no words required. For example, when asked how he feels about being interviewed, the subject puts a hand to his face and scratches his nose with the middle finger extended. He may not be conscious of the message he has sent, but the raised middle finger means the same thing here that it means when he does it on the highway at rush hour. "Emblems are very accurate to a person's true feelings," says Gordon. กอร์ดอนแบ่งพฤติกรรมทางกายออกเป็น 3 อย่าง สัญลักษณ์ การทำท่าประกอบและการปรับแก้สัญลักษณ์เป็นการโต้ตอบทางอวัจนะภาษาที่แสดงความรู้สึกที่สมบรูณ์ของคนโดยไม่ต้องอาศัยคำพูดเลย ยกตัวอย่างเช่น เมื่อถามว่าเขารู้สึกอย่างไรที่ถูกสัมภาษณ์ ผู้ให้สัมภาษณ์วางมือลงบนหน้าและถูจมูกขณะที่นิ้วกลางยื่นออกมา เขาอาจจะไม่รู้ตัวขณะกล่าวข้อความ แต่การยกนิ้วกลางหมายถึงสิ่งเดียวกันซึ่งหมายถึงเมื่อเขาทำบางสิ่งบนทางสายใหญ่ในช่วงเวลาเร่งด่วน กอร์ดอนกล่าวว่า “สัญลักษณ์เป็นการแสดงความรู้สึกของคนได้อย่างถูกต้องที่สุด” [He may not be conscious of the message he has sent, but the raised middle finger means the same thing here that it means when he does it on the highway at rush hour= เขาอาจจะไม่รู้ตัวขณะกล่าวข้อความ แต่การยกนิ้วกลางหมายถึงสิ่งเดียวกันซึ่งหมายถึงเมื่อเขาทำบางสิ่งบนทางสายใหญ่ในช่วงเวลาเร่งด่วน] จากคุณ : curiousityy - [ 9 ก.ค. 50 11:45:58 ]

ความคิดเห็นที่ 84 Illustrators and adaptors are nonverbal responses that accompany a verbal response. Illustrators enhance the listener's ability to understand the meaning of the verbal message. Adaptors distract from it. When a subject puts his hand on his heart and says, "I didn't do it!" that physical gesture reinforces his statement. Illustrators are generally a sign of honesty. If that same subject professed his innocence while wiping his hand over his mouth, that would be an example of an adaptor. This physical response makes his verbal message harder to understand. In this case, this would be a sign of deception. การทำท่าประกอบและการทำท่าประกอบไปในทางตรงกันข้าม เป็นการโต้ตอบทางอวัจนะภาษาที่เกิดขึ้นเวลาเดียวกันกับวัจนะภาษา การทำท่าประกอบทำให้ผู้ฟังสามารถเข้าใจความหมายของสิ่งที่เขากล่าวออกมา การทำท่าประกอบไปให้ทางตรงกันข้ามทำให้ไขว้เขว เมื่อผู้ให้สัมภาษณ์วางมือลงบนหัวใจและกล่าวว่า “ฉันไม่ได้ทำ” ท่าทางของเขายืนยันสิ่งที่เขาพูด การทำท่าประกอบมักจะเป็นสัญญาณของความจริงใจ ซื่อสัตย์ ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์คนเดียวกันยืนยันความบริสุทธิ์ของเขาขณะที่เอามือถูปาก เป็นตัวอย่างของ การทำท่าประกอบไปให้ทางตรงกันข้าม ซึ่งเป็นตอบสนองทางกายที่ทำให้สิ่งที่เขากล่าวออกมาเข้าใจยากมากขึ้น ในกรณีนี้เป็นตัวอย่างของสัญญาณการหลอกลวง [Illustrators = ?? เข้าใจว่าเป็นการทำท่าไปในทางเดียวกันกับสิ่งที่พูดออกมา แต่ไม่ทราบว่าจะแปลเป็น คำ ออกมาว่าอะไร] [Adaptors=?? เข้าใจว่าเป็นการทำท่าทางไปในทิศทางตรงกันข้ามกับสิ่งที่พูด] จากคุณ : curiousityy - [ 9 ก.ค. 50 11:47:41 ]

ความคิดเห็นที่ 85 By observing a subject's body language during an interview, you can glean quite a bit of information. Truthful people tend to present an open posture, while deceptive people will cross their arms defensively or stretch out their legs to increase the distance between them and you. A subject who gestures away from her body while speaking may be subconsciously trying to distract you from herself as the topic of conversation. Stressed people often pat themselves on the leg or stroke their own arm for tactile comfort. The crossing and uncrossing of legs can be a sign of discomfort. Yawning also can signal a person's stress as the fight-or-flight response kicks in and a nervous subject's body requires more oxygen. (A yawn can also mean fatigue, or convey a defensive posture, the way a lion bares its teeth when threatened.) คุณสามารถจะรวบรวมข้อมูลจำนวนมากจากการสังเกตภาษากายของผู้ให้สัมภาษณ์ระหว่างการสัมภาษณ์ คนที่พูดความจริงมักจะแสดงท่าทีเปิดเผย ขณะที่คนหลอกลวงจะกอดอกป้องกันหรือยื่นขาออกเพื่อเพิ่มระยะห่างระหว่างเขาและคุณ ผู้ให้สัมภาษณ์ที่แสดงท่าทางออกมาจากตัวเองขณะที่พูดอาจจะเป็นจิตใต้สำนึกที่พยามจะทำให้คุณไขว้เขวจากตัวเขาและหัวข้อการสนทนา คนที่เครียดมักจะตบขาตัวเองหรือเคาะแขนตัวเองเพื่อจะได้รู้สึกสบาย การไขว้ขาไปมาเป็นสัญญาณของความไม่สบาย  การหาวก็อาจเป็นสัญญาณอาการเครียดของคนที่ต่อสู้ ทำลายและความกังวลของร่างกายที่ต้องการออกซิเจนเพิ่มขึ้น (การหาวยังหมายความได้อีกว่า เหนื่อย หรือท่าทางที่ป้องกันตนเอง เหมือนสิงโตยิงฟันตอนขู่) [gestures away from her body = แสดงท่าทางออกมาจากตัวเอง??] [The crossing and uncrossing of legs = (1) นั่งไขว่ห้าง  (2) ไขว้ขาไปมา ??] [the fight-or-flight response kicks in = ??] จากคุณ : curiousityy - [ 9 ก.ค. 50 11:48:48 ]

ความคิดเห็นที่ 86 It's also important to be aware of how cultural differences can affect a subject's physical gestures and their interpretation. Gordon points out that a lack of eye contact, or changes in eye contact, are generally interpreted as a sign of deception in U.S. business culture. But in the Hispanic community, for example, it is considered disrespectful to stare in the eyes of a superior. เป็นสิ่งสำคัญอีกเหมือนกันที่ต้องระวังความแตกต่างทางวัฒนธรรมที่จะมีผลต่อการแสดงออกทางท่าทางของผู้ให้สัมภาษณ์และการตีความท่าทางนั้นๆ กอร์ดอนกล่าวว่าโดยทั่วไปแล้วในสหรัฐตีความการไม่สบตาหรือหลบสายตา ว่าเป็นสัญญะของการหลอกลวง แต่ในสเปนแล้ว เขาถือว่าเป็นการไม่เคารพหากจ้องมองตาผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่า Finally, you have to be aware of your own body posture during an interview. People will often subconsciously mimic the body posture of a superior to curry favor—putting their hands in their pockets or crossing their arms when their boss does because they want to project that "I'm like you." Make sure you present an open body posture during the interview. This does two things. First, it prevents a subject from accidentally mimicking a defensive posture. Second, if a subject deviates from truthful posturing to a deceptive posture, it makes that change more meaningful. ท้ายที่สุด คุณต้องระมัดระวังการแสดงออกทางท่าทางระหว่างการสัมภาษณ์ คนมักจะเลียนแบบท่าทางผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าโดยไม่รู้ตัวเพื่อทำให้ผู้ที่อยู่ในระดับสูงกว่าพอใจ การเอามือล้วงกระเป๋าหรือกอดอกเมื่อเจ้านายของพวกเขาทำเพราะเขาอยากจะให้รู้ว่า “ฉันชอบเธอ” คุณต้องแน่ใจว่าคุณแสดงท่าทีเปิดเผยระหว่างสัมภาษณ์ สองสิ่งที่ควรทำ หนึ่งป้องกันผู้ให้สัมภาษณ์เลียบแบบท่าทางการปกป้องโดยไม่ได้ตั้งใจ สอง ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เบี่ยงเบียนท่าทางจากท่าทีของคนที่พูดความจริงไปเป็นท่าทีของผู้หลอกลวง  การเปลี่ยนแปลงนั้นมีความหมายมากขึ้น [First, it prevents a subject from accidentally mimicking a defensive posture. Second, if a subject deviates from truthful posturing to a deceptive posture, it makes that change more meaningful. = หนึ่ง ป้องกันไม่ให้ผู้ให้สัมภาษณ์แสดงท่าทีปกป้องโดยไม่ได้ตั้งใจ สอง ถ้าผู้ให้สัมภาษณ์เบี่ยงเบียนท่าทางจากท่าทีของคนที่พูดความจริงไปเป็นท่าทีของผู้หลอกลวง  มันจะทำให้การเปลี่ยนแปลงนั้นมีความหมายมากขึ้น] จากคุณ : curiousityy - [ 9 ก.ค. 50 11:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 87 . จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:50:38 ]

ความคิดเห็นที่ 88 .. จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:51:13 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:51:47 ]

ความคิดเห็นที่ 90 .... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:52:18 ]

ความคิดเห็นที่ 91 ..... จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:52:54 ]

ความคิดเห็นที่ 92 เจ้าของกระทู้ค่อยๆดีขึ้นเรื่อยๆครับ ขอชม ไม่ผิดจังเบอร์อย่างเมื่อก่อน ตอนนี้ก็ค่อยๆขัดเกลาสำนวนไปเรื่อยๆด้วย พยายามให้เป็นอย่างที่คนไทยเราพูดกัน ลองนึกว่า ถ้าเราต้องพูดให้คนอื่นเขาฟัง คนในระดับทั่วๆไปนะครับ เขาจะเข้าใจเราหรือเปล่า? จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 9 ก.ค. 50 20:55:02 ]

ความคิดเห็นที่ 93 ขอบคุณ คุณแอ็ด ปากเกร็ดมากค่ะ จะลองพยายามฝึกแปลให้มากขึ้นค่ะ มีข้อความมาเพิ่มด้วยค่ะ ประสบปัญหาตามเคย Pick the Right Setting เลือกสถานที่ได้ถูกต้อง The location of the encounter can also contribute greatly to its success. Again, it's important to know what kind of question-and-answer session is appropriate. Interrogations should always take place in your office, never at a subject's home or office where he feels more secure and is less apt to confess to wrongdoing. The location of an interview, on the other hand, may vary. Here are some more tips for designing an appropriate interview space: สถานที่แห่งการเผชิญหน้ามีผลอย่างมากต่อการประสบผล อีกประการหนึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ว่าเวลาที่ใช้ในการถามตอบแบบไหนที่เหมาะสม การซักถามมักจะเกิดขึ้นที่สำนักงานของคุณ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านของผู้ให้สัมภาษณ์หรือสำนักงานที่ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกปลอดภัยมากกว่าและมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะสารภาพว่าทำอะไรผิด ในทางตรงกันข้ามสถานที่สัมภาษณ์อาจจะหลากหลาย ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการหาสถานที่สัมภาษณ์ที่เหมาะสม [question-and-answer session =(1) เวลาที่ใช้ในการถามตอบ (2) เวลาที่ใช้ในการสัมภาษณ์ ]?? [Interrogations should always take place in your office, never at a subject's home or office where he feels more secure and is less apt to confess to wrongdoing.=การซักถามมักจะเกิดขึ้นที่สำนักงานของคุณ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านของผู้ให้สัมภาษณ์หรือสำนักงานที่ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกปลอดภัยมากกว่าและมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะสารภาพว่าทำอะไรผิด]?? แก้ไขเมื่อ 18 ก.ค. 50 16:41:13 จากคุณ : curiousityy - [ 18 ก.ค. 50 16:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 94 • The room should be nonthreatening and not too small. Gordon suggests a 9-by-9 space. • ห้องไม่ควรจะเป็นเชิงข่มขู่และไม่เล็กเกินไป กอร์ดอนแนะนำว่า a 9-by-9 space. ?? • The room should contain a desk, a few chairs and bland artwork. • 1.ห้องควรประกอบไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้สองสามตัวและภาพวาด สถาปัตยกรรมทั่วไป • 2. ควรจะมีโต๊ะ เก้าอี้สองสามตัว และภาพวาด สถาปัตยกรรมทั่วไปอยู่ในห้อง • There should be nothing on the wall that the subject will face. • กำแพงที่ผู้ให้สัมภาษณ์มองขณะสัมภาษณ์ไม่ควรจะมีอะไรเลย • Two chairs should be set up with nothing between them so that the subject has no physical barrier to reduce stress and so you can view the subject's entire body language. • 1. เก้าอี้ทั้งสองไม่ควรมีอะไรขวางกั้นเพื่อที่ว่าผู้ให้สัมภาษณ์จะไม่มีอุปสรรคขวางกั้นการแสดงออกทางกายซึ่งช่วยเพื่อลดความเครียด และคุณก็จะได้เห็นภาษากายทั้งหมดของผู้ให้สัมภาษณ์ • 2. ไม่ควรมีอะไรมาขวางกั้นระหว่างเก้าอี้ทั้งสอง เพื่อที่ผู้ให้สัมภาษณ์จะไม่มีสิ่งกีดขวางที่มองเห็นได้ซึ่งจะช่วยลดความเครียด และคุณก็จะได้เห็นภาษากายทั้งหมดของผู้ให้สัมภาษณ์ • The chairs should be a social distance apart (3 to 4 feet) for an interview. For an interrogation, use chairs on casters so that you can move into the subject's personal space. • เก้าอี้ควรมีระยะห่างทางสังคม (3-4 ฟุต) สำหรับการสัมภาษณ์ การสืบสวนให้ใช้เก้าอี้ที่มีล้อเลื่อน คุณจะได้เลื่อนเข้าไปใกล้ผู้ให้การสัมภาษณ์ได้มากขึ้น • Your chair should be higher than the subject's chair to create a sense of superiority. • เก้าอี้ของคุณควรอยู่สูงกว่าเก้าอี้ของผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อความเหนือกว่า Also, if you have others in the interview room—whether it's a subject's supervisor, or a representative from legal or HR—have those people sit quietly behind the interview subject so as not to be a distraction, says Gordon. กอร์ดอน กล่าวว่า ถ้ามีคนอื่นอยู่ในห้องสัมภาษณ์ด้วยไม่ว่าจะเป็นหัวหน้าของผู้ให้สัมภาษณ์ หรือตัวแทนทางกฎหมาย หรือ ผ่ายบุคคล ให้คนเหล่านั้นนั่งเงียบๆข้างหลังผู้ให้สัมภาษณ์ พวกเขาจะได้ไม่ทำให้ผู้ให้สัมภาษณ์ไขว้เขว จากคุณ : curiousityy - [ 18 ก.ค. 50 16:40:29 ]

ความคิดเห็นที่ 95 Pick the Right Setting เลือกสถานที่ได้ถูกต้อง The location of the encounter can also contribute greatly to its success. Again, it's important to know what kind of question-and-answer session is appropriate. Interrogations should always take place in your office, never at a subject's home or office where he feels more secure and is less apt to confess to wrongdoing. The location of an interview, on the other hand, may vary. Here are some more tips for designing an appropriate interview space: สถานที่แห่งการเผชิญหน้ามีผลอย่างมากต่อการประสบผล อีกประการหนึ่งมันเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องรู้ว่าเวลาที่ใช้ในการถามตอบแบบไหนที่เหมาะสม การซักถามมักจะเกิดขึ้นที่สำนักงานของคุณ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บ้านของผู้ให้สัมภาษณ์หรือสำนักงานที่ผู้ให้สัมภาษณ์รู้สึกปลอดภัยมากกว่าและมีความเป็นไปได้น้อยกว่าที่จะสารภาพว่าทำอะไรผิด ในทางตรงกันข้ามสถานที่สัมภาษณ์อาจจะหลากหลาย ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการหาสถานที่สัมภาษณ์ที่เหมาะสม >> สถานที่พบปะอาจมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อความสำเร็จ อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญก็คือการรู้จักเลือกใช้วิธีการถามและตอบให้เหมาะสม ถ้าเป็นการสอบสวนก็ต้องทำที่สำนักงานของคุณเสมอทุกครั้งไป ห้ามเด็ดขาดไม่ให้ไปสอบสวนที่บ้านหรือที่ทำงานของผู้ถูกสอบสวนเพราะว่าเป็นการเพิ่มความรู้สึกมั่นใจให้เขาและลดโอกาสที่เขาจะสารภาพความผิด แต่ในอีกแง่หนึ่ง สถานที่ทำการสัมภาษณ์นั้นอ่อนตัวให้เปลี่ยนแปลงได้มากกว่า ต่อไปนี้คือคำแนะนำในการหาสถานที่สัมภาษณ์ที่เหมาะสม จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 20 ก.ค. 50 00:15:19 ]

ความคิดเห็นที่ 96 • The room should be nonthreatening and not too small. Gordon suggests a 9-by-9 space. • ห้องไม่ควรจะเป็นเชิงข่มขู่และไม่เล็กเกินไป กอร์ดอนแนะนำว่า a 9-by-9 space. ?? >> ห้องควรมีลักษณะที่ไม่มีอันตรายและไม่เล็กเกินไป กอร์ดอนเสนอให้ใช้ขนาด 9x9 (เข้าใจว่าหน่วยน่าจะเป็นฟิต ถ้าเป็นเมตรก็จะใหญ่ไป) • The room should contain a desk, a few chairs and bland artwork. • 1.ห้องควรประกอบไปด้วยโต๊ะ เก้าอี้สองสามตัวและภาพวาด สถาปัตยกรรมทั่วไป >> ห้องควรมีโต๊ะ มีเก้าอี้สองสามตัว และการตกแต่งที่ไม่หรูหรา • There should be nothing on the wall that the subject will face. • กำแพงที่ผู้ให้สัมภาษณ์มองขณะสัมภาษณ์ไม่ควรจะมีอะไรเลย >> เห็นด้วย • Two chairs should be set up with nothing between them so that the subject has no physical barrier to reduce stress and so you can view the subject's entire body language. • 1. เก้าอี้ทั้งสองไม่ควรมีอะไรขวางกั้นเพื่อที่ว่าผู้ให้สัมภาษณ์จะไม่มีอุปสรรคขวางกั้นการแสดงออกทางกายซึ่งช่วยเพื่อลดความเครียด และคุณก็จะได้เห็นภาษากายทั้งหมดของผู้ให้สัมภาษณ์ • 2. ไม่ควรมีอะไรมาขวางกั้นระหว่างเก้าอี้ทั้งสอง เพื่อที่ผู้ให้สัมภาษณ์จะไม่มีสิ่งกีดขวางที่มองเห็นได้ซึ่งจะช่วยลดความเครียด และคุณก็จะได้เห็นภาษากายทั้งหมดของผู้ให้สัมภาษณ์ >> เก้าอี้ทั้งสองตัวควรจัดวางไม่ให้มีอะไรมาขวางกั้นเพื่อให้ผู้ถูกสัมภาษณ์ไม่สามารถลดความเครียดได้โดยการพึ่งพิงสิ่งกีดขวางทางกายภาพ และคุณก็จะได้มองเห็นภาษากายของเขาได้ทั้งหมด • The chairs should be a social distance apart (3 to 4 feet) for an interview. For an interrogation, use chairs on casters so that you can move into the subject's personal space. • เก้าอี้ควรมีระยะห่างทางสังคม (3-4 ฟุต) สำหรับการสัมภาษณ์ การสืบสวนให้ใช้เก้าอี้ที่มีล้อเลื่อน คุณจะได้เลื่อนเข้าไปใกล้ผู้ให้การสัมภาษณ์ได้มากขึ้น >> สำหรับการสัมภาษณ์ควรวางเก้าอี้ห่างกันเพื่อรักษาพื้นที่ตามมารยาทสังคมคือประมาณ 3-4 ฟิต หากว่าทำการสอบสวนควรใช้เก้าอี้ที่มีล้อเพื่อให้คุณสามารถเคลื่อนที่รุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ส่วนบุคคลของผู้ถูกสัมภาษณ์ได้ • Your chair should be higher than the subject's chair to create a sense of superiority. • เก้าอี้ของคุณควรอยู่สูงกว่าเก้าอี้ของผู้ให้สัมภาษณ์เพื่อความเหนือกว่า >> เก้าอี้ของคุณควรจัดระดับให้สูงกว่าเก้าอี้ของอีกฝ่ายเพื่อสร้างความรู้สึกว่าคุณเป็นฝ่ายเหนือกว่าเขา Also, if you have others in the interview room—whether it's a subject's supervisor, or a representative from legal or HR—have those people sit quietly behind the interview subject so as not to be a distraction, says Gordon. >> กอร์ดอนบอกว่า ถ้าหากมีคนอื่นในห้องสัมภาษณ์ไม่ว่าจะเป็นเจ้านายของผู้ถูกสัมภาษณ์หรือตัวแทนฝ่ายกฏหมายหรือฝ่ายทรัพยากรมนุษย์ จงให้คนอื่นๆเหล่านั้นไปนั่งเงียบๆด้านหลังผู้ถูกสัมภาษณ์เพื่อไม่ให้ผู้ถูกสัมภาษณ์วอกแวก จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 20 ก.ค. 50 00:33:12 ]