ความคิดเห็นที่ 4
ปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่งในสมัยคังซีคือการสืบราชสมบัติ พระองค์มีพระราชโอรส 36 องค์ พระราชธิดา 20 องค์ (ดูรายละเอียดใน Spence 1988, 119-122) ทรงเข้าพิธีอภิเษกสมรสกับจักรพรรดินีเสี้ยวเฉิง (Xiaocheng) เมื่อ ค.ศ. 1665 ต่อมาใน ค.ศ. 1674 จักรพรรดินีได้สิ้นพระชนม์ลงหลังมีประสูติกาลพระราชโอรสองค์ที่สองของจักรพรรดิคังซีนามว่า อิ้นเหริง (Yinreng) การที่อิ้นเหริงเป็นเด็กกำพร้าทำให้คังซีทรงเอาพระทัยใส่พระราชโอรสองค์นี้เป็นพิเศษและแต่งตั้งให้เขาดำรงตำแหน่งรัชทายาท (ไท่จื่อ) เมื่อ ค.ศ. 1675 อิ้นเหริงได้รับการฝึกฝนให้มีความรู้ในราชการแผ่นดินและได้เป็นผู้สำเร็จราชการรักษาเมืองหลวงเมื่อครั้งที่คังซียกทัพไปปราบเผ่าจุงการ์ใน ค.ศ. 1696 แต่แล้วเมื่อเวลาผ่านไปคังซีได้รับรายงานเกี่ยวกับพฤติกรรมในทางลบของอิ้นเหริงมากขึ้น และพระราชโอรสองค์อื่นๆก็เริ่มที่จะรวมกลุ่มกับขุนนางเพื่อหาทางชิงตำแหน่งรัชทายาท การชิงดีชิงเด่นเช่นนี้ทำให้คังซีไม่อาจไว้วางพระทัยพระราชโอรสหรือขุนนางคนใดคนหนึ่งได้อย่างสนิทใจอีกต่อไป ในทศวรรษ 1690 คังซีจึงริเริ่มระบบฎีกาลับ (secret palace memorials) ซึ่งสามารถส่งรายงานถึงจักรพรรดิโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสำนักเลขาธิการใหญ่ (The Grand Secretariat) เมื่อทอดพระเนตรแล้วจะทรงตอบกลับโดยให้ขันทีของพระองค์ไปส่งคืนแก่ผู้ถวายฎีกาโดยตรง เมื่อเวลาผ่านไปฎีกาลับรายงานพฤติกรรมด้านลบของอิ้นเหริงก็เพิ่มจำนวนมากขึ้น นอกจากจะพบว่าเขาเป็นคนดุร้ายและบ้าอำนาจ คังซียังพบว่าอิ้นเหริงมีพฤติกรรมทางเพศที่ผิดธรรมชาติโดยมีการเกณฑ์เด็กชายรูปงามเข้ามาในวังรัชทายาท ด้วยเหตุนี้ใน ค.ศ. 1708 คังซีจึงปลดอิ้นเหริงออกจากตำแหน่งรัชทายาท เมื่อตำแหน่งนี้ว่างลงพระโอรสองค์อื่นๆต่างพากันแข่งขันชิงตำแหน่งรัชทายาท คังซีจึงทรงหาทางออกด้วยการคืนตำแหน่งให้กับอิ้นเหริงในปีถัดมา อย่างไรก็ตามเขามิได้สำนึกและปรับปรุงตัว อีกทั้งยังวางแผนจะปลงพระชนม์พระราชบิดา คังซีจึงปลดอิ้นเหริงออกจากตำแหน่งรัชทายาทเป็นการถาวรใน ค.ศ. 1712 ระยะเวลา 10 ปีสุดท้ายของรัชสมัยคังซีจึงเป็นช่วงแห่งความไม่แน่นอน ตำแหน่งรัชทายาทว่างลงและจักรพรรดิทรงเข้าสู่วัยชรา สัญญาณแห่งการสิ้นสุดของพระชนม์ชีพใกล้เข้ามา เดือนธันวาคม ค.ศ. 1717 พระนางเสี้ยวหุ้ย (Xiaohui) จักรพรรดินีองค์ที่สองของจักรพรรดิซุ่นจื้อประชวรหนักและสิ้นพระชนม์ ขณะเดียวกันคังซีเองก็ล้มประชวร เวียนพระเศียร พระบาทบวมจนทรงพระดำเนินไม่ได้ สภาพการณ์ในขณะนั้นทำให้คังซีทรงตระหนักถึงความไม่ยั่งยืนของชีวิต พระองค์จึงทรงประกาศพระราชโองการอันมีเนื้อหาเชิงอัตชีวประวัติของพระองค์เองยาว 16 หน้า (ดูพระราชโองการได้ใน Spence 1988, 141-151) และยังได้ทรงย้ำในพระราชโองการฉบับนี้อีกด้วยว่ามิได้ทรงลืมเลือนการแต่งตั้งรัชทายาท ช่วงปีท้ายๆของรัชกาล พระโอรสที่ได้รับความไว้วางพระทัยจากคังซีมีอยู่สองพระองค์คือ พระโอรสองค์ที่ 4 นามว่าอิ้นเจิน (Yinzhen) และพระโอรสองค์ที่ 14 นามว่าอิ่นถี (Yinti) ทั้งสองประสูติจากเจ้าจอมมารดาคนเดียวกัน คังซีทรงปรึกษาราชการแผ่นดินกับ อิ้นเจินบ่อยครั้ง และโปรดให้เขาเป็นผู้แทนพระองค์ในงานสำคัญต่างๆ ส่วนอิ่นถีได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพไปขับไล่เผ่าจุงการ์ออกจากที่ราบสูงทิเบตใน ค.ศ. 1720 เมื่อจักรพรรดิคังซีวัย 69 พรรษาสิ้นพระชนม์ลงในวันที่ 20 ธันวาคม ค.ศ. 1722 อิ้นเจินได้เดินออกมาจากห้องบรรทมของจักรพรรดิและประกาศพระราชโองการของคังซีอันมีใจความว่าทรงมอบราชสมบัติให้แก่ตน ความชอบธรรมของการขึ้นครองราชย์ของอิ้นเจินเป็นจักรพรรดิยงเจิ้ง (Yongzheng) ยังเป็นปริศนามาจนทุกวันนี้ (ดู Zelin 2002, 183-189)
ข้อมูลจากหนังสือ จีนในโลกสมัยใหม่ ของ สิทธิพล เครือรัฐติกาล
จากคุณ :
ชาวจีนศึกษา
- [
9 ก.ย. 50 22:46:19
A:203.156.28.241 X: TicketID:013786
]
|
|
|