กระทู้นี้คัดจาก ประชุมพงศาวดาร ภาคที่ ๒๒
ประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๒ ว่าด้วยเรื่องคำให้การในศึกฮ่อในรัชกาลที่ ๕ ของเมืองสบแอด เชียงค้อ เมืองซำเหนือ เมืองโสย เมืองซำใต้ เมืองห้าเมือง เรียกรวมกันว่า เมืองหัวพันห้าทั้งหก สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงพระนิพนธ์คำนำไว้ดังนี้
คำนำประชุมพงศาวดารภาคที่ ๒๒
ที่เรียกว่าเมืองหัวพันห้าทั้งหกนี้เป็นเมืองไทยหมู่ ๑ หลายเมืองด้วยกัน เรียกชื่อว่าหัวเมืองเมือง ๑ เมืองซำเหนือเมือง ๑ เมืองซำใต้เมือง ๑ เมืองซ่อนเมือง ๑ เมืองโสยเมือง ๑ เมืองเหยียบเมือง ๑ เมืองสบแอดเมือง ๑ เมืองเชียงค้อเมือง ๑ ตั้งอยู่ทางข้างเหนือเมืองหลวงพระบาง
เรื่องราวของเมืองเหล่านี้ เดิมทีเดียวตั้งแต่ราว พ.ศ. ๕๐๐ พวกชนชาติไทยตั้งต้นอพยพมาแต่แดนเดิมของตน คือที่ประเทศจีนฝ่ายใต้บัดนี้ มีมณฑลฮุนหนำและมณฑลกุยจิ๋วเป็นต้น มาเที่ยวหาที่ตั้งภูมิลำเนาอยู่เป็นอิสระทางแดนดินข้างตะวันตก มาตั้งเป็นบ้านเมืองขึ้นหลายแห่ง ครั้นจำเนียรกาลนานมาก็เกิดแว่นแคว้นแดนไทยขึ้นโดยลำดับ เป็นหลายอาณาเขตด้วยกัน ข้างตอนเหนือที่ต่อแดนจีนเรียกว่าอาณาเขตสิบสองเจ้าไทย ทิศตะวันตกเรียกว่าอาณาเขตสิบสองปันนา ต่อมาเมื่อพวกไทยมีกำลังมากขึ้น ก็ขยายอาณาเขตต่อออกไป พวก ๑ ไปตั้งบ้านเมืองอันได้นามปรากฏในชั้นหลังสืบมาว่าสิบเก้าเจ้าฟ้า อยู่ทางลุ่มแม่น้ำสาละวินต่อแดนพม่า ไทยพวกนี้ได้นามว่าไทยใหญ่ หรือที่เราเรียกกันในบัดนี้ว่าเงี้ยว ไทยอีกพวก ๑ ขยายอาณาเขตลงมาทางลุ่มแม่น้ำโขงข้างทิศใต้ มาตั้งบ้านเมืองขึ้นเป็น ๒ อาณาเขต เรียกว่าลานช้างอยู่ข้างตะวันออกอาณาเขต ๑ เรียกว่าลานนาอยู่ข้างตะวันตก (คือมณฑลพายัพบัดนี้) อาณาเขต ๑ ไทยพวกนี้ได้นามว่าไทยน้อย
ต่อมาพวกไทยน้อยในอาณาเขตลานนาปราบปรามพวกขอมขยายเขตแดนลงมาข้างใต้จนได้เป็นใหญ่ในสยามประเทศนี้เมื่อราว พ.ศ. ๑๘๐๐ ส่วนไทยน้อยที่ตั้งอยู่ในอาณาเขตลานช้างนั้น ก็ขยายแดนออกไปทางทิศตะวันออกจนต่อแดนพวกจาม ทางทิศใต้ได้แดนขอมตอนแผ่นดินสูงข้างฝ่ายเหนือ (คือท้องที่มณฑลอุดรเดี๋ยวนี้) แล้วตั้งเป็นกรุงกะ-ษั-ต-ริ-ย์ เรียกว่ากรุงศรีสัตนาคนหุต เอาเมืองเซ่า (ซึ่งมาได้นามในชั้นหลังว่าเมืองหลวงพระบาง) เป็นราชธานี อาณาเขตกรุงศรีสัตนาคนหุตทางทิศเหนือต่อกับอาณาเขตสิบสองเจ้าไทย
เหล่าเมืองหัวพันห้าทั้งหก (อันเรื่องพงศาวดารมีในสมุดเล่มนี้) อยู่ในระหว่างกรุงศรีสัตนาคนหุตกับเมืองสิบสองเจ้าไทย จึงตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีสัตนาคนหุตก่อน ต่อมาครั้งกรุงศรีสัตนคนหุตมีอำนาจมากขึ้น แม้เมืองสิบสองเจ้าไทยก็ตกมาเป็นเมืองขึ้นของกรุงศรีสัตนคนหุตอย่างเดียวกัน เรื่องชั้นเดิมมีมาดังนี้ พวกชาวเมืองหัวพันห้าทั้งหกก็ยังเป็นไทย และพูดภาษาไทยอยู่จนทุกวันนี้
ครั้นกรุงศรีสัตนาคนหุตถึงคราวเสื่อมทรามลงโดยลำดับจนเมื่อราว พ.ศ. ๒๒๔๐ ราชวงศ์ที่ครองเมืองเกิดแตกกันเป็น ๒ พวก ต่างปราบกันไม่ลง จึงยอมแยกกันเป็น ๒ อาณาเขต ฝ่ายหนึ่งตั้งเมืองหลวงพระบางเป็นเมืองหลวงอยู่ทางตะวันตก อีกฝ่ายหนึ่งตั้งเมืองเวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงอยู่ทางตะวันออก เมื่อแยกกันเช่นนี้กำลังและอำนาจก็น้อยลงด้วยกัน บังคับบัญชาได้แต่เมืองขึ้นที่อยู่ใกล้เมืองหลวง แต่เมืองขึ้นที่อยู่ไกลออกไปเช่นเหล่าหัวเมืองหัวพันห้าทั้งหกเป็นต้นนั้น ทั้งเจ้าเมืองเวียงจันทน์และเจ้าเมืองหลวงพระบางต่างถือว่าเป็นเมืองขึ้นของตน แต่มิได้ปกครองมั่นคง เป็นแต่แต่งข้าหลวงขึ้นไปตรวจตราเป็นครั้งคราว ข้าหลวงฝ่ายไหนขึ้นไปถึงพวกเจ้าเมืองท้าวขุนหัวเมืองเหล่านั้นก็ฟังบังคับบัญชา จึงเป็นเมืองขึ้น ๒ ฝ่ายมาช้านาน จนกระทั่งเมืองหลวงพระบางและเมืองเวียงจันทน์เป็นประเทศราชขึ้นต่อกรุงศรีอยุธยา
แก้ไขเมื่อ 03 ก.ย. 50 12:14:32
จากคุณ :
กัมม์
- [
3 ก.ย. 50 09:12:28
]