ความคิดเห็นที่ 1 อืมน่าคิดเหมือนกัน แต่ในความเห็นของผม ผมคิดเห็นว่า ที่ มก. ดังกว่า ม.แม่โจ้ อาจเป็นเพราะว่า มก.นั้นอาจอยู่ในเมืองหลวง และอาจมีลูก คนใหญ่คนโต เรียนอยู่  ก็คงเป็นได้ครับ  แต่ ที่ผมสงสัยคือ เคยได้ยินมาว่า  ม.แม่โจ้ แยกออกมาจาก มก. ไม่ใช่หรอครับ จากคุณ : วัชเรศรกรพัฒ (keke_lovely) - [ 20 ก.ย. 50 03:44:44 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตั้งก่อน ใช่ว่าจะต้องดังกว่านี่ครับ ใช่มั้ยครับ ส่วนเรื่องทุนอานันท์ฯ เป็นเรื่องข้อกำหนดของทุนครับ เมื่อทุนกำหนดมาแบบนั้น ก็ต้องตามนั้นครับ จากคุณ : ชาเขียว - [ 20 ก.ย. 50 04:06:15 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ม.เกษตรแยกมาจากแม่โจ้ครับ เห็นแม่โจ้เคยฉลองครบรอบร้อยปีด้วยเนี่ย เมื่อหลายปีมาแล้ว ส่วนเรื่องทุนอานันทมหิดล แผนกเกษตรศาสตร์ไม่ได้กำหนดว่าต้องจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เท่านั้นหรอกครับจึงจะได้ทุน ในระเบียบกำหนดว่า 1.จบเกษตรศาสตร์โดยตรง เช่น พืชสวน พืชไร่ โรคพืช สัตวบาล ปฐพีวิทยา เกษตรกลวิธาน ประมง ป่าไม้ ฯลฯ จบจากม.เกษตรหรือมหาวิทยาลัยอื่นก็ได้ 2.สาขาที่เกี่ยวข้องกับการเกษตร เช่น วิศวกรรมเกษตร อุตสาหกรรมเกษตร เศรษฐศาสตร์เกษตร ฯลฯ ต้องจบจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์เท่านั้น เมื่อพิจารณาตามเกณฑ์นี้แล้ว คนที่จบเกษตร แม่โจ้ ย่อมจะเข้าข่ายเกณฑ์ข้อที่ 1 แต่จากประวัติที่ผ่านๆนับแต่ตั้งแผนก ไม่เคยมีคนจบแม่โจ้ได้เลย ทั้งๆที่แม่โจ้ก็เป็นมหาวิทยาลัยที่สอนเกี่ยวกับการเกษตรมานานมาก เลยตั้งเป็นข้อสงสัยเฉยๆครับ จากคุณ : จขกท. - [ 20 ก.ย. 50 06:36:36 A:58.9.49.227 X: TicketID:145241 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อันนี้จากมุมมองของผมนะ ในยุคก่อนวัตถุประสงค์ในการผลิตบุคลากรต่างกันครับ   แม่โจ้นั้นเป็น farming university คือผลิตคนออกมาเพื่อปฏิบัติงานในฟาร์มจริงๆ   ซึ่งประสบความสำเร็จตามข้อนี้เป็นอย่างดี   ได้สร้างเกษตรกรที่มีคุณภาพให้กับประเทศมากมาย ส่วน ม. เกษตรศาสตร์นั้นเน้นการผลิตบุคคลากรในสายงานวิชาการมากกว่า จากคุณ : Tanis - [ 20 ก.ย. 50 08:46:33 ]

ความคิดเห็นที่ 6 รับน้องแม่โจ้หนักมากๆ แต่เป็นส่วนหนึ่งของความอดทน เป็นที่รู้กัน ไม่มีใครสามารถเปลี่ยนได้ คนที่คิดจะไปเรียนที่นั่นต้องตั้งใจจริง ญาติดิฉันจบที่นั่นสามรุ่น ทำงานมีเกียรติเช่นคนจบสถาบันอื่น ส่วนที่ไม่ได้รับทุนขอเดานะคะ แม่โจ้อาจจะใช้คำนำหน้าว่ามหาวิทยาลัย ทีหลังหรือเปล่าคะ จากคุณ : ชอบอ่าน - [ 20 ก.ย. 50 08:55:55 A:58.8.166.2 X: ]

ความคิดเห็นที่ 7 เป็นความรู้ใหม่เลยค่ะ เพิ่งทราบว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แยกออกมาจาก แม่โจ้ จากคุณ : งามสรรพ - [ 20 ก.ย. 50 09:39:41 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ผมเห็นด้วยกับ คห.5 ถ้าเป็นต่างประเทศ ก็จะคล้ายลักษณะนี้ แต่รัฐบาลเขา ดูแลเรื่องเกษตรดี ทำให้สามารถมีรายได้ หรือพัฒนากิจการรุ่งเรืองขึ้น ไม่เหมือนของไทย แค่ปลูกออกมา ราคาก็ไม่คุ้มกับค่าจ้างเก็บผลผลิตแล้ว แล้วจะทำอะไรได้ จากคุณ : EDM_MAN - [ 20 ก.ย. 50 09:53:05 ]

ความคิดเห็นที่ 9 1.แม่โจ้ เฉพาะทางมากไป ขณะที่เกษตร มีความกว้างมากกว่า 2.การประชาสัมพันธ์-การตลาด 3.ศิษย์เก่าก็มีความหมายในการผลักดันมหาวิทยาลัย 4.การเข้าถึง -แม่โจ้อยู่ไกล พ่อแม่เด็กๆ ไม่อยากให้ลูกไปเรียน 5.ความสัมพันธ์นอกมหาวิทยาลัย ทั้งใน-นอกประเทศ 6.ภาพลักษณ์..แม่โจ้ดุเหลือเกิน จากคุณ : ชัยบาล - [ 20 ก.ย. 50 10:03:32 ]

ความคิดเห็นที่ 10 แถวบ้านผมมีแต่คิดว่าผมไปเรียนแม่โจ้ เพราะแม่บอกว่าไปเรียนเชียงใหม่ใครมาถามก็ว่าไปเรียนแม่โจ้เหรอ ผมงี้ไม่พอใจเลยเพราะเราเรียนมช. อะ แต่ผมคิดว่าแม่โจ้ไม่ดังตามข่าวก็จริงนะครับ แต่ในความรู้สึกของคนก็ไม่ได้ทิ้งแม่โจ้ไปนะครับ แต่มีแต่ทางเหนือนี้แหละครับที่ มช. ดังกว่าแม่โจ้ ผมยังเคืองๆแถวๆบ้านผมอยู่เลย แหม แม่โจ้มีคณะแพทย์ด้วย จากคุณ : พริบพลี (พริบพลี) - [ 20 ก.ย. 50 10:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไม่เห็นเคยได้ยินเลยว่า ม.เกษตรฯ แยกตัวมาจากแม่โจ้ อ้างอิงมายังไงเหรอ สงสัยจัง เพราะว่าเก่าแก่กว่า กับ เป็นมหาลัยหลัก มันต่างกันเนาะ อืม..สงสัยจัง จากคุณ : antanoy - [ 20 ก.ย. 50 11:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 12 มั่วเปล่า ม.เกษตร แยกจากแม่ โจ้ ม.เกษตร ม.เกษตรเดิม เป็น โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม เมื่อ พ.ศ. 2460 อยู่ที่กรุงเทพ แล้ว จากคุณ : ระธี - [ 20 ก.ย. 50 12:01:47 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คุณวิกกี้เขาว่ามาอย่างนี้ นับตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระองค์ทรงส่งนักเรียนไทยไปเรียนต่างประเทศจำนวนมาก ในจำนวนนี้มีพระยาเทพศาสตร์สถิตย์ และ เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ซึ่งเป็นผู้ที่มีบทบาทในการพัฒนาด้านการเกษตรของไทย โดยทั้ง ๒ ท่านได้เริ่มก่อตั้ง "โรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรม" ขึ้นที่ ตำบลหอวัง เยื้องกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในปี พ.ศ. ๒๔๖๐ และได้ย้ายไปที่ ตำบลพระประโทน จังหวัดนครปฐม ในเวลาต่อมา หม่อมเจ้าสิทธิพร กฤดากร และเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี ได้ขยายการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมไปสู่ระดับภูมิภาค โดยภาคกลาง ตั้งอยู่ที่ จังหวัดสระบุรี ภาคเหนือ ตั้งอยู่ที่ จังหวัดเชียงใหม่ ภาคอีสาน ตั้งอยู่ที่ จังหวัดนครราชสีมา และภาคใต้ ตั้งอยู่ที่ จังหวัดสงขลา แต่ในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ได้มีการยุบรวมโรงเรียนในส่วนภูมิภาคทั้งหมดเข้าไว้ด้วย โดยหลวงอิงคศรีกสิการ หลวงสุวรรณวาจกกสิกิจ และพระช่วงเกษตรศิลปการ ได้ร่วมกันเสนอให้คงโรงเรียนไว้ที่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ เพียงแห่งเดียว และเปลี่ยนชื่อเป็น "โรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม" (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้)แต่ไม่นานโรงเรียนก็ได้ปิดลงตามการปรับระบบราชการในกระทรวงธรรมการ แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง ก็ได้ก่อตั้ง "วิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ขึ้นที่ อำเภอสันทราย จังหวัดเชียงใหม่ (ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้)อีกครั้ง ตามความต้องการของกระทรวงเกษตราธิการ แต่เนื่องจากกระทรวงเกษตราธิการมีสถานีกสิกรรมอยู่ที่ อำเภอบางเขน ดังนั้น จึงได้ย้ายวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มาตั้งอยู่ที่ อ. บางเขน แทนและให้ส่วนราชการที่ อำเภอสันทราย เป็น "โรงเรียนเตรียมเกษตรศาสตร์" เพื่อเตรียมนิสิตให้วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต่อไป ในปี พ.ศ. ๒๔๘๖ " วิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ได้รับการยกฐานะขึ้นเป็น "มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ใน สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม โดยมีฐานะเป็นกรมในสังกัดกระทรวงเกษตราธิการ http://th.wikipedia.org/wiki/มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 20 ก.ย. 50 12:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แต่รู้สึกว่าในนิยายจะชอบใช้ฉาก แม่โจ้มากกว่า มก.นะ ล่าสุดก็เรื่องเมื่อดอกรักบานไง ... เห็นด้วยกับที่คุณชัยบาลบอกค่ะ คิดว่าเป็นเพราะทำเลที่ตั้ง   เงินงบประมาณ  ศิษย์เก่า ... คณะแพทย์หรือคณะที่ศิษย์เก่าจะมีฐานทางการเงิน+ชื่อเสียง     ยังตั้งมาไม่นานเมื่อเทียบกับ มก.   ... แต่เราก็ยังสงสัยมาจนบัดนี้ว่าทำไมอาชีพเกษตรกรไทย(ส่วนใหญ่)ถึงได้ค่อนข้างจน  ทั้งที่เราเป็นประเทศเกษตรกรรม ... เราอยากให้คณะที่สอนด้านการเกษตร สอนการจัดการการเงิน +เทคนิคการตลาดแบบง่ายๆ  + เรื่องการแปรรูป + เรื่องการทำสหกรณ์ ให้ด้วย  ( หรือถ้ามีอยู่แล้วก็ยิ่งดีเลย ) จากคุณ : ไทยเจริญ - [ 20 ก.ย. 50 12:38:00 ]

ความคิดเห็นที่ 15 หนูรักทั้งแม่โจ้  และ เกษตร  นั่นแหละค่ะ สงสัยอยู่กทม. รึเปล่าคะ  เลยดังกว่า   ม่ะได้เป็นศิษย์ทั้ง 2 ที่เลย  แต่อยากตอบ  อิอิอิ จากคุณ : ไข่เจียว***สูตรพิเศษ - [ 20 ก.ย. 50 14:19:27 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เพิ่งทราบเหมือนกันครับ จากคุณ : ตักสุรา - [ 20 ก.ย. 50 14:33:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 คุณความเห็นที่ 4 เราว่าน่าจะใช้คำพูดที่สุภาพกว่านี้ ในฐานะศิษย์เก่าก็เห็นด้วย กับความเห็นที่ 5 นะ เราก็อยากให้แม่โจ้พัฒนาทางด้านวิชาการมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่เราเชื่อว่า แม่โจ้ไม่ด้อยกว่าที่อื่น คือ มิตรภาพ น้ำใจ ที่ทุกคนมีให้กัน จากคุณ : utumporn mama - [ 20 ก.ย. 50 14:46:13 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อีกนิดนึง ที่สังเกต ทำไมเกษตร แม่โจ้ ได้เป็นมหาวิทยาลัย ส่วน เกษตร บางพระ ได้มาเป็น เทคโนราชมงคล จากคุณ : วาหนิติ์นิกร - [ 20 ก.ย. 50 15:48:19 ]

ความคิดเห็นที่ 19 พ.ศ. ๒๔๘๑ กระทรวงธรรมการได้ยุบเลิกโรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมภาคใต้ ที่คอหงส์ จังหวัดสงขลา โรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมภาคกลาง บางกอกน้อย ธนบุรี และโรงเรียนมัธยมวิสามัญเกษตรกรรมภาคอีสาน ที่โนนวัด จังหวัดนครราชสีมา และโอนกิจการทั้งหมดของโรงเรียนเหล่านั้นมารวมกันที่มัธยมวิสามัญเกษตรกรรมภาคเหนือที่แม่โจ้เพียงแห่งเดียว ในปีเดียวกันนี้เอง ได้โอนกิจการจากกระทรวงธรรมการ ไปอยู่ในความดูแลของกระทรวงเกษตราธิการ และเปลี่ยนเป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์แม่โจ้โดยได้รับผู้ที่สำเร็จจากหลักสูตรมัธยมวิสามัญเกษตรกรรม เพื่อเข้าศึกษาตามหลักสูตรอนุปริญญา เป็นเวลา 3 ปี ทางเกษตรศาสตร์ สหกรณ์และวนศาสตร์ พ.ศ. ๒๔๘๒ กระทรวงเกษตราธิการได้จัดตั้งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นที่เกษตรกลาง บางเขน กรุงเทพฯ และที่แม่โจ้ให้เตรียม เป็นวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ หลักสูตรเวลาเรียน 2 ปี โดยรับจากผู้สำเร็จชั้นมัธยมปีที่ 6 สำเร็จจึงเข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขนได้เลย พ.ศ. ๒๔๘๖ เปลี่ยนเป็น "โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์" ทั้งนี้เพราะวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ที่บางเขน ได้รับการสถาปนาเป้นมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ http://www.mju.ac.th/new-history/index.htm และ ในปี พ.ศ. 2481 กระทรวงเกษตราธิการได้จัดตั้งสถานีเกษตรกลางขึ้นในท้องที่ อำเภอบางเขน กรุงเทพมหานคร อันเป็นที่ตั้งวิทยาเขตหลักของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในปัจจุบัน และ ""ได้ย้ายวิทยาลัยเกษตรศาสตร์จากแม่โจ้มาบางเขน"" มีหลวงสุวรรณวาจกกสิกิจเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัย เปิดสอนหลักสูตร 3 ปี ในระดับอนุปริญญา โดยมี 3 แผนก คือแผนกเกษตรศาสตร์กับแผนกสหกรณ์ ซึ่งเปิดสอนที่บางเขน (สำหรับนักศึกษาแผนก สหกรณ์ ชั้นปีที่ 3 ต้องไปเรียนที่กรมสหกรณ์ ท่าเตียน เพื่อสะดวกในการอบรมวิชาภาคปฏิบัติ) และแผนกวนศาสตร์ซึ่งเปิดสอนที่โรงเรียนวนศาสตร์ จังหวัดแพร่ (ต่อมาโรงเรียนวนศาสตร์ได้แยกดำเนินกิจการในลักษณะเดิมอีกตั้งแต่ พ.ศ. 2499) http://www.ku.ac.th/about/history.html#n1 ถ้าผนวกกับที่คุณเพ็ญชมพู เอามาแปะ ก็จะไปกันได้ดีกับที่ผมเอามาแปะจากเว็บประวัติของทั้งสองมหาวิทยาลัย สรุปง่ายๆ ก็คือ แม่โจ้ ตั้งมาก่อน ต่อมา รัฐบาลค่อยตั้งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้น ที่แม่โจ้ และได้ย้ายวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ จากแม่โจ้มาไว้ที่บางเขนในระยะเวลาต่อมา โดยให้แม่โจ้ทำหน้าที่เป็นเหมือนโรงเรียนเตรียม ใครอยากเข้าวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็ต้องไปเรียนที่แม่โจ้ก่อน (ทำนองเหมือนโรงเรียนเตรียมอุดมของจุฬาฯ กับของ ธรรมศาสตร์มั้งครับ) จากที่ว่ามาทั้งหมด พอจะกล่าวได้เลยว่า ม.แม่โจ้เป็นที่กำเนิดของม.เกษตรศาสตร์ เพราะตั้งมาก่อนหนึ่ง และ ในระยะแรกๆวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ก็เคยตั้งอยู่ที่แม่โจ้มาก่อนหนึ่ง พอจะพูดได้อีกเหมือนกันว่าม.แม่โจ้กับม.เกษตร เคยมีประวัติร่วมกันในระยะแรกๆของการก่อตั้งมหาวิทยาลัยและการเกษตรในประเทศไทย เริ่มมาแยกกันเมื่อ วิทยาลัยเกษตรศาสตร์ย้ายจากแม่โจ้มาที่บางเขน ดังนั้น คุณantanoy กับคุณระธี ถ้ายังอยู่ ก็มาขอโทษผมด้วยครับ ที่หาว่าผมกล่าวมั่วๆ ไม่มั่วครับ เพียงแต่ไม่ได้โค้ดมาลงไว้ เพราะเห็นว่าไม่จำเป็น ผมไม่ได้เขียนงานวิชาการ อีกอย่างถ้าใครที่สงสัยว่ามันไม่จริง ก็สามารถใช้สติปัญญาไปค้นหาจากในเว็บประวัติของมหาวิทยาลัยหรือในวิกิพีเดียมาอ่านได้อย่างสบายๆ เมื่ออ่านแล้ว ก็จะพบว่ามันเป็นจริงอย่างที่ผมได้กล่าวมา จากคุณ : จขกท. - [ 20 ก.ย. 50 15:50:37 A:58.9.47.92 X: TicketID:145241 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ผมคิดว่า น่าจะเป็นปัจจัยเรื่อง 1.การพัฒนาทางวิชาการของ ม.เกษตรศาสตร์ ที่ทำได้อย่างมีทิศทางเเละต่อเนื่องได้ดีกว่า (สร้างเเบรนด์ได้อย่างต่อเนื่องว่าเน้นเรื่องเกษตรอย่างเเท้จริงในระยะเเรกๆ) ประกอบกับ การที่อยู่ในเมืองหลวงย่อมได้เปรียบกว่ามหาวิทยาลัยส่วนภูมิภาค (ทั้งในเรื่องทรัพยากร บุคลากร คุณภาพของเด็ก) รวมไปถึงเรื่องของศิษย์เก่าที่ทำได้อย่างเป็นระบบมั้งครับ จึงทำให้ม.เกษตรดูโดดเด่นกว่ามั้งครับ เเต่ว่าเเม่โจ้ก้ดังนะครับในความเห็นของผม พูดถึงการเกษตรก็นึกถึงม.เกษตร กับ เเม่โจ้ครับ (ในความคิดของผมนะ) จากคุณ : dr.pa (dr.pa) - [ 20 ก.ย. 50 16:27:18 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ขอเสนอด้วยคนนะคะ คือว่า ม.เกษตรฯจะไม่เน้นที่เกษตรอย่างเดียว วิศวกรรมศาสตร์และสัตวบาลรวมถึงสัตวแพทย์ก็ได้รางวัลบ่อยๆ รวมทั้งคหกรรมศาสตร์ที่มีผลงานอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากให้คิดว่าที่ไหนดังกว่ากัน แต่ถ้าสำหรับแม่โจ้อาจเป็นเฉพาะทางมากกว่า และเน้นการปฏิบัติ ส่วนม.เกษตรฯ ต้องขยายวิทยาเขตไปที่กำแพงแสนในส่วนของสาขาการเกษตร เพราะไม่มีพื้นที่พอ ดังนั้น ไม่อยากให้เปรียบเทียบเลยค่ะ ศิษย์มีครูดีทุกสถาบัน ยังไงเราก็ลูกพ่อเดียวกัน ^^ จากคุณ : ยอดหญิงZ-ri - [ 20 ก.ย. 50 18:34:32 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขอร่วมขยายความเพิ่มเติมครับ มูลเหตุของการคิดอ่านตั้งโรงเรียนฝุกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นที่หอวังนั้น  สืบเนืองมาจากพระบรมราโชบายในการจัดการศึกษาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว  ที่มุ่งเตรียมความพร้อมนักเรียนให้มีวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพติดตัว  จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์ซึ่งเป็นแผนกหนึ่งของโรงเรียนข้าราชการพลเรือน จ.ป.ร. หรือที่ต่อมาได้ประดิษฐานเป็นจุฬาลงกรณ?มหาวิทยาลัย  จัดตั้งแผนกวิชาฝึกหัดครูประถมกสิกรรมขึ้นที่หอวัง  โดยมีแปลงฝึกหัดเพราะปลูกอย฿ตรงบริเวณสยามแสควร์ในปัจจุบัน  โดยมีพระยาเทพศาสตร์สถิตย์ (โห้  กาฬดิษย์) ซึ่งเป็นนักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงออกไปศึกษาวิชาฝึกหัดครูกสิกรรมที่อังกฤษพร้อมกับเจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี เสาบดีกระทรวงธรรมการ เป็นครูใหญ่แผนกฝึกหัดครูกากรรมคนแรก ต่อมาพระยาเทพศาสตร์สถิคย์ พิจารณาเห็นว่าที่ดินบริเวณวังใหม่นั้นไม่เหมาะที่จะทำเป็นโรงเรียนประถมกสิกรรม  จึงได้มีการย้ายโรงเรียนออกไปเปิดที่พระประโทน  จังหวัดนครปฐม  แล้วได้มีการให้ทุนนักเรียนจากมณฑลต่างๆ มาเล่าเรียนเป็นเวลา ๒ ปี  จบการศึกษาแล้วส่งกลับไปอยู่ภูมิลำเนาเดิมของตน  ต่อมาได้ย้ายโรงเรียนประถมกสิกรรมไปอยู่ที่บางสะพาน  แล้วได้เปิดสอนที่ทับกวาง  สระบุรี  กับที่คอหงส์  จังหวัดสงขลา เมื่อประกาศใช้พระราชบัญญัติประถมศึกษา พ.ศ. ๒๔๖๔ แล้ว  นายพลตรี พระยาเทพหัสดิน (ผาด  เทพหัสดิน ณ อยุธยา) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครสวรรค์ (คนเดียวกับที่เป็นแม่ทัพไทยไปสงตรามโลกครั้งที่ ๑) ได้ริ้ริ่มจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมขึ้นที่มณฑลนครสวรรค์เพื่อเตรียมการฝึกหัดครูออกไปสอนวิชากสิกรรมซึ่งทางราชการบังคับให้นักเรียนที่จบชั้นประถมศึกษาแล้วไม่ได้เรียนต่อชั้นมัธยมต้องศึกษาวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพในโรงเรียนต่ออีก ๒ ปี  ต่อมากระทรวงธรรมการตระหนักถึงความสำคัญของการเตรียมครูกสิกรรมออกไปสอนตามโรงเรียนประชาบาล  จึงได้สั่งการให้มีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมขึ้นทุกมณฑลทั่วพระราชอาณาจักร  โดยใช้นักเรียนที่จบจากโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมเป็นครูใหญ่  และครูผู้สอน  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงได้มีการยุบรวมโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นต้นประจำมณฑลกับโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมเข้าด้วยกัน  เพื่อให้ครูที่จะออกไปสอนในโรงเรียนประชาบาลชั้นประถมนั้นสามารถสอนได้ทั้งวิชาสามัญและวิชาทำมาหาเลี้ยงชีพ ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูประถมกสิกรรมที่บางสะพาน  ทับกวางและคอหงส์นั้นก็ยังคงฝึกหัดครูประกาศนียบัตรประถมกสิกรรม  ซึ่งเป็นคุณวุฒิชั้นสูงเทียบได้กับชั้นมัธยมศึกษาต่อไป   ต่อมาในสมัยเปลี่ยนแปลงการปกครอง  รัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยมีนโยบายให้คนไทยทุกคนได้เล่าเรียนโดยเสมอภาค  และได้มีการส่งเสริมการอาชีวศึกษาเป็นอย่างมาก  มีการขยายการศึกษาระดับอาชีวศึกษาในระดับมัธยมต้นขึ้นเป็นเอกเทศจากโรงเรียนสามัญ  นักเรียนที่จบชั้นประถมแล้ว  สามารถที่จะเลือกไปศึกษาต่อชั้นมัธยมการช่างได้  ประกอบกับในปี พ.ศ. ๒๔๗๖ เกิดกบฏบวรเดชขึ้น  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๗๗ ทางราชการจึงได้ยุบรวมโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมทั้งสามแห่งมารวมกันไว้ที่แม่โจ้  แล้วส่งบุตรหลานของคณะผู้ก่อกบฏบวรเดชนั้นมาเล่าเรียนวิชากสิกรรมอยู่ที่แม่โจ้  ซึ่งสมัยนั้นการเดินทางจากเชียงใหม่ไปแม่โจ้มีอยู่ทางเดียว คือ เดินเท้าใช้ระยะเวลาประมาณ ๓ ชั่วโมง (สัมภาษณ์เจ้าของร้านข้าวซอยลำดวน จ.เชียงใหม่  ศิษยเก่าแม่โจ้ รุ่นปี พ.ศ. ๒๔๘๒) จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 20 ก.ย. 50 18:40:07 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ต่อครับ   ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๗๘ กระทรวงธรรมการเห็นว่า นักเรียนมุ่งแต่จะเรียนวิชาสามัญ  เพ่อสอบเข้ามหาวิทยาลัยกันมาก  เมื่อสอบเข้าไม่ได้ก็จะเป็นการเสียเวลาที่จะต้องย้อนกลับไปเรียนทางสายอาชีวะ  จึงได้ปรับปรุงหลักสูตรวิชาสามัญจากเดิม ๑๒ ปี ลงเหลือ ๑๐ ปี  คื่อ มีฌแพะชั้นประถม ๑ - ๔  และมัธยม ๑ -๖  (เมียบเท่ามัธยม ๔ ในปัจจุบัน)  และได้มีการจัดตั้งโรงเรียนชั้นเตรียมอุดมศึกษาขึ้นในมหาวิทยาลัยต่างๆ  เช่นเตรียมอุดมศึกษา  เตรียมมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง  เครียมแพทย์  เตรียมนายร้อย  เตรียมนายเรือ  นักเรียนที่สมัครจะเรียนมหาวิทยาลัยก็สอบเข้าโรงเรียนเตรียมนั้นๆ  ส่วนผูที่พลาดหวังก็ให้ไปเรียนสายอาชีวะแทน  ในตอนนั้นจึงมีการเรียนการสอนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ เป็นปีสุดท้าย  ในขณะเดียวกันก็เริ่มรับนักเรียนชั้นเตรียมเข้าศึกษาต่อในระดับเตรียมอุดมตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๔๘๑ มาแล้ว  ในช่วงนี้เองที่มีการจัดตั้งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ขึ้นที่เกษตรกลางบางเขน  และมีการเตรียมการให้โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ เป็นโรงเรียนวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ต่อมาภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ยุติลง  กระทรวงศึกษาธิการได้ปรับนโยบายจัดการศึกษาชั้นเตรียมอุดมใหม่  โดยอนุญาตให้โรงเรียนเอกชนและโรงเรียนรัฐบาลราว ๒๑ แห่งทั่วประเทศ (ถ้าจำตัวเลขไม่ผิด)  เปิดสอนชั้นเตรียมอุดมศึกษาหรือมัธยมปลายได้อีกครั้งหนึ่ง  และปรับเปลี่ยนวิธีการสอบเข้ามหาวิทยาลัยใหม่  ให้นักเรียนที่สำเร็จการศึกษาชั้นเตรียมอุดมจากโรงเรียนต่างๆ สามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้โดยตรงเช่นเดียวกับนักเรียนที่จบชั้นมัธยมปีที่ ๘ หรือมัธยมบริบูรณ์ตามหลักสูตรเดิม ผลของการปรับหลักสูตรครั้งนั้นจึงทำให้โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้  ซึ่งเป็นโรงเรียนเตรียมอุดมแห่งวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ต้องถูกตัดขาดไปจากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ประกอบกับการที่แม่โจ้มุ่งเน้นการเรียนการสอนทางด้านวิชากสิกรรมมาโดยตลอด  โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้จึงหลุดลอยไปเป็นโรงเรียนอาชีวศึกษาเช่นเดียวกับโรงเรียนเทคนิคต่างๆ ที่มีการจัดตั้งขึ้นในระยะเวลาใกล้เคียงกัน  ส่วนวิทยาลัยเกษตรศาสตร์นั้นได้รับการยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย  มีการเรียนการสอนไปจนถึงชั้นปริญญาตรี โท เอก  แต่โรงเรียนเกษตรกรรมแม่โจ้ก็ยังคงเปิดสอนในระดีบอาชีวะต่อมา  จนได้รับสภาปนาเป็นวิทยาลัยแล้ว  ก็ยังจัดการเรียนการสอนเพียงชั้นประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง หรือที่ปัจจุบันเรียกกันว่า อนุปริญญาต่อมา  เพิ่งจะขยายการเรียนการสอนมาจนถึงชั้นปริญญาก็ช่วงหลัง ๑๔ ตุลา ๑๖ แล้ว  และเพิ่งได้ยกฐานะขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยเมื่อไมนานมานี้ ทั้งหมดนี้คือคำตอบที่ว่า ทำไม่แม่โจ้ถงไม่ดังเท่าม.เกษตรศาสตร์ จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 20 ก.ย. 50 18:57:29 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณครับ คุณ V_Mee  แหมรู้ลึกจริงๆ ถามต่ออีกหน่้อย แล้วทำไม มศว ไม่ค่อยดังอ่ะครับ จากคุณ : master_zo - [ 20 ก.ย. 50 20:41:57 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ครับผม ดีจังเลยนะครับ มีคนมาร่วมถกเยอะแยะไปหมดเลย ก่อนอื่นต้องขอบคุณคุณV_Mee มากเลยนะครับ ที่ช่วยขยายความให้จนเข้าใจชัดเจน ถึงสาเหตุที่มาที่ไปของประวัติศาสตร์การศึกษาด้านการเกษตรในประเทศไทย รวมถึงชี้ให้เห็นสาเหตุที่ทำให้แม่โจ้ไม่ดังเท่าม.เกษตร ทั้งๆที่ในระยะแรกๆนั้นมีประวัติศาสตร์ร่วมกันมาก่อน และม.เกษตรก็แยกตัวจากแม่โจ้ในระยะเวลาต่อมา ข้อมูลที่คุณ V_Mee นำเสนอมานั้น น่าสนใจมากครับ แต่ผมไม่ค่อยเห็นด้วยกับที่คุณ ยอดหญิงZ-ri เสนอมาเท่าไรห่ครับ ตรงที่ว่า คือว่า ม.เกษตรฯจะไม่เน้นที่เกษตรอย่างเดียว วิศวกรรมศาสตร์และสัตวบาลรวมถึงสัตวแพทย์ก็ได้รางวัลบ่อยๆ รวมทั้งคหกรรมศาสตร์ที่มีผลงานอยู่ในปัจจุบัน ไม่อยากให้คิดว่าที่ไหนดังกว่ากัน แต่ถ้าสำหรับแม่โจ้อาจเป็นเฉพาะทางมากกว่า และเน้นการปฏิบัติ ส่วนม.เกษตรฯ ต้องขยายวิทยาเขตไปที่กำแพงแสนในส่วนของสาขาการเกษตร เพราะไม่มีพื้นที่พอ เข้าใจว่าคุณ ยอดหญิงZ-ri คงจะเข้าใจว่าการเกษตรมีความหมายแคบๆเพียงแค่พืชไร่นา พืชสวน ปฐพีวิทยา โรคพืช แนวๆปลูกพืช เท่านั้น ใช่ไหมครับ แต่ไม่ใช่เลยครับ การเกษตร มีความหมายกว้างกว่านั้นมาก สัตวบาล สัตวแพทย์ ป่าไม้ ประมง คหกรรมศาสตร์ วิทยาศาสตร์เกษตรสาขาต่างๆ ก็นับเนื่องว่าเป็นการเกษตรเหมือนกัน อีกอย่าง ที่วิทยาเขตกำแพงแสนนั้น ก็ย้ายไปได้แค่การเกษตรเพียงไม่กี่สาขาเท่านั้นแหละครับ ที่ต้องการพื้นที่มากๆสำหรับการทดลอง การวิจัย เช่นพวกสาขาพืชไร่นา พืชสวน สัตวบาล ปฐพีวิทยา โรคพืช ส่วนที่บางเขนเอง ก็ไม่ได้ตัดขาดจากการเกษตรไปทั้งหมดเลย สาขาการเกษตรส่วนใหญ่ ที่มีมาตั้งแต่ก่อตั้งมหาวิทยาลัย ก็ยังคงอยู่ที่บางเขน เช่น ประมง วนศาสตร์ รวมถึงคณะเกษตร ที่บางเขน ก็มีเปิดสอนวิชาพวกวิทยาศาสตร์เกษตรเช่นกัน เช่นการจัดการศัตรูพืช เคมีการเกษตร วิทยาศาสตร์เกษตร คหกรรมศาสตร์ อุตสาหกรรมเกษตร ส่วนวิศวกรรมศาสตร์ ของเกษตร ก็มีประวัติความเป็นมา มาจากวิศวกรรมชลประทาน เป็นหลัก ก็นับว่าเป็นสาขาที่สนับสนุนการเกษตรเช่นเดียวกัน ดังนั้น ที่คุณว่ามาว่า ส่วนม.เกษตรฯ ต้องขยายวิทยาเขตไปที่กำแพงแสนในส่วนของสาขาการเกษตร เพราะไม่มีพื้นที่พอ นั้น จึงไม่เป็นความจริงครับ เพราะทั้งเกษตรบางเขนและกำแพงแสน ก็ยังสอนการเกษตรอยู่ คณะที่เกี่ยวข้องกับการเกษตรที่เป็นคณะเก่าแก่หลายๆคณะ ก็ยังคงอยู่ที่บางเขน ม.เกษตร ยังคงเน้นการเรียนการสอนเรื่องการเกษตรทั้งสองวิทยาเขต การเกษตรยังคงเป็นจุดขายและจุดยืนที่แข็งแกร่งของม.เกษตรอยู่เสมอจนถึงทุกวันนี้ครับ ปล.ผมไม่ได้เป็นศิษย์เก่าเกษตรหรือแม่โจ้ใดๆทั้งสิ้นครับ และไม่ได้จบวิชาเกษตรด้วยครับ จากคุณ : จขกท. - [ 21 ก.ย. 50 04:49:42 A:58.9.40.26 X: TicketID:145241 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ส่วนสาเหตุที่ ทำไมมศว ถึงไม่ดังเท่ากับมหาวิทยาลัยอื่นๆนั้น ผมขอวิเคราะห์ว่า มศว มีที่มาจากการสอนและฝึกหัดครู จึงมีจุดเด่นอยู่ที่ศึกษาศาสตร์ แต่ว่า มีวิทยาลัยครูซึ่งพัฒนามาจนเป็นมหาวิทยาลัยราชภัฎ เปิดสอนเกี่ยวกับครูแข่งกับ มศว มากมายถึง 40 กว่าแห่ง ทั้งยังไม่นับคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยอื่นๆอีกครับที่เปิดสอนครู พูดง่ายๆว่า ไม่ว่าที่ไหนๆก็มีสอนวิชาครูกันทั้งนั้น จุดเด่นของมศว จึงถูกบดบังไปอย่างน่าเสียดาย อีกทั้งในเวลาต่อมา กระแสการเข้าศึกษาต่อวิชาครูของเด็กมัธยม ลดถอยลงไปมาก เลยพลอยทำให้มศว ขาดตรงนี้ไป และถึงแม้ว่าจะเปิดวิชาแขนงอื่นๆขึ้นมา ก็ยังไม่อาจพัฒนาสู้มหาวิทยาลัยอื่นๆได้ เปิดสาขาวิทยาศาสตร์ สุขภาพ/วิทยาศาสตร์บริสุทธิ์/วิทยาศาสตร์ประยุกต์ ขึ้นมา ก็แข่งกับจุฬาฯ มหิดล เกษตรศาสตร์ ไม่ได้เพราะไม่มีพื้นฐานตรงนี้ เปิดสายสังคมศาสตร์/มนุษยศาสตร์ พวกรัฐศาสตร์ นิติ บัญชี บริหารธุรกิจ มนุษยศาสตร์ ฯลฯ ขึ้นมา ก็ไปสู้กับจุฬาฯ ธรรมศาสตร์ ไม่ได้อีก เพราะธรรมศาสตร์คณะทางสังคมศาสตร์เข้มแข็งและมีชื่อเสียงมากมาก่อน มศว.เลยเป็นตัวเลือกลำดับรองๆลงมาของนักเรียนที่ต้องการมุ่งเข้าเรียนต่อมหาวิทยาลัยทั้งของสายวิทย์ สายศิลป์ เด็กสายวิทย์ ถ้าอยากเรียนวิทยาศาสตร์ ก็จะมุ่งไป จุฬาฯ มหิดล เกษตร เป็นอันดับต้นๆ เด็กที่จะเข้าคณะสายศิลป์ ก็จะพุ่งไปจุฬาฯ มธ.เป็นอันดับต้นๆอีก ส่วนศึกษาศาสตร์ ที่เป็นชื่อเสียงของ มศว เด็กส่วนใหญ่ก็ไม่ค่อยอยากจะมาเรียนครูกันเท่าไหร่ มิหนำซ้ำยังถูกแบ่งเค้ก โดยมหาวิทยาลัยราชภัฎ รามคำแหง และคณะครุศาสตร์/ศึกษาศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงกว่ามศว เช่น ครุศาสตร์ จุฬาฯ ซึ่งถือว่าเป็นคณะที่ใหญ่มากของจุฬาฯ หรือศึกษาศาสตร์ เกษตร ซึ่งมีจุดเด่นคือ เป็นคณะศึกษาศาสตร์แห่งเดียวในประเทศที่ผลิตครูสอนเกษตรได้ด้วย ดึงตัวเด็กไปอีก จึงเหลือเด็กไม่มากที่ตกไปเรียนที่มศว พุดง่ายๆก็คือ จุดเด่นของมศว เกี่ยวกับการฝึกหัดครู ก็ถูกลดความสำคัญ/ทำให้โดดเด่นน้อยลงโดยมหาวิทยาลัยอื่นที่สอนเกี่ยวกับครูทีมีมากมายเหลือเกิน และเมื่อมศว ไปเปิดแขนงวิชาอื่น ก็ไม่ดังเท่าสถาบันที่เปิดสอนสาขาวิชานั้นๆมาก่อน เช่นจุฬาฯ มธ. เกษตร มหิดล มศว ในสายตาผมจึงเป็นมหาวิทยาลัยกลางๆ ที่ไม่มีความโดดเด่นในสาขาวิชาใดวิชาหนึ่ง แต่ก็ไม่แย่มากจนเกินไปจนเรียนไม่ได้หรือไม่มีคุณภาพ ใครมีความคิดเห็นเพิ่มเติมอย่างไรก็แสดงมาได้นะครับ จากคุณ : จขกท. - [ 21 ก.ย. 50 05:09:05 A:58.9.40.26 X: TicketID:145241 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอเล่าประวัติความเป็นมาของ มศว. เพิ่มเติมครับ กำเนิดของ มศว. นั้นเกี่ยวพันกับประวัติการศึกษาของชาติครับ  เมื่อเริมปฏิรูปการศึกษาในรัชกาลที่ ๕ นั้น  นอกจากการจัดตั้งโรงเรียนสามัญแล้ว  ยังมีการจัดตั้งโงเรียนฝึกหัดอาจารย์ และโรงเรียนฝึกหัดครูขึ้น  โรงเรียนฝึกหัดอาจารย์นั้นมุ่งผลิตครูชั้นสูง  สำหรับสอนชั้นมัธยมที่มีอยู่ไม่กี่แห่งทั่วประเทศ  ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูนั้นมุ่งผลิตครูชั้นประถมและมัธยมต้นออกไปประจำตามโรงเรียนต่างๆ ทั่วราชอาณาจักร  แต่ครูที่สอนตามโรงเรียนต่างๆ มีความรู้เพียงชั้นประถมก็สอนหนังสือได้แล้ว ต่อมามีการจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูมูล รับนักเรียนจบชั้นมัธยม ๓ (เทียบเท่าประถม ๖ ในปัจจุบัน) เพื่อเข้าศึกษาต่อประโยคครูมูล  กับโรงเรียนฝึกหัดครูมณฑล รับนักเรียนจบชั้นประถม ๓ เข้าศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตรมณฑล  ขึ้นตามมณฑลต่างๆ ทั่วประเทศ  ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๔๖๘ จึงได้รวมโรงเรียนฝึกหัดครูมณฑลกับโรงเรียนฝึกหัดครูกสิกรรมเข้าด้วยกัน  แล้วเปลี่ยนเป็นโรงเรียนฝึกหัดครูประกาศนียบัตรมณฑลเหมือนกันทั่วทุกมณฑล  ส่วนโรงเรียนฝึกหัดครูมูลประจำมณฑลก็ถูกยุบเพื่อประหยัดงบประมาณ  ครูที่จะเรียนประกาศนียบัตรครูมูลจึงต้องลงมาเล่าเรียนที่กรุงเทพฯ  เช่นเดียวกับหลักสูตรวาดเขียนตรี โท  และหลักสูตรครูประกาศนียบัตรพลศึกษา ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองมีการปรับหลักสูตรเป็นประโยคครูประถมและมัธยม เทียบเท่าหลักสูตรปกศ. และปกศ.สูง ในเวลาต่อมา  ใช้อักษรย่อคุณวุฒิ ป.ป.  และ ป.ม.  ใครมีคุณวุฒินี้ถือว่ามีความรู้มากทีเดียว   ก่อนจะไปต่อ  ขอเรียนชี้แจงว่า ระบบการศึกษาของไทยเรานั้นแต่เดิมมาเดินตามหลักสูตรของอังกฤษ  โดยไปลอกมาจากญี่ปุ่นซึ่งก็ไปลอกมาจากอังกฤษอีกที  และคงดำเนินการตามแบบนี้มาจนถึงสงครามโลกครั้งที่สอง  ดังจะเห็นได้ว่า นักเรียนทุนเล่าเรียนหลวงซึ่งกลับมาเป็นผู้บริหารกระทรวงศึกษาธิการในยุคก่อนล้วนสำเร็จการศึกษามาจากอังกฤษ  เมื่อสงครามโลกครั้งที่สองสงบลง  อังกฤษมีความจำเป็นที่จะต้องสงวนรักษาที่นั่งในสถาบันการศึกษาต่างๆ ไว้ให้แก่ทหารที่กลับจากสงคราม  จึงไม่ยอมรับนักเรียนต่างชาติเข้าศึกษาต่อ  ในช่วงเวลานี้จึงเป็นโอกาสให้รัฐบาลสหรัฐอเมริกาเริ่มขยายความช่วยเหลือเข้ามาสู่ประเทศไทย  และได้สนับสนุนให้มหาวิทยาลัยอินเดียนา (ถ้าจำไม่ผิดนะครับ) มาช่วยจัดตั้งโรงเรียนฝึกหัดครูชั้นสูงขึ้นที่ประสานมิตร โปรดสังเกตชื่อที่มีคำว่าชั้นสูงต่อท้าย  วัตถุประสงค์ของโรงเรียนฝึกหัดครูนี้คือการต่อยอดการศึกษาจากโรงเรียนฝึกหัดครูต่างๆ ต่อมามีการขยายโรงเรียนฝึกหัดครูเป็นวิทยาลัยครู  มีหลักสูตรการศึกษาถึงชั้น ป.ก.ศ.สูง  วิทยาลัยวิชาการศึกษาประสานมิตรและสาขาที่กระจายกันอยู่ทั่วประเทศ  ก็ได้ขยายการศึกษาขึ้นถึงหลักสูตร การศึกษาบัณฑิต (กศ.บ.) โดยใช้หลักสูตรของอเมริกันเป็นหลัก  คงรับนักเรียนที่จบจากวิทยาลัยครูเข้าเรียนต่อชั้นปริญญาตรี โท ต่อมา  เมื่อวิทยาลัยครูขยายการศึกษาถึงชั้นปริญญา  วิทยาลัยวิชาการศึกษาจึงได้แปรสภาพมาเป็น มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ (มศว.) มีการขยายการศึกษาออกไปหลายสาขาวิชา  โดยมีวิทยาเขตกระจายกันอยู่ทั่วประเทศ  สุดท้ายมศว. วิทยาเขตต่างๆ ก็แยกตัวออกไปเป็นมหาวิทยาลัยอิสระ เช่น มหาวิทยาลัยนเรศวร  มหาวิทยาลัยบูรพา ฯลฯ  นี่แหละครับทำไม มศว. ถึงไม่ค่อยดัง  จะดังได้อย่างไรล่ะครับ  เล่นโตแล้วแตกอย่างนี้ละครับ จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 21 ก.ย. 50 08:14:19 ]

ความคิดเห็นที่ 28 Cowboy from Hell น้อง ๆ ผมที่จบแม่โจ้เรียกตัวเองแบบขำ ๆ ดั่งข้างบน ผมเองก็จะไปสมัครเป็นอาจารย์แม่โจ้เหมือนกัน แต่เป็นอาจารย์นิเทศนะครับ เห็นมีปิดถนนรับน้องด้วยนี้สยองมาก จากคุณ : I will see U in the next life. - [ 21 ก.ย. 50 14:20:42 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ทำไมต้องดังด้วยครับ ไม่ต้องดังก็สร้างคนดีๆที่มีคุณภาพที่ดีออกมาได้นะ  แต่อยากรู้จัง ความเห็นที่ 4 จบอะไรมา ? แสดงความคิดเห็นแบบนี้ไม่เหมาะกับปัญญาชนเลย จากคุณ : m (pasinee) - [ 21 ก.ย. 50 21:19:34 ]

ความคิดเห็นที่ 30 "มหาวิทยาลัยหนึ่งในสามของประเทศไทยที่มีชื่อเสียง" ในความหมายของ จขกท คือที่ไหนบ้างหรอคะ จากคุณ : lavacances - [ 21 ก.ย. 50 21:44:46 ]

ความคิดเห็นที่ 31 เข้ามาอ่าน จากคุณ : เอ - [ 21 ก.ย. 50 22:59:39 A:67.159.5.254 X: ]

ความคิดเห็นที่ 33 V_Mee แหม ตอบตรงใจผมมากเลยครับ รู้สึกว่ามหาลัยที่แยกตัวไป จะพัฒนาจนจะดังกว่า มหาลัยแม่แล้วนะครับ ไม่รู้ มศว มัวทำอะไรอยู่ จากคุณ : master_zo (master_zo) - [ 22 ก.ย. 50 23:54:57 ]

ความคิดเห็นที่ 34 เมื่อก่อนแม่โจ้ใช้ชื่อว่า สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เน้นหนักในด้านเกษตรอย่างเดียว มีคณะผลิตกรรมการเกษตร บริหารธุรกิจเกษตร ผมก็มีความเห็นว่าเป็นแบบนี้แหละจะดี เอาให้เก่งอย่างเดียวไปเลย บุคลากรที่จบมาก็มีความรู้เฉพาะด้าน แต่มาประมาณปี 252... กว่าก็เริ่มมีการผลักดันให้เป็นมหาวิทยาลัย และสำเร็จเมื่อไรก็คร้านจะจำ มันก็เลยเป็นแบบนี้แหละครับ เก่งทางไหนก็ไม่ได้สักอย่าง นึกแล้วเสียดายความเป็น สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เสียจริงๆ จากคุณ : Noroom nomore (Noroom nomore) - [ 23 ก.ย. 50 02:04:45 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขออภัยที่นอกเรื่อง .... ในฐานะที่ทำงานอยู่ฝ่ายบุคคล ดิฉันไม่ทราบว่าคุณหนุ่มไทยไร้นาม อยู่บริษัทอะไร และคุณอยู่ในฝ่าย Admin หรือ HR เองหรือเปล่าถึงรู้ว่าเขาไม่รับเด็กที่จบจาก ม. แม่โจ้เข้าทำงานเพราะอะไร หรือเดาเอาเองคะ เพราะจากประสบการณ์ตรงทำงาน HR มาเกือบ 10 ปี เด็กในกรุง เรียนจบจาก ม. ชื่อดังทั้งรัฐ และเอกชน ก็บ้า และไม่มีความรับผิดชอบได้พอๆ กัน เพราะฉะนั้นขอให้น้องๆ ที่เรียน ม.แม่โจ้อยู่ และเข้ามาอ่าน ไม่ต้องห่วงนะคะ สำหรับบริษัทที่มีวิสัยทัศน์เขาไม่ตัดสินคุณแค่ชื่อของสถาบันที่จบหรอกค่ะ ยังมีคุณสมบัติอื่นๆ อีกมากที่ต้องใช้ในการพิจารณา ป.ล. ดิฉันเองยังเคยรับเด็กจบใหม่ที่มากจากสถาบันราชภัฎแทนเด็ก ม. อันดับหนึ่งของประเทศด้วยซ้ำไป จากคุณ : นิคกับพิม - [ 23 ก.ย. 50 13:53:38 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เท่าที่ทราบมา........จบมหาลัยไหน ในความเป็นมนุษย์ก็ไม่ต่างกัน แต่ความคิดของคนที่ค่อยข้างจะมี EQ น้อยนิด จะยึดติดกับคำว่า "นิยม" ทราบว่าใครๆก็อยากเรียนอยากจบในสถาบันที่มีชื่อเสียง การมีชื่อเสียงก็มาจากหลายๆๆอย่าง มีนามสกุลดังไปเรียน  มีดารา บุคคลากรมีคุณภาพ  มีแต่ลูกคนรวย ไม่ทราบจะเอามีชื่อเสียงอย่างไหน สมัยนี้ ประเทศต้องการคนที่มี IQ และ EQ ที่ควบคู่กันไป   และเท่าที่ทราบมาอีก.....แม่โจ้แม้จะไม่ดัง (ก็คนไม่พูดถึง) แต่ก็ผลิตบุคคลากรที่มีคุณภาพเช่นกัน  เป็นปัญญาชนเหมือนกัน และเชื่อว่า ม.แม่โจ้ เค้ารักและสามัคคีกันจริงๆ ไม่มีที่ไหนเหมือนแน่ๆ บางครั้งก็มีแอบอิจฉาในความสามัคคีของ ม.นี้เหมือนกันค่ะ เพราะไม่ได้จบที่นี่เหมือนกัน............ จากคุณ : joba - [ 23 ก.ย. 50 17:22:52 ]

ความคิดเห็นที่ 37 บางที ถ้าอาจารย์ ม.แม่โจ้ ได้มาอ่าน อาจจะรู้สึกดีที่อย่างน้อย ลูกศิษย์ที่สอนมา (แม้คนข้างนอกจะมองว่าบ้า เพราะตัดสินเขาจากข่าวสารภายนอก โดยไม่เคยสัมผัสเอง) ก็ไม่เคยแสดงกิริยาดูถูกดูหมิ่นใครๆ เท่าบัณฑิตที่จบจากมหาวิทยาลัยชื่อดัง อย่างในบางความคิดเห็นก็ได้เนอะ อยากบอกคนที่เรียนและที่จบแม่โจ้จริงๆ เลย ว่าความดีนั้น ไม่จำเป็นต้องแสดงให้คนเห็นตลอดเวลาหรอก เพราะหากเขามีโอกาสได้เห็น เขาก็จะได้เห็นเอง เพราะความดีนั้น พิสูจน์ได้ด้วยกาลเวลาค่ะ และหวังว่าลูกแม่โจ้ ทุกคนคงจะได้สำนึกและยึดมั่นความ เลิศน้ำใจ วินัยดี เชิดชูประเพณี สามัคคี อาวุโส รวมถึงปรัชญา "งานหนักไม่เคยฆ่าคน" และ "ความเจริญเดินตามรอยไถ" ต่อไป เพราะไม่ว่า สถาบันจะชื่ออะไร โด่งดังแค่ไหน หากสามารถผลิตบุคลากรที่ดีมีความรับผิดชอบต่อสังคมออกมาได้ สถาบันนั้นก็สามารถอยู่ได้อย่างสงบสุข และไม่ถูกทำลายลงด้วยคำพูดหรือความคิดของใครๆ หรอกค่ะ อย่างไรก็ดี แม้ในมหาวิทยาลัยอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ยังมีทั้งคนดีคนไม่ดีปะปนกัน แม่โจ้ก็เช่นกัน ก็ย่อมมีคนไม่ดีอยู่ด้วยเช่นกันเช่นเดียวกับทุกๆ ที่ในสังคมไทยนั่นแหละ เพียงแต่แม่โจ้ และสังคมไทยโดยทั่วไป จะสามารถส่งเสริมคนดีให้ยิ่งยึดมั่นในการทำความดี และโน้มน้าวให้คนไม่ดี กลับตัวกลับใจเป็นคนดีได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งมันก็คงไม่เกี่ยวกับสถาบันที่เรียนมาสักเท่าไร เพราะสันดอนและสันดานส่วนบุคคลเข้ามามีผลกับชีวิตของคนเป็นส่วนใหญ่ และบางทีอาจจะเป็นส่วนที่มากกว่าการอบรมจากสถาบันระดับอุดมศึกษาเสียด้วยซ้ำไป ขอให้กำลังใจ "คนดี" ที่ไม่ดูถูกดูหมิ่นคนอื่นโดยมองแต่เพียงสิ่งที่ได้รับรู้มาจากข่าวสารภายนอกก็แล้วกันค่ะ เพราะส่วนตัวข้าพเจ้าเอง ก็ออกจะเสียดายอยู่มาก ที่ไม่ได้จบจากสถาบันทางการเกษตรอันดับหนึ่งอย่างแม่โจ้ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็เป็นลูกหลานของโคตรเหง้าวงศ์ตระกูลทางเกษตรกรรมมาโดยตลอด เสียดายมาก จากคุณ : มรกตนาคสวาท - [ 23 ก.ย. 50 23:19:06 ]

ความคิดเห็นที่ 38 หนุ่ม(เสมือน)ไทยไร้นาม..เป็นคนวิสัยทัศน์แคบมากๆ คุณจะไปเดือดร้อนอะไรกับเรื่องรับน้องม.แม่โจ้ การได้ผ่านการรับน้องในม.แม่โจ้มานั่นแหละคือหัวใจในการเผชิญโลกภายนอกที่มีคนประเภทคุณอยู่มาก....หนูอยากฟังความคิดเห็นของคุณอีกนะ ทำให้หนูยิ่งอยากเข้าเรียนทั้งม.แม่โจ้และม.เกษตร แต่หนูจะไม่เข้าเรียนสถาบันคุณเด็ดขาด(ให้ตาย)แม้แต่ตัวคุณเองยังไม่กล้าแสดงตัวเลย...ไม่มีดีแต่อวดดี ***หนูเป็นลูกหลานชาวสวนไม่มีเงินมีแค่ปัญญาอันน้อยนิด และรู้ว่าอนาคตจะกลับมาทำงานที่สวนที่บ้านเหมือนพี่ๆที่เรียนจบมาบางคนก็จบตรีแม่โจ้จบโทเกษตร รามก็เยอะ ม.เอกชนไม่มีเลย ค่าเทอมแพงจบมาก็ไม่รู้จะได้อะไรแค่ไหน ขอบคุณนะคะที่รับฟังความคิดเห็นจากน้องม.4อย่างหนู จากคุณ : อนาคตลูกพระพิรุณ - [ 24 ก.ย. 50 17:29:11 A:125.24.146.136 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 รวมถึงปรัชญา "งานหนักไม่เคยฆ่าคน" และ "ความเจริญเดินตามรอยไถ" ต่อไป ชอบปรัชญาข้างต้นนี้มากครับ เมื่อสมัยผมเป็นนักเรียนเคยถูกสั่งสอบมาว่า  การจะเป็นนายที่ดีได้ จะต้องเป็นบ่าวที่ดีมาก่อน ก็ขอฝากไปยังน้องๆ ทุกคนที่มีโอกาสเข้าไปศึกษาต่อในสถาบันชั้นนำของประเทศ  ขออย่าได้ทนงตนว่าตัวเก่งกว่าคนอื่น  ความรู้แต่ในห้องเรียนนั้นไม่สามารถเทีบได้กับปรัชญาที่กล่าวถึงข้างต้นนั้นดอก  เพราะถ้าคิดว่าเก่งตามตำราแล้ว  เมื่อไปปฏิบัติงานจริงมันไม่ง่ายเหมินทฤษฎีที่เขียนไว้ในกระดาษแม้แต่น้อย จากคุณ : V_Mee (V_Mee) - [ 24 ก.ย. 50 19:39:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 อย่าไปเชื่อเจ้าของกระทู้ (TICKETID : 145241) มากนักนะครับ ความเห็นของเค้าค่อนข้างจะไม่ได้เรื่อง ดูตัวอย่าง http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K5844485/K5844485.html จากคุณ : mrdew - [ 24 ก.ย. 50 21:45:30 ]

ความคิดเห็นที่ 41 แม่โจ้ มีคณะแพทย์ด้วยหรอ คห.10 หนะ อยู่เชียงใหม่ ไม่ยักกะรู้ จากคุณ : อาตี๋ร้องดีใจ - [ 25 ก.ย. 50 16:32:38 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นนะคับ ยิ่งเจอความคิดเห็นที่ 36 แล้วทำผมน้ำตาแทบไหลเลยยย ในฐานะศิษย์เก่าลูกแม่โจ้ ความรู้รักสามัคคีอันนี้มันได้มาจากการรับน้องนั่นแหละครับ คุณความคิดเห็นที่ 4 ใครจะว่าอะไรแม่โจ้ ผมก็ยังรักสถาบันที่ทำให้ผมกลายเป็นคนที่ดีได้มาจนทุกวันนี้ ขอบคุณอาจารย์ รุ่นพี่ และเพื่อนๆทุกท่านที่ แม่โจ้ ด้วยครับ เหนือสุดเหนือ ใต้สุดใต้ ไขว้แต่ทิศ ลูกแม่โจ้ ไม่เคยคิด แยกใต้เหนือ ถิ่นอุบล หนอิสาน ก็ว่านเครือ คือเลือดเนื้อ พันผูก ลูกแม่เดียวว โจ้ คับ ... โจ้ คับ ... โจ้ คับ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 14:48:08 จากคุณ : ป.ป้วย แม่โจ้ 64 (por-puay) - [ 2 ต.ค. 50 14:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 43 คห. 41 ชาวบ้านเค้านึกว่าเรียน์ที่แม่โจ้ครับ (เค้าไม่รู้หรอกว่ามีคณะอะไรบ้าง) แต่ที่จริง เรียน มช. ถ้าไปเชียงใหม่ อย่าลืมนึกถึงแม่โจ้นะจ๊ะ "งานหนักไม่เคยฆ่าคน" ว่าแล้วก็เจ็บใจ พี่ปู T-T จากคุณ : สกุล ยินดี - [ 2 ต.ค. 50 14:57:27 ]

ความคิดเห็นที่ 44 คห. 32 คุณรู้อารายเกี่ยวกับรับน้อง แม่โจ้ มั่ง...คุณยังไม่รู้เลย แล้วคุณมาบอกว่ามันโหดร้าย... ที่จริงรับน้องแม่โจ้...มันมีอารายมากกว่าที่คุณคิดไว้เยอะ... ผมคนนึงล่ะ...ที่ภูมิใจที่จบจากที่นี้มา... จากคุณ : แม่โจ้ 66 - [ 5 ต.ค. 50 13:45:25 A:192.168.0.105 X:203.209.26.6 ]

ความคิดเห็นที่ 45 การรับน้องไม่ได้โหดและก็ไม่ได้ดุน่ะครับ มันมีเหตุผลในการกระทำทุกๆอย่าง บอกตรงๆผมชอบการรับน้องที่แม่โจ้น่ะครับเทียบกับเพื่อนๆที่เล่าเรื่องการรับน้องมา และก็คนที่ไม่ได้อยู่แม่โจ้คุณสนิทกับเพื่อนทั้งสาขา 4 ชั้นปีได้แค่ไหนครับ (นี่แค่ส่วนหนึ่งของผมที่ไม่ค่อยคุยกับใครน่ะครับ) อีกอย่างน่ะครับแม่โจ้ก็มีคณะบริหาร,คณะวิทยาศาสตร์,นิเทศด้วยน่ะครับ จากคุณ : MJU 66 - CS 7 - [ วันเกิด PANTIP.COM 20:50:46 A:58.8.85.100 X: ]

ความคิดเห็นที่ 46 เข้ามาอ่านแล้วก็ปรี๊ด ที่สถาบันโดนกล่าวถึงในทางเสียๆหายๆ จะโพสต์อะไรคิดถึงใจเขาใจเราบ้างก็ดีนะคะ มีการศึกษากันทุกคนไม่ใช่เหรอ แต่ก็อดดีใจไม่ได้ที่รุ่นน้องๆเข้ามาปกป้องม.เรา เชื่อยังว่าแม่โจ้ไม่ทิ้งกัน เจ็บใจพี่ปูเหมือนกัน..เซ็งๆๆ จากคุณ : MJU 63 - CS 4 (knita) - [ 8 ต.ค. 50 11:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 คนจะมีจิตใจดีหรือไม่ดีส่วนหนึ่งอยู่ที่การได้รับการขัดเกลาจากสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว เวลา 4 ปีในมหาวิทยาลัยถึงจะไม่นานมากแต่ก็นานพอสมควรที่จะซึมซับสิ่งดี ๆ ได้บ้าง ดีใจที่ได้เรียนจบจากแม่โจ้ เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราดำรงชีวิตอยู่ในสังคมได้เป็นอย่างดี จากคุณ : MJU 61 - [ 11 ต.ค. 50 11:02:54 A:202.28.62.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 48 แม่โจ้ ชีวิตจิตใจ มอบให้แม่โจ้ จากคุณ : แม่โจ้ 68 - [ 14 ต.ค. 50 00:39:50 A:222.123.52.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 49 ทำไม พวกคุณ ไม่มีความคิด เลย พวก กินชาติ จากคุณ : คนติดดิน - [ 14 ต.ค. 50 00:42:16 A:222.123.52.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 50 ไม่รู้ใครจะมอง อย่างไรกับสถาบันเของรา บอกได้ คำเดียว ว่า สิบปากว่าไม่เท่า ตาเห็น พูดกันไป ว่ากันไป ถ้าคุณๆ ทั้งหลายมาสัมผัส ด้วยตัวคุณเองจริงๆแล้วคุณจะรู้ว่า ความจริงมันคืออะไร ทุกสถาบัน มีทั้งคนดีและไม่ดี ปะปนกันไปมากมาย อยากให้มองในภาพรวม เลือดแม่โจ้ เข้มข้น ยิ่งกว่าสีเลือดในกาย อยากให้ มอง ด้วยใจ ของดี ๆเค้าไม่โอ้อวดกันหรอกนะ หลายต่อหลายต่อครั้งที่พ่อหลวงของเราเสด็จมาที่นี่ สถาบันเทคโนโลยีการเกษตรแม่โจ้ เป็นสถาบันที่เก่าแก่ที่สุดในประเทศไทย ปัจจุบันคือ มหาวิทยาลัยแม่โจ้ (โจ้ครับ/โจ้ค่ะ) จากคุณ : โจ้ ครับ - [ 14 ต.ค. 50 00:53:00 A:222.123.52.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 51 ผมเป็นศิษย์เก่าตั้งแต่ยังเป็นสถาบันเทคโนฯ มีเพียง 2 ชั้นปี 13 สาขา เมื่อก่อนรับน้องไม่ต้องบอกกันว่าหนักขนาดไหน อาจจริงที่มีแต่เด็กที่เรียนเกษตรล้วน ๆ มาเรียนกัน ก็ผ่านกันมาได้ แต่ที่เห็นได้ชัดคือทุกคนที่จบมารักกัน ช่วยเหลือกัน และมีความอดทน อดกลั้นได้สูง และไม่เห็นมีใครเป็นอะไรเลย แต่ในปัจจุบันมีการเพิ่มคณะเรียนมากขึ้นมีเด็กเรียนด้านอื่นมากขึ้น จำเป็นต้องลดรูปแบบการรับน้องลงมาตามสภาพเด็กในปัจจุบัน แต่สิ่งหนึ่งที่ผมได้รับจากการเรียนในสถาบันแห่งนี้ คือ ยิ่งเจ็บและยิ่งจำ แต่เราเจ็บ และเหนื่อยมากับเพื่อน ๆ ที่มีอยู่มากมาย และไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแลย แต่เรารักกันโดยอัตโนมัติ มีความจริงใจให้กัน ช่วยเหลือเกื้อกูลกันในอนาคต นั่นคือลูกแม่โจ้สมัยก่อน ปัจจุบันเท่าที่รู้ คำว่า สามัคคี และอาวุโส มันค่อนข้างหาได้ยากยิ่ง อาจจะเป็นเพราะ ไม่เจ็บ เลยไม่จำ หรือเปล่า พวกคุณสังเกตหรือไม่ว่ามีลูกแม่โจ้อยู่มากมาย เขาจะนิ่งสงบไม่โวยวายอะไรออกมาง่าย ๆ แต่เป็นพลังเงียบที่รอดูความเติบโตของสถาบันแห่งนี้ แต่ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นรุนแรงกับชื่อเสียงของสถาบันแห่งนี้แล้ว เมื่อนั้นพลังเงียบเหล่านี้จะไปรวมตัวกันโดยไม่ต้องมีการนัดหมาย ผมบอกได้เลยว่าคนนอกสถาบันถึงแม้จะอยู่ใกล้สถาบัน หรือเห็นเหตุการณ์การรับน้อง บุคคลนั้นจะไม่มีวันเข้าใจอะไรเลย และขอให้ลูกแม่โจ้ทุกคนไม่ต้องไปโต้ตอบอะไร มันไม่มีประโยชน์ จากคุณ : JO - [ 14 ต.ค. 50 00:57:03 A:222.123.52.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 52 ".เหนือสุดเหนือ ใต้สุดใต้ ไขว้แต่ทิศ ลูกแม่โจ้ ไม่เคยคิด แยกใต้เหนือ ถิ่นอุบล หนอิสาน ก็ว่านเครือ คือ เลือดเนื้อ พันผูก ลูกแม่เดียว" ถ้าการที่บอกว่าแม่โจ้รับน้องโหดคือการที่ให้ออกกำลังกายทุกวัน ร้องเพลงทุกวัน รับน้องรวมกันทั้งมอเพื่อให้เห็นถึงพลังของความสามัคคี การสอนให้เคารพผู้มีอาวุโสกว่า การสอนให้รู้จักช่วยเหลือกันถึงแม้จะเรียนต่างคณะแต่มอเดียวกันเรียกว่าโหด งั้นในชีวิตจริงก็คงจะโหดกว่าเพราะมีแต่คนเห็นแก่ตัวแม้กระทั่งเพื่อนกันยังเหยียบหัวขึ้นไปได้อย่างนี้ไม่โหดอย่างนั้นหรือ แม๋โจ้สอนรากฐานการอยู่ในสังคมโดยไม่เห็นแก่ตัวรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น การว๊ากน้องเสียงดังเป็นเรื่องที่ต้องเข้าใจหน่อยว่าถ้าหัวร้อยพ่อพันแม่มาอยู่ที่เดียวกันจะให้ค่อยๆพูดเบาๆ แล้วให้เค้าทำตามเค้าจะทำมั้ย แต่การว๊ากแค่ทำให้เสียงดังกว่าปกติเพื่อให้ทุกคนรู้ เข้าใจ และได้ยิน แล้วมันแปลกตรงไหน ใครๆที่ไม่ใช่คนที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อถ้ามาอยู่แม่โจ้ก็รักแม่โจ้ทั้งนั้นแหละ มีแต่คนนอกที่ไม่เข้าใจ(บางคน) และคนที่เรียนที่แม่โจ้ไม่ได้นั่นแหละที่มองว่าแม่โจ้โหด คนที่จบแม่โจ้มาส่วนใหญ่เวลาเจอกันข้างนอกพอรู้ว่าจบที่เดียวกันก็จะให้ความช่วยเหลือกันตลอดนี่แหละคือแม่โจ้..โจ้คับ!! ลูกโจ้เต็มตัวไม่เสียดายเลยที่เรียนแม่โจ้ จากคุณ : jo - [ 14 ต.ค. 50 00:59:11 A:222.123.52.246 X: ]

ความคิดเห็นที่ 53 เพราะการรับน้องที่นึกถึงว่าอนาคตเราจะต้องเจออะไรที่หนักหน่วงกว่าจึงทำให้เราจะต้องรักและสามัคคีกันให้มาก ไม่ใช่การรับน้องที่เน้นเพียงแค่ความสนุกสนาและทะลึ่งตึงตัง ไม่ได้ให้ประโยชน์อะไรนอกจากความบันเทิงและความสนุกของรุ่นพี่ แต่ที่แม่โจ้กลับทำให้ ปี1 ทั้งหมดรู้จักกัน และ ช่วยเหลือกันในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งตลอดการรับน้องที่ผ่านมาคนภายนอกมองว่าโหด หรือ ชั้นต่ำ แต่ก็ไม่เคยมีใครได้รับบาดเจ็บปางตายเหมือนกับการรับน้องที่พวกคุณบางคนมองว่าชั้นสูง มีแต่ทำให้ทุกคนรักกันและเคารพรุ่นพี่ และอาจารย์ จบออกมาก็ช่วยเหลือกัน และเท่าที่ทำงานผ่านมาก็ไม่เคยโดนปฏิเสธเพราะว่าจบแม่โจ้ คุณดูแค่คติสอนใจแต่ละอันไม่เคยสอนให้เราย่อท้อ หรือการแบ่งแยกเลย มีแต่สอนให้สามัคคีกัน จากคุณ : แม่โจ้ (rotta_a) - [ วันออกพรรษา 14:11:06 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ถึงคุณความคิดเห็นที่ 4 นะคะการที่ว่าให้สถาบันคนอื่นว่าต่ำช้านั้น คุณได้ดูตัวคุณเองหรือเปล่าคะ แล้วการรับน้องที่แม่โจ้นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ดิฉันไม่เห็นมีใครตายสักคน และคนที่ผ่านมาได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลากรที่ดีของประเทศ ส่วนคุณความคิดเห็นที่ 32 นั้น กรุณาบอกด้วยนะคะว่าคุณทำงานที่ไหน ดิฉันเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากทำงานในบริษัทที่มีคนความคิดเห็นไม่พัฒนาอย่างคุณหรอกค่ะ ดิฉันเองก็จบจากแม่โจ้และก็เคยผ่านการทำงานมาแล้วด้วย อยากบอกให้คุณทราบด้วยนะคะว่า บริษัทเค้ารับดิฉันเข้าทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำไป จากคุณ : โจ้ค่ะ (moonoibeaver) - [ วันออกพรรษา 17:24:38 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ถึงคุณความคิดเห็นที่ 4 นะคะการที่ว่าให้สถาบันคนอื่นว่าต่ำช้านั้น คุณได้ดูตัวคุณเองหรือเปล่าคะ แล้วการรับน้องที่แม่โจ้นั้นไม่ได้เป็นอย่างที่คุณคิด ดิฉันไม่เห็นมีใครตายสักคน และคนที่ผ่านมาได้ก็ล้วนแล้วแต่เป็นบุคคลากรที่ดีของประเทศ ส่วนคุณความคิดเห็นที่ 32 นั้น กรุณาบอกด้วยนะคะว่าคุณทำงานที่ไหน ดิฉันเชื่อว่าคงไม่มีใครอยากทำงานในบริษัทที่มีคนความคิดเห็นไม่พัฒนาอย่างคุณหรอกค่ะ ดิฉันเองก็จบจากแม่โจ้และก็เคยผ่านการทำงานมาแล้วด้วย อยากบอกให้คุณทราบด้วยนะคะว่า บริษัทเค้ารับดิฉันเข้าทำงานตั้งแต่ยังเรียนไม่จบด้วยซ้ำไป แก้ไขเมื่อ 26 ต.ค. 50 17:28:21 จากคุณ : โจ้ค่ะ (moonoibeaver) - [ วันออกพรรษา 17:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 56 จะเถียงกันทำไม สถาบันใคร ใครก็รักทั้งนั้นแหละ คุณอยู่สภาบันไหนก็ว่าของตัวเองดี มันก็ดีด้วยกันทั้งหมดแหละ จากคุณ : เบื่อ - [ 27 ต.ค. 50 22:20:25 A:203.131.212.69 X: ]

ความคิดเห็นที่ 57 อาจกล่าวได้ว่า เพราะแม่โจ้ ผลิตหลักสูตรการเกษตรไม่หลากหลาย เน้นทางด้านการปฏิบัติ และส่งเสริมงานด้านวิชาการน้อย ทั้งคณะอาจารย์และนักศึกษา มีผลงานด้านการเกษตรน้อยมาก ไม่ได้รับการสนับสนุนและเผยแพร่ แต่หากเปรียบเทียบลักษณะทางการตลาดปัจจุบัน ม.ในเขตกทม. จะได้รับการสนใจมากกว่าด้วย จากคุณ : ลูกแม่โจ้ - [ 29 ต.ค. 50 10:56:05 A:202.28.39.250 X: ]

ความคิดเห็นที่ 58 ทุกมหา'ลัยทรงคุณค่าในสถาบันการศึกษาของตน ไม่ว่าจะชื่อดังรึไม่ก็ตาม คนที่ว่าเอาดีเข้าตัวเอาชั่วให้คนอื่นนะ คุณคิดว่าคุณดีจริงแล้วหรือถึงกล้าว่าสถานบันการศึกษาที่คุณไม่เคยแม้แต่จะรู้จักและสัมผัสอย่างละเอียด คนเราจะดีจะชั่วไม่ได้อยู่ที่สถาบัน มันอยู่ที่ตัวบุคคล... ยกตัวอย่าง คห.4 และ 32 ถึงสถาบันที่คุณเรียนมาจะเป็นมหาลัยชื่อดัง แต่มันไม่ได้ช่วยให้คุณมีจิตใจและความคิดที่สูงขึ้นเลย... "แม่โจ้" เป็นมหา'ลัยที่ให้ทั้งความรู้และสอนให้รู้จักความอดทน ความสามัคคี มีวินัย รักเพื่อนผอง รักสถาบัน ...เรายังคงรักและเชิดชู "แม่โจ้" จากคุณ : โจ้ค่ะ'62_MAC. - [ 13 พ.ย. 50 21:44:21 A:202.91.19.206 X: ]

ความคิดเห็นที่ 59 ก่อน หรือ หลัง  ไม่ สำคัญ  อยู่ที่ สมอง และ จิตวิญญาณ             เกษตรศาสตร์ คือ ศาสตร์ ของ แผ่น ดิน จากคุณ : ตั๊กแตนกิ่งไม้ - [ 27 พ.ย. 50 10:00:51 ]