ความคิดเห็นที่ 1 สภาวะของจิต จึงมีสองลักษณะ คือ 1 สภาวะเกิด-ดับ ตลอเวลาสลับกันไป ขณะที่มีการรับรู้หนึ่ง ซึ่งลักษณะเช่นนี้ ทำให้กฏการเปลี่ยนแปลงของสสาร-พลังงานได้เกิดขึ้นไปมา เป็นกระบวนการที่สะท้อนว่า สสาร-พลังงานไม่สูญหายไปไหน 2 ผ่านขั้นตอนแรกแล้ว จะเหลือไว้เป็นความทรงจำ ซึ่งเป็นสภาวะของสสารในรูปใยประสาทที่มีไฟฟ้าสถิตย์สะสมอยู่ แต่ถ้าไม่ได้ระลึก ไฟฟ้าสถิตย์นั้นก็จะเจือจาง แต่คราใดที่เราระลึกหรือใช้ความทรงจำ ก็จะมีพลังงานจากเลือดมาหล่อเลี้ยงเพิ่มศักยภาพของไฟฟ้าสถิตย์และฟื้นความทรงจำขึ้นมาได้ ทั้งสองข้อดังกล่าว สะท้อนการทำงานของทฤษฏีสัมพันธภาพได้ในระบบการทำงานสมองของคนเรา ซึ่งเป็นอินทรียสสารที่พัฒนาการรู้คิดได้.. จากคุณ : เพิ่งนึกออก - [ 18 ส.ค. 50 18:27:33 A:58.9.63.104 X: TicketID:150592 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมแอบคิดอยู่คนเดียวตั้งนานแล้วว่าสมองมนุษย์คือ biological hardware ที่มีภาค ram ที่เป็นส่วนซึ่งมีการรับรู้และคิดคำนวณ และส่วนความทรงจำที่เป็น harddisk คิดเสร็จแล้วขึ้นอยู่กับเราว่าประัทับใจแค่ใหนและอยากจำแค่ใหนจึงจะเซฟไว้หรือปล่อยวางให้ลืมไป ซึ่งความคิดแบบนี้เป็นเรื่องที่่น่ากลัวมากเนื่องจากเป็นการลบล้างความคิดเรื่องนรกสวรรค์ ชาติก่อนชาติหน้าซึ่งศาสนาต่างๆใช้เป็นนโยบายใ้ห้คนกลัวการทำผิดต่อผู้อื่นและส่วนรวมเพื่อความสงบสุขของสังคม เพราะไม่งั้นทุกคนถือว่าตายแล้วจบกันจะทำอะไรก็ได้ ที่จริงคอมพิวเตอร์เป็นตัวเลียนแบบสมองคนมากกว่าและคิวว่าสักวันหนึ่งถ้าเราสามารถพัฒนาหน่วยความจำเป็นbiological material ได้คอมพิวเตอร์กับสมองคนก็จะยิ่งใกล้กันยิ่งขึ้น จากคุณ : Cyber Sage - [ 18 ส.ค. 50 19:32:26 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เป็นเรื่องของระบบปิดและระบบเปิด "หน่วยชีวิต"ทุกๆหน่วย ตั้งแต่หน่วยร่างกาย หน่วยองกร หน่วยครอบครัว หน่วยสังคม  ที่ต้องการแลกเปลี่ยนพลังงานความร้อนกับสิ่งแวดล้อมของตัวมันเอง  ที่ทำให้เกิดการจัดระเบียบโครงสร้าง ของสิ่งมีชีวิต กลายเป็นภาวะที่สมดุลย์ ระบบนี้เกิดขึ้นกับเซลล์ทุกเซลล์ กระบวนการเมตาบอลิซึ่ม  การแลกเปลี่ยนเซลล์ในระบบร่างกาย อุณหภูมิของสารเคมี ปฏิสำพันธ์ของระบบครอบครัว ที่เป็นการตอบโต้เพื่อจัดรูปแบบที่พัฒนาและซับซ้อนสมดุลย์ขึ้น ที่สามารถเติบโตได้และซ่อมแซมตัวเองได้แบบสิ่งมีชีวิต ที่นี้ระบบทุกๆระบบเองก็ต้องมีการปฏิเสธ ส่วนที่ไม่จำเป็นแก่การพัฒนาเสียก่อน จึงจะทำให้เกิดการแลกเปลี่ยนใหม่ๆของพลังงาน ที่เหมือนกับการเกิดใหม่ในรูปแบบของชีวิต เหมือนที่ปรัชญาพุทธนำมาเปรียบเทียบถึงการเกิดแก่เจ็บตาย และเกิดใหม่ จากพลังงาน1หน่วยมันจะจัดรูปแบบตัวเองจนกลายเป็นสิ่งมีชีวิต และเมื่อมีปฏิสำพันธ์กับสิ่งแวดล้อมมีูรูปแบบของตัวมันก็จะซับซ้อน สมดุลย์ สูงขึ้นเรื่อยๆ แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 19:41:30 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 19:39:55 จากคุณ : the author - [ 18 ส.ค. 50 19:36:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ขออนุญาตร่วมด้วยคนครับ ธมฺม คือ ธรรมชาติ(ในความหมายที่เราเข้าใจ) สิ่งใดคือธรรมชาติ  ย่อมมีอยู่ใน ธมฺมแห่งพุทธองค์ มีกระทู้หนึ่งในโต๊ะปรัชญาว่า ...ในเมื่อพระพุทธเจ้าเชื่อว่า ตัวเราคือจิต ทำไมพระพุทธเจ้าจึงเน้น "กิจกรรมของร่ายกาย" แทนที่จะเน้น "กิจกรรมของจิต" ? พิศวงงงงวย  ว่าท่านได้มาจากแหล่งใดไฉน ผมได้ศึกษาอภิธรรมจนบัดนี้ ๑๐ ปีปลายแล้ว  ยังไม่แจ้งในเรื่องจิต ขอบพระคุณอีกขั้นของการศึกษาพระอภิธรรม ธมฺม ก็คือ วิทยาศาสตร์ และบางเรื่องเรายังไม่มีความสามารถตั้งนิยามได้เท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 20:42:04 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 20:40:13 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 20:30:43 จากคุณ : กัมม์ - [ 18 ส.ค. 50 20:15:20 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ก่อนอื่น ผมขอเห็นด้วยกับ คห.2 ทีเปรียบเทียบได้ง่ายๆกับคอมพ์ โดยเฉพาะ ตัวแรม กับ ดิสค์ ผมอยากจะพูดว่า..................... จิตในพุทธนั้น  เกิด-ดับตลอดเวลาในกระบวนการรับรู้ผ่านประสาทสัมผัส อุปมาการทำงานของตัวแรม หรือ ระบบความจำชั่วคราวนั่นเอง เป็นภาวะการทำงานที่อาศัยฟังค์ชั่นสมองในลักษณะพลวัตร ในขณะที่ขั้นต่อมา ก็จะกลายเป็นความทรงจำ ที่ถาวรมากน้อยก็แล้วแต่เลือกให้ความหมายของจิต ภาคจัดการหรือเจตจำนง   ตรงนี้ก็จะไว้ในข่ายใยเส้นประสาทซึ่งแฝงศักยภาพเชิงไฟฟ้าสถิตย์  มากน้อยแล้วแต่การใช้งาน เปรียบเหมือนดิสค์ในไดรส์ซี แล้วเปรียบต่อไปได้อีกว่า   ................... จิตภาคเจตจำนง  ก็คือ ตัวคุณหรือผมที่กำลังอยู่หน้าจอคอมพ์อยู่ในขณะนี้ ที่อยู่ในฐานะผู้เลือกทุกกระบวนการของการทำงานของคอมพ์ที่ปรากฏหน้าจอภาพ แต่คำถาม คือ  จิตในร่างกายที่มีสมองเป็นศูนย์บัญชาการนั้น ไม่อาจแยกเป็นอิสระจากกายได้นาน  ดังเช่น เราผู้ใช้เครื่องคอมพ์นี้ ซึ่งภาวะที่สามารถแยกเป็นอิสระอย่างมั่นคงได้  ................ ตรงนี้แหละ ที่เรียกได้ว่า  คือ จิตพุทธ  จิตเดิมแท้ หรือ กระทั่งนิพพาน ก็ได้ ตรงนี้แหละอีกเช่นกัน........................ ที่เหตุผลเชิงตรรก มิอาจช่วยปลดปล่อยจิตให้ถึงฝั่งฝันได้โดยไร้การฝึกฝนจิตผ่านการฝึกฝนให้รู้เท่าทันในธรรมชาติแห่งร่างกายควบคู่กันไป เพราะ  ญาณวิทยาของจิตก็คือ ญาณวิทยาของการทำงานในระบบประสาทสัมผัสที่ยืนพื้นบนร่างกายที่ปรกติ หรือสมดุลถ้วนทั่ว จากคุณ : dicky5 - [ 18 ส.ค. 50 22:21:16 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอ....ผมมีปัญหาครับ ซึ่งคงนอกเรื่องนะครับ แต่กระทู้นี้ทำให้คิดอะไรอย่างนึง ผมสงสัยว่าพุทธ (ไม่ว่าในฐานะปรัชญาหรือศาสนา) เนี่ย ถูกตีความให้สอดคล้องกับวิทยาศาสตร์ (ไม่ว่าในฐานะปรัชญาหรือความรู้) เมื่อไหร่ครับ และทำไมครับ ถ้าผมพยายามตอบเอง น่าจะประมาณตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ที่ศาสนาพุทธถูกตีความให้เริ่ม"กินได้" (ผมหาคำดีกว่านี้ไม่ได้ครับตอนนี้) และการเกิดของอุดมการณ์แบบชนชั้นกลาง (กระฎุมพี) กระทั่ง ร.4 ที่ศาสนาพุทธถูกตีความแบบวิทยาศาสตร์มากขึ้น (เพื่อให้สอดคล้องกับคติ/ค่านิยมของชนชั้นกลางที่เกิดขึ้นใหม่ รวมถึงค่านิยมแบบตะวันตกของชนชั้นนำด้วย) กระทั่งเรามีนิกายใหม่เพิ่มขึ้นมาอีก ดังนี้แล้ว ผมจึงคิดว่าการตีความพุทธให้เป็น/คล้าย/สอดคล้องกับวิทย์จึงเป็นผลผลิตและรับใช้สังคมแบบวิทยาศาสตร์ (ชนชั้นกลาง/อุตสาหกรรม) รวมถึงเพื่อตอบสนองต่ออุดมการณ์แบบวิทยาศาสตร์มากกว่าคติของพุทธเอง นั่นเท่ากับว่าเราไม่สามารถยอมรับ "พุทธ" ได้ด้วยความเป็นพุทธเองหรือครับ จนกว่า ความเป็นพุทธ จะถูกตีความให้สอดคล้อง/เหมือน/คล้ายกับวิทยาศาสตร์หรือนักวิทยาศาสตร์ที่ทั้งโลกยอมรับ (เช่นไอน์สไตน์) จากคุณ : galapoo - [ 18 ส.ค. 50 22:41:42 ]

ความคิดเห็นที่ 7 อ้อ ... เพิ่มเติมนิดนะครับ แล้วกระบวนการทำให้พุทธเป็นวิทยาศาสตร์เนี่ย ยังเบียดขับ ความหมายอื่น ๆ ของพุทธให้ไม่เป็นพุทธอีกด้วย ยกตัวอย่างงี้นะครับว่าสำหรับชาวบ้าน (ชนชั้นล่าง) ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พุทธ พราหมณ์ ผี ยังรวมเป็นอะไรกลม ๆ อยู่ด้วยกันนะครับ (ผมเหมา ๆ ว่าทุกวันนี้ก็ยังเป็นอยู่) ทำให้พุทธแบบวิทยาศาสตร์เท่านั้นที่เป็น/ยึดครอง "ความจริง" ของความเป็ยพุทธ (มีเหตุผล เป็นวิทยาศาสตร์) ในขณะที่พุทธ แบบอื่นเป็นแค่ความงมงาย... จากคุณ : galapoo - [ 18 ส.ค. 50 23:11:02 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ^ คุณ  galapoo น่าคิด เพราะกลไกของปรัชญาพุทธที่คนมักเข้าใจกันก็มีัักรอบการมองแบบวิทยาศาสตร์นิยม เป็นแบบกลไกแยกส่วน หลักการเป็นแบบทวินิยม ที่เป็นไปในแบบลัทธิอุตสาหกรรม เป็นกรอบการมองแบบเส้นตรง แต่ทั้งนี้เคยอ่านหนังสือ the turningpoint เขาก็ตีความปรัชญาพุทธในแบบกลศาสตร์ควอนตัมที่พูดถึงพลังงาน เจตุจำนงก็คือพลังงาน มีเกิดขึ้นตั้งอยู่และดับไปของพลังงาน  เหมือนปรัชญาพุทธ ความจริงมันก็เลยมี2อันที่ไม่เหมือนกัน แต่ทั้งนี้การมองพื้นที่และเวลาในแบบวัตสงสารของปรัชญาพุทธดูเหมือนจะเข้ากันได้ควอนตัมฟิสิกข์อีกกลายเป็นว่าเราใช้หลักการของพุทธเป็นเครื่องมือในการย่อยความหมาย ของความจริง(ในแบบที่คนเราอยากเชื่อ) แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:58:43 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:58:37 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:29:23 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:24:15 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:20:56 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:20:33 แก้ไขเมื่อ 18 ส.ค. 50 23:13:44 จากคุณ : the author - [ 18 ส.ค. 50 23:11:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่เห็นด้วยครับ!!! 0 . ก่อนอื่น....ชื่อที่ถูกต้องควรเป็น ท. “สัมพัทธ”ภาพนะครับ... หมายถึงเปรียบเทียบกัน.....ไม่ใช่ ”สัมพันธ” ภาพที่หมายถึงเกี่ยวข้องกัน 1. ไม่ว่าศาสนาพุทธ หรือ ท. สัมพัทธภาพ ก็ไม่เคยอธิบายถึงไฟฟ้าสถิตย์ในสมอง หรือเส้นประสาทอะไรเลย แม้แต่แนวคิดเรื่องประจุไฟฟ้าก็ไม่มีอยู่ใน ท.สัมพัทธภาพนะครับ การใช้ ท. สัมพัทธภาพ อธิบายเรื่องประจุไฟฟ้า...จึงเป็นการใช้ทฤษฎีเกินขอบเขต 2. สัมพัทธภาพ...ในส่วนที่คุณยกมา....ไม่ได้บอกว่าเกิดดับตลอดเวลา... แต่บอกว่าพลังงาน-มวล สามารถ เปลี่ยนรูปได้...ก็เท่านั้น 3.ผมก็คิดคล้าย # 6 นะครับ...ว่า พุทธศาสนาสามารถดูมีเหตุผลในตัวเองได้......โดยไม่ต้องอิงกับวิทยาศาสตร์อะไรเลย ไม่ควรเอาวิทยาศาสตร์มาพิสูจน์ หรือหักล้างศาสนา เพราะเป็นคนละเรื่องกัน แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 50 00:19:49 จากคุณ : Hannibal-Lecter-Psych - [ 19 ส.ค. 50 00:18:28 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตกลงจุดเชื่อมโยงที่ว่า ก็คือ - จิตเกิดดับตลอด - สสารและพลังงานไม่สูญหาย แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปไปมาเสมอ แค่นั้นเลยหรือครับ ปกติแล้ว ของสองสิ่งใดๆ เมื่อนำมาเปรียบเทียบกัน ก็ล้วนพบความเหมือนและความแตกต่าง ไม่มากก็น้อย การเลือกมาไม่กี่จุด แล้วบอกว่ามันเกี่ยวข้องคล้ายกัน มีคุณสมบัติอื่นร่วมกันอีก เรียกว่า Weak Analogy ครับ แต่กระทู้นี้ ไม่ใช่แม้แต่ Weak Analogy ด้วยซ้ำ การเปลี่ยนรูปไปมา ก็ต่างกับการเกิดดับอย่างมาก เทียบได้กับการเอาเงินไปแลก ก็ไม่เหมือนการทำเงินหาย คุณยังไม่เข้าใจฟิสิกส์จริงๆ ก็ควรไปศึกษาให้ถ่องแท้ก่อน รู้หรือยังว่าทฤษฏีเขาว่าไว้อย่างไร อะไรคือ prostulate แล้วทฤษฏีมันอธิบายหรือทำนายปรากฏการณ์อะไรได้บ้าง ตราบใดที่เรายังอธิบายปรากฏการณ์อะไรใหม่ๆ หรือหากฏที่แม่นยำถูกต้องยิ่งกว่าเดิมไม่ได้ ก็ไม่นับว่าเป็นการค้นพบทางวิทยาศาสตร์ทฤษฏีหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 50 09:09:08 จากคุณ : ikkyu - [ 19 ส.ค. 50 09:04:25 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ต่อ คห.6-7 ก็เพราะ โลกนี้ ณ ปัจจุบัน................... วิทยาศาสตร์และผลผลิตของมัน  ครอบครองและเป็นกระแสหลักอยู่ทั่วโลกโดยรวมไงครับ....... ยิ่งติดจรวดแบบโลกาภิวัฒน์ด้วยแล้ว ขนาดแสงยังเกือบเรียกน้อง..!! ศาสนามีอยู่เพื่ออะไร  ใครสร้างศาสนา..?? ทุกอย่างที่มีในโลก  มนุษย์สร้างขึ้นทั้งนั้น  เพื่อ ตัวมนุษย์เอง เพราะว่า ถ้าพวกเขาหลงทาง  .....แค่กวักมือเรียกคงไม่ได้ผลแล้ว ... ต้องลงมือกระทำการ  ต้องเดินและเดินเคียงข้าง  ... ผู้ที่ศาสนามองว่า    นี่คือ หนทางที่ไม่น่าจะใช่นะ...... ดังนั้น คบโจรต้องพูดภาษาโจร  เพื่อ กลับใจโจร หอคอยงาช้าง  มีไว้ก็แต่  เพื่อการชื่นชมในความสูงศักดิ์สิทธิ เทิดทูน แต่ยุคสมัยนี้  ผู้คนต้องการรูปธรรมการอธิบายที่เขาเข้าใจได้   ในวิถีกว้างใหญ่ร่วมที่พวกเขาก้าวเดิน  และยกโขยงกันไป..... ก็เพราะลูกของวิทยาศาสตร์ที่เรียกว่า เทคโนโลยีนี่แหล่ะ.... ที่เป็นพื้นปูนอันแข็งแกร่งที่พวกเขาเหยียบย่าง เพื่อ ก้าวไป... ในขณะที่ฝันหวานของผู้ทรงศีล กลับตะโกนกู่เรียกให้หันหลัง เพราะไม่ยอมลงมาแปดเปื้อน  เหยียบย่างบนพื้นทางที่ร้อน กระด้าง แสนหนื่อย...... เช่นผู้คนหลงหายในโลกจำแลงทางวัตถุ  ........ แก้ไขเมื่อ 19 ส.ค. 50 13:38:09 จากคุณ : dicky5 - [ 19 ส.ค. 50 13:34:43 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คิดในแง่ดี จากพื้นฐานความเป็นจริง พรมแดนวิทยาศาสตร์ปัจจุบัน มาอยู่ที่ทฤษฏีของไอน์สไตน์ เป็นไปได้ว่า  ที่สุดของปรัชญาทางวิทยาศาสตร์จะมาบรรจบกับ อภิปรัชญาทางศาสนา   โดยเฉพาะ พุทธปรัชญา ดังนั้น ผู้ใฝ่ในความรู้จึงมิควรย้อนเวลาหาอดีต มากกว่ามองหาอนาคต เพราะสาระสำคัญของศาสนามิมีใครอาจเปลี่ยนแปลงได้ แต่เสื้อคลุมของศาสนา ก็ควรเปลี่ยนใส่ให้เข้ากับยุคสมัย จากคุณ : dicky5 - [ 19 ส.ค. 50 13:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คห.8 และ9 ขอบคุณสำหรับการตั้งข้อท้วงติง แต่สิ่งที่ผมอยากแบ่งปันออกมา ก็คือ จิตในพุทธวิถีนั้น เป็นสภาวะรู้จากประสาทสัมผัสแล้วกลายเป็นความทรงจำ ในทางสรีรศาสตร์สมอง อธิบายได้ใกล้เคียงกันได้ว่า ในขณะมีการรับรู้ทางประสาทสัมผัส ได้เกิดการส่งสัญญาณรับเป็นคลื่นไฟฟ้าไปที่ใยประสาทของเนื้อสมองด้วย ภาวะตรงนี้ เทียบลักษณะไม่ต่างกับการเกิด-ดับของไฟฟ้าสถิตย์นั่นเอง เพราะสมองทำงานในรูปการเคลื่อนตัวของไฟฟ้าสถิตย์ และมีการสร้างใยประสาทเพิ่มเติมได้เรื่อยๆ ตราบใดที่มีการรับรู้และการคิด นั่น เท่ากับ มีการเปลี่ยนแปลงของพลังงาน เป็นสสารหรือใยประสาทในขณะนั้นหรือต่อมาโดยปริยาย สภาพตรงนี้แหละที่ความหมายของการเปลี่ยนแปลงจากสสารเป็นพลังงาน และพลังงานเป็นสสาร ได้เกิดขึ้นในกระบวนการทำงานของสมอง หรือ จิตในความหมายของพุทธ ไม่ได้เกี่ยวอะไรเลยกับการค้นพบทฤษฏีใหม่อะไรเทือกนั้น หรือ หักล้างความเชื่ออะไรที่ไหน ซะเมื่อไร.. แค่เราอยากบอกสิ่งที่เราเข้าใจหรือเห็นจากการพิจารณาเท่านั้น คุณไม่เห็นด้วย ก็ควรแบ่งปันเนื้อหาออกมา ว่า ไม่เห็นด้วยอย่างไร ตรงไหนที่เราว่ามานั้น เพราะว่าถ้าเราไม่เห็น เราก็คงไม่บอกออกมาครับ จากคุณ : พึงนึกออก - [ 19 ส.ค. 50 13:46:33 A:58.9.57.244 X: TicketID:150592 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ไม่เห็นด้วยตรงการเชื่อมโยงไฟฟ้าสถิตย์ กับ ท.สัมพัทธภาพ และการสร้างระบบประสาทเกิดจากการแปลงพลังงานเป็นสสาร ครับ อ่านแล้วเหมือน คุณเข้าใจผิดว่า 1.การแลกเปลี่ยนประจุ....คืออย่างเดียวกับ... การแปลงจากพลังงานไปเป็นสสาร 2.การสร้างใยประสาท...คือการเปลี่ยนจากพลังงานเป็นสสาร A ไฟฟ้าสถิตย์ -มี 3 สภาวะ + -  และเป็นกลาง -ประจุ แบบเดียวกันผลักกัน  ต่างกันดูดกัน -เมื่อประจุต่างกันรวมกันก็จะเกิดสภาวะหักล้างกัน ถ้าบอกว่าในสมองสร้างไฟฟ้าสถิตย์ได้ ....ตรงนี้เชื่อครับ... เพราะก็เป็นแค่การแลกเปลี่ยนประจุ...ในส่วนอื่นๆของร่างกายก็มีกระบวนการนี้ การแลกเปลี่ยนประจุ...อาจทำได้ด้วยการเคลื่อนย้ายอิเล็กตรอน... >> ซึ่งเมื่อตรวจสอบมวลโดยรวมของระบบแล้ว....ย่อมเท่าเดิม B การสร้างสสาร...ใยประสาท....จากพลังงาน........ แปลว่า....”สมองต้องหนักขึ้น”...เพราะมีมวลใหม่เพิ่มขึ้นมา!! แต่เป็นการเพิ่มของน้ำหนัก...โดยไม่ต้องใช้วัตถุดิบ สารอาหาร หรือ แม้แต่อิเล็กตรอน อะไรเลย!! ผมเชื่อว่าใยประสาท....ไม่ได้เกิดจาก “ความว่างเปล่า” นะครับ แต่อาจจะใช้วัตถุดิบจากสารอาหารต่างๆที่เราบริโภคเข้าไป C ตั้งแต่คลอดจนโต....สมองน้ำหนักเพิ่มขึ้นประมาณ 1.ก.ก. น้ำหนักที่เพิ่มขึ้นมานี้....มาจากการเปลี่ยนพลังงานเป็นสสารหรือเปล่าครับ?? ***ระเบิดปรมาณูที่ฮิโรชิมา...เปลี่ยนสสารเพียงแค่ 0.6 กรัม...เป็นพลังงาน ***...ในทางกลับกัน แปลว่าจะสร้างสสาร 0.6 กรัม...ต้องใช้พลังงานเท่ากับระเบิดลูกนั้น!!!! จากคุณ : Hannibal-Lecter-Psych - [ 19 ส.ค. 50 15:12:47 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ศาสนาแห่งอนาคตจะเป็นศาสนาแห่งวิทยาศาสตร์ ศาสนาที่ขาดจากวิทยาศาสตร์ก็เหมือนคนตาบอด วิทยาศาสคร์ที่ขาดจากศาสนาก็เหมือนคนขาพิการ เครดิต : ไอสไตน์ ป.ล. ไม่ค่อยแน่ใจว่าถูกป่าว แต่จำได้ว่าประมาณนี้แหละ =_= จากคุณ : PhantomX-2 - [ 19 ส.ค. 50 15:13:55 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คห.14 ต้องถือว่า คุณเข้ามาเพิ่มเนื้อหา ที่ผมคิด อาจหลวม เลยจะเพิ่มเติม หรือปรับแก้อย่างนี้ ครับ.......... เรื่องการทำงานภายในสมอง....... แน่นอนว่า เส้นประสาททำงานในภาวะมีไฟฟ้าสถิตย์เกิดขึ้น ขณะคิด แต่เป็นไปได้ว่า ปริมาตรสมองไม่จำเป็นต้องเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญ สมรรถนะในการจดจำ อาจมีความซับซ้อนแบบมีการจัดระเบียบตัวเองขึ้นมา ใหม่โดยในมวลสารเท่าเดิม เพียงแต่ว่า พลังงานหลักของสมองก็ได้มาจากสารอาหารหรือเลือดที่หล่อเลี้ยง และอาจมีการสร้างสิ่งที่เข้าลักษณะมวลสารได้ด้วยในทำนองใยประสาท ซึ่งไม่ได้มีมวลมากอะไร...ตรงนี้เป็นแค่ข้อสันนิฐานสองแนวครับ..... ดังนั้น ในขณะคิด มวลสารอาหารซึ่งสามารถเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงาน ได้ช่วยหรือถือเป็นองค์ประกอบอยู่ดีในการทำงานของสมอง และสะท้อนออกมาในลักษณะไฟฟ้าสถิตย์แบบการทำงานของ แรมในคอมพ์..ผมว่างี้นะ สำหรับข้อc คงไม่เกี่ยวกัน เพราะ เรากำลังพูดถึงสมองผู้ใหญ่ ซึ่งผมเชื่อว่า มันยังมีขีดขั้นการพัฒนาสมรรถนะคิดได้ต่อไปไม่มากก็น้อย ทั้งที่ทางแพทย์อาจระบุไว้ว่า สมองไม่โตในขนาดมวลอีกแล้ว ก่อนถึงวัยหนุ่มสาวกระมัง.. จากคุณ : พึงนึกออก - [ 19 ส.ค. 50 16:23:52 A:58.9.63.202 X: TicketID:150592 ]