ความคิดเห็นที่ 9
ไหนๆก็ไหนๆ ขออนุญาตคุณ V_Mee Paste ประกาศฉบับนั้นมาที่นี่เลยนะครับ (ผมจัดย่อหน้าใหม่ แก้ตัวสะกดบางคำ) ประกาศฉบับนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจเรื่องศักราชมาก ขออนุญาตนะครับ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/04/K5343155/K5343155.html#10
............................................................................................................................................................
ความคิดเห็นที่ 10
ประกาศข้างล่างนี้เป็นประกาศเปลี่ยนปีจุลศักราชมาเป็น รัตนโกสินทรศก ผมตัดบางตอนออกไปเพราะเป็นเรื่องวิธีการคำนวณทางโหราศาสตร์ ซึ่งอ่านแล้วงงมากๆ เอามาแต่ที่เป็นสาระสำคัญครับ
ประกาศให้ใช้วันอย่างใหม่
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ บดินทรเทพยมหามงกุฎบุรุษย์รัตนราชรวิวงษ์ วรุตมพงษบริพัตร วรขัติยราชนิกโรดม จาตุรันตบรมมหาจักรพรรดิราชวังกาศ บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรม นารถบพิตร พระจุลจอมเกล้าฯ เจ้ากรุงสยาม ทั้งฝ่ายเหนือฝ่ายใต้ แลดินแดนใกล้เคียง คือ ลาวเฉียงลาวกาวมลายูกะเหรี่ยง ฯ ล ฯ ฯ ล ฯ ฯ ล ฯ มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้า ฯ สั่งว่า ด้วยทรงพระราชดำริห์ถึงวิธีนับวันเดือน ที่ใช้กันอยู่ในสยามรัฐมณฑล แลที่ใช้ในประเทศใหญ่น้อยเปนอันมากในโลกย์นั้น เปนวิธีต่างกันอยู่มากคือกล่าวโดยย่อก็เปนวิธีใช้ตามจันทรคติอย่างหนึ่ง แลสุริยคติอย่างหนึ่ง จึงทรงพระราชดำริห์ว่า วิธีนับวันเดือนปีอย่างดีที่สุดนั้น ควรจะประกอบด้วยเหตุอันควร ๓ ประการใดประการหนึ่ง (๑) คือให้ถูกต้องใกล้ชิดกับฤดูกาล ประการหนึ่ง (๒) ให้มีประมาณอันเสมอไม่มากไม่น้อยกว่ากันนัก กับประการหนึ่ง (๓) ให้คนทั้งปวงรู้ง่ายทั่วไปดีกว่าอย่างอื่น ดังนี้จึ่งจะสมควรที่จะใช้ในประชุมชนทั้งปวง แต่วิธีนับเดือนปีที่ใช้อยู่ทุกวันนี้นับตามจันทรคติแลอาไศรยตามตำราสุริยาตรเปนเค้า เพื่อว่าจันทรคติจะได้เข้าประกอบกับสุริยโคจรได้ แต่สุริยคติกาลตามตำรานี้ ก็มีแต่อาไศรยกับดาวฤกษอย่างเดียว ไม่ได้อาไศรยกับโลกนี้เปนหลักอย่างสามัญสงกรานต์ ซึ่งอาทิตยตรงสูญกลางโลกย์เพราะเหตุว่า สุริยโคจรโดยดาว ฤกษรอบหนึ่งตามตำรานี้เปนปีหนึ่งได้ ๓๖๕ วัน ๖ โมง ๑๒ นาที ๓๖ วินาที แต่สุริยโคจรโอนเหนือใต้รอบโลกย์ แลตรงสูญกลางโลกย์นี้ที่นับว่าเปนสามัญสงกรานต์ขาเข้านั้น มีมัธยมประมาณเปนปีหนึ่ง ๓๖๕ วัน ๕ โมง ๔๘ นาที ๔๙ วินาที เหตุฉะนี้ประมาณ ๖๐ ปี คติทั้งสองนี้จะผิดกันถึงวันหนึ่ง สามัญสงกรานต์จึงได้เลื่อนไปวันหนึ่งฤาองศาหนึ่งทุก ๖๐ ปี ฤดูกาลก็เลื่อนไปตามกัน เมื่อคำนวนดูก็เห็นว่าแรกตั้งจุลศักราชนั้น เปนวันสามัญสงกรานต์ขาเข้า แลมีสุริยุปราคาเวลาบ่าย ๓ โมง ครั้นกาลล่วงมาถึงเวลานี้ จุลศักราช ๑๒๕๐ ปี คิดเปนวันสงกรานต์ เคลื่อนช้ามาภายหลังสามัญสงกรานต์ขาเข้าถึง ๒๑ วัน ฤดูกาลก็เคลื่อนมาตามกันด้วยเหตุว่าฤดูนี้ย่อมเปนตามอาทิตย์กับโลกย์นี้ตั้งอยู่อย่างใด ก็เปนอย่างนั้น ไม่อาไศรยแก่ดาวฤกษเพราะฉนั้นสุริยคติกาลตามสุริยาตรนี้ ก็ไม่สมกับเหตุอันควรประการที่ ๑ ซึ่งกล่าวมาแล้ว
อนึ่งวิธีนับปีที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ย่อมมีประมาณเปนสามอย่างไม่เสมอกัน คือปีปรกติ ๑๒ เดือนเปน ๓๕๔ วัน ปีมีอธิกวาร ๓๕๕ วัน กับปีอธิกมาศ ๑๓ เดือนเปน ๓๘๔ วัน ถ้าจะแปลกกันแต่อย่างเช่นนี้ปรกติ กับปีอธิกวารเท่านั้นก็จะไม่ผิดประหลาดมากนัก แต่วิธีอย่างนี้มีปีอธิกมาศยาวกว่าปีปรกติ แลปีอธิกวารถึงเดือนหนึ่ง เพราะฉะนั้นวิธีนับปีอย่างนี้ ไม่สมกับเหตุอันควร โดยประการที่ ๒ ดังกล่าวแล้วนั้น
อีกประการหนึ่ง วิธีนับปีเดือนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ถ้าพ้นจากกาลประจุบันไปแล้ว จะเปนกาลอดีตก็ดี อนาคตก็ดี เปนการยากที่คนสามัญจะรู้ได้ว่าปีใดเปนอธิกมาศ อธิกวาร ฤาปรกติ ถึงแม้ว่าผู้ที่รู้วิชาเลขดีแล้ว ก็ยังต้องคิดคำนวนค้นหาตำราสอบสวนอยู่ช้านานจึงจะรู้ได้... โดยที่สุดวิธีนับวันเดือนที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ ถ้านับจากปูมที่มีอยู่อย่างสูงเพียง ๒๐๐ ปีเศษแล้ว ก็รู้แน่ไม่ได้ว่าปีใดเปนอธิกมาศ ฤาอธิกวาร วิธีนับวันเดือนที่ใช้ในทวีปประเทศเดียวกันอย่างเช่นเมืองพม่าก็เคลื่อนกันอยู่วันหนึ่ง เพราะว่าไม่ได้ใส่อธิกวารในปีใดปีหนึ่ง แลเมืองลาวเฉียงก็เคลื่อนกันอยู่ ๒ เดือน เพราะว่าไม่ได้ใส่อธิกมาศสักสองปี การที่เปนเหตุให้มีวิธียุ่งยากอย่างนี้ ก็เพราะอยากจะคิดใช้ตามจันทรคติสุริยคติ... วิธีนับปีอย่างนี้ที่รู้ใช้กันอยู่ได้ก็เพียงแต่ชั่วปีหนึ่งปีหนึ่ง ซึ่งออกหมายประกาศไปเท่านั้น ครั้นล่วงปีไปแล้วก็ดี ฤาปีข้างน่าต่อไปก็ดี ถ้าไม่มีปูมไม่มีจดหมายเหตุเปนที่สังเกตไว้แล้ว ก็ไม่มีผู้ใดจะบอกได้ว่าเปนกี่วันมาแล้ว เพราะเปนการยากยุ่งเหลือที่ผู้ใดจะทรงจำไว้ได้ แลเปนของที่รู้ได้ฉเพาะน้อยตัวคนไม่เปนสาธารณทั่วไป เพราะเหตุฉนั้นวิธีนับปีนี้ก็ไม่สมกับเหตุอันควร โดยประการที่ ๓ ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น
จึงได้ทรงพระราชดำริห์ ถึงวิธีนับปีตามสุริยคติกาล ซึ่งเดินอยู่รอบโลกย์นี้ มีกำหนดมัธยมประมาณรอบหนึ่ง ๓๖๕ วัน ๕ โมง ๔๘ นาที ๔๙ วินาทีนั้น มีทางนับอันหนึ่งซึ่งใช้กันว่าปรกติสุร์ทิน ๓๖๕ วันแลปีอธิกสุรทิน ๓๖๖ วัน ปีปรกติ ๓ ปี มีอธิกะ ๑ ปีอย่างนี้ไปจนครบ ๑๐๐ ปีที่ ๑ ก็ดี ร้อยปีที่ ๒ ก็ดี ร้อยปีที่ ๓ ก็ดีที่ควรมีอธิกะสุรทินนั้น ก็ให้กลับปีนั้นเปนปีปรกติ ต่อเมื่อถึงร้อยปีที่ ๔ จึงได้คงเปนอธิกสุรทิน ทางนับอย่างนี้คิดเฉลี่ยเปนหนึ่งปีได้ ๓๖๕ วัน ๕ โมง ๔๙ นาที๑๒ วินาที มากกว่ามัธยมประมาณอยู่ปีละ ๒๓ วินาที อย่างน้อยที่สุดที่จะคิดให้เปนไปได้ต่อล่วงไปเกือบ ๔๐๐๐ ปี จึงจะเคลื่อนถึงวันหนึ่ง วิธีทางนับอันนี้สมกับเหตุอันควรประการที่ ๑ ซึ่งกล่าวมาแล้วนั้น โดยใกล้ชิดกับฤดูกาลอย่างที่สุด แลสมกับเหตุอันควรประการที่ ๒ โดยปีหนึ่ง มีประมาณไม่มากไม่น้อยกว่ากันนัก มีแต่ปีปรกติ ๓๖๕ วัน กับปีอธิกสุรทิน ๓๖๖ วัน เปนกาลกำหนด สมควรที่จะเทียบเคียงความเจริญ ฤาเสื่อมถอยในสรรพสิ่งทั้งปวงซึ่งมีซึ่งเปนในปีหนึ่งๆ ได้แน่นอนแลสมกับเหตุอันควร ประการที่ ๓ โดยเปนทางง่ายที่คนจะเรียนรู้ แลจำไว้แลรู้ทั่วไปในประชุมในโลกย์นี้ได้มาก แลเพราะมีพระบรมราชประสงค์ ทรงพระกรุณาแก่อาณาประชาราษฎรทั้งปวงทั่วไปจะให้มีวิชาเจริญเร็ว ให้ละสิ่งซึ่งไม่เปนประโยชน์ มาประกอบสิ่งเปนประโยชนจริงอยู่เสมอดังนี้ การอันใดที่ควรจะแก้ไขให้ดีขึ้น จึงได้ตั้งพระราชหฤทัยทรงกระทำนำให้เปนอย่างแก่คนทั้งปวง จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราเปนพระราชบัญญัติไว้สืบไปว่า
ข้อ ๑ ให้ตั้งวิธีนับเดือนตามสุริยคติกาลดังว่าต่อไปนี้เปนปีปรกติ ๓๖๕ วัน ปีอธิกสุรทิน ๓๖๖ วัน ให้ใช้ศักราชตามปีตั้งแต่ตั้งกรุงเทพมหานครอมรรัตนโกสินทรมหินทรายุทธยาบรมราชธานีนั้น เรียกว่ารัตนโกสินทรศก ใช้เลขปีรัชกาลทับหลังศกด้วย แต่เลขทับศกที่ประกาศไว้ในหมายประกาศสงกรานต์ ใช้เปลี่ยนต่อเมื่อเปลี่ยนจุลศักราชนั้น ให้ยกเสียให้เปลี่ยนเลขทับศกตามกาลที่เปลี่ยนรัตนโกสินทรศก
ข้อ ๒ ปีหนึ่ง ๑๒ เดือน มีชื่อตามราษีที่เดือนนั้นเกี่ยวข้องอยู่มีลำดับดังนี้ เดือนที่ ๑ ชื่อ เมษายน มี ๓๐ วัน เดือนที่ ๒ ชื่อ พฤษภาคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๓ ชื่อ มิถุนายน มี ๓๐ วัน เดือนที่ ๔ ชื่อ กรกฎาคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๕ ชื่อ สิงหาคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๖ ชื่อ กันยายน มี ๓๐ วัน เดือนที่ ๗ ชื่อ ตุลาคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๘ ชื่อ พฤศจิกายน มี ๓๐ วัน เดือนที่ ๙ ชื่อ ธันวาคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๑๐ ชื่อ มกราคม มี ๓๑ วัน เดือนที่ ๑๑ ชื่อ กุมภาพันธ์ มี ๒๘ วัน ในปีปรกติสุรทิน ,มี ๒๙ วัน ในปีอธิกะสุรทิน เดือนที่ ๑๒ ชื่อ มีนาคม มี ๓๑ วัน วันในเดือนหนึ่งนั้น ให้เรียกว่าวันที่ ๑, ๒, ฯ ล ฯ ๓๐, ๓๑,
ข้อ ๓ ให้นับใช้วิธีในราชการแลการสารบัญชีทั้งปวง ตั้งแต่วัน ๒ เดือน ๕ ขึ้น ๑ ค่ำ ปีฉลูยังเปนสัมฤทธิศกจุลศักราช ๑๒๕๐ นั้น เปนวันที่ ๑ เมษายน รัตนโกสินทรศก ๑๐๘ ต่อไป แต่วิธีวันเดือนปีตามจันทรคติซึ่งเคยใช้มาในการกำหนดพระราชพิธีประจำเดือนต่าง ๆ ก็ดี แลใช้สังเกตเปนวันพระหยุดทำการก็ดีให้คงใช้ตามเดิมนั้น
ข้อ ๔ ถ้าจะใคร่รู้ว่าปีใดเปนปีอธิกสุรทิน ให้ตั้งรัตนโกสินทรศกลง เอา ๑๘๒ บวก เอา ๔ หาร ขาดปีใดปีนั้นเป็นปีอธิกสุรทิน เว้นไว้แต่บวกแล้วเลขครบ ๑๐๐ ก็ดี ๒๐๐ ก็ดี ๓๐๐ ก็ดี อย่าให้เป็นอธิกสุรทินในปีนั้น ต่อเมื่อครบ ๔๐๐ จึงคงเปนไปตามที่ว่ามาทุก ๔๐๐ ปีเสมอไป
ข้อ ๕ เงินภาษีอากรทั้งปวงนั้นให้ส่งตามปีที่ว่ามานี้ เงินเดือนเงินปีในราชการทั้งปวง ก็ให้จ่ายตามเดือนตามปีนี้เหมือนกัน
ประกาศมาแต่วัน ๕ เดือน ๔ แรม ๑๒ ค่ำ ปีชวดสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๕๐ เปนวันที่ ๗๔๔๓ ในรัชกาลประจุบันนี้
จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 23 เม.ย. 50 22:42:09 ]
.................................................................................................................................................................
แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 50 11:07:43
แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 50 11:06:51
แก้ไขเมื่อ 17 ก.ค. 50 11:06:02
จากคุณ :
กัมม์
- [
17 ก.ค. 50 11:05:06
]
|
|
|