PANTIP.COM : K5818284 ถามผู้ที่เรียน ป.ตรี นิติศาสตร์ ภาคบัณฑิต จุฬา ฯ และ ม.ธรรมศาสตร์ [การศึกษา]

ความคิดเห็นที่ 8

ตอบคุณดิวและเด็กชายหัวหอม
ผมเคยเรียนที่ภาคบัณฑิตจุฬา รุ่น 1 ครับ แต่เรียนได้แค่ปีเดียวก็ทิ้งเลย
เพราะตอนนั้นไม่ค่อยว่าง และสู้ค่าเรียนไม่ไหว และยังปรับทัศนคติให้มีหัวคิดแบบนักกฎหมายไม่ได้(พูดง่าย ๆ ว่าสอบผ่านครึ่งตกครึ่งนั่นแหละ)เพราะจบสายวิทยาศาสตร์มาก ตอนนั้นค่าเรียนเทอมนึงก็ร่วม 4 หมื่น ตอนนี้เรียนภาคบัณฑิตที่ธรรมศาสตร์ครับ ปีสุดท้ายแล้ว

จะเล่าประสบการณ์เปรียนเทียบให้ฟังครับ
การสอบเข้า
คล้าย ๆ กัน มีเรียงความ ย่อความเป็นภาษาไทย ที่ธรรมศาสตร์มีสอบความรู้ทั่วไปด้วยเป็น ก ข ค ง เป็นคำถามพร้อมข้อ กม.ที่เกี่ยวข้อง ไม่ยากมาก ไม่ต้องเสียไปติวให้เปลืองเงินและเวลา แค่ติดตามข่าวสารก็น่าจะพอ ฝึกอ่านจับใจความ แล้วสรุปย่อด้วยก็ดี ย่อ 4 หน้า ให้เหลือ 1 หน้า หากเป็นข้าราชการให้ต้นสังกัดมีหนังสือส่งตัวมาสอบก็จะมีคะแนนพิเศษเพิ่มให้ ได้เปรียบเอกชนอยู่บ้าง ผู้สมัครสอบเข้าของธรรมศาสตร์มีจำนวนมากกว่าจุฬา การแข่งขันก็สูงกว่า ตอนผมสอบที่จุฬาคนสอบประมาณ 500 เอง แต่ตอนสอบธรรมศาสตร์น่าจะร่วม 2000แต่ของจุฬาก็มีอัตราผู้สมัครสอบเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทุกปี

ค่าเรียน
แพงกว่าภาคปกติทั้ง 2 แห่ง แต่ธรรมศาสตร์ถูกกว่าจุฬาพอสมควร เท่าไหร่นั้นไม่กล้าบอกเพราะมีการเปลี่ยนแปลง(เพิ่มขึ้น)ทุกปี

จำนวนคนเรียน
จุฬารับ 200 นิด ๆ
มธ.รับ 500 กว่า ๆ

การเรียนและบรรยากาศในห้องเรียน
เรียนที่คณะนิติศาสตร์ ปากซอยจุฬา 42
เรียนจันทร์-ศุกร์ 18.00 -21.00(อาจเกินบ้างบางวัน) วันเสาร์ 9.00 - 16.00 วันเสาร์มีเลี้ยงอาหารว่างด้วย(กาแฟ ขนม)
จุฬา ตอนผมเรียนไม่มีเช็คชื่อนะ แต่ตอนนี้อาจจะมีแล้วก็ได้ แยกเป็น 2 เซกชั่นเกือบทุกวิชา(เรียนคนละอาจารย์ ข้อสอบคนละชุดเรียกว่าเจอเซกชั่นอาจารย์ใจดีก็ดีไป เจออาจารย์เคี่ยวก็เหนื่อย นิสิตพอขึ้นเทอม 2 ก็จะรู้แกว แย่งกันไปลงเรียนกับอาจารย์ที่ใจดีก่อน ใครลงช้าก็เจอของยากไป) ตอนปีที่2 - 3 มีแยกสายเป็น แพ่งอาญา,กม.ธุรกิจ,ระหว่างประเทศและ กม.มหาชนตามความสนใจ ส่วนใหญ่จะเลือกแพ่ง-อาญากับธุรกิจ มหาชนมีเล็กน้อย ระหว่างประเทศนี่อาจจะไม่มีเลย แต่รับปริญญาเป็นนิติศาสตร์บัณฑิตเหมือนกันหมดทุกคน จะรู้ความต่างว่าเน้นอะไรต้องดูใบทรานสคริปเอา เพื่อนร่วมชั้นก็เป็นราชการเยอะเหมือนกันแต่จะมีจากภาคธุรกิจมาเรียนค่อนข้างมากกว่าธรรมศาสตร์อาจเพราะมีแยกสายธุรกิจก็เป็นได้ มีรุ่นหนุ่มสาวเรียนเยอะกว่าธรรมศาสตร์ห้องเรียนมี 2 อาคารคือพินิตประชานาถกับทวาราวดี(อาจจำผิดขออภัย) เป็นตึกสูงชมวิวกรุงเทพได้ 360 องศา แต่รู้สึกจะใช้ร่วมกับคณะนิเทศศาสตร์นะ ห้องสวยสดงดงามดูทันสมัยทีเดียว
จุฬาภาคบัณฑิตได้รับการยกเว้นไม่ต้องเรียนภาษาอังกฤษ

มธ.เรียนที่คณะนิติศาสตร์ ท่าพระจันทร์ตลอดหลักสูตร มีนิติศาสตร์ภาคบัณฑิตที่ศูนย์ลำปางด้วย ใช้อาจารย์ผู้สอนชุดเดียวกันกับที่ท่าพระจันทร์ แต่กระบวนการสอบเข้าการเรียนแยกจากกันเป็นเอกเทศ
เรียนวันจันทร์-ศุกร์ 17.30-20.30 มีเกินบ้างบางวัน วันเสาร์เป็นวันสัมนาแต่เดิมไม่มีเซกชั่น แต่ปีหลัง ๆ เริ่มแบ่งเซกชั่นบ้างเป็นบางวิชาแต่ไม่ต้องเลือกคณะจัดให้ ทุกคนเรียนเหมือนกันหมดไม่มีแยกสายแบบจุฬาแต่ก็ครอบคลุมแพ่ง อาญา ธุรกิจ และระหว่างประเทศเหมือนกัน ไม่มีเช็คชื่อ ยกเว้นวิชาภาษาอังกฤษปีสุดท้ายมีเช็คชื่อ(เซกชั่นที่ผมเรียน) ห้องเรียนปีแรก(เรียกว่าปี 2) เหมือนห้องเรียนโรงเรียนมัธยมแต่ยาวเหยียดจนสุดตึก มีโทรทัศน์ให้ดูเป็นจุด ๆ เหมือนเรียนราม นั่งกันแน่นห้องทีเดียว แต่ไม่ต้องตกใจเดี๋ยวเรียน ๆ ไปห้องจะค่อย ๆ โล่งไปเอง พอปี3-4 ย้ายห้อง ห้องเล็กลงเป็นลักษณะแบบห้องประชุมเป็นชั้น ๆ ไล่ขึ้นไป สวยแบบขลังๆ เพื่อนร่วมชั้นส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ อายุ 30 - 45 เป็นส่วนมาก อายุ20 กว่า ๆ มีพอสมควร เวลาเรียนต้องหาเพื่อนช่วยกันเรียน นิติฯเป็นวิชาที่เรียนคนเดียวเอาตัวรอดยาก โดยเฉพาะภาคบัณฑิตที่ไม่ค่อยมีเวลา

การสอบและวัดผล
จุฬา มีสอบมิดเทอม 2 ข้อ 40 คะแนน ปลายภาค 3 ข้อ 60 คะแนนหรือบางวิชาอาจมีคะแนนเก็บ คะแนนช่วยอะไรทำนองนั้น ข้อสอบเป็นคนละชุดกับภาคปกติจึงไม่จัดสอบพร้อมกันคือสอบตอนเย็นเวลาเดียวกับเวลาเรียน ตัดคะแนนผ่านที่ 50 คะแนน ให้เกรดเป็น A B+ B C+ C D+ Dและ F เป็นการสอบรอบเดียวไม่มีซ่อม ถ้าตกก็ลงใหม่สถานเดียว เกณฑ์รีไทร์จำไม่ได้

มธ.ไม่มีคะแนนเก็บ ไม่มีสอบกลางภาค ใช้การสอบปลายภาคครั้งเดียว 100 คะแนนเสียวสุด ๆ ข้อสอบเป็นชุดเดียวกันกับภาคปกติส่วนใหญ่ จึงจัดสอบพร้อมกัน ดังนั้นจึงต้องเตรียมลางานมาสอบด้วยเพราะสอบตอนช่วงเช้าถึงบ่ายไม่เหมือนตอนเรียน ตัดคะแนนผ่านที่ 60 คะแนน ต่ำกว่านี้คือตก แต่สามารถสอบแก้ตัวตอนหลังจากประกาศคะแนเทอมสองแล้วได้แต่ไม่เกินเทอมละ 12 หน่วยกิจหรือไม่เกิน 4 วิชา ไม่มีการให้เกรดใช้วิธีเอาคะแนนแต่ละวิชามารวมกันเลย น่าจะเป็นคณะเดียวในประเทศไทยที่ใช้เกณฑ์แบบนี้วัดผล เกณฑ์รีไทร์คือต่ำกว่า 60 เปอร์เซนต์ของคะแนนรวมทุกวิชาตอนจบเทอมที่ 4

คุณภาพอาจารย์
คุณภาพสูงชนเพดานทั้ง 2 แห่งจุฬามีอาจารย์จบจากอังกฤษ อเมริกาค่อนข้างมากจบฮาร์วาร์ดก็เยอะ(น่าจะเน้นด้าน กม.ธุรกิจส่วนใหญ่) แต่ก็ใช่ว่า มธ.จะไม่มี
มธ.มีอาจารย์ที่จบจากภาคพื้นยุโรปเยอะกว่า(แหล่งกำเนิดกม.แพ่ง-อาญาและกม.มหาชนของไทย) แต่ก็ใช่ว่าจุฬาจะไม่มี
จุฬามีอัตราส่วนของอาจารย์ต่อลูกศิษย์ที่น้อยกว่าประมาณ 1 ต่อ 30-35 อันนี้อาจารย์จุฬาพูดให้ฟัง ดังนี้จึงน่าจะใกล้ชิดพูดคุยได้ง่ายกว่า(แต่ส่วนตัวคิดว่าจะใกล้ชิดหรือไม่อยู่ที่เราจะเข้าหาหรือเปล่า เพราะอาจารย์ทั้งสองที่ ต่างก็ให้ความเป็นกันเองและพร้อมพูดคุยด้วยอยู่แล้ว)
ธรรมศาสตร์มีอาจารย์ที่มีตำแหน่งศาสตราจารย์มากกว่า อันนี้อาจารย์มธ.ก็พูดให้ฟังเหมือนกัน

สิ่งสนับสนุนการเรียน
จุฬามีระบบพี่เลี้ยง คือมีเจ้าหน้าที่ของคณะทำหน้าที่ช่วยเหลือด้านธุรการให้นิสิต เรียกว่าเป็นธุรการเชิงรุกก็ได้ เวลามีข้อสงสัยหรือมีปัญหาอะไรเช่นทำบัตรนักศึกษาใหม่ หรือต้องการเอกสารอะไร ก็สามารถถามจากเจ้าหน้าที่นั่งอยู่ในห้องที่อยู่หน้าห้องเรียนได้เลยใจดีไม่ดุไม่ทำหน้ารำคาญใส่ รู้จักนิสิตทุกคน มีบทบาทความสำคัญไม่น้อยไปกว่าอาจารย์เลยทีเดียว มีการหาตำรับตำราที่ต้องใช้มาจำหน่ายให้ถึงห้อง มีห้องสมุดคณะที่ตอนผมเรียนยังไม่ค่อยสมบูรณ์นัก เพราะเพิ่งย้ายมาอยู่ตึกใหม่ตอนนี้น่าจะสมบูรณ์แล้ว ร้านถ่ายเอกสารอยู่หน้าห้องสมุด มีโรงอาหารอยู่ใต้ตึกไม่ต้องเดินไกล ใกล้ตลาดสามย่านของกินเด็ด ๆ เพียบ มีปฐมนิเทศต่างจังหวัดตอนเข้าเรียนใหม่ๆ จัดโดยคณะในปีที่ผมเรียนเพราะไม่มีรุ่นพี่ ปีหลัง ๆ ไม่รู้ว่าให้จัดกันเองหรือคณะเป็นผู้จัดก็ไม่ทราบ

มธ. พูดแล้วมันน่าน้อยใจจริง ๆเลย ไม่มีพี่เลี้ยงมาคอยเสี้ยมสอน มีแต่พี่เอ็ดดี้(เจ้าหน้าที่ทำหน้าที่คอยดูแลห้อง)มีอะไรก็ใช้วิธีติดบอร์ดประกาศเอา เจ้าหน้าที่ธุรการไม่รู้จักกับนักศึกษา ไม่มีหนังสือมาขายให้ในห้องเพราะมีร้านขายหนังสือที่คณะเองเลย มีห้องสมุดที่สุดยอดแห่งความทันสมัยและครบครัน มีร้านถ่ายเอกสารที่คณะเอาชีสอะไรถามหาได้ที่นั่น มีงานรับเพื่อนใหม่ต่างจังหวัดโดยนักศึกษาเป็นผู้จัดกันเอง ไม่มีโรงอาหารของตัวเองต้องฝากท้องแถว ๆ บัญชีไม่ก็เศรษฐศาสตร์ แต่ก็มีท่าพระจันทร์ของกินเพียบพอ ๆ กับสามย่านนั่นแหละ

อิทธิพลของคณะต่อมหาวิทยาลัย
จุฬา นิติฯ ถือเป็นคณะเล็ก ไกลปืนเที่ยง ตั้งอยู่หัวไร่ปลายนาอะไรทำนองนั้น ประมาณกำนัน ผู้ใหญ่บ้าน

มธ. นิติฯ ถือเป็นคณะใหญ่ พูดถึงธรรมศาสตร์ต้องนึกถึงนิติฯก่อนเลย มีบทบาททั้งในทางบริหารของมหาวิทยาลัยและในทางประวัติศาสตร์ที่นอกจากยาวนานแล้วและยังเข้มข้นอีกด้วย

บัณฑิตของภาคบัณฑิต
จุฬา เพิ่งมีเมื่อปี 46 เป็นรุ่นแรก ทั้งที่มีโครงการภาคค่ำมาก่อนมธ. แต่ก็เพิ่งจะปรากฎเป็นรูปเป็นร่าง จบไปเพียง 2 รุ่นเท่านั้น ดังนั้นจึงถือว่ายังอยู่ในช่วงที่ต้องพิสูจน์ตัวเองให้สังคมยอมรับคุณภาพของภาคบัณฑิตอยู่ แต่ชื่อว่าจุฬาอย่างไรก็เป็นที่คาดหวังของสังคมและน่าจับตามองอยู่แล้ว

มธ. มีมายาวนานกว่า 30 ปีแล้ว ไคงไม่ต้องพิสูจน์อะไรอีกเพราะถ้าไม่ดีพอ ก็คงยุบหลักสูตรไปนานแล้ว นักศึกษาภาคบัณฑิตเป็นอาจารย์สอนกฎหมาย(แม้แต่ที่ธรรมศาสตร์เอง) ทนาย อัยการ ผู้พิพากษาเยอะแยะ

จากคุณ : มือปืนสาละวิน (มือปืนสาละวิน) - [ 19 ก.ย. 50 02:46:36 ]