ความคิดเห็นที่ 1 เย้ ที่1 จากคุณ : saravuht - [ 21 ก.ค. 50 01:36:14 A:62.215.3.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมใส่เพิ่มเข้าไปแล้วครับ  แต่เอาเฉพาะที่เป็นทหาร  เดี๋ยวจะเพิ่มส่วนที่เป็นสุภาพสตรี และเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงให้ ส่วนท่านชิ้นนั้น รัฐบาลอังกฤษรับเข้าเป็นทหารของกองทัพเขาต่างหากอยู่แล้ว ตัวเลขที่ผมมี คือ นักเรียนไทยที่สมัครเข้าร่วมม 42 นาย  ข้าราชการสถานทูตมี 4 นาย และเพิ่มเติมภายหลังอีก 2 นาย เป็น 6 นาย เชื้อพระวงศ์อีก 4 พระองค์ รวมเป็น 54 คน เป็นชาย 49 นาย  สมัครเป็นทหาร 40 นาย  ไม่ผ่านการตรวจร่างกาย 4 นาย  จึงเหลือเป็นทหารในหน่วยโยธา 36 นาย เชื้อพระวงศ์ที่เป็นทหารอังกฤษอยู่แล้ว คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรานนท์ธวัช  และ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สประภาต ทั้ง 2 พระองค์เป็นนักบินขับไล่ พระองค์หลังประสบอุบัติเหตุเครื่องชนภูเขาในเขตสกอตแลนด์สิ้นพระชนม์ก่อนที่จะตั้งเสรีไทย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ค. 50 03:57:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอลาไปงาน 3 วันครับ  กลับมาวันจันทร์แล้วค่อยว่าใหม่แล้วกัน ช่วงนี้ก็ขอฝากบรรดาพลพรรครักเอยช่วยกันเสริมช่วยกันแต่งให้หน่อยแล้วกัน หรือถ้าระดับซือเจ๊จะลงมาร่ายเพลงกระบี่สยบมาร  แทงข้อมูลฝั่งนายมณี สาณะเสน บ้างก็จะเป็นพระคุณอย่างสูง เพราะเรื่องเหล่านี้ ใครเล่าก็เข้าข้างคนนั้น  เล่าจากหลาย ๆ มุมก็จะได้เห็นหลาย ๆ ประเด็นดี จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 21 ก.ค. 50 04:01:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขอเพิ่มเติมอีก 1 ท่านนะครับ สว่าง สามโกเศศ แล้วผมก็ขอย้อนกลับไปตอนที่ท่านจำกัด พลางกูล เสียชีวิตเล็กน้อยนะครับ พอดีมีเกร็ดเล็กๆ แถมมานิดหน่อย คือท่านจำกัดเนี่ย มีพี่น้อง(คือผมจำไม่ได้แล้วว่าใครเป็นพี่ใครเป็นน้องใครกันมั่ง) คือท่านกำแหง พลางกูล คนนี้เป็นน้องท่านจำกัดแน่ๆ เป็นเสรีไทยสายอังกฤษ ตอนที่ท่านจำกัดเสียชีวิต ท่านกำแหงตอนนั้นกำลังฝึกอยู่กับกองกำลังอังกฤษในรัฐอัสสัมของอินเดียครับ ต้องย้อนไปอีกนิดว่าท่านจำกัดเสียชีวิต9 ตุลาคม 2486 แต่พวกเสรีไทยไม่รู้ข่าวเลยจนกระทั่ง เดือน มีนาคม 2487 เรื่องที่ว่าแปลกก็คือ เช้าวันหนึ่งของต้นเดือนตุลาคม 2486 ท่านกำแหงได้มาบอกพวกเพื่อนๆที่ฝึกอยู่ด้วยกันว่า เขาฝันเห็นพี่ชายคือท่านจำกัด ได้เสียชีวิตแล้ว คงทำนองมาเข้าฝันน้องชาย แล้วมาลา ตามประสาคนที่มีความผูกพันธ์กัน ข่าวก็ไม่ได้บอกต่อนะครับว่าพอฝันเห็นแบบนั้นแล้ว ท่านกำแหงดำเนินการอย่างไรต่อไป หรือคิดจริงจังแค่ไหนกับความฝันนั้น เพราะจะว่าไปตอนนั้นท่านไม่รู้ด้วยซ้ำว่าพี่ชายของท่านเสียชีวิตแล้ว ส่วนการปฏิบัติงานของท่านจำกัดในจีนนั้น ท่านกำแหงทราบข่าวนี้หรือไม่ ไว้มีไรจะมาบอกต่อเรื่อยๆนะครับ แต่จะไม่ให้ล้ำไปจากที่อาจารย์สื่อว่าเอาไว้ จะย้อนๆกลับไปน่ะครับ ส่วนเรื่องสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ซึ่งเป็นอีก1 เสรีไทยสายอังกฤษ คงต้องขอให้ท่านอาจารย์ใหญ่วิวันดา มาร่ายให้ฟังเต็มๆ เพราะท่านอาจารย์ใหญ่คงมีข้อมูลเชิงลึกมาเล่าให้ฟังแน่ๆเลย จากคุณ : saravuht - [ 21 ก.ค. 50 11:22:11 A:62.215.3.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 กระทู้ไปเร็วมาก กว่าจะตามทัน --" จากคุณ : กริช (กริชครับผม) - [ 21 ก.ค. 50 13:09:26 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เข้ามารออ่านความรู้ดีๆจากอาจารย์สื่อต่อด้วยคนนะครับ แวะมาห้องสมุดบ่อยๆ อ่านกระทู้แบบนี้บ่อยๆ แต่ไม่ค่อยได้โพสท์อ่ะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยคนครับ จากคุณ : นายฝันเฟื่อง - [ 21 ก.ค. 50 23:24:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ่านของเก่าได้นะครับ http://www.geocities.com/drsak จากคุณ : กริชครับผม - [ 22 ก.ค. 50 16:56:00 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เข้ามาลงชื่อตามอ่าน ตามธรรมเนียมครับผม จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 22 ก.ค. 50 18:40:13 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เพิ่งได้มาติดตามอ่าน ขอบคุณสำหรับความรู้ครับ จากคุณ : pilok - [ 23 ก.ค. 50 00:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมมีเกร็ดในส่วนของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีพระบรมราชินีในรัชกาลที่7 มาฝากเล็กน้อยครับ เพราะพระองค์ท่านก็เป็นเสรีไทยสายอังกฤษอีกท่านหนึ่งเหมือนกัน ตอนสงครามโลกครั้งที่2 ระเบิดขึ้น ตอนเริ่มสงครามนั้น รัชกาลที่7 ซึ่งทรงสละราชสมบัติไปแล้วตอนนั้น ยังประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษ และทรงเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่30 พค. 1941 ตอนนั้นผมจำไม่ได้ว่า ยุทธการแบทเทิ่ลออฟบริเทนระเบิดขึ้นหรือยัง แต่ข้อมูลที่ได้มาก็คือทั้งสองพระองค์ต้องทรงหลบหนีลูกระเบิดเหมือนกับชาวอังกฤษทั่วๆไป ต่อมาแม้ รัชการที่7 จะสวรรคตไปแล้ว สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีก็ไม่สามารถเสด็จนิวัติสู่ประเทศไทยได้ เพราะคงติดเรื่องการเมือง ยังคงมีเรื่องระแวงระวังกัน ระหว่างกลุ่มคณะราษฎร์ กับ ทางพระบรมวงศานุวงศ์ คงทำนองว่า อย่ากลับมาเลย พียง 6 เดือนให้หลัง คือ เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม 1941 ญี่ปุ่นได้ยกทัพเข้ามาในประเทศไทย หม่อมเจ้าศุภสวัสดิ์วงศ์สนิท สวัสดิวัตน พระเชษฐา ซึ่งทรงเป็นข้าฯ ในพระองค์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ มาตั้งแต่ยังเยาว์ ทรงเห็นเป็นการเสียเกียรติของชาติเป็นอย่างยิ่ง จึงได้ทรงหาทางที่คนไทยจะได้กู้ชาติบ้านเมือง โดยท่านเองได้เข้าประจำการในกรมเสนาธิการของกองทัพอังกฤษ ทรงช่วยทำแผนที่ประเทศไทย และรวบรวมข่าวคราวเกี่ยวกับประเทศไทยเพื่อเตรียมการไว้ ต่อมา หม่อมเจ้าการวิก จักรพันธุ์ ผู้ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงพระกรุณาชุบเลี้ยงมาตั้งแต่ยังเยาว์ และเป็นหนึ่งในข้าราชบริพารชายจำนวน 2 - 3 คนที่พระตำหนัก ได้ทูลขอพระราชทานพระอนุญาต ไปร่วมงานกับเสรีไทยโดยการสมัครเป็นพลทหารอังกฤษ สมเด็จฯ รับสั่งตอบว่า “ไปรบเถอะ ถ้าฉันเป็นผู้ชายก็จะสมัครกับเขาเหมือนกัน แต่นี่เป็นผู้หญิง ก็จะอยู่ที่นี่ ไม่ต้องเป็นห่วง ไปรบตามหน้าที่เถอะ” เห็นได้ว่า สำหรับเจ้านายทุกพระองค์ที่กล่าวพระนามมานี้ หน้าที่ต่อประเทศชาติสำคัญยิ่งกว่าอื่นใดทั้งสิ้น สำคัญยิ่งกว่า “เจ้านายเหนือหัว” ของตนด้วยซ้ำ องค์สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ นั้น ต่อมาได้ทรงปฏิบัติหน้าที่ต่อมนุษยชาติในยามสงครามด้วยการเสด็จพระราชดำเนินจากพระตำหนักไปยังกรุงลอนดอนเพื่อร่วมกับสตรีอาสาสมัครในการบรรจุหีบห่ออุปกรณ์การแพทย์การพยาบาลส่งไปยังแนวรบ “ฉันเองไปช่วยเขาทางด้านกาชาด แต่ฉันทำอย่างไม่เป็นทางการระหว่างที่พวกเสรีไทยฝึกโดดร่ม ฝึกอาวุธกัน ฉันไปช่วยเขาทำของ ตอนนั้นไม่ได้อยู่ในลอนดอนหรอก น่ากลัวมากทีเดียว แต่ก็มาลอนดอนอาทิตย์ละครั้งสองครั้ง” สิ่งที่ ‘น่ากลัว’ ก็คือระเบิดกลางเวหาจากเครื่องบินรบของเยอรมนี ซึ่งกระหน่ำกรุงลอนดอนอยู่โดยสม่ำเสมอในช่วงนั้น พระราชจริยวัตรทั้งหมดนี้ เป็นเหตุให้บรรดาเสรีไทยสายอังกฤษ นับพระองค์เป็นหนึ่งในบรรดาเสรีไทยผู้ที่มิได้เป็นทหาร เท่าที่ผมพอจะทราบก็มีเท่านี้ล่ะครับ ใครรู้เพิ่มก็ช่วยเติมเข้าอีกทีเน้อ จากคุณ : saravuht - [ 23 ก.ค. 50 16:51:24 A:62.150.204.137 X:62.150.204.137 ]

ความคิดเห็นที่ 11 นายแอนโทนี่ อีเดน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงต่างประเทศได้เคยปรึกษาหารือไปทางกระทรวงสงครามว่าจะจัดตั้งหน่วยทหารเล็กๆขึ้น เพื่อรับคนไทยอาสามัครเตรียมไว้ส่งไปปฏิบัติงานอย่างหนึ่งอย่างใดตามแต่ที่ต้องการจะได้หรือไม่..ปัญหาอยู่ที่ว่าจะทำอย่างไรจึงจะคัดเลือกบุคคลที่ไว้วางใจได้จริงๆ บัดนี้ได้คุณมนี ที่ทูตไทย ณ.กรุงวอชิงตันส่งมาให้ทำการคัดเลือกให้แล้ว นายอีเดนจึงเห็นว่าคนไทยที่ผ่านการกลั่นกรองของคุณมนีเหล่านี้สามารถที่จะส่งให้ไปประจำการหน่วยการโยธา (Pioneer Corps) นายอีเดนขอให้กระทรวงสงครามพิจารณษเรื่องนี้เป็นการด่วน  ในความเห็นของกระทรวงการต่างประเทศอังกฤษ หน่วยทหารไทยเล็กนี้อาจจะเป็นประโยชน์ในประเทศอินเดีย ในการกระจายเสียงทางวิทยุ การแปลเอกสาร การเป็นมัคคุเทศก์  การส่งไปปฏบัติการภายในประเทศไทยทางภาคใต้ และเมื่อจัดส่งหน่วยทหารไทยไปยังอินเดียแล้ว..ก็จะเหลิอคนไทยในลอนดอนเพียงไม่กี่คน ที่ล้วนแต่เป็นข้าราชบริพารของสมเด็จพระปกเกล้าฯเท่านั้น..จึงไม่มีเหตุผลที่จะจัดตั้งสำนักงานเสรีไทยตามข้อเสนอของนายมนี อนึ่ง..หากอนุญาตให้จัดตั้งสำนักงานดังกล่าวแล้ว..ก็อาจจะเท่ากับเป็นการผูกมัดอังกฤษให้สนับสนุนคนไทยกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งหลังสงครามก็ได้ ซึ่งอังกฤษยังไม่เห็นเป็นการสมควร จากคุณ : WIWANDA - [ 24 ก.ค. 50 12:40:51 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ส่วนความดำริของอังกฤษที่จะจัดส่งคนไทยอาสาสมัครไปเข้าประจำการหน่วยการโยธา เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงกับคุณมนีว่า..จะเป็นการทดสอบผู้อาสาสมัครว่ามีความจริงใจที่จะช่วยฝ่ายสกประชาชาติเพียงใด จริงอยู่ต่อไปในภายหน้า อาจจะมีการโยกย้ายให้ไปประจำหน่วยทหารอื่นได้ตามคุณวุฒิและความสามารถ แต่อังกฤษจะให้คำมั่นสัญญาในเรื่องนี้ไม่ได้  และผู้อาสาสมัครทุกคนควรจะยอมรับปฏิบัติงานทุกอย่างที่จะเสนอให้ ในส่วนที่เกี่ยวของกับพระองค์เจ้าจุลจักรพงศ์ ซึ่งคุณมนีสงสัยว่า อาจจะทรงมีพระประสงค์อื่นๆแฝงอยู่ด้วยนั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศได้ชี้แจงว่า ฝ่ายอังกฤษไม่มีมีดำริที่จะให้ทรงปฏิบัติงานอย่างใดเป็นพิเศษ เพียงแต่จะ"แช่เย็น" ไว้ก่อน เพราะอาจจะทรงมีเป็นประโยชน์แก่ฝ่ายอังกฤษภายหลัง.. สำหรับข้าราชการสถานทูตไทยทั้งสี่..เจ้าหน้าที่กระทรวงการต่างประเทศอังกฤษเห็นก้วยกับคุณมนีว่าง.ถ้ากล้าจริงแล้ว..ก็น่าจะแสดงตัวมาแต่ทีแรก โดยไม่จำเป็นต้องมารอการสนับสนุนก่อน..และการที่อ้างว่า เกรงจะกระทบกระเทือนในการแลกเปลี่ยนคนชาติกับญี่ปุ่นนั้น ฟังไม่ขึ้น เพราะในข้อตกลงเจรจามีชัดแจ้งว่า..ผู้ที่ไม่อยากจะเดินทางกลับประเทศตน ก็..จะได้รับอนุญาตให้อยู่ต่อไปได้ วันที่ 13 กรกฏาคม 2485  คุณหลวงภัทรวาที คุณหลวงอาจพิศาลกิจ คุรหลวงจำนงดิษฐการ และ คุณประเสริฐ ปทุมานนท์ ได้ทำหนังสือร่วมกันถึงคุณพระมนูเวทย์วิมลนาทแจ้งความประสงค์ที่จะไม่เดินทางกลับประเทศไทย และในเวลาเดียวกันได้มีหนังสือร่วมถึงสถานทูตสวิสถอนตัวออกจากบัญชีผู้ที่จะเดินทางกลับประเทศไทย ทูตไทยจึงได้แจ้งให้ทั้งสี่คน ทราบว่า ตามคำสั่งที่ได้รับจากนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นอันถือว่า ข้าราชการทั้งสี่ต้องพ้นจากหน้าที่ในกระทรวงการต่างประเทศ ต้องเสียสัญชาติไทย และต้องห้ามมิให้เข้าประเทศไทยต่อไป คุณหลวงภัทรวาทีจึงได้มีจดหมายในนามของทั้งสี่ ถึงจนท.ต่างประเทศ อังกฤษ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงการตัดสินใจ และยืนยันให้รับทราบว่า.. ต่อไป ทั้งสี่ จะไม่ได้รับอภิสิทธิทางการทูตใดๆอีกต่อไป และจะขอคงอยู่ในประทศอังกฤษในฐานะเอกชนธรรมดา สำหรับการทำงานต่อไปย่อมแล้วแต่รัฐบาลอังกฤษจะเห็นสมควร คุณหลวงภัทรวาทีเองก็พร้อมที่จะทำงานได้ทั้งฝ่ายทหารและพลเรือน ไม่ว่าในลักษณะใดและที่ไหนทั้งสิ้น ขอให้เป็นงานที่จะทำให้คุณหลวงสามารถช่วยในการสงครามของสหประชาชาติ และมีส่วนในการปลดปล่อยประเทศไทย จากคุณ : WIWANDA - [ 24 ก.ค. 50 13:09:43 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณครับ  ทุกท่านที่เข้ามาช่วยเสริมเติมแต่งให้เรื่อราวมันสบูรณ์ยิ่งขึ้น เรื่อของพระองค์เจ้ารำไพพรรณี ผมไม่แน่ใจว่าจะจัดพระองค์ท่านเป็นเสรีไทยด้วยหรือไม่  แต่เรื่อที่พระองค์ท่านสนับสนุนเสรีไทยนั้นไม่มีข้อสสัยอยู่แล้ว เพราะวันแรกที่หนุ่มไทยไปรายงานตัวเป็นทหาร  พระอค์ท่านก็ประทานเลี้ยงอาหารกลาวันให้กับทุกคนอยู่แล้ว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 ก.ค. 50 14:53:21 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาช่วยกันแต่กันเติมเพิ่มเรื่องราวให้อ่านสนุกขึ้นครับ หายไป 3 วัน ไปเยี่ยมยามเมืองฮานอยมาครับ  อากาศร้อนสาหัสสากรรจ์ประมาณเดือนเมษายนบ้านเราเลยทีเดียว  มีเรืองมาเล่าให้ฟังเยอะ เพราะพยายามไปเที่ยวในแหล่งที่มีความสำคัญกับเหตุการณ์บ้านเมืองเขา แม้ว่าบางส่วนจะทำให้เพื่อนร่วมทัวร์สมัครใจนอนเฝ้ารถหรือนั่งกินกาแฟ แอลกอฮอล์รอฆ่าเวลาก็ตาม ได้หนังสือมาหลายเล่ม เป็นภาพถ่ายช่วงเหตุการณ์สงครามเวียดนามกับสหรัฐฯ กับภาพลายเส้นสมัยตกเป็นอาณานิคมฝรั่งเศส ที่สำคัญ คือ ได้แวะไปดู "ฮานอย ฮิลตัน" มาด้วย เห็นห้องที่นักบินอเมริกันไปเช๊กอินอยู่พักหนึ่ง พอดีช่วงนี้เขากำลังจะจัดนิทรรศการครบรอบ 60 ปี  ทำให้มีการจัดเตรียมสถานที่ พร้อมนำภาพถ่ายออกมาแสดงเยอะดี ได้เห็นภาพความเป็นอยู่ของนักโทษการเมืองในคุกที่สร้างโดยเจ้าอาณานิคมแล้วก็สลดใจ ยิ่งเขาเอาเครื่องกิโยตินของจริงมาตั้งแสดงด้วย ยิ่งเสียวแวบ เรื่องราวทางประวัติศาสตร์เขายังน่าสนใจ แต่การจัดการท่องเที่ยวของเขายังไม่ลงตัวนัก  เอาเรื่องมาเล่าให้ฟังกันได้ แต่บอกตรง ๆ ว่าไม่ค่อยอยากจะเชียร์ให้ไปเที่ยวไปดูเลย เพราะหลาย ๆ เรื่องเขายังเคี่ยวอยู่เยอะ ไม่สนุกแบบสบายใจว่างั้นเถอะ แต่เรื่องภาพถ่ายนี่ เอาไว้จะแสกนแล้วเอามาเล่าเรื่องด้วยภาพ  น่าจะเห็นภาพของการสงครามของประเทศเขาได้  เพราะตอนที่เขียนเรื่องเวียดนาม จำได้ว่า จบลงแค่ฝรั่งเศสไปแล้ว แต่อเมริกันยังไม่เข้ามาเท่านั้นเอง งั้นคราวนี้ คงได้มีเรื่องเขียนอีกแล้วละ กลับมาเรื่องเสรีไทยต่อ ในส่วนของพระองค์เจ้ารำไพพรรณีนั้น  พระองค์ได้ประทานเลี้ยงอาหารกลางวันให้แก่หนุ่ม ๆ ไทยที่กำลังสมัครเป็นทหารด้วย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 24 ก.ค. 50 15:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ขอลาพักฟื้นอีกสัก 1 วันครับ  เพราะเพลียจากความร้อนอย่างยิ่ง   ที่นั่นร้อนอบอ้าวมาก  เหงื่อออกทั้งวัน  เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการอบซาวน่าอย่างยิ่ง ขนาดอดีตนักกีฬาทีมชาติที่ไปด้วย ยังร่วง ขอนอนพักฟื้นบนรถ ยอมตัดรายการทัวร์ออกไปเลย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 25 ก.ค. 50 02:56:53 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ตามมาอ่านครับ จากคุณ : I'm in the earth for you - [ 25 ก.ค. 50 21:36:40 ]

ความคิดเห็นที่ 17 อาจานโดดสอนซะงั้น อยากให้เอาสาวเวียดมาฝากมั่งน่ะครับ แล้วนักกีฬาทีมชาติที่ว่า เล่นกีฬาประเภทไหนเหรอครับ ผมเดาว่าน่าจะเป็นนักกรีฑาอ่ะ จากคุณ : saravuht - [ 25 ก.ค. 50 22:50:26 A:213.189.82.98 X:213.189.82.98 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ถ้าเอามาจริงจะกล้ารับฝากหรือครับ เพื่อนที่เป็นนักกีฬานะ เขาเล่นบาสครับ  สงสัยจะชินแต่วิ่งในสนามสั้น ๆ เจอเดินไปเดินมาทั้งเมืองเลยหมดแรง วกกลับมาที่เสรีไทยสายสหรัฐฯบ้างครับ  หลังจากดูการปฎิบัติภารกิจของสายอังกฤษไปแล้ว อย่างที่บอกครับว่า เสรีไทยทั้ง 3 สาย เอาไปเอามาก็ต้องมาบรรจบกันจนได้  ตอนนี้ทุกฝ่ายต่างมุ่งไปที่จีน เพื่อใช้เป็นฐานที่มั่นในการเข้ามาปฎิบัติการในไทยกันทั้งนั้น   โดยเฉพาะหลังจากที่ ม.ล.ขาบ และ ท่านชิ้นได้มีโอกาสได้พบกับจำกัด จนเป็นที่แน่ใจแล้วว่า  ในประเทศไทยมีการจัดตั้งขบวนการต่อต้านญี่ปุ่นขึ้นแล้วจริง ๆ   แผนยุทธการทางฝั่งอังกฤษนั้น เขาเริ่มจากการพยายามส่งเสรีไทยไปขึ้นฝั่ง โดยเรือดำน้ำ ซึ่งแม้จะส่งได้สำเร็จ  แต่ไม่สามารถรับกลับได้ ส่วนสายสหรัฐฯนั้น  เสนีไทยที่ผ่านการฝึกจากโอ.เอส.เอส.และได้รับเงินจากสถานทูตก้อนแรก คือ ห้าหมื่นดอลล่าห์แล้ว ก้ได้ประชุมเพื่อพิจารณาผนยุทธการร่วมกัน แผนนี้มี ม.ล.ขาบ และร.ต.การะเวก  ศรีวิจารณ์ เป็นผู้ร่วมร่างกันขึ้น โดยมีสาระสำคัญดังนี้ 1.  ให้เสรีไทยเลือกคู่ปฎิบัติการของตนตามความสมัครใจ และให้ฝึกฝนการทำงานกับคู่หูให้พร้อมด้วย 2.  ให้ไปตั้งฐานปฎิบัติการที่ภาคใต้ของจีน โดยมี ร.ต.ท.จำรัส  ฟอลเล็ต ป็นหัวหน้า 3.  ให้ จก ณ ระนอง ตั้งฐานปฎิบัติการในฝั่งลาว (จกมีความรู้ในภาษาฝรั่งเศสเป็นอย่างดี) ดดยร่วมกับนายอานนท์ ณ ป้อมเพช เพื่อใช้เส้นทางดังกล่าวเป็นที่ลำเลียงอาวุธ 4. ร.ท.บุญมาก  เทศบุตร  และวิมล  วิริยะวิทย์ เดินทางเข้าประเทศไทย  เพื่อประสานงานกับเสรีไทยในประเทศ  และให้วิมล เป็นหัวหน้าเสรีไทยสายสหรัฐฯที่เจ้าไปปฎิบัติงานในประเทศไทยทั้งหมด 5.  ขอบเขตการปฎิบัติงานในไทยให้มีอยู่ 3 ลักษณะ คือ ทำการรบแบบจรยุทธ์ต้านญี่ปุ่น  การสืบหาข่าว และการส่งข่าวให้กับสัมพันธ์มิตรเพื่อสนับสนุนการยกพลขึ้นบกของฝ่ายสัมพันธมิตร จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 00:49:03 ]

ความคิดเห็นที่ 19 กลางเดือนมกราคม 2486 นายทหารเสรีไทยที่ผ่านการฝึกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว  เตรียมตัวเดินทางไปอินเดีย  ฐานที่มั่นสำคัญของสัมพันธมิตร เสรีไทยทั้ง 19 นาย (อีก 2 นาย คือ ร.ต.การุณ  เก่งระดมยิและ ม.ล.เอกชัย  กำภู เดินทางไปภายหลัง)  ลงเรือลำเลียง "ลิเบอร์ตี้" เมื่อวันที่ 15 มีนาคม 2486 พร้อมผู้โดยสารอื่นอีก 60 คนมุ่งหน้าสู่คลองปานามา  ตัดข้ามมหาสมุทรแปซิฟิก ไปออสเตรเลีย  แล้วจึงวกขึ้นที่ท่าเรือบอมเบย์ เมื่อวันที่ 17 มิถุนายน 2486 รอนแรมอยู่ในทะเล 95 วัน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 00:55:40 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ชื่นชมแค่นี้คงพอ  ไม่กล้าลงเต็มๆ กลัวคนแก่หัวใจวาย!!! จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 26 ก.ค. 50 09:50:13 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ง่าท่านหัวหน้าห้อง เห็นแต่ข้างหลังอ่า ถ้าจานสื่อกล้าเอามาฝาก มีหรือที่ผมจะไม่กล้ารับ กลัวคนเอามาฝากจะอดใจไม่อยู่เท่านั้นล่ะ จากคุณ : saravuht - [ 26 ก.ค. 50 12:07:39 A:62.215.3.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 22 บ่สนใจสาวลาวบ้างเหรอ  อ้าย Saravuht จากคุณ : Dearance - [ 26 ก.ค. 50 15:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อิอิ.. จากคุณ : Dearance - [ 26 ก.ค. 50 16:02:03 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เด็กๆทำไรกันเนี่ย เดี๋ยวคืนนี้ลุงสื่อเข้ามา  อาจจะนึกว่าเข้าห้องผิด ขานั้นยิ่งแพ้ทางสาวลาวอยู่ด้วยสิ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 26 ก.ค. 50 18:15:38 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตั้งใจไว้ว่าตามอ่านจนทันเมื่อไหร่จะมาขอบคุณทุกท่านที่ช่วยกันเขียนให้ความรู้ ใช้เวลาเกือบ ๓ เดือน ตั้งแต่ตอนแรกจนถึงตอน ๑๐๖ เคยพิมพ์มาอ่านที่บ้าน แต่ะตอน ประมาณ ๙๐ หน้าอย่างน้อย เมื่อวานไป ร้านหนังสือ เจอการ์ตูน ๒ รูปนี้ เลยถ่ายมาให้ดู [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kitticc (kitticc) - [ 26 ก.ค. 50 20:11:02 ]

ความคิดเห็นที่ 26 รูปที่ ๒ ครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : kitticc - [ 26 ก.ค. 50 20:13:56 ]

ความคิดเห็นที่ 27 แหม อย่าไปว่าเขาเลย ของสวย ๆ งาม ๆ เห็นเมื่อไรก็สบายตาสบายใจครับ กลับมาเรื่องเสรีไทยต่อดีกว่า เสรีไทยสายสหรัฐฯ เป็นอีกกลุ่มที่มีโอกาสพบกับคณะของสงวน  ตุลารักษ์  หลังจากซักถาม สอบสวนกันจนเป็นที่พอใจแล้วว่า ไม่ใช่สายลับของญี่ปุ่น แต่มีความจริงใจในการทำงานเพื่อชาติจริง  ร.ท.จก ณ ระนอง ก็ทำหนังสือรับรองถึงโอ.เอส.เอส.ว่าคณะของนายสงวน ตุลารักษ์ เป็นของจริง ที่สามารถจะประสานการทำงานร่วมกันต่อไปได้ หนังสือเหล่านี้สร้างความแตกร้าวให้กับคณะเสรีไทยสายสหรัฐฯอีกระลอกหนึ่ง  เมื่องหม่อมเสนีย์ได้รับสำเนาโต้ตอบจากโอเอสเอส ก็แสดงความไม่พอใขเหล่าทหารเสรีไทยชุดที่ทำงานอยู่ที่จุงกิง โดยอ้างว่า ที่ผ่านมา ทางการสหรัฐ ได้ให้การรับรองทูตไทยอย่างถูกต้องเพียงอย่างเดียวเท่านั้น ดังนั้น ไม่ว่าการกระทำใด ๆ ก็ตาม ที่จะต้องประสานงานกับทางการของสหรัฐฯ ต้องกระทำผ่านทูตหรือสถานทูตไทยเท่านั้น การที่ ร.ท.จก ทำหนังสือรับรองคณะนายสงวนถึงโอ.เอส.เอส.โดยตรง จึงเป็นการข้ามหน้าสถานทตไทย ทำให้หม่อเสนีย์ประกาศลาออกจากประธานคณะกรรมการเสรีไทย  เพราะต้องการที่จะรักษาสถานภาพทูตไทยที่ได้รับการรับรองจากสหรัฐฯต่อไป การลาออกครั้งนี้ของหม่อมเสนีย์ ก็เท่ากับว่า เป็นการลาออกจากเสรีไทยโดยนิตินัยเลยทีเดียว  รวมทั้งโดยพฤตินัย  ความสัมพันธ์ระหว่างทูตกับนักเรียนไทยที่เป็นเสรีไทยก็ไมค่อยจะราบรื่นอยู่แล้ว พอเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น ก็แทบจะขาดจากกันเลยทีเดียว ทางเสรีไทยฝ่ายปฎิบัติการก็ทำงานร่วมกับโอ.เอส.เอส จนเรียกได้ว่า ขึ้นการบังคับบัญชากับโอ.เอส.เอส.แทนสถานทูตไทยไปโดยปริยาย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 22:51:28 ]

ความคิดเห็นที่ 28 แม้ว่าแผนของเสรีไทยสายสหรัฐฯที่ไปประจำการอยู่ที่จุงกิง คือ เดินทางเข้าประเทศไทย เพื่อประสานการทำงานร่วมกับเสรีไทยในประเทศ  แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ กับไม่ได้ทำอะไรเลย  ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์และหมดไปกับการฝึกอบรมซ้ำซากอยู่ที่ซือเหมา  ซึ่งเป็นฐานปฎิบัติการแห่งใหม่ นานถึง 6 เดือน สาเหตุเนื่องจากเกิดความขัดแย้งระหว่างผู้รับผิดชอลงานราชการข่าวในส่วนของประเทศไทยของสหรัฐฯเอง เรื่องของเรื่อง คือ ก่อนที่เสรีไทยจะเริ่มทำงาน  งานปฎิบัติการข่าวเกี่ยวกับประเทศไทยนั้น  สหรัฐฯและอังกฤษตกลงกันว่า ประเทศวัมพันธมิตรทุกประเทศมีสิทธิทีจะปฎิบัติงานข่าวกรองในประเทศไทยได้อย่างอิสระ และเมื่อเสรีไทยเดินทางมาที่จีนแล้ว ทางคณะเสนาธิการทหารร่วมของสหรัฐฯก็อนุมัติแผนที่จะให้เสรีไทยเดินทางเข้าประเทศไทย  โดยให้ไปขึ้นการบังคับบัญชากับองค์การความร่วมมือระหว่างจีนกับสหรัฐฯ หรือ ซาโค (SACO) ซึ่งผู้แทนของสหรัฐฯในซาโค คื อ น.อ.มิลัน ไมล์ ขณะที่ฝ่ายจีน คือ นายพลไต้หลี  แห่งหน่วยสืบราชการลับจีน ซึ่งอิทธิพลอย่างยิ่ง  เพราะมีสายลับในสังกัดนับหมื่น ๆ นาย และการทำงานของสัมพันธมิตรทุกอย่างที่อยู่ในจีน จะไม่ราบรื่นเลย หากไม่ได้แจ้งหรือได้รับการยอมรับจากนายพลผู้นี้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 22:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 29 หัวใจของปัญหาที่เกิดขึ้นจากนายทหารของอเมริกันเอง คือ น.อ.ไมลส์ ผู้นี้ ได้พยายามผลักดันแผน "สนธิสัญญาวอลลี่" ซึ่งเป็นแผนที่นายพลไต้หลี่เห็นด้วยอย่างยิ่ง แผนที่ว่านี้ คือ การจัดตั้งกองทัพจากคนจีนที่เกิดในประเทศไทย  พื่อส่งไปปฎิบัติการรบกับกองทัพพายัพของไทยที่ถูกส่งขึ้นมารบถึงเชียงตุง เรื่องกองทัพทหารลูกจีนที่เกิดในไทยนี่  จริง ๆ เป็นเรื่องใหญ่อีกเรื่องนึง  คือ ตอนนั้นอย่างที่ทราบดีว่าเมื่อญ่ปุ่นบุกจีน ชาวจีนโพ้นทะเลจำนวนมาก ได้กลับเข้าจีนเพื่อรบกับญี่ปุ่น ในไทยเองก็มีสามคมจีนที่เข้มแข็ง  โดยการนำของนายตันชิวเม้ง หวังหลี ก้ได้เป็นธุระจัดหาเด็กนักเรียนหนุ่ม ๆ ที่พึ่งจบการศึกษา ตลอดจนกรรมกร คนขับแท็กซี่ ขี่สามล้อสารพัดสารเพ ส่งไปเมืองจีน โดยทางเรือโดยสาร ไปขึ้นที่ฮ่องกง แล้วข้ามไปเป็นทหารจีนท่นั่น พวกที่มีความรู้หน่อยก็สมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนนายร้อยหวังปู  ซึ่งเป็น ร.ร.นายร้อยที่พรรคก๊มิตั๋งตั้งขึ้นมาเพื่อผลิตนายทหารแห่งกองทัพสาธารณรัฐ เพื่อเอาไปรบกับทหารของเหล่าขุนศึกทางเหนือทั้งหลายที่แตกออกมาตอนล้มราชวงศ์แมนจู นายทหารลูกจีนที่เกิดในเมืองไทยเหล่านี้มีนับหมื่น ๆ คน โดยทางการจีนตั้งใจเอาไว้ว่าจะใช้ทหารเหล่านี้ในการเข้ามาปฎิบัติการปลดปล่อยประเทศไทย  โดเฉพาะแผที่นายพลไต้หลี่ ตกลงร่วมกับ น.อ.ไมลส์ ป็นต้น นอกจากนี้ก็ยังมีการปฎิบัติงานด้านการข่วเช่นเดียวกับเสรีไทยสายอังกฤษและสหรัฐฯ มีการกระโดดร่มเข้ามาปฎิบัติงานในเมืองไทยเช่นเดียวกัน แต่ไม่ค่อยเป็นที่รับทราบกันเท่าใดนัก ส่วนใหญ่เราจะรู้จักเฉพาะสายสหรัฐฯและอังกฤษ ที่เป็นเช่นนั้น เพราะนักเรียนไทยในสหรัฐฯหรืออังกฤษในสมัยนั้น ล้วนแต่เป็นชนช้นสูงหรือไม่ก็คนที่มีความรู้เป็นเลิศ จึงสอบชิงทุนไปเรียนเมืองนอกได้ และเมื่อเสร็จสิ้นสงคราม ต่างก็ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน เข้ามารับผิดชอบตำแหน่งใหญ่โตในบ้านในเมืองได้ ทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ทื่ได้ทำลงไป ไม่สูญหาย  แต่มีโอกาสเผยแพร่ได้ง่าย ด้วยลักษณะความเป็นปํญญาชนนั่นเอง ผิดกับเสรีไทยสายจีน หรือกองทัพลูกจีนในไทย ที่ส่วนใหญ่เป็นชนชั้นล่าง  ทำให้หลังสงคราม ต่างก็กลับไปทำงานในระดับปกติ ไม่เป็นทีหวือหวา หรือมาปรากฎกายในวงสังคมชั้นสูงมากนัก เรื่องเลยไม่ค่อยเป็นที่รู้จักสักเท่าไร จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 23:24:33 ]

ความคิดเห็นที่ 30 นายพลโดโนแวน ผู้รับผิดชอบ โอ.เอส.เอส. ได้มีโอกาสพบกับนายพลสติลเวลล์ที่วอชิงตัน และได้หารือถึงเรื่องการปฎิบัติการในจีน และไทย ซึ่งโดโนแวน  ต้องการให้นายพลสติลเวลล์ เข้ามารับผิดชอบการปฎิบัติการในไทยแทน SACO ทั้งหมดมากกว่า เพราะตลอดเวลา สหรัฐฯไม่ค่อยจะราบรื่นกับการทำงานของจีนสักเท่าไร เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ น.อ.ไมลส์ ไม่พอใจอย่างยิ่ง เพราะนั่นเท่ากับเป็นการปลดเขาออกจากการรับผิดชอบ  ทำให้มีการโต้แย้งกันขึ้น โดยไมลส์อ้างว่ามีข้อตกลงกันอย่างชัดเจนแล้วว่า การปฎิบัติงานในไทยนั้นต้องขึ้นบังคับบัญชากับ SAO ที่มเขาเป็นผู้ประสานงานเท่านั้น ในช่วงแรก น.อ.ไมลส์ เป็นผู้ชนะ เพราะโดโนแวนไม่สามารถงัดเขาออกจากตำแหน่งได้  แต่เพียงไม่นาน เมื่อนายพลสติลเวลล์เอาจริง น.อ.ไมล์ก็กระเด็นไปทำงานในศูนย์สัมพันธิตรที่อินเดียแทน หลังจากเด้ง น.อ.ไมลส์ออกไปแล้ว โดโนแวน จึงเดินทางเข้ามาดูแลการปฎิบัติงานที่จีน  และจึงได้ทราบเรื่องของสนธิสัญญาวอลลี่ ที่น.อ.ไมลล์ทำไว้กับนายพลไต้หลี่ สาระสำคัญของสนธิสัญญานี้ คือ สหรัฐฯต้องสนับสนุนงบประมาณ อาวุธ และการฝึกให้กับทหารลูกจีนที่เกิดในไทย เพื่อให้มีความพร้อมในการปฎิบัต้งาน โดยแผนของไต้หลี่ จะส่งกองทัพลูกจีนในไทยนี้ลงใต้ไปรบกับกองทัพพายัพของไทย และหาทางในการเจรจากับกองทัพพายัพ (กองทัพพายัพ จับเชลยที่เป็นลูกจีนเกิดในเมืองไทยระหว่างการรบกับกองทัพจีนได้นับร้อย ๆ คน) ปัญหาสำคัญที่ทำให้โดโนแวนไม่สนับสนุนสนธิสัญญาวอลลี่ คือ นอกจาก น.อ.ไมลส์จะไปทำข้อตกลงที่เกินอำนาจของตัวเองแล้ว  ภายหลังที่โดโนแวน นำรายละเอียดของสนธิสัญญาวอลลี่ไปให้ ร.อ.นิคอล สมิธ  นายทหารที่ดูแลเสรีไทยสายสหรัฐฯในจีนไปวิเคราะห์ถึงความเป็นไปได้ของแผนการนี้ ร.ท.นิคอล สมิธ ทำรายงานการวิเคราะห์แผนนี้กลับมาให้โดโนแวนฟังว่า "เป็นแผนการที่ไม่ฉลาดทางการเมือง ไมเหมาะสมในทางการทหาร ไม่มีทางเป็นไปได้ในการส่งกำลังบำรุง และไร้สาระสิ้นเชิงในทางเศรษฐกิจ" ลองรายงานออกมาแบบนี้ ผู้บังคับบัญชาคนไหนยังอนุมัติอีกก็บ้าเต็มที่ สุดท้าย สนธิสัญญาวอลลี่ ก็ถึงกาลอวสาน  พร้อม ๆ กับที่โอ.เอส.เอส.ไม่ต้องเสียงบประมาณ 843,000 เหรียญสหรัฐฯ เพื่อสนับสนุนแผนการนี้ ด้วยเรื่องความขัดแย้งนี้ ทำให้นอกจากเสรีไทยต้องนั่งรอนอนรอการปฎิบัติการอย่างสญเปล่าไปกว่า 6 เดือนแล้ว  ยังทำให้นายพลไต้หลี่ ไม่ค่อยชอบขี้หน้า เสรีไทยเหล่านี้ด้วย โดยเฉพาะนิคอล สมิธ ตัวดี ก็แหม หมูเขากำลังจะหามไปทำหมูหัน  ดันเอาคานเข้ามาสอด เกี่ยวเอางบประมาณกลับไปเสียนี่ ของกำลังจะเข้าปากอยู่แล้วเชียว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 23:38:19 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เสรีไทยสายสหรัฐฯในจีน เริ่มปฎิบัติการได้จริง ๆ ก็เมื่อ น.อ.ไมลส์ พร้นจากตำแหน่งไปแล้ว  แต่กระนั้นก็ยังเหลือกระดูกชิ้นใหญ่ คือ นายพลไต้หลี่ ที่ทำท่าเหมือนจะช่วยเหลือ แต่สุดท้ายก็ไม่เคยได้อะไร กระทั่งการย้ายศูนย์บัญชาการของเสรีไทยจากคุณหมิงไปเซี่ยงล้อ เพื่อเดืนทางเข้าไทยในจังหวะสุดท้าย แม้จะได้รับการอนุเคราะห์ในเรื่องของพาหนะในการเดินทาง แก็เป็นแค่ม้ากับลาขนของ ซึ่งเมื่อไปเห็นสภาพภูมิประเทศที่แท้จริงแล้ว ก็ตระหนักชัดได้ว่าไม่สามรถเดินทางผ่านไปได้แน่ แต่กระนั้นก็ยังมโชคช่วย เมื่อ นิคอล สมิธ ได้ทราบข่าวจาก พ.อ.จอห์น นีล ว่า นายพลเชโนล์ เจ้าของกองบิน ฟลายอิ้ง ไทเกอร์ อันลือลั่น ได้สร้างสนามบินเอาไว้ที่ซือเหมา เพื่อเอาไว้ให้เครื่องบินที่กลับจากการทิ้งระเบิดที่อินโดจีนได้แวะเติมน้ำมัน ซึ่งยิ่งดี เพราะซื้อเหมาอยู่ใกล้ไทยยิ่งกว่าคุณหมิงเข้าไปอีก (หลังสงครามใหม่ ๆ มีการสร้างหนังเกี่ยวกับกองบินนี้ด้วย มีจอห์น เวนย์ เป็นพระเอก ใครเกิดทันได้ดูบ้าง ยกมือขึ้นสิ) เมื่อเป็นดังนั้น นิคอล สมิธ จึงประสานกับนายพลเชโนลด์เพื่อขอการสนับสนุนในการลำเลียงกำลังพลและยุทโธปกรณ์ของเสรีไทย เพื่อลงไปที่ซือเหมา ซึ่งก้ได้รับการอนุเคราะห์เป็นอย่างดี แต่ว่าเครื่องบินลำเลียงนั้น บรรทุกได้ไม่มากนัก  ทำให้ไปได้แต่คนและอาวุธกับเครื่องมือนิดหน่อย ส่วนม้า ล่า ฬ่อ และอุปกรณ์ขนาดใหญ่ก็ยังต้องเดินเท้าไปซื้อเหมาเอง ถารกิจนี้ ได้มอบหมายให้ ร.ท.บุญรอด  บิณสันต์ เป็นผู้จัดการ พร้อมด้วยลูกมือ ที่เป็นทหารลูกจีนในไทยจำนวนหนึ่งคุ้มกันลงไปให้ หลังจากทุกคนมาถึงซื้อเหมาแล้ว ปฎิบัติการส่งเสรีไทยเข้าประเทศ ซึ่งเป็นปฎิบัติการขั้นสุดท้ายก็เริ่มขึ้น จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 26 ก.ค. 50 23:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 32 พ.ต.อ.ประสิทธิ์ รักประชา หนึ่งในศิษย์เก่าคนไทยของโรงเรียนนายร้อยหวังปู จากคุณ : Dearance - [ 27 ก.ค. 50 14:35:32 ]

ความคิดเห็นที่ 33 โอ้โห ท่าน DEARANCE ช่างสรรหาจริงๆครับ งามแต๊ๆ ชักอยากไปลาวเร็วขึ้นอีกนิดแล้วสิ แล้วนี่ถ้าเราไปขอสาวเขาแต่งงานที่โน้น ไม่รู้ว่า ทั้งครอบครัว พ่อแม่ รวมไปถึงรัฐบาลของเขานี่จะยอมมั้ยเนี่ย จริงๆสาวลาวก็ไม่ได้สวยไปกว่าสาวไทยเลยนะครับ แต่สิ่งนึงที่สาวลาวมีก็คือความเป็นธรรมชาติ ไม่ได้เสริมเติมแต่งเข้าไป ผมว่านี่อาจจะเป็นสิ่งนึงที่สาวไทยส่วนใหญ่มองข้ามไป ดังนั้นแล้ว ถ้าสาวๆในบอร์ดนี้รวมถึงท่านหัวหน้าห้องกาสะลอง และท่านอาจานใหญ่วิวันดา มารับทราบ ก็อย่าแอบน้อยใจเลยนะครับ รู้สึกว่าผมเองก็สูญเสียหัวใจให้สาวลาวไปด้วยอีกคนแล้ว ลาวจ๋า~~~~~~ ข้าน้อยอยากไปเป็นลูกเขยลาวแล่วเด้อ จากคุณ : saravuht - [ 27 ก.ค. 50 14:46:59 A:62.215.3.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 34 เป็นเอามาก  เพือนเรา  5555 ครั้งนึงผมเข้าลาวแวะทานข้าวเที่ยงที่เวียงจันทน์  เข้าร้านนึงเจ้าของร้านสวยมาก ๆ เลยครับ  ควงมาเดินสยามพาราก้อนได้ไม่อายใครเลย  ซ้ำยังมีน้องสาวอีกคนนึงเรียนมหาลัย  สวยพอฟัดพอเหวี่ยงกัน  (พี่กะน้องนะครับ  ผมไม่ได้ไปฟัดด้วย)  ผมว่าชุดนักศึกษาของลาว  นุ่งซิ่นรัดสะโพกนิดหน่อย  ดูดีกว่าชุดนักศึกษาไทยสั้นจู๋ตั้งเยอะ อ้าว...  คุยกันในห้องเรียนอีกแล้ว  คราวที่แล้วคาบไม้บรรทัดไม่เข็ด  คราวนี้สงสัยจะโดนพริกขี้หนูยัดปากแน่เรา จากคุณ : Dearance - [ 27 ก.ค. 50 17:29:51 ]

ความคิดเห็นที่ 35 หนุ่มห้องนี้เป็นอะไรกันไปหมดหว่า...ชอบของนอกกันทั้งนั้นเล๊ยย..ต้องจับไปเป็นพระเอกละครเรื่อง"มนต์รักผ้าซิ่น" ท่าจะดีเน๊อะ.. จากคุณ : WIWANDA - [ 28 ก.ค. 50 02:09:40 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ระวังพระเอกตายตอนจบนะคะ ตอบคุณสราวุธ ถ้าคิดป็นเขยลาว   ต้องฝ่ากฏเหล็กของเขาให้ได้ก่อนนะคะ   กฏเขามีว่าไงมั่ง   เคยบอกไปแล้ว   ถ้าทำไม่ได้  คุณก็ต้องปลี่ยนชื่อเป็น  " จ้าว  อย่า  หวัง" แล้วละค่ะ ส่วนเรื่องน้อยใจนั้น ขอบอกว่า ชินแล้วค่ะ    เพราะถูกทำให้น้อยใจบ่อยจนชาชิน  ข้อนี้ไม่ต้องหว่งนะคะ   จะรักจะชอบใคร  ก็มาป่าวประกาศบอกกันได้   แต่ถ้าผิดหวังมาละก็  อย่ามาครวญครางแถวนี้ก็แล้วกัน จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 28 ก.ค. 50 20:57:34 ]

ความคิดเห็นที่ 37 แหม ผมก็ทำมารยาไปยังงั้นเองล่ะครับ ท่านหัวหน้าห้องงง จริงๆแล้วผมก็ชอบสาวไทยมากกว่าแหละ เพราะสเปกผมก็ต้องเป็นสาวเก่งนำหน้าอยู่แล้ว สาวไทยน่ะมีเสน่ห์ให้ค้นหาเยอะแยะจะตาย น่าท้าทายดีออก ส่วนสาวลาว สาวญวณนั้น ก็เก็บไว้ชื่นชมให้พอกระชุ่มกระชวยเป็นพักๆเท่านั้นล่ะครับ ตามประสาหนุ่มๆที่เห็นอะไรสวยๆงาม อ่อว่าแต่กฎเหล็กที่ว่านั้นมีไรบ้างหรือครับ ผมก็จำไม่ได้เสียแล้ว รบกวนท่านหัวหน้าเอามาร่ายอีกทีสิครับ จากคุณ : saravuht - [ 28 ก.ค. 50 21:31:54 A:213.189.82.98 X:213.189.82.98 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ปกติถ้าคุยเรื่องอื่นก็ต้องมีทำโทษกันบ้างละครับ แต่ถ้าคุยเรื่องนี้ ยกเว้นให้ อยากเป็นเขยลาวแบบด่วนได้ทันใจดี ก็ฝากเพื่อนแถว ๆ นั้นซื้อยกลังมาให้ครับ แช่เย็น ๆ ดื่มชื่นใจไม่แพ้ช้างแพ้สิงห์ของเรานักหรอก ส่วนสาวญวณ สมัยก่อนไทยมีกฎหมายห้ามเปลี่ยนสัญชาติคนเวียดนามนะครับ แม้ว่าเราจะแต่งกับเขาอย่างถูกต้องตามกฎหมายแล้วก็ตาม ไม่รู้ว่าเดี๋ยวนี้ยกเลิกไปหรือยัง เป็นกฎหมายที่ออกมาตอนปี 19 นะ แถมยังไม่รู้ว่าจะคุยกับเขารู้เรื่องหรือเปล่า เพื่อนคนนึง ไม่เจอกันกว่า 20 ปีแล้ว เป็นวิศวกร ได้ข่าวว่าไปทำงานที่เวียดนามรุ่นบุกเบิก แล้วก็เลยเรียบร้อยโรงเรีนเวียดนามไป ไม่รู้ว่าพูดกันด้วยภาษาอะไรเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นสาวลาว ความหวังก็เพิ่มขึ้นมาอีกนิดครับ เพราะยังไง ๆ ก็พอจะกล้อมแกล้มภาษาเดียวกันได้ ไม่ต้องพึ่งภาษากลาง เป็นอังกฤษอังแกว เคยถามแม่หญิงลาวเขาว่า ถ้าจะมาขอนี่ ค่าสินสอดจะแพงหลายบ่ เจ้าหล่อนเว้าซื่อ ๆ ว่า ค่าสินนะบ่เท่าใดดอก แต่ค่าสอดนี่สิ มันแพงโลด จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 01:14:11 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ส่วนสาวไทยนั้น โน คอมเม้นท์ครับ เพราะมองที่ไร คุณเธอกลายร่างเป็นเครื่องบินทุกทีไป เคยถามแม่หญิงลาวว่าระหว่างคนไทยกับคนเวียดนามเนี่ย ถ้าจะต้องเลือกจะเลือกแต่งกับไผ แม่หญิงลาวก็เอิ้นว่า จริง ๆ แล้ว ถ้าเป็นรัฐบาลต่อรัฐบาล รัฐบาลลาวจะฮักแพงกับรัฐบาลเวียดนามมากกว่า ใฐนะที่ช่วยเหลือเกื้อกูลกันมายามสงคราม ผิดกับไทยที่อยู่ดี ๆ ดันไปเปิดแผ่นดินให้ไอ้กันมาตั้งฐานทัพถล่มน้องลาวเสียนี่ นี่พูดถึงเรื่องระดับประเทศ แต่ถ้าเป็นระดับครอบครัวแล้วละก็ แม่หญิงเธอบอกว่า ลึก ๆ แล้วคนลาวจะชอบคนไทยมากกว่า แล้วเรื่องสามีเวียดนามนั้น ก็เสียงร่ำเสียงลือว่าชอบซ้อมเมียหลวงหลาย กลับถึงบ้านเป็นไม่ได้ ต้องเอาซี่โครงเมียเหน็บฝาบ้านก่อนกินข้าวทุกครั้งไป จนเจ้าประคุณสาละมีทานข้าวเสร็จแล้วนั่นแหละ ค่อยงัดศรีภรรยาออกจากข้างฝา มานั่งกินข้าวคลุกน้ำตาต่อ เพราะงั้น แม่หญิงลาวสาวโสดทั้งหลาย ก็เลยเทใจให้หนุ่มไทยเป็นพิเศษ แต่มีข้อแม้นะครับว่า ที่สวยเลิศประเสริฐศรีจริง ๆ นะ เขาก็เลือกเหมือนกัน ถ้าไม่ใช่เสี่ยระดับเจ้าของกิจการหรือผู้บริหารมีระดับ ก็ต้องอย่างน้อย ๆ ระดับ ส.จ.ขึ้นไปครับ ระดับ อบต.นี่ต้องรอไปก่อน แม่หญิงงามแต๊ ๆ ที่นั่น เขาถึงขับยนต์ระดับ BMW กันเป็นแถว หรือไม่งั้นก็โก อินเตอร์ ไปเมืองนอกปู๊นเลยละก๊ะ ลำพังแค่ใช้ใบบอร์เดอร์พาส ข้ามโขง อย่างเรา ๆ เนี่ย ไม่ได้แอ้มหรอกครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 01:23:14 ]

ความคิดเห็นที่ 40 แหม คุยเรื่องสาว ๆ สวย ๆ  นี่ไม่รู้เป็นไง เพลินได้เพลินดี  ลืมเรื่องานไปเลย เอ้า กลับมาใหม่ หลังจากที่เสรีไทยชุดนี้หาทางย้ายฐานปฎิบัติการมาซือเหมาได้แล้ว ด้วยการพึ่งการบริการจากฝูงบินไทเกอร์ วันที่ 15 มกราคม 2487 เสรีไทยก็ตั้งฐานปฎิบัติการพร้อมจะเดินทางได้ โดยเลือกเอาโรงเรียนแห่งหนึ่งเป็นศูนย์บัญชาการ ติดตั้งวิทยุเอาไว้เตรียมรับการติดต่อกับเสรีไทยที่จะเดินทางเข้าประเทศไทย เสรีไทยชุดแรกที่ ม.ล.ขาบเป็นผู้เลือกให้ปฎิบัติการเดินเท้าเข้าเมืองไทยนั้น ประกอบด้วย ร.ท.การะเวก  ศรีวิจารณ์ ร.ท.สมพงษ์  ศัลยพงษ์ ร.ท.การุณ  เก่งระดมยิง ร.ท.เอียน  นพานนท์ และท่านสุดท้าย ร.อ.โผน  อินทรทัต ทั้ง 5 คนนี้จะแข่งออกเป็น 3 กลุ่ม โดย เอี่ยนคู่กับการุณ และการะเวก คู่กับสมพงษ์ ส่วน ร.อ.โผนนั้นด้วยความเป็นทหารอาชีพมาก่อน และคุ้นเคยกับภาคเหนือของไทยเป็นอย่างดีแล้ว จึงให้เดินทางคนเดียว วันที่ 29 ก.พ.กลุ่มเสรีไทยสายสหรัฐฯกลุ่มแรกนี้ก็เริ่มออกเดินทางจากซื้อเหมา  ดดยมีเป้าหมายแรก คือเมืองเชียงรุ้ง โดยทั้งหมดปลอมตัวเป็นพ่อค้าน การเดินทางครั้งนี้ ได้รับการอนุมัติและหนุนช่วยจากไต้หลี่อย่างไม่ค่อยจะเต็มใจนัก แตจ่ไม่อาจขัดสหรัฐฯได้ ไต้หลี่จึสั่งให้ประสานกับนายพล โซะ ซึ่งได้สั่งให้ พ.อ.เจ้าจิวเป็นผู้รับผิดชอบคุ้มกันการเดินทางของเสรีไทยชุดนี้ การเดินทางใช้เวลา 6 วันก็ถึงเมืองเชียงรุ้ง และจากแผนเดินทางของ พ.อ.เจ้าจิว ระบุว่า ต้องใช้เวลาเดินทางอีกประมาณ 20 วันจึงจะถึงชายฝั่งแม่น้ำโขงที่จะข้ามเข้าไทยได้ นอกจากนี้ ทางการจีนยังเปิดเผยเรื่องที่รัฐบาลจอมพล ป.ได้สั่งให้นายทหารกองทัพพายัพ พยายามติดต่อกับกองพล  93 ที่ยันทัพกันอยู่ที่แม่น้ำลำด้วย ซึ่งขณะนั้น พ.อ.เนตร เขมะโยธิน ตัวแทนของ จอมพล ป.ได้หารือกับนายพลหลิววี่เอ็ง ผบ.กองพล 93 มาแล้ว แต่การเดินทางของเสรีไทย ไม่ตรงกับช่วงเวลาที่ผู้แทนไทยมาเจรจา  จึงได้รับทราบแต่รายชื่อที่งการจีนนำมาให้ดูเท่านั้นว่าเป็นผู้ใดมาเจรจาด้วย แต่ไม่เจอกันแต่ประการใด จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 01:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แต่น่าเสียดายว่า การเดินทางของเสรีไทยชุดแรกนี้ ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด  เนื่องจากผู้แทนจีนไม่ให้การสนับสนุนอย่างจริงจัง  ชุดที่นำ ร.อ.โผน  อินทรทัต ไปถึงแค่เมืองเชียงรุ้ง แล้วไม่ยอมไปต่อ กระบิดกระบวนจนกระทั่งยื่นคำขาดให้ ร.อ.โผน เดินทางกลับซือเหมา โดยอ้างว่า ไม่มียาที่จำเป็นเดินทางต่อไม่ได้ ร.อ.โผน จึงเป็นคนแรกที่เดินทางกลับมาแจ้งความล้มเหลวของการปฎิบัติการนี้  แถมทุกคณะที่เดินทางไป ก้ไปตกค้างกันท่เชียงรุ้งกันหมด  ไม่มีใครไปต่อได้ เรื่องนี้สร้างความแค้นเคืองให้กับ ม.ล.ขาบ อย่างยิ่ง  เพราะเป็นที่แน่ชัดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น เนื่องจากไม่ได้รับความร่วมมือจากทหารจีนผู้นำทางเลย  ซึ่งทางจีนเอง นอกจากจะไม่ต้องการให้เสรีไทยทำงานสำเร็จแล้ว ยังเกรงว่า หากเสรีไทยชุดนี้ถูกญี่ปุ่นจับได้  จะทำให้ทหารญี่ปุ่นปิดเส้นทางที่เขาใช้อยู่เป็นประจำ ด้วยเหตุหล่านี้ ทำให้ไม่มีใครพาไปต่อ หรือไปก็พาไปในเส้นทางที่ไม่มีใครเขาใช้กัน ซึ่งไม่สามารถเดินทางได้จริง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 01:43:54 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ม.ล.ขาบ นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุม และต่อว่านายพลโซะ ว่า พ.อ.เจ้าจิว ไม่ให้ความร่วมมือใด ๆ กับเสรีไทยเลย  นายพลโซะ ก้ได้แต่รับปากว่าจะจัดการให้ และจะลงโทษ พ.อ.เจ้าจิวด้วย เดชะบุญ  เมืองไทยจะไม่ต้องตกเป็นผู้แพ้สงคราม  การประชุมครั้งนั้น มีบาทหลวงท่านหนึ่งร่วมประชุมด้วย  เมื่อท่านฟังถึงเส้นทางที่ทหารจีนนำไปแล้ว ก็แย้งว่า จริง ๆ แล้ว เส้นทางเข้าเมืองไทย ไม่ใช่เส้นทางที่ พ.อ.เจ้าจิว นำทางไป แต่ยังมีอีกเส้นทางหนึ่งที่ดีกว่า คือ จากเมืองเชียงรุ้งให้เข้าเมืองลุงไม่ใช่เมืองลา ซึ่งเมืองลุงนี้อยู่ในเขตพม่าที่ยื่นเข้าไปในลาว  ซึ่งหากไปถึงได้จะสามารถนั่งเรือต่อเข้าไปในลาวได้ ข้อมูลของบาทหลวงอิวยินดุง สร้างความหวังให้เกิดขึ้นกับเสรีไทยได้อีกครั้ง  ม.ล.ขาบ จึงตกลงกับบาทหลวงให้เป็นผู้นำทางให้กับเสรีไทยอีกครั้งหนึ่ง โดยตกลงที่จะบริจาเงินสร้างโบถส์ให้เป็นค่าตอบแทน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 01:49:25 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คณะเสรีไทยชุดแรกทั้งหมด แถมด้วย ร.ท.จก ณ ระนอง และ ร.ท.อานนท์ ณ ป้อมเพชร   ได้ออกปฎิบัติการอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้มีความหวังมากกว่าเดิม เพราะเลิกพึ่งทหารจีนแล้ว  ซึ่งบาทหลวงอิวยินดุงก้ไม่ทำให้ผิดหวัง เพียง 30 กว่าวัน ทั้งหมดก็เดิทางมาถึงชายแดน ที่ตรงนี้ คณะได้แยกกันอีกครั้งหนึ่ง โดยม.ล.ขาบ ร.ท.วิเชียร และนิคอล สมิธ เดินทางกลับซือเหมา ส่วน ร.ท.การะเวก และร.ท.สมพงษ์ เดินทางเข้าทางพงสาลี โดยมีจุดหมายที่หลวงพระบาง  ส่วนการุณกับเอี่ยน อยู่กับเจ้าจิวที่เมืองลา ยังไม่ได้ข้ามเข้าเขตไทย ที่เมืองลานี้เองที่เสรีไทยได้รับข่าวร้ายจากพ่อค้าฝิ่นว่า ร.ท.การะเวก และ ร.ท.สมพงษ์ ถูกตำรวจไทยยิงตายเสียแล้วที่กลางลำน้ำโขง เรื่องนี้เมื่อสืบสาวรายละเอียดแล้ว ก๋เชื่อได้ว่าเป็นการตายที่มีเงื่อนงำ เพราะเสรีไทยทั้งสองนั้น วางแผนที่จะเข้าพักที่ในเมืองหลวงพระบาง  แต่ทหารจีนที่พามา กลับพาไปฝากไว้ที่บ้านของผู้ใหญ่บ้าน จากนั้น รุ่งเช้าของวันที่ 11 มิถุนายน ตำรวจไทยจากสถานีตำรวจภูธร เชียงแมน จังหวัดล้านช้าง  ก็เดินทางมาล้อมบ้านผู้ใหญ่บ้าน และค้นจนพบวิทยุสื่อสารและทองคำ ซึ่งมีมูลค่าประมาณ 2 พันเหรียญ  จึงได้นำตัวเสรีไทยทั้งคู่นั่งเรือข้ามกลับไปที่ ส.น.เชียงแมน เสร็จแล้วก็จะจัดการเช๊กบิลซะ (อย่าแปลกใจครับ นี่เป็นจังหวัดของไทยที่ได้ตอนรบกับฝรั่งเศสในกรณีพิพาทอินโดจีน  ทุกวันนี้ถ้าเราอยากเห็นเมืองเชียงแมน เราต้องเดินทางไปหลวงพระบาง แล้วไปที่วัดเชียงทอง  ไม่ต้องเข้าไปในวัดให้เสียกะตังส์นะครับ  แต่ให้เดินมาที่ท่าน้ำของวัดที่มีบันใดปูนสูง ๆ นั่นแหละ ยืนมองไปฝั่งตรงข้าม เราก็จะเห็นเมืองเชียงแมนอยู่ตรงข้ามวัดนั่นแล) เรื่องนี้ เสรีไทยเชื่อว่าเป็นแผนของหน่วยสืบราชการลับของจีนหรือของไต้หลี่นั่นเองที่ไม่ต้องการให้เสรีไทยทำงานได้สำเร็จ  ส่วนตำรวจไทยตอนนั้นก็ได้ผลงาน ฐานจับแนวที่ 5 ได้ แล้วยังได้ทองคำอีกต่างหาก สบายไป จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 02:04:57 ]

ความคิดเห็นที่ 44 นอกจากข่าวการเสียชีวิตของการะเวกแล้ว ศูนย์ปฎิบัติการที่ซือเหมา ไม่ได้ข่าวคราวของเสรีไทยกลุ่มอื่นอีกเลย จนกระทั่งเดิอนกันยายน จึงให้ ร.ท.บุญรอด บิณสันต์ เดินทางตามเส้นทางเดิมเพื่อสืบหาข่าวอีกครั้ง ร.ท.บุญรอด ใช้เส้นทางซือเหมา - เชียงของ แล้วล่องแพไปเมืองลา จากนั้นก็เลาะริมฝั่งไปจนถึงหลวงพระบาง แต่ก็ไม่สามารถเข้าไทยได้ แถมไม่ได้ข่าวคราวของเสรีไทยกลุ่มอื่นเลย จึงกลับซือเหมาแบบมือเปล่า ความล้มเหลวของเสรีไทยที่ซือเหมานี้ สร้างความท้อแท้และสิ้นหวังให้กับทั้งเสรีไทยเอง และโอ.เอส.เอส. จนกระทั่งมีแนวคิดที่จะยุบฐานปฎิบัติการนี้เสีย แล้วหันไปใช้แนวทางของกองพล 93 ที่กำลังติดต่อกับกองทัพพายัพอยู่ (เข้าทางไต้หลี่เลย) เพื่อหาทางติดต่อกับเสรีไทยในกรุงเทพฯให้ได้ และส่งสายลับขอโอ.เอส.เอส เข้าไปแทน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 02:11:16 ]

ความคิดเห็นที่ 45 แต่ก่อนที่ความหวังของเสรีไทยที่ซือเหมาจะดับมอดลง พร้อมกับคำสั่งปิดฐาน  ฟ้าก็แลบแปลบขึ้นมาก่อน ในคืนวันที่ 5 ตุลาคม 2487 ร.ท.นิธิพัฒ์ ก้ได้รับสัญญาณวิทยุที่ส่งออกมาจากกรุงเทพฯของ ร.ท.เป้า ขำอุไร โดยได้แจ้งรายละเอียดมาด้วยว่า เสรีไทยที่เข้าเมืองไทยนั้น นอกจาก 2 ท่านที่สละชีพเพื่อชาติไปแล้ว ที่เหลือปลอดภัยหมด โดยตอนนี้อยู่ในความดูแลของสันติบาล เรื่องราวของการเดินทางก็คือ ร.อ.โผนนั้นเดินทางเข้ามาที่น่าน และมาถูกจับที่แพร่ (หลายร้อยโลเหมือนกันนะนั่น) ส่วน ร.เป้า บุญเย็น สวัสดิ์ และพสุทธิ์ มอบตัวกับตำรวจที่ล้านช้าง แล้วจึงถูกส่งตัวเข้ากรุงเทพฯ เอามาไว้ที่สันติบาลเหมือนกัน การติดต่อที่ประสบความสำเร็จในครั้งนี้ สร้างความยินดีให้กับเสรีไทยสายสหรัฐฯเป็นอันมาก (ติดต่อได้ก่อนสายอังกฤษด้วย) และข่าวกรองท่ได้รับจากกรุงเทพฯก็ถูกส่งไปยังกองบัญชาการโอ.เอส.เอส.ที่คุณหมิง จากนั้น คุณหมิงก็กลายเป็นศูนย์กลางข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับทหารฐี่ปุ่นในไทยให้กับ่ายสัมพันธมิตรทั่วโลก เสรีไทยจากซือเหมาคนสุดท้ายที่เดินทางเข้าประเทสไทย คือ ร..อายุส อิศรเสนา ณ อยุธยา ที่ผ่านมาทางเชียงของ แล้วเข้าเชียงแสน จากนั้นก้ประสานงานกับกองทัพพายัพ ซึ่งขณะนั้นทราบถึงการดำเนินงานของเสรีไทยแล้ว เดือนมีนาคม 2488 ฐานปฎิบัติการที่ซื้อเหมา ที่เสรีไทยสร้างขึ้นมาด้วยความยากลำบาก ก้ได้ปิดตัวลง โดยเสรีไทยที่เหลือได้ย้ายไปที่แคนดีแทน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 02:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เมื่อวานไปงานเลี้ยงที่สถานทูตมาครับ สาวตรึมเลย สาวไทยนะครับ สาวต่างชาติผมไม่สนหรอก (ยกเว้นสาว เวียดกับสาวลาว ซึ่งที่นี่บ่มี) เพราะภาษาปะกิตผมเข้าขั้นเลวร้ายอย่างหนัก (นี่มาทำงานได้เกือบปีแล้วนะเนี่ย เหมือนยิ่งอยู่ภาษามันยิ่งแย่ยังงัยชอบกล) ที่สำคัญคุณเธอเหล่านั้นเป็นนางฟ้าทั้งนั้นครับ คือทำงานบนฟ้าทั้งนั้นเลย เหอะๆ งานนี้เป็นโอกาสของหมาอย่างเราที่นั่งมองมานาน ด้วยยังหวังว่าเครื่องบินจะตกมาให้นางฟ้าเหล่านั้น ได้ลงมาเจอหมาอย่างเรา จะได้เอาไปเลี้ยงดูด้วยความรักความเอ็นดูกะเขามั่ง ก็เห็นว่าพวกผู้หญิงเขาชอบหมากันมิใช่หรือครับ ขอแรงใจช่วยเชียร์กันด้วยนะครับ ^^ จากคุณ : saravuht - [ วันเข้าพรรษา 09:08:53 A:62.215.3.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 47 เอ้อ  ก่อนที่จะตัดสินใจอะไรลงไปบนฐานข้อมูลที่ว่าเหล่านางฟ้าน่ารัก ๆ เขานิยมเลี้ยงสุนัขตัวเล็ก ๆ น่าเอ็นดูนั่นนะ กรุณาไปเยี่ยมชมเป็นกำลังใจ หรือจะร่วมทำบุญเป็นค่าอาหารสุนัขจรจัดที่ กทม.กับบรรดาผู้ใจบุญเขาเก็บมาเลี้ยงก่อนนะครับ แล้วจะรู้ว่าชะตากรรมสุนัขโดนทิ้งมันเป็นยังไง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันเข้าพรรษา 16:49:42 ]

ความคิดเห็นที่ 48 สุนัขจรจัดอย่างผมก็ไม่ได้หวังอะไรมากมายดอกครับ ขอแค่ได้รับใช้นางฟ้าช่วงเวลาสั้นๆก็พอแร้ว ก็รู้ชะตากรรมตัวเองล่ะครับว่าสุดท้ายจะไปจบลงตรงไหน ผมก็คงตอบแทนเขาไม่น้อยไปกว่าย่าเหล หรือ สุนัขญี่ปุ่นที่เขาสร้างอนุสาวรีย์ให้ ก็คือ มีแต่ความซื่อสัตย์ให้แหละครับ ถ้ายังทิ้งกันลงก็เข้าใจ และพร้อมจะไปหาที่นอนข้างถนนต่อไป T-T จากคุณ : saravuht - [ วันเข้าพรรษา 17:57:47 A:213.189.82.98 X:213.189.82.98 ]

ความคิดเห็นที่ 49 แง๊...  เศร้า หลวงพระบาง  ฝั่งโน้นเป็นเชียงแมนครับ [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : Dearance - [ วันเข้าพรรษา 20:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ดูเงียบ ๆ ดี  ไม่ได้ข้ามไปครับ  มัวเป็นเขยลาวอยู่ฝั่งเมืองหลวง [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : Dearance - [ วันเข้าพรรษา 20:12:20 ]

ความคิดเห็นที่ 51 แถมอีกรูป  อิอิ จากคุณ : Dearance - [ วันเข้าพรรษา 21:32:21 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ที่เม้ากันข้างบนนั่น เขาเรียกว่า นินทาผู้หญิง จ๊ะ!!! เดี๋ยวจะบอกให้พี่วิจับไปเป็นขันทีให้หมด จะได้หายซ่าส์ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ วันเข้าพรรษา 23:15:23 ]

ความคิดเห็นที่ 53 เอ๊ะ  พูดเรื่องสัตว์เลี้ยงแสนรัก กะเครื่องยนต์กลไกที่ออวิล ไรท์ เขาทำให้มันบินได้ เกี่ยวกับสุภาพสตรีที่ตรงไหนครับ แต่แหม เอาแค่รูปเมืองเชียงแมนมาประกอบเหตุการณ์เสรีไทยก็พอ ทำไมต้องไปเอารูปบาดตาบาดใจมาลงด้วยเนี่ย ถ้าไม่ลงรายละเอียดเพิ่มเติมให้อีกหน่อย ว่าไปถ่ายภาพมาจากไหนละก็ สงสัยจะต้องโกรธกันจริง ๆ จัง ๆ บ้างแล้วละมั๊ง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 31 ก.ค. 50 01:00:56 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ไอ้เราอุตส่าห์ทำเนียน  ตัดชื่อเวบข้างล่างรูปออกซะ  จานสื่อก็มาคาดคั้นว่าถ่ายจากที่ไหนซะอีก  เลยต้องสารภาพ ไม่ได้ถ่ายเองหรอกครับ  กล้องป๊อกแป๊กของผมถ่ายไงก็ไม่งามเท่านี้หรอก  อันนี้ไปเอาของเค้ามา   แต่ดันไปตัดชื่อเวบเค้าออกซะนี่  ตอนนี้เลยลืมไปเลยว่าเอามาจากเวบไหน  ลืมจริง ๆ ครับไม่ได้แกล้งลืม  นั่งนึกตั้งแต่บ่ายกว่าแล้วยึงนึกไม่ออก หวังว่าผิดนี้คงไม่ถึงขั้นประหาร จากคุณ : Dearance - [ 31 ก.ค. 50 18:25:00 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถึงครับ เสียบประจานด้วย ไม่เชื่อถามหนุ่ม ๆ ทั้งหลายในห้องนี้ดูสิ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 1 ส.ค. 50 01:26:58 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ตัดกลับมาที่ประเทศไทยบ้าง เพื่อจะได้สัมพันธ์กลับการปฎิบัติการเสรีไทยสายสหรัฐฯที่เดินทางเข้าไทยจนรับส่งวิทยุกันได้สำเร็จ ที่ประเทศไทยนั้น หลังจากที่ญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกและบีบบังคับให้ไทยต้องลงนามสนธิสัญญาร่วมรบกับสัมพันธมิตรแล้ว  กองทัพภาคใต้ของญี่ปุ่น ภายใต้การนำของจอมพลเคานท์ ฮิซะอิจิ เทราอูจิ ก็รุกต่อไปยังภาคใต้ของไทย ซัดมาลายา สิงคโปร์ หัวใจของอังกฤษในย่านนี้ เลยไปจนกระทั่งฟิลิปปินส์ เมืองขึ้นของสหรัฐฯ ที่เล่นเอาพี่แม็คต้องเผ่นลงเรือไปตั้งหลักที่ออสเตรเลีย พร้อประโยคเด็ดที่กลายมาเป็นอมตะวาจาที่ I shall return ส่วนทางด้านพม่าก็รุกเข้าสู่มัณฑะเลย์ พร้อมสร้างวีรกรรม เผาเมืองซะเรียบ  พระราชวังไม้สักทั้งหลังหายวับไปกับกองเพลิง ญี่ปุ่นสำแดงเดชอยู่ได้แค่ 6 เดือนกว่า ๆ หลังจากสร้างสิ่งมหัศจรรน์ในการรุกรบรวดเร็วและเฉียบขาดมาได้พักหนึ่ง  กเริ่มแพ้พลังการผลิตของสหรัฐฯ เพราะทุก ๆ เดือน กองบินของญี่ปุ่นต้องเจอกับเครื่องบินอเมริกันแบบแปลก ๆ จนเลือกยิงกันไม่ถูก บางลำทำเหมือนเครื่องบิน 2 ฝาแฝดมาติดกันเสียนี่ ที่สำคัญคือเส้นทางการส่งเสบียงและการส่งกำลังบำรุง ไม่สามารถตอบสนองการเคลื่อนที่รุกรบอย่างรวดเร็วของกองทัพได้ กงอทัพญี่ปุ่นจึงเหลือแต่ความอ่อนเปลี้ย มากกว่าความฮึกเหิมจากชัยช จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 1 ส.ค. 50 02:09:09 ]

ความคิดเห็นที่ 57 จอมพลเคานท์ ฮิซะอิจิ เทราอูจิ จากคุณ : sofatboy - [ 1 ส.ค. 50 11:41:44 ]

ความคิดเห็นที่ 58 . โทรไปไม่รับ แถมไม่โทรกลับ อาทิตย์ที่ผ่านมาเข้า กทม. เลยไม่ได้เรียกหา อาจารย์ใหญ่ไปไสมา เวียงจันทน์อีกละหรือ แล้วเบอร์โทรจากจีนได้หรือยังล่ะ จะได้ไปซื้อของถูกบ้างครับ คิดถึงน้อง sofatboy ก็โผล่มาแปะรูปทันควัน ทันเหตุการณ์เหมือนเดิม สุดยอดทุกท่าน ทั้งคนตั้งกระทู้ คนเล่า คนแจม และ คนอ่าน . จากคุณ : ชอบแช้งค์ - [ 1 ส.ค. 50 12:09:28 ]

ความคิดเห็นที่ 59 อาจารย์สื่อครับ ถ้าพูดถึงวีรกรรมของเหล่านักรบเหินเวหาในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็นี่เลย กลุ่ม The Flying Tigers ที่รวมตัวกันเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น http://en.wikipedia.org/wiki/Flying_Tigers จากคุณ : sofatboy - [ 1 ส.ค. 50 12:13:22 ]

ความคิดเห็นที่ 60 อ้าว ขออภัยครับพี่ท่าน  พอดีเปลี่ยนเครื่องมือถือ เบอร์เลยสูญหายไปบางส่วน  อีกอย่าง เมื่อสัปดาห์ก่อนไปติดอยู่ที่ฮานอย ฮิลตัน ห้องเดียวกับที่นักบินอเมริกันไปนอนเล่นอยู่ปี กอนกลับมาเป็น ส.ส.บ้านเขาเนี่ยแหละ สรุปว่าขอเบอร์ใหม่อีกทีแล้วกัน คุณพี่เฮียขา จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 1 ส.ค. 50 12:36:14 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ถ้าไม่นับอาจานสื่อ กับอาจานใหญ่วิวันดา ผมก็เห็นคุณรณชัย กับคุณชอบแชงค์นี่ล่ะมั้งครับ ที่ยังอยู่โยงตั้งแต่โรงเรียนแห่งนี้เปิดทำการ ไม่รู้ว่าเรียนยังไม่จบอีกหรืออย่างไร สี่ปีเข้าให้แล้ว หรือจริงๆไม่ได้เป็นนักเรียน แล้วแกล้งทำเนียน เข้ามานั่งเรียนด้วยก็ไม่รู้ หรือเพราะสาวๆห้องนี้สวย (ตอนนี้เห็นเหลือคนเดียว คือท่านหัวหน้าห้อง) เลยไม่ขอจบ ดรอปไปเรื่อยๆก็ไม่รู้ เครื่องบินที่อาจานว่าเหมือนมีสองลำไรนั่น น่าจะหมายถึงเครื่อง P-38 นะครับ เป็นเครื่องรุ่นเดียวกับที่สอยเครื่องของท่านยามาโมโต้ลงที่หมู่เกาะโซโลมอน เอ หรือยุคนั้นมีเครื่องลักษณะเดียวกันแบบนี้อีกป่าวหว่า ผมโพสรูปไม่ได้น่ะครับ ไม่ได้เป็นเมมเบอร์ ลองเสริชๆหาดูนะครับเผื่ออยากจะเห็นกัน จากคุณ : saravuht - [ 1 ส.ค. 50 13:35:45 A:213.189.82.98 X:213.189.82.98 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ตามอ่านซะเหนื่อย แต่ก็ทันจนได้ จากคุณ : กริชครับผม - [ 1 ส.ค. 50 15:30:54 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ตัดหัวเสียบประจาน  อ้ากกกกกกกก....... จากคุณ : Dearance - [ 1 ส.ค. 50 18:17:32 ]

ความคิดเห็นที่ 64 Lockheed P-38J Lightning  เครื่องบินลำตัวคู่   เอามาลงให้ไถ่โทษ  เผื่ออาจารย์สื่อลดโทษให้ครึ่งนึง  (จากประหารด้วยดาบสองมือ  ลดเหลือดาบมือเดียว) แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 50 18:21:23 แก้ไขเมื่อ 01 ส.ค. 50 18:21:07 จากคุณ : Dearance - [ 1 ส.ค. 50 18:19:47 ]

ความคิดเห็นที่ 65 เวรกรรม  มือไม้สั่นจนลืมรูป  สงสัยจะไม่รอดแน่ ๆ เรา จากคุณ : Dearance - [ 1 ส.ค. 50 18:22:34 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ขอลงทะเบียนอ่านเป็นผู้ติดตามข้อมูลสักคนนะ ครับ จากคุณ : clk99 - [ 1 ส.ค. 50 20:26:27 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ......เพราะงั้น แม่หญิงลาวสาวโสดทั้งหลาย ก็เลยเทใจให้หนุ่มไทยเป็นพิเศษ...... ..................................................... เข้าข้างตัวเองมากไปหรือเปล่า เห็นเทียวไล้ เทียวขื่อ อยู่แล้วตั้งสองสามปี ยังขายไม่ออกสักที! จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 1 ส.ค. 50 21:26:01 ]

ความคิดเห็นที่ 68 คุณรณชัย  ท่านเป็นศิษย์เก่า รุ่นบุกเบิกค่ะ   เข้าเช๊คชื่อกับอาจารย์สื่อมาตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา จนกระทั่งบัดนี้ เป็น ดอกเตอร์ อาจารย์ มีลูกศิษย์ลูกหาอยู่ทั่วเมืองเชียงใหม่นั่นแล้วล่ะเจ้า สาวๆ ไม่ค่อยกล้าเข้ากระทู้นี้หรอกค่ะ  ก็ดูเอาสิคะ   หนุ่มๆในนี้ปากคอเลาะร้ายขนาดไหน แถมใจคอยังอำมหิตผิดมนุษย์อีกด้วย เอะอะ ก็จะเอาซี่โครเหน็บข้างฝา...  ชอบใช้กำลัง เหมือนมนุษย์ถ้ำ ใครที่ไหนเข้าจะหลวมตัวเข้ามาล่ะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 1 ส.ค. 50 21:33:33 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ดูให้ชัด ๆ ว่าถ้ายังยึกยักไม่บอกที่มา ผลจะเป็นยังไง เรื่องแบบนี้ยอมไม่ได้  ต้องโหดสถานเดียว จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 2 ส.ค. 50 13:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 70 อ๊ะๆโดนพาดพิง เลยเข้ามานั่งตาแป๋วรอเช็คชื่อ ปวดหัวใจ หมดเรี่ยวแรง หลังการสอบ เมื่อเห็นคำตอบของนศ.ที่รักทั้งหลาย ไอ้เรารึอุตส่าห์บอกว่าอันนี้ออกสอบแน่ๆ พอตอนออกข้อสอบก็ดัดแปลงไปนิดนึง แถมไอ้ที่ดัดแปลงนั่นก็ไม่พ้นที่มีอยู่ในเอกสารประกอบการสอน พอตรวจข้อสอบแทบเป็นลม ส่วนใหญ่เล่นลอกตัวอย่างมาตอบดื้อๆ ไม่ได้ดูเล้ยว่าคำถามเป็นอะไร นี่มันอะไรกันนี่ จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ 2 ส.ค. 50 13:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ได้เมมแล้วนะครับ แต่ใช้ชื่อเดิมไม่ได้ ก็ขอใช้ชื่อนี้แล้วกัน จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 2 ส.ค. 50 13:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 72 นอกจากความพยายามที่จะเดินทางเส้นทางบกจากซือเหมาเอข้าไทยแล้ว เสรีไทยสายสหรัฐฯ ยังได้มีปฎิบัติการโดดร่มเข้ามาทำภารกิจสำคัญยิ่งอีกต่างหาก  ขระที่สายอังกฤษเมื่อแรกเริ่มนั้น ใช้เรือดำน้ำเป็นพาหนะ ที่ชื่อว่า เทมปลาร์ อย่างทีเล่าไปแล้ว ปฎิบัติการโดดร่มของเสรีไทยสายสหรัฐฯ ซึ่งเป็นการเข้ามาเมืองไทยครั้งแรกในทางเครื่องบิน ใช้ชื่อว่า "ฮอตฟูต" ซึ่ก็คงจะสะท้อนถึงความรวดเร็ว เพราะที่ผ่านมา กว่าจะปฎิบัติภารกิจได้มันช่างชักช้าเหลือเกิน เริ่มต้นของภารกินี้ เนื่องจาก เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองภายในประเทศไทย เมื่อรัฐบาลจอมพล ป.ต้องล้มลงไปด้วยการแพ้โหวต พรบ.เมืองเพชรบูรณ์ และพุทธมณฑล ข่าวการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองของไทยนี้เข้าหูโอ.เอส.เอส.ของสหรัฐฯ ประกอบกับรายงานการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองของนาย Dwight Bulkley ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่โอ.เอส.เอส.ที่มีภูมิหลังเป็นบุตรชายของบาทหลวงที่ประจำอยู่ที่ประเทศไทยมานาน  ทำให้เข้าใจวัฒนธรรมของไทยเป็นอย่างดี ข้อเสนอที่สำคัญของโอ.เอส.เอส.ท่านนี้คือ การที่สหรัฐฯจะครองใจประชาชนไทย และรุกทางการเมืองเข้าสู่ประเทศไทยได้นั้น ต้องให้ความสำคัญในเรื่องของการปกปักรักษาเอกราชให้กับไทย และต้องคอยกันไมให้อังกฤษหรือจีนเข้ามายุ่มย่ามกับไทยให้มากนัก นอกจากนี้ยังรวมถึงการเสนอให้สนับสนุนเสรีไทยในประเทศให้มความพร้อมในการลุกฮือขึ้นต่อต้านทหารญี่ปุ่นที่กำลังเพลี้ยงพล้ำหนักขึ้นทุกที โดยตั้งเป้าไว้ว่า จำนวนเสรีไทยที่พอจะปฎิบัติการก่อกวนทหารญี่ปุ่นนี้ได้ น่าจะต้องมีไม่น้อยกว่า 50,000 คน ด้วยเป้าหมายเช่นนี้เอง ทำให้หัวหน้าศูนย์ปฎิบัติการ 404 ที่แคนด ของสหรัฐฯตัดสินใจเปิดปฎบัติการฮอตฟูตขึ้น เพื่อเร่งส่งเสรีไทย เข้าสู่ประเทศไทยให้เร็วที่สุด เพื่อไปปฎิบัติภารกิจทางการเมืองที่สำคัญยิ่ง นั่นคือพยายามประสานงานให้ ดร.ปรีดี กับหลวงอดุลย์ ทำงานกู้ชาติร่วมกันให้ได้  เพราะหากขาดการสนับสนุนจากหลวงอดุลย์แล้ว ก็ยากที่จะสร้างพลพรรคเสรีไทยที่มีศักยภาพขึ้นมาได้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 4 ส.ค. 50 05:10:38 ]

ความคิดเห็นที่ 73 ข้อเสนอของโอ.เอส.เอส. คือ สหรัฐฯจะสนับสนุนการึกและอาวุธยุทโธปกรณ์ให้กับเสรีไทยเพื่อต่อต้านญี่ปุ่น รวมทั้งจะประกันเอกราชให้กับไทยหลังสงครามด้วย ปฎิบัติการนี้ โอ.เอส.เอส.ถือว่าเป็นความลับสุดยอด แม้กระทั่งพันธมิตรใกล้ชิดอย่างอังกฤษ ยังไม่มการแจ้งให้ทราบถึงแผนปฎิบัติการณ์นี้ เรื่องอุปกรณ์นั้น สหรัฐฯใช้เครื่องบิน บี 24 จากฐานปฎิบัติการในจีน เข้ามารับเสรีไทยเพื่อไปปฎิบัติการนี้ (เอ้า โพสต์เครื่องบี 24 ให้ดูกันหน่อยเร็ว) ส่วนตัวบุคคลนั้น ได้เลือ ร.ท.บุญมาก เทศบุตร และ ร.ต.วิมล วิริยะวิทย์ เป็นผู้โชคดีที่จะโดดร่มไปลงที่จังหวัดแพร่เพื่อเดินทางเข้าไปประสานงานกับปรีดีที่กรุงเทพฯ ปัญหามีอยู่อย่างเดียวก็คือ ทั้งคู่เป็นเสรีไทยที่ได้รับการฝึกในรุ่น 1 ซึ่งไม่มีหลักสูตรโดดร่มบรรจุอยู่ด้วย ทำให้โอ.เอส.เอศได้เตรียมเสรีไทยรุ่น 2 เอาไว้แล้ว  เผื่อว่าทั้งคู่จะขอบายกับภารกิจแรกที่ไม่มีความพร้อมนี้ แต่ความคาดคิดของโอ.เอส.เอส. ช่างหมิ่นน้ำใจเสรีไทยยิ่งนัก เพราะคำตอบของทั้งคู่ เมื่อถามถึงความสมัครใจในการปฎิบัติภารกิจนี้คือ พร้อมรับทำหน้าที่โดดร่มลงที่ประเทศไทยครับพ้ม เมื่อเป็นดังนั้น โอ.เอส.เอส.ก็ต้องเปิดการฝึกการโดดร่มหลักสูตรเร่งด่วน เพื่อ 2 คนนี้โดยเฉพาะ  โดยสอนเฉพาะภาคพื้นดิน ให้เสร็จภายใน 2 วันเท่านั้นเอง และเมื่อ บี 24 บินมาจากอังกฤษ มาจอดรอนิ่งอยู่แล้วที่สนามบินกัลกัตตา  เสรีไทยสายสหรัฐฯทั้ง 2 คน ก็พร้อมแล้วเช่นเดียวกันในอันที่จะปฎิบัติภารกิจเพื่อชาติ และเพื่อให้จารึกไว้ในประวัติศาสตร์ไทย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 4 ส.ค. 50 05:22:14 ]

ความคิดเห็นที่ 74 คนพร้อม แต่เครื่องยังไม่พร้อม  เพราะหลังจากที่ บี 24 เดินทางออกจากอินเดีย เพื่อมุ่งเข้าสู่ จ.แพร่ แต่เครื่องบินกลับเลยออกไปจนถึงลาว ทำให้ต้องบินกลับมาที่อินเดียอีกครั้ง พอครั้งที่ 2 ถึงจะขึ้นบินได้และไม่หลง แต่ก็เกิดปัญหาว่า เกิดฝนตกหนัก ทำให้นักบินไม่สามารถค้นหาพื้นที่เป้าหมายได้ ทำให้ต้องกลับไปอีกครั้ง จนกระทั่งครั้งที่ 3 นั่นแหละ ทั้งคู่จึงได้ทิ่งดิ่งตัวเองลงมาจากพื้นดิน 5,000 ฟิต เมื่อคืนวันที่ 9 กันยายน 2487 สู่พื่นที่ป่าอันรกทึบของจังหวัดแพร่ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 4 ส.ค. 50 05:27:29 ]

ความคิดเห็นที่ 75 แก้ไขเมื่อ 04 ส.ค. 50 10:36:50 จากคุณ : dearance (Dearance) - [ 4 ส.ค. 50 10:36:22 ]

ความคิดเห็นที่ 76 มาแล้วจ้า B-24 Liberator (ขืนช้าเดี๋ยวหัวขาด อิอิ) จากคุณ : Dearance - [ 4 ส.ค. 50 10:37:15 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ลำนี้ดูชัดกว่า [คลิกเพื่อชมภาพขนาดจริง] จากคุณ : Dearance - [ 4 ส.ค. 50 10:39:58 ]

ความคิดเห็นที่ 78 อาจารย์สื่อตื่นมาโพสต์ หรือยังไม่นอนคะ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 4 ส.ค. 50 19:45:28 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ยังไม่ได้นอนครับ  ไม่ดีเลย นอนดึกมาก ๆ แบบนี้  ถึงนอนครบ 6 ช.ม.ทีหลัง แต่ก็เพลีย แล้วก็เผลอหลับใหม่บ่อย ๆ ไม่จำเป็นก็อย่าทำเลย ขอบคุณที บี 24 มาทันเวลา  ช้ากว่านี้อีกนิดละก็ เพชรฆาตมีงานทำแน่นอน เจ้าเครื่องนี้ เป็นเครื่องบินทิ้งระเบิดที่เข้ามาทิ้งบอมบ์ กทม.ซะเยินเลย เมื่อก่อนก็อหังการน่าดู  ตอนนี้ก็เหลือแค่ของที่ระลึกในพิพิธภัณฑ์แค่นั้นเอง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 4 ส.ค. 50 21:34:11 ]

ความคิดเห็นที่ 80 การที่โอ.เอส.เอส.เลือกจังหวัดแพร่เป็นเป้าหมายในการส่งเสรีไทย 2 คนแรกเข้าสู่เมืองไทยนั้น เพราะต้องการให้ทังคู่ไปติดต่อกับปรีดีโดยตรง ซึ่งที่แพร่ นอกจากจะเป็นจังหวัดทางเหนือที่ไกลจากอิทธิพลของกองทัพญี่ปุ่นแล้ว ยังมี "ผู้กว้างขวาง" ที่นั่น เป็น ส.ส.ในสังกัดของ อ.ปรีดี ด้วย คือ นายทอง กัณฑาธรรม และนายวงศ์  แสนศิริพันธ์ นอกจากนี้ ร.ท.บุญมากเองก็เคยรับราชการที่จังหวัดนี้ ทำให้นอกจากจะอู้กำเมืองได้แล้ว ยังน่าจะพอมีเส้นมีสาย รู้จักกับข้าราชการหรือผู้ใหญ่ในพื้นที่ที่พอจะให้การคุ้มครองได้บ้าง การเตรียมตัวสำหรับเสรีไทย 2 ท่านนี้ คือ การเปลี่ยนชื่อใหม่ เพื่อปลอมตัว ซึ่งหมายรวมถึงการทำบัตรประจำตัว หรือเอกสารต่าง  ๆ ในชื่อใหม่นั้นด้วย บุญมากนั้นใช้ว่า  นายเขียว  ขณะที่วิมล ใช้ว่า นายกำแหง  ซึ่งทั้งคู่แต่งเครื่องแบบทหารอเมริกัน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกจับในฐานะจารชน ซึ่งจะมีโทษประหารชีวิตเพียงอย่างเดียว เมื่อเครื่องบินผ่านจุดโดดร่ม ร.ท.บุญมาก กระโดดออกมาก่อน จากนั้นวิมล พร้อมด้วยสัมภาระอีก 3 ชุดจึงตามมา  ขระที่ บี 24 ลำนั้น เลยไปทิ้งระเบิดที่สถานีรถไฟเด่นชัย เพื่อกลบเกลื่อนภารกิจ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ส.ค. 50 03:30:42 ]

ความคิดเห็นที่ 81 เมื่อลงถึงพื้นดินแล้ว ปรากฎว่าทั้งคู่พลดหลงกัน แถมยังหาร่วมสัมภาระไม่เจออีก  หลังจากใช้เวลาเดินหากันถึง 5 วันแล้ว วิมล ก็จัดการฝังอุปกรณ์ และทองที่นำติดตัวมาด้วยไว้ที่โคนต้นไม้ (หลังสงครามมีความพยายามที่จะกลับมาเอา แต่ไม่เจอ เพราะโดนขุดไปก่อนแล้ว) จากนั้นก็เดินลัดเลาะลำธาร ดดยหวังว่าจะเจอหมู่บ้าน  ซึ่งก็พบตามประสงค์ แต่เป็นผู้ใหญ่บ้านที่นำลูกบ้านพร้อมอาวุธครบมือเดินสวนขึ้นมา  เมื่อเจอกันก็สอบถามถึงเสรีไทยอีกคนนึง ที่ถูกจับได้ แต่หนีไปเสียก่อน จึงออกตามล่า วิมล ปฎิเสธ (แหงละ จะให้รับหรือไงว่าทำไมจะไม่รู้จักก็โดดมาพร้อมกันนี่หว่า) และแจ้งว่าตนเป็นตำรวจลับของหลวงอดุลฯ มาปฎิบัติภารกิจที่นี่ แตเกิดหลงป่าขึ้น ให้ช่วยพาไปหาตำรวจหน่อย ผู้ใหญ่บ้านพา วิมล ไปหานายอำเภอ ซึ่งส่งตัวต่อให้ผู้กำกับกาตำรวจแพร่อีกทีนึง  ซึ่งที่นั่นเองที่ วิมล ได้โทรเลขตรงถึงหลวงอดุลน์ โดยใช้ชือ่จริง นามสกุลจริง เพราะทราบกันมาก่อนหน้านี้แล้วว่า หลวงอดุลฯจำชื่อนักเรียนไทยในอังกฤษและอเมริกาได้ทุกคน  ทำให้มั่นใจว่าหลวงอดุลฯจะต้องจำเขาได้ และรู้ว่านี่คือเสรีไทย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ส.ค. 50 03:36:57 ]

ความคิดเห็นที่ 82 การตัดสินใจใช้ชื่อจริงในการส่งโทรเลขให้กับหลวงอดุลฯ เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เพราะหลังจากนั้นไม่นานก็ได้รับโทรเลขด่วนกลับมาว่าให้ผู้กำกับการแพร่ จัดอารักขา วิมล เชข้ากรุเทพฯ โดยมาขึ้นที่สถานีนถไฟเด่นชัย (จริง ๆ น่าจะกระโดดมาลงที่นี่ซะตั้งแต่ต้นเลยนะ )  และเมื่อถึง กทม.ก็มีร.ต.อ.โพยม  จันทรัคคะ  ซึ่งหลวงอดุลฯมอบหมายให้ดูแลพวกเสรีไทยที่ถูกส่งเข้ามาเมืองไทย ไปรับตัว เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2487 และนัดหมายให้วิมลได้พบกับหลวงอดุลฯ เป็นการลับ ในเย็นวันนั้นเอง ข้อความที่ วิมลติดต่อกับหลงอดุลฯ คือ แจ้งว่าทางสหรัฐฯทราบดีว่า หลวงอดุลฯกับ อ.ปรีดี ทำงานต่อต้านญี่ปุ่นอยู่ จึงอยากให้ทำงานร่วมกัน โดยสหรัฐฯจะสนับสนุนกำลังอาวุธให้ วิมล ไซโค เข้าไปด้วยว่า หากทั้งคู่ไม่ยอมร่วมมือกันแล้ว เห็นที่คงยากที่สหรัฐฯจะสนับสนุนให้ได้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ส.ค. 50 03:43:04 ]

ความคิดเห็นที่ 83 หลังจากที่ได้ตรวจสอบหลักฐานต่าง ๆ จนแน่ใจแล้วว่า งานนี้ของจริงแน่ ไม่ใช่ญี่ปุ่นส่งสปายมาหลอกลวงกัน หลวงอดุลฯก็ยอมตกลงตามนั้น และพา วิมล เข้าพบกับนายดิเรก ชัยนาม เพื่อประสานให้ อ.ปรีดี ได้มาพบกับ วิมล ที่บ้านของนายดิเรก ทันที เมื่อวิมลได้พบกับ อ.ปรีดีแล้ว ก็แจ้งข้อความต่าง ๆ ตามที่ได้แจ้งกับหลวงอดุลฯ สร้างความปิติให้กับ อ.ปรีดี อย่างยิ่ง  เเพราะที่ผ่านมาเสรีไทยในประเทศก็ทำอะไรมากไม่ได้ ตลอด 2 ปีที่ผ่านมาก้เฝ้ารอคอยการติดต่อ สนับสนุนจากเสรีไทยนอกประเทศนี่เอง ซึ่งบัดนี้ก็สมหวังแล้ว แม้ว่า วิมล จะไม่ใช่เสรีไทยคนแรกที่เข้ามาเมืองไทยได้ แต่เป็นคนแรกที่ทำให้หลวงอดุลฯกับ อ.ปรีดี มาร่วมมือกันได้ และเดินหน้าปฎิบัติการเสรีไทยเต็มสูบ  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อหลวงอดุลฯตกลงใจแล้ว ก็ให้ รต.อ.โพยม นำอุปกรณ์วิทยุของพวกเสรีไทยที่ยึดไว้มาคืให้หมด และเริ่มดำเนินการติดต่อกับสัมพันธมิตรที่กัลกัตตาทันที จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ส.ค. 50 03:48:42 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ขณะที่ วิมล ประสบความสำเร็จในการปฎิบัติภารกิจนั้น  ทางฝั่งบุญมาก กลับยังไม่รู้ชะตากรรม เพราะพลัดหลงกันมาตั้งแต่โดดออกมาจากเครื่องบิน  ซึ่ง อ.ปรีดี เมือทราบว่ายังมีเสรีไทยอีกคนที่โดดร่มลงมาพร้อมกัน ก็ได้สั่งให้ ทอง กันทาธรรม ไปหา ร.ต.บุญมากให้พบ จริง ๆ แล้ว บุญมาก หลบออกจากป่ามาก่อน วิมล แต่ถูกจับได้ โชดีที่หลบหนีออกมาจากหมู่บ้านได้ แต่ก็ไม่สามารถหาคนที่ยอมช่วยเหลือได้เลย  จนกระทั่งได้พบกับครูหญิงท่านหนึ่งในโรงเรียนที่เมืองแพ่ให้การช่วยเหลือหลบซ่อนจนปลอดภัยแล้ว ก็เดินทางเข้า กทม. ซึ่งมาถึงเอาเดือนตุลาคม ช้ากว่า วิมล ไปเกือบเดือน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 5 ส.ค. 50 03:53:49 ]

ความคิดเห็นที่ 85 มาเป็นชุดเลย ไม่ได้อ่านหลายวันตามแทบไม่ทัน จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 5 ส.ค. 50 17:01:38 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ผมมีคำถามอันนึงน่ะครับอาจารย์  มันเป็นคำถามในสิ่งที่มันไม่เกิดขึ้น แต่ก็อยากรู้ว่าเขามีแผนอย่างไร คืออยากรู้รายละเอียดน่ะครับว่าถ้าหากเสรีไทยตัดสินใจลุกขึ้นสู้ ก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้ ทางเสรีไทยและรัฐบาลมีแผนการอย่างไรบ้าง แล้วจำนวนเสรีไทยที่จะลุกขึ้นสู้มีจำนวนเท่าไหร่  แล้วคิดว่าจะเพียงพอจะต่อสู้กับกองทัพญี่ปุ่นได้หรือไม่น่ะครับ จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 6 ส.ค. 50 15:50:45 ]

ความคิดเห็นที่ 87 พูดยากครับ สำหรับคำถามประเภท "ถ้า หรือ อาจจะ" เพราะมันไม่ได้เกิดขึ้นจริง แต่เมื่อถามแล้วก็จะตอบครับ ถ้า คำแรก ถ้าถามผม ผมก็ว่าไปตามข้อมูลที่เจอโดยคนที่ห่างจากเหตุการณ์จริงมาแล้วกว่าครึ่งร้อยปี แต่ถ้าไปถามกับคนที่ผ่านเหตุการณ์ตรงนั้นมาจริง ๆ ที่พอจะอ้างอิงได้ เพราะท่านเขียนหนังสือไว้ด้วย คือ ม.จ.ภีศเดช  รัชนี ในหนังสือ ชีวิตชั้น ๆ ที่กล่าวถึงเรื่องที่ว่า ได้ส่งเสรีไทยสายอังกฤษเข้ามาเพื่อหาข่าวกรองในการวางแผนยกพลขึ้นบกทางใต้ของไทย แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ทำตามแผนนี้เพราะทิ้งปรมาณูเสียก่อน ท่านเล่าว่า เมื่อหลังสงครามสงบแล้ว ได้ตรวจข้อมูลเกี่ยวกับกำลังพลของญี่ปุ่นที่อยู่ทางใต้ของไทยในขณะนั้น เทียบกับแผนยกพลขึ้นบก ก็ปรากฎว่า หากดำเนินกาตามแผนจริง ทหารที่ยกพลขึ้นบก คงได้ละลายกันทั้งกองพัน นี่ขนาดเป็นกองทัพมาตรฐานสัมพันธมิตรเลยนะ ปรากฎการณ์ที่ขบวนการใต้ดินฮึดขึ้นสู้ก่อนเวลาอันควร มีหลายแห่งครับ  ที่โปแลนด์ ก็ย่อยยับอัปราชัย  ทั้ง ๆ ที่นาซีอยู่ในขาลงเต็มที่แล้ว ลองดูได้จากหนังเรื่อง uprising และถ้าถามผมว่า ถ้าเสรีไทยเพียว ๆ จะสู้กับกองทัพญี่ปุ่น แม้ในช่วงร่วงโรยก็ตาม จะทำได้ไหม ผมว่ายากครับ  แม้จะเป็นกองทัพไทยในขณะนั้นเลยก็ตาม อย่าลืมว่า ญี่ปุ่นมีประชาการในขณะนั้นถึง 60 ล้านคน (ไทยต้องใช้เวลา 60 ปีถึงผลิตพลเมืองทันเขาในยุคนั้น) ขณะที่ไทยมีเพียง 18 ล้านคน ในเวียดนามเอง พลพรรคของโฮจิมินต์ ก็ลุกขึ้นสู้หลังจากที่ญี่ปุ่นยอมแพ้ไปแล้ว และฮานอยสุญากาศางการปกครองอยู่ จึงพอที่จะฟื้นฐานที่มั่นได้ ไม่ได้ปะทะกับทหารญี่ปุ่นตรง ๆ อ.ปรีดี ก็พยายามที่จะขออนุญาตสัมพันธมิตรให้เสรีไทยได้แสดงอาการ"ลุกขึ้นสู้"เหมือนกันครับ  แต่ผมเชื่อว่าน่าจะเป็นแค่กลไกทางการเมืองระหว่างประเทศมากกว่า  เพราะหากเราสามารถแสดงได้ก่อนที่จะปิดสงครามแล้ว เราก็เคลมได้ว่า เราสู้ ขณะที่ฝ่ายสัมพันธมิตร  หากจะคิดในแง่ลบ การที่เขาพยายามระงับแผนการลุกขึ้นสู้ของเรา  ก็เป็นได้ว่า เขาเห็นแล้วว่า อย่างไรเสียเขาก็ชนะสงคราม  เรื่องอะไรจะต้องหาตัวแบ่งเพิ่ม เพราะที่มีอยู่ก็แบ่งกันไม่ค่อยจะลงตัวอยู่แล้ว แต่เมื่อเหตุการณ์จริง  เขายอมให้เราประกาศสันติภาพ ก็ต้องยกเครดิตให้ว่าไม่ได้เจตนาจะยึดไทยจริง ๆ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 6 ส.ค. 50 22:03:59 ]

ความคิดเห็นที่ 88 "ปรากฎการณ์ที่ขบวนการใต้ดินฮึดขึ้นสู้ก่อนเวลาอันควร" ............................................................................................... ติดใจความหมายในคำกล่าวนี้จังเลยค่ะ คำว่า "ก่อนเวลาอันควร"  พูดง่ายค่ะ  แต่ฟังยาก แล้วเมื่อไหร่ละคะ ที่จะ  "ถึงเวลาอันควร" ไม่ได้พูดถึงเรื่องเสรีไทยอย่างเดียวนะคะ ที่ว่าทำอะไรก่อนถึงเวลาอันควร แต่พูดถึงเรื่องทั่วๆไปค่ะ  เพราะไม่ว่าเราจะคิดทำอะไรในสถาการณ์ปัจจุบันนี้  ก็มักจะเจอคำว่า "ก่อนเวลาอันควร"ทั้งสิ้น บางที ถ้าแย่หน่อย  ก็จะเจอคำว่า  "มันสายไปเสียแล้ว" คือไม่ว่าก่อนหรือหลัง  ก็แย่พอๆกันนะคะ จึงอยากถามว่า  เราจะเอาอะไรมาเป็นตัวกำหนดค่ะว่า  อะไร เหมาะสมตอนไหน  เพราะบางอย่างไม่ใช่เป็นบรรทัดฐานของสังคม  เช่น  ตอนเด็กๆ ต้องทำอะไร และ สมควรจะแต่งงานตอนอายุเท่าไหร่ เพราะพวกนี้  เป็นบรรทัดฐานที่ถูกกำหนดไว้แล้ว  คนทำตามก็สบายใจได้  ไม่ได้รู้สึกว่า  ทำก่อนเวาลอันควร  หรือมาทำทีหลังซึ่งมันสายไปเสียแล้ว คำถามนี้  ไม่เกี่ยวกับคนที่เลี้ยวเข้าสู่หลักสี่แล้ว    แต่ยังไม่แต่งงานแล้วมาถามว่า  สายไปหรือเปล่านะคะ    ข้อนี้ไม่ต้องตอบค่ะ มีสถานการณ์หนึ่งที่คุณสื่อเคยเล่าให้ฟังอยู่บ่อยๆว่า  มัน"สุกงอม"ได้ที่พอดี๊พอดี   ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครทำอะไรเลยในเหตุการณ์นั้น    สถานการณ์ก็จะเป็นไปเช่นนั้นแหละ เรื่องของบอลเชวิค ปฏิวัตรัสเซียไงค่ะ  ที่ไม่ว่าจะเล่ายังไง   ก็ฟันธงได้เลยว่า  สถารการณ์มันสุกงอมจนได้ที่   จนจวนจะหล่นมิหล่นอยู่แล้ว  บอลเชวิค  จึงทำอะไรได้ง่ายยังกะปอกกล้วยเข้าปาก แต่หลังจาก กล้วยเข้าปากแล้ว  ค่อยมาพิจารณาว่า  อาการ กล้วย ติดคอหอยนั้น  เอาออกยากยิ่งกว่าตอนกลืนเข้าไปเสียอีก มาถึงเรื่องที่ว่า  "ชิงสุกก่อนห่าม" ดีกว่า  ซึ่งมันกะเกณท์ยากเหลือเกินว่ามันถึงเวลาหรือยังหว่า ที่ยกเรื่องนี้มาถาม  เพราะเห็นว่าคุณสื่อมีคำตอบให้คิดได้ดีค่ะ   ก่อนจะคิดทำอะไรที่เป็นการคล้ายดั่งปฏิวัติ  แน่นอนว่า เราต้องมีการเตรียมความพร้อมฝ่ายเรา  ทั้งซ่องสุมกำลังพล  และระดมความรู้พร้อมแนวทางในการต่อสู้  (ถ้าจำเป็นต้องรบ แต่จริงแล้ว ไม่อยากรบ)   การจัดกระบวนทัพในการต่อสู้  จะให้สวยสดงดงาม หรูหราเลิสสะแมนแตน เพียงไหน ก็ทำได้  เพียงเพื่อ สร้างความยำเกรงให้กับคู่ต่อสู้ แต่ก็ไม่ลืมการจัดขบวนทัพเพื่อพร้อมที่จะถอยอย่างเป็นระเบียบด้วย    หาไม่เช่นนั้นแล้ว  ถ้าถูกตีย้อนกลับมา  มีหวังไพล่พลทัพแตกกระจัดกระจายเหมือนทหารเลวหนีตาย     เห็นทีงานนี้ แม่ทัพคงถูกถูกสำเร็จโทษ เมื่อเราคิดที่จะรบ  ต้องเผื่อทางถอยหรือไม่ รู้ได้อย่างไรว่า  สถาณการณ์สุกงอมหรือยัง และถ้ายัง   เราจะทำให้สุก  ด้วยการ "บ่มแก๊ส"   ได้หรือไม่ จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ วันรพี 07:32:37 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อ๋อ เวลาอันควรหรือไม่ควรเนี่ยมันก็ขึ้นกับว่าใครเป็นคนทำครับ ถ้าเราทำ เราก็บอกว่ามันถึงเวลาอันควรแล้ว แต่ถ้าไม่ใช่เราทำ เราก็บอกว่านั่นยังไม่ใช่เวลาอันควร เอ ตอบแบบนีจะโดน มั้ยเนี่ย จากคุณ : Ronachai (amscmu) - [ วันรพี 10:34:44 ]

ความคิดเห็นที่ 90 เข้ามาแจมครับ จากหนังสือความทรงจำของนายพลนากามูระ ที่เป็นนายพลประจำกองทัพงิ ที่ตั้งกองทหารอยู่ในประเทศไทย กล่าวไว้รวมๆว่า ก่อนหน้าที่ญี่ปุ่นยอมแพ้นั้น ญี่ปุ่นมีทหารที่ถอยร่นมาจากแนวรบต่างๆมารวมกันในประเทศไทยเป็นจำนวนถึง 150,000 คน พร้อมได้รับแต่ตั้งจากสมเด็จพระจักรพรรดิให้ ให้เป็นผู้บัญชากองทัพงิ ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าสำหรับกองทัพญี่ปุ่น ก่อนหน้าจะจัดตั้งกองทัพงิ ทหารญี่ปุ่นเองพึ่งโชว์ผลงานในการปลดอาวุธทหารฝรั่งเศสในอินโดจีน เท่านั้นยังไม่พอยังตั้งหน่วยทหารประจัญหน้ากับกองทัพไทยที่กำลังโรยราอีก ผมเห็นด้วยกับอาจารย์สื่อฯว่า การลุกฮือของเสรีไทยคงไม่น่าจะสร้างผลอะไรมาก อาจจะยึดบางพื้นที่ที่ห่างไกลทหารญี่ปุ่นได้ แต่ญี่ปุ่นที่มีทหารมากกว่า(150,000 คนในไทยและอีกหลายหมื่นในอินโดจีน)รวมกำลังตีโต้ได้ก็จบเห่ แต่น่าจะได้ผลทางการเมืองมากกว่าที่ว่าเราฮึดสู้ เข้ามาแจมครับแล้วก็ไป จากคุณ : ryzon - [ วันรพี 12:42:46 ]

ความคิดเห็นที่ 91 เวลาจะรบกัน มันต้องมองยาว ๆ ครับ  นอกจากกำลังพลหลักแล้ว ต้องมองถึงกำลังพลสำรอง  ฐานะทางเศรษฐกิจ ทรัพยากรของชาติ การมีส่วนร่วมของประชาชน จริง ๆ แล้วญี่ปุ่นเอง ก็ทำการรบก่อนเวลาอันควร เพราะศักยภาพระยะยาวเขาไม่พร้อมเลย  จริง ๆ ญี่ปุ่นได้ชัยชนะเพียงแค่ช่วงแรกของการรบราว ๆ ครึ่งปีเท่านั้นเอง หลังจากนั้นก็ถอยร่นมาตลอด ที่สำคัญ นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมาแล้ว ก็ต้องยกคำพูดของเหมาด้วยว่า ส่วนหนึงต้องเพราะฟ้าลิขิตด้วย เพราะฉนั้น แม้จะเตรียมการมาแล้วทุกอย่าง แต่ "ฟ้า"ไม่ลิขิต ก็อาจจะต้องไปใช้ชีวิตในต่างแดนได้นะครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันรพี 13:09:27 ]

ความคิดเห็นที่ 93 คือยังงัยๆ ก็สู้เขาไม่ได้นั่นเอง ไม่ว่าจะก่อนเขาจะมาบุก หรือเขามาบุกเราแล้ว ฟังแล้วน่าวังเวงจังเลยนะครับ นี่แปลว่าประเทศของเรามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองจริงๆ  เพราะว่าชนชั้นปกครองสมัยหลังๆ  ไม่เคยเตรียมประเทศให้พร้อมกับการรุกรานจากต่างชาติเลย  แต่ว่าประเทศของเราก็รอดพ้นปากเหยี่ยวปากกามาได้ทุกที   ดูบางประเทศจนถึงปัจจุบันนี้ก็ได้ครับ เตรียมตัวไว้อย่างดีแค่ไหน  ถึงเวลาโดนเขายึดก็โดนยึดง่ายๆซะอย่างนั้น  จนวันนี้ประเทศยังวุ่นวายไม่รู้จบไม่รู้สิ้น  (ก็อิรักนั่นไง) นี่ถ้าประเทศไทยเรามีน้ำมัน สงสัยสิ้นชาติไปเรียบร้อยแล้วมั้งครับ ทั้งๆที่ศักยภาพของประเทศเรา ถ้าเอากันจริงๆแล้ว ก็น่าที่จะเป็นมหาอำนาจของภูมิภาคได้ไม่แพ้ญี่ปุ่น แต่คงเป็นเพราะเราไม่เคยที่จะมีการคิดถึงเรื่องการอุตสาหกรรมเลย ทั้งๆที่ประเทศทางยุโรปปฏิวัติอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ ศษตวรรษที่18 แต่เราเพิ่งมาทำกันในยุคน้าชาตินี้เองมั้ง แต่ถึงยังงัยเมืองไทยก็เป็นประเทศที่น่าอยู่ที่สุดในโลกแล้วล่ะครับ เชื่อคนที่มาอยู่ต่างประเทศอย่างผมสิ แต่ต้องถามอาจานใหญ่ วิวันดา กับคุณรณชัย ที่เคยไปอยู่ต่างแดนด้วยนะครับว่าจริงหรือเปล่า แต่ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านเหลือเกินแล้วครับ T-T จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ วันรพี 18:20:37 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ความมั่นคงของชาติ มันมีองค์ประกอบหลายอย่างครับ ความมั่นคงทางทหาร ความมั่นคงทางเศรษฐกิจ ความมั่นคงของประชาชน ความมั่นคงของผู้นำ การดำเนินนโยบายทางการเมืองระห่างประเทศอย่างชาญฉลาด ถ้าเรามั่นคงทางทหารอย่างเดียวก็ไปไม่รอด ดูอย่างสหภาพโซเวียตสิครับ ผลิตอาวุธได้เองทุกอย่าง  หลาย ๆ อย่างวิเศศกว่าคู่แข่งเสียอีก เช่น มิก 25 ยุคนั้น ก็บินได้สูงกว่า เร็วกว่า เครื่องตระกูลเอฟ ของเมกา เรือดำน้ำที่ใหญ่ที่สุดในโลก ดำน้ำได้นานที่สุดในโลก ก็ของโซเวียต รถถัง ปืนใหญ่ ปืนกล ล้วนแต่ทรงอานุภาพ  เอาไปให้ใครรบที่สนามไหน ก็มีชัยไปซะทุกแห่ง แต่เพราะไปปั๊มอาวุธเพลินไปหน่อย เลยย่อยยับ ทั้งทางเศรษฐกิจ และการเมือง จนต้องเปิดเปเรสตอยก้ากับกาลานอส  จนประเทศแตกดังโพล๊ะ หรืออย่างเวียดนาม ผู้นำกล้าแกร่ง ได้รับการยอมับจากประชาชนสูง ประชาชนก็ยอดเยี่ยม กล้าตายเพื่อชาติกันทั้งนั้น แต่ไม่มีความสามารถในการผลิตอาวุธได้เอง พอสปอนเซอร์ใหญ่เลิกอุดหนุน ก็เจ๊งทันที ทั้ง ๆ ที่เมื่อก่อนนั้น โปรประกันดาว่า เป็นประเทศมหาอำนาจทางทหารอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่สหรัฐฯกับโซเวียตเท่านั้น ไม่เห็นแม้กระทั่งหัวมังกร การเอาชนะศัตรู ไม่ได้อยู่แค่การสู้รบเท่านั้นนะครับ ตำราพิชัยสงครามยังบอกเลยว่า การเอาชนะศัตรูมีตั้งหลายร้อยวิธี การรบเป็นวิธีที่แย่และควรเอามาใช้หลังสุด เปรียบเทียบอีกประเทศก็ได้ เยอรมันนั่นไง คราวนี้ครบถ้วน ผู้นำแข็งแกร่ง  ประชาชนมีวินัยสุดยอด อุตสาหกรรมชั้นหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ ไม่เป็น 2 รองใคร แต่การเมืองระหว่างประเทศกลับแย่  ไม่หามิตรเลย มีแต่ศัตรูไปทั่ว เพราะมั่นใจตัวเองว่าเหนือกว่าคนอื่น สุดท้ายก็ล่มทั้งพรรค ทั้งประเทศ ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ผมว่าไทยดำเนินนโยบายสุดยอดแล้วครับ ถ้ารบตั้งแต่แรก ก็น่าจะแหลก ถ้าไม่มีพลพรรคเสรีไทยเลย ก็ไม่รอด ป่านนี้คงมีไทยเหนือ ไทยใต้ไปเรียบร้อยแล้ว เพราะฉะนั้น  ต้องดูครับว่าประเทศเราเหมาะที่จะไปทางไหน แค่ไหน ไม่ใช่อยากใหญ่เกินตัว อย่างนี้ถึงจะอยู่ได้สบายครับ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันรพี 22:26:45 ]

ความคิดเห็นที่ 95 มาเรื่องเสรีไทยต่อครับ หลังจากที่ วิมล ปฎิบัติภารกิจเชื่อมโยง อ.ปรีดี กับหลวงอดุลฯ ได้สำเร็จ   พร้อม ๆ กับการล่มสลายของรัฐบาลจอมพล ป. ทำให้เสรีไทยสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น ภารกิจแรก คือ ร.ต.วิมล ได้ขอให้ออกอากาศโฆษณาสินค้า ผ่านสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย  เพื่อเป็นสัญญาณว่าได้ทำงานสำเร็จแล้ว ตามที่ตกลงเป็นรหัสไว้ หลังจากนั้น ทางสันติบาล ก็นำเอาวิทยุและเครื่องมือมาคืนให้กับเสรีไทย ที่ถูกจับมาก่อน วิมล คือ เป้า ขำอุไร เอี่ยน ขันพานนท์ สวัสด์  เชี่ยวสกุล บุญเย็น  ศศิรัตน์ อานนท์ ณ ป้อมเพชร พิสุทธิ์ สุทัศน์ ณ อยุธยา และการุณ เก่งระดมยิง ความพยายามส่งวิทยุออกไปนอกประเทศ ได้ทำหลายแห่ง ไม่ว่าจะเป็นที่สันติบาลพระท่นั่งอัมพรสถาน ราชวัตร แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ มาสำเร็จได้ ก็เมื่อส่งจากบ้านเลขที่ 348 ซอยสวนอ้อย หน้าวชิรพยาบาล (เดี๋ยวนี้ยังอยู่ไหม ใครอยู่แถวนั้น ช่วยเดินไปดูให้หน่อยสิครับ) ซึ่งเป็นบ้านแม่ยายของ ร.ต.อ.โพยม จันทรัคคะ  หลวงอดุลฯให้ดูแลเสรีไทยนั่นเอง เห็นไหม บุญคุญแม่ยาย มันขนาดไหน  ยังงี้ต้องเรียกว่า แม่ยายกายสิทธิ์ ก็เลยเป็นอันว่า ปฎิบัติการเสรีไทย ประสบความสำเร็จ โดยสามารถส่งสัญญาณไปยังซือเหมาได้เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2487 ในเวลาประมาณ 20.30 น. โดยมี ร.ท.เป้า ขำอุไร เป็นผู้เคาะสัญญาณ  และทางซือเหมา มีนิธิพัฒน์  ชาลีจันทร์   จินตมัย  อมาตยกุล และวิเชียร  วายวานนท์ เป็นผู้รับสัญญาณ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันรพี 22:37:24 ]

ความคิดเห็นที่ 96 เรื่องที่รายงานไปยังซือเหมานั้น นอกจากจะเป็นเรื่องความปลอดภัยของเสรีไทยที่เข้ามาเมืองไทยและการเสียชีวิตของการะเวก (ถูกตำรวจไทยจับที่เชียงแมน และถูกยิงขณะนั่งเรือข้ามโขง ตำรวจรายงานว่า เสรีไทยต่อสู้และพยายามหลบหนี  ขระที่คนแจวเรือบอกว่า ตำรวจยิงเพื่อจะเอาทรัพยสิน) นอกจากนี้ยังส่งข้อความเป็นรหัส ส่งไปถอดที่แคนดี้ถึงความสำเร็จของการปฎิบัติการฮอตฟุต ที่ยืนยันกับทางแคนดี้ว่า อ.ปรีดี คือ หัวหน้าเสรีไทยในประเทศ และได้ประสานงานให้ร่วมมือกับหลวงอดุลย์แล้ว เพราะหากขาดการสนับสนุนของหลวงอดุลฯแล้ว คงยากที่จะทำงานได้ นอกจากนี้ ความคืบหน้าของการทำงานร่วมกันของเสรีไทยกับสัมพันธมิตร คือ การรับเจ้าหน้าที่โอ.เอส.เอส.เข้ามาในไทย ซึ่ง อ.ปรีดี เป็นผู้ประสานให้ เนื่องจากในช่วงแรกนั้น ไทยยังมี กฎหมายห้ามคนต่างด้าว พำนักอยู่ในต่างจังหวัด บางแห่งอยู่ จึงต้องยกเลิกก่อน แล้วจึงให้ส่งเจ้าหน้าที่เข้ามาได้ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันรพี 22:47:52 ]

ความคิดเห็นที่ 97 ย้อนกลับมาท่เสรีไทยสายอังกฤษบ้าง สายอังกฤษนั้น จริง ๆ แล้วส่งเสรีไทยเข้าปฎิบัติงานก่อนสายสหรัฐฯ แต่ปฎิบัติการแรกนั้นล้มเหลว ที่ส่งเข้ามาทางเรือดำน้ำ จากนั้นก็เปิด operation ที่ 2 ใช้ชื่อว่า ปฎิบัติการพริชาร์ด โดยยังคงใช้วิธีการส่งเข้ามาทางเรือดำน้ำเช่นเดิม แต่คราวนี้เปลี่ยนเป็น ป๋วย  อึ๊งภากรณ์ ประทาน  เปรมกมล สำราญ  วรรณพฤกษ์ คณะเสรีไทยชุดนี้ ลงเรือดำน้ำชื่อว่า แทคทิเชี่ยน จากโคลัมโบ มาขึ้นฝั่งที่พังงา เพื่อรอรับสัญญาณจากเสรีไทยในประเทศที่ท่านชิ้นติดต่อผ่านกระจ่าง  ตุลากษ์ เมื่อครั้งเจอกันที่จุงกิง แต่เรือดำน้ำรอแล้วรอเล่านานกว่าสัปดาห์ ก็ไม่มีสัญญาณใด ๆ ออกมาให้ปรากฎ แม้ว่าจะส่งเจ้าหน้าที่อังกฤษลอยเรือลำเล็กมาดูลาดเลาแล้ว ก็ไม่เจออะไรที่คล้าย ๆ กับว่าจะเป็นเสรีไทยในประเทศมาคอยรับตามที่กำหนดสัญญาณไว้ จึงต้องถอยเรือกลับไป หลังสงครามจึงทราบว่า จดหมายนัดหมายที่กระจ่างนำกลับมาจากจุงกิง กว่าจะถึงมือ อ.ปรีดี ก็เลยเดือนมิถุนายน 2487 ไปแล้ว  หรือหลังจากปฏิบัติการพริชาด ผ่านไปแล้วกว่า 8 เดือน จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ วันรพี 22:56:12 ]

ความคิดเห็นที่ 99 อุแหม่จ้าว  ไม่เสียแรงเลยครับที่นับถือเป็นครูบาอาจารย์ สุดยอดจริงๆครับ ผมไม่เคยคาราวะใครอย่างจริงจังแบบนี้มานานแระ   ขอลูกยออาจารย์สักวันเถอะครับ  (ไม่รู้จะโดนใครหมั่นไส้ว่า ประจบเพื่อหวังคะแนนปลายเทอมหรือเปล่าน่ะสิ)   อาจารย์ไม่สนใจลงเล่นการเมืองมั่งหรือครับ ? จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 8 ส.ค. 50 11:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 100 อะจ๊าก คุณsaravuht อย่าให้อาจารย์สื่อฯ ลงการเมืองเลยครับ ไม่งั้นกระทู้นี้เหงาแย่เลยครับ อีกอย่างการเมืองตอนนี้ไม่ค่อยน่าเล่นครับ เปลืองตัว เปลืองตังก์ครับ อยู่ให้ลูกศิษย์ลูกหากัด เอ้ย หยอกดีกว่าครับ จรรีละครับ จากคุณ : ryzon - [ 8 ส.ค. 50 15:59:03 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เออนั่นสิ  ผมนี่ก็ไม่น่าเลย  ทำอะไรลงไปก็ไม่รู้   อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทรของพวกเราต่อไปดีกว่า  ^-^ จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 8 ส.ค. 50 18:50:36 ]

ความคิดเห็นที่ 102 แหม !!!! ป้อนลูกยอกันออกหน้าออกตาเชียวนะ น่าหมั่นใส้จริงๆ เดี๋ยวเขาก็ปั่นลืมสังขารหรอก!!!! จากคุณ : กาสะลองบานแล้ว - [ 8 ส.ค. 50 21:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 103 เอ้อ ที่ว่าสุดยอดอะไรเนี่ย มันเรื่องอะไรครับ กลับมาเสรีไทยต่อแล้วกัน ตอนที่ อ.ป๋วย โดนจับมาที่สันติบาลนั้น  ย้อนกลับไปนิดนึงว่า   ก่อนหน้าที่รัฐบาลจอมพล ป.จะล้มนั้น  หลวงอดุลฯ ท่านก็แทงกั๊ก คือจะว่าสนับสนุนเสรีไทยก้ไม่ใช่ เพราะใครแหลมเข้ามาก็จับหมด และทั้ง ๆ ที่รู้ว่าเป็นเสรีไทย  แต่ก็ไม่ให้ปฎิบัติหน้าที่ ขณะเดียวกัน ก็ไม่ได้มีมาตรการลงโทษหรือส่งตัวให้ญี่ปุ่นแต่อย่างใด ตอนที่เสรีไทยถูกจับกรมโฆษณาการก็ออกข่าว  ซึ่งทางแคนดีก็ได้รับ เขาบอกว่า จริง ๆ ทางแคนดีและเสรีไทยที่ยังไม่เข้าประเทศก็ตกใจกันใหญ่ และกลัวว่าแผนจะแตก กลัวพวกที่ถูกจับจะถูกทรมาน แม้กระทั่ง อ.ป๋วยเอง  ญี่ปุ่นก็รู้ว่าถูกจับมา และขอสอบสวนด้วย ทางการไทยก็ปากว่าตาขยิบ คือ ยอมให้สอบ แต่ก็เตรียมป้องกันเสรีไทยไว้ด้วย กล่าวคือ เมื่อทางกองทัพญี่ปุ่นของสอบสวนเสรีไทย ทางตำรวจไทยก็ยินยอม แต่ได้ขอไว้ว่าต้องมาสอบสวนที่กรมประสานงานพันธมิตรเท่านั้น และห้ามทรมานเด็ดขาด อ.ป๋วย สมัยนั้น ก็ถูกส่งตัวให้ญี่ปุ่นสอบสวนด้วยเหมือนกัน โดยจับใส้กุญแจมือ ล่ามโซ่อย่างครบครัน เหล่าเสรีไทย พอรู้ว่าจะต้องโดนญี่ปุ่นสอบสวน ก็กลัวเหมือนกัน ว่าได้จะพิสูจน์ความคมของซามูไรด้วยตัวเอง จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 9 ส.ค. 50 02:36:18 ]

ความคิดเห็นที่ 104 ที่นี่ ตอนที่ต้องสอบสวนกับี่ปุ่น ทางญี่ปุ่นก็ต้องมีล่ามที่พูดไทยได้ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ใช้คนไทย เพราะทางญี่ปุ่นเขามีมาเอง ก็เป็นพวกสายลับที่เข้ามาทำงานในไทยก่อนหน้านี้ คราวนี้ก็เช่นกัน อ.ป๋วย โดนสอบโดยคณะนายทหารญี่ปุ่น โดยมีคนรู้จักรวมอยู่ด้วย  เพราะเป็นนายทหารญี่ปุ่นที่แฝงตัวเข้ามาเรียนที่อัสัมชัญ และบังเอิญรู้จักกับ อ.ป๋วยในช่วงเรียนด้วย ปุ่นคนนั้นชื่อว่า นายฮาตาโน  ซึ่งพอเจอหน้าก็ทักทันทีว่า "ป๋วย จำอั๊วได้ไหม" อ.ป๋วย ก็ตอบไปว่า ทำไมจะจำไม่ได้ ฮาตาโน  เป็นไงครอบครัวสบายดีไหม อัสสัมชัญโดนระเบิดหรือเปล่า ฯลฯ เรื่องตลกก็คือ หลังสงครามแล้ว ฮาตาโน เขียนจดหมายมาถึง อ.ป๋วย บอกว่า ตอนที่พบกับลื๊อนั้นอั๊วรู้ว่าลื๊อพูดโกหก นึกแล้วยังขำไม่หาย "อ้ายเรื่องที่ลื๊อโกหกนะ อั๊วะยังนึกขันไม่หาย  อั๊วไม่ค่อยเชื่อลื๊อ  นึกขำในใจที่เห็นลื๊อตีหน้า:-) พูดจนพวกนั้นเขาเชื่อ" จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 9 ส.ค. 50 02:42:51 ]

ความคิดเห็นที่ 105 โกหกเรือ่งไรอ่ะคับเนี้ จากคุณ : กริชครับผม - [ 9 ส.ค. 50 15:19:58 ]

ความคิดเห็นที่ 106 เรื่องที่อาจานสื่อแกยังเป็นโสดอยู่มั้งครับ อุ้ย ล้อเล่งงง แกก็งี้ล่ะครับ ชอบทิ้งปริศนาไว้ แล้วก็หายแวบไปทุกที อั้ยเราก็อยากติดตามต่อสิ ใช่มั้ย จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 9 ส.ค. 50 16:22:10 ]

ความคิดเห็นที่ 107 อ่านตั้งนาน นึกว่าเรื่องอะไร ต้องน้อนไปดูถึงได้รู้ว่าพิมพ์ข้ามเรื่องที่เสรีไทยเขานัดแนะกันไว้ว่าจะโกหกพวกญี่ปุ่นที่มาสอบสวนกันยังไง คืองี้ว่า จริง ๆ แล้วสันติบาลก็จับเสรนีไทยไว้แบบโปลิศจับขโมย เล่นกันยังกะของเล่น คือ กลางวันขัง กลางคืนก็จับแต่งัวไปพบผู้ใหญ่ในขบวนการต่อต้านญี่ปุ่น ทีนี้ พวกญี่ปุ่นก็พอจะทราบว่า ตำรวจไทยจับพวก "แนวที่ 5 " ได้ เพราะมีการออกข่าวกันให้เอิกเกริก  จึงขอให้ไทยส่งตัวไปให้ญี่ปุ่นสอบสวน ทางไทยก็บอกว่า ไม่ให้ ต้อมาสอบสวนเอง และห้ามทรมานด้วย ทีนี้ ทางเสรีไทยที่รู้ว่าจะต้องโดนสอบสวนก็รวมหัวกันนัดแนะว่าจะโกหกญี่ปุ่ยังไง ประเด็นหลัก ๆ ก็เช่น  ที่ต้องมาเป็นแนวที่ 5 เพราะถูกทางการอังกฤษใช้กฎอัยการศึกบังคับ จับโดดร่มลงมา  จริง ๆ แล้วไม่อยากทำแต่ขัดไม่ได้ พอเข้ามาได้ก็เลยมามอบตัวกันหมด หรือถ้าถามถึงสถานการณ์ของพวกอังกฤษกับสหรัฐฯ ก็บอกว่า ทั้งคู่ไมค่อยถูกกัน ชอบกินหล้าแล้วก็ทะเลาะกันบ่อย ๆ แล้วกไม่ชอบพวกเอเชียด้วย เลยทำให้ทำงานร่วมกันไม่ค่อยได้ อะไรประมาณนี้ ทีนี้ เพื่อนของ อ.ป๋วย ท่เป็นญี่ปุ่น ก็คงจะพอทราบเหมือน ๆ กับทหารญี่ปุ่นคนอื่น ๆ ที่ว่า คงไม่ได้พูดความจริงทั้งหมด ซึ่งถ้าอยู่ภายใต้การควบคุมของญี่ปุ่นเอง คงโดนทรมานรีดความลับไปแล้ว แต่นี่ขัดอยู่ที่ว่า ต้องมีเจ้าหน้าที่ไทยอยู่ด้วย และห้ามทรมานเด็ดขาด เรื่องของเรื่องจึงเหลือแค่ว่า เสรีไทยเล่นละครเก่งแค่ไหนเท่านั้น ถึงญี่ปุ่นจะขัดใจแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะเกรงจะเสียสัมพันธ์ทางการเมืองด้วย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 9 ส.ค. 50 18:32:03 ]

ความคิดเห็นที่ 108 หลวงอดุลย์นี่คือ หลวงอดุลย์เดษจำรัส ใช่หรือเปล่าครับ จากคุณ : กริชครับผม - [ 10 ส.ค. 50 16:20:51 ]

ความคิดเห็นที่ 109 แม่นเลี้ยวครับ นามเดิมคือ บัตร พึ่งพระคุณ จากคุณ : saravuht (BrettAnderson) - [ 11 ส.ค. 50 15:15:48 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ทั้งหมดที่เขียนเนี่ย วันหลังเล่าให้ฟังได้หรือเปล่าคะอาจารย์สื่อ? อ่านไม่ไหวน่ะ มาดูเพราะรู้สึกตะหงิดๆ ว่ามีคนนินทา อิอิ จากคุณ : ครึ่งเจ๊กครึ่งลาว (Tweety สี่ตา) - [ 11 ส.ค. 50 23:40:30 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ขึ้นกระทู้ใหม่นะ จากคุณ : WIWANDA - [ วันแม่แห่งชาติ 13:26:56 ]