สรุปแล้วสิ่งที่เราพยายามพูด นั่นก็คือว่า ประเทศไทยควรเปลี่ยนระบบการรับคนเข้าทำงาน และเลื่อนขั้นเงินเดือนคนใหม่ โดยใช้วิธีประเมินคุณค่าของคนที่ผลงาน อย่างที่เจ้านายเก่าเรา (เจ้าของบริษัทแปล) พูดว่า ค่าของคนอยู่ที่ผลของงาน บริษัทแปลที่ว่านี้ ว่าจ้างพนักงานพิมพ์ดีด ที่จบ ปวช มา เงินเดือนแพงกว่านักแปลที่เป็นบัณฑิตเอกอังกฤษที่เพิ่งจบใหม่ๆ
เหตุผลเพราะอะไร? เพราะพนักงานพิมพ์ดีดคนนี้พิมพ์ดีดภาษาอังกฤษได้นาทีละเกือบร้อยคำพิมพ์แม่นมากๆด้วย เวลาแปลแบบฟอร์มเช่น ใบเกิด ใบตาย ทะเบียนบ้าน ทะเบียนสมรส ใบหย่า หรืออะไรง่ายๆแบบนี้ที่มีแบบฟอร์มอยู่แล้ว ไม่ต้องใช้นักแปล ใช้แค่พนักงานพิมพ์ดีดก็ทำได้ พนักงานพิมพ์ดีดคนนี้วันๆทำเงินให้บริษัทได้มากกว่านักแปลที่เพิ่งเรียนจบใหม่ๆซึ่งวันๆแปลได้อย่างมากก็แค่ 4-5 หน้า(ในขณะที่นักแปลที่ชำนาญแล้วจะแปลได้รวดเร็วและแม่นยำมากกว่านั้นถึง 3-4 เท่า) แต่พนักงานพิมพ์ดีดคนนี้ วันๆหนึ่งคงพิมพ์แบบฟอร์มได้ไปเป็นร้อยๆหน้า ซึ่งถ้านับกันแล้วพนักงานพิมพ์ดีดที่ชำนาญจะทำเงินให้กับบริษัทได้มากกว่าบัณฑิตเอกอังกฤษที่เพิ่งหัดแปลได้ไม่กี่เดือน นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมพนักงานพิมพ์ดีดจบแค่ ปวช จึงได้เงินเดือนมากกว่าบัณฑิตที่เพิ่งเรียนจบเอกอังกฤษมาใหม่ๆ ซึ่งยังใช้ภาษาอังกฤษยังไม่คล่องนัก
ประเทศไทยจะมีคนเก่งๆเข้าทำงาน ซึ่งอาจไม่ได้มาจากเด็กหัวกะทิที่เอ็นติดแล้วแข่งกันเรียน (แล้วส่วนใหญ่เมื่อแข่งกันขนาดนี้ก็กลายเป็นคนเห็นแก่ตัว) แต่อาจมาจากคนที่ไม่เรียนเก่งมากนักในวัยเรียน แต่ไปเรียนรู้เอาในช่วงหลังๆของชีวิต แล้วกลายเป็นคนที่มีประสิทธิภาพ และมีคุณค่าแก่ประเทศชาติ
สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ในสังคมไทยก็ต่อเมื่อประเทศไทยเปลี่ยนระบบใหม่ ในการรับสมัครงาน ให้เงินเดือนคน และขึ้นเงินเดือนคน ....ต้องลดการใช้เส้นสายและลดการคอรัปชั่น....แล้วหันมาใช้คติที่ว่า
คุณค่าของคนอยู่ที่ความสามารถจริงๆซึ่งสาธิตให้เห็นได้ และอยู่ที่ผลงาน
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 07:06:11
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 07:04:34
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 06:19:03
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 06:03:46
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 06:00:00
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 05:39:26
แก้ไขเมื่อ 27 ก.ย. 50 05:36:31