ความคิดเห็นที่ 1 ต้องขออภัยทุกท่านที่ได้อ่านบล็อกแก๊งของผมในช่วง 2 วันนี้ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nickynick&month=08-2007&date=24&group=2&gblog=3 อ่านกันได้ละเอียดดี เกิดความเห็นอกเห็นใจผม ก็ขอขอบพระคุณทุกท่านอย่างสูง แต่อยากให้กลับไปอ่านทวน คห.1 ในบล็อกนั้นซ้ำอีกทีครับ เกิดพันทิปหมั่นไส้ขึ้น เห็นผมเป็นพวกเรียกร้องความสนใจ สมาชิกใหญ่ๆ จะรำคาญกันขึ้นมาอีก จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 10:50:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ถัดจากสถาปัตยกรรมจีน จะเป็นวัฒนธรรมไทย คือศาลาแบบไทยถูกครอบไว้ เป็นของเก่าที่ยังเก็บรักษาเอาไว้ คนที่ไม่สังเกตอาจจะไม่เคยเห็นก็ได้ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 10:54:11 ]

ความคิดเห็นที่ 3 อีกรูป ให้เห็นกันชัดๆ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 10:54:43 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วก็ ของสำคัญที่สุด คือ รูปเทพารักษ์ประจำเมือง คนสุพรรณเรียกติดปากว่า “เจ้าพ่อหลักเมือง” ซึ่งเป็นพระนารายณ์สี่กร ประทับยืน 2 องค์คู่ สวมหมวกแขก (Feg) บางท่านเรียกว่าหมวกเตอร์ก บางท่านก็เรียกว่าหมวกทรงกระบอก  บางท่านเรียก  พระนารายณ์สวมกิรีฏมกุฏ แกะสลักด้วยหินสีเขียว ติดผนัง เป็นศิลปะ.......(บายน? (ก่อนนครวัด) ) มีอายุราวปี พ.ศ.1185-1250 ไม่บอกก็รู้ว่าเป็นวัฒนธรรมพราหมณ์-ฮินดู ซึ่งผ่านมาทางขอม เรียกรวมๆ กันว่า ขอม-พราหมณ์-ฮินดู ก็แล้วกันครับ แต่ในหนังสือต่างๆ ของท้องถิ่น หรือของจังหวัด หรือของการท่องเที่ยวฯ หรือ อ.ส.ท. หรือนิตยสารท่องเที่ยวต่างๆ จะเขียนรูปเทพารักษ์หลักเมืองนี้สับสนกันโดยตลอด บ้างว่าเป็นพระศิวะ-พระอิศวร พระอวโลกิเตศวร แม้เอกสารของกรมศิลป์บางฉบับก็เรียกอย่างนี้ ฟังหูไว้หูบ้างก็แล้วกัน ..... มาแก้ไข ไม่ใช่ศิลปะบายนครับ ผมลอกมาจากหนังสือ แต่ความจริงไม่น่าจะถูกต้อง จะเรียกเป็นศิลปะแบบไหนแน่ก็ต้องอาศัยผู้รู้ครับ แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 12:46:57 จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 10:58:46 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ใกล้เข้ามาหน่อย ให้เห็นสี่กรชัดๆ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 10:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ก็ยังไม่ชัดเจน ขอก็อปจากเว็บอื่นมาให้ดูกันครับ จำไม่ได้แล้วว่าเว็บไหน ขอบพระคุณเป็นอย่างสูง ตอนถ่ายที่เห็นในเว็บ ยังไม่ได้ปิดทองแน่นแบบตอนนี้ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:01:16 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ทุกปีจะมีงานทิ้งกระจาดของศาลเจ้าพ่อหลักเมือง แต่จัดกันในตัวจังหวัด ปกติจัดกันในเดือน 7 ของจีน จะมีงานทิ้งกระจาดใหญ่ ปีนี้ตรงกับปลายสิงหาคม จัดราว 1-2 อาทิตย์แล้วแต่ปี เว้นวรรค 3-4 วัน ก็จะมีการทิ้งกระจาดดินกันอีกครั้ง แต่งานออกร้านก็จะมีต่อเนื่องตลอดกันเป็นเดือนเลยครับ ตอนนี้กำลังมีงานทิ้งกระจาดประจำปีกันอยู่ครับ แล้วคนก็จะมาไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองกันมากด้วย จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 8 สวัสดีค่ะ....คุณ  NickyNick ขอบคุณค่ะ ที่กลับมา... และนำความรู้มาฝากกันอีก จากคุณ : naragorn - [ 28 ส.ค. 50 11:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอนนี้สิ่งปลูกสร้างมีมากขึ้น ที่เราเห็นกันชัดๆ ก็คือมังกรจีน จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:22:00 ]

ความคิดเห็นที่ 10 นี่เป็นโครงมังกรที่ผมถ่ายเมื่อปีที่แล้ว 3 กันยายน 2549 กำลังขึ้นโครงครับ ตอนนั้นแจ้งขอรับบริจาคเฉพาะเกล็ดมังกร เกล็ดละ 500 บาท ตอนนี้ยังคงราคาเดิมรึเปล่าไม่แน่ใจครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:25:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 สวัสดีครับคุณ naragorn นี่เป็นด้านหน้าของมังกรยักษ์ เห็นภาพแล้วก็รู้ว่าไม่ได้แค่แสดงความใหญ่โตหรูหราฟุ่มเฟือยแต่อย่างเดียว ต้องมีอะไรมากไปกว่านี้ครับ อ้อ มังกรลิ้นยาวน่ากลัว เห็นกันมั้ยครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 นี่ไงครับ เห็นกันชัดๆ แล้วใช่มั้ยว่าจะสร้างเป็นพิพิธภัณฑ์ ตอนนี้บอกว่าชื่อ "พิพิธภัณฑ์ลูกหลานมังกร" แต่เมื่อเสร็จแล้ว น่าจะมีการปรับเปลี่ยนชื่อกันไปบ้างเล็กน้อย เดาเอานะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:29:28 ]

ความคิดเห็นที่ 13 นี่เป็นปากทางถนนมาลัยแมนครับ ใครขับรถผ่านไปผ่านมาก็จะเห็น "เสาจีน" เป็นแบบนี้ตั้งอยู่ด้านหน้าปากทางเข้าศาลเจ้าพ่อหลักเมือง จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ต้องขับรถไปอีกราว 4-500 เมตรตาม ถนนไร่ฝ้าย ก็จะถึงตัวศาลเจ้าพ่อหลักเมือง เห็นคุณยายกำลังดันรถเข็นขายของกันมั้ยครับ ชีวิตคนทำมาหากินก็เป็นกันแบบนี้ละครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 แอบเข้าไปทักทายใน Blog  ก็อย่างที่พี่บอกนั่นแหละ อย่าคิดมากน่า ลูกสาว หน้าตาน่ารักมาก  คนมีลูกชาย 2 คน ได้แต่อิจฉาในใจ จากคุณ : แม่ลูกสอง (naporn) - [ 28 ส.ค. 50 11:35:16 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ คนสุพรรณเรียกกันง่ายๆ ว่า ศาลเจ้าพ่อ กันแค่นี้ ศาลเจ้าพ่อมีประวัติความเป็นมาน่าสนใจ มีเรื่องราวในอดีตที่เป็นความเชื่อจนถึงภายในราชสำนักกันมาอย่างยาวนานต่อเนื่อ มีเรื่องราวความสำคัญในทางประวัติศาสตร์ ทางโบราณคดี ความเชื่อ เรื่องเล่า รวมทั้งบันทึกต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับชุมชนท้องถิ่นอย่างมากมาย ถ้ามีเวลา และมีคนสนใจ จะนำมาเล่าสู่กันฟัง แน่นอนว่าต้องเป็นการคัดลอกมาจากบันทึกเก่าๆ มานำเสนอ เพราะความรู้เหล่านี้ไม่ได้เกิดจากตัวของผมเองเป็นแน่แท้ เพียงแต่จะจับประเด็นบางอย่างมาบอกกัน ซึ่งเรื่อง 3 วัฒนธรรมของศาลเจ้าพ่อ ก็ไม่เคยเห็นมีผู้ใดจับประเด็นมาบอกให้ทราบกันชัดๆ มาก่อนครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 11:41:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 โห... คุณ นิคกี้ ค่ะ ใน คห.ที่ 11 มังกร ลิ้นยาว น่ากลัว จริงๆๆ ด้วยค่ะ .... ขอบคุณอีกรอบค่ะ ยกมือ หนึ่งเสียง ว่าไม่เคยรู้มาก่อนเลยเกียวกับเรื่อง ...ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ.. ดีจังมีคนนำความรู้มาฝาก มีภาพประกอบด้วย เดี๊ยวเย็นๆ จะแวะมาอ่านใหม่ค่ะ ตอนนี้ต้องไปเรียนก่อนแว๊วววว จากคุณ : naragorn - [ 28 ส.ค. 50 11:53:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมว่าเขาตั้งใจจะให้เป็นมังกรพ่นน้ำมังครับ คุณ naragorn สวัสดีครับพี่นิค เรื่องศาลเจ้าในจังหวัดสุพรรณฯ เคยอ่านเจอ ว่าแต่เฉพาะเขตเมือง  มีศาลเจ้านับพันแห่ง รูปพระนารายณ์ ที่เอามาสมมติเป็นเทพารักษ์ก็มีประวัติอยู่ ขอกลับไปค้นที่บ้านบ้านก่อนนะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 50 13:01:00 ]

ความคิดเห็นที่ 19 มังกรตัวนี้สวยดีนะครับ ดูสง่างามกว่าที่เคยได้เห็นมา ลองเปรียบเทียบกับมังกรตัวนี้ดูนะครับ  มังกรยักษ์ที่วัดสามพราน   ไฟล์ภาพจาก http://www.pixpros.net/forums/showthread.php?t=4033 แก้ไขเมื่อ 28 ส.ค. 50 13:15:10 จากคุณ : กัมม์ - [ 28 ส.ค. 50 13:14:13 ]

ความคิดเห็นที่ 20 สวัสดีครับคุณ naragorn และคุณกัมม์ มังกรจีนที่วัดสามพราน ดูแล้วเหมือนที่เคยเห็นอยู่ทั่วไป แล้วก็คล้ายกับที่ฐานแท่งจีนด้านหน้าด้วยครับ ลองดูมุมนี้ที่แนบมาในภาพล่างดูซี ตอนที่ลูกสาวอายุได้ราว 2-3 ขวบ กำลังช่างพูดอยากรู้อยากเห็น ต้องขับรถมายูเทิร์นแถวนี้บ่อยมาก เมื่อตอนสร้างเสร็จแรกๆ เขาจะปล่อยน้ำพ่นลงมาบนพานรองสองชั้นที่เห็นนั้นด้วย แต่ตอนนี้ไม่ค่อยได้ปล่อยน้ำแล้ว สงสัยจะประหยัด ลูกสาวก็จะบอกว่า มังกรบ้วนน้ำลาย เป็นศัพท์ที่เด็กๆ คิดขึ้นมาเอง ผู้ใหญ่ก็หัวเราะร่วนกันไป ศัพท์อื่นใกล้เคียงในเวลานั้นก็เช่น ขณะที่กำลังมีการก่อสร้าง ก็จะมีการอ๊อกเหล็ก ลูกไฟจะกระเด็นให้เห็นชัดเจน ลูกสาวคนนี้ก็บัญญัติศัพท์ว่า เปลือกไฟ ถ้าอยู่กับเด็กกำลังหัดพูด จะมีอะไรที่สนุกสนานแบบนี้เยอะมาก ว่าแต่คุณกัมม์มีลูกกี่คนแล้วล่ะ เห็นมีศัพท์แสงแพรวพราว ส่วนคุณ naragorn ตอนนี้กำลังเล่าเรียนอยู่ เลยยังไม่ต้องถาม จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 14:34:37 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ลืมไปว่ายังไม่เห็นส่วนหัวของมังกรชัดๆ เลย แนบใหม่อีกรูป จะได้เห็นถึงความสวยสดงดงามกันอีก และเห็นความใหญ่โตอ้างอิงกับอาคารศาลเจ้าพ่อด้วย จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 14:38:23 ]

ความคิดเห็นที่ 22 นี่เป็นส่วนหัวอีกมุมหนึ่งครับ จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 14:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เราชอบมังกร  เราเกิดปีมังกร ^___________________^ จิ๋วว่าต้องมีลิฟท์ในลิ้นมังกรแน่เลย ..  ว่ามั้ยคะ แต่!!!  ดูไปดูมาไม่ใช่ลิ้นนะ  เป็นน้ำที่ไหลออกจากปากมังกร (อยากกินอะไรขนาดนั้น น้ำลายไหลเลย) 555 จากคุณ : ปริยวาที - [ 28 ส.ค. 50 15:16:14 ]

ความคิดเห็นที่ 24 สวัสดีหนูจิ๋ว ตอนแรกเฮียก็ว่าน่าจะมีลิฟท์ในลิ้นมังกร แต่พอดูดีๆ ลิ้นมันจะมีหักตรงมุมปาก เฮียว่าต่อจากนั้นจะเป็นบันไดเลื่อนแน่เลย พอเข้าคอมังกรก็จะมีเชือกให้โหนลงท้องมังกร คราวนี้ข้างในต้องเหมือนบ้านผีสิงแน่เลย ใครเข้าไปเที่ยวชมก็ตัวใครตัวมันละกัน อิอิ อ้อ เมื่อวานเฮียล่อหมูเห็ดเป็ดไก่ซะหลายเล้า พอหนูจิ๋วบอกว่ามันเหมือนน้ำที่ไหลจากปากมังกร เฮียชักเสียดายอาหารที่เจี๊ยะล้นพุงเมื่อวานซะแล้ว จากคุณ : NickyNick - [ 28 ส.ค. 50 16:02:28 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แวะมาตอกบัตรค่ะพี่นิค อ่านกระทู้พี่นิคแล้วคิดถึงเพลงของคุณบุญโทน จำเพลงไม่ได้ (ไม่เก่งเหมือนคุณกัมม์) จำได้แต่ท่อนที่ร้องว่า ".....ผู้ใหญ่ก็มีรัฐมนตรีบรรหาร พุ่มพวงดวงจันทร์ ก็คนสุพรรณทั้งนั้นเลย..." ปล. กดเก็บให้แล้วนะคะ อิอิ จากคุณ : little kitty - [ 28 ส.ค. 50 17:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 26 มาตอกบัตรด้วยคนนึงค่ะ  ไม่ได้เข้าไปสักการะนานมาก  ล่าสุดน่าจะปี 36 ค่ะ  ได้แต่ผ่านไปผ่านมายกมือไหว้เวลาขับรถผ่าน  น่าเข้าไปสักการะและสังเกตดูความเปลี่ยนแปลงอีกครั้งนึงจัง ขอบพระคุณพี่นิคมากนะคะที่กรุณาถ่ายภาพสวย ๆ และอธิบายได้อย่างละเอียดละออเลยค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 28 ส.ค. 50 19:00:25 ]

ความคิดเห็นที่ 27 มาลงชื่ออ่าน ครับ  อยากจะบอกว่า... อลังการงานสร้างมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ จากคุณ : นอกราชการ - [ 28 ส.ค. 50 20:05:49 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาอ่านด้วยคนคะ... จากคุณ : sawkitty (sawkitty) - [ 28 ส.ค. 50 21:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ในบริเวณที่มีมังกร  บริเวณนั้นมีอำนาจ พงศาวดารจีนเรื่องซิยิ่นกุ้ย เป็นเรื่องเดียว ที่เอ่ยว่า ไกโซบุ๋น ในอดีตชาติเป็นมังกรเขียว ยังไม่เคยเห็น มังกรสีชมพู จากคุณ : แสนอักษร - [ 29 ส.ค. 50 01:19:01 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ว่าแต่ พอดูรูปใน คห.ที่ 2 คิดถึง นครสวรรค์ แฮ๊ะ.....เคยไปทำงานให้ สถาบัน.. ตอน งานประเพณีแห่เจ้าพ่อ เจ้าแม่ปากน้ำโพ เมื่อ ๓ ปีที่แล้ว มารออ่านเกี่ยวกับ   ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ  ต่อค่ะ.... จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 01:24:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31 สวัสดีอีกครั้งค่ะคุณพี่นิค และทุก ๆ ท่าน ถ้าดูให้ดีน่าจะเป็นน้ำมากกว่า (เฮียอย่ามองว่าเป็นการสำรอกนะคะ)   เพราะตรงฐานสีขาว เป็นเหมือนน้ำที่ตกลงมาเลยนะค่ะ รึเปล่าหว่า   ^_^" ** ปล. เอ่อ เฮียคะ  ถ้าหากทำข้างนอกอลังการ แต่ข้างในต้องไต่เชือกลงไป     จิ๋วนั่งเล่นนอนเล่นอยู่ข้างนอกดีกว่าค่ะ 555+++ จากคุณ : ปริยวาที - [ 29 ส.ค. 50 07:19:46 ]

ความคิดเห็นที่ 32 สวัสดีครับทุกท่าน แล้วก็คุณแสนอักษร คงจะจริงอีกอย่างด้วยนะครับ มังกรยักษ์สีชมพู แห่งเดียวที่นี่ ที่เมืองสุพรรณ ใช่ไหมครับ ต่อไปนี้ขอเอ่ยถึงสภาพที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณกันบ้าง ศาลเจ้าพ่อตั้งอยู่ติดด้านเหนือของแนวคลองเชื่อมระหว่าง แม่น้ำสุพรรณ(ท่าจีน) ทางตะวันออก กับแม่น้ำท่าว้าทางตะวันตก (เป็นที่ตั้งของสระศักดิ์สิทธิ์ทั้งสี่) ซึ่งสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเคยเสด็จประพาสมาแล้ว คลองนี้อยู่ติดด้านทิศใต้ของตัวศาล ปากคลองด้านที่เปิดสู่แม่น้ำท่าจีน บริเวณนั้นเรียกกันตามภาษาชาวบ้านว่า เพนียดคล้องช้าง ชักงงกันอีกแล้วใช่ไหม ไม่นึกว่าจะมีคำนี้ที่เมืองสุพรรณ? แล้วจะอธิบายเพิ่มเป็นระยะๆ ครับ ...................... ในรูป แนวคลองนี้อยู่ตรงสีส้มๆ ที่ถนนข้างหน้านี้ไง ถ่ายรูปจากประตูทางเข้าถนนไร่ฝ้าย ออกไปทางทิศเหนือ ตอนนี้เขาฝังท่อไว้ ทางตะวันออกคลองตันบางส่วน ทางตะวันตกคลองยังใช้ได้ ตัดผ่านคูเมืองโบราณต่อไปเรื่อยๆ แยกแขนงอีกเยอะแยะ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 08:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตัวศาลเจ้าพ่อฯ ตั้งอยู่บนแนวของคูเมือง - กำแพงเมืองโบราณสุพรรณสมัยสุพรรณภูมิ ซึ่งคร่อมสองฟากฝั่งแม่น้ำสุพรรณ ตามรูปนี้ แนวถนนไร่ฝ้าย + เกาะกลางถนน ก็คือแนวคูเมืองเดิม คูเมืองกำแพงเมืองสมัยแรกนี้ เป็นแต่เสาระเนียดคันดิน ยังไม่เจริญเหมือนของจีนที่อยู่ในสมัยเดียวกัน แนวคูเมืองโบราณสมัยต่อมา ยังสับสนว่าเป็นสมัยแน่ อ่านจากท่านนักวิชาการแต่ละท่านแล้วมาประมวลกันไม่ถูก คือ จะเป็นสมัยอู่ทองตอนปลายหรืออาจจะเป็นสมัยอยุธยา สมัยขุนหลวงพะงั่วก็ได้ เขารื้อด้านตะวันออกออกหมด แล้วขยายด้านตะวันตกออกไปอีก ขนานกับคูเมืองของเดิม จึงอยู่ถัดออกไปทางตะวันตกอีก ๓-๔๐๐ เมตร การรื้อนี้ เดาว่าน่าจะอยู่ในรัชสมัยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ (ครองราชย์ ๒๐๙๑-๒๑๑๑) คูเมืองสมัยหลังนี้ เหลืออยู่แค่ฟากตะวันตกเท่านั้น เป็นคูเมือง ๒ ชั้น ชั้นในมีกำแพงอิฐ มีหอโทน (รวม ๖ หอ) คนสุพรรณเรียกกันว่า "ป้อมปราการ" การเสริมอิฐสมบูรณ์สมัยพระมหาจักรพรรดิ์ กล่าวกันว่า นับจากนี้ไป พม่าก็นำแบบอย่างไปทำตามที่บ้านเมืองของเขา เอารูปมาให้ดูกันให้เห็นจะจะเลย ลอกมาจากหนังสือ สุพรรณบุรีเมืองโบราณ เอกสารเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี โดย นวลพรรณ ยิ้มยวน รร.กรรณสูตศึกษาลัย สุพรรณบุรี ๒๕๔๓ เป็นโรงเรียนประจำจังหวัดสุพรรณบุรี นี่เป็นแนวกำแพงเมืองโบราณสุพรรณบุรีสมัยหลังสุด ที่ปรากฏในสมัยอยุธยา มีคูเมือง ล้อมรอบด้วยกำแพงเมือง ๒ ชั้น ชั้นในก่อเป็นกำแพงอิฐ ยังมีเหลือจนถึงปัจจุบัน มีหอโทนที่คนสุพรรณเรียกกันติดปากง่ายๆ ว่า "ป้อม" หรือ "ป้อมปราการ" รวม ๖ ป้อมด้วยกัน ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองอยู่ตรงกลาง กลางคูเมืองรุ่นเก่าแก่เลยแหละ ตามแนวสีส้มที่วาดพาดผ่านป้อมบนสุดกับล่างสุดนี่เอง แต่เอามาให้ดูเป็นตัวอย่างก่อนนะครับ คูเมืองเก่ายังตามคร่อมไปอีก ๒ ฝั่งแม่น้ำ ถนนไร่ฝ้ายก็ตรงปลายลูกศรที่ชี้ไว้ แยกที่ด้านใต้จากถนนมาลัยแมน ตรงจุดแยกมาลัยแมนก็คือเสาใหญ่ๆ ลวดลายมังกรจีนดังรูปบนๆ เสาใหญ่นี้เมื่อก่อนเป็นเสาคอนกรีตสามเหลี่ยมนะครับ หมายเลข 1 คือ เจดีย์วัดกุฎีสงฆ์ หมายเลข 2 คือ เจดีย์วัดเขาใหญ่ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ลืมส่งรูป พลาดอีกจนได้ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:01:21 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ทางทิศเหนือของเพนียดคล้องช้าง จะเป็นวัดกุฎีสงฆ์ ซึ่งปัจจุบันมีเจดีย์องค์ใหญ่ตั้งอยู่ทิศเหนือ-ตะวันตกของสะพานข้ามแม่น้ำถนนมาลัยแมน ทิศใต้ของเพเนียด จะเป็นวัดเขา หรือวัดเขาใหญ่ในวรรณคดีขุนช้างขุนแผน สอบถามคนเฒ่าคนแก่บอกว่าเขาเรียกอย่างนี้กันมานานแล้วล่ะ ไม่รู้ว่าเคยเป็นที่คล้องช้างรึเปล่า ตรงใกล้ปากแม่น้ำบอกว่าเมื่อก่อนมีเสาไม้ใหญ่ๆ เยอะแยะปักอยู่กลางคลอง หรือกลางเพนียดนี่แหละ เท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ ไม่เคยเห็นเอง เอากันว่าเป็นตำนานก็แล้วกัน แต่ที่พอจะบอกได้ชัดอีกอย่างหนึ่งคือว่า คลองสายนี้มีความสำคัญแต่โบราณ หน้าน้ำก็จะใช้เป็นทางคมนาคม หน้าแล้งก็จะแห้ง กลายเป็นทางช้างหรือทางคนเดินนี่แหละครับ สมัยนี้กรุงเทพฯ เลยเอาเป็นตัวอย่างมั่ง หน้าแล้งเป็นถนน หน้าฝนก็กลายเป็นคลอง อ้อ คนสุพรรณเรียกทางแบบนี้ว่า “กอก” นะครับ ................ หมายเลข 1 คือเจดีย์วัดกุฎีสงฆ์ 2 คือ เจดีย์วัดเขาใหญ่ อ้อ เพิ่งถล่มลงมาเมื่อไม่กี่ปีนี่เอง เสียดาย แต่ไม่รู้จะทำยังไง 3 คือ ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ตัวศาลหลักอยู่ตรงหมายเลขนั้นเลย 4 คือ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดคู่บ้านคู่เมืองสุพรรณแต่โบราณ เขียนตัวใหญ่ เพราะวัดใหญ่จริงๆ คร่อมสองฟากถนนตะวันออกตะวันตกเลยทีเดียว 5 คือ วัดประตูสาร สมัยก่อนรัชกาลที่ ๕ เสด็จประพาสเรียกวัดประตูศาล อาจหมายถึงประตูสู่ศาลหลักเมือง เพราะต้องพายเรือจากตรงนี้ด้วย สมัยนี้แล้วก็อาจจะสมัยเก่าๆ แต่โบราณ เขาเรียกประตูสาร ก็ตรงกับความหมายของเพนียดคล้องช้าง เป็นประตูดักช้างสาร เส้นทางสายสีชมพู คือแนวคลองจากแม่น้ำสุพรรณที่ปากเพนียดคล้องช้าง ผ่ากลางคูเมืองสมัยอยุธยา แล้วต่อจากนั้นก็แตกแขนงอีกมากมาย จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:03:42 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอก็อปมาจากกรมแผนที่ทหาร ถ่ายเมื่อ 13 JAN 53 ก็วันที่ ๑๓ มกราคม พ.ศ.๒๔๙๖ ครับ ดูให้ดี ตอนนั้นยังไม่มีถนนมาลัยแมน แต่ถ่ายอีกครั้งตอนปลายปี ถนนมาลัยแมนกำลังก่อสร้าง กรอบสีส้มๆ แดงๆ คร่อมสองฟากแม่น้ำสุพรรณ คือ กำแพงเมืองคูเมืองสมัยแรกๆ ครับ หมายเลข 1 คือคลองน้ำเชี่ยว 2 คือคลองเพนียดคล้องช้าง คนสุพรรณสมัยก่อนเรียกว่า "คลองตลาด" ที่เรียกอย่างนี้เพราะคนตลาดข้ามฟากแล้วก็มาสักการะศาลเจ้าพ่อตามคลองนี้แหละ มาจากคำว่า คลองของคนตลาดรึเปล่าไม่รู้ 3 คือคลองวัดป่าเลไลยก์ ขุดสมัยรัชกาลที่ ๓-๔ ช่วงที่เจ้าพระยานิกรบดินทร์ (โต กัลยาณมิตร) มาบูรณะวิหารและองค์หลวงพ่อโตวัดป่าไงครับ ขุดคลองเพื่อจะนำท่อนซุงมาจากแม่น้ำเข้ามายังวัดได้ ต่อมาก็เป็นคลองที่คนพายเรือกันเข้ามาชมงานประจำปี ตอนนี้คลองเหลือนิดเดียวครับ 4 คือวัดป่าเลไลยก์ครับ เป็นวัดใหญ่ เป็นพระอารามหลวงชั้นตรีครับ เรียกเต็มๆ ว่าวัดป่าเลไลยก์วรวิหาร 5 คือถนนป่าเลไลยก์ครับ เชื่อมระหว่างวัดประตูสารกับวัดป่าฯ คนจากตลาดข้ามฟากก็ใช้ถนนนี้ด้วย ไปสักการะหลวงพ่อโตตอนหน้าแล้ง แต่ปัจจุบันถนนนี้สั้นเหลือนิดเดียวเหมือนกัน เหลือแค่จากวัดประตูสารถึงแนวปากทางศาลเจ้าพ่อแค่นั้น ให้พอเป็นตำนานอันรุ่งเรืองครั้งอดีต เพราะมีถนนมาลัยแมนมาทับทีหลัง เลยจากศาลเจ้าพ่อไปถึงวัดป่าเลยกลายเป็นส่วนหนึ่งของถนนมาลัยแมนไปด้วย 5 ริมแม่น้ำสุพรรณเหนือสุดของภาพ เป็นวัดหน่อพุทธางกูรครับ มีจิตรกรรมฝาผนังสมัยรัชกาลที่ ๓ หากอยากฟังผมเล่าเรื่องนี้อีก ผมสืบค้นสายตระกูลคนวาดได้หมดจนถึงปัจจุบันเลยครับ ตรงนี้อยู่ตำบลพิหารแดง ชนเขตแดนกับตำบลรั้วใหญ่ คนสุพรรณเก่าๆ เรียกวัดขามหน่อ หรือวัดมะขามหน่อ 6 คือวัดพระลอยครับ เริ่มต้นเขตตำบลรั้วใหญ่ เพราะกำแพงเมืองใหญ่ครับ เลยตั้งชื่อว่ารั้วใหญ่ สมัยก่อนมีชื่อเยอะแยะ เช่นค่ายเก่า วัดนี้มีอุทยานมัจฉา เช่นเดียวกับวัดพระนอนที่อยู่เหนือวัดหน่อฯ ขึ้นไปอีกหน่อยหนึ่ง 7 คือวัดสารภีครับ มีรูปปั้นช้างเอราวัณสามเศียรแข่งกับที่ปากน้ำ สมุทรปราการด้วยแหละ เลยไปทางตะวันตกของวัด เป็นวัดร้างชื่อวัดพระอินทร์ (แล้วก็วัดน้อยอีก ติดกันเลย) ตำนานว่าเป็นวัดเดียวกัน เพียงแต่แม่น้ำงอกออกไปทางตะวันออก วัดร้างแถวนี้เลยห่างแม่น้ำไปไกลๆ ทั้งนั้น วัดใหม่ๆ มาอยู่ริมน้ำแทน บอกแล้วไง ทุกอย่างมีที่มาที่ไป มีเหตุมีผลของตัวมันเอง 8 คือวัดแค ที่ผมเล่าไว้ในกระทู้หลวงตากัน ทองมี ครับ 9 คือวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ มีพระผงสุพรรณ พระกำแพงศอกอันเลื่องชื่อ 10 คือวัดประตูสารทางเหนือ กับวัดตะไกรทางใต้ คั่นกลางแยกเหนือใต้ด้วยคลองวัดป่า 11 คือวัดพระรูป มีกรุพระขุนแผนอันเลื่องชื่อ แข่งกับวัดบ้านกร่างศรีประจันต์ 12 คือโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย ตั้งอยู่บนวัดร้าง ๒ วัด คือวัดพริกด้านเหนือ วัดชุมนุมสงฆ์ ด้านใต้ อ้อ ตรงวัดป่าที่ติดๆ กันนั้นเดิมชื่อวัดลานมะขวิด แล้วก็มีวัดโคกกระต่ายอยู่ประจันหน้ากับวัดชุมนุมสงฆ์ด้วย หากจะเล่าเรื่องวัดร้างแถบนี้ เฉพาะรอบๆ กำแพงเมืองรัศมีไม่เกิน ๑ กิโลเมตร มีเป็นร้อยๆ วัดเลยครับ แต่ละวัดก็มีความสำคัญแตกต่างกันไป จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:08:20 ]

ความคิดเห็นที่ 37 อ่า...สวัสดีค่ะ วันนี้มีต่อ... นู๋ ก็ตามมาอ่านต่อ... โพส เร็วจังค่ะ อ่านตามไม่ทันเลย  แฮ่ๆๆ จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 09:08:46 ]

ความคิดเห็นที่ 38 ติดตามอยู่ค่ะ จากคุณ : naporn - [ 29 ส.ค. 50 09:21:30 ]

ความคิดเห็นที่ 39 คุณลุงมนัส โอภากุล พ่อของอี๊ดแอ๊ดคาราบาว ได้เขียนเล่าถึงศาลเจ้าพ่อในอดีตจากความทรางจำ ลงใน ประวัติมหาดไทยส่วนภูมิภาค จังหวัดสุพรรณบุรี ๒๕๒๘ ......... เมื่อประมาณ ๓๐ -๔๐ ปี (พ.ศ.๒๔๗๕-๒๔๘๕) อาณาบริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมืองมีต้นไม้ขึ้นรกรุงรัง เส้นทางเปลี่ยวเพราะมีสุมทุมพุ่มไม้มาก ผู้ประสงค์จะไปนมัสการเจ้าพ่อต้องเดินไปตามถนนนางพิม ข้ามเรือจ้างที่ท่าวัดประตูสาร แล้วเดินไปตามทางขรุขระ ถ้าเป็นฤดูฝนเฉอะแฉะมาก พวกมิจฉาชีพคอยฉกชิงวิ่งราวอยู่เนืองๆ เมื่อถึงฤดูน้ำเหนือหลาก น้ำเข้าทุ่งเจิ่งนองไปทั่ว เลี้ยงต้นข้าวในนาให้เจริญงอกงาม รอบๆ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองล้อมรอบไปด้วยนาข้าว ระดับน้ำในแม่น้ำในทุ่งมีระดับน้ำเสมอกัน เวลาเย็นชาวตลาดพายเรือบดเล็กๆ หรือบางทีก็เช่าเรือจ้างแบบสำปั้นพายเข้าทางหน้าวัดประตูสาร ลัดเลาะไปตามเพนียดคล้องช้างสมัยโบราณ (หลังอู่มิตรบำรุง) เข้าไปถึงศาลเจ้าพ่อ รับประทานอาหารกัน และพายเรือเล่นหน้าศาลเจ้าพ่อ บ้างก็กระโดดน้ำเล่นเป็นที่สนุกครึกครื้น เป็นเช่นนั้นตลอดมาทุกๆ ปี พอย่างเข้า พ.ศ.๒๕๐๕ ได้ตัดถนนมาลัยแมนจากนครปฐม ผ่านอำเภออู่ทองเฉือนเพนียดคล้องช้างออกไปครึ่งหนึ่ง จึงทำให้เพนียดคล้องช้างเสื่อมสภาพไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ปัจจุบันยังมีร่องรอยเหลือยู่บ้างเพียงเล็กน้อย ด้วยเหตุดังกล่าวเมื่อถนนมาลัยแมนตัดผ่านเพนียดคล้องช้าง จึงทำให้ทางเข้าศาลเจ้าพ่อทางน้ำถูกตัดขาด แต่มีถนนตัดต่อจากถนนมาลัยแมนเข้าสู่ตัวศาล สะดวกสบายกว่ากันมาก การพายเรือเข้าสู่ศาลเจ้าพ่อจึงเลิกไป .......... จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:35:14 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณครับทุกท่าน ตรงนี้ไปไวหน่อยครับ เพราะเป็นเรื่องอดีต แล้วก็จะทำให้ความรู้สมบูรณ์เพิ่มขึ้นอีกหน่อย แต่อ่านแล้วถ้าดูยืดยาวเยิ่นเย้อ ก็ผ่านๆ ไปบ้างก็ได้ หนังสือ "เมืองสุพรรณ บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ ๘ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕" โดย วารุณี โอสถารมย์ สนพ.ม.ธรรมศาสตร์ ๒๕๔๗ ได้กล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า "......สัญลักษณ์ที่เป็นตัวแทนของความศรัทธาร่วมกันของชาวเมือง คือ ศาลหลักเมือง และวัดป่าเลไลยก์ ศาสนสถานทั้งสองแห่งนี้ ได้มีบทบาทแทนที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ วัดศูนย์กลางของเมืองในอดีตสมัยอยุธยา......" ขนาดวัดพระศรีรัตนมหาธาตุซึ่งเป็นวัดสำคัญของเมือง และเป็นสัญลักษณ์ของเมือง ยังถูกแทนที่ด้วยวัดป่าเลไลยก์กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณเลยครับ ซึ่งพิจารณาดูแล้วก็เห็นจริงด้วย เพราะตอนนี้คนสุพรรณกล่าวถึงวัดพระธาตุ (คนสุพรรณเรียกกันอย่างนี้ครับ) ในเรื่องความนับถือ ความเชื่อถือ หรือความศักดิ์สิทธิ์กันน้อยมาก หากจะไปบนบานศาลกล่าว ก็ต้องไปยังสถานที่ทั้งสองแห่งที่เอ่ยนามมา น้อยมากที่จะหลงมาบนกันที่วัดนี้ รวมทั้งวัดนี้ก็มีความตกต่ำมาโดยตลอดแม้ในแง่ของการอนุรักษ์จากกรมศิลปากร ที่เข้ามาร่วมในภายหลัง ซึ่งช้ามากๆ แล้วพอซ่อมแซมองค์พระปรางค์แล้ว ไม่รู้ว่ายอดนพศูลเดิมซึ่งมีความสวยงามมากหายไปทางไหนแล้ว มีแทนด้วยของใหม่ซึ่งตอนแรกๆ ก็หักๆ งอๆ แล้วไม่กี่ปีก็ต้องใส่ของใหม่อีกแทน (ขออภัยด้วยหากของปัจจุบันที่ใส่ไป เป็นของเก่าแต่ก่อนที่จะซ่อมครั้งนั้น) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:40:02 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ตอนต่อไป จะนำเสนอเกี่ยวกับคติการห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณครับ คุณพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์ อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี (ระหว่าง ๗ ส.ค.๒๕๐๐ – ๑๓ ม.ค. ๒๕๐๙) ได้กล่าวถึงคติการห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณไว้อย่างเป็นเหตุเป็นผลน่าฟังว่า "......... ซึ่งได้ชื่อว่า เป็นจังหวัดที่ "ปกครองยาก" เพราะคนดื้อ และขี้ระแวง ทั้งตอนนั้นการไปมาลำบากมาก มีถนนสายเดียวจากกรุงเทพฯ ต้องไปทางจังหวัดนครปฐม ผ่านอำเภอกำแพงแสน และอำเภออู่ทองถึงจะถึงตัวเมืองสุพรรณบุรี แต่โบราณจนถึงกับห้าม "เจ้า" ไม่ให้มาเมืองสุพรรณ (ผมกลัวพม่ามาดักจับเอาตัวไป มากกว่าสาเหตุอย่างอื่น) ......." (อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายถวิล วัฏฏานนท์ อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจังหวัดสุพรรณบุรี เมื่อ ๑๔ มิ.ย. ๔๐ อายุ ๘๕ ปี) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:46:47 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คติความเชื่อเรื่องห้ามเจ้าไปเมืองสุพรรณ หมายถึงเจ้านายในพระราชวงศ์นะครับ ไม่ใช่เจ้า ที่เป็น เจ้าที่เจ้าทาง หนังสือที่รวบรวมได้มากและดีที่สุดก็เป็นของกรมพระยาดำรงราชานุภาพครับ .... เรื่องศาลเจ้าหลักเมืองสุพรรณบุรีนั้น หม่อมฉันจะทูลได้ถึงเป็นเรื่องตำนานด้วยเคยเกี่ยวข้องกับตัวหม่อมฉันด้วยมาก แต่ยังไม่เคยเขียนลงเป็นหนังสือ จึงจะเลยทูลบรรเลงเรื่องมาแต่ต้น เมื่อ ร.ศ.๑๑๑ (พ.ศ.๒๔๓๕) หม่อมฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเมื่อขึ้นปีใหม่พอถึงเดือนตุลาคม ในปีนั้นก็ไปตรวจหัวเมืองเหนือ ขากลับหมายจะขึ้นเดินบกที่เมืองอ่างทองไปเมืองสุพรรณแล้วกลับกรุงเทพฯ จึงสั่งให้เรือไปคอยรับที่เมืองสุพรรณ ครั้นกลับลงมาถึงเมืองอ่างทองเวลานั้นพระยาอ่างทอง (ชื่อเถียนหรือชื่อไรสงสัยอยู่ แต่เคยเป็นหลวงนายฤทธิ์อยู่นาน คุ้นกับหม่อมฉันมาแต่เด็ก) ...... สาส์นสมเด็จ กรมดำรงฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๑๑ มี.ค. ๗๙ .................... ตรงนี้เราหาอ่านได้ทั่วไปจากนิทานโบราณคดี เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:48:56 ]

ความคิดเห็นที่ 43 แล้วสมเด็จกรมนริศฯ ก็ตอบในสาส์นสมเด็จ ล.๑๑ ลว.๒๐ มี.ค. ๗๙ บางตอนเกี่ยวกับพระยาอ่างทองว่า "..... พระยาอ่างทองที่ตรัสถึง ถ้าผิดชื่อเถียรก็เห็นจะเป็นเขียน เป็นพ่อกลีบพี่เลี้ยงผู้หญิงของเกล้ากระหม่อมเอง ....." จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:49:31 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ไม่เยิ่นเย้อ หรอกคะ ...พี่นิค ( น่านนน  เรียกซะ สนิทเชียว อิอิ ) โพส มาแล้ว นู๋ก็อ่านหมดแหละ.... ค่อยๆ ทยอยอ่านเรื่อยๆๆๆ ค่ะ.... นู๋กด เก็บ ด้วยแหละ อิอิ.... จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 09:54:40 ]

ความคิดเห็นที่ 45 คัดลอกตัดตอนเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับคตินี้มาให้อ่านกันครับ จะได้ไม่ต้องไปเสียเวลาค้นอ่านกันที่อื่น นิทานที่ ๔ เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ มีคติโบราณถือกันมาแต่ก่อนว่าห้ามมิให้เจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณบุรี จะห้ามมาแต่เมื่อใด ห้ามเพราะเหตุใด ถ้าเจ้านายขืนเสด็จไป จะเป็นอย่างไร สืบสวนก็ไม่ได้ความเป็นหลักฐาน เป็นแต่อ้างกันต่างๆ ว่า เพราะเทพารักษ์หลักเมืองไม่ชอบเจ้า เกรงจะทำอันตรายบ้าง ว่ามีอะไรเป็นอัปมงคลอยู่ที่เมืองสุพรรณ เคยทำให้เจ้านายที่เสด็จไปเสียพระจริตบ้าง แต่เมื่อมีคติโบราณห้ามอยู่อย่างนั้น เจ้านายก็ไม่เสด็จไปเมืองสุพรรณ เพราะไม่อยากฝ่าฝืนคติโบราณหรือไม่กล้าทูลลา ด้วยเกรงพระเจ้าอยู่หัวจะไม่พระราชทานอนุญาตให้ไป อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าเจ้านายพระองค์ไหนได้เคยเสด็จไปเมืองสุพรรณ จนมาตกเป็นหน้าที่ของฉันที่จะเป็นผู้เพิงถอนคตินั้น ดูก็ประหลาดอยู่ เมื่อ พ.ศ.๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดให้ฉันเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย ในปีนั้นฉันออกไปตรวจหัวเมืองต่างๆ ทางฝ่ายเหนือ ตั้งแต่กรุงศรีอยุธยาขึ้นไปถึงเมืองพิษณุโลก สวรรคโลก สุโขทัย เมืองตาก แล้วกลับลงมาทางเมืองกำแพงเพชร มาประจบทางขาขึ้นที่เมืองนครสวรรค์ แล้วล่องลงมาถึงเมืองอ่างทอง หยุดพักอยู่ ๒ วัน สั่งเจ้าเมืองกรมการให้หาม้าพาหนะ กับคนหาบหามสิ่งของเพื่อจะเดินทางบกไปเมืองสุพรรณบุรี เวลานั้นพระยาอินทรวิชิต (เถียร) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดอ่างทอง แกได้รับราชการในกรมมหาดเล็กแต่ในรัชกาลที่ ๔ เคยอุ้มฉันมาเมื่อยังเป็นเด็ก จึงคุ้นกันสนิทกว่าขุนนางที่เป็นชาวหัวเมือง แต่สังเกตดูแกไม่เต็มใจจะให้ฉันไปเมืองสุพรรณ ........ ........... แต่แกไม่นิ่ง ออกจากฉันแกไปหาพระยาวรพุทธิโภคัย ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ในราชการที่ไปกับฉันไปถามว่า "นี่ในกรมท่านไม่ทรงทราบหรือว่าเขาห้ามไม่ให้เจ้านายเสด็จไปเมืองสุพรรณ ทำไมเจ้าคุณไม่ทูลห้ามปราม" พระยาวรพุทธิฯ ก็เห็นจะออกตกใจ มาบอกฉันตามคำที่พระยาอ่างทองว่า ฉันสั่งพระยาวรพุทธิฯ ให้กลับไปถามพระยาอ่างทองว่า ห้ามเพราะเหตุใดแกรู้หรือไม่ พระยาอ่างทองบอกมาว่า "เขาว่าเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณไม่ชอบเจ้านาย ถ้าเสด็จไปมักทำให้เกิดภัยอันตราย" ............... ............. เพราะเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณไม่ชอบเจ้านาย ฉันคิดว่าเทพารักษ์มีฤทธิ์เดชถึงสามารถจะให้ร้ายดีแก่ผู้อื่นได้ จะต้องได้สร้างบารมีมาแต่ชาติปางก่อน ผลบุญจึงบันดาลให้มาเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ถึงเพียงนั้น ก็การสร้างบารมีนั้นจำต้องประกอบด้วยศีลธรรมความดี ถ้าปราศจากศีลธรรมก็หาอาจจะเป็นเทพารักษ์ศักดิ์สิทธิ์ได้ไม่ เพราะฉะนั้นฉันเห็นว่า เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณคงอยู่ในศีลธรรม รู้ว่าฉันไปเมืองสุพรรณเพื่อจะทำนุบำรุงบ้านเมือง ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุขยิ่งขึ้นกว่าแต่ก่อน คงจะกลับยินดีอนุโมทนาด้วยเสียอีก ไม่เห็นว่าน่าวิตกอย่างไร พระยาอ่างทองจนถ้อยคำสำนวนก็ไม่ขัดขวางต่อไป ....... จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:58:35 ]

ความคิดเห็นที่ 46 นิทานโบราณคดี เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ต่อ ตอนนี้เกี่ยวกับความเชื่อของคนสุพรรณในเรื่องเจ้าเรื่องผีในทัศนะของกรมดำรงฯ เมื่อสมัยนั้น แล้วก็พอจะเกี่ยวข้องกับเรื่องศาลเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบ้างครับ ...... เมืองสุพรรณเป็นเมืองสำคัญเมืองหนึ่งในทางโบราณคดี แต่จะรอเรื่องนั้นไว้พรรณนาในนิทานเรื่องอื่น จะพรรณนาว่าแต่ด้วยของบางอย่างอันมีที่เมืองสุพรรณแปลกกับบรรดาเมืองอื่นๆ บรรดาได้เคยเห็นมาแต่ก่อน คืออย่างหนึ่งมีศาลเจ้ามากกว่าที่ไหนๆ หมด จะไปทางไหนๆ ในบริเวณเมือง เป็นแลเห็นศาลเจ้าไม่ขาดสายตา เป็นศาลขนาดย่อมๆ ทำด้วยไม้แก่นมุงกระเบื้องก็มี ทำแต่ด้วยไม้ไผ่มุงจากก็มี ล้วนมีผ้าแดงหรือผ้าสีชมพูห้อยไว้เป็นเครื่องหมาย สังเกตเพียงตรงที่จวนเจ้าเมือง มีศาลเจ้ารายรอบถึง ๔ ศาล อาการส่อว่าชาวเมืองสุพรรณเห็นจะกลัวเกรงเจ้าผีเป็นนิสัยสืบกันมาช้านาน ที่เรียกว่าเจ้าผีนั้นต่างกับเทพารักษ์ บอกอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เทพารักษ์ คือ เทวดาที่บุญพามาอยู่ประจำพิทักษ์รักษาอาณาเขตแห่งใดแห่งหนึงให้อยู่เย็นเป็นสุข แต่เจ้าผีนั้นคือมนุษย์ที่สิ้นชีพไปแล้ว ผลกรรมทำให้ต้องท่องเที่ยวเป็นผีอยู่ยังไม่สามารถไปถือกำเนิดใหม่ได้ ถ้าผีไม่ชอบใจใครก็อาจจะทำร้ายให้เดือดร้อนรำคาญ เพราะฉะนั้นคนจึงกลัวผี ถ้าเชื่อว่าแห่งใดเป็นที่มีผีสิงอยู่ก็ต้องเอาใจผี เช่น ปลูกศาลให้สำนักและเซ่นวักเรียกว่า "เจ้า" มิให้ผีเบียดเบียน บางทีที่กล่าวกันว่าเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรีดุร้าย จะเกิดแต่ชาวสุพรรณเอาคติเจ้าผีไปปนกับเทพารักษ์ก็เป็นได้ ...... จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 09:59:02 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอบคุณมาหนู naragorn นิทานโบราณคดี เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ ต่อ ..... ตั้งแต่ฉันไปถึงเมืองสุพรรณครั้งนั้นแล้ว เจ้านายก็เริ่มเสด็จไปเที่ยวเมืองสุพรรณ แม้ตัวฉันเองต่อมาก็ชอบไปเมืองสุพรรณ ได้ไปอีกหลายครั้ง เมื่อรัชกาลที่ ๕ ฉันได้รับราชการเป็นตำแหน่งผู้จัดการเสด็จประพาสมาแต่ยังเป็นอธิบดีกระทรวงธรรมการ เมื่อมาเป็นเสนาบดีกระทรวงมหาดไทยได้บังคับบัญชาการตามหัวเมืองหน้าที่นั้นก็ยิ่งสำคัญขึ้น เพราะสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงใคร่จะทอดพระเนตรการปกครองหัวเมืองที่จัดใหม่ ต้องคิดหาที่เสด็จประพาสถวายทุกปี ปีหนึ่งฉันกราบทูลเชิญเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรี กล่าวว่า "ฉันก็นึกอยากไป แต่ว่าไม่บ้านะ" ฉันกราบทูลว่า "ข้าพระพุทธเจ้าไปเมืองสุพรรณหลายปีแล้ว ก็ยังรับราชการสนองพระเดชพระคุณอยู่ได้" ทรงพระสรวลตรัสว่า "ไปซิ" ...... ....... ตั้งแต่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง เสด็จประพาสเมืองสุพรรณแล้ว ก็ไม่มีใครพูดถึงคติที่ห้ามเจ้านายมิให้เสด็จไปเมืองสุพรรณ เดี๋ยวนี้คนที่รู้ว่าเคยมีคติเช่นนั้นก็เห็นจะมีน้อยตัวแล้ว จึงเขียนนิทานโบราณคดีเรื่องนี้ไว้มิให้สูญไปเสีย จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:00:30 ]

ความคิดเห็นที่ 48 คราวนี้มาชมสำนวนชาวบ้านบ้างครับ จาก "สุพรรณบุรีเมืองโบราณ เอกสารเชิงวิเคราะห์จากหลักฐานทางโบราณคดี" โดย นวลพรรณ ยิ้มยวน รร.กรรณสูตศึกษาลัย สุพรรณบุรี, ๒๕๔๓ ......... นอกจากนี้ยังปรากฏในตำนานท้องถิ่นว่า ผู้มีศักดิ์คนหนึ่งได้อธิษฐานสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองสุพรรณว่า ถ้ากู้บ้านกู้เมืองได้ จะยกเมืองสุพรรณบุรีเป็นราชธานี ท่านผู้นั้นได้เลยไปพักค้างคืนที่วัดเซิงหวายนี้ (นามเดิมของวัดกุฎีทองเมืองสุพรรณ – NickyNick) กลางคืนนอนกรนเสียงไพเราะเหมือนเสียงดนตรี เจ้าอาวาสวัดทำนายว่าจะได้เป็นกษัตริย์ ท่านผู้นั้นจึงบอกว่าถ้าเป็นจริงจะนำเสลี่ยงทองคำมาให้ และสร้างกุฎีทองคำให้ ปรากฏว่าท่านผู้นั้นได้เป็นกษัตริย์จริง ด้วยความไม่เหมาะสมบางประการจึงใช้กรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี ทำให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในเมืองสุพรรณบุรีโกรธ โดยเฉพาะพระวิษณุที่ศาลหลักเมืองขว้างจักรไปกรุงศรีอยุธยาหมายสังหาร แต่จักรได้ปะทะกับต้นไม้ที่วัดหนึ่งเป็นรอยบากไปทั้งต้น ต่อมาจึงเรียกวัดนี้ว่าวัดกงจักร (อยู่เหนือวัดกุฎีทองประมาณ ๑๐๐-๒๐๐ เมตรแค่นั้น – NickyNick) ซึ่งเป็นที่มาของคติที่ห้ามเจ้าไม่ให้มาเมืองสุพรรณบุรีอีกเหตุผลหนึ่ง ................ หากเป็นอย่างที่กล่าว แสดงว่าศาลเทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณแห่งนี้ น่าจะมีมาแต่ก่อนสร้างกรุงศรีอยุธยาอีกด้วยนะครับ แต่ว่าตำแหน่งต้องแตกต่างจากตรงนี้นิดหน่อย เพราะตำแหน่งของปัจจุบัน ในอดีตเป็นท้องร่องคูเมืองเชียวแหละ ก็เป็นเรื่องของตำนานครับ แล้วการที่ท่านขว้างจักรไปกรุงศรีอยุธยา แล้วไปติดที่วัดกงจักรในปัจจุบัน แสดงว่าฝีมือท่านคงไม่แม่นเท่าไร แล้วก็เล็งผิดทิศด้วย จากศาลเจ้าพ่อฯ ไปกรุงศรีอยุธยาต้องเล็งไปทางตะวันออก แต่นี่ท่านกลับขว้างมาทางใต้ หรืออาจเป็นกลวิธีในการขว้างจักรก็ได้ ต้องขว้างเอียงๆ ให้มันแฉลบๆ อิอิอิ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:01:22 ]

ความคิดเห็นที่ 49 อธิบายจากข้างบนให้เข้าใจง่ายๆ สักหน่อย ดูตามรูปนี้นะครับ 1 คือศาลเจ้าพ่อฯ เดิมก็ตำบลรั้วใหญ่ แต่ปัจจุบันทางเทศบาลขอโอนไปเป็นส่วนหนึ่งของตำบลท่าพี่เลี้ยงซะแล้ว ตั้งแต่ขยายเขตเทศบาลรอบ ๒ พ.ศ.๒๕๐๙ ครับ 2 คือวัดกงจักร ตำบลรั้วใหญ่ 3 คือวัดกุฎีทอง ตำบลรั้วใหญ่ 4 คือแนวขว้างจักรไปอยุธยา จากศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ให้คิดไว้ว่าแต่เดิมศาลอยู่ตรงนี้ก่อนนะครับ 5 คือแนวที่จักรมาบากเอาต้นไม้ที่วัดกงจักรครับ ดูตรงนี้แล้วแสดงว่าท่านฝีมือไม่ถึง หรือว่าแต่เดิมศาลเจ้าพ่อหรือองค์เทพารักษ์หลักเมืองท่านอาจสถิตอยู่ทางตะวันตกของวัดกงจักรก็ได้นะครับ เอ น่าสนใจ นักประวัติศาสตร์ทั้งหลายน่าจะลองหาข้อมูลดูนะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:02:40 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ตอนนี้ขอลงเป็นคติความเชื่อตอนสุดท้ายก็แล้วกัน เดี๋ยวจะมึนกันไปหมด ตัดแปะอย่างเดียว สนุกจังเลยครับ ความเชื่อเกี่ยวกับเสาหลักเมือง ที่จะต้องมีพิธีฝังคนทั้งเป็นในหลุมหลักเมือง เป็นเรื่องเล่าที่มีมานานแล้ว และเหตุการณ์คล้ายๆ กันที่เขาฝังคนเป็นๆ แบบนี้ที่พวกเราได้อ่านกันมากก็ใน “พม่าเสียเมือง” ของท่าน ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ที่บรรยายซะหยดย้อย ที่ได้ฝังคนเป็นๆ ถึง ๕๒ คน ในการสร้างประตูกำแพงเมืองมัณฑเลย์คราวนั้น แล้วของไทยก็มีการบอกเล่าสืบต่อกันมาบ้างเหมือนกัน แต่แทบไม่มีหลักฐานยืนยัน คนที่จะเอามาฝังก็ต้องมีระบุสเป็ก เช่น ต้องชื่อ อิน จัน มั่น คง หรือคนมีท้อง แต่มีอยู่ที่หนึ่งที่มีหลักฐาน คือการฝังหลักเมืองของเมืองถลาง เขาได้เขียนเล่าลงในหนังสือว่า ได้ฝังผู้หญิงท้องแก่ประมาณ ๘ เดือน ชื่อว่านางนาคลงไปด้วย ทำให้พิธีการฝังหลักเมืองเสร็จเรียบร้อยลงด้วยดี ดีของใครไม่รู้ แต่ไม่ใช่ของนางนาคกับลูกในท้องแน่นอน สำหรับที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ เราไม่มีเสาหลักเมือง มีแต่เทพารักษ์หลักเมือง ดังนั้นคงจะไม่มีเรื่องราวน่าสยดสยองเช่นนี้เกิดขึ้นที่เมืองสุพรรณเป็นแน่ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:06:00 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ....... ในฐานะเทพผู้คุ้มครองความสมดุลของเมืองให้ความมั่นคง ปลอดภัยและอยู่ดีมีสุขแก่ชาวเมือง ก่อนที่จะถูกชาวจีนเมืองนี้เข้ามาหล่อหลอมรวมเข้ากับคติความเชื่อ "ปูนเถ้าก๋ง" ในวัฒนธรรมจีน กลุ่มชาวจีนเมืองนี้ยังได้ขยายประเพณีความเชื่อนี้ให้เป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมเมืองสุพรรณ กำหนดประเพณีบวงสรวงศาลหลักเมืองหรือ "ปูนเถ้าก๋ง" ขึ้นเป็นการประจำปีในทุกวันที่ ๑๘ เดือน ๗ หลังวันสารทจีนตามปฏิทินจีน เรียกว่า งานทิ้งกระจาด เป็นคติพุทธมหายาน ถือเป็นการเจริญเมตตาธรรมแก่ดวงวิญญาณที่ล่วงลับไปแล้ว มีการน้ำเครื่องอุป-บริโภคแจกจ่ายเป็นทานแก่ผู้ยากจน ชาวเมืองสุพรรณได้ปฏิบัติประเพณีนี้อย่างต่อเนื่องนับแต่สมัยต้นรัตนโกสินทร์จนถึงปัจจุบัน ......... หนังสือ "เมืองสุพรรณ บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ ๘ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕" โดย วารุณี โอสถารมย์ สนพ. ม.ธรรมศาสตร์ ๒๕๔๗ ..................... และแล้ว ขณะนี้ ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ก็ถูกหล่อหลอมเข้าเป็นของวัฒนธรรมจีนแต่เพียงผู้เดียวไปเรียบร้อยแล้ว จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:07:01 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ออกตัวก่อนค่ะว่า... ถ้าถามสิ่งใดผิด  ขั้นกลางไป ขออภัยก่อนค่ะ... ....นิทานโบราณคดี .... คือเป็นเรื่องจริง อิงประวัติศาสตร์ หรือว่า ชื่อหนังสือค่ะ... จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 10:07:10 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แล้วต่อมาก็เป็นคติที่นำมาสู่ประเพณีทิ้งกระจาดในปัจจุบัน ประเพณีทิ้งกระจาดในประเทศไทย เท่าที่ทราบตอนนี้เหลืออยู่เพียง ๓ ที่ ๑. วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ๒. วัดพนัญเชิง อยุธยา ทั้งสองที่แรกนี้มีหลวงพ่อโต "ซำปอกง" เป็นประธานในพระวิหาร ๓. งานทิ้งกระจาดประจำปีศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ไม่แน่ใจว่าตอนนี้มูลนิธิป่อเต็กตึ้งเขาจัดกันที่เยาวราช จะเป็นงานประจำปีรึเปล่า แต่ที่จังหวัดสุพรรณขณะนี้จัดเป็นงานใหญ่ที่สุดของประเทศเชียวครับ รวมแล้วจัดนานประมาณเดือนหนึ่ง จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:08:40 ]

ความคิดเห็นที่ 54 คห.48 หายไปไหนแล้วครับ ต้องขออนุญาตไปตามกลับมาก่อน มึนๆ กันสักหน่อยนะครับ พยายามคัดลอกและลงให้ละเอียด เผื่อสำหรับคนที่ไม่สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่าย  ใครที่รู้แล้วก็ทนๆ ดูกันหน่อยก็แล้วกันครับ ตอนบ่ายถ้ามีเวลาว่าง จะนำเรื่องเกี่ยวกับ องค์เทพารักษ์หลักเมือง ทั้งเรื่องตำนาน ประวัติความเป็นมา และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องครับ และยังมีเรื่องต่อเนื่องอีกยืดยาวเลยครับ ช่วงเช้านี้จึงต้องเร่งมือกันหน่อย ........ ขอตอบคุณ naragorn ตรงนี้ครับ ความจริงจะถามคั่นได้ตลอดไม่มีปัญหา นิทานโบราณคดี เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ส่วนใหญ่รวบรวมจากเรื่องจริง แล้วทรงเขียนเล่าเกร็ดอย่างอื่นเพิ่มเติมทำให้ชวนอ่าน มีอยู่หลายเรื่อง ซึ่งคุณกัมม์ได้เขียนเป็นกระทู้ไว้เยอะ แล้วก็แปะไว้ในบล็อก สักครู่คุณกัมม์พ่อลูกอ่อนก็อาจจะมาบอกคุณนรากรตรงนี้ด้วยก็ได้ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 10:29:44 ]

ความคิดเห็นที่ 55 อะแอ้ม...ได้ยินอะไรแว่วๆ ตามอ่านมาแต่เช้าแล้วครับพี่นิค กำลังเพลิน ตอบคำถามเมื่อวานก่อนนะครับ  มีแต่ลูกคนอื่นครับพี่นิค ที่แอ๊บได้เพราะเด็กๆพวกนี้ครับ คุณ นรากร "นิทานโบราณคดี" สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ก็ทรงตรัสว่า(ในสาส์นสมเด็จ) ไม่โปรดชื่อเลย  ฟังดูไม่จริงจังเหมือนหนังสืออ่านเล่นมากกว่า เมื่อก่อนคัดหนังสือเล่มนี้หลายเรื่อง  แต่เพื่อนๆ ไม่เห็นควรจะเก็บเข้าคลังเลยหลุดไป ที่เหลือรอดมาได้ก็พอมีอยู่บ้าง  ลองเข้าไปชิมดูนะครับ (ขออนุญาตพี่นิคโฆษณาบล็อกหน่อยนะครับ) เพชรพระมหามงกุฎ - เจ้าพระยาศรีวิไชยชนินทร์ (ชม สุนทรารชุน)  จากนิทานเรื่องโจรประหลาด http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=rattanakosin225&group=1&date=19-03-2007&gblog=8 นิทานเรื่อง หนังสือหอหลวง http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=15-03-2007&group=2&gblog=2 นิทานเรื่อง แรกมีโรงพยาบาลในเมืองไทย - ศิริราชพยาบาล http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=17-03-2007&group=2&gblog=22 นิทานเรื่อง แรกมีอนามัยในเมืองไทย http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=17-03-2007&group=2&gblog=23 นิทานเรื่อง เมื่อแผ่นดินทรงสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=rattanakosin225&month=21-03-2007&group=2&gblog=38 "นิทานโบราณคดี" รับรองคุ้มค่าครับ  คุณ นรากร จากคุณ : กัมม์ - [ 29 ส.ค. 50 10:56:28 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ค่ะ ขอบคุณค่ะ คุณ  NickyNick  ... อ๋อๆๆ คำว่า นิทานโบราณคดี  เป็นอย่างงี้นี่เอง... อ่า....รออ่านต่อๆๆ ค่ะ ว่าแต่ คุณ  NickyNick กับ คุณกัมม์ ส่วนใหญ่มากันแบบ แพคเก็ต คู่เน๊อะ อิอิ.... จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 10:58:15 ]

ความคิดเห็นที่ 57 หว้า....อีกคน คุณพ่อลูก ๒ อีกคน คุณพ่อ ลูกอ่อน.... ฮื่อๆๆๆ  นู๋ยังไม่มีมาอวด  อ่า.... ตอนนี้เอาตัวเองให้รอดก่อน ฮ่าๆๆๆๆ รออ่านต่อๆๆๆๆ จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 11:02:31 ]

ความคิดเห็นที่ 58 มาทู้นี้ ไม่ผิดหวังจริงๆ นอกจากได้เห็นภาพสวยๆ แล้วยังได้ความรู้มาเยอะเลย ขอบคุณค่ะป๋า จากคุณ : janeko - [ 29 ส.ค. 50 13:39:51 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขออภัยครับ จะนำเอาเรื่องราวในวรรณคดี หรือพวกบทประพันธ์ต่างๆ ในอดีตที่เกี่ยวกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณมากล่าวถึงกันก่อนสักนิด แต่จะยังไม่พูดเรื่องการเสด็จประพาสสุพรรณของกรมดำรง หรือการเสด็จประพาสต้นของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงหรอกนะครับ  ซึ่งจะมีเรื่องต่อเนื่องอีกยาว เรื่องในวรรณคดี เจอเพียงสำนวนเดียวเท่านั้น เป็นนิราศสุพรรณของเสมียนมีครั้งรัชกาลที่ ๓ สำหรับของสุนทรภู่ที่แจวเรือทวนน้ำขึ้นมาหาแร่แปรธาตุในเขตเมืองสุพรรณ และทำให้เกิดโคลงนิราศสุพรรณ มาก่อนเสมียนมีไม่นาน แต่ไม่ได้กล่าวถึงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองแห่งนี้เลย โคลงนิราศสุพรรณ แต่งเมื่อปีฉลู พ.ศ.๒๓๘๔ คัดลอกจากฉบับพิมพ์ของคุณเทพ สุนทรศารทูล ท่านบอกไว้เช่นนั้น แต่เพื่อให้เข้าใจอดีตของเมืองสุพรรณรวมไปด้วย ก็จะนำมาลงไว้เล็กน้อยก่อนครับ ท่านเดินทางทางเรือแจวถึงเมืองสุพรรณตอนเย็น หลังจากออกจากกรุงมาได้ ๑ วันครึ่ง ถึงเมื่อ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๓๘๔ ตรงกับวันอังคาร ขึ้น ๓ ค่ำ เดือนอ้าย ปีฉลู "ตะวันเย็นเห็นหาดหน้า       ท่ามี เมืองสุพรรณบุรี                 รกร้าง ศาลตั้งฝั่งนที                   ที่หาด ลาดแฮ โรงเล่าเขาต้มค้าง             ขอบคุ้งหุงสุรา" โคลงบทนี้กินใจคนสุพรรณมาก จากบัดนั้นจนถึงบัดนี้เลยครับ คืนนั้นท่านและคณะก็ "นอนค้างข้างคุ้งถัด           วัดตะไกร" อยู่ติดวัดประตูสารในปัจจุบัน ตามที่ผมเขียนไว้ในแผนที่แล้วครับ ตอนเช้าก็เดินตัดป่าตัดทุ่งตรงไปยังวัดป่าเลไลยก์ครับ ".... ครั้นรุ่งมุ่งเดินไพร        พรั่งพร้อม ไหว้พระป่าเลไลย์              ร่มรื่น ชื่นเอย ริมรอบขอบเขื่อนล้อม        สะล่างไม้ไพรพนม" ขากลับจากวัด บท ๑๕๑ "เย็นรอนอ่อนเกศก้ม         กราบลา จากวัดตัดตรงมา              แม่น้ำ ค้างคืนตื่นเช้าคลา            คลาดเคลื่อน เรือเอย ติดแก่งแข็งข้อค้ำ             ขัดข้องต้องเข็น" สุนทรภู่ ท่านเคยจำพรรษาที่วัดในอำเภอสองพี่น้องด้วย ตามหนังสือสาส์นสมเด็จ ส่วนของกรมพระยาดำรงราชานุภาพนิพนธ์ไว้ สุนทรภู่คงคุ้นเคยกับเมืองสุพรรณพอสมควรครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:44:03 ]

ความคิดเห็นที่ 60 ลืมสวัสดีทั้ง ๓ คนอีกรอบเลยครับ ผมกับคุณกัมม์มาเป็นคู่บ่อยๆ โดยมิได้นัดหมาย ตอนถูกด่า ก็เลยโดนเป็นคู่ไปอีก กัมม์หนอกรรม จากโคลงข้างบนที่อ้างถึง สุนทรภู่ไปนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์ ขณะนั้นยังเป็นวัดร้างนามว่า "วัดลานมะขวิด" อยู่ แต่ไม่ได้กล่าวถึงชื่อ ท่านเดินเท้าเข้าป่าพร้อมด้วยคณะของท่านทั้งหมด ตอนนั้นคลองป่าเลไลยก์น่าจะยังไม่มี เพราะคลองนี้ขุดปลายสมัยรัชกาลที่ ๓ หรือต้น ๔ เพื่อเป็นทางลำเลียงท่อนซุงมาซ่อมแซมพระและวิหารพระป่าเลไลยก์ ซึ่งท่านไม่ได้กล่าวถึงว่ามีคณะของเจ้าพระยานิกรบดินทร์มากระทำภารกิจใดๆ เลย ถึงตอนนี้ ก็รู้แล้วว่าท่านไม่ได้เดินทางผ่านเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ เพราะตำแหน่งอยู่เหนือเส้นทางเดินผ่านราวสัก ๒๐๐-๓๐๐ เมตร เป็นป่ารกยังงั้น บางทีแค่ ๕๐ เมตรก็มองไม่เห็นแล้ว จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อีกสำนวนหนึ่ง คือ นิราศสุพรรณ ของเสมียนมี หรือหมื่นพรหมสมพัตสร (มี) คุณเทพ สุนทรศารทูล ท่านได้สืบค้นว่านามสกุล มีระเสน เสมียนมีต้องเดินทางไปเก็บอากรที่เมืองสุพรรณ เมื่อปี พ.ศ.๒๓๘๗ คือหลังสุนทรภู่เพียง ๓ ปี เป็นโอกาสให้ท่านแต่งนิราศสุพรรณขึ้นครั้งนั้น ท่านผู้นี้ก็เป็นลูกศิษย์สุนทรภู่เช่นกัน จะขอคัดลอกตอนที่ท่านมาถึงสุพรรณ แล้วก็ไปไหว้ศาลเจ้าพ่อฯ เลยครับ ครั้นเย็นค่ำย่ำแสงพระสุริยา           ทัศนานั่งดูเมืองสุพรรณ ดูโรยร่วงแรมร้างน่าสังเวช             ดังประเทศแถวป่าพนาสัณฑ์ พฤกษาชาติแทรกแซมขึ้นแกมกัน   อเนกนันต์เล็กใหญ่ไม้นานา คืนวันนั้นจันทร์เพ็งเปล่งประเทือง    ดาราเรืองเรียงรายพรายเวหา ไปไหว้เจ้าหลักเมืองเรืองศักดา       ตั้งบูชาบัตรพลีพลีกรรม น้อมคำนับอภิวาทประกาศว่า          ขอเทวาช่วยชุบอุปถัมภ์ อย่าให้ขาดทุนรอนอากรนำ           ทั้งทางน้ำทางบกอย่าปกบัง ใครบังไร่ไว้ไหนช่วยไปจับ            เอาค่าปรับให้สมอารมณ์หวัง ขอให้เรือลูกค้ามาประดัง              จะเก็บทั้งค่าตลาดอย่าขาดทุน ครั้นไหว้แล้วกลับมานิทราหลับ       จนเดือนลับลำเนาภูเขาขุน เจ้าหลักเมืองเรืองศักดาช่วยการุณ   มาค้ำจุนจิตนั้นให้ฝันไป ว่าย่านางนาวานั้นมาบอก               กำไรออกมั่นคงอย่าสงสัย บอกว่าเรือที่ขี่นั้นมีชัย                   ได้กำไรค้าขายมาหลายคราว ให้แลเห็นรูปร่างของนางไม้            งามวิไลแลละมุนพึ่งรุ่นสาว อร่ามเรืองเครื่องประดับดูวับวาว       พอฟ้าขาวหายวับไปกับตา ประจักษ์จำความฝันไว้มั่นแม่น        ให้สุดแสนสมมาดปรารถนา สังเกตดูฤกษ์ยามตามเวลา             ต้องตำราความฝันขยันดี ................. "เสมียนมี" ไปไหว้ศาลหลักเมืองเย็นแล้ว กลับก็มืด อธิษฐานบนบานศาลกล่าวไปตามเรื่อง ท่านเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีอากร ก็ต้องขอให้เก็บเงินได้ครบถ้วน แล้วก็ต้องเยอะๆ ด้วย มืดค่ำพอกลับมานอน คงจะนอนในเรือ หรือว่าบ้านพักของใครก็ไม่รู้ น่าจะนอนหลับสบาย เพราะท่านฝันดีตลอดคืน เป็นเรื่องเป็นกลอนไปหมด ท่านมาไหว้ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองเมื่อวันมาถึงสุพรรณวันแรก แล้วก็ทำหน้าที่ของท่านไปเรื่อยๆ จนขึ้นไปเก็บภาษีอากรทางอำเภอข้างเหนือจนเสร็จ ล่องกลับมาเมืองสุพรรณอีกทีถึงได้แวะไปนมัสการวัดป่าเลไลยก์ ถึงได้มีกลอนบรรยายขากลับเกี่ยวกับองค์หลวงพ่อโตและสภาพวัดป่าได้อย่างจับจิตจับใจคนสุพรรณ (อีกครั้ง) จนถึงทุกวันนี้ ท่านคงจะหาอ่านกันได้ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:52:44 ]

ความคิดเห็นที่ 62 คราวนี้มาเข้าเรื่องประวัติขององค์เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบ้าง ว่ามีที่มาอย่างไร ก็มีเล่ากันหลายกระแส เป็นตำนานทั้งนั้นครับ "...... ตามประวัติว่าเจ้าพ่อหลักเมืองลอยมาติดตลิ่ง ชาวบ้านมาชักลากเท่าใดก็ไม่ยอมขึ้น ต้องทำพิธีบวงสรวง จึงอัญเชิญขึ้นมาแล้วสร้างศาลเจ้าเล็กๆ ให้ประดิษฐาน ........ พระวิษณุทั้งสององค์คงประดิษฐานอยู่ ณ ที่ตรงริมตลิ่งนั้นเอง กาลเวลาผ่านไปนับร้อยพันปี ศาลที่ประดิษฐานชำรุดทรุดโทรม จึงพังหล่นลงไปริมตลิ่งจมน้ำมานานอีกนับเป็นร้อยๆ ปี กว่าจะมีผู้พบในระยะหลังนี้ ......" จากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อโตวัดจำปา" อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี นายมนัส โอภากุล ................ อันนี้เป็นอีกตำนานหนึ่งครับ "....... สำหรับประวัติความเป็นมาขององค์เจ้าพ่อหลักเมือง คนเก่าแก่เล่าให้ฟังว่า ท่านลอยน้ำมาพักที่ริมตลิ่งวัดพระนอน ชาวบ้านอธิษฐานอัญเชิญ ท่านก็ไม่ยอมขึ้น (ใช้แรงคนยกไม่ไหว) ลอยมาถึงตลิ่งวัดกุฎีสงฆ์ ชาวบ้านก็ทำพิธีอัญเชิญขึ้นมาประดิษฐานที่ศาลเจ้าเล็กๆ ริมตลิ่ง กาลเวลาผ่านไปเป็นร้อยๆ ปี ศาลชำรุดทรุดโทรมพังหล่นไปจากตลิ่งจมน้ำ ต่อมาอีกนานนับร้อยปีจนมีผู้พบในระยะหลัง และเปลี่ยนศาลใหม่มาอยู่ในที่ปัจจุบันซึ่งอยู่ริมคลองผ่านไปลาดตานวล ถึงลำน้ำท่าว้าได้ในอดีต ........." จาก สุพรรณบุรีเมืองโบราณฯ โดย นวลพรรณ ยิ้มยวน ๒๕๔๓ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:55:20 ]

ความคิดเห็นที่ 63 เกี่ยวกับ องค์ เทพารักษ์หลักเมือง ...... ต้องขี่ม้าราว ๘ ชั่วโมงจึงจะถึงเมืองสุพรรณ วันรุ่งขึ้นหม่อมฉันไปทำพลีกรรมที่ศาลเจ้าหลักเมือง ตัวศาลรูปร่างอย่างไทยทำด้วยไม้มุงกระเบื้อง สร้างไว้บนโคกอันหนึ่ง ในศาลมีเทวรูปศิลา ๒ องค์ เป็นรูปพระวิษณุแบบเก่ามาก คืออย่างที่เหมือนใส่หมวกเติ๊กตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์สถานกรุงเทพฯ ก็มี แต่รูปพระวิษณุที่ศาลหลักสุพรรณจำหลักเป็นอย่าง Pas relief ติดอยู่กับแผ่นศิลาข้างหลังสูงสักราว ๓ ศอก (สาส์นสมเด็จ กรมดำรงฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๑๑ มี.ค. ๗๙) แล้วเราก็ทราบว่า ผู้ที่เรียกว่าหมวกเติ๊ก หรือหมวกเตอร์ก เป็นท่านแรกคือสมเด็จกรมพระยาดำรงฯ ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:57:20 ]

ความคิดเห็นที่ 64 สมเด็จกรมนริศก็ได้ตอบกลับมาว่า ........... เรื่องศาลเจ้าหลักเมืองสุพรรณบุรีก็ดีอีก เทวรูปที่ตรัสเล่าประทานนั้นเข้าใจดี เป็นเทวรูปฝีมืออินเดียเก่า ทำแขนขางามไม่เป็นไม้กระบอกและฉลักที่เป็นรูปนูน ๒-๓ หลังติดพื้นแผ่นศิลานั้น เขาทำสำหรับประดิษฐานบรรจุในช่องคูหา เราจะทำศาลาถวายควรต้องทำผนังหลังต้นรุ้งเป็นคูหาบรรจุเทวรูปเข้าไว้ ให้ต้องตามเจตนาเดิมของผู้ทำเทวรูป...... (สาส์นสมเด็จ กรมนริศฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๒๐ มี.ค. ๗๙) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:57:49 ]

ความคิดเห็นที่ 65 ทั้งสองพระองค์ได้ตรัสถามตอบเกี่ยวกับองค์เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณบุรี กันอีกหลายครั้ง จึงขอคัดลอกมาให้อ่านกันนะครับ "....... เทวรูปที่หลักเมืองสุพรรณนั้น เหมือนกับที่มีอยู่ในพิพิธภัณฑ์สถานเพียงทำทรง "หมวกเติ๊ก" แทนชฎา แต่มิใช่เป็น Fine Art อย่างที่อยู่ในพิพิธภัณฑ์สถาน ดูฝีมืออยู่ข้างจะหยาบด้วยซ้ำไป ที่หม่อมฉันทูลขนาดสูงสัก ๓ ศอกนั้นก็เห็นจะเกินไป จะสูงเพียงสัก ๒ ศอก ถ้ามีเศษก็ไม่มากนัก รูปพระวิษณุเช่นนั้นมีที่เมืองสุพรรณถึง ๓ องค์ อยู่ที่ศาลหลักเมืองสุพรรณ ๒ องค์ อีกองค์หนึ่งอยู่ที่ "ท่าพระยาจักร" อันเป็นท่าเรือของเมืองอู่ทอง ครั้งแรก เห็นเทวรูปวางหงายอยู่กับแผ่นดิน แต่คนในท้องถิ่นก็บูชาอยู่แล้ว หม่อมฉันแนะนำให้เขาทำศาลและยกเทวรูปขึ้นตั้งเข้าใจว่ายังเป็นศาลอยู่จนทุกวันนี้ ข้อที่มีเทวรูปอย่างเดียวกันอยู่ที่ศาลหลักเมือง ๒ องค์ ทิ้งอยู่ที่ท่าน้ำเมืองอู่ทององค์ ๑ ชวนให้เห็นว่าเทวรูปที่ศาลหลักเมืองจะย้ายเอามาจากที่อื่น จึงมี "ซ้อนขึ้น" เป็น ๒ องค์ องค์ที่เมืองอู่ทองก็คงคิดจะย้ายเอามาเมืองสุพรรณ แต่เมื่อเอาลงมาถึงท่า จะมีเหตุขัดข้องอย่างใดเกิดขึ้นเลยงด เทวรูปจึงวางค้างอยู่ที่ท่าดังหม่อมฉันไปเห็นเมื่อครั้งแรก ที่จะทำศาลาหลักเมืองสุพรรณใหม่นั้น หม่อมฉันคิดเกรงอยู่อย่างเดียวแต่เงินทุนจะไม่พอทำให้ดีได้ดังพระดำริ ....... (สาส์นสมเด็จ กรมดำรงฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๒๕ มี.ค.๗๙) ....................... ที่กล่าวมานี้บางส่วนก็เป็นข้อสันนิษฐานของพระองค์ท่าน ในขณะที่ประทับลี้ภัยอยู่ ณ บ้านซินนามอน ปีนัง ซึ่งพระองค์คงจะใช้แต่ความทรงจำเขียนไว้ ปัจจุบัน คงมีการศึกษากันมากขึ้น และหาข้อมูลกันได้ง่ายกว่าเดิมมาก หากใครทราบรายละเอียดเพิ่มเติมก็ช่วยนำมาลงไว้ได้นะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 13:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 66 เกี่ยวกับเทวรูปพระนารายณ์สวมหมวกแขก หรือหมวกเติ๊ก ดังสมเด็จกรมดำรงท่านทรงอธิบายไว้นั้น ในสุพรรณพบ ๓ องค์ อยู่ที่ศาลหลักเมือง ๒ องค์ อีกองค์หนึ่งอยู่ที่ท่าพระยาจักร ก็คือตัวอำเภออู่ทองในปัจจุบันครับ สมเด็จฯ ท่านได้เคยเขียนเล่าไว้ในนิทานโบราณคดีของพระองค์อีกที่หนึ่งด้วยว่า นิทานที่ ๑๘ เรื่องค้นเมืองโบราณ ตอนเรื่องเมืองอู่ทอง ........ ใช่แต่เท่านั้น แม้เทวรูปโบราณที่นับถือกันในสมัยภายหลังมา ก็มีรูปพระวิษณุแบบเก่าที่ทำใส่หมวกแทนมงกุฎ อยู่ที่ท่าพระยาจักรองค์หนึ่ง ซึ่งคนถือว่าศักดิ์สิทธิ์ ไม่กล้าย้ายเอาไปที่อื่น .......... .............. ........... เทวรูปสามองค์ซึ่งตรัสเล่าถึง จะอย่างไรก็เชื่อว่าคงเป็นของทำมาจากอินเดีย เริ่มแรกคงจะเอาประดิษฐานไว้ในที่สามแห่ง แต่แล้วจะโยกย้ายไปที่ไหนบ้างกี่ครั้งกี่คราวไม่มีทางจะสันนิษฐานได้ ..... (สมเด็จกรมนริศฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว. ๓ เม.ย. ๘๐ จากหัวหิน) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:00:27 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ตอนนี้มีศัพท์เพิ่มอีกอย่างคือ องค์นารายณ์สวมหมวกเติ๊ก หรือหมวกแขก ว่าเป็นอย่างไร มีเจอที่ไหนบ้าง คัดมาเล่าสู่กันฟังต่อครับ ........ เจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี เป็นเทวรูปสลักด้วยหินศิลาสีเขียวติดกับผนัง มี ๒ องค์ ในรูปพระวิษณุ หรือพระนารายณ์สี่กร สวมหมวกทรงกระบอก สำหรับประติมากรรมพระนารายณ์สวมหมวกทรงกระบอก รุ่นแรกพบที่เมืองตะกั่วป่า พังงา และเมืองศรีเทพ เพชรบูรณ์ แต่อยู่ในรูปลอยตัว ต่างกับเทวรูปหินของอินเดียที่มักเป็นรูปนูนจากผนัง ประติมากรรมสวมหมวกทรงกระบอกเก่าแก่ที่สุด เป็นรูปนูนจากผนังของกษัตริย์ปัลละวงศ์ ราวพุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ ที่เมืองมัลลปุรัมในอินเดียตอนใต้ ซึ่งราชวงศ์นี้ครองอยู่ราว พ.ศ.๗๐๐-๑๔๐๐ ไมเคิล ไรท์ กล่าวว่า คำว่า "ปัลลวะ" มาจาก Pahlai ในภาษาอิหร่านมีนิทานว่าบรรพบุรุษของปัลลวะ คือชาวอิหร่านที่เข้ามาครั้งมหาภารตยุทธ์ ได้นางนาคเป็นภรรยา ต่อมาได้ครองอินเดียใต้ กษัตริย์ราชวงศ์นี้จึงนิยมสวมมุงกุฎทรงกระบอกแบบชาวอิหร่าน ไทยอู่ทองติดต่อกับปัลลวะมาตั้งแต่สมัยทวาราวดี ใช้ตัวหนังสือของปัลลวะในรูปของภาษาเขียน (บาลี สันสกฤต และมอญโบราณ) ประติมากรรมพระนารายณ์คงเข้ามาในประเทศไทยตั้งแต่พุทธศตวรรษที่ ๑๑-๑๒ โดยเป็นรูปเทวเคารพของชาวอินเดียที่เข้าติดต่อค้าขาย ไทยอู่ทองที่นับถือศาสนาพราหมณ์ก็คงจะรับเป็นรูปเคารพไปด้วย ต่อมาถึง พ.ศ.๑๓๐๐ มงกุฎทรงกระบอกก็หายไป กลายเป็นทรงมงกุฎอย่างที่รู้จักกันแพร่หลาย ในสมัยหลังๆ เช่น รูปสลักหินนูนต่ำพระนารายณ์ทรงเครื่อง ทรงมงกุฎพบที่เมืองกาญจิปุรัมในอินเดียใต้ ซึ่งไมเคิล ไรท์ ลงความเห็นว่า เทวรูปทวาราวดีในประเทศไทย ควรจะเข้ามาตั้งแต่ พ.ศ.๘๐๐-๑๐๐ ไม่ใช่ ๑๑๐๐-๑๒๐๐ ดังที่กำหนด เพราะเท่าที่พบก็แลดูสวยงามเหมือนผ่านพัฒนาการมาช้านาน (จาก "สุพรรณบุรีเมืองโบราณฯ" โดย นวลพรรณ ยิ้มยวน, ๒๕๔๓) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:10:44 ]

ความคิดเห็นที่ 68 องค์เทวรูปที่กล่าวถึง มีกล่าวไว้หลายแห่งว่าในสุพรรณมีอยู่ ๓ องค์พี่น้องกัน หนังสือ สรุปผลการดำเนินงานของเครือข่ายวัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปี ๒๕๔๕ ตรงนี้กล่าวถึง เจ้าพ่อพระยาจักร ก่อนว่า เป็นของศักดิ์สิทธิ์ประจำเมืองอู่ทอง เป็นเทวรูปที่ถือจักรอยู่ในมือ ทำด้วยหินสี่เหลี่ยม กว้างประมาณ ๑ เมตร สูง ๑.๕ เมตร หนา ๓๐ ซม. เป็นรูปสลักนูนนารายณ์สี่กร อยู่ในท่ายืน สวมหมวกคล้ายฤาษี หัตถ์ขวาบนทรงจักร หัตถ์ซ้ายบนทรงกริช หัตถ์ขวาล่างอยู่ในท่าท้าวสะเอว เทวรูปนี้เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองมาแต่โบราณ ไม่มีผู้ใดทราบประวัติแน่นอน เมื่อประมาณ ๕๐ ปีก่อน อยู่ในตลาดท่าพระยาจักร และย้ายจากที่เดิมมาทางทิศตะวันออกประมาณ ๕๐ เมตรในปัจจุบัน ประดิษฐานอยู่ที่ศาล ตั้งอยู่บนฝั่งซ้ายของลำน้ำจระเข้สามพัน อีกองค์หนึ่งคือ เจ้าพ่อจักรนารายณ์ ประดิษฐานอยู่ที่วัดพระศรีสรรเพชญดาราม (วัดเขาพระ) ใกล้ที่ว่าการอำเภออู่ทองปัจจุบัน ความศักดิ์สิทธิ์ ๑. เมื่อคราวสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพ เสด็จมาตรวจราชการผ่านเมืองอู่ทอง และแวะพักแรมที่ดอนพลับพลา อำเภออู่ทอง พระองค์มิได้ไปแสดงความคารวะ ม้าที่นั่งจึงพยศ ต่อมาพระองค์เสด็จคารวะจึงหายอาการ ๒. เมื่อคราวไฟไหม้ที่ตลาดเก่า พอวันรุ่งขึ้นปรากฏว่าที่ท่อนแขนของเจ้าพ่อมีรอยไหม้ ........................... แต่อ่านจากที่สมเด็จกรมดำรงฯ ท่านนิพนธ์ไว้ทั้งในนิทานโบราณคดี และสาส์นสมเด็จ ก็ไม่มีปรากฎเรื่องม้าพยศ หรือว่ายังอ่านไม่เจอ ทราบว่าเทวรูปทั้งสององค์ที่อำเภออู่ทอง อยู่ไม่ไกลจากบ้านเกิดของน้องบี biebie999 ถ้าผ่านไปผ่านมาก็ถ่ายรูปมาให้ชมเป็นขวัญตากันในภายหลังได้นะครับ ขอบคุณล่วงหน้า จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:14:12 ]

ความคิดเห็นที่ 69 หนังสือ สรุปผลการดำเนินงานของเครือข่ายวัฒนธรรมในจังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปี ๒๕๔๕ เล่มเดิม บอกเพิ่มเติมอีกดังนี้ เทวรูปชุดนี้มี ๓ องค์พี่น้อง รูปร่างลักษณะเหมือนกันคือ ๑. องค์ใหญ่ เจ้าพ่อหลักเมือง อยู่ที่อำเภอเมืองสุพรรณบุรี ๒. องค์กลาง เจ้าพ่อพระยาจักร อยู่ที่ตลาดท่าพระ อำเภออู่ทอง ๓. องค์เล็ก เจ้าพ่อจักรนารายณ์ อยู่ที่วัดเขาพระ อำเภออู่ทอง คห.๖๖ บอกว่ามี ๓ องค์พี่น้อง แต่สององค์อยู่ที่เมืองสุพรรณ อีกองค์อยู่ที่อู่ทอง แต่ข้อมูลใหม่บอกดังข้างบนนี้ ผมก็ต้องเชื่อของใหม่ เพียงแต่ว่า องค์ใหญ่ท่านเป็นคู่แฝดครับ คือที่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณนี่เอง จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:17:54 ]

ความคิดเห็นที่ 70 พระนิพนธ์โต้ตอบในสาส์นสมเด็จเกี่ยวกับองค์เทพารักษ์หลักเมืองสุพรรณ มีเพิ่มเติมดังนี้ ....... คราวนี้จะกราบทูลถึงเทวรูปซึ่งมีอยู่ที่ศาลนั้น เขาว่ามีสององค์เป็นเทวรูปจำหลักด้วยศิลามีพนังหลังตั้งพิงไว้ในศาล รู้ได้ว่าเป็นของเอาแต่ที่อื่น รูปมีพนังหลังชนิดนั้นเขาทำสำหรับฝังเข้าไปในคูหาที่เจาะผนังเข้าไป ว่ากันว่าองค์หนึ่งเป็นรูปพระนารายณ์ อีกองค์หนึ่งเป็นรูปพระหลักเมือง แต่จะเป็นไปไม่ได้ เพราะหลักเมืองต้องเป็นเสาหลัก ไม่เป็นเทวรูป พระพรหมพิจิตรว่าจะดูให้รู้ว่าเป็นรูปอะไรก็ไม่ได้ ด้วยคนเอาทองเปลวปิดทับถมเข้าไว้เสียท่วมทึบ รู้ได้แต่ว่าที่เป็นมีสี่กรทั้งสององค์........ (สาส์นสมเด็จ กรมนริศฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๑๘ ก.ย. ๘๐) ........... ขอนำรูปขาวดำองค์ที่วัดเขาพระอู่ทองมาให้ชมกันก่อนครับ จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:20:44 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ..... เรื่องซ่อมศาลหลักเมืองสุพรรณนั้น หม่อมฉันเห็นชอบด้วยดังทรงพระดำริ เทวรูปนั้นทูลยืนยันได้ว่ารูปพระวิษณุทั้ง ๒ รูป เพราะหม่อมฉันได้พิจารณาแล้ว หม่อมฉันมีวินิจฉัยที่จะทูลในเรื่องหลักเมืองต่อไปอีกหน่อย คือ ในประกาศพระราชพิธีที่หลักเมืองในรัชกาลที่ ๔ เรียก หลักเมืองในภาษามคธว่า "โตรณ" หม่อมฉันเคยได้ยินแปลศัพท์โตรณอีกอย่างหนึ่งว่า เสาไต้ (ประทีป) แต่หลักเมืองเมืองเชียงใหม่เขาเรียกว่า "หลักอินทขีล" เมื่อหม่อมฉันไปมณฑลเพชรบูรณ์ไปได้หลักเมืองศรีเทพลงมา (อยู่ในพระที่นั่งศิวโมกข์พิมานที่ตั้งหอพระสมุดวชิรญาณบัดนี้) มีจารึกอักษรคฤนถ์แตกเสียมาก แต่ยังเหลือคำว่า "ขีลํ" ปรากฏอยู่ หม่อมฉันค้นดูในอภิธานภาษาบาลีของอาจาร์จิลเดอ แปลศัพท์ Tora man ว่าซุ้มประตู Gateway แปลศัพท์ Khi Lo ว่า Pin หรือ Stake คือหลัก ดังนี้ขอให้ทรงพิจารณาดู .......... (สาส์นสมเด็จ - กรมดำรงฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๒๓ ก.ย. ๘๐) จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 14:23:17 ]

ความคิดเห็นที่ 72 เรื่องราวในอดีตทั้งตำนาน ความเชื่อ และความรู้เพิ่มเติมจาก "สาส์นสมเด็จ" และ "นิทานโบราณคดี" ก็จบลง คิดว่าคัดลอกมาจนหมดสิ้นแล้ว  หากผู้ใดมีเพิ่มเติมอีกก็นำมาเสนอได้ครับ ตอนนี้ คห.67 หายไป ขออนุญาตติดตามกลับมาก่อนครับ พรุ่งนี้จะนำเสนอเรื่องราวของศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณที่ปรากฎอยู่ในการเสด็จประพาสต้นของสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง และสุดท้ายก็จะนำเสนอเรื่องราวอาคารสถานที่ตั้งแต่แรกสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพจนถึงปัจจุบันครับ มีความเป็นมาที่มากมายและยาวนานเหลือเกิน จากคุณ : NickyNick - [ 29 ส.ค. 50 15:30:32 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มาทันได้อ่าน #๖๗ พอดี  ยอดเยี่ยมครับ รวมเรื่องเทพารักษ์เมืองสุพรรณไว้มากที่สุดแล้ว จ่ายค่าเข้าชมกระทู้แล้วนะครับพี่ ๑๐ จึ๊ก จากคุณ : กัมม์ - [ 29 ส.ค. 50 16:05:37 ]

ความคิดเห็นที่ 74 อ่า...สวัสดีค่ะ คุณกัมม์ มาลงชื่อต่อท้ายพอดีเลยค่ะ สำหรับข้าพเจ้า ต้องไล่อ่านต่อ เริ่มจาก คห. ๕๙ ทยอยๆๆ หน่อย อิอิ  รายละเอียดเยอะดีจังค่ะ... และ กดไปหนึ่งจิ๊ก อิอิ จากคุณ : naragorn - [ 29 ส.ค. 50 19:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 75 ตามมาอ่านต่อครับ จากคุณ : นอกราชการ - [ 29 ส.ค. 50 19:17:29 ]

ความคิดเห็นที่ 76 เอาภาพแปรอักร"ศาลหลักเมือง"มาแจมครับพี่นิค จากคุณ : วรณัย - [ 29 ส.ค. 50 20:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ยาวเลยพี่ ปีนี้ผมมีส่วนร่วมกับงานทิ้งกระจาดสุพรรณบุรี เป็น อาสาสมัคร อพปร. ช่วยดูแลในงานครับ บริเวณศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ได้มีการสร้างสิ่งต่างๆ กันอยู่เรื่อยๆ ยังไม่เสร็จสิ้นสมบรูณ์ดี จากคุณ : หมาป่าดำ (หมาป่าดำ) - [ 29 ส.ค. 50 21:18:44 ]

ความคิดเห็นที่ 78 สวัสดีทุกท่าน แล้วก็ขอบคุณคุณวรณัยมากครับสำหรับภาพแปรอักษรสวยๆ ถ้ายังไม่จุใจกัน อยากดูมากกว่านี้ เชิญได้ที่บล็อกดีมีประโยชน์ครับ งานปิดทองหลังพระ http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=voranai&month=04-2007&date=25&group=3&gblog=5 หรือที่โอเคเนชั่น ลิ้งค์นี้เป็นหน้า Default ครับ แล้วหาเรื่องราวที่ชอบและต้องการกันเอาเอง http://www.oknation.net/blog/voranai วันนี้จะมาต่อกันถึงเรื่อง รูปแบบอาคารศาลเจ้าพ่อหลักเมือง และพัฒนาการของสิ่งแวดล้อมจากอดีตถึงปัจจุบัน   เริ่มต้นจากหนังสือ “เมืองสุพรรณ  บนเส้นทางการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์ พุทธศตวรรษที่ ๘ – ต้นพุทธศตวรรษที่ ๒๕”  ของคุณวารุณี โอสถารมย์  สนพ.ม.ธรรมศาสตร์ ๒๕๔๗ ซึ่งอาจซ้ำกับข้างบนมาแล้วบ้าง น.๒๗๗  .... ปรากฏการณ์ที่น่าสนใจคือ  กลุ่มผู้ศรัทธานับถือและมีกำลังทรัพย์ในการบริจาคเงินปลูกสร้างอาคารศาลหลักเมืองนั้น  เป็นกลุ่มชาวจีนเมืองสุพรรณ  ที่มีฐานะและพลังทางเศรษฐกิจสูงในเมืองนี้  ส่วนใหญ่เป็นพ่อค้าที่มีความร่วมมือร่วมใจกัน  ทำให้เริ่มมีผู้รักษาศาลที่เรียกว่า “เฮียกง” ประจำศาลแต่นั้นมา (อ้างจาก สาส์นสมเด็จ ล.๑๙ น.๒๐๘) .... อย่างไรก็ตามมีผู้สันนิษฐานว่าศาลหลักเมืองในสมัยสุพรรณภูมิ  พุทธศตวรรษที่ ๑๙ น่าจะเป็นศาลหลักเมืองตามคติเดิมในลัทธิพราหมณ์  เป็นสัญลักษณ์ของใจกลางเมืองแสดงด้วยเสาหลักเมืองที่ต่อมาอาจสูญหายไป  แต่ก็ไม่พบหลักฐานยืนยันชัดเจนในเรื่องนี้  เท่ากับบทบาทความเป็นศาลเทพารักษ์ที่ปรากฏให้เห็นตั้งแต่ครั้งต้นรัตนโกสินทร์  และมีความสัมพันธ์กับความเชื่อถือชาวบ้านในเมืองแบบเดียวกับที่นับถือเทพารักษ์ประจำเมือง  พระเสื้อเมือง  หรือพระทรงเมือง  ในฐานะเทพผู้คุ้มครองความสมดุลของเมืองให้ความมั่นคง  ปลอดภัยและอยู่ดีมีสุขแก่ชาวเมือง  ก่อนที่จะถูกชาวจีนเมืองนี้เข้ามาหล่อหลอมรวมเข้ากับคติความเชื่อ “ปูนเถ้าก๋ง” จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 09:48:28 ]

ความคิดเห็นที่ 79 จะขอเรียงลำดับความไปเรื่อยๆ จากอดีตจนถึงปัจจุบัน ตอนนี้เฉพาะเรื่องราวพัฒนาการด้านอาคารสถานที่นะครับ ตัดแปะอย่างจุใจ และอย่างเมามัน สนุกดีครับ นิทานโบราณคดี  เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ  ต่อ ..... เมื่อฉันพักอยู่ที่เมืองสุพรรณครั้งนั้น  มีเวลาไปเที่ยวที่เจดีย์วัตถุที่สำคัญ  เช่นวัดมหาธาตุและวัดพระป่าเลไล  สระน้ำสรงราชาภิเษก  และไปทำพลีกรรมที่ศาลเทพารักษ์หลักเมือง  ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นศาลไม้เก่าคร่ำคร่า  มีเทวรูปพระพิษณุแบบเก่ามากจำหลักศิลาตั้งอยู่สององค์  ฉันรับเป็นหัวหน้าชักชวนพวกชาวเมืองสุพรรณ  ให้ช่วยกันสร้างศาลใหม่  ให้เป็นตึกก่ออิฐถือปูน  และก่อเขื่อนถมดินเป็นชานรอบศาล  พวกพ่อค้าจีนช่วยกันแข็งแรงทั้งในการบริจาคทรัพย์และจัดการรักษา  ดูเหมือนจะเริ่มมีเฮียกงประจำศาลแต่นั้นมา .............. ตรงนี้เราก็พอนึกภาพออกกันบ้างนะครับว่า ศาลเดิมมีรูปร่างลักษณะเป็นอย่างไร คนรู้จักกับผมเล่าให้ฟังว่า ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ คนลาวเป็นผู้สร้าง เขาหมายความว่าลาวที่อพยพมาอยู่เมืองสุพรรณเป็นคนสร้างกันขึ้นมา ก็รับฟังกันไว้ครับ เชื่อหรือไม่ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง และบันทึกหลักฐานเก่าๆ เลยจากสมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ก็ไม่เคยมีกล่าวไว้เลย นี่เป็นคุณประโยชน์จากการบันทึกของพระองค์ท่านที่มีต่อชาวสุพรรณครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 09:53:16 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ...... ต้องขี่ม้าราว ๘ ชั่วโมงจึงจะถึงเมืองสุพรรณ   วันรุ่งขึ้นหม่อมฉันไปทำพลีกรรมที่ศาลเจ้าหลักเมือง  ตัวศาลรูปร่างอย่างไทยทำด้วยไม้มุงกระเบื้อง  สร้างไว้บนโคกอันหนึ่ง  ในศาลมีเทวรูปศิลา ๒ องค์  เป็นรูปพระวิษณุแบบเก่ามาก  คืออย่างที่เหมือนใส่หมวกเติ๊กตัวอย่างในพิพิธภัณฑ์สถานกรุงเทพฯ ก็มี   แต่รูปพระวิษณุที่ศาลหลักสุพรรณจำหลักเป็นอย่าง Pas relief ติดอยู่กับแผ่นศิลาข้างหลังสูงสักราว ๓ ศอก  หม่อมฉันเห็นศาลทรุดโทรมมาก  จึงออกเงินมอบให้กรมการจีนที่เป็นคนจัดพิธีบวงสรวง   ให้เข้าสร้างศาลเสียใหม่ให้เป็นตึกมั่นคง  เขาก็จัดการด้วยยินดีแล้วบอกมาว่า  ได้จัดการสร้างศาลเสร็จแล้ว  และว่ามีผู้บริจาคทรัพย์ช่วยก็หลายราย  หม่อมฉันไปเมืองสุพรรณอีกครั้งหนึ่งจึงได้เห็นว่า   ศาลที่สร้างใหม่นั้นเป็นเก๋งจีนแต่ทำเรียบร้อยดี  ถึงมีเฮียกงอยู่ประจำศาลด้วยคนนับถือมากทั้งไทยทั้งจีน   ต่อมาในปีหนึ่งหม่อมฉันทำโปรแกรมเสด็จประพาสเมืองสุพรรณ  สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงตรัสว่าเข้าทีดีหนักหนา   แต่เขาห้ามมิให้เจ้านายไปเมืองสุพรรณว่า  ถ้าขืนไปจะเป็นบ้ามิใช่หรือ   หม่อมฉันก็ทูลเล่าเรื่องที่หม่อมฉันขืนไปให้ทรงทราบ  ครั้นเสด็จไปเมืองสุพรรณทรงพลีกรรมที่ศาลเจ้าหลักเมืองแล้ว   พระราชทานเงินให้สร้างบริเวณศาลเพิ่มเติมที่หม่อมฉันได้สร้างไว้จึงก่อเขื่อนรอบเนินศาล  และทำชานที่คนบูชามีกำแพงแก้ว  และศาลาต่อออกมาหน้าศาล  แต่ทำแบบจีนให้เข้ากับเก๋งศาลทั้งนั้น   แต่ชั้นหลังมาเขาจะแก้ไขเพิ่มเติมอะไรอีกหม่อมฉันหาทราบได้  เหตุที่จะคิดทำปราสาทที่ตรัส   ก็เห็นจะเป็นด้วยเก๋งเดิมชำรุดทรุดโทรมอย่างไรไปจึงคิดจะสร้างตัวศาลใหม่ .......... (สาส์นสมเด็จ กรมดำรงฯ ล.๑๑, ๒๕๐๔  ลว.๑๑ มี.ค. ๗๙) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 09:55:04 ]

ความคิดเห็นที่ 81 น.๔๐ .... เมื่อฉันพักอยู่ที่เมืองสุพรรณครั้งนั้น  มีเวลาไปเที่ยวที่เจดีย์วัตถุที่สำคัญ  เช่นวัดมหาธาตุและวัดพระป่าเลไล  สระน้ำสรงราชาภิเษก  และไปทำพลีกรรมที่ศาลเทพารักษ์หลักเมือง  ซึ่งในเวลานั้นยังเป็นศาลไม้เก่าคร่ำคร่า  มีเทวรูปพระพิษณุแบบเก่ามากจำหลักศิลาตั้งอยู่สององค์  ฉันรับเป็นหัวหน้าชักชวนพวกชาวเมืองสุพรรณ  ให้ช่วยกันสร้างศาลใหม่  ให้เป็นตึกก่ออิฐถือปูน  และก่อเขื่อนถมดินเป็นชานรอบศาล  พวกพ่อค้าจีนช่วยกันแข็งแรงทั้งในการบริจาคทรัพย์และจัดการรักษา  ดูเหมือนจะเริ่มมีเฮียกงประจำศาลแต่นั้นมา .... (นิทานโบราณคดี  นิทานที่ ๔ เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 09:56:08 ]

ความคิดเห็นที่ 82 ตอนนี้เป็นเรื่องเมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ และมีเรื่องราวเกี่ยวกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองปรากฏอยู่ ............ รับวันที่ ๑๗ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๗ (พ.ศ.๒๔๔๑) ที่พักพระประฐมเจดีย์ วันที่ ๑๔ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๗ ถึง พระยาสฤษดิ์ ด้วยเมื่อวันที่ ๙ สิงหาคม  เวลาเช้าได้ออกเรือจากบ้านผักให่ .... ......... วันที่ ๑๐ สิงหาคม เวลาเช้าได้มีการประชุมพวกพ่อค้าแลผู้ชำนาญการทำตาลตะโนด ..... เวลา ๕ โมงเช้าได้ไปบวงสรวงเทพารักษ์ที่ศาลหลักเมือง  ศาลหลักเมืองนี้แต่เดิมเปนศาลไม้หลังคากระเบื้อง  เมื่อฉันมาสุพรรณ์คราวก่อนได้เข้าเรี่ยรายแลชักชวนพวกจีนให้คิดทำเปนตึก  ทำสำเร็จแต่ในศก ๑๑๕  เปนตึก ๒ หลังดูหมดจดพอใช้  บวงสรวงเทพารักษ์แล้ว  กลับมาแวะดูโรงเรียนปรีชาพิทยาคมซึ่งเปนโรงเรียนมูลสามัญเชลยศักดิ์ขึ้นอยู่ในกรมศึกษา  โรงเรียนนี้ขุนปรีชาเปนผู้บำรุงแลจัดการสอนในบ้านของตนซึ่งยกถวายเปนโรงเรียนมีจำนวนนักเรียน ๔๐ .... ............... - บ้านผักให่ ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอผักไห่ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา - โรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัย  เป็นโรงเรียนประจำจังหวัด ๑ ใน ๒ แห่งของจังหวัดสุพรรณบุรีขณะนี้ อาคารโรงเรียนหลังแรก อยู่ริมน้ำแถวสี่แยกนางพิม ใกล้เคียงกับบ้านมรดกของนกฉัตรชัย-สินจัย หงษ์ไทย ครับ คุณแม่ของนกฉัตรชัยมีกำเนิดที่เมืองสุพรรณ - ขุนปรีชาฯ คือ ขุนปรีชานุศาสน์ (ปล้อง ธรรมารมณ์) ผู้ก่อตั้งโรงเรียนปรีชาพิทยากร และตอนหลังพัฒนากลายเป็นโรงเรียนกรรณสูตศึกษาลัยแทน จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:03:13 ]

ความคิดเห็นที่ 83 สมเด็จกรมพระยาดำรง เสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณหลายครั้งมาก แล้วก็มีบันทึกไว้อย่างละเอียด ครั้งเมื่อ ร.ศ.๑๒๖ (พ.ศ.๒๔๕๐) ก็เช่นกัน กำลังค้นหาว่ามีเรื่องของศาลเจ้าพ่อด้วยรึเปล่า จึงนำต้นเรื่องมาเก็บไว้ตรงนี้ก่อนกันลืมครับ .................. หนังสือ รับวันที่ ๒๘ สิงหาคม ร.ศ.๑๒๖ ศาลาว่าการเมืองสุพรรณบุรี วันที่ ๒๒ สิงหาคม รัตนโกสินทรศก ๑๒๖ ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณบุรี บอกมายังออกพันทนายเวร  ขอได้นำขึ้นกราบทูลพระเจ้าน้องยาเธอ  กรมหลวงดำรงราชานุภาพ  เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยทราบใต้ฝ่าพระบาท ด้วยวันที่ ๖ ธันวาคม ศก ๑๒๔  ฝ่าพระบาทเสด็จประพาศเมืองสุพรรณบุรี .... จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:05:55 ]

ความคิดเห็นที่ 84 สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณ ๒ รอบ - รอบ ๑ เมื่อ ๒-๖ ส.ค. ร.ศ.๑๒๓   กรมดำรงไปรอที่อำเภอสองพี่น้องก่อน  มีจันทร์อังคาต  เกิดยิงปืน (ดู ล.๑๙,๒๕๒๗ น.๑๔๗)  ฤดูแล้ง ผมได้เขียนเพิ่มเติมตอนหนึ่งเกี่ยวกับขรัวตากัน ทองมี ไว้ในกระทู้นี้ครับ เมื่อพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นวัดแคเมืองสุพรรณ : บันทึกเพิ่มเติมที่หน้าประวัติศาสตร์ไม่ได้จารึกไว้ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/07/K4550674/K4550674.html NickyNick   - [ 20 ก.ค. 49 09:01:54 ] - รอบ ๒   ๑๗-๒๒ ต.ค.  ร.ศ.๑๒๗  (ดูที่ ล.๑๙,๒๕๒๗ น.๑๔๘)  น้ำท่วม เสียดายที่ยังหาหนังสือจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันครั้งแรกไม่เจอ ที่เราพบเห็นเรื่องราวสนุกสนานก็แต่จาก นิทานโบราณคดี และจาก บันทึกของนายทรงอานุภาพ ที่ตามเสด็จประพาสต้นครั้งนั้น ซึ่งก็คือสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพครับ .................. ...... สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  เสด็จไปเมืองสุพรรณครั้งแรก เสด็จขึ้นไปทางลำน้ำนครชัยศรี  ประพาสอำเภอสองพี่น้องก่อน  แล้วเสด็จขึ้นไปยังเมืองสุพรรณบุรี  ทอดพระเนตรสถานที่โบราณต่างๆ ทุกแห่ง  เมื่อเสด็จไปทำพิธีพลีกรรมที่ศาลเทพารักษ์หลักเมือง  ขยายบริเวณศาลนั้นให้กว้างขวางออกไปอีก  ประพาสเมืองสุพรณแล้วเสด็จกลับทางคลองจระเข้ใหญ่  มาออกบ้านผักไห่ตาลานในจังหวัดอยุธยา  แล้วเลยมาขึ้นรถไฟที่บางปะอินกลับกรุงเทพฯ เมื่อเสด็จกลับจากยุโรปครั้งหลังแล้ว  เสด็จไปประพาสเมืองสุพรรณบุรีอีกครั้งหนึ่ง  ครั้งนี้เสด็จขึ้นไปทางแม่น้ำเจ้าพระยาจนถึงเมืองชัยนาท  แล้วกลับล่องทางคลองมะขามเฒ่าเข้าปากน้ำเมืองสุพรรณข้างเหนือ  ประพาสอำเภอเดิมบางนางบวชลงมาจนถึงเมืองสุพรรณแล้วเสด็จไปขึ้นรถไฟที่สถานีงิ้วรายมากรุงเทพฯ .... (นิทานโบราณคดี  เรื่องห้ามไม่ให้เจ้าไปเมืองสุพรรณ) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:12:49 ]

ความคิดเห็นที่ 85 ครั้งนี้เป็นการเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๔๕๑ มีปรากฏในจดหมายเหตุพระราชกิจรายวัน ......... วัน ๓ แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอกสัมฤทธิศก  จุลศักราช ๑๒๗๐ วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๑๒๗ .... แล้วล่องลงมาถึงที่พลับพลาประทับแรมเมืองสุพรรณน่าบ้านเก่าของพระยาสุขุมเวลาบ่าย ๓ โมง   เวลาบ่าย ๔ โมงครึ่งทรงเรือพระที่นั่งแจวไปเข้าคลองตลาด  ทรงบวงสรวงที่ศาลหลักเมืองแล้ว  เสด็จกลับมาทางคลองวัดป่าเลไลย  ทรงนมัสการพระป่าเลไลยแล้ว  เสด็จกลับมาถึงพลับพลาประทับแรมเวลาย่ำค่ำเศษ เมืองสุพรรณบุรีนี้มีกำแพงเปน ๒ ฟากเหมือนพิษณุโลกยืนขึ้นไปจากฝั่งน้ำราว ๒๕ เส้น  คูกว้างประมาณ ๖ วานอกเชิงเทิน  แต่ยาวไม่สู้แน่ว่าราว ๓๗ เส้น  วังตั้งอยู่หลังวัดประตูสาร  เมืองเก่าก่อนนี้ขึ้นไปอยู่ตวันตกเฉียงใต้ในแม่น้ำเก่าห่างแม่น้ำนี้ประมาณ ๗๐๐ เส้น  มีโคกเนินดินอย่างเดียวกันกับพระปฐมเจดีย์  คลองไปวัดป่าเลไลยเปนลักษณะคลองหลอด วัดป่าเลไลย์เองเปนลักษณะภูเขาทองกรุงเก่าหรือภูเขาทองกรุงเทพฯ ซึ่งเอาอย่างกัน  เปนที่ประชุมไหว้พระในเดือน ๑๑ วัน ๔ แรม ๑๑ ค่ำ เดือน ๑๑ ปีวอกสัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๗๐ วันที่ ๒๑ ตุลาคม ๑๒๗ เวลาเช้าเสด็จทรงเรือศรีเทพไปเข้าคลองหว่างวัดมหาธาตุแลหลักเมืองไปทางหลังเมือง  หลังเมืองมีต้นตาลเปนอันมาก  เปนคันตลิ่งสูง ดงตาลแลสุดสายตา  เหมือนอย่างขึ้นจากฝั่งน้ำวงไปทั้ง ๒ ข้าง  ในระหว่างดงตาลนั้นเปนทุ่งนางามดี  พระป่าเลไลย์อยู่ที่ชายดงตาล ..... ประพาศที่สี่สระ .... (ตำนานลำน้ำเมืองสุพรรณ) .............. วังตั้งอยู่หลังวัดประตูสาร ตรงนี้พระองค์คงจะเข้าใจผิดพลาดไปครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ พระองค์เสด็จเมืองสุพรรณ และศาลเจ้าพ่อหลักเมืองด้วยครับ แต่ยังหารายละเอียดจากจดหมายเหตุพระราชกิจรายวันไม่เจอเช่นกัน ค้นได้จากหนังสือเล่มนี้ครับ สุพรรณบุรี ประวัติศาสตร์ ศิลปกรรม และวัฒนธรรมท้องถิ่น ๒๕๔๐ ..... คราวพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสเมืองสุพรรณบุรี  ก็ได้เสด็จทรงสังเวยศาลเทพารักษ์หลักเมือง  ในวันที่ ๒๔ กันยายน  พ.ศ.๒๔๖๖  ตามหลักฐานในจดหมายเหตุราชกิจรายวัน  ..... ใครมีข้อมูล ค้นหามาฝากบ้างนะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:26:15 ]

ความคิดเห็นที่ 87 และเมื่อคราวก่อสร้างซ่อมแซมช่วงสมัยหลวงวิจิตรวาทการ เป็นอธิบดีกรมศิลปากร สมเด็จทั้งสองพระองค์ก็ได้ทรงนิพนธ์โต้ตอบกันต่อ ดังนี้ .... พระพรหมพิจิตรเห็นจะถนัดเมรุมาก  มีเรื่องที่ควรจะเล่าถวายพ่วงไปด้วย  วันหนึ่งเจ้าพระยายมราชพูดกับเกล้ากระหม่อมว่า  เขาวานให้เป็นธุระช่วยจัดการสร้างศาลหลักเมืองที่สุพรรณบุรีใหม่  ท่านได้ว่าวานหลวงวิจิตรวาทการ  อธิบดีกรมศิลปากร  ไปตรวจและคิดแบบที่จะก่อสร้าง  เมื่อทำแบบแล้วจะนำมาหารือเกล้ากระหม่อมขอความเห็น  ต่อมาอีกนานวันหนึ่ง  เจ้าพระยายมราชมาหา  หอบแบบพาพระพรหมพิจิตรมาด้วย   ว่าจะได้เป็นผู้อธิบาย  เมื่อคลี่แบบออกดูก็เห็นเป็นเมรุหลังหนึ่ง  เกล้ากระหม่อมจึงสอบถามว่าสิ่งที่จะตั้งในนั้นเป็นอะไร  จะเป็นของดูได้สี่ด้านสมกับแบบศาลที่คิดทางขึ้นสี่ทิศนั้นแล้วหรือ  ศาลเก่าเป็นอย่างไร   มีสิ่งใดอยู่บ้าง  เทวรูปเล็กๆ มีหรือไม่  ถ้ามีจะเอาขึ้นไปตั้งไว้บนศาลใหม่  อันมีช่องคูหาใหญ่สี่ทิศ  ไม่มีบานปิดจะรักษาไม่ให้หายไปได้โดยง่ายแล้วหรือ  อนึ่งศาลซึ่งราวกับว่าเมรุนี้ตั้งอยู่อย่างไร  มีที่แคบกว้างเท่าไร  มีถนนหนทางติดต่อทางไหน  คำถามเหล่านี้  ไม่มีใครตอบได้สักอย่างเดียว  เกล้ากระหม่อมจึงว่า  ถ้าเช่นนั้นก็คือเขียนรูปเมรุมาให้เกล้ากระหม่อมตรวจว่างามหรือยัง  เกล้ากระหม่อมก็จะบอกได้ว่างามแล้ว (สาส์นสมเด็จ กรมนริศฯ ล.๑๑  วันที่ ๖ มี.ค. ๗๙) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:30:10 ]

ความคิดเห็นที่ 88 ........... เรื่องศาลเจ้าหลักเมืองสุพรรณบุรีก็ดีอีก  เทวรูปที่ตรัสเล่าประทานนั้นเข้าใจดี ...............................  ศาลเดิมตามตรัสเล่าว่า   ตั้งอยู่บนเนินอันมีเขื่อนล้อมนั้น  หลับตาเห็นว่าทางเป็นเข้าทีมาก   ควรทำให้เป็นไปตามเดิม  ถึงจะทำศาลใหม่ไปอย่างไรก็ควรให้คงตั้งอยู่บนเนิน  ใช้เนินเป็นประทักษิณ   ทำทางลงให้เป็นสง่าอ่าโถง   แล้วทำศาลาที่คนพักบูชาไว้ข้างล่าง   จะเป็นท่าทางที่เหมาะเจาะที่สุด   ไม่มีใครเลยที่ชี้แจงให้เข้าใจได้อย่างฝ่าบาท   เกล้ากระหม่อมเองก็ได้ตามพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงไปสุพรรณเหมือนกัน  ในฐานที่เป็นราชองครักษ์  แต่ไม่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนินไปเห็นศาลเจ้าหลักเมือง  เพราะถูกเกณฑ์เข้ากระบวนข้างในไปที่อื่นๆ เสีย   ได้ไปบุกอยู่แต่ที่วัดมหาธาตุมาก  เพื่อทำแผนที่ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  สำหรับทรงสอดในจดหมายพระราชกิจประจำวัน นึกเคืองที่น้ำท่วมเที่ยวไปไหนไม่ถนัด  พยาบาทไว้ว่าจะต้องไปหน้าแล้งโดยลำพังตัวอีกทีหนึ่ง   แล้วก็ได้ไปจริงๆ แต่เสียใจไม่ได้เห็นอะไร  เพราะในแม่น้ำก็น้ำน้อย  ไปในเรือก็ตลิ่งสูงบังทัศนวิสัยหมด  ขึ้นบกก็ร้อนหัวจะแตก  ซ้ำเผอิญอุปัฏฐากที่ไปด้วยก็เกิดไปเป็นตะมอยขึ้นปวดร้องรำคาญ   ต้องรีบกลับมาหาหมอ  เป็นเหลวทั้งเรื่อง   พระยาอ่างทองที่ตรัสถึง  ถ้าผิดชื่อเถียรก็เห็นจะเป็นเขียน   เป็นพ่อกลีบพี่เลี้ยงผู้หญิงของเกล้ากระหม่อมเอง ..... (กรมนริศฯ  ล.๑๑, ๒๕๐๔  ลว.๒๐ มี.ค. ๗๙  น.๔๑) .............................. การเสด็จประพาสต้น (+ แผนผังวัดพระศรีรัตนมหาธาตุของกรมนริศ ไม่เคยเผยแพร่ในเอกสารฉบับใดของสุพรรณมาก่อน - แต่ผมมีอยู่ใบหนึ่งครับ เลอะเลือนไปหน่อย เลยไม่กล้านำมาโชว์ขณะนี้) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 89 .... เรื่องสร้างศาลหลักเมืองสุพรรณบุรี  ทรงพระปรารภถึงเงินทุนก็ถูกเท่านั้น  ฝ่าพระบาทจะทรงชำนาญทางธุระการจึงตรัสเจาะจงลงไปถูก  ก่อนที่จะคิดก่อสร้างอย่างไรจำจะต้องรู้ทอนก่อน  ตามที่กราบทูลถวายความเห็นว่าควรจะก่อสร้างอย่างไรนั้น   เป็นการคิดประมูลกรมศิลปากรสร้างวิมานอากาศเล่นบ้างเท่านั้น...... (กรมนริศฯ  ล.๑๑, ๒๕๐๔  ลว. ๓ เม.ย. ๘๐  น.๗๘  (จากหัวหิน) ) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:32:39 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ...... เมื่อสี่ห้าวันมานี้  พระพรหมพิจิตรเอาแผนศาลหลักเมืองสุพรรณมาให้ดู  เป็นแผนที่ขึ้นไปถ่ายอย่างจากที่เป็นอยู่ในบัดนี้   เจ้าพระยายมราชเห็นจะสั่งให้ไปถ่ายมาให้ดูเพราะคำเกล้ากระหม่อมกล่าวว่าช่วยคิดไม่ได้  เพราะไม่ทราบว่าที่เป็นอยู่บัดนี้เป็นอย่างไร  เมื่อเห็นแผนที่นั้นเข้าก็ตกใจ   ด้วยไม่ได้คิดเลยว่าจะทำไว้ดีถึงเพียงนั้น   มีกำแพงล้อมเขตเป็นรูปสี่เหลี่ยมรี    ด้านสกัดหน้ามีประตูเข้าอย่างสง่า   สองมุมกำแพงด้านหน้ามีศาลาที่พักคนไปบูชา   ส่วนตัวศาลนั้นวางไว้ชิดไปทางดานสกัดหลัง   หน้าศาลมีศาลาที่บูชา  เห็นว่ามีพร้อมเพรียงสมควรแก่การอยู่หมดทุกอย่างแล้ว  ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องทำอะไรอีก  นอกจากซ่อมแซมที่ปรักหักพังให้กลับดีเสียเท่านั้น   แต่ความเห็นเช่นนั้นขัดกันกับความเห็นพระพรหมพิจิตร   แกอยากจะรื้อล้างลงเสียให้หมดแล้วทำใหม่   เพราะเดิมทำไว้เป็นแบบจีน   เว้นแต่ตัวศาลเท่านั้นที่ทำเป็นแบบไทย   แต่ก็ไม่งาม   ความเห็นเช่นนั้นจะติแกก็ไม่ได้เพราะแกเป็นแต่ช่างผู้ออกแบบให้ทำ  ย่อมมีแต่ความคิดที่จะทำให้ดีไว้ชื่อเสียง  แต่ความยากนั้นจะตกแก่ผู้ทำ  ถ้ามีเงินพอก็ทำได้  ถ้าไม่มีเงินพอก็ขัดข้อง  เกล้ากระหม่อมจึ่งช่วยคิดให้เจ้าพระยายมราชเป็นทางกลาง   ว่าถ้าจะทำก็ทำแปลงแต่ศาลาที่บูชาซึ่งทับอยู่หน้าศาล   รื้อหลังคาจีนลงเสีย  ทำแก้ใหม่ให้เป็นหลังคาไทยจะช่วยให้ได้ชุดกับศาลงามขึ้น  หรือจะต่อมุขหน้าศาลให้เชื่อมติดกับศาลาที่บูชาเสียทีเดียวก็ได้  ถ้าทำดั่งนั้นศาลาที่บูชาก็จะกลายเป็นส่วนหนึ่งของศาล   เป็นศาลตรีมุขขึ้น   ส่วนสิ่งอื่นก็ทำแต่เพียงซ่อมแซมเท่านั้น   คงเป็นแบบจีนอยู่ไม่เห็นเป็นไร   จะพาลเอาว่ารักษาประวัติก็ได้  จะเป็นการใกล้แก่ที่จะทำได้เพราะหาเงินได้พอ ....... ....... ในโอกาสที่พระพรหมพิจิตร  เขาเอาแผนศาลหลักเมืองสุพรรณมาให้ดู   จึงถามเขาถึงการซ่อมแซมมณฑปพระพุทธบาทตามที่ได้ถวายรูปมาทองพระเนตรเมื่อคราวเมล์ก่อนนี้  เขาว่าหลังคานั้นทำด้วยคอนกรีตหมดทีเดียว  เพราะไม้เก่าถูกฝนรั่วผุ ......... (กรมนริศฯ  ล.๑๑, ๒๕๐๔   ลว.๑๘ ก.ย. ๘๐) จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:33:51 ]

ความคิดเห็นที่ 91 กรมดำรงฯ  ล.๑๑, ๒๕๐๔ ลว.๒๓ ก.ย. ๘๐ ..... เรื่องซ่อมศาลหลักเมืองสุพรรณนั้น  หม่อมฉันเห็นชอบด้วยดังทรงพระดำริ.... กรมนริศฯ  ล.๑๙, ๒๕๒๗ พิมพ์ครั้งที่ ๒  ลว.๑ ต.ค. ๘๓ (พูดซ้ำกับเรื่องเก่า) เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว  เสด็จไปเมืองสุพรรณครั้งแรก  เกล้ากระหม่อมไม่ได้ตามเสด็จพระราชดำเนิน  เป็นแต่ขึ้นไปรับเสด็จกับรถไฟที่บางปะอินคราวนั้นอยู่ข้างจะลำบาก  ด้วยเสด็จจะกลับถึงเวลาไรก็ไม่มีกำหนดแน่.......... เมื่อเสด็จพระราชดำเนินไปครั้งหลังนั้นได้ตามเสด็จพระราชดำเนิน  แต่ได้ไปเที่ยวดูอะไรต่ออะไรน้อยแห่ง  ด้วยเป็นหน้าน้ำน้ำท่วม  ไปเที่ยวดูได้แต่ที่ดอน  เห็นมีสิ่งเก่าๆ ต้องใจอยู่มาก  จึงได้หมายมั่นปั้นมือไว้ว่าหน้าแล้งจะไปเที่ยวดูอะไรอีก  ทีหลังก็ได้ไปจริงๆ ในหน้าแล้ว  แต่ไม่ไหวร้อนเต็มที  ไปเที่ยวไหนไม่รอด  แม้จะดูในเรือก็ไม่เห็นอะไรได้  ด้วยตลิ่งสูงบังตาเสีย  เพราะน้ำมีน้อยมีติดอยู่แต่ก้นแม่น้ำ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 92 สวัสดีค่ะ คุณ NickyNick อ่า...เช้านี้มาต่อให้ได้อ่านกันอีกยาวเลยค่ะ... แวะมาดู และมาลงชื่อไว้ก่อนค่ะ.... เดี๊ยวไว้เย็นๆๆ จะเข้ามาอ่านต่อค่ะ... จากคุณ : naragorn (naragorn) - [ 30 ส.ค. 50 10:37:35 ]

ความคิดเห็นที่ 93 การซ่อมแซมช่วงปี ๒๔๗๙-๒๔๘๐ นั้น ตรงกับช่วงที่เกิดละครเพลงเลือดสุพรรณ ที่ผมเขียนไว้ในกระทู้นี้ครับ ละครเลือดสุพรรณ มีกำเนิดที่บ้านยะมะรัชโชเมืองสุพรรณบุรี http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/08/K5726633/K5726633.html NickyNick   - [ 18 ส.ค. 50 11:36:11 ] ขอยกเรื่องราวมาแปะไว้ในนี้ซ้ำอีกครั้ง เพื่อจะได้อ่านกันสะดวกขึ้น หนังสือ “วิจิตรวรรณคดี เลือดสุพรรณ หลวงวิจิตรวาทการ ๑๐๔ ปี” คราวสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ ทรงพระกรุณา เสด็จทอดพระเนตรละครเรื่อง “เลือดสุพรรณ” ของหลวงวิจิตรวาทการ จัดแสดงโดยจังหวัดสุพรรณบุรีและกรมศิลปากร ณ โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จังหวัดสุพรรณบุรี ในวันเสาร์ที่ ๒๑ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๔๕ คำชี้แจงของ ท่านผู้แต่งละคร “เลือดสุพรรณ”  โดย วิจิตรา (วิจิตรวาทการ) รังสิยานนท์ กล่าวตอนหนึ่งว่า “เมื่อเดือนกรกฎาคมที่แล้วมา (พ.ศ.๒๔๗๙)  ข้าพเจ้าได้รับบัญชาของท่านเจ้าพระยายมราชให้ขึ้นไปจังหวัดสุพรรณ  เพื่อทำธุระเกี่ยวกับศาลหลักเมืองแห่งจังหวัดนั้น ข้าหลวงและธรรมการจังหวัดสุพรรณได้พาข้าพเจ้าไปดูที่ต่างๆ จนถึงคูเมือง พอได้เห็นเมือง ภาพแห่งการสงครามรุกราน ก็ปรากฏขึ้นแก่ดวงจิต  พม่าเคยมายึดสุพรรณก่อนตีกรุงศรีอยุธยา  ที่เหล่านี้ตลอดลงมาถึงฝั่งลำน้ำสุพรรณ  คงจะได้เคยเป็นที่พักของกองทัพพม่า  ชาวสุพรรณคงจะได้ถูกพม่ากะเกณฑ์ให้ทำงานหนัก  ตักน้ำตำข้าว  และคงถูกกดขี่ข่มเหงอย่างระทมทุกข์มาแล้ว  ข้าพเจ้าได้ตรองต่อไปถึงสภาพการณ์ในครั้งนั้นว่า  ตามความเข้าใจของพวกเรา  พม่าเป็นคนโหดร้ายและข่มเหงคนไทยมาก  แต่ความจริงคนดีของเขาก็คงมีเหมือนกัน  การที่จะสอนให้ไทยเราเกลียดชังพยาบาทพม่าเพื่อนบ้านต่อไปนั้นเป็นการพ้นสมัย  เราควรหันเข้าหาทางผูกไมตรีกัน  ถึงแม้พม่ากับไทยจะเคยเป็นศัตรูกันมาสักเพียงไร  ก็ยังมีทางที่จะรักใคร่กลับเป็นมิตรกันได้  การที่เราแพ้เขา ก็เพราะเราอ่อนกำลังกว่าเขา  สิ่งที่ควรจำไว้เป็นบทเรียนนั้น  อยู่ที่การขวนขวายเพิ่มพูนกำลังของเรา  ไม่ใช่ไปมัวพยาบาทโกรธแค้นผู้ชนะ  การที่เขาชนะเรา  ก็เพราะเขามีดีอะไรอยู่มากๆ  เรื่องของพม่าที่เราทราบมาแล้ว  นอกจากความกล้าหาญและฝีมือในการรบ  เขายังมีความเคร่างครัดยุติธรรมเด็ดขาดอยู่ในหมู่ของเขาเป็นอย่างยิ่งด้วย ความคิดเหล่านี้ได้กลายเป็นเรื่องละครขึ้น  ขณะอยู่ในเรือระหว่างเดินทางกลับ  ได้ใช้ดินสอขีดเขียนบนกระดาษแผ่นเล็กๆ เฉพาะคำกลอนที่จะใช้เป็นบทร้อง  เมื่อถึงกรุงเทพฯ จึงได้แต่งเป็นเรื่องละครขึ้น แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 50 14:13:28 จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:41:00 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ขอบคุณครับคุณ naragorn คงจะเห็นพระอัจฉริยภาพของสมเด็จทั้งสองพระองค์กันแล้วครับ โดยเฉพาะคุณูปการที่เกี่ยวกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีที่ยกมาอ้างข้างต้น ตอนต่อไป จะนำเรื่องราวร่วมสมัย หรือสมัยปัจจุบันมาเสนอให้ทราบ ในหัวข้อ การบูรณะปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีในสมัยปัจจุบัน ตอนบ่ายๆ ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 10:45:17 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ท่าจะยาว ต้องตั้งหน้าตั้งตาอ่านหน่อยแล้ววซิ เดี๋ยวมาอ่านใหม่นะพี่ จากคุณ : janeko - [ 30 ส.ค. 50 10:46:22 ]

ความคิดเห็นที่ 96 สวัสดีครับคุณ janeko ช่วงบ่ายจะต่อกันด้วยเรื่องที่บอกค้างไว้ตั้งแต่เช้าครับ การบูรณะปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีในสมัยปัจจุบัน จากข้อมูลเท่าที่รวบรวมมา ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรี ณ ตำแหน่งปัจจุบัน มีมาตั้งแต่ก่อน พ.ศ.๒๓๘๔ ครั้งหมื่นหมื่นพรหมสมพัตสร (เสมียนมี มีระเสน) มาเก็บภาษียังเมืองสุพรรณ และแต่งนิราศสุพรรณขึ้น ดัง คห.๖๑ และพอจะรวบรวมการบูรณะซ่อมแซมศาลเจ้าพ่อหลักเมืองครั้งใหญ่  ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นดังนี้ ๑. เมื่อสมเด็จกรมพระยาดำรงเสด็จตรวจราชการเมืองสุพรรณ ร.ศ.๑๑๑ (พ.ศ.๒๔๓๕) ดัง คห.๔๒, ๗๙, ๘๐, ๘๑  และเสร็จเรียบร้อยในปี ร.ศ.๑๑๕ (พ.ศ.๒๔๓๙) ดัง คห.๘๒ ๒. เมื่อสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณครั้งแรก ร.ศ.๑๒๓ (พ.ศ.๒๔๔๗) ดัง คห.๘๐, ๘๔ ๓. สมัยหลวงวิจิตรวาทการเป็นอธิบดีกรมศิลปากร บูรณะใหญ่ช่วงปี พ.ศ.๒๔๘๐ ๔. ช่วงปี พ.ศ.๒๔๙๗ ๕. ช่วงปี พ.ศ.๒๕๐๗  บูรณะใหญ่ ๖. ช่วงนายจรินทร์  กาญจโนมัย  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี (๑ ต.ค. ๒๓ – ๑๑ ก.ย. ๒๗) ที่เด่นๆ มีการสร้าง หลักเมืองใหญ่ที่สุดในโลก เป็นรูปเหล็กขูดชาร์ป ๗. ช่วงปี พ.ศ.๒๕๓๕ เป็นต้นมาที่มีการบูรณะปรับปรุงอย่างขนานใหญ่ มีการสร้างเก๋งจีนครอบศาลาทรงไทย และต่อเนื่องมาเรื่อยๆ จนถึงปัจจุบันที่มีการเปลี่ยนหลักเมืองเหล็กขูดชาร์ป แล้ว mold เป็นรูปแท่งจีนมีมังกรพันเสาอย่างที่เห็นกันขณะนี้ ยุคสมัยการก่อสร้างปรับปรุง ผมอาจมีข้อมูลผิดเพี้ยนไปได้บ้าง หากท่านใดมีข้อมูลที่แน่นกว่าแล้วมาอธิบายเพิ่มเติม ให้ถือว่าท่านถูกต้องกว่านะครับ ซึ่งผมได้รวบรวมหลักฐานข้อมูลที่คัดลอกมา ว่ามีประวัติการซ่อมแซมอย่างไรบ้าง จากหนังสือต่างๆ ครับ ............. รูปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองที่ถ่ายแต่เก่าก่อน นำมาจากหนังสือต่างๆ ที่อ้างอิงไว้ข้างต้นครับ ชุดแรกๆ นี้เป็นรูปที่ถ่ายหลังการบูรณะสมัยปี พ.ศ.๒๕๐๗ ผู้ว่าพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์  ครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 97 มีรายละเอียดในหนังสือต่างๆ จะย่อมาแต่พอสมควรครับ เพราะจะได้รู้ว่านำมาจากเล่มใดบ้าง เพื่อประโยชน์ในการค้นคว้าต่อเนื่อง แผนแม่บท โครงการบูรณะและอนุรักษ์เมืองประวัติศาสตร์สุพรรณบุรี  โดยสำนักงานโบราณคดีและพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติที่ ๒ สุพรรณบุรี  ๒๕๓๙ น.๗  ปี ๒๔๗๘  กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถานในเขตเมืองสุพรรณจำนวน ๑๒ แห่ง ได้แก่ คูเมือง กำแพงเมืองสุพรรณบุรี วัดหอยโข่ง  ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  วัดผึ้ง  วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ  วัดช่องลม  วัดพระรูป  วัดหลวง  วัดจำปา  วัดเจดีย์ยอดเหล็ก ปี ๒๔๙๗  บูรณะศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  อ.เมืองฯ   ปี ๒๔๙๗ ตรงกับสมัยพันตำรวจเอกจำรัส โรจนจันทร์ (๒๘ ม.ค. ๒๔๙๖ – ๑๔ ม.ค. ๒๔๙๗) หรือ นายพินิต โพธิพัฒน์ (๑๔ ม.ค. ๙๗ – ๗ ส.ค. ๒๕๐๐) เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี “พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติสุพรรณบุรี”  ๒๕๔๖ น.๑๗  ปี ๒๔๘๐  เจ้าพระยายมราชมอบหมายให้พระพรหมพิจิตร  ทำแผนผังสร้างเป็นกำแพงล้อมรอบ  มีประตูเข้าด้านหน้า  และสร้างศาลที่พัก  สมเด็จกรมนริศฯ ทรงช่วยวินิจฉัยแบบ น.๑๗ “... ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองได้รับการบูรณะอีกครั้งในปี ๒๕๐๗” จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ประวัติหลวงพ่อโตวัดจำปา  อ.เมือง จ.สุพรรณบุรี   นายมนัส โอภากุล น.๕  นายพัฒน์  บุณยรัตพันธุ์  บูรณะตัวศาลเจ้าพ่อให้เป็นแบบทรงไทย นายจรินทร์  กาญจโนมัย  บูรณะปฏิสังขรณ์เพิ่มเติม มาจนถึงสมัยนายบรรหาร ศิลปอาชา  อดีตนายกรัฐมนตรี  ปฏิรูปตัวศาลเจ้าพ่อใหม่หมด  พร้อมซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น ปัจจุบันนายบรรหาร  เป็นประธานกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ..(สมัยนั้นนะครับ) สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมสุพรรณบุรี เล่ม ๒   ๒๕๓๑ น.๘  ... ต่อมานายพัฒน์ บุณยรัตพันธุ์  ผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี (๗ ส.ค. ๒๕๐๐ – ๑๓ ม.ค. ๒๕๐๙ - NickyNick)  ปรับปรุงอาคารใหม่เป็นแบบทรงไทย มาถึงนายจรินทร์  กาญจโนมัย  เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี (๑ ต.ค. ๒๓ – ๑๑ ก.ย. ๒๗ – NickyNick)  ปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น  พร้อมทั้งก่อสร้างถนนราดยางอัสฟัลท์และเสาคอนกรีตเสริมเหล็กสามเหลี่ยมสูงประมาณ ๓๐ เมตร ตรงปากทางเข้า  ขณะนี้คณะกรรมการศาลเจ้าพ่อหลักเมือง  ซึ่งมีนาย .... จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 99 “สิ่งแวดล้อมศิลปกรรมสุพรรณบุรี เล่ม ๒”  ๒๕๓๒ น.๘  นายจรินทร์ กาญจโนมัย  ปรับปรุงใหม่ให้ดีขึ้น  พร้อมทั้งสร้างถนนราดยางแอสฟัลต์  และเสาคอนกรีตเสริมเหล็กสามเหลี่ยม  สูงประมาณ ๓๐ เมตร  ตรงปากทางเข้า  จากแยกถนนมาลัยสู่ถนนไร่ฝ้าย ซึ่งท่านต้องการให้เป็นเสาหลักเมืองสุพรรณบุรีนั่นแหละครับ  แต่ตอนหลังเป็นไม่ได้  เลยเปลี่ยนมาเป็นมังกรพันเสาแทนครับ .......... เป็นเสาหลักเมืองแต่ครั้งสมัยผู้ว่าจรินทร์ ผมไม่มีภาพถ่ายใกล้ๆ ไว้เลย จึงก็อปภาพที่ถ่ายเห็นเสาหลักเมืองรุ่นเหล็กขูดชาร์ปแต่ไกล ภาพนี้ถ่ายที่ถนนมาลัยแมนตัดกับประตูเมืองสุพรรณที่สร้างสมัยผู้ว่าท่านนี้ด้วยครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:16:35 ]

ความคิดเห็นที่ 100 รายงานกิจการเทศบาลเมืองสุพรรณบุรี พ.ศ.๒๕๓๔-๒๕๓๘ - สร้างถนนคอนกรีตเสริมเหล็กพร้อมทางเท้า ถ.ไร่ฝ้าย และกำแพงดิน ปีงบ ๓๗ - รูป เก๋งจีน ครอบศาลา ถ่ายปี ๓๗ ก็มีแล้ว - Mold เหล็กขูดชาร์ป เป็นแท่งจีน ปี ๓๘-๓๙ ที่มีมังกรบ้วนน้ำลายพันเสาตามที่ลูกสาวผมบอกนั่นแหละครับ ................ ภาพนี้เป็นมุมเดียวกัน แต่ mold เป็นเสาจีนกับมังกรพันรอบเสาเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นมาก็ไม่เคยมีใครพูดว่าตรงนี้เป็น เสาหลักเมืองสุพรรณบุรี อีกเลย จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:18:22 ]

ความคิดเห็นที่ 101 หนังสือสมาคมชาวสุพรรณ – เชิดชูเกียรติคนดีเด่นเมืองสุพรรณ เสาร์ ๒๙ ธันวาคม ๒๕๔๓) และ หนังสือรายงานกิจการ พ.ศ.๒๕๓๙-๒๕๔๒ เทศบาลเมืองสุพรรณบุรี ผู้ว่าจรินทร์ กาญจโนมัย เสียชีวิตเมื่อ ๑๐ ก.ย. ๓๗ ผลงานพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว - คูเมือง - โครงการสร้างประตูเมืองสุพรรณ , ปรับปรุงคูเมือง - คุ้มขุนแผน มะขามขุนแผน - เรือนขุนช้าง - บึงไผ่แขก - บึงฉวาก - ปรับปรุงอนุสรณ์ดอนเจดีย์ - ปลุกระดมงานดอนเจดีย์ ๒๔-๓๑ ม.ค. บรรจุไว้ในรายการน่าชมของ ททท. - ขยายถนนมาลัยแมนเป็น ๔ ช่อง - ราดยางถนนวัดพระธาตุ-โพธิ์พระยา - โครงการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมือง – ศาลตายาย – วัดสนามไชย - สร้างสะพานวัดพระรูป จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:19:30 ]

ความคิดเห็นที่ 102 “ผู้ว่าฯ ของคนสุพรรณ” อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ นายประเสริฐ เปลี่ยนรังษี ๒๕๔๑   น.๖๙ สรุปแผนงาน/โครงการที่สำคัญของจังหวัดสุพรรณบุรี ประจำปี ๒๕๔๐-๒๕๔๑ ๑...... ๖...... ๗. โครงการสร้างสวนหลักเมืองและมังกรยักษ์ใหญ่ที่สุดในโลก จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:21:08 ]

ความคิดเห็นที่ 103 และมีเหตุการณ์หนึ่งที่น่ามานำเสนอให้ทุกท่านได้ทราบถึงการบูรณะปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณบุรีอย่างมโหฬารตราบจนถึงปัจจุบัน และอย่างไม่มีทางเสร็จสิ้นง่ายๆ ดั่งคำของ คุณหมาป่าดำ ใน คห.๗๗ ครับ หนังสือ ๖๐ ปี บรรหาร ศิลปอาชา ๒๕๓๕ น.๒๓ ......เมื่อหนุ่มบรรหารมาขอแม่ว่าจะไปอยู่กรุงเทพฯ นั้น เขาอายุได้ ๑๗ ปีแล้ว..... .....เขาต้องการพลังใจที่จะไปต่อสู้กับความไม่แน่นอนนั้น หนุ่มบรรหารนึกถึงสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุพรรณฯ ซึ่งเขาและครอบครัวเคารพนับถือมาตั้งแต่ไหนแต่ไร  เขาจึงได้ไปศาลเจ้าพ่อหลักเมืองในเช้าตรู่วันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๙๒ ก้มลงกราบพลางตั้งสัตย์อธิษฐานว่า “หากข้าพเจ้าไปอยู่กรุงเทพฯ ได้ทำงานมีความเจริญรุ่งเรือง มีฐานะดี จะกลับมาสร้างศาลเจ้าถวายเจ้าพ่อให้ใหญ่โต  และสวยสง่ามีราศี และจะไม่ลืมท้องถิ่นบ้านเกิดเป็นอันขาด....... .............. จากภาพข้างล่างนี้ จะเริ่มเห็นการก่อสร้างอาคารแบบจีนครอบศาลาไทยแล้วครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:24:18 ]

ความคิดเห็นที่ 104 น.๔๔  คนดีศรีสุพรรณ โดย พัฒน์ บุณยรัตพันธุ์ เขียนให้คุณบรรหาร ศิลปอาชา จากหนังสือเล่มเดียวกันกับข้างบน ....ผมไปรับราชการเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี ในปี พ.ศ.๒๕๐๐ ถึง พ.ศ.๒๕๐๙ ได้รู้จักกับคุณบรรหารแต่เพียงผิวเผิน เพราะขณะนั้นท่านเข้าไปทำงานของท่านอยู่ทางกรุงเทพฯ แล้ว ในปี พ.ศ.๒๕๐๗ เมื่อผมทำการปราบปรามโจรผู้ร้ายและการพนันในจังหวัดสุพรรณบุรีราบคาบแล้ว ผมก็พัฒนาบ้านเมือง ตามคติธรรมของนักปกครองผู้ “สร้างเมือง” ไม่ใช่ “กินเมือง” หลังจากผมทำถนน ทำโรงเรียน ทำตลาด ทำวัด ฯลฯ แล้ว ผมก็คิดซ่อมศาลเจ้าพ่อหลักเมืองซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองสุพรรณบุรี  ที่ขณะนั้นทรุดโทรมมาก ผมขอร้องให้เถ้าแก่ติ๊กเซียะ เป็นโต้โผใหญ่ฝ่ายจีน  ผมเป็นโต้โผใหญ่ฝ่ายไทย ทำการบูรณะศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณเป็นการใหญ่ โดยรื้อทำใหม่หมด เว้นแต่ผนังที่ตัวเจ้าตั้งพิงอยู่เท่านั้น ไม่รื้อลงมา  เกรงจะสะเทือนถึงองค์เจ้าซึ่งเราถือว่าเป็นบาป ศาลแห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นแทนองค์เดิม ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๓๕ ซึ่งเป็นปีที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ องค์ปฐมเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย เป็นเจ้าฟ้าพระองค์แรกที่เสด็จเมืองสุพรรณบุรี  เพราะเมืองสุพรรณบุรีนี้ มีคติประจำเมืองว่า ห้ามเจ้าเสด็จมาสู่เมืองนี้ ด้วยเจ้าบ้านผีเมืองไม่ชอบ แต่สมเด็จฯ ท่านไม่ถือ  ด้วยท่านว่าท่านมาเมืองนี้ เพื่อช่วยบ้านช่วยเมือง ทำนุบำรุงให้ประชาชนพลเมืองมีความผาสุก  เจ้าประจำเมืองต้องชอบท่าน แล้วโปรดให้สร้างศาลหลักเมืองขึ้น  ให้เป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีระหว่างไทย-จีน โดยตัวศาลสร้างเป็นแบบศาลาไทย มีช่อฟ้าหน้าบัน  ส่วนอาคารรอบศาล และประตูศาล สร้างเป็นแบบเก๋งจีน  มีหงส์มังกร ตามคติแบบจีน (ขอให้ดูประวัติพระอวโลกิเตศวรหรือพระกวนอิมพู่สัก ซึ่งผมบันทึกย่อ ส่งให้คุณไพโรจน์ คงมาลัย นำไปพิมพ์ติดไว้ประจำศาลแล้ว) ในการบูรณะใหญ่ศาลเจ้าพ่อหลักเมืองคราวนี้  ผมบอกบุญชาวสุพรรณทั่วไปหมด คุณบรรหาร ศิลปอาชา ทราบข่าวก็มาร่วมทำบุญกับผมด้วย  โดยบริจาคเงินจำนวนถึง ๘๐,๐๐๐ บาท ผมให้เถ้าแก่ติ๊กเซียะจารึกชื่อท่านไว้ที่เสาศาลเจ้าพ่อ ภายหลังผมสนิทกับคุณบรรหารแล้ว  ท่านเล่าความหลังให้ฟังว่า  ขณะท่านบริจาคเงินถึงแปดหมื่นบาทนั้น  ท่านมีเงินทั้งเนื้อทั้งตัวอยู่เพียง ๑๕๐,๐๐๐ บาทเท่านั้น คุณหญิงของท่านขณะนั้นท้วงท่านว่า  บริจาคเงินไปมากมายเช่นนั้น  แล้วเราจะเอาเงินที่ไหนทำทุนต่อไป  ท่านเล่าว่า ท่านชี้แจงให้คุณหญิงทราบว่า  เมื่อท่านจะจากเมืองสุพรรณไปทำมาหากินตั้งเนื้อตั้งตัวที่กรุงเทพฯ นั้น ท่านมีเงินติดตัวเพียง ๕ บาทเท่านั้น  ท่านไปกราบลาเจ้าพ่อหลักเมือง และบนว่า ถ้าตั้งเนื้อตั้งตัวได้ จะกลับมาแทนคุณทำนุบำรุงเจ้าพ่อ ดังนั้นในโอกาสที่ฝ่ายบ้านเมืองกับชาวสุพรรณร่วมมือร่วมใจกันทำการบูรณะศาลเป็นการใหญ่คราวนี้ จึงขอบริจาคอย่างสูงสุดของกำลังความสามารถ  เป็นการกตัญญูต่อเจ้าพ่อหลักเมือง และรักษา “สัจจะ” ของลูกผู้ชายชาวสุพรรณ ผมจึงนับถือคุณบรรหารมาแต่คราวนั้นจนทุกวันนี้ ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งผมประทับใจมาก  เรื่อง “บาตรสังคโลก” ของวัดสุวรรณภูมิ  เรื่องเดิมมีว่า  ........ ............... ภาพข้างล่างนี้ กำลังสร้างเสาสูง เรียกอะไรผมก็ไม่ทราบครับ แก้ไขเมื่อ 30 ส.ค. 50 15:37:37 จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:26:06 ]

ความคิดเห็นที่ 105 (น.๔๕) ตอนนั้นท่านบรรหารได้ร่วมมือกับเถ้าแก่ติ๊กเซียะ แซ่ตั้ง  คณะกรรมการสมาคมจีนตงฮั้วฮ้วยก้วง และท่านผู้ว่าฯ พัฒน์ ในการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหลักเมืองให้ดีขึ้น จากนั้นท่านก็มาริเริ่มสร้างอาคารหลังใหญ่จนเสร็จเรียบร้อยอย่างที่เห็นนี่ มีอีกส่วนกำลังก่อสร้างอยู่ข้างหน้า ขณะนี้ท่านเป็นประธานศาลเจ้าพ่อ  มีมูลนิธิ และสมาคมหลายแห่งร่วมในคณะกรรมการ ในช่วงบูรณะศาลเจ้า ท่านจะมาดูแลการก่อสร้างอยู่บ่อยๆ และบริจาคเงินขั้นต้นให้ ๑๐๐,๐๐๐ บาท และได้รับศรัทธาจากประชาชนร่วมบริจาคเป็นจำนวนมากเช่นกัน เพราะองค์เจ้าพ่อเป็นที่เคารพนับถือของคนทั่วไปมาก  ไม่เฉพาะแต่คนสุพรรณเท่านั้น การบูรณะศาลเจ้า ประมาณว่าจะเสร็จในอีก ๒ ปีข้างหน้า และท่านบรรหารยังมีโครงการจะทำเขื่อนข้างๆ ศาลเจ้าให้มีลวดลายด้วย ท่านบอกว่าถ้ามีโอกาสจะสร้างสวนสาธารณะสวยๆ ที่หน้าศาลเจ้าอีก ท่านเป็นคนรักต้นไม้  ที่ที่ท่านสร้างส่วนใหญ่มักจะมีสวนหย่อมอยู่ด้วย ท่านเคยอธิษฐานว่าถ้าร่ำรวยจะกลับมาพัฒนาศาลเจ้าพ่อ  ท่านก็มาจริงๆ ปัจจุบันก็สร้างให้ใหญ่โตมโหฬาร โอ่อ่ามีสง่าราศี กับทางสมาคมฯ ท่านก็มาช่วยอยู่มาก  เพราะคุณพ่อของท่านเป็นผู้ร่วมก่อตั้งขึ้นมาเมื่อ ๔๐ กว่าปีก่อน (คุณเกษม รัตนเศรษฐ) นายกสมาคมจีนตงฮั้วฮ้วยก้วง .................. และความดีของคุณบรรหาร ศิลปอาชาในสมัยใกล้เคียงกันนั้น ตั้งแต่ยังโนเนมระดับประเทศ ก็ได้สร้างผลงานเหมือนผู้ปิดทองหลังพระเช่นกันไว้กับบาตรสังคโลกเมืองสุพรรณ ดังกระทู้นี้ครับ เมื่อบาตรพระสังคโลกกลับคืนสู่บ้านเกิด : ใบเดียวที่นี่ ที่เมืองสุพรรณ http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2007/08/K5744537/K5744537.html NickyNick   - [ 23 ส.ค. 50 14:38:04 ] แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 09:25:40 จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:30:15 ]

ความคิดเห็นที่ 106 จบแต่เพียงเท่านี้ ขอบคุณที่ติดตามอ่านครับ จากคุณ : NickyNick - [ 30 ส.ค. 50 15:54:40 ]

ความคิดเห็นที่ 107 สวัสดีค่ะ พี่นิค...(น่าน...เอาอีกแว๊ววว เรียกซะสนิทเชียววว  อีกแว๊วว อิอิ) อ่า...จบ  แว๊ววว เหรอค่ะ.. เพิ่งเสร็จค่ะ....นู๋ ต้องไล่อ่านตั้งแต่  คห. ๕๙  อิอิ เยอะจริงๆๆๆๆ.... ขอบคุณนะค่ะ...จะไล่อ่านให้จนหมดเชียว กดไปอีกหนึ่งจิ๊ก แหะๆๆๆ... จากคุณ : naragorn - [ 30 ส.ค. 50 16:13:08 ]

ความคิดเห็นที่ 108 เพิ่งเรียนเสร็จอะค่ะ...มาดูอีกที  โพสยาวเลย... ขอบคุณค่ะ จากคุณ : naragorn - [ 30 ส.ค. 50 16:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 109 โอย... ตาแฉะไปเรียบร้อยแล้วครับ จากคุณ : นอกราชการ - [ 30 ส.ค. 50 21:02:33 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ชอบรูปเก่าๆ ใน คคห ๙๖ และ ๙๗ มาก ดูแล้วเกิดศรัทธา น้อมนำจิตใจไปในทางสงบ ดีใจที่คุณ NickyNick ตั้งใจนำมาฝาก จากคุณ : แสนอักษร - [ 31 ส.ค. 50 06:37:00 ]

ความคิดเห็นที่ 111 ขอบคุณครับพี่ ตามอ่านแต่เมื่อวานแล้วครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 31 ส.ค. 50 08:29:54 ]

ความคิดเห็นที่ 112 อ่านจนตาลายค่ะ พี่นิคฯ แต่ไม่ใช่แก่แล้วอ่านไม่ทันนะคะ อ่านจบแล้วเลยต้องขอแซวสักหน่อยค่ะ ก็แหม...กระทู้พี่นิค ได้ Century Break เพื่อนๆ ท่านอื่นๆ อ่านแล้วช่วยกดเก็บเข้าคลังกระทู้ด้วยนะคะ จากคุณ : little kitty - [ 31 ส.ค. 50 10:54:10 ]

ความคิดเห็นที่ 113 พี่นิค ๆๆๆๆๆๆๆ กว่าจะอ่านจบนี่สามชั่วโมงกว่าแน่ะ  โอ้...หูตาลายไปหมดแล้ว สนุกและได้ความรู้เรื่องเมืองสุพรรณฯ จังหวัดผู้ให้กำเนิดหนูมากขึ้นเยอะมาก ๆๆ  กระทู้ดี ๆ อย่างงี้ต้องใช้เวลาอ่านเพื่อซึมซับเรื่องราวต่าง ๆ อ่านจบแล้วคุ้มค่าเหลือประมาณค่ะ จากคุณ : biebie999 - [ 1 ก.ย. 50 13:53:36 ]

ความคิดเห็นที่ 114 สวัสดีครับทุกท่าน น้องคิตตี้บอกว่ามี Century Break แต่ไม่มีใครแย่งกันเลยครับ ผมเหมาคนเดียวหมด อิอิ พี่แสนอักษรชอบรูปเก่าๆ โดยเฉพาะ ๒ รูปนั้น ดูแล้วเป็นภาพมุมไกลๆ ที่ชอบเป็นพิเศษ ส่วนภาพมุมใกล้ๆ ไม่ค่อยติดใจนัก  ได้ความคิดอีกอย่างหนึ่งแล้ว ต่อไปผมจะได้ถ่ายภาพมุมไกลๆ ไว้ให้มากขึ้น เพราะพอเก่าหน่อยก็จะดูมีคลาส ใช่ไหมครับ ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามรับชมกันอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย อ้อ น้องบี biebie999 เข้ามาพอดี ในคห.๖๘ ได้อ้างอิงชื่อน้องไว้ ถ้าผ่านไปทางนั้นเมื่อไร ฝากถ่ายรูปเจ้าพ่อพระยาจักร และเจ้าพ่อจักรนารายณ์ที่อำเภออู่ทองมาฝากกันบ้าง หลายๆ มุมหน่อย นานเท่าไรก็จะรอจ้ะ จากคุณ : NickyNick - [ 1 ก.ย. 50 15:25:46 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ขออ่านนานๆก่อนค่ะ จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 1 ก.ย. 50 17:43:06 ]

ความคิดเห็นที่ 116 ขอบคุณครับคุณ tiki_ทิกิ ยังไงมีคำถามก็เขียนฝากไว้ได้ ทุกท่านด้วยครับ อีก ๓ วัน วันอังคารจะมาอ่านอีกครั้งครับ พรุ่งนี้จะพาลูกๆ ไปเที่ยวเกาะ เมื่อ ๒ อาทิตย์ก่อนก็กะจะไป แต่กรมอุตุบอกว่าดีเปรสชั่นเข้า เราเลยไม่กล้าเสี่ยง ปลอดภัยไว้ก่อน แต่วันนั้นแดดก็จ้าทั้งวันเลย ถ้าไม่มีฝนฟ้าครึ้มแต่เช้า ก็จะไปนั่งเรือเที่ยวครับ ไปกลับรวม ๒ ชั่วโมง ถ้าไม่ร้อน จะเดินเที่ยวชมเกาะนานหน่อย เร็วหรือช้ากำหนดเองไม่ได้ แล้วแต่เจ้านายเขาจะบ่นครับ จากคุณ : NickyNick - [ 1 ก.ย. 50 18:06:14 ]

ความคิดเห็นที่ 117 ดีใจจังได้ขึ้นกระทู้แนะนำแล้ว   อ๋อ...ได้ ๆๆๆ ถ้าหนูมีโอกาสไปจะถ่ายรูปมาฝากนะคะ  แต่จะว่าเมื่อไหร่น่ะซี ปีนี้ไม่ได้ไปเที่ยวงานกระจาดที่สุพรรณฯ เลยค่ะ  ปีนี้สนุกไหมจ้ะ โหวตต่อ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 10:35:20 จากคุณ : biebie999 - [ 2 ก.ย. 50 10:29:20 ]

ความคิดเห็นที่ 118 อ่านหัวข้อกระทู้แล้วก็รู้เลยว่าเป็นของคุณ NickyNick...คล้ายเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวเลยนะคะ...มาอ่านด้วยคะ จากคุณ : sawkitty (sawkitty) - [ 2 ก.ย. 50 10:56:40 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ดีใจด้วยนะคะเฮีย ได้ขึ้นกระทู้แนะนำ อิอิ หากจะเที่ยวให้ทั่วสุพรรณฯ สงสัยต้องไปหาเฮียให้พาเที่ยว เฮียมาเมืองจันท์เมื่อไร หนูจะพาชิม ผลไม้ แล้วกระหน่ำด้วยอาหารทะเล ดีไหมคะ? ปล. กองทัพต้องเดินด้วยท้อง กลัวจะแนะนำที่เที่ยวสู้เฮียไม่ได้ ขอเน้นท้องอิ่มละกันนะคะ  ^-^ แก้ไขเมื่อ 02 ก.ย. 50 19:29:37 จากคุณ : little kitty - [ 2 ก.ย. 50 19:28:50 ]

ความคิดเห็นที่ 120 แวะมาแสดงความยินดีครับ ที่ได้เป็นกระทู้แนะนำ จากคุณ : นอกราชการ - [ 2 ก.ย. 50 21:25:09 ]

ความคิดเห็นที่ 121 สวัสดีครับทุกคน เมื่อคืนค้นข้อมูลเจอ เลยอยากเอามาเพิ่มเติมขยายความ คห.๔๑-๔๙ เกี่ยวกับประเพณีห้ามเจ้าเสด็จเมืองสุพรรณครับ ก่อนหน้าสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพเสด็จเมืองสุพรรณปี พ.ศ.๒๔๓๕ และพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จประพาสต้นเมืองสุพรรณครั้งแรกปี พ.ศ.๒๔๔๗ และทำให้ประเพณีห้ามเจ้านี้เลิกเชื่อถือกันไป มีหนังสือราชกิจจานุเบกษารัชกาลที่ ๕ เล่ม ๑ ปี พ.ศ.๒๔๒๗ หม่อมเจ้าพระพุทธบาทปิลันท์ เสด็จธุดงค์วัดพระแท่นดงรัง แล้วไปนมัสการหลวงพ่อโตวัดป่าเลไลยก์สุพรรณบุรี  แล้วเสด็จอยู่ทุ่งบ้านท่าพี่เลี้ยง ซึ่งก็คือแถวตัวเมืองสุพรรณบุรีปัจจุบันนั่นเอง จากนั้นเสด็จไปบ้านเดิมบางแขวงเมืองสรรคบุรี ................... ก่อนหน้านั้นก็คงมีเจ้าเสด็จเมืองสุพรรณอยู่แล้ว ไม่นับเหตุการณ์ไม่ปกติเช่นการศึกสงคราม แต่เราไม่เจอบันทึกเก็บไว้ หม่อมเจ้าพระพุทธปิลันท์เป็นเจ้า แต่ก็ยังเสด็จเมืองสุพรรณ อาจเพราะว่า - ท่านอยู่ในเพศบรรพชิต จึงไม่กลัว - หรืออาจไม่มีความรู้สึกใดๆ มาก่อนก็ได้ - หรือว่าท่านเป็นเจ้าข้างปลายแล้ว เลยไม่กลัวเหมือนเจ้าชั้นต้นๆ วัดพระแท่นดงรัง ปัจจุบันอยู่เขตอำเภอท่ามะกา จ.กาญจนบุรี แต่เดิมสมัยนั้นอยู่ติดเขตเมืองสุพรรณ ซึ่งอดีตเมืองสุพรรณกินไปจนถึงส่วนหนึ่งของอำเภอบ้านโป่ง จ.ราชบุรี ผมเคยเขียนไว้ในกระทู้ข้างล่างนี้ครับ นามจังหวัดของไทยครั้งในอดีต คห.36-38 http://www.vcharkarn.com/include/vcafe/showkratoo.php?Pid=59273&page=3 ก็ยังสงสัยว่าพระยาสุนทรสงครามข้าหลวงเมืองสุพรรณไปถวายการรับเสด็จ ทำไมพระยากาญจนบุรีถึงไม่ได้ไป หรือว่าขณะนั้นยังเป็นเขตแดนเมืองสุพรรณอยู่ สำหรับเรื่องอำเภอเดิมบางเก่า จ.สรรคบุรีหรือชัยนาท  กับอำเภอเดิมบางใหม่ จ.สุพรรณบุรี ก็อยู่ในลิ้งค์เดียวกันข้างบน คห.39 ครับ พระพุทธบาทปิลันท์ หรือพระนามเดิมหม่อมเจ้าทัด เสนีวงศ์ หาอ่านได้จากลิ้งค์เวียงวังของคุณจุลลดา ภักดีภูมินทร์ได้ข้างล่างครับ คุณจุลลดาเขียนไว้ว่า เมื่อถึงรัชกาลที่ ๕ ได้เป็น สมเด็จพุฒาจารย์ (หม่อมเจ้าทัด) สมณศักดิ์เดียวกันกับ สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) อาจารย์ของท่าน http://www.sakulthai.com/DSakulcolumndetailsql.asp?stcolumnid=5677&stissueid=2750&stcolcatid=2&stauthorid=13 จากคุณ : NickyNick - [ 4 ก.ย. 50 10:19:51 ]

ความคิดเห็นที่ 122 เด็กบางปลาม้า ขอเป็นสมาชิกในนี้ด้วยคนน่ะค่ะ จากคุณ : pinpinut - [ 4 ก.ย. 50 14:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 123 เมืองยุทหัตถี           วรรณคดีขึ้นชื่อ            เลื่องลือพระเครื่อง          รุ่งเรืองเกษตรกรรม            สูงล้ำประวัติศาสตร์         แหล่งปราชญ์ศิลปิน                               ภาษาถิ่นชวนฟัง จากคุณ : pinpinut - [ 4 ก.ย. 50 16:23:51 ]

ความคิดเห็นที่ 124 สวัสดีคุณ pinpinut สาวบางปลาม้าคนสวยครับ คำขวัญเมืองสุพรรณแต่เดิมเขียนแค่ สุพรรณบุรี เมืองขุนแผน แดนยุทธหัตถี ตอนหลังเขียนกันใหม่ ของเก่าถอดทิ้ง ใส่น้องมิ้งค์ดีกว่า คำขวัญเลยเพิ่มเป็นอย่างใน คห.๑๒๓  คือ สุพรรณบุรี               เมืองยุทธหัตถี วรรณคดีขึ้นชื่อ          เลื่องลือพระเครื่อง รุ่งเรืองเกษตรกรรม    สูงล้ำประวัติศาสตร์ แหล่งปราชญ์ศิลปิน   ภาษาถิ่นชวนฟัง ซึ่งผมได้เขียนแนะนำย่อๆ ไว้ในบล็อกนี้ ซึ่งมีบล็อกย่อยต่อเนื่องอีกใน จังหวัดสุพรรณบุรีของเรา http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=nickynick&month=05-2007&date=31&group=4&gblog=1 ลองคลิกหาอ่านกันดูได้ครับ แล้วถ้าสนใจเรื่องของสุพรรณสุพรรณ อาจมีหลายอย่างที่คนไม่ค่อยรู้กัน ในบล็อกแก๊งของผมนี้ก็จะแนบลิ้งค์น่าสนใจที่ผมเขียนไว้ในพันทิปดอทคอมไว้ด้วย แปะลิ้งค์ไว้ทางขวามือของบล็อกครับ ของใหม่จะอยู่ล่าง ของเก่าที่เก็บเข้าคลังกระทู้แล้วจะอยู่ข้างบนหน่อย จากคุณ : NickyNick - [ 5 ก.ย. 50 08:43:01 ]

ความคิดเห็นที่ 125 ^ ^ มาแต่เช้าเลยนะคะพี่นิค   ตอนแรกไม่คิดว่าเนื้อหาจะเพิ่มเยอะขนาดนี้ ตามอ่านตาแทบหลุด ว่าแต่เราไปถล่มคุณ little kitty วันไหนดีคะพี่นิค  เพราะการไปเที่ยวบุกป่าฝ่าดงจิ๋วไม่ถนัด  ถนัดแต่เรื่องกินค่ะ จากคุณ : ปริยวาที - [ 5 ก.ย. 50 08:58:23 ]

ความคิดเห็นที่ 126 เกี่ยวกับเรื่องห้ามไม่ให้เจ้าเข้าสุพรรณ เมื่อเราได้ไปหาอ่านรายนามผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา ทั้งจากป้ายใหญ่ๆ ในศาลากลางจังหวัดสุพรรณบุรี หรือจากลิ้งค์ทำเนียบผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี http://www.suphanburi.go.th/ppp.ppt จะเห็นว่า ไม่มี เจ้านาย เป็นผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเลยแม้แต่คนเดียว เชื้อเจ้าที่สูงสุดคือ หม่อมราชวงศ์ เท่านั้น แตกต่างกับหลายเมืองใกล้เคียงกับสุพรรณบุรี ที่มีเจ้าเข้าครองอยู่อย่างมากมาย ดังนั้น ป้ายที่บอกว่า รายพระนามและรายนามผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรี จึงน่าจะเหลือแค่ รายนามผู้ว่าฯ เท่านั้น ถึงจะถูกต้อง และเมื่อตรวจสอบถึงความถูกต้องของ รายนามผู้ว่า ที่เขียนกันเป็นทางการนั้นก็รู้ว่ามีผิดพลาด เป็นความผิดพลาดที่มีอยู่อย่างมากมาย อย่างไม่น่าเชื่อเลยครับ ที่พอจะเห็นได้ว่านามผู้ว่าที่หายไปอย่างน้อยคนหนึ่งคือ พระยาสุนทรสงครามฯ (สว่าง อมาตยกุล) ซึ่งครองสุพรรณช่วงปี ๒๔๒๑-๒๔๒๕ จากคุณ : NickyNick - [ 5 ก.ย. 50 09:19:45 ]

ความคิดเห็นที่ 127 สวัสดีครับหนูจิ๋ว ก่อนไปถล่มแมวน้อย ต้องไปเยือนลพบุรีก่อน จะง่ายกว่ามั้ยจ๊ะ เรียนชาวสุพรรณและผู้ที่เกี่ยวข้องทุกท่าน หากพบเห็นเนื้อหาใดๆ ของผมผิดพลาดไป กรุณาบอกได้เลยครับ แล้วถ้าเห็นเนื้อหาสาธารณะใดของ(สำนักงาน)จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นข้อมูลผิดพลาด กรุณาแจ้งไปที่เว็บไซด์ของจังหวัดได้ ซึ่งผมรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่คุณกัมม์ได้เคยแจ้งกับพวกเราไว้ในกระทู้ต้นพิกุลบ้านยะมะรัชโช http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/2006/12/K4986346/K4986346.html เป็นความรู้สึกกระตือรือร้นในทางที่ดีและเป็นประโยชน์อย่างยิ่งครับ ความคิดเห็นที่ 64   ไม่เป็นไรครับ ขอให้ทุกคนช่วยกัน ถึงจะทำไม่ได้  ก็ได้ชื่อว่าพยายามทำแล้วครับ เว็บไซต์จังหวัดสุพรรณบุรี http://www.suphanburi.go.th/ ร้องเรียนทางจังหวัดที่ suphanburi@moi.go.th Ecall ของจังหวัดสุพรรณบุรีที่ http://www.khonsuphan.com/ecall/eservice-suphan.jsp ช่วยกันร้องนะครับ  คนละเสียง จากคุณ : กัมม์  - [ 26 ธ.ค. 49 10:32:05 ] สำหรับข้อมูลที่ผมหารายนามผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีได้เพิ่มอีกอย่างน้อยคนหนึ่ง คือ พระยาสุนทรสงครามฯ (สว่าง อมาตยกุล) นั้น ได้มาจากหนังสือเล่มนี้ครับ การแต่งตั้งขุนนางไทยในสมัยรัชกาลที่ ๕ ของกองจดหมายเหตุแห่งชาติ, กรมศิลปากร, ๒๕๒๑ ในหนังสือเล่มนั้นเขียนไว้ว่า ...ให้จมื่นจงภักดีองค์ (สว่าง อมาตยกุล) พระตำรวจดั้งขวา เปนพระยาสุนทรสงครามรามพิไชย ผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณบุรี ถือศักดินา ๓๐๐๐ ..... ปีขาล สัมฤทธิศก.....ศักราช ๑๒๔๐ เปนวันที่ ๓๗๕๑ ในรัชกาลปัตยุบันนี้ แก้ไขเมื่อ 05 ก.ย. 50 09:33:49 จากคุณ : NickyNick - [ 5 ก.ย. 50 09:29:01 ]

ความคิดเห็นที่ 128 นอกจากนั้น ยังมีนามผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณที่มีปรากฏตัวอีกอย่างน้อย ๓ คนที่ค้นเจอ แต่ไม่มีอยู่ในทำเนียบนามผู้ว่าราชการจังหวัดสุพรรณบุรีเลย คือ - พระยาสุนทรสงครามฯ (สว่าง สุนทรศารทูล) - พระยาสุนทรสงครามฯ (เกศ สุนทรเกศ) - พระยาสุนทรสงครามฯ (ครุฑ ครุฑนันทน์) แต่ผมยังลำดับปี พ.ศ. ของทั้งสามที่ว่าการเมืองไม่ถูก ยังไงทางจังหวัดสุพรรณบุรี น่าจะศึกษาและเพิ่มเติมนามทั้ง ๓ ท่านนี้ และอีกท่านที่ไม่ควรขาดหายเป็นอย่างยิ่ง คือ พระยาสุนทรสงครามฯ (สว่าง อมาตยกุล) ครับ อ้อ แถมอีกนิดครับ พระยาสุนทรสงครามเมืองสุพรรณ มี ๒ นามสกุลที่คล้ายกัน แต่เป็นคนละท่านกันนะครับ คือ - สุนทรเกศ - สุนทรเกตุ แก้ไขเมื่อ 22 ก.ย. 50 09:33:00 จากคุณ : NickyNick - [ 5 ก.ย. 50 09:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 129 สวัสดีค่ะ คุณ NickyNick วันนี้มีมีเพิ่มเติมแต่เช้าเลยนะค่ะ....อ่านต่อๆ และสำหรับ ลิ้งที่แปะไว้ทางด้านขวาใน บล๊อคแก๊ง ของพันทิป ที่คุณนิค ทำไว้...ได้ไปอ่านมาบ้างแล้วค่ะบางเรื่อง เล่นเอาเสียน้ำตากันเลยทีเดียวค่ะ... เพิ่งอ่านไปเมื่อสัปดาห์ที่แล้วนี่เองค่ะ จากคุณ : naragorn - [ 5 ก.ย. 50 09:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 130 คุณจิ๋ว พี่นิค คุณกัมม์ และท่านอื่นๆ ไปเที่ยวสุพรรณ เลยไปลพบุรีแล้ว จะแวะมาเมืองจันท์ก็มาได้เลยค่ะ...เวลคัมทูจันทบุรี จากคุณ : little kitty - [ 5 ก.ย. 50 10:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 131 ^ ^ แหม.. คุณแมวน้อยคะ ถ้าสุพรรณ กับลพบุรีน่ะพอไหว  แต่พูดประหนึ่งว่า จันทบุรี มีเขตติดต่อจังหวัดลพบุรีเลยนะคะ   มีเวลาซัก 7 วัน ไปสุพรรณ 1 วัน ลพบุรี 1 วัน จันทบุรี 5 วัน ก็พอดีนี่นะ ^____________^ จากคุณ : ปริยวาที - [ 6 ก.ย. 50 07:31:58 ]

ความคิดเห็นที่ 132 สวัสดีครับทุกๆ คน จะไปไหนกัน ไม่เห็นชวนเลย คำให้การหัวพันห้าจบแล้วหมดไปอีกเรื่อง วันนี้เลยเข้ามาเก็บรายละเอียดต่อครับ ร้องไปทางเว็บไซต์ของจังหวัด ๒ ครั้ง ไม่เคยได้รับคำตอบเลยสักอย่างเดียว คงจะมีเจ้าหน้าที่ไม่พอ  ก็ไม่เป็นไร จากคุณ : กัมม์ - [ 6 ก.ย. 50 09:00:38 ]

ความคิดเห็นที่ 133 หวาดดีค่ะ คุณ NickyNick      สาวบางปลาม้า มารายงานตัวค่ะ   ขอบคุณสำหรับความรู้ใหม่เรื่องคำขวัญ อันเก่าก่อนน่ะค่ะ เพื่อนๆ ในนี้ใครอยากไปเที่ยวสุพรรณบอกได้น่ะค่ะ จะเป็นไกด์ให้ จากคุณ : pinpinut - [ 6 ก.ย. 50 13:09:19 ]

ความคิดเห็นที่ 134 จะรอรับคนที่ จะมาถล่ม ลพบุรีค่ะ จากคุณ : คนลพบุรี (naporn) - [ 6 ก.ย. 50 13:15:11 ]

ความคิดเห็นที่ 135 5555 ถล่มลพบุรี ท่าทางจะมันกว่า มีแนวรับตั้ง ๒ แนวแน่ะ ขอบคุณทุกท่านครับ มีคำถามหรือความรู้เกี่ยวเนื่องกับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองสุพรรณ เชิญได้เลยครับ แต่ถ้าเป็นศาลพระกาฬ ก็ต้องหนูจิ๋วปริยวาที หรือคุณพี่ naporn ผู้แคล่วคล่องว่องไวปราดเปรียวได้เลยครับ ตอนนี้ผมกำลังหมกมุ่นอยู่ในบล็อกนี้ของเพื่อนฝูงอยู่ครับ ช่วยต่อเติมเสริมแต่งข้อมูลอยู่เรื่อยๆ เจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) ต้นสกุล "สุขุม" http://www.bloggang.com/viewblog.php?id=twojay&group=16 ไม่ได้เกี่ยวข้องหรือเป็นญาติพี่น้องกับท่านหรอกครับ เพียงเพราะชอบค้นคว้าเรื่องนี้ เนื่องจากท่านเจ้าพระยายมราชเป็นชาวสุพรรณบุรีครับ จากคุณ : NickyNick - [ 6 ก.ย. 50 14:04:17 ]

ความคิดเห็นที่ 136 อ๋อ....เป็นอย่างนี้เอง   งั้นอ่านเรื่องศาลเจ้าพ่อหลักเมือง ที่คุณ NickyNick นำมาฝากจบ.... นู๋ ตามไปอ่านเรื่องเจ้าพระยมราช ในบล๊อคนั้นต่อดีกว่า.... จากคุณ : naragorn - [ 6 ก.ย. 50 23:16:03 ]

ความคิดเห็นที่ 137 สวัสดีครับทุกท่าน ตอนนี้กำลังสนุกกับการหาข้อมูลเพิ่มเติมในบล็อกเจ้าพระยายมราชที่แจ้งไว้ข้างบน แล้วก็ค้นหาหลักฐานต่างๆ ในราชกิจจานุเบกษา จนกระทั่งตอนนี้เว็บนั้นไม่ยอมให้ค้น ๒-๓ วันนี้แล้วครับ เสียดายจัง เพราะไม่มีเวลาไปหาอ่านจากที่ไหนได้อีก แต่เท่าที่ได้เก็บไว้ ก็พอขุดคุ้ยมาเพิ่มเติมได้อีกหน่อยครับ จากคห.๑๒๖-๑๒๗ ที่กล่าวถึงพระยาสุนทรสงคราม (สว่าง อมาตยกุล) ก็ได้หลักฐานเพิ่มเติมอีกครั้งว่า ท่านมีตัวตนอยู่จริง ไม่น่าจะเป็นการแต่งตั้งขุนนางขึ้นมาลอยๆ เป็นราชกิจจาปี ร.ศ.๑๑๘ (พ.ศ.๒๔๔๒) กล่าวว่า พระยาสุนทรสงครามได้ขอให้โอนชื่อโฉนดที่ตำบลบางระมาด กรุงเทพ เป็นที่สวนของตนตั้งแต่ยังเป็นจมื่นจงภักดี ในโฉนดนั้นมีชื่อ จมื่นจงภักดี อำแดงจัน  นายเมือง อำแดงเปี่ยม จะขอโอนใส่ชื่อเป็นหนูผินบุตร อีกโฉนดจะโอนเป็นชื่อหนูนิ่มบุตร เมื่อลำดับความแล้ว ขณะนั้นท่านคงเป็นพระยาสุนทรสงครามนอกราชการแล้ว เพราะปี ๒๔๔๒ เป็นช่วงรอยต่อของผู้ว่าเมืองสุพรรณ ๒ ท่านคือ - นายอร่ามมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ใหญ่ นรินทรกุล) ๒๔๔๐-๒๔๔๒ กับ - พระยาสุนทรสงคราม (ถม ณ มหาไชย) ๒๔๔๒-๒๔๔๔) จากราชกิจจาที่บอกชื่อในโฉนดคร่าวๆ อาจจับเป็นคู่ผัวตัวเมียได้เช่น จมื่นจงภักดี คู่กับอำแดงจัน นายเมือง คู่กับอำแดงเปี่ยม ผู้เชี่ยวชาญด้านสกุลอมาตยกุล น่าจะให้คำตอบได้ว่าใช่หรือเปล่า และทั้งหนูนิ่มกับหนูผิน เป็นบุตรพระยาสุนทรสว่างใช่หรือไม่ แล้วก็มีที่ดินผืนใหญ่เป็นสวนบางระมาดด้วยหรือไม่ แก้ไขเมื่อ 08 ก.ย. 50 14:56:24 จากคุณ : NickyNick - [ 8 ก.ย. 50 14:15:13 ]

ความคิดเห็นที่ 138 คห.๑๓๗ เมื่อลำดับความแล้ว ขณะนั้นท่านคงเป็นพระยาสุนทรสงครามนอกราชการแล้ว เพราะปี ๒๔๔๒ เป็นช่วงรอยต่อของผู้ว่าเมืองสุพรรณ ๒ ท่านคือ - นายอร่ามมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ใหญ่ นรินทรกุล) ๒๔๔๐-๒๔๔๒ กับ - พระยาสุนทรสงคราม (ถม ณ มหาไชย) ๒๔๔๒-๒๔๔๔ หาข้อมูลใหม่ได้อีกแล้วครับ ข้างล่างเป็นราชกิจจาเล่ม ๑๖ หน้า ๔๔ ร.ศ.๑๑๘ (พ.ศ.๒๔๔๒) ออกก่อนใน คห.๑๓๗ ที่พระยาสุนทรสงคราม (สว่าง อมาตยกุล) ขอโอนชื่อในโฉนด จากภาพนี้ แสดงว่า พระยาสุนทรสงครามที่ลาออก คงจะหมายถึง นายอร่ามมณเฑียร (หม่อมราชวงศ์ใหญ่ นรินทรกุล) ๒๔๔๐-๒๔๔๒ ส่วนที่มาใหม่คือหลวงศรีรณรงค์จากผู้ว่าราชการเมืองพระพุทธบาท ต่อมาน่าจะเป็น พระยาสุนทรสงคราม (ถม ณ มหาไชย) ๒๔๔๒-๒๔๔๔ แต่สงสัยเหมือนกันว่า ทำไมเขาไม่เรียกหม่อมราชวงศ์ใหญ่ นรินทรกุล ว่าเป็นพระยาสุนทรสงคราม กลับเรียกเป็นนายอร่ามมณเฑียร ทางจังหวัดสุพรรณบุรีน่าจะมีการศึกษาทำเนียบประวัติผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณบุรีให้ชัดเจนแจ่มแจ้งกว่านี้สักหน่อยนะครับ จากคุณ : NickyNick - [ 8 ก.ย. 50 15:06:56 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ๓๓๑ ปี สกุลอมาตย์ และ ๗๓ ปีแห่งการพระราชทานนามสกุล อมาตยกุล ๒๕๒๙ คุณชวด พระยาสมบัติยาธิบาล กับคุณหญิงแป้น มีบุตรชื่อ หลวงพิพิธสมบัติ(เอม) เริ่มรับราชการในแผ่นดินพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์เป็น ขุนสมบัติภิรมย์ เลื่อนเป็น หลวงพิพิธสมบัติ ในแผ่นดินพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก คุณปู่ คุณหลวงพิพิธสมบัติแต่งงานกับคุณดวง บุตรีเศ่รษฐีนายสำเภา  มีบุตรธิดา ๖ คน เจ้าจอมหุ่นในรัชกาลที่ ๒ พระยามหาอำมาตย์(ป้อม) พระจันทราทิต์(มารค) เผือก ม่วง(ขุนอุทัย  รั้งเมืองอุทัยธานี) หลวงพลอาไศรย(อิ่ม) คุณพ่อ หลวงพลอาไศรย(อิ่ม)ภรรยาชื่อพุ่ม  มีบุตรธิดา ๕ คน เจ้าจอมแสง ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ชายชื่อสวาท  มหาดเล็กหลวง ในรัชกาลที่ ๕ ชายชื่อสว่าง หญิงชื่อพัน  เจ้าจอมในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ศิริ(พระยามนูสารสาสตรบัญชา)เกิดจาก คุณเอี่ยม รับพระราชทานนามสกุล เอมะสิริ ภู่ ไม่แจ้งว่ามารดาเป็นผู้ใด  ต่อมาเป็น นายจ่าโชนเชินประทีปใน คุณ สว่าง ปรากฎตัว แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 50 03:05:53 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 50 02:59:34 จากคุณ : แสนอักษร - [ 8 ก.ย. 50 19:30:47 ]

ความคิดเห็นที่ 140 คุณสว่า่ง  อมาตยกุล ต่อมาได้เป็น พระยาสุนทรสงคราม ผู้รั้งเมืองสุพรรณบุรี บิดามารดาของคุณสว่าง ตั้งบ้านเรือนอยู่ที่ตำบลบ้านขมิ้น ใกล้วัดระฆังโฆษิตาราม ในรัชกาลที่ ๓  ได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กรายงานข้าวกระทง ถึงรัชกาลที่ ๔ ได้เป็นหุ้มแพร  แล้วเลื่อนเป็นจ่ายง ถึงรัชกาลที่ ๕  เลื่อนเป็นจมื่นจงซ้ายในกรมวัง ในบันทึกของเจ้าคุณกสาปน์ ท่านเรียกว่า จมื่นจงรักษาองค์ ต่อมาได้เป็นพระยาสุนทรสงคราม รั้งเมืองสุพรรณบุรี บุตรคือ มาก(เรียกสั้นๆว่าหลวงมน) หลวงมนมีบุตรชื่อภาส(หลวงอภิชิตเรืองเดช) ต่อมาใช้ราชทินนามเป็นนามสกุล แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 50 03:19:37 แก้ไขเมื่อ 09 ก.ย. 50 03:01:08 จากคุณ : แสนอักษร - [ 8 ก.ย. 50 19:51:22 ]

ความคิดเห็นที่ 141 นับญาติของคุณสว่างแบบคร่าวๆ พี่สาวสองคนเจ้าจอมแสงกับเจ้าจอมพัน  ในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ป้า พี่ของพ่อ เจ้าจอมหุ่น  เป็นเจ้าจอมใน ร. ๒ คุณโหมด(พระยากสาปน์)เป็นญาติผู้พี่  first cousin พอจะเข้าใจได้ว่า สกุลอมาตยกุล ก็เป็นสกุลที่รุ่งเรืองด้วยเครือญาติรับราชการสำคัญๆ จากคุณ : แสนอักษร - [ 8 ก.ย. 50 20:03:04 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ถ้านับผิดพลาดประการใด โปรดทักท้วง และให้อ้างอิงมาด้วยนะคะ เล่มนี้ก็ถือเป็นมหาภารตะยุทธ แห่ง การเมืองสมัยรัชกาลที่ ๓ - ๕ ยินดีแก้ไขทุกประการ  เพราะตัวอักษรจิ๋วเหลือเกิน จากคุณ : แสนอักษร - [ 8 ก.ย. 50 20:07:33 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ขอบคุณมากครับ ถ้าบ้านอยู่ใกล้ๆ จะไปนั่งกราบสักทีนึง เป็นการตบรางวัลงามๆ กว่าอย่างอื่น ก็โชคดีที่จะช่วยทำให้ประวัติศาสตร์ด้านหนึ่งของเมืองสุพรรณเปิดเผยออกมาด้วย แล้วก็ถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น เพราะท่านเป็นผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณ แถมถูกลบหายไปจากบันทึกของเมืองสุพรรณด้วย แปลกดีมั้ยล่ะ แล้วก็ไม่ใช่เฉพาะท่านนี้เท่านั้น ยังมีอีกหลายท่านที่เขาไม่ได้เขียนไว้ อย่างที่แจ้งไว้ใน คห.บนๆ ไม่รู้ หรือว่าทำเป็นลืม อยากให้ทางจังหวัดสุพรรณบุรีทราบเรื่องนี้ และแก้ไขให้ถูกต้อง ก็ไม่รู้จะทำอย่างไรดี และท่านอยู่ในสกุลอมาตยกุลด้วย เป็นการเชิดชูเกียรติให้นามท่านปรากฏขึ้นมาอีกคราวหนึ่ง หลังจากที่ถูกเก็บหายมานานเป็นร้อยปี คิดๆ ไปแล้วก็แปลก ที่คนเก่งๆ ของสกุลนี้ถูกเก็บซ่อนหรือถูกตัดตอนกันอยู่บ่อยๆ จากคุณ : NickyNick - [ 9 ก.ย. 50 09:34:34 ]

ความคิดเห็นที่ 144 ขอเพิ่มเติมอีกสักเล็กน้อย ได้อ่านหนังสือ พระบรมราชินีและเจ้าจอมมารดา ของ ส.พลายน้อย บอกว่าเจ้าจอมมารดาเรือน ในรัชกาลที่ ๕ เป็นธิดาพระยาสุนทรบุรี ศรีพิชัยสงคราม (สว่าง สุนทรศารทูล) และคุณหญิงตลับ บุตรีพระยาศรีสหเทพ (พึ่ง) มีพระองค์เจ้า คือ พระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์ ประสูติ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๒๔ เจ้าพระยาสุนทรบุรีสว่างท่านนี้ เป็นผู้ว่าราชการเมืองนครไชยศรี พยายามค้นต่อไปว่า เคยดำรงตำแหน่งผู้ว่าราชการเมืองสุพรรณบุรีมาก่อนหรือเปล่า แต่ก็ไม่เจอ อาจเพราะไม่มีการบันทึกไว้ หรือไม่เคยเป็นเลยก็ได้ ท่านไม่ได้โชคดีเหมือนพระยาสุนทรบุรี (ชม สุนทรารชุน) ที่สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพได้ทรงนิพนธ์ประวัติท่านไว้ แต่ลูกหลานท่านที่นามสกุล "สุนทรศารทูล" มีอาชีพการงานที่ดีอยู่ในเมืองสุพรรณเยอะ ตอนนี้ทำให้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วครับ ว่าท่านเคยเป็นพระยาสุนทรสงครามนั่งเมืองสุพรรณมาก่อนด้วยหรือเปล่า แต่เชื่อว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น ก็ขอกลับไปแก้ไขเพิ่มเติมใน คห.๑๒๘ สักนิดครับ ขอนำพระรูปพระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์ ซึ่งพระยาสุนทรบุรี (สว่าง สุนทรศารทูล) เป็นขรัวตาครับ เป็นภาพที่เห็นกันบ่อยๆ ชุดเจ้านายสี่มะเส็ง เจ้านายสี่มะเส็ง ที่ประสูติร่วมสหชาติกัน พระองค์เจ้าศศิพงศ์ประไพ สมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต พระองค์เจ้าพิสมัยพิมลสัตย์ กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน ภาพจากหนังสือ ชีวิตในวังบางขุนพรหม กิตติพงษ์ วิโรจน์ธรรมกูร ดอกหญ้า ๒๕๔๕ จากคุณ : NickyNick - [ 11 ก.ย. 50 09:00:15 ]