PANTIP.COM : K5622867 เรียนสอบถามเรื่อง พระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล เกี่ยวกับเรื่องคดี [ประวัติศาสตร์]

ความคิดเห็นที่ 3

วันอังคารที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2548

Newsเดอะเนชั่นกรุงเทพธุรกิจคม-ชัด-ลึกเนชั่นสุดสัปดาห์ทีวี + วิทยุเนชั่นแชนแนลเนชั่นเรดิโอหางานเนชั่นอีจ๊อบส์วัยรุ่นเนชั่นจูเนียร์เนชั่นคอมิกส์ท่องเที่ยวไทยแลนด์ดอทคอมซื้อคอมพิวเตอร์คอมเซฟวิ่งเนชั่นกรุ๊ป

ยกฟ้อง"หม่อมไฉไล"ข้อหาปลอมพินัยกรรม
ศาลอาญา ยกฟ้อง"หม่อมไฉไล" ข้อหาปลอมพินัยกรรม

ที่ห้องพิจารณาคดี 913 ศาลอาญา ถ.รัชดาภิเษก วันที่ 31 พ.ค.ศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง น.ส.วรรณี นภาศรี นิติกรสำนักงานทนายความหลวงเทพนรินทร์และหม่อมไฉไล ยุคล ณ อยุธยา อดีตชายาใน พลตรีพระเจ้า วรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ ยุคล ในความผิดฐานร่วมกันปลอมแปลงและใช้เอกสารพินัยกรรมปลอม ที่พนักงานอัยการฝ่ายคดีอาญา 10 และ ม.จ.ภูริพันธ์ ยุคล พระโอรสองค์โต และคุณหญิงรังษีนภดล ยุคล พระธิดา ในพลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระเจ้าภาณุพันธ์ ฯ ร่วมกันเป็นโจทก์ยื่นฟ้อง

โดยศาลพิเคราะห์พยานหลักฐานโจทก์ และโจทก์ร่วมแล้วเห็นว่า โจทก์แสดงให้เห็นเฉพาะพยานแวดล้อมเท่านั้น อาทิ โจทก์ร่วมทั้งสอง คนขับรถ เลขานุการส่วนตัวของผู้ตาย ที่นำสืบให้เห็นความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างผู้ตายกับจำเลยที่ 2 ซึ่งเป็นอดีตชายา ว่า ก่อนผู้ตายสิ้นพระชนม์ทั้งสองเคยมีเหตุทะเลาะขัดแย้งกัน เนื่องจากจำเลยที่ 2 มีแฟนใหม่ รวมทั้งใช้เข็มขัดตีผู้ตายจนมือสั่น จนถึงขั้นที่ผู้ตายเคยสั่งให้ถอนพินัยกรรม ณ ที่ทำการ สำนักงานเขตดุสิต

แต่ศาลไม่อาจนำเหตุทะเลาะซึ่งเป็นเหตุปกติของสามีภรรยามารับฟังให้ได้ข้อยุติว่า ผู้ตายไม่ได้ทำพินัยกรรมฉบับวันที่ 2 มี.ค.35 อีกทั้งที่ฝ่ายโจทก์และโจทก์ร่วม กับฝ่ายจำเลยต่างนำผู้เชี่ยวชาญของฝ่ายตนมานำสืบการตรวจพิสูจน์เปรียบเทียบลายมือชื่อผู้ตายในพินัยกรรม ซึ่งพบว่าความเห็นทั้งสองก็มีความแตกต่างกัน แต่ความเห็นนั้นไม่ใช่ความเห็นของผู้เชี่ยวชาญคนกลางที่ศาลตั้ง ขึ้นจึงไม่อาจนำรับฟังได้อย่างชัดเจนและเป็นที่ยุติว่าลายมือชื่อของผู้ตายในพินัยกรรมเป็นลายมือชื่อปลอม

นอกจากนี้ที่โจทก์ร่วม เบิกความตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับรายละเอียดในเนื้อหาพินัยกรรมว่าไม่มีระบุบัญชีทรัพย์สินซึ่งแตกต่างจากการทำพินัยกรรมฉบับอื่น หรือเขียนชื่อหนังสือพินัยกรรมที่ชัดเจน และการประทับลายนิ้วมือข้างซ้ายของผู้ตายทั้งที่ถนัดขวานั้น เป็นเพียงความเห็นของโจทก์ร่วมเองโดยไม่มีพยานบุคคลนำสืบให้เห็นชัดเจนได้ ศาลเห็นว่าพยานโจทก์และโจทก์ร่วมทั้งสอง ยังไม่มีน้ำหนักเพียงพอที่จะรับฟังได้ข้อยุติว่า จำเลยทั้งสองมีความผิดตามฟ้องพิพากษายกฟ้อง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับคดีนี้ โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 2 ส.ค.35 ระบุความผิด สรุปว่า จำเลยทั้งสอง บังอาจร่วมกันปลอมพินัยกรรมของ พลตรีพระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์ เจ้าภาณุพันธ์ ฯ ฉบับวันที่ 2 มี.ค.35 และใช้ร่างพินัยกรรม ประกอบคำร้องยื่นต่อศาลแพ่ง เพื่อให้แต่งตั้งจำเลยที่ 2 เป็นผู้จัดการมรดก อันเป็นการสร้างความเสียหายต่อทายาท พลตรี พระเจ้าวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าภาณุพันธ์ ฯ

จากคุณ : $..฿ - [ 19 ก.ค. 50 10:08:03 ]

ความคิดเห็นที่ 4

พิพากษา “หม่อมไฉไล” รับมรดกหนี้ 5.5 ล้าน
ศาลฎีกาพิพากษา "หม่อมไฉไล" ชายาในเสด็จพระองค์ชายใหญ่ ต้องชดใช้มรดกหนี้ 5.5 ล้านบาท ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ หลังต่อสู้คดีนาน 10 ปี

ในที่สุดศาลฎีกาก็ได้พิพากษาคดีที่ธนาคารไทยพาณิชย์เป็นโจทก์ยื่นฟ้องหม่อมไฉไล ยุคล เจ้าของร้านเพชรทอง "ไฉไล" ในห้างสยามพารากอน ในฐานะชายา และผู้จัดการมรดกของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล หรือ เสด็จพระองค์ชายใหญ่ เป็นจำเลยในความผิดเรื่องผิดสัญญาใช้เงินบัญชีเดินสะพัด ขอให้จำเลยต้องชำระหนี้จำนวน 41 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย 6.2 ล้านบาท

คดีนี้โจทก์ยื่นฟ้องเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2539 และนำสืบในชั้นพิจารณาคดีสรุปว่า เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2521 พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล เสด็จมาทรงขอเปิดบัญชีเดินสะพัดกับธนาคารไทยพาณิชย์ สำนักงานใหญ่ บัญชีเลขที่ 001-3-9703-8 วงเงินเปิดบัญชีครั้งแรก 4 ล้านบาท ต่อมาเสด็จพระองค์ชายใหญ่ ทรงขอวงเงินเพิ่มอีก 1.5 ล้านบาท ตกลงดอกเบี้ยกันร้อยละ15 ต่อปี

ทั้งนี้ เพื่อเป็นการประกันหนี้ให้น่าเชื่อถือ เสด็จพระองค์ชายใหญ่จึงทรงนำโฉนดที่ดินเลขที่ 5334 ซอยสงวนสุข แขวงสามเสนใน เขตบางซื่อ กับโฉนดเลขที่ 5355 ถนนมหานาค เขตพญาไท กทม. มาจำนองประกันเงินกู้ ในขณะที่มียอดหนี้อยู่ 5.5 ล้านบาท แต่เสด็จพระองค์ชายใหญ่จะนำเงินมาหักทอนบัญชีทำให้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยทบต้นนับจากวันกู้จนถึงวันฟ้องมีจำนวน 41 ล้านบาท และดอกเบี้ยอีก 6.2 ล้านบาท

ส่วนกรณีที่จำเลยนำสืบอ้างว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ไม่เคยเปิดบัญชีเดินสะพัดกับโจทก์ และไม่เคยขอเปิดวงเงินเพิ่ม ไม่เคยทำสัญญาจำนอง รวมถึงโจทก์ไม่เคยมีหนังสือทวงถาม เอกสารของโจทก์ที่นำมาฟ้องคดีนี้เป็นเอกสารปลอม ฟ้องโจทก์ก็เคลือบคลุม คดีขาดอายุความ โจทก์ยังฟ้องผิดคน เพราะจำเลยเป็นชายา ยังไม่ได้เป็นผู้จัดการมรดก จึงไม่ต้องรับมรดกความนั้น ก่อนหน้านี้ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษายกฟ้องจำเลย เนื่องจากคดีไม่มีมูลหนี้ต่อกัน แต่โจทก์ยื่นฎีกาขอให้พิพากษาให้จำเลยชำระหนี้ตามฟ้อง

ศาลฎีกาประชุมปรึกษาหารือกันแล้ว ข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า จำเลยเป็นชายาและเป็นผู้จัดการมรดกของพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล จึงต้องรับไปซึ่งสิทธิหน้าที่ในการชำระหนี้ของเจ้ามรดก ซึ่งคดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงเคยกู้เงินและทำสัญญาจำนองจริงหรือไม่ ศาลเห็นว่า แม้โจทก์ไม่มีหลักฐานเอกสารการเปิดวงเงิน เพราะตามระเบียบของธนาคารจะทำลายเอกสารทิ้งทุกรอบระยะเวลา 10 ปีก็ตาม แต่โจทก์มีพยานรับฟังได้ว่า พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงเปิดวงเงินกู้เพิ่มและขอหักทอนบัญชี เพราะถ้าไม่เคยกู้ก็คงไม่มาหักทอนบัญชี แม้โจทก์ไม่มีรายการสลิปการรับเงินเพราะได้ทำลายเอกสารไปแล้ว แต่ก็ไม่ทำให้คดีความฟ้องตามมูลหนี้นี้เป็นพิรุธ ฟังได้ว่าพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงเป็นหนี้จริง และคดียังไม่ขาดอายุความ

คดีจึงมีประเด็นต้องวินิจฉัยอีกว่า ยอดหนี้ตามมูลความแห่งคดี แม้จริงเป็นเงิน 47 ล้าน หรือ 5.5 ล้านบาท ซึ่งจากการพิจารณาศาลเห็นว่า การเปิดบัญชีเดินสะพัด ธนาคารกับลูกค้าต้องมีการสะพัดทางบัญชีกันตลอด ต้องมีการนำเงินเข้าหักทอนบัญชีอย่างสม่ำเสมอ คดีนี้พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ทรงนำเงินมาหักทอนน้อยมาก และนานๆ ครั้ง ครั้งสุดท้ายคือวันที่ 14 มีนาคม 2526 และไม่เคยติดต่อธนาคารอีก แสดงว่าธนาคารย่อมยุติการเป็นคู่ค้ากับพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธ์ยุคล ไปโดยปริยายตั้งแต่ปี 2526 จึงต้องคิดยอดหนี้จากเงินต้นในปีดังกล่าวเป็นครั้งสุดท้าย การที่โจทก์นำความมาฟ้องว่ามียอดหนี้กันถึงปี 2539 ย่อมไม่ถูกต้อง ดังนี้ยอดหนี้จึงมีเพียง 5 ล้านบาท กับดอกเบี้ยอีก 5 แสนบาทเท่านั้น

ดังนั้น พิพากษาให้จำเลยในฐานะผู้จัดการมรดกใช้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ยจำนวน 5.5 ล้านบาท หากไม่ชำระให้ยึดที่ดินที่จำนองไว้ทั้ง 2 แปลง ออกขายทอดตลาดใช้หนี้แก่โจทก์

จากคุณ : $..฿ - [ 19 ก.ค. 50 10:12:35 ]