Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom


    สังคมไทยชื่นชมคนเก่ง.....หลงประเด็นกันมากเกินไปแล้วหรือเปล่า

    ทั้งหมดนี้ เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ




    จริงๆ ผมคิดเรื่องนี้มาได้นานเป็นปีๆ แล้ว พูดคุยแลกเปลี่ยนทรรศนะกับคนใกล้ตัวมาเป็นระยะ ๆ ไม่คิดจะโพสต์ในเว็บไหน อย่างเป็นเรื่องเป็นราว แต่สุดท้ายก็มาระเบิด ( แรงไปหรือเปล่า ) เอาวันนี้เอง

    เรื่องก็เกี่ยวกับว่า ผมก็ทำงานเป็นวิศวกรในบริษัทเอกชน ( ของต่างชาติ ) เกี่ยวกับงานด้านออกแบบผลิตภัณฑ์ อุตสาหกรรม  เปลี่ยนบริษัทไปมา จนถึงปีนี้ก็ 15 ปีแล้ว ในแต่ละปีที่ผ่านๆไป ก็ต้องมีการอบรมเด็กที่จบใหม่ๆ เพื่อให้ทำงานได้ในแผนกอยู่เสมอๆ ทำให้ผมมองเห็นความเปลี่ยนแปลงอะไรๆ ที่เกิดขึ้นในระยะเวลา กว่า 10 ปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะหลังๆ นี้ ผมรู้สึกว่า คุณภาพของเด็กจบใหม่นี่ค่อยๆ แย่ลง ๆ ผมไม่ได้หมายถึง ความสามารถในการเรียนรู้ ( Ability to Study ) แต่ผมกำลังหมายถึง ความสามารถ หรือทักษะในการนำความรู้ไปใช้งาน ( Ability to Apply )  

    ล่าสุดผมต้องขลุกกับเด็กใหม่ ( ทั้งแกะกล่อง และมีประสบการณ์ ) อยู่เกือบสามเดือน ในการทำโปรเจกท์งานเรื่องหนึ่ง ผมไม่ได้คาดหวังอะไรที่เป็นเรื่องน่าทึ่งในการทำงานจากเด็กเหล่านี้ ( ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ) แต่ในฐานะวิศวกรร่นพี่ ผมเปิดโอกาสให้น้องๆ ได้ขบคิดปัญหา หาสมมุติฐาน ออกแบบการทดลอง สรุปผล และวิธีแก้ไข รวมทั้งแนวทางในการปรับปรุง ได้อย่างค่อนข้างเสรี เพราะงานที่ทำในครั้งนี้ ไม่ใช่เรื่องยากเกินไปนัก

    ตลอดเวลาเกือนสามเดือน ผมต้องพบกับสภาพที่เหมือนลูกนก คอยอ้าปาก รอรับอาหารจากผม ค่อยๆ สั่งงานทีละคำสั่ง เพื่อนำไปปฏิบัติ แล้วก็กลับมารอรับคำสั่งต่อไปอีก ทั้งๆ ที่ผมก็เคยอธิบาย และแนะให้รู้ถึงแหล่งข้อมูลที่สามารถค้นคว้าได้ไปแล้วหลายรอบ แนะให้เห็นถึงวิธีคิด หลักการแก้ปัญหาในทางตรรกะ ในหลายๆรูปแบบ ( ไม่ใช่อธิบายแค่เฉพาะเนื้อหาเปลือกนอกอย่างเดียว ) แต่มันกลับไม่ได้ผลเอาเสียเลย ไม่มีไอเดียอะไร ออกมาจากเด็กๆ เหล่านี้ แต่เมื่อผมแนะให้ทำอะไรในขั้นตอนต่อไป พร้อมกับอธิบายถึงหลักแนวคิดในทางวิศวกรรม น้องๆ เหล่านั้น ก็สามารถเข้าใจได้ทันที ( หัวดี จบ ม. ดังๆ กันมาทั้งนั้น )  แต่ไม่มีเลยที่น้องๆ จะสามารถจับสังเกตุ ตั้งข้อสงสัย พิจารณาทฤษฎี ตั้งสมมุติฐาน ออกแบบการทดลอง ดำเนินการทดลอง สรุปผลยืนยันกับสมมุติฐาน แล้วเดินหน้าไปสู่ การทดลองลำดับต่อไป ผมไม่เห็นเรื่องต่างๆ เหล่านี้เลย  ย้ำนะครับ  ว่าผมไม่ได้สนใจความเลิศหรู อลังการในเนื้อหา ผมเพียงอยากเห็นกระบวนการทางความคิดของเด็ก อยากให้เขาได้ใช้เรื่องนี้ เป็นแบบฝึกหัดการทำงานจริงของเขา

    ผมไม่ใช่นักการศึกษา แต่ผมคิดว่า น้องๆ ทุกคนหัวดี จบกันมาเกรดเยี่ยม แสดงว่าทุกคนมีความสามารถในการเรียนรู้กันอย่างดี เพราะเมื่อผมชี้แนะอะไรไป และเพียงแค่โยงเรื่องที่ผมพูด เข้ากับทฤษฎีทางวิศวกรรมต่างๆ ที่น้องๆ เรียนกันมา น้องๆ ก็จะเข้าใจได้เกือบจะทันที  แต่ปัญหาคือ คิดกันเองไม่เป็น   บางครั้งในการสรุปงานบางอย่าง ผมให้เวลาถึงครึ่งค่อนวัน ความคืบหน้าในการสรุปงาน ก็ไปไม่ถึงไหน ทั้งๆ ที่มันแสนจะง่าย (ในความคิดผม เพราะผมคงไม่ปล่อยงานยากให้เด็กใหม่ทำอยู่แล้ว ) แต่หลังจากผมไปตรวจความคืบหน้า และพบว่ามันไม่ได้ไปไหนเท่าไหร่เลย ผมแนะนำไปสองสามวิธี พร้อมอธิบาย ทุกคนก็เข้าใจกันเลย  แปลกนะครับ

    ผมเคยเปิดอก พูดกับเด็กๆ พวกนี้แล้ว พวกเขาก็ยอมรับว่า พวกเขานึกไม่ออก คิดไม่ออกจริงๆ แต่เมื่อได้ฟังผมแนะนำ เขาก็เข้าใจได้ในทันที และยังเจ็บใจว่า ทำไมคิดตั้งนานคิดไม่ออก  พวกเรา ( ทั้งผม และน้องๆ ) สรุปกันว่า เรามีปัญหาเรื่อง ความสามารถในการนำไปใช้

    วันนี้ ( จุดที่ทำให้ผมระเบิด ) มีน้องในกลุ่มเดียวกันอีกคน เดินเข้ามาปรึกษา กับผมอยากไปเข้าคอร์สอบรมเรื่อง การวิเคระห์ไฟไนต์อิลิเมนต์  ผมอึ้งไปพักใหญ่ๆ  เพราะไม่รู้จะตอบอย่างไรดี  ผมไม่มีอคติกับการอบรม หรือเพิ่มพูนความรู้ ( เพราะผมก็ผ่านเรื่องแบบนี้มา ) แต่ขณะนี้ เรา ผมว่า หลายๆ องค์กร คงจะคล้ายๆ กัน คือ เรามีปัญหาเรื่องความสามารถในการนำไปใช้   ถ้าเรามีความรู้อยู่ 100 ผมไม่ปฏิเสธว่าการไปอบรม เพื่อเติมให้เป็น 130 นั้นเป็นเรื่องผิด ( ทั้งๆที่ อีก 30 ที่เพิ่มมา ก็ใช่ว่าจะจำเป็นในทันที ) แต่ในเมื่อ เรายังดึง 100 ที่เรามี และสามารถนำมาใช้กับงานในขณะนี้ของเราได้ในทันที เรายังดึงออกมาไม่ได้ ไม่เป็นกันเลย  แล้วเราจะเติมมันเข้าไปอีก ( ตอนนี้ ) กันทำไม ( วะ )

    ทำให้ผมมองไปไกล ถึงสังคมไทยภาพกว้างว่า เราส่งเสริมให้คนของเรา มีแต่ ความสามารถ ( ทักษะ ) ในการเรียนรู้ กันแต่เพียงอย่างเดียว โดยไม่ได้สนใจ ความสามารถ ( ทักษะ ) ในการนำมาใช้กันเลยหรืออย่างไร ผมเฝ้าสังเกตุเด็กไทย  นิยมชมชอบกับการเรียน เรียนกันแล้ว ก็เรียนกันอีก เรียนกันมา 4 ปี แล้ว ก็อยากจะขอไปเรียนกันอีก เข้าใจกันว่าเรียนแล้ว รู้แล้ว จะทำงานกันได้ดี ได้เป็น อย่างนั้นหรือไง ทั้งๆ ที่ สภาพปัจจุบัน อย่างน้อยในองค์กรผมเอง ก็เห็นกันอยู่แล้ว ว่า ความรู้ 100 ที่มี มันก็เพียงพอต่อการการใช้งานอยู่แล้ว  ยังดึงกันออกมาไม่เป็น แล้วยังจะไปเรียนกันอีก   ( ไม่ได้แอนตี้ )  ผมอยากถามสังคมว่า ที่เรียนกันไปมากๆ นี่ จริงๆ เพราะอยากแตกฉานในเรื่องนั้นๆ หรือ กำลังหนี อะไรอยู่หรือเปล่า ( เช่น หนีสังคม หนีความรับผิดชอบ หนีความเป็นผู้ใหญ่  หนีชีวิตการทำงาน ) หรือว่า การเล่าเรียนเป็นชีวิตที่มีความสุข ไม่อยากจากมันไป โท แล้ว ก็ต้องไป เอก  ถ้ามีจัตวา ก็คงเรียน อย่างนั้นหรือเปล่า  ( ผมไม่หมายรวมถึงคนที่อยากรู้ในศาสตร์แขนงนั้น จริงๆ พวกนี้ผมยกย่องครับ )  

    ผมคิดไปเองหรือเปล่าไม่ทราบ  ในช่วงหนึ่งของชีวิตผมได้มีโอกาสไปเรียนที่ต่างประเทศ พบกับเด็กเจ้าของประเทศ ไม่ค่อยได้เห็นเขาตั้งอกตั้งใจกันอย่างเราเลย เขาทำงานพิเศษ หารายได้กันตั้งแต่มัธยม เพราะอะไรที่นอกเหนือจากปัจจัยพื้นฐานแล้ว พ่อแม่ ไม่ให้ ถ้าอยากได้ ก็ต้องไปทำงานกันเอาเอง จะเห็นเด็กมัธยม มหาวิทยาลัย ทำงานพิเศษกันเป็นเรื่องปรกติ  เพื่อนๆ ผมมันก็เอาเงินไปเที่ยวฮาวาย เที่ยวยุโรปกัน เป็นเรื่องปรกติ  เที่ยวเอเชียเนี่ยะ มันมาตั้งแต่เรียนมัธยมแล้ว  มันบอกว่า เรื่องเรียนเป็นเรื่องทรมานที่ถ้าเลือกได้ก็ไม่อยากทำ เพราะไม่เป็นอิสระ (ไม่ได้ตังค์ ) สู้รีบเรียนให้จบ แล้วเข้าทำงานไปเลยดีกว่า ( ได้ตังค์ด้วย )  หันกลับมามองเด็กไทย  ก็เรียนกันเข้าไป ไม่เห็นลำบากตรงไหน เงินก็มีให้ใช้ งานก็ไม่ต้องทำ สบายจริงๆ  

    ในชีวิตนี้ผมเคยสัมภาษณ์เด็กเก่า เด็กใหม่หลายคน ในจำนวนหลายร้อยคนนี่ โท ก็มีนับไม่ถ้วน ทั้งโทนอก ( ไปเรียน บวกกับไปเที่ยว ได้ประสบการณ์กันมา ไม่ว่ากัน แต่สตาร์ทเท่า ป ตรี นะ )  และโทใน ( แต่ความคิดไม่ต่างกับเด็ก ป ตรี เลย ให้ตายเถอะ )  ถามไปว่า ชอบเรียนต่อกันหรือ คำตอบส่วนใหญ่เลยคือ เพราะไม่รู้ว่าจะไปทำอะไร ก็เลยเรียนต่อไปก่อน  .... เฮ้อ คนฟ้งกลุ้มเลย  ที่เด็ดที่สุดคือมี เอก  มาให้ผมได้พิสูจน์ สอง สามคน  คนแรกไม่ได้สนใจงานของผมมากมายอะไร ทั้งๆ ที่หน่วยงานของเธอก็มีงานลักษณะคล้ายๆ กับของผม ถามว่าทำไมไม่ขอ แอพพลายไปที่หน่วยงานนั้นล่ะ  ตรงสายด้วย  เธอตอบว่า ไม่อยากไป เพราะมันไกล  .... โอ้ เหตุผล ปริญญาเอก มากเลยหล่อน  ที่ของผมมันก็ไกลพอๆ กับที่ของยูแหละครับ  คนที่สองนี่ยิ่งเศร้าใจ   มีงานทำอยู่แล้วด้วย เป็นอาจารย์สอนที่ ม. ที่คะแนนเอนทรานซ์สูงสุด  ถามว่าทำไมอยากมาทำงานที่บริษัทผม เขาตอบว่า ไม่อยากเป็นอาจารย์ แต่จบเอกมา ไม่รู้จะไปทำอะไร ก็ต้องเป็นอาจารย์ไปก่อน ถามว่าแล้วเรียนเอกไปทำไม  ก็ตอบว่า ไม่รู้ มันหัวดี สอบทุนแล้วมันก็ได้ทุน ก็เลยเรียนไปเรื่อยๆ สะดุ้งตื่นก็ จบเอกแล้ว  เนี่ยะกะว่าจะไปเรียนโท ตัวนั้น ตัวนี้เพิ่มอีก  .... โอพระเจ้าช่วย
    ถามต่ออีกว่า แล้วเป้าหมายชีวิต วางไว้อย่างไร  คำตอบพิชิตใจคนสัมภาษณ์คือ  ไม่รู้  ยังไม่ได้คิด  ( ขอโทษ จบ ป เอก  วันนี้ มาสัมภาษณ์งานไม่ใช่หรือ พ่อคุณ ) วินาทีนั้น ผมบอกกับชาวต่างชาติที่มาสัมภาษณ์ด้วยกันว่า ให้รับเขาคนนี้เถอะ  ไม่ใช่เขาเก่ง  แต่ผมสงสารเด็กๆ ที่กำลังเรียนโท กับ อาจารย์คนนี้ แถวๆ สามย่านอยู่  กลัวว่าจะซึมซับทรรศนะแบบนี้ไป  ยุ่งตาย  ครับ สงสารประเทศไทยจับใจ

    ผมอยากถามสังคมไทยดังๆ ว่า
    1)  ถ้าสังคมไทย มีแต่คนที่มี ความสามารถในการเรียนรู้ กันค่อนประเทศ  แต่มีคนที่มี ความสามารถในการนำมาใช้เพียงเล็กน้อย  ถามว่าอนาคตประเทศไทยจะเป็นอย่างไร

    2)  สังคมไทย เชิดชู คนเรียนเก่ง  ผมก็นับถือคนเรียนเก่ง เรารู้จักว่าใครสอบเอนท์ ได้คะแนนเป็นที่หนึ่ง  เรารู้ว่าใครได้เหรียญทองโอลิมปิค ฟิสิกส์ เคมี คณิตศาสตร์  แต่ผมไม่เห็น เราเคยสนใจ หรือติดตามต่อไปเลยว่า แล้วเขาเหล่านั้น ปัจจุบันไปอยู่ไหนกันหมด  ประสบความสำเร็จในชีวิตกันบ้างไหม  ( วันนี้ผมพยายามค้น Google หาว่าใครได้คะแนน วิศวะ จุฬา อันดับหนึ่ง ปี 28  ซึ่งเป็นปีเดียวกับผม  ผมหาไม่เจอครับ  ผมพบแค่ข้อมูลปี 49 เท่านั้น แปลว่าอะไรครับ  วีรบุรุษของเรา Expired กันไปเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้นหรือ  แล้วก็ เมื่อ 10 ปีที่แล้ว คนที่ได้ เหรียญโอลิมปิค สาขาอะไรก็ได้  ตอนนี้ ทำอะไรกันอยู่ครับ ไม่เห็นมีใครตามกันเลย )

    3) ทุกคนเรียนหนังสือกันมา ในวัยเด็ก พ่อแม่สอนให้ทำการบ้าน แน่นอนว่า ต้องตรวจทานแล้วว่าถูกต้องแน่ๆ ทุกข้อ ( ผมก็ด้วย )  แล้วเด็กๆ เรียนรู้ความผิดพลาดกันตอนไหนครับ  เทอมหนึ่งมี 200 กว่าวัน การบ้านทุกข้อ ถูกหมดทุกวัน  มีวันสอบเพียง วันสองวันเท่านั้น ที่เรา หรือพ่อแม่ ไม่ได้เข้าไปด้วย อาจมีทำผิดบ้าง แต่ภาพรวมแล้ว ภูมิคุ้มกันต่อความผิดพลาดของเด็กไทยเรา น่าจะอ่อนมากนะครับ  การให้เขาได้ผิดบ้าง อย่างจงใจเนี่ยะ มันน่าจะเป็นการเรียนรู้ได้อย่างหนึ่งนะครับ แต่ผมไม่แน่ใจว่าคุณครู จะว่าอะไรหรือไม่ ถ้าไม่ได้ตรวจการบ้านแล้ว ถูกทุกข้อ แล้วปั้มดาว ให้สามดวง ในสมุดการบ้านของเด็ก  ผมไม่ใช่นักการศึกษา รบกวนผู้รู้ด้วยแล้วกันนะครับ

    ท้ายสุดนี้ ขอให้สังคมไทย จงเจริญ  ขอให้มี น้อง ๆ ป ตรี มาทำงานกับพี่วิดวะ คนนี้อีกในปีต่อๆไป ขอให้มี น้อง ป โท มาแย่งงานน้อง ป ตรี ไปเรีอยๆ  ขอให้ไม่ต้องมี ป เอก มาสัมภาษณ์อีก  ( เพราะ เซง )  ท้ายสุด ขออวยพรให้ มหาวิทยาลัยที่สังคมยกให้เป็นอันดับหนึ่งนั้น จงควานหาตัว อาจารย์คนนั้นให้เจอ  แล้วจัดการอะไรบางอย่างเสีย  





    เพราะผมสงสารประเทศไทยครับ   กลัวนิสิตที่จบออกมาแล้วจะมีความคิดเหมือนอาจารย์ท่านนั้นน่ะครับ

    แก้ไขเมื่อ 27 พ.ย. 50 00:02:16

    จากคุณ : Dominant_7th - [ 5 ก.ย. 50 00:07:33 ]

 
 


ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com | Torakhong.org | GameRoom