ความคิดเห็นที่ 2
พรรณนาว่าด้วยกรุงสยาม
หนังสือเรื่องกรุงสยามได้เป็นพระราชไมตรีกับกรุงจีน ข้าพระพุทธเจ้าขุนเจนจีนอักษร (สุดใจ) แปลออกจากหนังสือ หวงฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า เล่ม ๓๔ หน้า ๔๐ หน้า ๔๑ หนังสือหวงฉียวบุ๋นเหี่ยนทงเค้า นี้เป็นหนังสือหลวง ขุนนาง ๖๖ นายเป็นเจ้าพนักงานเรียบเรียงในราชวงศ์ไต้เชง เมื่อแผ่นดินเขียนหลงปีที่ ๔๒ เตงอีว (ตรงปีระกา จุลศักราช ๑๑๓๙ ปี พ.ศ. ๒๓๒๐ ในครั้งกรุงธนบุรี)
เสี้ยมหลอก๊ก
เสี้ยมหลอก๊กอยู่ฝ่ายตะวันออกเมืองก้วงหลำ เฉียงหัวนอน(เฉียงใต้) มืองกั้งพู้จ้าย(กัมพูชา) ครั้งโบราณมี ๒ ก๊ก เสี้ยม(สยาม คือ สุโขทัย)ก๊กหนึ่ง หลอฮก(ละโว้)ก๊กหนึ่ง อาณาเขตพันลี้เศษ (นับก้าวเท้าแต่ ๑ ถึง ๒๖๐ กว้าเท้าจึงเรียกว่า ลี้) ปลายแดนมีภูเขาล้อมตลอด ในอาณาเขตแบ่งเป็นกุ๋น(เมือง) กุ้ย(อำเภอ) กุ้ยขึ้นฮู้(ขึ้นเมือง) ฮู้ขึ้นต๋าคูสือ (แปลว่าเจ้าพนักงานคลังมณฑล คือ เมืองที่มีข้าหลวงคลังกำกับ คงจะหมายความเป็นเมืองที่ตั้งมณฑล ด้วยแบบราชการวงศ์เชงมีข้าหลวงคลังกำกับแต่เมืองที่ตั้งมณฑล
ต๋าคูสือมี ๙ (๑) เสี้ยมหลอ (จะหมายความว่ากรุงศรีอยุธยา) (๒) ค้อเล้าสี้ม้า (นครราชสีมา) (๓) จุกเช่าปั้น (๔) พี่สี่ลก (พิษณุโลก) (๕) สกก๊อตท้าย (สุโขทัย) (๖) โกวผินพี้ (กำแพงเพชร) (๗) ต๋าวน้าวสี้ (ตะนาวศรี) (๘) ท้าวพี้ (๙) ลกบี๊
ฮู้มี ๑๔ (๑) ไช้นะ (ชัยนาท) (๒) บู้เล้า (๓) บี๊ไช้ (พิชัย) (๔) ตงปั๊น (เข้าใจว่าชุมพร) (๕) ลูโซ่ง (เข้าใจว่าหลังสวน) (๖) พีพี่ (พริบพรี คือ เพชรบุรี) (๗) พีลี้ (น่าจะเป็นราดพรี คือ ราชบุรี) (๘) ไช้เอี้ย (ไชยา) (๙) โตเอี้ยว (๑๐) กันบู้ลี้ (กาญจนบุรี) (๑๑) สี้หลวงอ๊วด (ศรีสวัสดิ์) (๑๒) ไช้ย็อก (ไทรโยค) (๑๓) ฟั้นสี้วัน (นครสวรรค์) (๑๔) เจี่ยมปันคอซัง
กุ้ยมี ๗๒ พื้นแผ่นดินข้างฝ่ายทิศตะวันตกเฉียงปลายตีนหรือเฉียงเหนือมีหินกรวด ด้วยเป็นอาณาเขตเสี้ยมก๊ก อาณาเขตหลอฮกก๊กอยู่ฝ่ายทิศตะวันออกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้ พื้นแผ่นดินราบและชุมชื้น
เมืองหลวงมีแปดประตู กำแพงเมืองก่อด้วยอิฐ เลียบรอบกำแพงเมืองประมาณสิบลี้เศษ ในเมืองมีคลองน้ำเล็กเรือไปมาได้ นอกเมืองข้างทิศตะวันตกเฉียงหัวนอนหรือเฉียงใต้ราษฎรอยู่หนาแน่น
ก๊กอ๋อง (พระเจ้าแผ่นดิน) อยู่ในเมืองข้างฝ่ายทิศตะวันตก ที่อยู่สร้างเป็นเมืองเลียบรอบกำแพงประมาณสามลี้เศษ เต้ย(พระที่นั่ง)เขียนถาพลายทอง หลังคาเต้ยมุงกระเบื้องทองเหลือง ซิด(ตำหนักและเรือน)มุงกระเบื้องตะกั่ว เกย(ฐานบัตร)เอาตะกั่วหุ้มอิฐ ลูกกรงเอาทองเหลืองหุ้มไม้
ก๊กอ๋องชุดเสงกิมจึงไช้เกีย (พระเจ้าแผ่นดินเสด็จตำบลใดก็ทรงราชยาน) บางครั้งก็ทรงช้างที่มีกูบ สั่ว(พระกลดและร่ม)ที่กั้นทำด้วยผ้าแดง
ก๊กอ๋องหมวยต่างเตงเต้ย (พระเจ้าแผ่นดินเสด็จออกท้องพระโรงทุกเวลาเช้า) พวกขุนนางอยู่ที่พื้นปูพรม นั่งพับเข่าตามลพดับ แล้วยกมือประนมขึ้นถึงศีรษะ ถวายดอกไม้สดคนละหลายช่อ มีกิจก็เอาบุ๋นจือ (หนังสือ) อ่านขึ้นถวายด้วยเสียงอันดัง คอยก๊กอ๋องวินิจฉัยแล้วจึงกลับ
เสี้ยมหลอก๊กมีขุนนาง ๙ ตำแหน่ง (๑) อกอาอว้าง (ออกญา) (๒) อกบู้ล้า (ออกพระ) (๓) อกหมัง (ออกเมือง) (๔) อกควน (ออกขุน) (๕) อกมู้น (ออกหมื่น) (๖) อกบุ่น (๗) อกปั้ง (ออกพัน) (๘) อกล้ง (ออกหลวง) (๙) อกคิว
การตั้งแต่งขุนนาง ให้เจ้าพนักงานไปเลือกเอาราษฎรตามหมู่บ้านมอบให้ต๋าคูสือ ต๋าคูสือให้ผู้ที่จะเป็นขุนนางนำหนังสือมาถวายอ๋อง อ๋องก็สอบตามวิธีที่เคย และสอบไล่ข้อปกครองราษฎรด้วย แม้ผู้ที่มาสอบไล่ตอบถูกต้อง อ๋องก็ตั้งให้เป็นขุนนางเข้ารับราชการตามตำแหน่ง ที่ตอบไม่ถูกต้องก็ไม่ได้เป็นขุนนาง วิธีสอบไล่นั้นสามปีครั้งหนึ่ง แต่หนังสือชาวเสี้ยมหลอก๊กเขียนไปทางข้าง ด้วยไม่ได้เล่าเรียนห่างยี่ (หนังสือจีน)
แต่ก๊กอ๋องนั้นหลีวฮวด (ไว้พระเกศายาว) ฮกเซก(เครื่องแต่งพระองค์) มงกุฎทำด้วยทองคำประดับป๊อเจียะ(เพชรนิลจินดาที่เกิดจากหิน) รูปคล้ายต๋าวหมง(หมวกยอดแหลมสำหรับนายทหารใส่เมื่อเวลาออกรบศึก) เสี่ยงอี(ภูษาเฉียง)ยาวสามเชียะ(นับนิ้ว ๑ ถึง ๑๐ เรียกว่าเชียะ) ใช้แพรตึ้งห้าสี เหียอี้(ภูษาทรง)ทำด้วยด้ายห้าสี เอ๋ย,บ๋วย(ฉลองพระบาท ถุงพระบาท)ทำด้วยแพรตึ้งสีแดง
ขุนนางและราษฎรไว้ผมยาวเกล้ามวย ใช้ปิ่นปักและใช้ผ้าขาวพันศีรษะ ขุนนางตำแหน่งที่ ๑ ถึงที่ ๔ ใช้หมวกทองคำประดับป๊อเจิยะ (พลอย) ตำแหน่งที่ ๕ ถึง ๙ ใช้หมวกทำด้วยแพรตึ้งและทำด้วยกำมะหยี่ นุ่งห่มใช้ผ้าสองผืน รองเท้าทำด้วยหนังโค ผู้หญิงใส่ก่วย (รัดเกล้า) ค่อนไปข้างหลัง เครื่องปักผมใช้เข็มเงินเข็มทอง หน้าปักแป้ง นิ้วมือนั้นใส่แหวน รัดเกล้าและแหวนของคนจนทำด้วยทองเหลือง ผ้าห่มทำด้วยด้ายห้าสียกดอก ผ้านุ่งก็ทำด้วยด้ายห้าสีแต่เอาไหมทองยกดอก นุ่งผ้าสูงพ้นดินสองสามนิ้ว ใส่รองเท้าคีบทำด้วยหนังสีดำสีแดง
ฤดูปีเดือนในเสี้ยมหลอก๊กไม่เที่ยง พื้นแผ่นดินก็เปียกแฉะ ชาวชนต้องอยู่เรือนหอสูง (เรือนโบราณที่มีชั้นบนชั้นล่าง ชั้นบนเรียกว่าหอ) หลังคามุงด้วยไม้หมากเอาหวายผูก ทีมุงด้วยกระเบื้องก็มี เครื่องใช้ไม่มีโต๊ะ , เก้าอี้ และม้านั่ง ใช้แต่พรมกับเสื่อหวายปูพื้น ประชาชนนับถือเซกก่า (พุทธศาสนา) ผู้ชายบวชเป็นเจง (พระภิกษุ) ผู้หญิงบวชเป็นหนี (ชี) ไปอยู่ตามวัด ผู้ที่มียศศักดิ์และมั่งมีนั้นเคารพหุด (นับถือพระภิกษุที่สำเร็จ) มีเงินทองถึงร้อยก็ทำทานกึ่งหนึ่งด้วยไม่มีความเสียดาย
แม้ชาวชนถึงแก่ความตาย ก็เอาน้ำปรอทกรอกปากแล้วจึงเอาไปฝัง ศพคนจนเอาไปทิ้งไว้ที่ฝั่งทะเล ในทันใดก็มีกาหมู่หนึ่งมาจิกกิน บัดเดี๋ยวหนึ่งก็สูญสิ้น ญาติพี่น้องของผู้ตายร้องไห้เอากระดูกทิ้งลงในทะเล เรียกว่า เนี้ยวจึ่ง(ฝังศพกับกา) การซื้อขายใช้เบี้ยแทนตั้งจี๋(กะแปะทองเหลือง) ปีใดไม่ใช้เบี้ยแล้วความไข้ก็เกิดชุกชุม
ขุนนางและราษฎรที่มีเงิน จะใช้จ่ายแต่ลำพังนั้นไม่ได้ ต้องเอาเงินส่งไปเมืองหลวงให้เจ้าพนักงานหลอมหล่อเป็นเมล็ด เอาตราเหล็กตีอักษรอยู่ข้างบนแล้วจึงใช้จ่ายได้ เงินร้อยตำลึงต้องเสียค่าภาษีให้หลวงหกสลึง ถ้าเงินที่ใช้จ่ายไม่มีอักษรตราก็จับผู้เจ้าของเงินลงโทษว่าทำเงินปลอม จับได้ครั้งแรกตัดนิ้วมือขวา ครั้งสองงตัดนิ้วมือซ้าย ครั้งสามโทษถึงตาย การใช้จ่ายเงินทองสุดแล้วแต่ผู้หญิง ด้วยผู้หญิงมีสติปัญญา ผู้ชายที่เป็นสามีก็ต้องเชื่อฟัง
ชาวชนเสี้ยมหลอก๊กมีชื่อไม่มีแซ่ ถ้าเป็นขุนนางเรียกว่าอกม้ง (ม้งแปลว่านั้น หมายความว่าออกนั้น) ผู้ที่มั่งมีเรียกว่านายม้ง ยากจนเรียกว่าอ้ายม้ง ขนบธรรมเนียมของชาวชนนั้นแข็งกระด้าง การรบศึกสงครามชำนาญทางเรือ ไต๊เจี่ยง(นายทหารใหญ่)เอาเซ่งทิ(เครื่องราง)พันกาย สำหรับป้องกันหอกดาบและจี่(จี่แปลว่าลูกธนู) เซ่งทินั้นกระดูกศีรษะผี ว่ายิงแทงไม่เป็นอันตราย
สิ่งของที่มีในประเทศ อำพันทองที่หอม ไม้หอมสีทอง ไม้หอมสีเงิน เนื้อไม้ ไม้ฝาง ไม้แก่นดำ งาช้าง หอกระดาน กระวาน พริกไทย ไต๊ปึงจื่อ(ผลไม้) เฉียงหมุยโล่ว(น้ำลูกไม้กลั่น) ไซรเอี๋ยเซี้ยม(แพรมาจากเมืองพุทเกด) แพรลายทอง สิ่งของงที่กล่าวนี้เคยเอามาถวายเป็นเครื่องยรรณาการ
ทองคำและหินสีต่างๆ ที่มีในประเทศ ทองคำก้อน ทองคำทราย ป๊อเจียะ(พลอยหินต่างๆ) ตะกั่วแข็ง
สัตว์สี่เท้า สัตว์สองเท้า สัตว์มีเกล็ด ที่มีในประเทศ แรด ช้าง นกยูง นกแก้วห้าสี ลกจูกกู (เต่าหกเท้า)
ผลไม้และต้นไม้ที่มีในประเทศ ไม้ไผ่ใหญ่ ไม่ไผ่สีสุก ไม้ไผ่เลี้ยง ผลทับทิม แตง ฟัก
สิ่งของที่มีกลิ่นหอม กฤษณา ไม้หอม กานพลู หลอฮก(เครื่องยา) แต่หลอฮกนั้นกลิ่นหอมคล้ายกฤษณา นามประเทศคงจะตั้งตามชื่อของสิ่งนี้ (๑)
..........................................................................................................................................
(๑) ตอนพรรณนาว่าด้วยสยามประเทศนี้ จีนเห็นจะเอาจดหมายเหตุบรรดามีจดไว้เรื่องเมืองไทย ตั้งแต่เก่าที่สุดลงมาจนถึงเวลาที่แต่งหนังสือนี้ มาเก็บเนื้อความรวบรวมลงในที่อันเดียวกัน ไม่ได้แก้ไขตัดทอนการที่เปลี่ยนแปลงในบ้านเมือง เช่นพรรณาว่าไทยไว้ผมยาวเกล้ามวยเป็นต้น
จากคุณ :
กัมม์
- [
24 ก.ย. 50 10:13:49
]
|
|
|