ความคิดเห็นที่ 1 ปัจจุบันรับสอนอยู่ตามวัน-เวลาที่ผู้เรียนเลือกครับ เลือกสถานที่ที่สะดวกได้ ส่วนเนื้อหาที่สอนสามารถ เน้นพิเศษในส่วนที่ต้องการเป็นพิเศษได้ เบอร์โทรติดต่อได้หลังไมค์ไปให้แล้วครับ แก้ไขเมื่อ 23 มิ.ย. 50 22:17:21 จากคุณ : AllSTORY - [ 23 มิ.ย. 50 22:11:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อืมน่าสนุกดีเหมือนกันนะ สอนภาษาอังกฤษเนี่ย... อยากเรียนกับเราไหมล่ะ?  ถ้าสนใจก็หลังไมค์ไปหาเรา หรือไม่ก็ติดต่อเราทาง mail (email address ของเราอยู่บน blog เรา) ถ้าคุณติดต่อมา เราจะให้เบอร์โทรศัพท์เพื่อคุณจะได้ติดต่อกลับมาหาเราได้ จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 มิ.ย. 50 22:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 5555...คือว่าเป็นเด็กใหม่ ไม่เข้าใจว่าหลังไมค์ทำยังไง 555 ...ขอโทษอย่างแรง  ใครรู้ช่วยบอกทีนะจ๊ะ จากคุณ : kanstory - [ 23 มิ.ย. 50 23:41:40 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ในหน้ากระทู้รวมของแต่ละห้อง ทางมุมซ้ายบนจะมีชื่อ log in หลังไมค์คือกรอบเล็กๆใต้ชื่อลอคอิน เวลามีข้อความเข้ามาใหม่ จะปรากฏข้อความ ประมาณว่า มีข้อความใหม่ ตัวอักษรจะกระพริบๆ ในรูปเผอิญไม่มีข้อความเข้ามาใหม่ ตัวอักษรจึง เป็นเพียง "กล่องข้อความ" คลิ๊กเข้าไปอ่านได้เลย จากคุณ : AllSTORY - [ 24 มิ.ย. 50 00:54:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 thank you very much จากคุณ : kanstory - [ 24 มิ.ย. 50 01:21:55 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อ้าเจ้าของกระทู้หลังไมค์เป็นแล้ว เราได้รับข้อความแล้วขอบคุณมาก เจ้าของกระทู้หลังไมค์ถามเราไปว่า “หากไม่เป็นการเสียมารยาท ขอทราบวุฒิการศึกษา หรือ ตำแหน่ง ที่ทำงานได้ไม๊คะ เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานไปบอกเพื่อนๆในกลุ่ม ต้องขออภัยหากรบกวน” คำตอบของเราก็คือยินดีจ้า แต่ตอบในนี้เพราะเห็นว่าเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นด้วย ในการประเมินความสามารถของผู้สอนภาษาอังกฤษ ก่อนอื่นเราขอบอกว่า เราเป็นคนที่คิดอะไรแผลงๆ บางทีเพื่อนๆเราว่าเราเป็นคนขวางโลก   ตอนเราหัดเล่นเน็ตใหม่ๆ เราเคยเข้าไปป้วนเปี้ยนในห้อง “ต่างประเทศ” ของ sanook.com มีคนเข้าไปประกาศสอนภาษาอังกฤษในกระทู้ที่คนเขาคุยกัน  วิธีการโฆษณา เขาไม่ได้บอกว่า ถ้าเรียนกับเขาแล้วจะเก่งภาษาอังกฤษเพราะเขาสอนดีอย่างไร แต่พวกเขาส่วนใหญ่ “ใช้วุฒิการศึกษาขู่กัน” โดยการโฆษณาว่า สอนโดยอาจารย์จบจาก ...(เอาชื่อมหาลัยมาหากิน)...ปริญญา (ระดับวุฒิการศึกษา)   พอเราอ่านเจอ เราก็เข้าไปสัพยอกคนโฆษณาโดยการพูดว่า เราก็สอนภาษาอังกฤษเช่นกัน โดยมีหลักการสอนดังต่อไปนี้คือ (กำหนดเป้าหมาย และบอกวิธีการ และความถนัดขอเราเคร่าๆ ) แล้วตบท้ายด้วยข้อความสวยๆแบบ paradoxical ว่า สอนโดยข้าพเจ้าผู้เรียนจบแค่มัธยมต้นเอง 555+  ปรากฎว่าผู้คนแตกตื่นกันทั้งเว็บ เราว่ามันสนุกดี แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 14:03:03 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 14:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ที่นี้มาเข้าประเด็นที่เจ้าของกระทู้ถามแล้วนะ  เราไม่เอาวุฒิการศึกษาสูงๆมาโอ้อวดหรอกเพราะไม่มี (จะว่า joking โกหกหรือลักไก่ก็สุดแล้วแต่คนอ่านจะคิด)  แต่เรามีประสบการณ์จากของจริงมาแสดง   คือเราเป็นคนบ้าหนังสือกำลังภายในน่ะ ในนิยายจีนนะเวลานักวรยุทธ์เจอกันจะขู่กันว่าเป็นศิษย์สำนักไหนต่างฝ่ายต่างก็ไม่กลัวกันหรอก ต้องลงมือแสดงกำลังภายในกันจริงๆจึงจะเชื่อ ถ้าเราโฆษณาสอนภาษาอังกฤษโดยไม่โอ้อวดวุฒิการศึกษาเรานะ (ดูกวนๆพิกลพิกล 555+++ ) เราจะโฆษณาว่าเราจบมัธยมต้น จากนั้นเราก็ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษมา 20 ปี กลับมาทำงานในเมืองไทยเกือบ 20 ปีแล้ว  โดยทำงานสอนภาษาอังกฤษอยู่ประมาณ 5 ปี  จากนั้นเราสนใจแปลเอกสารจึงแปลเอกสารต่อไปอีก 10 กว่าปี   ตอนนี้เริ่มแปลหนังสือ และบางทีทำงาน freelance เป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์แห่งหนึ่ง  งานที่ทำให้สำนักพิมพ์ได้เงินค่อนข้างช้า เราเลยสนใจอยากสอนภาษาอังกฤษเพื่อหารายได้พิเศษ นอกจากนี้แล้วเราเห็นว่า Internet และเทคโนโลยีคอมพิวเตอร์มีเครื่องทุนแรงที่ทำให้สอนภาษาอังกฤษง่ายๆสนุกๆมากกว่าเดิม (ตอนสอนภาษาอังกฤษครั้งแรกยังไม่มี Internet) ก็เลยอยากแบ่งเวลาไปสอนภาษาอังกฤษบ้างเหมือนเดิม  แล้วทำงานแปลให้น้อยลง เมื่อสมัยเรารับสอนภาษาอังกฤษโดยการโฆษณาตามหนังสือพิมพ์ มีพวกคุณหญิงคุณนายจ้างให้ไปสอนตามบ้านและสำนักงานเพราะพวกเขาเห็นเราสนทนาภาษาอังกฤษคล่องพอๆเจ้าของภาษาก็เลยไม่มีใครถามเรื่องวุฒิการศึกษาเรา  และอีกอย่างหนึ่งตอนนั้นเราหน้าตาดี แต่งตัวเรียบร้อย แบบ conservative มากๆ แต่ตอนนี้นะเราแต่งตัวเหมือนพวกศิลปินเดี่ยวหรือนักดนตรี (ไว้ผมยาว) หน้าตากวนๆแบบเฒ่าสารพัดพิษ (แต่ยังหน้าตาดีเหมือนเดิมนะเฟ้ย) เราก็เลยสงสัยว่าจะมีใครบ้าพอที่จะจ้างเราสอนภาษาอังกฤษหรือไม่นะตอนนี้...555+++ ในอดีต (ตอนสมัยกลับมาอยู่เมืองไทยใหม่ๆ) เราเคยไปสมัครสอนภาษาอังกฤษตามโรงเรียนสอนภาษา ถ้าผู้บริหารโรงเรียนเป็นคนไทยเขามักจะไม่จ้างเราเพราะเราไม่ยอมเอาวุฒิการศึกษาสูงๆไปแสดง  แต่เราเคยไปสมัครกับผู้บริหารโรงเรียนที่เป็นฝรั่ง พอฝรั่งคุยกับเราแล้วเขาไม่ดูวุฒิการศึกษาเราเลย แต่เขาทดสอบเราของจริง มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เราได้ทำงานสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งแถวๆสยาม ก็เพราะว่าฝรั่งผู้บริหารโรงเรียน เอาเรียงความภาษาอังกฤษที่นักศึกษาปริญญาเอกมหาลัยชื่อดังในเมืองไทยมาให้เรา edit (ให้นั่งแก้ไขและตรวจทาน ปรับปรุงให้เป็นภาษาอังกฤษแบบธรรมชาติ ให้ทำเดี๋ยวนั้น) พอเราทำเสร็จ  ฝรั่งเอาไปเรียงความภาษาอังกฤษที่เราแก้ไขแล้วไปดู  แล้วเขารู้สึกพอใจจึง จ้างให้เราสอน writing ให้แก่นักศึกษาปริญญาเอกท่านนั้น เราเคยเช่าห้องแถวติวข้อสอบภาษาอังกฤษอยู่พักหนึ่ง ซึ่งช่วงนั้นเราได้ทำงานวิจัยส่วนตัวเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ ที่มีเนื้อหาสาระมากมาย  ซึ่งวิธีการที่เราคิดค้นขึ้นได้เอง มันทำรายได้ให้เราอย่างมหาศาล แต่เราเลิกทำไปเพราะมัวแต่ (หลงผิด) ไปบ้าการแปล (เงินจำนวนมากที่เราหาได้จากการสอนภาษาอังกฤษ 5 ปี ถูกนำมาใช้จ่ายตอนแปลเอกสารและแปลหนังสือ 10 กว่าปี ไปจนวอดวายเกือบเกลี้ยงธนาคาร)   ตอนนี้เราอยากเปิดโรงเรียนติวใหม่ เพราะงานแปลมันทำๆแล้วเกิดเบื่อเนื่องจากวันๆไม่ค่อยได้เจอหน้าผู้คน (แถมยังได้เงินช้า) เราก็เลยอยากชิมลางโดยการสอนพิเศษเป็นกลุ่มเล็กๆ (สอนนอกสถานที่เหมือนที่พวกติวเตอร์เขาออกไปติวกัน)  เพราะเรายังไม่มีเงินทุนพอที่จะเปิดโรงเรียนสอนภาษาใหม่อีกครั้งได้ในขณะนี้ จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 14:02:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 จากประสบการณ์การทำงานกับคนไทยในเมืองไทยมาเกือบ 20 ปี เราพบว่า คนไทยที่เรียนปริญญาตรีเอกอังกฤษในมหาลัยในเมืองไทย เมื่อเรียนจบมาก็ต้องฝึกอีก 10 กว่าปีกว่าจะเขียนภาษาอังกฤษเก่งกันทั้งนั้น เราพอที่จะย่นระยะเวลาเรียนเขียนให้คุณได้   ถ้าอยากรู้ว่าเรามีวิธีสอนเขียนให้ย่นระยะเวลาได้อย่างไรลองไปอ่านกระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5524077/K5524077.html เราเขียนเรื่องกลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษไว้ 3 ตอน (ยังไม่มีเวลาเขียนต่อ) ลองไปอ่านดูแนวทางการสอนของเราได้ กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ (1) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2901206/K2901206.html กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ (2) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2921978/K2921978.html กลยุทธ์ในการเรียนภาษาอังกฤษ (3) http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K2934052/K2934052.html เราคิดวิธีการเรียนการสอนการอ่าน เขียนและแปลขึ้นมาได้ เอง โดยการสังเกตการณ์จากภาคปฏิบัติจริง โดยไม่ลอกกากตำราจากทฤษฎีต่างๆ  ลองไปอ่านกระทู้นี้  มันเป็นกระทู้ที่เราใช้ภาษาอังกฤษถกกันเรื่องการเรียนการสอนการแปลกับนักศึกษาปริญญาเอกทางด้านภาษาในมหาลัยอังกฤษ  ลองไปอ่านดูว่าแนวคิดในเรื่องการเรียนการสอน ที่เราคิดขึ้นเองได้นั้น ต่างจากวิธีการในมหาลัยอย่างไร   http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/07/K4576771/K4576771.html เราสาธิตวิธีการแยกส่วนและพลิกประโยคภาษาอังกฤษกลับไปกลับมาเพื่อการตีความ การเขียน และการแปล http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&group=2 เราสาธิตการสอนอ่านและตีความหนังสือของ Agatha Christie ไว้ในกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3954683/K3954683.html เราสาธิตการสอนอ่าน ตีความ และวิเคราะห์บทแปลหนังสือSir Arthur Conan Doyle ( เชอร์ล็อค โฮล์มส์) ไว้ในกระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3409728/K3409728.html เรามีความรู้พอที่จะสอนรากศัพท์ Greek กับ Latin เพื่อช่วยในการจำศัพท์ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5454786/K5454786.html นี่เป็นวิธีการที่เราสอนตีความประโยคภาษาอังกฤษยากๆ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5477004/K5477004.html เราสาธิตวิธีเขียนประโยคภาษาอังกฤษพลิกกลับไปกลับมา http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5012503/K5012503.html เราสอนการตีความประโยคภาษาอังกฤษโดยการแยกส่วนและเรียงลำดับคำใหม่ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3550072/K3550072.html จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 14:04:01 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หมายเหตุ วิธีการต่างๆในการเรียนการสอนที่เราสาธิตไว้ข้างบนนี้  ในหลายๆเรื่องมันเป็นเรื่องที่เราสอนได้ในระดับยากๆ  (สูงกว่าปริญญาตรี) แต่จากการที่เราเคยเห็นเจ้าของกระทู้ถามปัญหาภาษาอังกฤษในห้องสมุด (ค้นจากกระทู้เก่าๆ) เราเห็นว่าความรู้ภาษาอังกฤษของคุณยังไม่ค่อยสูงนัก  เราแนะนำว่าคุณควรเรียนในระดับง่ายๆ เพื่อปูพื้นฐานให้แน่นเสียก่อน นั่นก็คือเรียนในเรื่องต่างๆดังต่อไปนี้ 1 ทักษะการฟัง  ในระดับง่ายๆ (เราสามารถแนะนำสื่อและวิธีการดีๆที่เราคิดขึ้นได้เองเพียบเลย) 2 ทักษะการพูด   ในระดับง่ายๆ (เราสามารถแนะนำสื่อและวิธีการดีๆที่เราคิดขึ้นได้เองเพียบเลย) 3 ทักษะการเรียนรู้วิธีการทำความเข้าใจคำศัพท์ง่ายๆ และหัดนำไปสร้างประโยคแบบง่ายๆ  (เรียนศัพท์ไม่ใช่ให้รู้เรื่องอย่างเดียวแต่ต้องเอาไปเขียนเป็นอีกด้วย) และนี่คือตัวอย่างบทเรียนเพื่อบรรลุเป้าหมายในข้อ 3 (คือศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) ที่เราเคยเขียนไว้บน blog ของเรา   วิธีการใช้คำว่า come (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&gblog=23 วิธีการใช้คำว่า sorry, pardon, apologize (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&gblog=22 วิธีใช้คำว่า live, alive, living, life (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=06-2006&date=04&group=3&gblog=14 วิธีใช้คำว่า have (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=30&group=3&gblog=11 วิธีใช้คำว่า see (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=20&group=3&gblog=20 วิธีใช้คำว่า hear (ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น) http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=25&group=3&gblog=4 ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น (กระทู้ที่เราตอบเมื่อไม่นานมานี้) วิธีการใช้คำว่า beware และคำศัพท์ง่ายๆอย่างอื่น http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5529280/K5529280.html ศัพท์ง่ายๆหัดใช้ให้เป็น (กระทู้ที่เราตอบเมื่อไม่นานมานี้) วิธีการใช้คำว่า objection http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5525649/K5525649.html เรื่องยุ่งๆเกี่ยวกับ articles http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=23&group=3&gblog=1 สื่อการสอนภาษาอังกฤษยุค IT http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=07-2006&date=13&group=3&gblog=5 การสอนภาษาอังกฤษทางโทรศัพท์และInternet http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&group=3 เป้าหมายในการเรียนภาษาอังกฤษ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=25&group=3&gblog=2 หมายเหตุ  เราแปะข้อความนี้เอาไว้เพื่อประโยชน์แก่เจ้าของกระทู้ และแก่ท่านอื่นที่กำลังดั้นด้นหาที่เรียนภาษาอังกฤษ  โดยให้ข้อคิดเห็นว่า ให้พิจารณาในเรื่องเป้าหมายในการเรียนการสอน วิธีการสอน และความเป็นไปได้ในการบรรลุเป้าหมายในการเรียนการสอน โดยประเมินจากความรู้และประสบการณ์ของผู้สอน  ซึ่งบางทีจะเป็นตัวแปรที่สำคัญมากกว่าวุฒิการศึกษาของผู้สอน เจ้าของกระทู้หรือท่านผู้อื่นก็อาจใช้หลักการที่เราเขียนแนะแนวไว้นี้ ไปใช้ในการประเมินความสามารถของอาจารย์สอนภาษาอังกฤษท่านอื่นก่อนตัดสินใจเลือกเรียนกับใครก็ได้  ถ้าจะให้ดีก็ซักคนที่จะสอนว่า ผู้เรียนต้องการบรรลุเป้าหมายขนาดนี้ผู้สอนจะมีวิธีการอย่างไรบ้าง  ซึ่งถ้าเขาตอบคำถามได้ดีกว่าเรา และน่าเชื่อถือว่าเขารอบจัดในเรื่องการสอน    คุณก็ควรเลิอกให้เขาสอน ไม่ใช่เลือกให้เราสอน   นี่เป็นคำแนะนำว่าจะหาอาจารย์สอนภาษาอังกฤษอย่างไร จึงจะไม่หลงผิด ไม่หลงทาง  หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์แก่ท่านผู้อ่านบ้างพอสมควร แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 15:24:53 แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 15:16:41 แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 14:59:14 แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 14:57:51 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 14:13:58 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ก็จริงอย่างคุณ tansy (iwrite4u)  พูด วุฒิการศึกษา ไม่ได้สำคัญเท่าประสบการณ์ในชีวิตจริง แต่สาเหตุที่คนส่วนใหญ่จะมองที่วุฒิ ก็คงเป็นเพราะว่า  ถ้าไม่เคยรู้จักกันมาก่อน เค้าก็ไม่รู้ว่าคุณเป็นยังไง พื้นฐานความคิด บุคคลิกภาพ เป็นอย่างไร วุฒิการศึกษา หรือใบประกาศนียบัตร ต่างๆก็คงเป็นเหมือนเครื่องการันตี ความสามารถของคุณในเบื้องต้น เพื่อให้เค้าสามารถตัดสินใจที่จะร่วมงานกับคุณหรือไม่ ส่วนฝีมือจะเป็นยังไงนั้น คงต้องให้ผลงานที่คุณสร้างขึ้นเป็นเครื่องพิสูจน์ อย่างที่คุณเล่าว่าพอโชว์ฝีมือการแก้งานนักศึกษา ป. เอก เค้าก็เชื่อมือและยอมรับคุณ  นั่นเพราะเค้าเห็นผลงานคุณ แต่ ถามว่าถ้าคุณไม่ได้โชว์ฝีมืออะไรเลย อยู่ๆเดินเข้ามาบบอกว่า ผมจบม. 3 อย่างเดียว แล้วไม่บอกอย่างอื่นเลย ขอมาสมัครสอนภาษา แล้วเจ้าของสถาบันนั้นคงไม่กล้าเสี่ยงรับแน่ .....เพราะฉะนั้นจึงคิดว่าวุฒิการศึกษาเป็นเหมือนใบเบิกทางสำหรับโอกาส ส่วนความสำเร็จที่แท้จริงนั้น อยู่ที่ความสามารถของตัวบุคคลนั้นๆเอง จขกท. เป็นคนหนึ่งที่ยอมรับในความสามรถที่ตัวคน ไม่ใช่ที่วุฒิการศึกษา.... ต้องขอบคุณสำหรับคำชี้แนะต่างๆ เดี๋ยวจะลองดูแต่ละเรื่องที่บอกมา ยอมรับว่าคุณพูดถูกที่โดยส่วนตัว จขกท. ความรู้ภาษาอังกฤษยังไม่ค่อยสูงนัก  แต่ไม่ว่าคุณทายถูกเพราะอะไรก็ตาม ขอยืนยันว่า นี่คือกระทู้แรกในห้องสมุดค่ะ...555..... ถ้าต่อไปภายหน้าจะได้มีโอกาสร่วมงานกัน ในฐานะ ศิษย์ กับ อาจารย์ ก็จะให้ข้อมูลคร่าวๆ เพื่อให้อาจารย์รู้ระดับความรู้ของลูกศิษย์ และสามารถสอนให้เหมาะกับระดับความรู้ ....กระทู้นี้ติดต่อในนามกลุ่ม โดยมี จขกท เป็นตัวแทน ในกลุ่มมีประมาณ 4 - 5 คน ทั้งหมดเป็น นักศึกษา ป. โท เรียนในสาขาทางวิทยาศาสตร์ มีความรู้ภาษาอังกฤษ ระดับเดียวกัน ประมาณว่า อ่านเปเปอร์งานวิจัยต่างๆต่างๆ ได้ เคยผ่านคอร์สสัมมนาภาษาอังกฤษมา 2 ครั้ง ไม่เคยมีประสบการณ์ในต่างประเทศ เรียนหลักแกรมมาในระดับที่มหาวิทยาลัยในประเทศกำหนด เคยสอบวัดความรู้ CU-TEP ได้ประมาณ 500 (เฉลี่ยในกลุ่ม มีทั้งต่ำและสูงกว่านิดหน่อย) สนใจเรียoการเขียน abstract, thesis, paper การพูดในการสัมภาษณ์งาน การฟัง จับใจความ สัมมนา การประชุม  เป็นต้น จากคุณ : kanstory - [ 24 มิ.ย. 50 15:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เรื่องการเขียนเราแนะนำไว้แล้วเรื่อง Reading towards Writing ใน คคห8 คือ link นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5524077/K5524077.html ส่วนเรื่องทักษะการฟัง เคยมีคนถกกันเรื่องเรียนกับฝรั่งเจ้าของภาษาหรือเรียนกับคนไทย คนขาย course ภาษาอังกฤษระดับ (ไม่ค่อยเก๋า) ซึ่งไม่ค่อยรู้เรื่องเทคนิคการสอน จะขาย โดยการกล่อมผู้มาขอระเบียบการว่า ตอนแรกให้เรียนกับครูไทยไปก่อน เพราะฟังง่ายหน่อย แต่พอฟังรู้เรื่องพูดได้บ้างก็ให้เรียนกับครูฝรั่งซึ่งก็ยังอุตส่าห์ขาย courses ได้แน่ะ แต่จาก ลงมือสอนและทำงานค้นคว้าส่วนตัวของเราเองแล้ว เราพบว่า ฝรั่งที่สอนภาษา ส่วนใหญ่เขาตั้งใจพูดช้าๆกับผู้เรียน เพราะเขาขี้เกียจฟังเสียงนักเรียนพูดว่า pardon? เพราะฟังไม่ทัน  ฝรั่งขี้เกียจพูดทวน ทวนไปก็ได้ค่าสอนเท่าเดิม  ฝรั่งเลยตั้งใจพูดช้าๆ นักเรียนเลยเรียนมาหลายปี หลงดีใจคิดว่าฟังรู้เรื่องแต่เวลาลงสนามจริงๆ เจอสัมนา หรือประชุม จริงๆก็ฟังไม่ทัน วิธีการสอนทักษะการฟังที่ถูกต้อง (ฝรั่งก็สอนได้ คนไทยที่เคยอยู่ต่างประเทศนานๆก็สอนได้) ก็คือ คนสอนพูดเร็วๆ ซึ่งศัพท์วิชา phonetics เขาเรียกว่า weak form ซึ่งเสียงพยางค์สุดท้ายของคำที่อยู่ทางซ้ายจะไป link กับเสียงพยางค์แรกของคำที่อยู่ทางขวา และมันทำให้เสียงพยางรวบสั้นและเปลี่ยนไป ผู้เรียนชาวไทยจึงมีปัญหาในการฟัง พอครูพูด (หรือเปิดเทปให้ฟังแล้ว) ให้นักเรียนฟังแล้วพูดตาม ถ้านักเรียน ฟังแล้วจับใจความไม่ได้ ก็ให้ครูเขียนประโยคที่มีปัญหาบน whiteboard (หรือบนสื่ออย่างอื่น) แล้วพูดช้าๆ เน้นที่ละคำให้นักเรียนฟัง ซึ่งศัพท์วิชา phonetics เขาเรียกว่า strong form แล้วให้นักเรียนพูดตาม จากนั้นก็ให้ครูลากเส้นโยงว่า เวลาพูดเร็วๆนะ พยางค์ไหนของคำไหน link กับพยางค์ไหนของคำไหนในทั้งประโยคแล้วครูออกเสียงใหม่ (หรือเปิดเทปใหม่) เร็วๆ (ซึ่งในวิชา phonetics เขาเรียกว่า weak form)  เพื่อให้นักเรียนพูดตาม โดยให้นักเรียนเร่งความเร็วในการพูด ให้ประสบความสำเร็จ โดยที่ลิ้นไม่พันกัน กระบวนการที่ให้ฟังแล้วพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายๆรอบแบบนี้ เขาเรียกว่า drill ถึงแม้ว่าอาจารย์จะเป็นเจ้าของภาษาก็ตาม แต่การเอาเสียงคนๆอื่นอัดเทปให้นักเรียนฟัง จะดีกว่าอาจารย์ออกเสียงเอง  ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่า ถ้าเอาเสียงอาจารย์ให้นักเรียนได้ยินอยู่บ่อยๆ นักเรียนจะคุ้นเคยกับเสียงอาจารย์ จนในที่สุดเมื่อออกไปสู่โลกอันกว้างใหญ่ไพศาล  นักเรียนจะฟังคนอื่นพูดไม่ค่อยรู้เรื่อง ดังนั้น ในการสอนการฟังที่ดีนั้น การเลือกสื่อการสอนก็มีผลเป็นอย่างมาก สื่อการสอนบางอย่างดีมาก หากแต่บ่อยครั้ง ในเชิงปฏิบัติ  นักเรียนที่มาเรียนใน classroom เดียวกัน ถึงวุฒิการศึกษาจะเท่ากัน แต่จะมีมีพื้นฐานทางด้านภาษา และมีพรสวรรค์ในการเรียนรู้ ไม่เท่ากัน  คนบางคนฟังรู้เรื่องแล้วพุดจ้อเป็นต่อยหอยตลอดเวลา ทำเอาคนอื่นไม่กล้าพูดเอาดื้อๆ  นี่ก็เป็นปัญหาทางด้านเทคนิคอย่างหนึ่งทื่ผู้สอนต้องแก้ไข ส่วนใหญ่แล้วการสอนแบบ teacher to students ไม่ค่อยจะ work เนื่องจากกว่า teacher จะพูดกับ student ทุกคนวนเวียนไปได้นั้นเวลาจะหมดเสียก่อน ดังนั้นวิธีการที่ดีก็คือใช้วิธีการที่เราเรียกว่า pair work นั่นก็คือ ให้นักเรียนจับคู่คุยกัน แล้วอาจารย์กำกับดูแล คอยช่วยแก้ไขข้อผิดพลาด ซึ่งเราเรียกมันว่า controlled practice จากนั้น ก็ให้นักเรียนจับคู่สนทนากันอีกรอบ แล้วอาจารย์ไม่กำกับดูแลแต่อย่างใด ซึ่งเราเรียกมันว่า uncontrolled practice ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่อาจารย์จะต้องเดินออกไปนอกห้องเลย ไปกินชา จีบสาวหรืออะไรก็ได้ แล้วปล่อยให้นักเรียนลุยกันเอง   อาจารย์ที่สอนสนทนา แล้วกลับบ้านบ่นว่า "สอนจนเจ็บคอ" แสดงว่า อาจารย์สอนไม่เป็น (เขามัวแต่ใช้วิธีการ teacher to students) ส่วนเรื่องการ drill นั้น การที่จะให้นักเรียนฟังแล้วพูดตาม จะพูดได้ดีตามคนสอนหรือดีตามเทปเสมอไปนั้นคงเป็นไปไม่ได้ วิธีการที่ sure ก็คือสอนให้อ่านตัว IPA (international phonetic transcription) ซึ่งเป็นเรื่องคล้ายๆที่อาจารย์ chumsakm เขียนไว้บนเว็บของท่านและนำมาเผยแพร่ใน pantip บ่อยๆ แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 16:06:45 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 16:02:17 ]

ความคิดเห็นที่ 12 วิธีการสอนทักษะการฟังที่เราให้ไว้ข้างบนนี้ เจ้าของกระทู้หรือท่านอื่นที่จ้างฝรั่งมาสอน ถ้าเจออาจารย์ฝรั่งพูดช้าๆตลอดเวลา และเจออาจารย์สอนแบบ teacher to students พวกท่านจะเสียเงินเปล่าไม่ได้อะไร ดังนั้น วิธีแก้ไขสถานการณ์ ไม่ใช่ไปแสวงหาฝรั่งที่เป็น phonetician (ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน phonetics) มาสอน เพราะเราคาดว่ามันคงหลงมาเมืองไทยแค่ไม่กี่คนหรอก แต่วิธีแก้ไขก็คือ "กำกับ" ให้อาจารย์ฝรั่ง (หรืออาจารย์คนไหนๆที่สอน) สอนวิธี drill เพิ่อแยกเสียงในการพูดแบบ strong form และแบบ weak form ให้ clear (เจ้าของภาษาที่ไหนก็แยกเสียงได้ เพียงแต่ผู้เรียนจะขอร้องให้เขาแยกหรือไม่) ส่วนในการทำ pair work นั้น ไม่ใช่ให้พูดทื่อๆแบบตัวอย่างที่อาจารย์ให้ไป แต่ต้อง improvise นั่นก็คือ ผู้เรียนที่จับคู่กันนั้น จะต้องผันสรรพนาม เปลี่ยน subject, verb, objects และ modifiers โดยผันประโยคให้แปรรูปแบบไปได้ เรื่อยๆ ถ้าอาจารย์หาตัวอย่างประโยคดีๆให้นักเรียน improvise มันมีความเป็นไปได้ที่ในฉากการ drill นักเรียนส่วนใหญ่จะซึมซับไวยากรณ์ระดับพื้นฐานไปได้รวดเร็วกว่าการเรียนโดยการนั่งอ่านแต่หนังสือไวยากรณ์จนแทบจะบ้าตาย ส่วนขั้นตอนถัดไปที่ยากกว่า pair work (ซึ่งมีแต่ improvisation นั้น) จะเป็นอะไรที่สนุกตื่นเต้นมากๆ  นั่นก็คือ dramatization คือการจัด classroom ให้เป็นโรงละคร แล้วให้นักเรียนแสดงละครกัน โดยมีครูกำหนดแนวทางให้ ซึ่งในระหว่างฉากการแสดง ทีแรกครูอาจบอกใบ้ให้หน่อย แต่ต่อไปนักเรียนจะต้อง improvise กันเองให้ไหลออกมา เหมือนกลอนสด (ลำตัด) แม่ประยูรทินกร ให้ได้ การสอนแบบนี้ เป็นฉากชีวิตจริง ผู้สอนต้องมีลูกเล่นแพรวพราว  จะตีหน้าเนือยๆเหมือนตื่นนอนสายแล้วมี hangover ไม่ได้เด็ดขาด ผู้สอนต้องมีชีวิตชีวา และชักนำให้ผู้เรียนสนุกให้ได้ ดังที่เขาเรียกว่า edutainment นั่นเอง แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 16:53:13 แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 16:24:25 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 16:19:12 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เราเขียนบทความเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษไว้บน blog เราบางส่วนอีก ลองไปอ่านดู ถ้าเรามีโอกาสได้กลับไปสอนภาษาอังกฤษใหม่เราก็คงต้อง update blog เราบ่อยกว่านี้ แต่ถ้าไม่มีใครจ้างเราสอนภาษาอังกฤษ เราก็ไม่เป็นไรเพราะตอนนี้กำลังศึกษาตำรา Feng Shui (เฟิง สุ่ย หรือ ฮวงจุ๊ย) อยู่ บางทีเราอาจเปลี่ยนอาชีพไปเป็นหมอดู โดยใช้ศาสตร์การดูดวงแบบจีน   ตำราที่เราได้มาดีมากๆเลย  มันเขียนโดยชาวจีนที่เป็นปรมาจารย์ Feng Shui ระดับอินเตอร์เลย   ถ้าเราได้เงินจากการดูดวงเป็นจำนวนมาก ความรู้ในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษที่เราค้นคว้ามาได้เมื่อหลายปีที่แล้ว และได้รับการปรับปรุงให้ดีขึ้นในระหว่างที่เราพยายามพลิกรูปประโยคภาษาอังกฤษแล้วเรียงลำดับคำใหม่ (ซึ่งทักษะนี้ได้มาจากการทำงานแปล) เราก็คงเอามันไปฝังดินเสียให้เป็นปุ๋ยธรรมชาติแก่พืชไป...+++... แก้ไขเมื่อ 24 มิ.ย. 50 16:35:50 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 มิ.ย. 50 16:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 14 กระทู้นี้ปั่นๆไปชักจะมันแล้ว แต่ขอบอกว่า วัตถุประสงค์ไม่ใช่เพื่อกล่อมให้ จขกท กับเพื่อนอยากเรียนภาษาอังกฤษกับเรานะ เพราะว่าลีลาการเขียนเราเหมือนคนสติไม่ดีเขียน และเขียนเป็น paradoxes  ซึ่งไม่น่าที่จะดึงดูดให้ใครสนใจจะเรียนภาษาอังกฤษกับเราได้  แต่ถ้าใครอ่านจับใจความแล้วเข้าใจ paradoxes นะ ก็จะฉุกคิดได้อะไรดีๆหลายๆอย่างที่เป็นประโยชน์ จริงๆแล้ว วัตถุประสงค์ในการเขียนก็คือ อยากให้ผู้ที่แสวงหาที่เรียนภาษาอังกฤษรู้ทางหนีที่ไล่ คือรู้ว่า โรงเรียนสอนภาษาทำเงินได้อย่างไร และคุณไปเรียน มันจะได้ผลหรือไม่ได้ผลแค่ไหน มันขึ้นอยู่กับวิธีการสอนของเขา ใครตาดีได้ตาร้ายเสีย ต้องดูให้ดีๆ ที่เราเล่าใน คคห7 ว่า เราไปสมัครสอนภาษาแล้วฝรั่งที่เป็นผู้บริหารให้เรา edit (ตรวจทาน แก้ไข ปรับปรุง) เรียงความภาษาอังกฤษนักศึกษาปริญญาเอก (สาขา electrical engineering) ในมหาลัยชื่อดังในไทย มาให้เขาดูนั้น เราเล่าไม่จบ จริงๆแล้วฝรั่งยังให้เราเขียนเรียงความภาษาอังกฤษบอกว่าเราวางแผนการสอนนักศึกษาคนนั้นอย่างไร สรุปแล้วก่อนเขารับเราเข้าทำงาน เราเจอแบบทดสอบของแข็ง ซึ่งทำให้เราคิดถึงเรื่องอะไรตลกๆที่จะมาเล่าให้ฟัง เรื่องตลกที่ว่านี้ก็คือว่า เมื่อ 2-3 วันที่ผ่านมานี้ เราเดินเข้าไปในโรงเรียนสอนภาษาอังกฤษ 2 แห่งแถวๆย่านสยามเพื่อสมัครงานเป็นครูสอนภาษาอังกฤษ  แห่งแรกพอเราเข้าไปถามว่าต้องการติวเตอร์ภาษาอังกฤษหรือไม่ พอเขาเห็นเราผมยาวๆ(แต่มัดไว้เรียบร้อยนะ) เขาก็ส่ายหน้า เราก็เดินๆไปเรื่อยๆ และเข้าไปในโรงเรียนสอนภาษาอีกแห่งหนึ่งที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกัน  เราบอกพนักงานต้อนรับว่าเราจะมาสมัครสอนภาษาอังกฤษ เธอก็ใจดีมากๆ พูดคุยดี แล้วให้เบอร์โทรอาจารย์ใหญ่ (ซึ่งตอนนั้นไม่อยู่ในโรงเรียน) มา เราเอาเบอร์โทรกลับบ้านแล้วไปโทร...เรื่องนี้สนุกมากๆ รออ่านให้ดีๆ แล้วคุณจะรู้วิธีการเลือกที่เรียนและเลือกอาจารย์สอนภาษาอังกฤษดีมากๆยิ่งขึ้น แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 11:16:26 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 11:15:46 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 11:14:02 ]

ความคิดเห็นที่ 15 พอกลับถึงบ้านเราก็โทรหาอาจารย์ใหญ่ท่านนั้น เราอ่าน brochure โฆษณาโรงเรียนก็รู้ว่าเธอจบปริญญาตรีอักษรศาสตร์จากมหาลัยดังแห่งหนึ่ง พอโทรติดต้องต่อหลายทอดกว่าจะถึงตัวเธอ พอเจอตัวเธอ เธอก็ใส่เป็นภาษาอังกฤษก่อนเลย ..สำเนียงภาษาอังกฤษเธอแย่มากๆเลย น่าจะส่งเธอไปเรียน phonetics กับท่านอาจารย์ chumsakm...พอเราโต้ตอบภาษาอังกฤษกับเธอ เธอก็ชักสนใจ ดูๆมันจะราบรื่นดี แต่พอเธอถามว่าเรามาจากประเทศไหน เราก็บอกว่า “เป็นคนไทยไปอยู่ต่างแดนมานาน” เธอก็บอกว่า ต้องการฝรั่งไปสอนบริษัทหน้าตาต้องเป็นฝรั่ง เราก็บอกว่า ไม่เป็นไร แต่เห็นหลักสูตรของโรงเรียนที่บอกว่าสอน grammar, reading, writing & conversation อันเนี่ยข้าพเจ้าถนัด ... ขณะพูด ในใจเราคิดฝันหวานไปว่า โหดู brochure โฆษณานะ ขนาดเรียนเป็นกลุ่ม นักเรียนยังต้องเสียเค่าเรียนตกชั่วโมงละประมาณ 1,000 บาทเลย  เราก็เลยฝันเฟื่องไปว่า นี่ถ้าเธอจ่ายค่าสอนเราแค่ชั่วโมงละ 500 บาท แล้วมีนักเรียนให้เราสอนวันละ 2-3 sessions นะ เราคงมีเงินพอค่าเบียร์กับค่า wine เป็นแน่แท้เลยทีเดียวหละ นึ่ตือบทสนทนา มันเป็นอะไรที่จี้เส้นมากๆเอาเสียเหลือเกิน tansy (ผู้สมัครงาน): เห็นโรงเรียนมีสอน  grammar, reading, writing & conversation ข้าพเจ้าสนใจสอนเพราะจากประสบการณ์ในอดีต คิดค้นวิธีการอะไรได้ใหม่ๆ ... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ tansy (ผู้สมัครงาน): หลักการสอนที่คิดค้นได้ใหม่ จะทำให้โรงเรียนของอาจารย์ก้าวหน้า และทำรายได้อย่างงดงาม ขออนุญาตอธิบายหลักการเคร่าๆให้.... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ tansy (ผู้สมัครงาน): จากการที่เมื่อในอดีตที่ต้องทำ teaching materials เอง โดยการตัดต่อเทป ตัดต่อหนังสือพิมพ์ นิตยสาร...แปะๆๆๆๆ แล้วถ่ายเอกสารนะ จนชำนาญ ตอนนี้เสนอว่าจะใช้ระบบคอมพิวเตอร์และอินเตอร์เน็ตทำสื่อการสอนหมด  โดยมีหลักการดังต่อไปนี้..... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ tansy (ผู้สมัครงาน): ปัญหาในการเรียนการสอนในอดีต เช่นเวลาสอน reading comprehension ผู้เรียนอ่านรู้เรื่อง (สอน to understand) แต่ไม่ได้สอน to compose (สอนให้เขียนได้) ซึ่งก็ต้องไปแยกเป็นสอนเขียนเป็นการต่างหาก   ข้าพเจ้าได้คิดค้นวิธีการใหม่ๆขึ้นมาที่จะสอน to understand และ to compose ได้ในเวลาเดียวกัน ดังมีหลักการ ที่จะเสนอเคร่าๆดังต่อไปนี้... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ tansy (ผู้สมัครงาน): แม้กระทั่งการสอน conversation ก็ตาม  นักเรียนมีปัญหาในการฟัง อาจารย์ส่วนใหญ่แก้ไขโดยการพูดให้ช้าลง ซึ่งมันไม่ถูกต้องเพราะว่า...ง่าๆๆๆ... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ tansy (ผู้สมัครงาน): ที่สนใจอยากจะสอนกับโรงเรียนคุณก็เพราะว่า เห็นมีสอนคอมพิวเตอร์ด้วย เราสามารถนำ computer network มาทุ่นแรงในการสอนและหาทรัพยากรจาก Internet ได้เพียบเลย (ในใจเราก็คิดไปว่า จริงแล้วสนใจอยากสอนกับโรงเรียนคุณก็เพราะเห็นค่าเรียนแหงต่างหาก...คือว่า เราบูลชิตไปอ้ะ...555+++ )  ทางโรงเรียนเคยมีแนวคิดนี้ไหม  ถ้าไม่เคย จะแนะนำให้ หลักการมีเคร่าๆดังต่อไปนี้คือ.... อาจารย์ใหญ่ (ผู้สัมภาษณ์): คุณจบปริญญาตรีอะไรมาคะ หรือต่อปริญญาโทอะไรมาคะ แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 11:57:21 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 11:50:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านแล้วจี้เส้นไหมล่ะ? คือเราเคยสัมภาษณ์งานกับฝรั่ง ตอนสมัครสอนภาษาอังกฤษ แล้วได้งานมาทำโดยการพูดด้วยปากเปล่า เคร่าๆ แล้วเขียนเรียงความมาโดยละเอียด ว่าหลักสูตรที่เราเสนอว่าจะสอนให้ดี ให้ได้ผล ให้นักเรียนเรียนสนุก และได้ความรู้ และให้โรงเรียนทำกำไรได้นั้น เรามีแผนการสอนอย่างไร ทั้งพูดทั้งเขียนจนฝรั่งเลื่อมใส่ได้ แต่สมัครงานกับคนไทย ส่วนใหญ่ ใช้วิธีนี้ มันจะไม่ work ว่ะ แต่สิ่งที่เป็นอุทาหรณ์ก็คือว่า เวลาคนที่อยากเรียนภาษาอังกฤษ เดินเข้าไปขอระเบียบการ  เคยมีคนอยากเรียนถามไหมว่า ทางโรงเรียนมีแผนการสอนอย่างไรในแต่ละเนื้อหา และพอที่จะอธิบายเคร่าๆได้ไหมว่ามันจะได้ผลหรือไม่อย่างไร เวลาคุณหาที่เรียนภาษาอังกฤษ คุณเคยถามปัญญาแบบนี้บ้างหรือไม่ แล้วถ้าถาม เคยคิดบ้างไหมว่า คนขาย courses ภาษาอังกฤษ จะตอบที่อๆซ้ำๆกันหรือไม่ว่า อาจารย์เราจบปริญญาเอกจาก (ชื่อมหาลัย) รับรองเก่งสอนดีแน่ๆค่ะ หรือไม่ก็ อาจารย์เราเป็นฝรั่งเจ้าของภาษาค่า เรียนกับเขาคุณต้องพูดชัดเหมือนเจ้าของภาษาแน่ๆค่า ... แล้วเคยมีใครแย้งไหมว่าเห็น ผู้หญิงไทยแต่งงานกับผู้ชายฝรั่งหลายคน แต่ก็ยังมีน้อยคนนักที่จะพูดชัดเหมือนสามี ทั้งๆที่อยู่กินกันหลายปี แล้วแค่เรียนกับอาจารย์ฝรั่ง 30 ชม มันจะพูดชัดได้ยังไงกันหว่า??? แต่โหอย่าหาว่านินทาเลยนะ ท่านอาจารย์ใหญ่ท่านนี้ที่จบอักษรศาสตร์มาน่ะ ท่านพูดภาษาอังกฤษสำเนียง "น่าสงสารมากๆเลยอ้ะ" ทั้งๆที่ท่านสอนภาษาอังกฤษมาจนร่ำรวย (พื้นที่ตรงนั้นที่สอนค่าเช่าคงเดือนเป็นล้านแน่ๆ) แล้วทำไมท่านพูดภาษาอังกฤษแย่สุดๆเลย???? แล้วทำไมแม่ยก...เอ้ยแฟนเราที่จบอักษรศาสตร์เหมือนกัน (แต่เกลียดการสอนภาษาอังกฤษ) ชอบแต่แปลหนังสือ ทำไม่กลับพูดภาษาอังกฤษชัดกว่าอาจารย์ใหญ่ ทั้งๆที่ทั้ง 2 คนก็เรียนภาษาอังกฤษในเมืองไทยเหมือนๆกันทั้งคู่   เรื่องแบบนี้นะ มันยากที่จะเดาแฮะ  เราว่า ต่อให้ท่านอาจารย์ใหญ่โรงเรียนที่ว่านั้นนะ ไปแต่งงานกับฝรั่งอยู่กินกัน 5 ปี แล้วกลับมาพูดภาษาอังกฤษแข่งกับแฟนเรา (ที่แปลแต่หนังสือ) เราว่าท่านอาจารย์ใหญ่ก็ยังไม่มีทางพูดภาษาอังกฤษสู้แฟนเราได้เลย เพราะความคล่องตัวมันผิดกันมากๆเลยอ้ะ...(รับรองว่าสู้ลำบากแน่ๆ เป็นเพราะว่าตอนนี้เราก็พูดภาษาอังกฤษกับแฟนเราบ่อยๆเพื่อให้เธอพูดคล่องมากๆยิ่งขึ้นนั้นเอง) แล้วทำไมท่านอาจารย์ใหญ่สอนภาษาอังกฤษจนร่ำรวยขนาดนั้นนะ แต่ยังไม่ไปขวนขวายค้นคว้าเรื่อง phonetics ให้เก่งเหมือนท่านอาจารย์ chumsakm เลย มันเป็นเพราะอะไร? แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 12:24:26 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 12:16:04 ]

ความคิดเห็นที่ 17 แล้วไอ้ที่เราเสนอแผนการสอนใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพน่ะ ทำไมอาจารย์ใหญ่ ไม่ยอมรับฟังเลย? หรือว่าในการขาย course ภาษาอังกฤษ๋ให้คนไทยนั้น มีแค่หลักการ 2 อย่างง่ายๆก็บูลชิตผู้เรียนได้ว่า 1 อาจารย์จบวุฒิสูงๆทางด้านภาษามา หรือไม่ก็ 2 อาจารย์เป็นฝรั่ง แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 12:18:54 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 12:18:24 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ใครอยากเรียนอ่านวรรณกรรม ให้ตามไป links ข้างล่างนี้ คุณ nickycharles กำลังแนะนำการอ่านวรรณกรรมอังกฤษ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5493296/K5493296.html http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5490759/K5490759.html#74 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 12:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 19 การเรียนปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษช่วยให้คุณอ่านเขียนได้ดีหรือไม่  ลองไปอ่านกระทูนี้ดู มันตลกสิ้นดีเลย เรื่องก็คือว่า มีคนตั้งกระทู้ถามว่า   อยากสอบเข้าปริญญาโท ภาษาอังกฤษเพื่ออาชีพของ TUค่ะ ขอคำแนะนำหน่อยนะคะ เราแค่ตอบว่า เพื่อนเราเคยสอบข้อเขียนผ่าน แต่สอบสัมภาษณ์ไม่ผ่าน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะตอบคำถามผิดหรือเปล่า  พูดแค่นี้เอง...แต่มีคนหลายคน อ่านข้อความไม่ครบถ้วนทุกความคิดเห็น แล้วดันไปตีความผิดๆ หลงคิดไปเองว่า "เป็นประเด็นบ้าสถาบันของตนเอง"   ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ แล้วกลายเป็นเขียนอะไรทะเลาะกัน ออกนอกลู่นอกทาง   แล้วคู่กรณีของเรา เถียงกับเราโดยให้เหตุผลเพียงแค่ทำนองว่า พวกเขาเรียนปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษมา ดังนั้น พวกเขาจึงน่าเชื่อถือ  ตรรกะอะไรแปลกๆแบบนี้ก็มีด้วย เราก็เลยสัพยอกพวกเขาแรงๆหน่อย...แล้วก้อชวนให้โต้วาทีกันเป็นภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะได้ฝึกเชียนภาษาอังกฤษกันอย่างสร้างสรรค์บนเว็บ ปรากฏว่าพวกจบปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษไม่มีใครยอมโต้วาทีกับเราเป็นภาษาอังกฤษ แต่กลับพยายามย้ำถึงเรื่องศักดิ์ศรีของการจบปริญญาโทภาษาอังกฤษ โดยไม่ย้ำการใช้งานจริงว่า เรียนจบมาแล้วจะมีความรู้พอที่จะไปเถียงกับใครเป็นภาษาอังกฤษได้หรือไม่ พอเถียงสู้ไม่ได้ ก็หาว่าอีกฝ่ายหนึ่งบ้า ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นนะ ใครบางคนในกระทู้ที่ว่านี้ยัง failed to read between the lines คือว่า จนป่านนี้นะ เขายัง "หลงประเด็นอย่างแรง โดยหลงเข้าใจผิดคิดว่า ตัวเรา กับเพื่อนเรา (คนที่สอบข้อเขียนผ่านแต่ไม่ผ่านสัมภาษณ์) น่ะ เป็นคนๆเดียวกัน" อนิจาอนิจัง...คนที่อ่านหนังสือไม่รู้เรื่องขนาดนี้นะ บางคนกำลังเรียนปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษ บางคนก็เรียนจบปริญญาโททางด้านภาษาอังกฤษมาแล้ว  โอ้พระเจ้าจอร์จ!!! ลองไปอ่านดูได้ที่กระทู้นี้  จี้เส้นสุดๆเลยอ้ะ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/04/K5337736/K5337736.html แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 13:20:01 แก้ไขเมื่อ 25 มิ.ย. 50 13:14:59 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 มิ.ย. 50 13:06:34 ]