ความคิดเห็นที่ 1 ขอบคุณคุณบุญชิตฯ ที่เปิดที่ให้คุยใหม่นะครับ มารายงานตัวก่อน เดี๋ยวจะมาร่วมวงสนทนาอีกทีครับ ปล. เคยถามคุณบุญชิตฯ ตั้งแต่กระทู้เก่า ใช่คนเดียวกับที่โพสต์ความเห็นในบล๊อกอาจารย์ปิยบุตรบ่อยๆ หรือเปล่าครับ? (ที่ถามไม่มีอะไรนะครับ แค่รู้สึกคุ้นๆ และชอบความเห็น) จากคุณ : ฉันรู้ว่า... (ฉันไม่รู้อะไรเลย) - [ 29 ก.ย. 50 22:33:48 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ฮ่า ผมก็ลืมตอบ มัวแต่คิดประเด็น "โต้" กับหลายๆความเห็น ใช่ครับ ใช้ชื่อนี้แหละครับ ชื่อเดียว รวมทั้งในงานเขียนต่างๆ ที่อาจจะมีปรากฎอยู่บ้างด้วย จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 29 ก.ย. 50 22:40:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 มาลงชื่อครับ แต่รอท่านอื่นเปิดประเด็นก่อน เริ่มคุยไม่ค่อยเป็น เขิน ปล.ที่เฉลิมไทยกระทู้ด่าคนไม่ยืนเคารพเพลงฯ กลายเป็นกระทู้เมนส์(ประจำเดือน)ไปแล้วครับ แล้วมีก็แนวเดิมๆ ใช้อารมณ์เข้าว่า มุกเดิมๆ ถามว่าเป็นคนไทยหรือเปล่าตามเคย โต้จนเหนื่อยใจจะโต้แล้วล่ะนะ ปล่อยๆไปดีกว่า เก็บไว้อ่านให้รู้สึกว่าตัวผมเองถึงจะโง่ดักดานก็ยังฉลาดกว่าหลายๆคน แก้ไขเมื่อ 29 ก.ย. 50 22:59:10 จากคุณ : - (อัศวินม้าเขียว) - [ 29 ก.ย. 50 22:55:59 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แค่ได้คิดแตกต่างนี่ น่าภูมิใจเนอะ ฉลาดสุดๆอะ แต่สิ่งที่ต้องการอะ มันคงอีกนานนะกว่าจะเกิดขึ้น ชุมชนเล็กๆในเนตก้อแค่นั้นแหละ คงเปลี่ยนแปลงไรได้มากหรอก นับดูทั่วไทยน่าจะมีไม่ถึง 1% ด้วยซ้ำ เอาเหอะพยายามเข้ากัน คิดแตกต่างมันเท่ใช่ปะ? (บัตรผ่าน ไม่มีล็อคอิน ไม่ต้องสนใจก็ได้) แค่อยากพิม จากคุณ : โจ - [ 29 ก.ย. 50 23:16:16 A:58.8.176.93 X: ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ได้เท่ที่คิดต่างหรอกค่ะ แต่คนเรามีสิทธิที่จะคิดต่าง และมีสิทธิที่จะบอกเล่าความคิดของตัวเอง ไม่ใช่หรือคะ?? มาลงชื่อรออ่านแล้วกัน ^^ จากคุณ : psycho patch - [ 29 ก.ย. 50 23:53:25 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ถึงคุณคห.4 ก็ไม่ได้ภูมิใจว่าฉลาดมากมายอะไร แค่่ก็รู้สึกว่าฉลาดกว่าพวกตรรกะแบบ "คนไทยรึเปล่า" เท่านั้นเอง ึคิดต่างไม่เท่หรอก แค่พอใจที่ได้ใช้ปัญญา จากคุณ : อัศวินม้าเขียว - [ 30 ก.ย. 50 00:13:03 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อก่อน ก้เป็นแบบคนไทยส่วนใหญ่ คือ รักแบบถวายชีวิต แต่มาบัดนี้ จากความจริงที่ได้เห็น ปรากฎ ก็ทำให้เปลี่ยนทัศนะคติ ไป ผมอยากจะบอกว่า ประเทศไทยนี้เราไม่ใช่ผู้อาศัย  แต่เราทุกคนเป็นเจ้าของร่วมกัน ทุกคนไม่ว่าจะเป็นใคร ก็มีหน้าที่ต้องปฏิบัติต่อชาติ เพียงแต่ละคนมีหน้าที่ท่ีแตกต่างกัน ที่สำคัญแล้วต้องทำเพื่อชาติ เท่านั้น ไม่ใช่ทำเพื่อคนหนึ่งคนใด ท่านได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างดีที่สุดแล้วหรือยังครับ จากคุณ : ID5450 - [ 30 ก.ย. 50 00:23:15 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ถึงคห ที่7 งั้นก้อโทดที่ครับ ที่เข้าใจผิด แต่อ่านจากคห คุณแล้วมันทำให้ผมคิดอย่างนั้นอะนะ ผมก็ไม่ชอบตรรกะ แบบคนไทยหรือเปล่าอะไรอย่างนั้นเหมือนกัน มันดูติ้งต้องที่จะมาตัดสินกันแบบนั้น เรื่องนั้นผมมองว่ามันเป็นเรื่องของมรรยาทมากกว่า แต่ผมก็ไม่ได้คิดว่าตัวเองฉลาดว่าคนพวกนั้นหรอกครับ คนบางคนก็แบบนี้แหละครับจะฉลาดหรือโง่ แต่พอเจอเรื่องที่แตะต้องไม่ได้(สำหรับคนพวกนั้น) ก็อาจจะฟิวขาดแบบ ........ โง่หรือฉลาดวัดกันอย่างไรครับ? ต้องคิดอย่างคุณใช่ปะ ถึงแบบ ฉลาดมาก กระทู้ที่พังไปน่ะ ผมก็อ่านนะ มีความเห็นเยอะแยะ แต่ที่มีสาระจริงๆ มีไม่ถึงสามสิบอัน แต่ก็โอเคอะนะ ปล.ถึงคุณ psycho patch คิดแตกต่างได้สิครับ ไม่ได้ห้าม ที่ผมพิมไปก็เปนสิทธของผมเหมือนกันครับ สิทธที่ถามว่าเท่มั้ย จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 00:52:45 A:58.8.166.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอเพิมอีกนิด ที่จิงคำว่าเท่มั้ย ผมตั้งใจจะถามแค่คุณ อัศวินม้าเขียว แค่นั้นแหละ หลังจากที่ได้อ่านความเหนเก๋ๆ (คห3) แต่ตอนนี้คงไม่ต้องถามแล้ว รู้แล้วครับว่าชอบใช้ปัญญา จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 00:58:52 A:58.8.166.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณคุณโจมากๆเลยครับ แหมอุตส่าห์ชมด้วย ซึ้งจัง ปกติก็ไม่ค่อยได้แสดงความเห็นเก๋ๆ อย่างนี้นักหรอก ส่วนมากจะแสดงความเห็นโง่ๆ มากกว่า แต่เผอิญไปเจอกระทู้เมนส์ "คนไทยรึเปล่า" ในเฉลิมไทยแล้วดีกรีความขำพุ่งกระฉูดมากไปหน่อย เลยต้องมาแสดงความเก๋ให้คุณโจได้รับชมนี่แหละ อืม แล้วคุณโจคิดว่าผมเท่มั้ยครับ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 01:09:23 จากคุณ : อัศวินม้าเขียว - [ 30 ก.ย. 50 01:08:42 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เท่ๆสุดครับ ถ้าเป็นผู้หญิงคงหลงรักไปละ เก๋ไก๋ น่ารัก และยังฉลาดอีก ไม่ชมว่าเท่ก็แปลกละ แล้วยังมีอารมขำอีก กระทู้น่าเบื่อซ้ำซาก(คนไทยรึเปล่า) (นั่นอะ1ใน5กระทู้น่าเบื่อของผมเลยนะ แบบไม่ต้องเข้าไปอ่านก็รู้ว่าข้างในมีอะไร เดจาวูมาก) โหอ่านได้ด้วยน่านับถือ อ่านไปภูมิใจตัวเองไปอะดิ 5555 เราฉลาดที่สุด55555555 ปล.ไปนอนละ กูดไนทครับ จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 01:17:12 A:58.8.166.99 X: ]

ความคิดเห็นที่ 13 โอ้ ขอบคุณพี่บุญชิตมาก ๆ เลยครับ^___^ ขอก๊อปความเห็นผมอันนึงในกระทู้นั้นมาเป็นการเปิดประเด็นละกัน........ ไหน ๆ เราทั้งหลายได้ถกกันมาถึงตรงนี้แล้ว ผมขอสรุปข้อคิด+จุดยืนของผมหน่อยละกัน ขอย้อนกลับไปที่คำถามหลักของกระทู้ ผมว่าไม่ใช่แค่พันทิพย์หรอกครับที่ “แปลก” ไป แต่อะไร ๆ ก็ “เปลี่ยนแปลก” ไปเป็นเรื่องปกติ ยิ่งในบริบทกรณีที่เราถกกันมา “สถาบัน” และ “ท่าน” ในฐานะการครอบงำความคิดจิตใจ (hegemony) และการกดทางความคิดนั้น ดำรงอยู่ในสังคมไทยมาเป็นเวลานาน ซึ่งรัฐไทยและสังคมไทยมีความพยายามอย่างยิ่งในการสร้างและจัดวางตำแหน่งแห่งที่ของ “สถาบัน” และ “ท่าน” ให้อยู่เกินเอื้อม บวกกับ มาตราการทางการบังคับ-นอกจากทางอุดมการณ์ความคิดแล้ว-รวมไปถึงการใช้กฎหมายและการสร้างความกลัว [เคยมีคนตั้งข้อสงสัยว่า ศาลที่กระทำในนามพระปรมาภิไท นั้น ในการไต่สวนคดีหมิ่นฯ จะถือเป็นผลประโยชน์ทับซ้อนหรือไม่???] นอกจากนี้ รัฐและสังคมไทย ได้ระดมแจก “แว่นตาสีขาว” ให้สมาชิกในสังคม ผ่านโรงเรียนโดยเฉพาะอย่างยิ่ง การให้การศึกษาวิชาประวัติศาสตร์ และผ่านสื่อมวลชน ที่เสนอข่าว “สถาบัน” และ “ท่าน” ได้ด้านเดียวและยังต้องตกเป็นเครื่องมือในการโฆษณาให้อีกด้วย (ผ่านสิ่งที่เรียกว่า “สารคดีเฉลิมพระเกียรติ”) การที่พันทิพย์ “เปลี่ยนแปลก” ไปนั้น อาจเป็นเพราะว่า สมาชิกในสังคมหลาย ๆ คนได้ถอดเขวี้ยงแว่นสีขาวดังกล่าวทิ้งไปเสีย เริ่มต้นการตั้งคำถาม แต่...แม้แต่การตั้งคำถามก็ยังเป็นสิ่งต้องห้าม เป็นสิ่งที่โดนกดไว้ด้วยกฎหมายและความกลัว... อย่างที่ผมเคยว่าไว้...Nepal เป็น case study ที่ดีมาก ๆ ครับ ดังนั้น จุดยืนของผมที่ผ่านมาตลอดคือ หาก “สถาบัน” หวังที่จะปรับตัวเข้ากับโลกที่ไม่อยู่นิ่งนี้ การปรับเปลี่ยนความสัมพันธ์เชิงอำนาจกับภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคมต้องเกิดขึ้น เรื่องพื้นฐานเช่น การวิพากษ์วิจารณ์-ตรวจสอบของประชาชนในฐานะเจ้าของประเทศ ซึ่งแน่นอนว่าต้องอาจต้องยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ หรือหากไม่ยกเลิกนั้น ต้องให้กฎหมายหมิ่นปรับใช้เสียใหม่ เพราะที่ผ่านมา กฎหมายฉบับนี้ถูกนำมาใช้เล่นงานศัตรูทางการเมืองและ “อุดปาก” ประชาชนอยู่เสมอ (เคยมีข้อเสนอว่า ผู้ที่จะไปฟ้องตำรวจด้วยข้อหาดังกล่าวได้ ต้องเป็นผู้ที่ได้รับอำนาจจากคิงเอง เช่นอาจเป็นสำนักพระราชวังหรือราชเลขา ฯลฯ) เรื่องต่อมาคือ “สถาบัน” และ “ท่าน” นั้น ต้องไม่ยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอย่างแท้จริง ปัญหาคือ หากเราดูประวัติศาสตร์ “ท่าน” นั้นมีบทบาททางการเมืองตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลเลือกตั้ง หรือรัฐบาลเผด็จการ (ซึ่งผมมองว่าจะมีบทบาทมากเป็นพิเศษ) “ท่าน” เล่นการเมืองโดยที่เจ้าของประเทศอย่างผมหรือท่านอื่น ๆ นั้น ไม่สามารถ check and balance ได้ และจะยึดโยงกับแนวคิด The king can do no wrong เพราะ The king has no action AT ALL การที่คิงจะมีการกระทำที่เป็นทางการหรือต่อสาธารณะยังไงนั้น ต้องถูก supervised จากรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งเสมอ หรืออีกนัยหนึ่ง King ไม่ควรมีความเห็นต่อประเด็นทางการเมือง, เศรษฐกิจ หรือสังคมต่อสาธารณะอย่างเป็นอิสระ ตัวอย่างที่ดีคือตัวอย่างจากหนังเรื่อง The Queen จะเห็นว่า ก่อนที่ Elizabeth จะตรัสสิ่งใดต่อสาธารณะนั้น จะต้องถูกรัฐบาล (ในฐานะตัวแทนประชาชนและในฐานะ "ที่ปรึกษา") ตรวจสอบตรวจแก้เสมอ สำคัญที่สุดที่ผมย้ำเสมอ สังคมไทยต้องเปิดพื้นที่ทางการเมืองให้กับคนหลากหลายจุดยืน ให้คนหลาก back ground มา “ทะเลาะ” กันได้อย่างมีคุณภาพ แต่ที่ผ่านมา สังคมไทยอบอวลไปด้วยการ “รู้รักสามัคคี” และมายาคติ/อุดมการณ์/วาทกรรม "ชาตินิยม" ซึ่งถูกนำมาอุดปากประชาชนตลอดมา... สุดท้ายแล้ว มันไหลกลับไปสู่คำถามพื้นฐานที่ว่า เราต้องการที่จะมีชีวิตทางการเมืองแบบไหน? เรามีความจำเป็น (หรือต้องการ) อำนาจการปกครองแบบใด? เราต้องการประชาธิปไตยหรือเปล่า? แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 01:28:32 จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 30 ก.ย. 50 01:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ตามเก็บความรู้อยู่ค่ะ แต่ไม่มีความรู้จะแชร์ จากการอ่านมาเรื่อยๆ รู้สึกว่า ประชาธิปไตย(แบบที่ตะวันตกเขาเรียกกัน) ไม่ค่อยเหมาะกับสังคมไทยเท่าไหร่นัก อันที่จริง ประชาธิปไตย ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีที่สุดเสมอไปหรอกมั้งคะ จากคุณ : dittaya - [ 30 ก.ย. 50 01:35:25 ]

ความคิดเห็นที่ 15 .. จากคุณ : ซุ่มต่อ.. (ว่านน้ำ) - [ 30 ก.ย. 50 02:00:45 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เราชอบกระทู้นี้ เี่ีราชอบความรู้แท้  เรามองว่า พื้นที่บางส่วน ไม่เป็นประชาธิปไตยอ่ะ พื้นที่ส่วนหนึ่งประชาชนเข้าไม่ถึงสิทธิเสรีภาพ(อาจเพราะไม่มีทุน หรืออะไรก็ตาม) ไม่งั้นระบบการเมืองคงจะดีกว่านี้มาก  เพราะเสรีภาพยิ่งมีมากประชาธิปไตยยิ่งดี    ความล้มเหลวของประชาธิปไตยบ้านเราน่าจะมาจากโครงสร้างสิ่งที่เป็นสถาบัน ที่มาพร้อมกับสื่อมวลชน ที่ครอบงำ กำหนดสิ่งต่างๆที่คนอยากเชื่อ แต่ สมมุติว่า "คอมพิวเตอร์ิธิปไตย" สามารถสร้าง ความรู้ และความเป็นประชาธิปไตยที่มากขึ้นได้ มันก็จะสั่นคลอนระบบเดิมแบบขุดรากถอนโคน ไร้ความปราณี ในแบบที่ไม่มีใครหยุดมันได้เหมือนกัน เพราะคนเกือบทุกคนมีคอมพิวเตอร์ใช้กันทุกบ้าน  พวกเขาเข้าถึงความรู้ที่ตัวเองต้องการ เลือกกลุ่มเข้าเวบโน้นเวบนี้ ตามความพอใจเป็นส่วนหนึ่งในความมีตัวตนของเขา  แทนที่จะพึงพาความรู้จากอำนาจแบบเก่าๆ ในส่วนหนึ่งเราจึงมีคนที่เป็นพวกหัวก้าวหน้าเยอะมากที่ตั้งคำถามกับสถาบันและกับ กับสื่อมวลชน ต่างๆตลอดเวลา  และอย่างมีเสรีภาพ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 02:33:36 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 02:31:42 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 02:29:54 จากคุณ : the author - [ 30 ก.ย. 50 02:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สำหรับคนที่ต้องการอ่าน ภาค 1 ผมแยก เป็น 2 ส่วน ส่วนที่ 1: ความคิดเห็น 1 - 250 http://members.lycos.co.uk/multiagent/pantip/K5764337_1.html ส่วนที่ 2: ความคิดเห็น 251 - จบตรงของคุณบุญชิตฯ http://members.lycos.co.uk/multiagent/pantip/K5764337_2.html พอดี ผมฝากไว้ที่ lycos จะมี banner ด้านข้าง ถ้าใครรู้จัก free web hoster ที่ดีกว่านี้ ก็หลังไมค์มาบอกได้ครับ จากคุณ : UnlimitedDreams - [ 30 ก.ย. 50 03:19:09 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เพิ่งจะเข้าอ่าน  เพราะมีสมาชิก link เข้าไปในโต๊ะรดน.  อ่านจนตาลาย หลากหลายคคห.จนเกือบจะจับประเด็น เดิมไม่ได้  จนเจอท่านหนึ่งหยิบประเด็นว่้า  ทำไมพักหลังสังคมไทยมีการนำประด็นเรื่องสถาบันมาวิจารณ์กันมากขึ้น ขอต่อจากประเด็นนี้   เมื่อสังคมเปิดมากขึ้น  การสื่อสารไร้พรมแดน  ทำให้การรับรู้ในเรื่องต่างของสถาบันซึ่งมีทั้งบวก และลบ  เปิดเผยต่อสาธาณชนมากขึ้น  ภาพของสมมุติเทพจึงเปลี่ยนไป  การแอบอ้างสถาบันในปัญหาความขัดแย้งทาง การเมืองมีมากขึ้น   เมื่อปชช.ไม่สามาถตรวจสอบข้อเท็๋จจริงได้  ความเสื่อมเสียย่อมเกิดขึ้นกับสถาบัน    สถาบันจะคง อยู่ได้ขึ้นกับสมาชิกของสถาบัน  รวมถึงผู้ที่เกี่ยวข้องทุก ๆ ท่าน  ที่ต้องเป็นกลางทางการเมือง  ไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดให้ปชช. ยอมรับในความเป็นกลางอย่างแท้จริง    นอกจากนั้นจริยวัตรต้องถูกต้องทำนองคลองธรรม  ไม่ประพฤติตัวเสื่อมเสีย นั่นคือการคงอยู่ของสถาบัน     เสียงสะท้อนการวิภากษ์วิจารณ์สถาบัน    ก่อนถึงโลกยุคดิจิตอล   การวิภากษ์วิจารณ์ มักไปไม่ถึง   เำพราะวลี " เกรงจะระคายเบื้องพระยุคลบาท  "  สถาบันจึงมักจะอยู่มิได้อยู่ในโลกของความเป็นจริง แต่สำหรับโลกปัจจุบัน  ก็จะทำให้ได้รับรู้โลกของความเป็นจริงมากขึ้น      สถาบันต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพ ของปชช.ที่การศึกษาสูงขึ้น   การจะดำรงอยู่ได้   ก็ต้องทำดีให้เห็น    การทำลายสถาบันนั้นผู้ใดไม่สามารถจะทำได้ ยกเว้น  สถาบันจะทำลายตัวเอง    จากภาพ  ข่าว  และ คลิปวีดิโอที่ปิดกันให้แซ่ดทั่วบ้านทั่วเมือง...จะโดนลบไหม ? นะ  คคห.นี้ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 10:19:11 จากคุณ : sao..เหลือ..noi - [ 30 ก.ย. 50 10:15:44 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ตามอ่านมาตั้งแต่วันแรกๆ และก็คงจะตามอ่านต่อไป ไม่มีความคิดเห็น เพราะคงแสดงออกมาตามที่คิดไม่ได้ ความจริงมีหลายอย่างที่สามารถประกอบกันเป็นภาพที่สมบูรณ์ แต่ไม่มีใครกล้ายอมรับ และ หรือ อาจจะยกอ้างคุณงามความดีขึ้นมาฉาบทาทับไว้อีก สิ่งที่เราคิดคือ ทำไมไม่ตรงไปตรงมา ทำไมต้องบิดเบือน มันก็เท่านั้นแหละ จากคุณ : ป้าหนูดา (ป้าหนูดา) - [ 30 ก.ย. 50 11:54:23 ]

ความคิดเห็นที่ 21 โหวตๆๆๆๆๆ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 30 ก.ย. 50 12:47:44 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ชอบอ่านกระทู้นี้และกระทู้นั้น  ช่วยคุณ AntiSpam โหวตอีกคน จากคุณ : เพ็ญชมพู - [ 30 ก.ย. 50 13:06:45 ]

ความคิดเห็นที่ 23 อ่านมาตั้งแต่ต้น ไม่ได้แสดงความคิดเห็นอะไร เริ่มมีคนเอากระจกหกด้านมาวางไว้แทนที่กระจกด้านเดียว ข้อมูลเริ่มหลั่งไหล ก็เริ่มสะสมข้อมูล อะไรจริง อะไรเท็จ ใครทำอะไรที่ไม่ควรทำ ใครไม่ทำอะไรที่ควรทำ อยากให้สถาบันยังอยู่ แต่ต้องปรับบทบาท สามารถตรวจสอบได้ ใช้กม.ฉบับเดียวกัน จากคุณ : suky - [ 30 ก.ย. 50 14:25:26 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อ่านกระทู้นั้นแล้ว มีความรู้สึกเหมือนดูท่านเปา ตัดสินคดี ทำให้นึกว่า แม้กฏหมายจะเป็นหลักการที่ดูหนักแน่น ไม่เกรงหน้าอินทร์หน้าพรหม เพื่อหลักของความยุติธรรมแล้ว จะเห็นแก่ญาติสนิท มิตรสหาย ตลอดจนผู้มีพระคุณทั้งหลายนั้น หาได้ไม่ ลูกกตัญญูลักข้าว เพื่อนำไปให้แม่ที่แก่ชรา พลาดพลั้งไปทำร้ายคนจนเสียชีวิต เมื่อทำผิดที่ลักขโมย และทำร้ายคน ท่านเปา ก็ตัดสินไปตามผิด หากไม่เป็นไปตามนั้น ท่านก็ว่า แล้วท่านจะตอบผู้เสียหายได้อย่างไร ข้าวที่พ่อค้าสูญเสียไปใครจะชดใช้ให้ ชีวิตที่เสียไป จะตอบลูกเมีย เขาว่าอย่างไร... หลักการที่เป็นธรรม ในสายตาของแม่ผู้แก่ชรา ดูช่างโหดร้าย เหลือทน แต่ที่ดูโหดร้าย จะเป็นหลักกฎหมาย หรือการปรับใช้กฎหมาย นั้นก็อีกกรณีหนึ่ง ... หากแยกให้ชัดก็ดี อย่างไหน คือหลักกฎหมาย อย่างไรคือการปรับใช้ ผู้อ่านจากหลากประสบการณ์ต่างที่มา จะได้อ่านและถกกันตรงประเด็น ท่านเปา หรือแม่ผู้แก่ชรา มีความลุ่มลึกในการมองกฏหมายและการปรับใช้ที่แตกต่างกัน หวังว่า ความเห็นกันสมองฝ่อของข้าพเจ้าจะเป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 30 ก.ย. 50 15:35:08 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เอ่อ... ไม่ขอออกความเห็นมากมาย แต่ขอแจมเรื่อง ท่าน  ไม่ควรยุ่งการเมือง ว่า  ถ้าท่านเฉย  แล้วประชาชนตายเป็นเบือ ให้ ท่าน เกี่ยวเถอะค่ะ หรือจะปล่อยไปตามยถากรรม มันแลกด้วยชีวิตนะ  ไม่ใช่เศรษฐกิจและการเมือง จากคุณ : Makit - [ 30 ก.ย. 50 15:36:36 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ช่วงนี้ผมเร่งงาน จน "เล่น" เน็ทแบบสบายใจน้อยมาก มีเรื่องสั้นๆ อยากจะเตือนนัก "ไม่ยืน" ทั้งหลาย เนื่องจากเห็นว่า กระทู้พิพาทเรื่องการ "ไม่ยืนในโรงหนัง" เกิดขึ้นในพันทิป และหลายเวบบอร์ด จนกระทั่งรู้สึกว่า เหมือนจะเป็นเรื่องที่เกิดขึ้น และพบเห็นได้ค่อนข้างบ่อยในสังคม (เชื่อว่าคนที่ไปเจอ คงเจอคนกลุ่มเดิมๆนั่นแหละ การกระทำแบบนั้นมันโดดเด่นน้อยอยู่เท่าไร) ซึ่งทำให้ผมกังวล ประกอบกับการโจมตีเวบไซต์ "ฟ้าเดียวกัน" ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ทำให้ภาพบางอย่างมันย้อนเข้ามา จนอดไม่ได้ที่จะมาเขียนเตือน เลิกเถอะครับ, คุณจะทำให้สถานการณ์มันแย่ลงไป อย่างไม่มีประโยชน์กับใคร แม้แต่กับอุดมการณ์ของคุณ เลยแม้แต่น้อย สังคมไทยส่วนใหญ่ ตอนนี้ยังไม่ยอมรับการกระทำของพวกคุณ ถึงแม้หลายๆคนจะ "เข้าใจ" แต่ก็ไม่ "ยอมรับ" อันตรายมากเกินไปครับ ผมมองสิ่งที่เกิดกับเวบฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นการโจมตีในโลกไซเบอร์แล้ว ให้เสียวว่า ถ้ามันจะเกิดกับนักไม่ยืนทั้งหลายในโลกของความจริง ที่โรงหนังบ้าง ท่านจะทำอย่างไร ท่านจะมั่นในในกระบวนยุติธรรมไทย (ที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย !) ได้แค่ไหน หากคุณได้รับบาดเจ็บ เพราะการยืนยันที่จะไม่แสดงความเคารพ ในสิ่งที่ศาลใช้เป็นหลักในการตัดสินคดี มันท้าทายมากเกินไปครับ อย่าคิดว่า "อ้าว ถูกทำร้ายร่างกายเห็นๆ ศาลจะไม่ลงโทษให้ได้อย่างไร ?" ขอตอบว่า "ได้ครับ" ได้ตามหลักกฎหมายด้วย หลายท่านคงเคยทราบว่า การกระทำความผิดโดยบันดาลโทษะ สามารถลดโทษลงมากแค่ใดก็ได้ (ดู ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72) ซึ่งความผิดฐานทำร้ายร่างกาย โดยไม่สาหัสนี้ ถือว่าเป็นความผิดในกลุ่มที่โทษน้อย รับรองว่าไม่ถึงติดคุกแน่ และศาลอาจจะให้เหตุผลว่า "เนื่องด้วยจำเลย ... ถูกกระทำการข่มเหงจิตใจ เนื่องจากผู้เสียหาย... ได้กระทำการย่ำยีต่อ ... ซึ่งเป็นที่สักการะของปวงชนชาวไทยท้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ถือว่าการกระทำของ จำเลย ถือเป็นการกระทำโดยบันดาลโทสะ..." ท่านที่เรียนกฎหมาย เคยอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา หรือพอจะรู้กระบวนยุติธรรม ลองคิดดูนะครับ ว่า "ธง" ที่ผมพยากรณ์ขึ้นมา เป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ถ้าอย่างนั้นยังอยากเสี่ยงอยู่หรือไม่ ? จากการหาข่าว ผมพบว่า กลุ่มที่เข้าไปโจมตีเวบฟ้าเดียวกัน นั้น มาจากเวบไซต์ของเด็กวัยรุ่นส่วนใหญ่ (ขออนุญาตไม่เอ่ยนาม) เป็นเด็กในวัย ม.ต้น - ปริญญาตรี ที่เป็นกลุ่มที่ ... สามารถชี้นำได้ง่ายๆ และสามารถกระทำการได้ด้วยความฮึกเหิม หากรู้สึกว่า "เขากำลังทำถูก" หรือ "กำลังเป็นพระเอก" อย่าคิดว่าเด็กวัยรุ่นกบฏๆ จะเห็นดีเห็นงามกับเรื่อง "กบฎๆ" ต่อสังคมแบบนี้นะ ครับ สำหรับเด็กบกฏที่ขาดการยึดเหนี่ยว การกบฏด้วยรูปลักษณ์ภายนอก เป็นสิ่งที่ทำเพื่อสร้าง Identity เท่านั้น (เช่นการเป็นเด็กแวนต์ เป็นเกรียน inw หรือไม่นุ่งกางเกงใน) แต่ภายในจิตใจของเขา เขาก็ยังเชื่อมั่นในค่านิยมส่วนใหญ่ของสังคม แถมเหนียวแน่นกว่าผู้ใหญ่อีกด้วย เพราะส่วนใหญ่ของพวกเขายังไม่สามารถ "คิดแตกต่าง" ด้วยตัวของตัวเองได้ คือพูดง่ายๆ กบฏแต่เปลือก ข้างในยังเป็นเด็กดีของสังคมนั่นเอง เพียงมีใครสักคนไปตั้งกระทู้ตามเวบบอร์ดที่เป็นศูนย์รวมของเด็กกลุ่มนี้ว่า "เฮ้ย มีพวกในเวบไซต์นี้ กำลังด่า "พ่อ" พวกเรา" เวบนั้นก็เป็นอันล่มสลายลงไปได้ด้วยการโจมตีสารพัดรูปแบบ ผมอยากจะบอกว่า "นี่คือถาพจำลองของ 6 ตุลา 19" ที่เกิดขึ้นในระบบเครือข่ายออนไลน์ วิธีคิดของเด็กกลุ่มนี้ ไม่แตกต่างจากวิธีคิด ของกลุ่มวัยรุ่นของกระทิงแดง หรือ นวพล เลย มันจะเป็นอย่างไร ถ้าการกระทำของพวกท่าน ขยายตัวมากขึ้น ในสังคมที่คนส่วนใหญ่ 90% ยัง "สีเหลือง" และจะเป็นอย่างไร หาก มีใครสักคนไปชักชวนวัยรุ่น ตั้งเครือข่าย "กระทืบพวกไม่ยืนในโรงหนัง" บ้าง ? โดยปลุกให้เห็นว่า เพื่อ "พ่อ" กล้าๆกันหน่อย คุณจะได้รับคำปรบมือ จากคนทั้งโรง เป็นรางวัล สังคมจะมองว่าคุณเป็นฮ๊โร่ ที่กำจัดพวกปีศาจ ที่ปะปนแปลกปลอมเข้ามาในสังคม ปีศาจไม่รักพ่อ... อย่าให้เกิดการเผชิญหน้าขึ้นในเวลาแบบนี้เลยครับ มันยังไม่ถึงเวลา ยังไม่เหมาะสม ผมไม่อยากเห็น 6 ตค. (หรือวันอื่นเดือนอื่น) 50 (แก้คำผิดและคำกำกวม) แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 18:04:49 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 30 ก.ย. 50 15:42:00 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ทำไมต้องตั้งคำถามกับ คนอื่น จากเรื่องที่ได้ยินมา คุณไม่ได้อยู่วังไกลกังวล จะรู้อะไร ถามทำไมไม่มีประโยชน์ แทนที่จะถามอย่าง"นั้น" น่าจะถามว่า ทำอย่างไรเราจะเห็นตัวเอง ทำอย่างไรเราจะไม่จนมุม ทำอย่างไรถึงจะไม่ตายเปล่า กับคำถามแรก ลองล้างจานดู ลองกวาดบ้าน แล้วลองปลูกต้นไม้ ปล.ปัจจุบัน รัฐโง่ และล้าหลังกว่าเดิม เพราะสมองไหลไปตปทและภาคเอกชน คุณจะไปหวังอะไร ปฏิรูปการศึกษากระจายอำนาจการปกครองหรือคนจนจะหมดไปใน 5 ปี อีสานเขียว แก้จราจรใน 6 เดือน ปัญหาใต้แก้ใน 1 ปี? ฝันลมลมแล้งแล้ง พลังอยู่ในมือเรา อยากได้สังคมแบบไหน ให้สร้างที่ตนเอง จากคุณ : ยุทธ (ดวงตาตะวัน) - [ 30 ก.ย. 50 15:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ตอบ คุณ ยุทธ ผมกำลังพยายามสร้างสังคมที่ปลอดภัยสำหรับตัวเอง และลูกหลานในอนาคตอยู่ สังคมที่เรื่องส่วนใหญ่ จะถูกอธิบายได้ ด้วยเหตุผล อันคนส่วนใหญ่ พึงยอมรับ และสามารถอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจ ในความสามารถ และให้เกียรติเพื่อนมนุษย์ร่วมสังคม ที่รับผิดชอบต่อหน้าที่ของเขา ยอมรับสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศนี้ ว่าเกิดจากตัวเรา และเพื่อนร่วมสังคม และยอมรับในสิ่งแย่ๆ ในประเทศนี้ ว่าเกิดจากทุกคนในสังคม อาจจะรวมตัวเราด้วย และหาทางแก้ไขกันไป สุดท้าย ผมอยากเห็นคนในสังคมทำดีต่อกัน โดยไม่ได้คิดว่าทำดีเพื่อใคร เพราะมันอันตรายเหลือเกิน เพราะถ้าคนที่ "อยากทำดีให้" ไม่อยู่เสียแล้ว คนจะเลิกทำความดีต่อกัน ถ้าไม่รีบสร้างความรู้สึกร่วมกันในสังคม ว่าประเทศเป็นของเราทุกคน จะชั่วจะดี ก็อยู่ในมือของเรา อย่าไปโทษใคร (เช่นนักการเมือง) หรืออย่าคิดว่า ดีได้ก็เพราะใครคนเดียว (เช่นนักการเมือง หรือผู้นำ) ประเทศอาจจะง่อยกิน เมื่อถึงเวลานั้น น่าเสียดาย ที่กรรมเลวของนักการเมือง ได้รับการตีแผ่ ทำให้คุณมองว่า "รัฐอ่อนแอ" แต่อย่าลืม ว่าเรื่องดีๆ ที่คุณยังสามารถอยู่ได้สงบสุขตามสมควร ส่วนนึงก็มาจากพลังของ "รัฐที่อ่อนแอ" นี่แหละ นักการเมืองทำอะไรผิดพลาดเห็นได้ง่าย และมีคนพยายามเห็น แต่บางอย่าง แม้จะทำอะไรลงไป ก็ไม่มีใครเห็น หรือไม่มีใครพยายามเห็น ? ปล. ผมอาจจะไม่เข้าใจนักนะครับ ว่า การกวาดบ้าน ล้างจาน ปลูกต้นไม้ มันให้คำตอบอะไรหรือ ? ผมก็ทำอยู่ทุกวัน (ยกเว้นกวาดบ้านสามวันครั้ง) แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 16:19:51 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 30 ก.ย. 50 16:15:52 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ร่มเย็นใต้พระบรมโพธิสมภาร ไม่งั้นบ้านเมืองลุกเป็นไฟมานานแล้ว" คุณเคยนึกสงสัยมั้ยว่า จริงๆแล้วถ้าในอดีตบ้านเมืองได้มีโอกาส "ลุกเป็นไฟ" ซักครั้ง ผ่านความยากเข็ญต่อสู้ปฎิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองซักครั้ง ประชาชนและฝ่ายต่างๆได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและอุดมการณ์จนถึงที่สุดจริงๆ เอาให้เคลียร์ไปเลย แทนที่จะมีใครบางคนออกมา "หยุด" มาเบรกการขัดแย้งไว้ซะทุกครั้งอย่างที่เป็นมา บ้านเมืองทุกวันนี้ ระบบการปกครองทุกวันนี้ เราอาจจะเทียบทันทางประเทศที่เค้าเจริญแล้วก็เป็นได้ เพราะประชาชนคงจะรู้จักช่วยตัวเอง พึ่งตัวเอง ปกป้องสิทธิตัวเองมากกว่านี้ และได้มีส่วนร่วมกับการเมืองการปกครองมากกว่านี้ แทนที่อำนาจจะไปสุมอยู่กับชนชั้นสูงอย่างที่เป็นมา นักการเมืองอาจกลับต้องเกรงใจกระแสประชาชน ไม่ใช่ให้ประชาชนหวาดกลัวนักการเมืองหรือเบื้องสูงเสียดฟ้าอย่างทุกวันนี้ ก็เพราะความคิดแบบคุณที่เจ้าแผ่นดินจะคอยปกป้องให้ความร่มเย็นไปตลอดนี่แหละ ที่ทำให้คนไทยไม่ต้องการรับผิดชอบใดๆ ไม่อยากรับรู้อะไรอย่างทุกวันนี้ เหมือนที่บางคนเคยสงสัยว่า ถ้าสยามในอดีตตกเป็นเมืองขึ้นอังกฤษหรือฝรั่งเศส เราอาจเทียบเท่าสิงคโปร์แล้วก็ได้ หรือเราอาจจะยังล้าหลังเหมือนลาว เหมือนเวียดนาม ซึ่งอันที่จริงก็ใกล้จะทันเราแล้ว กำลังดูดเงินลงทุนจากต่างชาติไปจากเราหมด เราเชื่อว่า จริงๆแล้วถ้าปล่อยให้ทุกอย่างเป็นไปตามกลไกสังคมมนุษย์ ประเทศเราคงจะไม่ต้องอยู่จุดนี้แล้ว ณ วันนี้ แต่เพราะว่ากลไกนั้นโดนชะงักไว้ครั้งแล้วครั้งเล่า จะด้วยความจงใจหรือไม่จงใจก็ตาม มันทำให้ประเทศเราไม่ได้ก้าวไปไหนเลยในด้านการเมืองการปกครองตั้งแต่รัฐธรรมนูญฉบับแรก คุณเห็นมั้ยล่ะว่ามันเป็นวัฎจักรแค่ไหน วนเวียนอยู่ในอ่าง แล้วมันดีกับประเทศตรงไหน กระหน่ำคอรัปชั่นกันใต้พระบรมโพธิสมภาร เอารถถังปืนกลมายึดอำนาจกันก็ใต้พระบรมโพธิสมภาร อำนาจปกครองประเทศก็ผลัดเปลี่ยนมือกันไปกันมาอยู่ไม่กี่พรรคไม่กี่พวกไม่กี่ฝ่าย โยนกันไปโยนกันมา ผลัดกันกินผลัดกันใช้ คนเดือดร้อนคือใคร? ไม่ใช่ว่าไม่สำนึกในบุญคุณและความดี แต่เราคิดว่าถ้าไม่ทำอะไรไม่ฉุกคิดอะไรไม่เริ่มอะไรกันตั้งแต่ตอนนี้ ประเทศไทยก็คงเป็นแบบนี้ต่อไปอีกสิบอีกร้อยปี แทนที่จะมีโอกาสได้พัฒนาอย่างจริงจัง เราถกกันถึงสถาบัน ไม่ใช่ตัวบุคคลใดบุคคลหนึ่ง แต่เป็นสถาบันที่คงอยู่มา โดยเปลี่ยนผู้นำมาเก้าครั้ง ไม่มีใครบอกเลยว่า "ท่าน" ไม่ดี มีแต่ตั้งข้อวิจารณ์ว่า การมี "สถาบัน" แบบนี้ไม่ดีอย่างไร คนที่ปกป้อง คนที่เอะอะก็ "คนไทยรึเปล่า" เวลาเจอกระทู้แนวนี้ คุณยึดติดกับตัวผู้นำ มากกว่าหลักการแล้วล่ะ ใช่ พวกเราโชคดีที่ผู้นำลำดับที่เก้านั้นตั้งอยู่ในธรรม และทำงานหนัก บำเพ็ญตนเพื่อประชาชน แต่นั่นไม่ใช่ประเด็น เพราะหาก "สถาบัน" นี้คงอยู่ต่อไป ก็คงต้องมีลำดับที่สิบ ทีนี้แหละคือคำถาม "ถ้าผู้นำลำดับที่สิบ ไม่ดำรงอยู่ในธรรมล่ะ?" (เช่น ใช้เงินเพื่อความสุนทรีย์สุขสบายส่วนตัว ใช้อำนาจในทางที่มิชอบ มีข่าวเสียหายออกมาเป็นระยะๆ ฯลฯ เป็นต้น) "เรามีระบบอะไรที่จะควบคุม ตรวจสอบ เพื่อที่เราจะได้รับรู้ข้อมูลที่มีความสำคัญกับประเทศชาติ? เรามีแหล่งข้อมูลอะไรที่นอกเหนือไปจาก "ข่าวในพระราชสำนัก รายงานพระราชกรณียกิจ"??" "เรามีอะไรมารองรับและการันตีว่า ถ้าเกิดกรณีที่ผู้นำไม่อยู่ในทศพิศราชธรรม เราจะสามารถวิพากษ์วิจารณ์ สามารถส่งเสียงน้อยๆของเรารวมกัน เพื่อก่อให้เกิดการแก้ไข เปลี่ยนแปลง โดยที่เราจะไม่ต้องกลัวถูกจับเข้าคุกบ้าง?" หรือว่าเมื่อวันนั้นมาถึง พวกคุณก็ยังคิดว่า ฉันไม่ต้องการระบบพวกนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าคิงทุกพระองค์ต้องเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทพมีธรรมโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเค้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม? ฉันเชื่อมั่นในตัวท่าน และฉันไม่ต้องการตรวจสอบใดๆ ไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น? ถ้าเป็นแบบนั้น เราคงไม่ต้องรอให้ใครมาถามเราว่า "คนไทยรึเปล่า?" เพราะเราก็คงไม่อยากเป็นนักหรอก ถ้าคนไทยต้องคิดแบบนั้น พวกคุณพอจะเข้าใจตรงนี้กันมั้ย? พวกคุณมองไกลๆกันหน่อยดีมั้ย อย่าหลับหูหลับตาเพียงเพราะว่าเราบังเอิญโชคดีที่ผู้นำสถาบันองค์ปัจจุบันท่านดีกว่ามาตรฐาน ดีกว่าราชวงศ์ทั่วโลก ระบบป้องกัน "สถาบันเป็นพิษ" อาจมาในรูปกฏหมาย พระราชบัญญัติ อย่างเป็นทางการ ที่อาจเน้นการแยกแยะอำนาจอย่างแท้จริง และการจำกัดงบประมาณทรัพย์สินรายจ่ายให้แค่ "พอเพียง" และ "เหมาะสม" หรือมันอาจจะเกิดขึ้นในรูปของ Tabloid อย่างที่เจ้าชายแฮร์รี่ วิลเลี่ยม ไดอาน่า เจ้าชายเฟรเดอริกกับเจ้าหญิงแมรี่จากเดนมาร์ก และราชวงศ์อื่นๆเกือบทั่วโลก ที่สามารถมีรูปลงหน้าปกนิตยสารได้ มีการวิพากษ์วิจารณ์ในหนังสือพิมพ์ได้โดยไม่มีใครโดนยิงเป้าหรือลากเข้าคุก อย่างน้อยมันก็ทำให้คนชนชั้นสูงเหล่านี้รู้ว่า "เฮ้ ประชาชนจับตามองเราอยู่นะ เค้าสนใจนะว่าเราจะทำดีหรือไม่ดี" มันก็เป็น deterrent อย่างนึง และสิ่งเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ทำกับ "สถาบัน" จริงๆควรทำกับชนชั้นปกครองทุกระดับ แม้แต่ผู้ใหญ่บ้าน แต่ทุกวันนี้ เมืองไทย ทำไม่ได้ แม้แต่คิดก็ยังแทบจะคิดไม่ได้ กลายเป็นเรื่องผิดร้ายแรง แล้วก็มานั่งแปลกใจกันว่าทำไมเมืองไทยมันมีคอรัปชั่น มีอำนาจมืด มีโดนอุ้ม มีกรณีหงิกรอด ฯลฯ อีกมากมายแบบนี้ +++++++++++++++++++++++++++++++++++++ ก๊อปข้อความตัวเองรวมกันมาจากกระทู้เดิม ยังไม่เห็นมีฝ่ายที่คิดต่างจากเรามาตอบกันให้ชัดๆเลยว่า "ถ้าลำดับที่ 10 ไม่ดีไม่เป็นอย่างที่คิด และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ใช้อำนาจผิดๆ พวกคุณๆที่ยึดเหนี่ยวยึดมั่นในพระบรมโพธิสมภารกันมากๆนั้น แล้วประเทศเรายังมีทัศนคติที่เอะอะก็หมิ่นไม่ได้ พวกคุณจะทำอย่างไร? จะแก้ไขกันอย่างไร" ขอความเห็นหน่อยค่ะ อย่าเอาแต่ต่อว่าเราเลยว่าไม่ใช่คนไทย หรือเป็นคนชั่วคิดอะไรไม่เข้าท่า ตอบกันหน่อยว่าพวกคุณจะทำยังไงกัน จะออกมาประท้วงเหมือนประท้วงรัฐบาลกันมั้ย (ก็คงทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ) ตอบหน่อยเถอะ ตรงๆเลยค่ะ ไม่ต้องอ้อมค้อม จากคุณ : Individualism - [ 30 ก.ย. 50 16:59:12 ]

ความคิดเห็นที่ 30 คุณบุญชิตฯ เขียนคคห. 26 ได้ดีค่ะ เห็นด้วยมากๆ จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 30 ก.ย. 50 17:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มาลงชื่อว่าตามอ่านค่ะ รอคุณซาอิเดี้ยน คุณปลาตีน คุณนายเจ็ดอักษร และอีกหลาย ๆ ท่านมาช่วยกันขยายความ จากคุณ : horseshoes - [ 30 ก.ย. 50 17:44:18 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ตามมาอ่าน จากห้อง รดน.ค่ะ อ่านจนตาลายและชักหิวข้าว... กระทู้ประเทืองปัญญาดีค่ะ... ได้ตรวจสอบอารมณ์ความรูสึกของตัวเองเกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย ตอนเด็ก ๆ ก็ถูกสอนให้เชื่อเหมือนคนอื่น ๆ พอโตขึ้น ก็เริ่มคิด เริ่มสงสัย ตอนนี้ก็เริ่มเข้าใจบ้าง..ว่ามันเป็นเรื่องของการโฆษณาชวนเชื่อเสียมาก ต้องรู้จักแยกแยะให้ดี แต่นี่แน่ ๆ คนไทย ต่อจากนี้ไป ต้องหัดพึ่งตนเองแล้วล่ะ ความคิดที่ว่าเมื่อเกิดวิกฤติแล้วจะพึ่งฟ้าดิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ กำลังจะใช้ไม่ได้แล้ว...เพราะความคิดของผู้คนมันเปลี่ยนไปแล้ว แม้กระทั่งคนระดับรากหญ้าที่แต่ก่อนถูกสอนให้มีศรัทธาต่อเรื่องนี้สูงสุด..แต่ตอนหลัง มันก็เปลี่ยนไปนะ มีการตั้งคำถาม ตั้งข้อสงสัย.... ช่วงนี้มันเป็นหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญมาก ๆ ของสังคมไทย จากคุณ : รากหญ้า (Tackusan) - [ 30 ก.ย. 50 18:01:41 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบ คห 29 จริงๆแล้วพูดเรื่อง องค์ต่อไปในสมัยองค์นี้เนี่ย มันคล้ายจะผิดธรรมเนียมไทย เข้าใจว่าที่หลายๆคนออกมาโจมตีสถาบันเนี่ย เพราะกลัวเรื่องนี้ด้วย อิฉันบอกได้เลยว่า ไม่ต้องกลัว ที่เคารพรักพ่อ กันอยู่ทุกวันนี้ ไม่มีใครเขาเห็นท่านเป็นเทวดา เป็นผู้วิเศษ อย่างที่คุณๆชอบประชดหรอก เขามองว่า นี่คนนี้ เป็น กะ ษัต ริย์ มา หลายสิบปี ทำงานตามหน้าที่ของท่านได้ดี ท่านจริงใจ และ ทำให้คนไทยภูมิใจที่เรามีประมุขอย่างนี้ พ่ออิฉัน อายุ 75 เกษียณมา 15 ปี ร่างกายอ่อนแอลงมาก อิฉันไม่ให้ทำอะไร วันๆให้ท่านนอนอยู่บ้าน ปลูกต้นไม้ เลี้ยงหลาน เลี้ยงหมา อ่านหนังสือ เล่นเนต จบ อะไรก็ได้ให้ท่านมีความสุข นี่คนธรรมดานะ พ่อหลวง อายุมากกว่าพ่ออิฉันอีก งานก็ทำมานาน เรียกว่าถ้าสอบ ก็ผ่านแบบได้เกียรตินิยม คุณๆจะวิพากษ์ อะไรกันนักหนา ให้ท่านอยู่ของท่านสบายๆ ทำอะไรที่ท่านอยากทำ คุณไม่ต้องเอาการเมืองไปสุมท่าน ไม่ต้องยกยอปอปั้นให้เกินจริง ยิงสปอทเทอดทูน ทุก 20 นาที จนคนหมั่นใส้ (ท่านยังหมั่นใส้ตัวเองเลย) ไม่ต้องว่า ไม่ต้องแนะแหน แล้วก็ไม่ต้องเอาท่านไปยุ่งกะการเมืองแล้ว ใช้หัวคิดกันมากๆหน่อย ส่วนองค์ต่อไป แล้วแต่ประชาชนค่ะ กะ ษัต ริย์ ไทย ไม่มีอำนาจมากตามกฏหมาย พวกราชกิจจานุเบกษาอะไร ท่านไม่เซ็น ก็ผ่านได้ ถ้าคนไม่รักเทอดทูน บารมีก็ไม่เกิด ถ้าคนรักนับถือ ก็จะมีพระราชอำนาจ(ที่ประชาชนมอบให้)ล้นฟ้าอย่างที่เห็นๆกันอยู่  อิฉันไม่เห็นจะมีปัญหาอะไร คิดแบบคนธรรมดา ใช้คอมมอนเซนส์ให้มากๆ แล้วจะเห็นคำตอบ ไม่ต้องเอาทฤษฏีอะไร แล้วก็ไม่ต้องวิ่งตามฝรั่งมากมายด้วย ใช่ไม่ใช่คะ จากคุณ : อำแดงมา - [ 30 ก.ย. 50 18:03:54 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เห็นด้วยกับคุณบุญชิต ที่แสดงความเห็นไว้ใน # 26 ครับ ผมไม่อยากเห็นเหตุการณ์ฆ่ากันเองโดยอ้างสถาบันอีก จากคุณ : Knight - [ 30 ก.ย. 50 19:23:46 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มาลงชื่อว่ายังอยู่ และพร้อมที่จะรับฟังทุกท่านต่อครับ จากคุณ : โกฏิดารา - [ 30 ก.ย. 50 20:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถึงคุณคห29 1.คุณเคยนึกสงสัยมั้ยว่า จริงๆแล้วถ้าในอดีตบ้านเมืองได้มีโอกาส "ลุกเป็นไฟ" ซักครั้ง ผ่านความยากเข็ญต่อสู้ปฎิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองซักครั้ง ประชาชนและฝ่ายต่างๆได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและอุดมการณ์จนถึงที่สุดจริงๆ เอาให้เคลียร์ไปเลย แทนที่จะมีใครบางคนออกมา "หยุด" มาเบรกการขัดแย้งไว้ซะทุกครั้งอย่างที่เป็นมา บ้านเมืองทุกวันนี้ ระบบการปกครองทุกวันนี้ เราอาจจะเทียบทันทางประเทศที่เค้าเจริญแล้วก็เป็นได้ ข้างบนที่เขียนมาน่ะ ก็น่าคิดนะ แต่อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ 2."ถ้าผู้นำลำดับที่สิบ ไม่ดำรงอยู่ในธรรมล่ะ?หรือว่าเมื่อวันนั้นมาถึง พวกคุณก็ยังคิดว่า ฉันไม่ต้องการระบบพวกนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าคิงทุกพระองค์ต้องเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทพมีธรรมโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเค้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม? ฉันเชื่อมั่นในตัวท่าน และฉันไม่ต้องการตรวจสอบใดๆ ไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น? คงไม่มีใครโง่คิดอย่างนั้นหรอกมั้ง จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 21:14:06 A:58.8.172.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 38 คห29 ยังไม่เห็นมีฝ่ายที่คิดต่างจากเรามาตอบกันให้ชัดๆเลยว่า "ถ้าลำดับที่ 10 ไม่ดีไม่เป็นอย่างที่คิด และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ใช้อำนาจผิดๆ พวกคุณๆที่ยึดเหนี่ยวยึดมั่นในพระบรมโพธิสมภารกันมากๆนั้น แล้วประเทศเรายังมีทัศนคติที่เอะอะก็หมิ่นไม่ได้ พวกคุณจะทำอย่างไร? จะแก้ไขกันอย่างไร" ขอความเห็นหน่อยค่ะ อย่าเอาแต่ต่อว่าเราเลยว่าไม่ใช่คนไทย หรือเป็นคนชั่วคิดอะไรไม่เข้าท่า ตอบกันหน่อยว่าพวกคุณจะทำยังไงกัน จะออกมาประท้วงเหมือนประท้วงรัฐบาลกันมั้ย (ก็คงทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ) ตอบ ถ้าถึงตอนนั่นแล้วมันเลวร้ายขนาดนั้น ก็คงมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละครับ เรื่องการที่ประชาชนรักและนับถือ king น่าจะเป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า ไม่ใช่ว่าใครเป็นก็รักและแตะไม่ได้หมด และที่คุณถามทุกคนว่าควรจะทำไง ไม่รู้ดิผมก็คิดไม่ออก (แล้วคุณคิดจะทำไงละครับ) แต่ผมว่าถ้ามีคนไม่พอใจมากๆ และทุกอย่างเลวร้ายขนาดนั้น ก็คงมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละครับ คนไทย ไม่ได้โง่ขนานนั้นหรอก จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 21:25:07 A:58.8.172.245 X: ]

ความคิดเห็นที่ 39 เข้ามาลงชื่อฟังครับ จากคุณ : xnone - [ 30 ก.ย. 50 22:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่ได้มาหลายวัน เกิดงอกเป็นกระทู้ใหม่เสียแล้ว ถ้าว่างจะมาแจมอีกรอบ แต่เผอิญเห็นความเห็นของคุณ "อำแดงมา" ที่ว่า "คิดแบบคนธรรมดา ใช้คอมมอนเซนส์ให้มากๆ แล้วจะเห็นคำตอบ ไม่ต้องเอาทฤษฏีอะไร แล้วก็ไม่ต้องวิ่งตามฝรั่งมากมายด้วย ใช่ไม่ใช่คะ" เลยขอคอมเมนท์ประเด็นนี้นะคะ แล้วอะไรล่ะคะ ที่คือ commonsense เคยถามตัวเองไหมว่า commonsense มาจากไหน เกิดจากกระบอกไม่ไผ่หรือเปล่า ทุกอย่างที่เป็นนามธรรมในโลกนี้เป็นสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นและบอกต่อๆมาเกือบทั้งสิ้นแหละค่ะ เพียงแต่เราไม่เคยเห็นอีกด้านหนึ่ง และอีกด้านหนึ่งนั้นก็ไม่ใช่ matrix ซะทีเดียว แต่ด้านนั้นอยู่กับเรามาตั้งนานแล้ว เพียงแต่เราไม่มี "เครื่องมือ" ที่จะทำให้เรามองเห็น "ด้านนั้น" ได้ซักที ยกตัวอย่างจีนยุคเหมาละกัน คุณเคยอ่านเรื่องหงส์ป่า ของ Chang Jung ไหม Jung เกิดในยุคเหมา แต่ไหนแต่ไรเหมาก็เป็นพระเจ้ามาตั้งนานแล้ว Jung ก็เหมือนกับคนจีนในยุคนั้นที่ถูกสอนให้เคารพเหมา ให้เชื่อทุกคำพูดของเหมา ให้ถือสมุดเล่มเล็กสีแดง และอ่าน และเชื่อ โดยไม่ต้องสงสัยอะไรทั้งนั้น จีนยุคเหมาสอนให้คนจีนเชื่อว่า ผู้คนในโลกตะวันตกอยู่อย่างอัตคัด ไม่เหมือนเมืองจีน ที่บารมีของประธานเหมาช่วยให้คนทุกชนชั้นเท่าเทียม (คือไม่เป็นชาวนาก็กรรมกร) ความคิดของคนถูกควบคุม ถูกล้างสมองให้เชื่อในตัวประธานเหมาอย่างสุดจิตสุดใจ คนที่ต่อต้านจะถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกนายทุน เป็นศัตรูของระบอบคอมมิวนิสต์ จะต้องถูกแห่ประจาน กร้อนผมประจาน ไม่มีคนคบด้วย และเมืองจีนก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ ในตอนนั้น Jung เชื่อโดย commonsense ว่าเธอโชคดีที่เกิดในยุคของเหมา และรู้สึกสงสารเด็กๆในโลกตะวันตกที่ไม่ได้อยู่ในประเทศที่มีประธานเหมาเป็นผู้นำ และคนส่วนมากก็คิดอย่างนี้ ซึ่งทุกวันนี้คนจีนในแผ่นดินใหญ่ก็คิดอย่างนี้อยู่ (ส่วนคนที่รับคำด่าสาปแช่งไม่ใช่ตัวเหมา แต่เป็นมาดามเหมาและบรรดา gang of four) ในความเป็นจริง เพราะนโยบายอันผิดพลาดของเหมาทำให้คนจีนตายไปเกือบสามสิบล้านคน (ตัวเลขนี้เป็นของ Jung) จากนโยบาย great leap forward ที่ไล่คนไปเก็บเหล็กมาป้อนโรงงาน จนชาวนาไม่ปลูกข้าว ทำให้คนอดอยากล้มตาย หรือนโยบาย cultural revolution ที่ให้คนหนุ่มสาวจีนเผาโรงเรียน ทำลายศิลปะ ทุบตีครูบาอาจารย์ ทำให้คนเกลียดกันโดยไม่มีสาเหตุ ฯลฯ แต่เหมาไม่เคยได้รับโทษตรงนี้ ข้อกล่าวหาไปตกอยู่ที่คนรอบข้างแทน ทุกวันนี้แม้แต่เว็บที่กล่าวหาเหมายังถูกเซนเซอร์ในจีนเลย (ด้วยความร่วมมือของ Google ที่ยอมทำตามที่จีนขอ แต่ไม่ทำตามที่ไทยขอกรณีคลิปหมิ่น สุดยอดแห่ง double standard) เราไม่ได้บอกว่าสถานการณ์ในเมืองไทยเหมือนจีนเป๊ะ เพราะเราเชื่อว่าท่านเป็นคนดี ดีกว่าฝ่ายโน้นอย่างไม่ต้องสงสัย แต่ความดีไม่ได้ทำให้ใครอยู่เหนือระบบได้ ความดีก็อยู่ส่วนความดี ใครทำดีสังคมก็ยกย่อง แต่ระบบการปกครองต้องสร้างหลักที่ทุกคนเห็นพ้อง และยอมอยู่ภายใต้กฏนั้นร่วมกันได้ การเอาความดีมา justify ทุกอย่างก็คือเชื้อเพลิงสำคัญของระบบยึดตัวบุคคลดีๆนั้นเอง มันทำให้คนในสังคมไม่ว่าจะบทบาทไหน นักการเมือง ดารา ผู้บริหาร ฯลฯ ใส่ใจกับการสร้างภาพว่าตัวเองเป็นคนดี มากกว่าการสร้างผลงานที่มันจับต้องได้ (อย่างคลินตันที่รอด impeachment มาได้ส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐบาลเค้ามีผลงานจริงๆ ถึงแม้จะนอกลู่นอกทางในเรื่องครอบครัว) แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ความดีก็สำคัญนะคะ แต่ในยุคนี้แล้ว คนเราจะทำให้ตัวเองดีโดยกลบขี้หมาเอาไว้ไม่ให้คนเห็นก็ย่อมได้ ตัวอย่างก็เห็นๆอยู่ เราต้องมีระบบที่ใช้งานได้จริงๆมากกว่า การสร้างภาพรายวันว่าตัวเป็นคนดี ถ้า commonsense ของคนทั้งประเทศอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน เราคงไม่เถียงล่ะค่ะ เพราะคงเป็นคนดีกันทั้งประเทศ แต่ประเทศนี้มีทั้งคนดีและคนเลว commonsense ของคนเลวคงเอามาเป็นเกณฑ์ไม่ได้ ไม่งั้นเราคงได้เห็นผู้ร้ายข่มขืนออกมาบอกหน้าตาเฉยว่า ทำไปตามสามัญสำนึก ก็มันไม่มีทางออกหนิ จะทำไงได้ ก็ต้องไปฉุดเขามา เนื่องจากเราคุ้นเคยกับทฤษฎีที่มีการเอ่ยถึง ขอบอกว่า หลายทฤษฎีคนคิดไม่ใช่ฝรั่งนะคะ บางทฤษฎีฝรั่งคิด แต่ก็ได้นักวิชาการอินเดีย จีน หรืออาหรับเอาไปถกเถียง ต่อยอด ให้ดีกว่าเดิม ทฤษฏีก็คือเครื่องมือ ที่ทำให้เราเข้าใจโลกมาขึ้น ไม่ใช่เป็น theory for theory's sake พูดเพื่ออวดเท่ แต่เราใช้ทันเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ commonsense ให้เราไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะว่าว่าเราตามก้นฝรั่งอย่างเดียวไม่ได้ และขอค้านเหตุผลนี้ นอกจากคุณพอใจที่จะอยู่ในโลกแห่งความดีสุดยอด ไม่ต้องทำอะไรมันก็จะออสโมซิสไปสู่สังคมยุคลูกหลานได้ ถ้าเป็นห่วงสังคมที่ลูกหลานจะอยู่ต่อไป เราก็ต้องเริ่มเปลี่ยนได้แล้ว ถ้าจะรอให้ "คนนั้น" ขึ้นมาแล้วค่อยเปลี่ยน เราอาจจะได้รับผลร้ายอย่างที่ไม่คาดคิดก็ได้ ปล. อยากจะบอกคุณ individualism ว่าเราคิดอย่างที่คุณคิดเหมือนกันมานานมาก การที่คนไทยเจอ anti climax บ่อยๆเข้าเลยกลายเป็นเด็กโดน spoil ไม่ต้องทำอะไรเดี๋ยวก็มีพระบารมีมาปกเกล้าคุ้มครอง เดี๋ยวนี้เจอคนเวียดนามก็ต้องยอมรับว่าถึกพอๆกับนร.จีน เวลามาเรียนเมืองนอกจะเห็นได้ชัดว่านร.จีน เวียดนาม ถึกมากๆ เพราะเค้ามาจากประเทศที่โอกาสน้อย คนเค้ารู้รสชาติของการไม่มีอะไรเลยเป็นอย่างดี ในขณะที่เด็กไทย... ได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น เพราะฉะนั้นเวลาเจอเด็กดี ขวนขวาย เราต้องรีบสนับสนุนให้มากๆ ... แต่ก็เอาเถอะ วิถีแบบเรามันไม่เหมือนใคร ในเมื่อมันมาทางนี้แล้วก็ต้องลองดูว่าจะพัฒนาต่อไปยังไง คุณโจ - เห็นด้วยค่ะ ว่าไม่มีใครโง่ขนาดนั้น แต่ลองไปศึกษา 6 ตุลาฯดูนะคะ และเนื่องจากไม่มีใครโง่ขนาดนั้น และคุณเองก็บอกว่าถ้าเค้าไม่พอใจก็เปลี่ยนแปลงเอง แล้วใครคือ "เค้า" ล่ะคะ ถ้าไม่ใช่หลายคนในกระทู้นี้ และ "เค้า" ก็กำลังเริ่มการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดี สุภาพ และมีเหตผล เรากำลังสร้างมาตรฐานของการวิจารณ์ที่อยู่ในขอบเขต มีเหตุผล มีหลักฐาน มีระบบความคิด (ทฤษฎี) สากลรองรับ และกระทู้เราไม่เห็นด้วยกับการเอาเรื่องส่วนพระองค์มานินทา สิ่งที่กำลังวิจารณ์กันอยู่คือบทบาทของคิงในระบอบประชาธิปไตยค่ะ สามารถนับเรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยคนไม่โง่ได้ไหมคะ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 22:14:35 แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 22:09:30 จากคุณ : Sa-idian - [ 30 ก.ย. 50 22:07:03 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ถึงคุณ ข้างบน เค้าที่ว่าก็หมายถึงปชช ทั่วไปครับ และอาจจะรวมผมด้วย (ในอนาคต) สามารถนับเรื่องนี้เป็นการเปลี่ยนแปลงโดยคนไม่โง่ได้ไหมคะ ตอบ ได้ซิครับถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องโง่ๆ ผมคงไม่เข้ามาอ่านหรอก แต่บางอย่างผมก็ไม่เห็นด้วยเหมือนกันแค่นั้นแหละ แต่ขี้เกียจอทิบายน่ะ จากคุณ : โจ - [ 30 ก.ย. 50 22:37:44 A:58.8.166.82 X: ]

ความคิดเห็นที่ 42 ทุกยุคที่เกิดสงครามกลางเมือง ไม่ว่าประเทศไหน คนส่วนใหญ่ก็ใช้สามัญสำนึกทั้งนั้นแหละครับ ถ้าตรวจสอบสามัญสำนึกเราดีๆจริงๆมันก็มีที่มาที่ไปทั้งนั้น จะว่าใช้ได้มันก็ใช้ได้นะครับ เพราะท้ายสุดมันก็จะสงบเอง ขึ้นอยู่กับว่าจะยอมรับช่วงวุ่นวายตรงนั้นรึเปล่า หรือถ้าจะถามกันจริงๆ สามัญสำนึก สามัญของใคร ใครเป็นคนกำหนดความเป็นสามัญ ถ้าเป็นเสียงข้างมากถึงถือว่าเป็นสามัญสำนึกรึเปล่า แล้วถ้าเราถือว่าเสียงข้างมากถูกจะโอเคไหม ถ้าเสียงข้างมากถูกแล้วคนกรุงเทพไม่กี่ล้านมาไล่นาย-กจากสามัญสำนึกของ 19 ล้านเสียงทำไม หรือสามัญสำนึกของ 19 ล้านคนนั้นใช้ไม่ได้ เรื่องนี้ผมไม่เข้าข้างใครนะครับ แต่อยากตั้งคำถามว่า สามัญสำนึก ควรจะสามัญของใคร ปีก่อนก็มีคนใช้สามัญสำนึกว่าควรกระทืบคนบ้าที่มาทุบพระพรหม ถ้าอย่างนั้นเราควรใช้สามัญสำนึกรึเปล่าครับ? จากคุณ : ชาวยุทธเอี้ย (เอี้ยเสียวเฮียบ) - [ 30 ก.ย. 50 22:43:27 ]

ความคิดเห็นที่ 43 ขอบคุณที่แสดงความคิดเห็นนะคะ 41 เผอิญว่าเราไม่รู้ว่าคุณเป็นคนยังไง อ่านกระทู้แบบไหน ขออนุญาตไม่เอาความรู้สึกส่วนตัวมาเป็นประเด็นถกเถียง ขอถกเถียงในสิ่งที่จับต้องได้ก่อนนะคะ ก็ทำให้เห็นว่าทัศนคติของคนส่วนใหญ่ยัง... complacent (ขออภัย หาคำไทยไม่ได้) เพราะเราไม่เคยมี "โลงศพ" ให้ใครมาหลั่งน้ำตากระมัง สรุปประเด็นอีกที เรื่องความรู้สึก ความนิยมชื่นชอบ สามัญสำนึก เป็นสิทธิส่วนบุคคล แต่คุณไม่มีสิทธิบังคับใครให้ชอบเหมือนคุณได้ทั้งประเทศ สิ่งที่จะประนีประนอมความชื่นชอบที่แตกต่างกันของแต่ละคนก็คือสิ่งที่เรียกว่ากฏหมายนะแหละ ที่กำหนดให้แนวทางสังคมไปในทางเดียวกัน พยายามอย่าเอาความรู้สึกส่วนตัว ความคิดส่วนตัว สามัญสำนึกส่วนตัว มาตัดสินทิศทางของสังคมมากจนเกินไปค่ะ จากคุณ : Sa-idian - [ 30 ก.ย. 50 23:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ถึงคุณ Individualism คุณเคยนึกสงสัยมั้ยว่า จริงๆแล้วถ้าในอดีตบ้านเมืองได้มีโอกาส "ลุกเป็นไฟ" ซักครั้ง ผ่านความยากเข็ญต่อสู้ปฎิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองซักครั้ง ประชาชนและฝ่ายต่างๆได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและอุดมการณ์จนถึงที่สุดจริงๆ เอาให้เคลียร์ไปเลย แทนที่จะมีใครบางคนออกมา "หยุด" มาเบรกการขัดแย้งไว้ซะทุกครั้งอย่างที่เป็นมา บ้านเมืองทุกวันนี้ ระบบการปกครองทุกวันนี้ เราอาจจะเทียบทันทางประเทศที่เค้าเจริญแล้วก็เป็นได้ ผมเคยคิดอย่างนี้เหมือนกันแฮะ แต่อยากจะบอกว่า หลังๆ ผมรู้สึกว่าวิธีคิดอย่างนี้อันตรายอ่ะ คือถ้าตัวผมไม่อยู่ในกระบวนการเองแล้ว ยังไงผมก็ไม่กล้าพูดออกมาอะ ผมไม่รู้อุดมคติมันมีอยู่จริงหรือไม่ แล้วเราจะไปถึงหรือไม่ แต่คนเรามันก็กลัวความสูญเสียทั้งนั้น ถ้ามันไม่ยิ่งใหญ่ไปกว่าชีวิต ทั้งของเราเองและคนรอบข้าง ผมคิดอย่างงี้จะถือว่าใช้ commonsense ไม่เข้าท่าหรือป่าว จากคุณ : Foucault lover - [ 1 ต.ค. 50 01:04:18 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เรียนคุณโจ ถึงคุณคห29 1.คุณเคยนึกสงสัยมั้ยว่า จริงๆแล้วถ้าในอดีตบ้านเมืองได้มีโอกาส "ลุกเป็นไฟ" ซักครั้ง ผ่านความยากเข็ญต่อสู้ปฎิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองซักครั้ง ประชาชนและฝ่ายต่างๆได้ต่อสู้เพื่อสิทธิเสรีภาพและอุดมการณ์จนถึงที่สุดจริงๆ เอาให้เคลียร์ไปเลย แทนที่จะมีใครบางคนออกมา "หยุด" มาเบรกการขัดแย้งไว้ซะทุกครั้งอย่างที่เป็นมา บ้านเมืองทุกวันนี้ ระบบการปกครองทุกวันนี้ เราอาจจะเทียบทันทางประเทศที่เค้าเจริญแล้วก็เป็นได้ ข้างบนที่เขียนมาน่ะ ก็น่าคิดนะ แต่อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้ >>>>>>>>>>>>>>>>>>>ที่คุณโจเขียนมาข้างบนก็น่าคิดนะ แต่อาจจะใช่หรือไม่ใช่ก็ได้(แหมตรรกะแมคโดนัล เทสโก้โลตัสดีจริง ชอบๆ) 2."ถ้าผู้นำลำดับที่สิบ ไม่ดำรงอยู่ในธรรมล่ะ?หรือว่าเมื่อวันนั้นมาถึง พวกคุณก็ยังคิดว่า ฉันไม่ต้องการระบบพวกนี้ ฉันเชื่อมั่นว่าคิงทุกพระองค์ต้องเป็นมนุษย์ที่ดี เป็นเทพมีธรรมโดยอัตโนมัติ ไม่ว่าเค้าจะเป็นใครมาจากไหนก็ตาม? ฉันเชื่อมั่นในตัวท่าน และฉันไม่ต้องการตรวจสอบใดๆ ไม่ต้องการวิพากษ์วิจารณ์ใดๆทั้งสิ้น? คงไม่มีใครโง่คิดอย่างนั้นหรอกมั้ง >>>>>>>>>>>>>>>>>>>ไม่เลวเลยครับ คุณโจเห็นศักยภาพในตัวประชาชนจริงๆ หลักประชาธิปไตยก็ต้องอย่างนี้แหละครับ ต้องเชื่อมั่นในประชาชน แล้วระหว่างนี้ประชาชน(อย่างพวกผม)ก็อย่างเพิ่งออกมาบ่น ให้ยอมรับกฎหมายหมิ่น ให้หุบปากให้สนิทไปก่อน รอให้ถึุงตอนนั้นเดี๋ยวประชานก็ออกมาแสดงความฉลาดกันเอง แหมมองการณ์ไกลนะครับเนี่ย คห29 ยังไม่เห็นมีฝ่ายที่คิดต่างจากเรามาตอบกันให้ชัดๆเลยว่า "ถ้าลำดับที่ 10 ไม่ดีไม่เป็นอย่างที่คิด และทำให้ประชาชนเดือดร้อน ใช้อำนาจผิดๆ พวกคุณๆที่ยึดเหนี่ยวยึดมั่นในพระบรมโพธิสมภารกันมากๆนั้น แล้วประเทศเรายังมีทัศนคติที่เอะอะก็หมิ่นไม่ได้ พวกคุณจะทำอย่างไร? จะแก้ไขกันอย่างไร" ขอความเห็นหน่อยค่ะ อย่าเอาแต่ต่อว่าเราเลยว่าไม่ใช่คนไทย หรือเป็นคนชั่วคิดอะไรไม่เข้าท่า ตอบกันหน่อยว่าพวกคุณจะทำยังไงกัน จะออกมาประท้วงเหมือนประท้วงรัฐบาลกันมั้ย (ก็คงทำไม่ได้ ถ้ายังไม่ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ) ตอบ ถ้าถึงตอนนั่นแล้วมันเลวร้ายขนาดนั้น ก็คงมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละครับ เรื่องการที่ประชาชนรักและนับถือ king น่าจะเป็นเรื่องของบุคคลมากกว่า ไม่ใช่ว่าใครเป็นก็รักและแตะไม่ได้หมด และที่คุณถามทุกคนว่าควรจะทำไง ไม่รู้ดิผมก็คิดไม่ออก (แล้วคุณคิดจะทำไงละครับ) >>>>>>>>>>>>>>>>>>>ก็กลับไปอ่านในวงเล็บของความเห็นที่คุณยกมาสิครับ แต่ผมว่าถ้ามีคนไม่พอใจมากๆ และทุกอย่างเลวร้ายขนาดนั้น ก็คงมีการเปลี่ยนแปลงบ้างแหละครับ คนไทย ไม่ได้โง่ขนานนั้นหรอก >>>>>>>>>>>>>>>>>>>ใช่ครับคนไทยไม่โง่เลย อย่างที่ผมได้อธิบายไปข้างต้น จากคุณ : - (อัศวินม้าเขียว) - [ 1 ต.ค. 50 01:33:04 ]

ความคิดเห็นที่ 46 เรื่องการประกอบสร้างความหมายว่า เป็น "เทวดา" หรือเป็น "บุคคล" นั้น ผมเคยคุย ๆ กันเพื่อนว่า อันที่จริงเนี่ย คนชนบทมีภาพของ "ท่าน" เป็นลักษณะนามธรรมและแลดูอยู่ห่างไกลมากกว่าคนกรุง (ชนชั้นกระฎุมพีหรือพวก so-called มีการศึกษา) ซึ่งจะมีภาพของความเห็น-อันนี้เป็นคำของผมเอง- "มนุษย์ที่เหนือมนุษย์" (อย่าไปนึกถึงอีตา superman ของนิทเช่เข้าล่ะคร้าบ...) ลักษณะคล้าย ๆ กับเป็น hyperมนุษย์ ที่ดำรงตัวตนอยู่ใน hyperreality บางอย่างที่ถูกสร้างขึ้นผ่านพลังของสื่อมวลชน โดยมนุษย์ที่เหนือมนุษย์ดังกล่าวเป็นภาพตัวแทนของ "ความจริง, ความดี, ความงาม" (อืม...อาจเป็น philosopher king แบบไทย ๆ) ผมมองว่าผลผลิตของ hyper-มนุษย์ ดังกล่าวถูกผลิตออกมาผ่าน concept เรื่อง "พ่อ" ซึ่งในระยะเวลาที่ผ่านมานั้น ถูกถ่ายทอดและผลิตซ้ำผ่านสื่อมากมาย โดยเฉพาะการทำให้..."การเมืองเรื่องพ่อ" นั้นถูก concretised ผ่านสินค้า เช่น เสื้อเหลือง หรือผ่าน บทเพลงเฉลิมพระเกียรติต่าง ๆ ที่ถูกแต่งขึ้นมามากมาย เราอาจกล่าวได้ว่า สภาพ มนุษย์ที่เหนือมนุษย์หรือ "พ่อ" นั้น คือการทำให้สภาพการแบ่งแยกระหว่าง "สมมติเทพ" และ "สามัญชน" ตามกรอบคิดแบบเดิมนั้นพร่าเลือนไป แต่ในขณะเดียวกัน สภาวการณ์ดังกล่าวสามารถสร้างอำนาจให้กับ "ท่าน" ได้-อย่างที่คุณอำแดงว่า- "ล้นฟ้า" เลยทีเดียว ความน่ากลัวของการสร้าง figure ทางการเมืองแบบมนุษย์เหนือมนุษย์หรือ "พ่อ" นั้น เป็นอย่างที่พี่ Sa-idian ว่าไว้ ผมแนะนำบทความของอ.ธเนศ วงศ์ยานนาวา ในฟ้าเดียวกันฉบับโค้กครับ ไอเดียหนึ่งที่อ.ธเนศเขียนไว้อย่างน่าสนใจว่า สังคมที่ desire พ่อเพื่อให้มาแก้ปัญหาตลอดเวลานั้น จะตกอยู่ในสภาวะถดถอย (regression) เนื่องจากต้องคอยแสวงหาพ่อหรือผู้นำที่มีลักษณะหาที่ติมิได้ สภาวะของสังคมดังกล่าวจะไม่สามารถพัฒนาต่อไปเป็นผู้ใหญ่ที่บรรลุวุฒิภาวะต่อไปได้ อ้อประเด็นสุดท้าย เรื่องความดีของ "ท่าน" องค์ปัจจุบัน อันนี้ผมแยกเป็นสองส่วนครับ ส่วนแรกเรื่องหลักการ อย่างที่พี่ Sa-idian ว่าไว้ ต่อให้ "ท่าน" หรือ "ท่านไหน ๆ" มีความดีมากมายมหาศาลอย่างไร แต่พระราชอำนาจนั้นไม่สามารถ "ล้นฟ้า" ตามไปด้วยได้...อย่างน้อย ก็ตามบทบาทหลักการของคิงในระบอบประชาธิปไตย สอง (สมมติว่า...) เรามีชีวิตทางการเมืองแบบหนึ่งที่เรียกว่า "ประชาธิปไตย" แล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมจะตั้งปัญหาต่อคือ ความดีของ "ท่าน" นั้น...เรารู้/แน่ใจได้อย่างไร??? จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 1 ต.ค. 50 01:37:12 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ขอกลับเข้าโหมดปกติหน่อยนึง ในช่วงที่ต่อมศีลธรรม/จริยธรรมของรัฐบาลรัฐประหารชุดนี้กำลังพุ่งปรี๊ด ผมได้คุยกับน้องคนหนึ่ง เขาบอกว่าตัวเองนั้นเลี่ยนกับคำว่าจริยธรรมมากเหลือเกิน อะไรๆ ก็ต้องพ่วงคำว่าจริยธรรมเข้าไปหมด กรอบคิดเกี่ยวกับนักการเมือง(รวมถึงในรธน.)กลายเป็นนักการเมืองต้องมีจริยธรรม นั่นคือต้องเป็นคนดีไว้ก่อน แต่น้องเค้าบอกว่าความดีมันเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ยาก และก็ไม่คงทน การสร้างระบบและกระบวนการที่จะทำให้คน(นักการเมือง)ทำตัวให้เป็นไปตามวิถีทางที่สังคมต้องการต่างหากที่จำเป็น เราจึงต้องมีระบบตรวจสอบถ่วงดุลย์ เพราะเราคงไม่หวังว่าเมื่อเขียนในรธน.ว่านักการเมืองต้องมีจริยธรรมแล้วก็จะฝากความหวังว่าพวกเขาจะไม่โกง กรณีนี้มันก็คล้ายๆ กับเรื่องที่เราคุยกันอยู่นะครับ หลายคนพูดถึงเรื่องความดีความงามกันยกใหญ่ ซึ่งก็เป็นเรื่องดีทีเดียว แต่เราก็ไม่ควรละเลยที่จะดำรงวัฒนธรรมการวิำพากษ์วิจารณ์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของกระบวนการตรวจสอบถ่วงดุลย์ในแนวทางประชาธิปไตย ในขณะนี้ผมยังไม่เห็นวิถีทางในเรื่องนี้สักเท่าไร หากยังไม่ยกเลิกหรือปรับกฎหมายฉบับนั้นเสียที และจะยิ่งแย่หากพื้นที่ในการตรวจสอบถ่วงดุลย์เล็กๆ จะถูกทำให้กลายเป็นอื่น ด้วยหลักคิดต่างๆ ที่ได้ผ่านตากันมามาก คนดีอยู่ในระบบที่ดี สังคมก็ดี คนดีอยู่ในระบบที่แย่(หรือไม่มีระบบ) สังคมก็ไม่แน่ว่าจะดี คนแย่อยู่ในระบบที่ดี ระบบก็ยังควบคุมได้ คนแย่อยู่ในระบบที่แย่ ตัวใครตัวมัน ปล.แต่ก็ไม่ใช่ว่าเราจะละเลยการสนับสนุนคนดีนะครับ ผมจับน้ำเสียงของนักเคลื่อนไหวที่เป็นเพื่อนๆกันแล้วรู้สึกว่าพวกเขามีอคติที่นึกรังเกียจคำว่าคนดีและจริยธรรมอยู่ ซึ่งถ้าแสดงออกไม่ดีกลายเป็นว่าไม่สนับสนุนคนดี จะโหยหาระบบกันอย่างเดียว ซึ่งไม่ถูกต้อง จากคุณ : อัศวินม้าเขียว - [ 1 ต.ค. 50 02:32:49 ]

ความคิดเห็นที่ 48 1. ตามที่หลายคนเรียกร้องให้ยกเลิก หรือปรับแก้ไข นี่คือ ม.112 ใช่หรือป่าวครับ แล้วต้องรวมถึงการแก้ไข รธน. ด้วยหรือป่าว ผลกระทบที่ตามมาคืออะไร ผมมองว่า มันก็ยังเป็นประชาธิปไตยแบบ constitutional monarchy ไม่ได้กระทบอะไร หรือว่าเกี่ยวของกับพระราชอำนาจลดลง ??? 2. แล้วที่หลายคนกำลังเรียกร้องนี่ เรียกร้องกับใครครับ แล้วกระบวนการมันเป็นอย่างไร คือว่า เห็นหลายคนถกเถียงกัน แต่ไม่เห็นมันจะมีแนวทางเป็นรูปธรรม หรือขั้นตอนเป็นยังไง จากคุณ : Live Free - [ 1 ต.ค. 50 02:54:22 A:64.62.138.12 X: TicketID:127314 ]

ความคิดเห็นที่ 49 กระทู้ใหม่เปิดมาตั้งหลายวันแล้วยังไม่เห็น ความเห็นของคุณนายปลาตีนเลยค่ะ จากคุณ : anonymous (Brown eyes blue) - [ 1 ต.ค. 50 03:08:17 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ถ้ายกเลิกมาตรา 112 ไป อย่างน้อยก็เป็นการเปิดโอกาสให้คนอื่นเค้าวิจารณ์ได้ไงคะ จากคุณ : Brown eyes blue - [ 1 ต.ค. 50 03:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 51 สำหรับคนที่ยังไม่ได้อ่าน "พระราชอำนาจ" โดยนายประมวล รุจนเสรี http://power.manager.co.th/ วิจารณ์หนังสือเรื่อง "พระราชอำนาจ" ดร. สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html จากคุณ : UnlimitedDreams - [ 1 ต.ค. 50 03:37:10 ]

ความคิดเห็นที่ 53 ว้า... หายไปซะแล้ว จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 1 ต.ค. 50 11:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 54 เจอกระทู้ที่ประชาไทเกี่ยวกับ ม.112 ถ้าใครสนใจก็ลองไปอ่านได้ "จริงไหม การมีกฎหมายหมิ่นเจ้า (อาญามาตรา 112) นี่แหละทำให้ประชาชนคนไทยแตกแยก" จากคุณ : Live Free - [ 1 ต.ค. 50 13:16:21 A:67.15.100.200 X: TicketID:127314 ]

ความคิดเห็นที่ 55 ตามมาเกาะขอบสนาม อย่างใกล้ชิด จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 13:24:13 ]

ความคิดเห็นที่ 56 และเข้าใจว่า  คุณ อำแดงมา มี 2 บุคลิก ในตัวเอง คุณอำแดงมา ในห้องนี้ น่าจะเป็นคนละคนกับคุณอำแดงมา ในห้องราชดำเนิน แต่ใช้ ล๊อกอินเดียวกัน จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 13:42:04 ]

ความคิดเห็นที่ 57 สนุกดี   ประเทืองปัญญา   น่าติดตาม จากคุณ : ปฤษณะ - [ 1 ต.ค. 50 13:50:53 ]

ความคิดเห็นที่ 58 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 1 ต.ค. 50 13:53:59 ]

ความคิดเห็นที่ 59 เข้ามาอีกที แต่ยังไม่มีเวลาอ่าน จากคุณ : บิ่วบิ๊ว (Baby Lady) - [ 1 ต.ค. 50 14:30:55 ]

ความคิดเห็นที่ 61 โดนยึดอมยิ้มไปแล้ว ...แต่ก็มาติดตามอ่าน จากคุณ : เจ้าฟ้าชายชาร์ลส ทรงพระเจริญ - [ 1 ต.ค. 50 15:10:40 A:10.115.30.115 X:210.86.135.15 TicketID:156419 ]

ความคิดเห็นที่ 62 เอ้อ โดนลบอีกละ สงสัยจะแรงไป สรุปใหม่ละกันว่า 1.คุณ Sa-idian ไม่ต้องไปเหมารวมว่า คนรักท่าน เป็นพวก ชูธง คุณธรรมนำไทยอะไร อิฉันว่า ท่านทำหน้าที่หลักๆของท่านดี ทำตัวเป็นที่น่านับถือสมกับเป็นประมุข เป็นศูนย์รวมใจไทย วางตัวเป็นกลางทางการเมือง เรื่องส่วนตัวท่านอิฉันไม่ยุ่ง และไม่ได้เอาแง่มุม ศีลธรรมและจริยธรรม (จอมปลอม) อะไรมาวิเคราะห์ร่วม 2.เรื่อง ม 112 อิฉันมองว่า เอาออกไปเลย แต่มี 2 ประเด็นหลักที่ควรเข้าใจ คือ หนึ่ง ไม่มีมาตรานี้ ไม่ได้แปลว่าคุณจะวิพากษ์วิจารณ์ไดยไม่ผิดมาตรา หมิ่นประมาทบุคคลได้ และ สอง พอไม่มี ม 112 แล้ว คนอาจก็คิดว่า พูดอะไรก็ได้ สิทธิของชั้นอะไรแบบนี้ เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปทำบ้าๆในที่สาธารณะ คนมันทนไม่ได้ รุมตื้บผู้โชคดี มันจะกลายเป็นบ้านป่า เมืองเถื่อนไป 3.ที่มีคนบอกว่า เราไม่ควรมีใคร มาหยุดเหตุการณ์รุนแรง ควรให้มีทะเลเลือดกันจะๆเสียที จะได้เข็ด ถือว่าพูดแบบไม่คิดค่ะ เพราะ คุณมองประชาชนก็แล้วกัน เขาหวงแหนอำนาจเขาขนาดไหน นี่ปี 2550 คนไทยการศึกษาไม่น้อย อ่านออกเขียนได้ทุกคน แต่ทหารมันถือปืนออกมา เตะนายกที่ประชาชนเลือกเข้ามาอย่างถล่มทลายหน้าคว่ำไป แล้วเบ่งออกทีวีทุกวัน จะไปยิงหมาที่สนามหลวง ไม่ยิงตาย 2000 ศพแบบเทียนอันเหมินก็ดีแล้ว ประชาชนทำอะไร ออกมาประท้วงมากสุดแสนคน จากหกสิบล้าน ประชาชนอย่างนี้หรือ ที่คุณบอกว่า จะลุกขึ้นต้านอำนาจทหารเถื่อน วันนี้ อนุพงษ์ขึ้นเป็น ผบทบ เสรี เป็น ผบตร แล้ว คุณๆนั่งทำอะไร ขอสิทธิให้ผม/ฉันได้วิพากษวิจารณ์สถาบันหน่อยค้าบ เพี้ยนซะไม่มี อิฉันได้แต่มองว่า คิดได้ไงนี่ 4.คุณลูกแม่โดม ก็อำแดงมาคนเดียวกันนี่ละคะ มีบุคลิกเดียว ไม่เอาเผด็จการ รู้สึกเชิงบวกกะทักษิณ(ในฐานะนายก) แต่จะไม่ไปต่อสู้เพื่อนักการเมือง รักพ่อ ทนไม่ได้เวลาเห็นใตรจาบจ้วง คนเกลียดเผด็จการไม่ได้แปลว่า ต้องสนับสนุนการวิจารณ์สถาบันนะคะ จากคุณ : อำแดงมา - [ 1 ต.ค. 50 15:20:28 ]

ความคิดเห็นที่ 63 ยังคนติดตามกระทู้นี้อย่างใจจดใจจ่อ จากคุณ : คลังพลอย - [ 1 ต.ค. 50 17:07:17 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ขอบคุณที่ให้ความกระจ่างครับคุณอำแดงมา   แต่นึกว่าในราชดำเนินเป็นผู้ชายเสียอีกครับ ผมเข้าใจผิด ขอโทษด้วยครับ หากคุณอำแดงมา รู้สึกเชิงบวกและไม่เอาเผด็จการ  คุณอำแดงมาน่าจะเข้าใจได้ดีเรื่อง Propaganda  นะครับ และที่สำคัญ สิ่งที่ทุกๆคนในกระทู้นี้และกระทู้ก่อนพูดถึง  เขาไม่ได้มุ่งวิจารณ์ตัวบุคคล  แต่เขากำลังพูดถึงบทบาทของสถาบันในอนาคตครับ  เพราะบุคคลมิได้อยู่ค้ำฟ้า   ย้ำนะครับ เขาไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์ตัวบุคคลที่คุณอำแดงมาเคารพรักยิ่งครับ  เขาพูดถึงระบบทั้งนั้น  เหมือนดังเช่นพวกเผด็จการเช่นกัน  ตัวบุคคลเป็นอย่างไร ก็สุดรู้  แต่ระบบที่ทำให้เกิดเผด็จการต่างหากที่มีปัญหา  เริ่มตั้งแต่ตัวองคมนตรี ออกมาในหลายๆเรื่อง ทำให้คนอื่นๆคิดไปว่าเป็นเจตนาของสถาบัน และกลายเป็นข้ออ้างของทหารในการปฎิวัติเพราะไปยึดคำว่า เป็นทหารของ ....... ไม่ใช่ทหารของรัฐบาล ตรงนี้ล่ะครับ ที่พวกหลายๆท่านในที่นี้ เขามองว่า ระบบมันมีปัญหา เพราะเราไปยึดติดในตัวบุคคล   เมื่อบุคคลที่เรายึดเขาไม่อยู่แล้ว ระบบพวกนี้มันก็ยังคงอยู่ ใครล่ะครับจะเป็นผู้เปลี่ยนแปลง และเมื่อถึงเวลานั้น บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร คุณอำแดงมา อย่าเพิ่มโมโหโกรธา และคิดว่า เขาหลบหลู่ดูหมิ่นบุคคลอันเป็นที่รักเคารพยิ่งเลยครับ เขาไม่ได้มีเจตนาเช่นนั้นเลยแม้แต่น้อย จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 17:12:41 ]

ความคิดเห็นที่ 65 "จากหกสิบล้าน ประชาชนอย่างนี้หรือ ที่คุณบอกว่า จะลุกขึ้นต้านอำนาจทหารเถื่อน วันนี้ อนุพงษ์ขึ้นเป็น ผบทบ เสรี เป็น ผบตร แล้ว คุณๆนั่งทำอะไร ขอสิทธิให้ผม/ฉันได้วิพากษวิจารณ์สถาบันหน่อยค้าบ เพี้ยนซะไม่มี อิฉันได้แต่มองว่า คิดได้ไงนี่" แหมมมมมม พูดยังกับไปสั่งข้าวผัดในร้านไอติม แล้วเกิดโทโสมีน้ำโหว่า ทำไมมันไม่ทำข้าวผัดฟะ คำว่า "วิพากษ์วิจารณ์" "หมิ่นประมาท" (ตลอดจนหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ) "จาบจ้วง" "หลู่เกียรติ" "ว่าร้าย" "นินทา" มันมีความหมายและให้คุณค่าที่แตกต่างกันนะคะ คุณอำแดงมา ในฐานะที่ติดตามกระทู้นี้ ดิฉันเห็นว่าเรามีบรรยากาศของการวิพากษ์วิจารณ์ในทางสร้างสรรค์ การที่ใครจะเข้ามาแสดงความเห็นต่อสถาบันอย่างตรงไปตรงมาโดยปราศจากอคติในกระทู้นี้ น่าจะทำได้ จากนัยยะของเนื้อหากระทู้ เราได้ยกศรัทธาไปไว้ที่อื่น และพูดถึงสิ่งที่เหลือ ดิฉันเคารพความเห็นของคุณค่ะคุณอำแดงมา แต่ดิฉันมองว่า คุณจับเอาอากัปกริยาการกล่าวถึงผู้อื่นที่ไม่ใช่การชื่นชม = การวิพากษ์วิจารณ์ไปเสียหมด หรือคุณเห็นว่า "มันก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ" คะ ???? จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 1 ต.ค. 50 17:24:06 ]

ความคิดเห็นที่ 66 ^^ ^^ นอกเรื่องนิดนึงครับ  ทำอย่างไรให้ตัวอักษรหนา เอียง และขีดเส้นใต้ แบบคุณอันตราคนีได้ครับ  ใช้เมนูตรงไหนครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 17:56:01 ]

ความคิดเห็นที่ 67 นี่เลยค่ะ http://www.pantip.com/cafe/help.html#formattext :) จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 1 ต.ค. 50 18:03:41 ]

ความคิดเห็นที่ 68 ^^ ^^ ขอบคุณมากครับ สงสัยมาตั้งนานแล้ว  ว่าแต่ ยากชะมัด   คนพิมพ์นี่มีความพยายามจริงๆ ทดสอบตัวเอียง [b]ตัวหนา[b] ขีดเส้นใต้ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:10:10 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 18:07:30 ]

ความคิดเห็นที่ 69 เพื่อความชัดเจน ตัวอย่างจาก คคห.ที่ 65 ของดิฉัน จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 1 ต.ค. 50 18:12:58 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ไม่ยากๆ ใช้บ่อยๆ จะสนุกสนานในการแสดงความเห็น (เกี่ยวกันไหมเนี่ย) อย่าลืม [/..] ตามหลังนะคะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 1 ต.ค. 50 18:16:39 ]

ความคิดเห็นที่ 71 มารายงานตัวแล้วครับ อินเตอร์เน็ตที่หอห่วยแตกมาก เจ๊งมาหลายวันแล้ว หอติดถนนระหว่าง จรัญ ๓๓กับ จรัญ ๓๕ บริการแย่มากครับ สิ้นปีคงย้ายแล้ว (ขอบ่นหน่อย เพราะไปบ่นให้คนดูแลหอเรื่องนี้ขนาดนานๆครั้ง ก็ยังทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้อยู่ดี เห็นว่าธุระไม่ใช่ ไม่ใช่เรื่องของเขามั้ง) รู้สึกประเด็นตอนนี้อยู่ที่ เส้นแบ่งระหว่างการวิพากษ์วิจารณ์กับการชื่นชม (ทั้งๆที่ความจริงตอนนี้เราก็แค่สงสัยในบางอย่างอยู่เท่านั้น) มขอตอบด้วยคอมมอนเซนส์(อย่างที่มีคนท้าให้ตอบเลยล่ะกัน)ว่า เราชอบฟังอะไรที่ไม่ระคายหูกันมากไปหรือเปล่าครับ เราชอบอะไรที่ดูราบเรียบ ดูคลิกเดียวจบมากไปหรือเปล่า ทำให้เราไม่เคยมีโลงศพ ไม่เคยหลั่งน้ำตา แผ่นดินลุกไม่เคยเป็นไฟ และอะไรต่างๆ นานา และอย่างที่ว่า ไม่มีอะไรออกมาจากกระบอกสุญญากาศ ความเห็นปกติของผม ก็คือมุมมองต่อโลก ที่ผมได้รับเรียน แะเรียนรู้มา จนถึงจุดนั้นๆ เมื่อเด็กๆ (คือสักราวๆ ๑๐ปีก่อนหน้า ผมยังเป็น "คนดี" ของ "สังคม" อยู่) ผมไม่เถียงว่าภาพของท่านที่เราเห็นทุกวันนี้ เป็นภาพของประมุขที่เลิศเลอที่สุดในโลก แต่ประเด็นหลายอย่างที่อยู่ใต้พรมเพื่อความราบเรียบและสวยงามนั้นมันก็มี แต่ก็ไม่เคยถูกขุดมาสักที เพราะประวัติศาสตร์ฉบับ "ชำระ" เสียเกลี้ยง หากคุณสักคนจะมีไอดอล ก็ไม่แปลก แต่อย่างน้อยผมก็ยอมรับว่า แมนเดลา (ไอดอลของผม)เคยคิดคุก อาราฟัตเป็นหัวหน้าผู้ก่อการร้าย ราบินเป็น รมว. กลาโหมอิสราอิล ที่ทำให้แขกปาเลสไตน์ต้องตายเป็นเบือ แต่พวกเขาไม่เคยให้ใครต้อง "ชำระ" ประวัติศาสตร์ให้ ส่วนเรื่องยึดอำนาจนั้น ผมก็ไม่เห็นว่า การร้องแรกแหกกระเชอเพื่อเรียกให้ ใครบางคนที่คน ๑๖ ล้านเลือกมาเพื่อกดคนอื่นที่ไม่ใช่ ๑๖ ล้านนั้นให้เป็นพลเมืองชั้นสอง มันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยตรงไหน และไม่ต้องห่วงครับ ผมไม่เอาทั้งสองฝ่าย และไม่เอาขบวนการหลังลาย ที่จับคู่ผสมพันธุ์อย่างสนุกสนาน อยู่ด้วย หากจะถามว่า "อยากทำจริงๆไหม กับการทำองค์กรทางการเมืองที่ดีกว่าพรรคที่คุณเอาแต่บ่นว่าและวิจารณ์อย่างมืดบอด"ทำไมผมจะไม่อยากเล่าครับ เพียงแต่ผมไม่รู้จะไปหาทุนจากไหนมาทำ ก็พ่อไม่ได้เป็นเจ้าของบริษัทน้ำมันหรือธนาคาร สุดท้ายในวันนี้ (ก่อนที่จะกลับไปอ่านประวัติศาสตร์ยุคกลางเล่น) ขอเรียนถามว่า หากไม่มีใครให้ทำบุญให้ คุณยังจะทำดีไหม เพราะอะไร ด้วยความเคารพทุกท่าน ป.ล. แก้คำผิดครับ รู้สึกกลับมาอ่านทีไร เจอคำผิดทุกที แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:37:44 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:22:54 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:21:26 จากคุณ : นายปลาตีน(ตัวเดิม) (นายปลาตีน) - [ 1 ต.ค. 50 18:18:33 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ^^ ^^ นิดนึงครับ ความรู้ภาษาไทยผมไม่ค่อยมาก ช่วยแปลตรงนี้หน่อยครับ   ........................ ส่วนเรื่องยึดอำนาจนั้น ผมก็ไม่เห็นว่า การร้องแรกแหกกระเชอเพื่อเรียกให้ ใครบางคนที่คน ๑๖ ล้านเลือกมาเพื่อกดคนอื่นที่ไม่ใช่ ๑๖ ล้านนั้นให้เป็นพลเมืองชั้นสอง มันจะเป็นสิ่งที่เรียกว่าประชาธิปไตยตรงไหน ............................ ช่วยแปล ไทย เป็น ไทย นิดนึงครับ  แบบว่า  อ่านแล้วงง ไม่เข้าใจน่ะครับ คห 70 ครับ เห็นด้วยครับ ว่า ทำให้การอ่านมีอรรถรส (ไม่รู้เขียนถูกหรือเปล่า) ขึ้นมาก   แต่ต้องใช้ความพยายามเหมือนกัน   คุณอันตราคนี ใช้ได้อย่างคล่องแคล่วเชียวครับ  นับถือ นับถือ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:44:07 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 18:42:54 ]

ความคิดเห็นที่ 73 มารออ่านต่อค่ะ ขอคุณอำแดงมาโปรดอย่าคิดว่าเป็นการจาบจ้วงหรือเป็นการวิพากษ์โจมตีใดๆเลยนะ คิดว่านี่เป็นเนื้อหาแนวคิดที่เป็นมุมมองที่เราเคยคิด เคยรู้ และไม่สามารถหาคนอธิบายให้เราฟัง จากคุณ : ป้าหนูดา - [ 1 ต.ค. 50 18:45:12 ]

ความคิดเห็นที่ 74 ดูบันทึกการประชุมอนุกรรมการตรวจพิจารณาแก้ไขประมวลกฎหมายอาญาของคณะกรรมการกฤษฎีกา วันที่ 7 มกราคม 2484 : "หลวงประสาทศุภนิติ - จะใช้คำว่า 'หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ' จะเป็นอย่างไร, ม.จ.สกลวรรณกร วรวรรณ - เวลานี้ใช้ไม่ได้" ตรงข้ามกับความเข้าใจทั่วไปแม้ในปัจจุบัน ไม่มีข้อหาทางอาญา "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ในกฎหมายไทย มีแต่ข้อหา "หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย" King, Queen, Heir to the throne และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ " ซึ่งอย่างที่คุณฉันไม่รู้บอกไว้คือ ใช้ได้เฉพาะคนปัจจุบันในตำแหน่ง แต่เราชอบอ้างอะไรก็ตามที่เกี่ยวข้องไปเป็นคดีนี้หมด ดังนี้และดังนั้น ใครหมิ่นอาจารย์ปรีดี ผมก็สามารถฟ้องคุณในข้อหานี้ได้เหมือนกัน(ตามมาตรฐานแบบคอมมอนเซนส์ของคนไทย) เพราะอาจารย์ปรีดีเคยเป็น "ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" (ซึ่งดูแล้วน่าจะมีขั้นสูงกว่า องคมนตรีหรือเพลงสรเสริญด้วย) อันนี้ยกมาขำๆ ไม่ต้องซีเรียสครับ แปลว่า การเรียก คนที่เคยกดคนอีกกลุ่มหนึ่งที่ไม่เห็นด้วยกับตัวเองกลับมา เป็นการเรียกคืนประชาธิปไตยหรือครับ แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 18:57:11 จากคุณ : นายปลาตีน - [ 1 ต.ค. 50 18:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 75 อืม แปลกนะครับ   คน 16 ล้านคนที่บอกว่า เป็นพลเมืองชั้นหนึ่งนั้น  กลับไม่เคยมีสิทธิมีเสียงจริงๆเลยแม้แต่ครั้งเดียว  บ้างก็ว่า พวกมากลากไป บ้างก็ว่า โง่ รู้ไม่ทัน   บ้างก็ว่า  ขายเสียง  แม้แต่เสียงที่ลงไปแล้ว  ก็ยังถูกให้เป็นโมฆะ   นี่หรือครับ การเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง เพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า   การเป็นพลเมืองชั้นหนึ่ง มันเป็นเช่นนี้ ช่างเป็นพลเมืองชั้นหนึ่งที่มีสิทธิพิเศษมากมายจริงๆ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 19:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ผมเคยคิดว่าคนในห้องนี้ ล้วนแต่มีสติปัญญาทุกคน ไม่งั้นคงไม่เรียกว่าห้องสมุด พอมาเข้ากระทู้นี้แล้ว....ผมก็คงเดินจากไปอย่างเงียบๆ พร้อมกับความคิดว่า... ที่แท้ก็แค่คนธรรมดาพวกหนึ่ง ที่คิดอะไรไม่พ้นไปจากเหตุผลของตัวเอง พวกคุณที่วิพากษ์"เรื่องนั้น"(ตามที่พวกคุณนิยามคำเรียก)กันอยู่นี้   คุณแน่ใจหรือครับว่าเมื่อถึงเวลาที่ประเทศได้ปรับเปลี่ยนไปสู่ระบบที่คุณต้องการแล้ว พวกคุณทั้งหลายในกระทู้นี้จะยืนหยัดเป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ได้อย่างพร้อมเพรียงกัน อย่ามาบอกว่า "ก็จะทำหน้าที่ของตนให้ดีที่สุด"  มันไม่พอครับ เพราะร่างกายที่เคยมีหัว มันทำงานเองไม่ได้ถ้าไร้หัว-นี่ว่ากันเรื่องจริงไม่มียาหอมเลยนะ เพราะฉะนั้น ถ้าคุณพร้อมจะแบกรับหน้าที่เป็นผู้นำจิตใจคนรุ่นใหม่ทั้งรุ่นได้เมื่อไหร่ คุณถึงมีเครดิตมากพอจะมาวิพากษ์ในกระทู้นี้   คนไทยติดนิสัยพึ่งพาครับ  ไม่ได้เกี่ยวกับสถาบันหรือไม่อย่างไร เราเปลี่ยนตัวเองให้เลิก"พึ่งพาคนอื่น"ได้หรือยัง? พึ่งพากระทั่ง"นายก"ด้วยนะครับ  ไหนๆก็พูดเรื่องนี้แล้ว ก็เล่นซะให้หมดกระดานเลยแล้วกัน นายกบางคนทำตนราวกับพระเจ้า  หวังให้คนมาพึ่งพา ปกครองประชาชนด้วยความฝันและด้วยความกลัว(กลัวว่าไม่มีเขาแล้วคนไทยอยู่ไม่ได้) ถ้าประชาชนคนไทยทั้งหลายยังเลิกนิสัยพึ่งพาไม่ได้ สิ่งที่คุณกำลังพูดถึง ทั้งเรื่องกม.หมิ่น ฯลฯ อะไรนั่น ก็ไม่ใช่ประเด็นครับ ถ้ายังเป็นผู้นำคนไม่ได้  อย่าหาญมาวิจารณ์เรื่องการผลัดอำนาจครับ  บอกตรงๆ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 1 ต.ค. 50 19:25:06 ]

ความคิดเห็นที่ 77 นั่นสิครับ แปลกดีเหมือนกัน ผมเพิ่งคิดออกว่า เปลี่ยนชั้นพลเมืองมันทำง่าย ยิ่งใครสามารถหาความถูกต้องเข้าตัวได้ ยิ่งเป็นชั้นหนึ่งไว และหากจะดูใครเป็นชั้นหนึ่ง ก็อย่างที่ว่า คือ ในสถานการณ์ปัจจุบันกลับกันจากวินาทีนั้น เพราะตัวแปรหลายๆอย่าง (แน่นอนว่า ตอนนี้ผมก็กลายเป็นพลเมืองชั้นสองด้วยเหมือนกัน เพราะดันอยู่ในพื่นที่สีแดง) บางที มันอาจจะเกี่ยวข้องกับเรื่องทุนทางวัฒนธรรมที่เคยพูดกันไว้ในกระทู้ภาคแรก ป.ล. ผมคงสับสนกับเรื่อง จังหวัดไหนเลือกเรา เราจะดูแลให้ดีเป็นพิเศษน่ะครับ ซึ่งแน่นอนว่า ไม่ได้ (งึมๆ) และผมก็ขอจบไว้แต่เท่านี้เช่นกัน ป.ล. สอง ถึงสหายผู้กำลังจะจากไป หากคุณคิดว่า เราต่างถกเถียงกันด้วยอะไรที่ไม่พ้นจากเหตุผลของตัวเอง ผมขอก้มหัวรับโดยดี เพราะเราต่างมีชุดเหตุผลของกันและกัน มาสร้างสิ่งที่(อาจจะ)เป็นองค์ความรู้ใหม่ได้ และ เพราะทุกอย่างไม่ได้เกิดจากกระบอกสุญญากาศ ส่วนเรื่องร่างกายที่ไม่มีหัวนั้น ผมคิดว่า ประชาชนก็เหมือนไฮดราครับ หากตัดหัวเก่าออก ก็สามารถหาสิ่งที่เรียกว่าหัวใหม่ได้ ของแค่มีวิธีที่เหมาะสม แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว การมีหัวหรือไม่มีหัวก็ไม่สำคัญเลย หากร่างกายยังยินดีเป็นอัมพาตอยู่เยี่ยงนี้ อย่างที่คุณบอกว่า คนไทยติดนิสัยพึ่งพา ชอบเห็นปัญหาแล้วโยนให้ผู้ใหญ่ ปัญหานี้มันมาจากไหน ตอนนี้ผมยังคิดไม่ออก แต่บางที หากทำให้เราสำนึกรู้ว่าเขามีตัวตนเหมือนกัน ไม่ใช่ อะไรๆ ก็วิ่งไปขอ แล้วก็บอก แล้วแต่ท่านจะกรุณา อันนี้คงยาก (ลองหาการเมืองของไพร่ ของ 'จารย์พิษ (พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อ่านดู)ซึ่งอาจจะมาจากระบบที่เน้นความ "ถ่อมตัว" มากจนเกินไปในการอบรม "เด็ก"ๆ ไม่ให้หือกับ "ผู้ใหญ" (ซึ่งจะเห็นต่อเนื่องในพีธีการรับน้องสยองขวัญต่างๆ ที่สุดท้ายก็มีผู้ใหญ่กว่า มาบังคับให้รับน้องอย่างดีงามทุกที)บางที เราคงต้องสอนให้คนไทยคุยกันด้วยผลประโยชน์ให้มากขึ้น และเลิกถ่อมตัวกันโดยไม่มีเหตุผลเสียที(จะบอกว่ายุยงให้กระด้างกระเดื่องก็ได้) หากมีสำนึกในการเป็นคน ผมเชื่อว่า เราคงหาหัวใหม่ได้เรื่อยๆ ป.ล.สาม ตรรกะชุดที่ว่า ถ้าทำไม่ได้ อย่าวิจารณ์นี้ ผมว่าบางทีมันก็ดูแปลกๆไปนะครับ เพราะบริบทของการวิจารณ์กับการทำมันต่างกัน (ผมว่า นักดนตรีที่ดี ก็ไม่จำเป็นต้องเป็นนักวิจารณ์ดนตรีที่ดี หรือ โค้ชที่ดี ซึ่งตามปกติจะวิจารณ์การเล่นของนักบอลได้ดี ก็ไม่ต้องเคยได้แชมป์ในฐานะนักเตะ ไม่เชื่อไปถามคนปอร์ตุเกสที่เพิ่งไปจากเชลซีดูได้) แก้คำผิดอีกหลายครั้ง แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 20:52:40 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 20:04:04 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 19:59:50 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 19:55:37 จากคุณ : นายปลาตีน - [ 1 ต.ค. 50 19:34:31 ]

ความคิดเห็นที่ 78 แล้วตกลงได้รับการดูแลหรือเปล่าครับ  หรือเป็นแค่คำพูดลอยๆของคนๆหนึ่ง แต่สิ่งที่เกิดขึ้นจริงต่างหาก  ที่กำลังแบ่งชั้นพลเมืองอยู่ตอนนี้ เรื่องนี้  ผมไม่อยากพูดในนี้ เพราะไม่เกี่ยวกัน และไม่เกี่ยวกับกระทู้   หากจะคุย  เอาเป็นว่า ไปต่อกันในห้องราชดำเนิน ดีมั้ยครับ   ขอให้กระทู้กลับมาอยู่ในประเด็นอีกครั้ง แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 19:41:49 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 1 ต.ค. 50 19:38:20 ]

ความคิดเห็นที่ 79 คุณ AntiSpam ไม่ต้องชื่นชมค่ะ วิจารณ์ได้ แต่อิฉันอ่านทู้ ไม่ได้ดูว่าคนนั้นนี้ เอาอะไรมาอ้าง จะดูเจตนาว่า คนเขียนสื่ออะไร แล้วขอทักท้วงแบบลูกทุ่งอย่างนี้ละ คุณ ลูกแม่โดม ึ ่คุณต้องการจะบอกว่า รัฐใช้วิธีล้างสมอง อิฉันเองก็เบื่อสปอทเทอดทูนที่ยิงทุกบ่อย เบื่อพวกที่ชอบอ้างตัวเป็นคนของพระราชามากกว่าคุณอีกมัง เสื้อเหลืองก็ไม่ได้ซื้อ เพราะไม่ได้บ้ากระแส คุณไม่พอใจทหารพระราชาเชิญเลยค่ะ ออกมาด้วยกัน อิฉันเกลียดเผด็จการจะไล่มัน ใครจะทำไม อิฉันก็ลูกพระราชาเหมือนกัน มันบอกว่ามันรัก แต่อิฉันรักของอิฉันจริงไม่แอบอ้าง ถ้าคนออกมาสักล้าน สองล้าน (เหลืองไม่เหลืองไม่เกี่ยว) มันจะยึดอำนาจอยู่ได้ไหม เพ้ย ส่วนสถาบันโดยรวม มีปัญหาอะไรหรือคะ ตัวสถาบันที่ไม่เกี่ยวกะพ่อ(ซึ่งมีบารมีส่วนองค์)ไม่ได้มีอำนาจนัก ประเทศสมัยนี้ ประมุขยุคใหม่ไม่ครองใจคนจะเป็นประมุขได้อย่างไร เมื่อไม่มีอำนาจนิติบัญญัติ บริหาร หรือ กองทัพ ไม่มีเรื่องสายเลือดเทวดาแบบร้อยปีที่แล้วหรอก ใช่ไม่ใช่ึคะ ไปละ พูดซ้ำไปมา ว่าคนอื่นเขาเพี้ยน เดี๋ยวจะกลายเป็นเพี้ยนเอง จากคุณ : อำแดงมา - [ 1 ต.ค. 50 19:58:50 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ผมตำส้มตำไม่เป็นสัปปะรดเอาเสียเลย แต่ผมรู้ว่าส้มตำที่อร่อยๆ ควรจะรสชาติเป็นอย่างไร และลิ้นผมค่อนข้างได้รับการยอมรับ เพื่อนผมที่ว่าตำส้มตำแซ่นสุดๆ ต้องให้ผมเป็นคนชิม คนสุดท้าย ว่ารสชาติ ก่อนเทออกจากครก เพื่อความมั่นใจ ว่ายกออกไป คนอื่นเขาจะได้อร่อยกัน ถ้าคิดว่า ตำส้มตำยังไม่เก่ง อย่าบังอาจวิจารณ์ ผมว่าพวกเราในนี้ 100 ละ 98 ไม่มีใครพูดคุยเรื่องการเมืองได้เลยครับ นึกถึงพวกวาทกรรมของนักเลือกตั้ง ที่ไล่ให้คนที่วิจารณ์ ไปสมัครรับเลือกตั้งจริงๆ ว่าแต่คุณผึ้งน้อยเพนจร เคยเป็น สส. หรือเป็นรัฐมนตรีหรือครับ ถึงได้อาจหาญไปวิจารณ์ท่านนายกฯ (คนไหนก็ไม่รู้) ว่าท่านขายฝัน ? แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 20:21:45 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 1 ต.ค. 50 20:20:40 ]

ความคิดเห็นที่ 81 "ถ้ายังเป็นผู้นำคนไม่ได้  อย่าหาญมาวิจารณ์เรื่องการผลัดอำนาจครับ  บอกตรงๆ" ไม่ต่างกับ "ด่าหนังเรื่องนี้ แน่จริงกำกับเองสิ" จากคุณ : nanoguy - [ 1 ต.ค. 50 21:17:46 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เห็นมีการกล่าวถึงกฎหมายอาญา มาตรา 112 กัน จึงขออนุญาตทำตัวเป็นผู้ผลิตซ้ำทางอุดมการณ์ของตัวเองโดยการคัดลอกความเห็นของตัวเองต่อมาตรา 112 อีกครั้งเพื่อแสดงจุดยืนต่อกฎหมายมาตรานี้ครับ ผมคิดว่ากฎหมายมาตรานี้ไม่อาจเรียกว่า กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้ กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพในความเห็นผมน่าจะหมดไปตั้งแต่การร่างกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 (พ.ศ.2452) แล้ว เพราะมาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบันแทบจะเรียกได้ว่าล้อมาจาก มาตรา 98 ของกฎหมายลักษณะอาญาฯ ทีเดียว ซึ่งในตอนร่าง ประมวลกฎหมายอาญาในปี พ.ศ. 2484 ได้มีการตั้งประเด็นว่า "ใช้คำว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพจะเป็นอย่างไร?" และ ม.จ.สกลวรรณกร วรวรรณ ตอบว่า"เวลานี้ใช้ไม่ได้ ตรงข้ามกับความเข้าใจทั่วไปแม้ในปัจจุบัน ไม่มีข้อหาทางอาญา 'หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ' ในกฎหมายไทย มีแต่ข้อหา 'หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้าย' พระมหาก..., พระราชิ..., รัชทายาท และผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์" (ดู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, "บทวิจารณ์หนังสือ 'พระราชอำนาจ'," http://www.midnightuniv.org/midnight2545/document9554.html) ซึ่งเมื่อดูในหนังสือคำอธิบายกฎหมายลักษณะอาญาร.ศ.127 ของ ดร. หยุด แสงอุทัย ที่อธิบายมาตรา 98 นั้น ก็ไม่มีการใช้คำว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" แต่อย่างใด และหนังสือคำอธิบายกฎหมายอาญาภาค 2 เท่าที่เห็นขายในปัจจุบัน ผมก็ยังไม่เห็นว่าจะมีเล่มไหนใช้คำว่า "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" (ถ้ามีใครหาพบก็บอกด้วยนะครับ) ขอพูดถึงหลักของมาตรา 112 (ไม่รู้ว่าจะเป็นการเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนหรือเปล่า) มาตรา 112 นั้น มีองค์ประกอบภายนอกคือ 1. หมิ่นประมาท ซึ่งเป็นหลักการเดียวกันกับความผิดฐานหมิ่นประมาท ตามมาตรา 326 คือ การกล่าวให้ร้ายผู้อื่นต่อบุคคลที่สาม ทำให้บุคคลนั้นเสื่อมเสียชื่อเสียง ได้รับความอับอาย ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง 2. ดูหมิ่น เป็นหลักการเดียวกับความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้า ตามมาตรา 393 คือ การกล่าวดูหมิ่นต่อผู้อื่น ความผิดฐานดูหมิ่นซึ่งหน้าคนมักจะสับสนกับความผิดฐานหมิ่นประมาท เพราะมีความใกล้เคียงกัน ตอนนี้ผมก็ไม่แน่ใจว่าจะอธิบายให้รู้เรื่องได้หรือเปล่า (เพราะคืนอาจารย์ไปเกือบหมดแล้วตั้งแต่สอบเสร็จ) เอาเป็นว่าถ้าหากเป็นลักษณะของการด่าด้วยเหตุอันเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ หรือด้วยถ้อยคำหยาบคาย จะเข้าลักษณะของการดูหมิ่น 3. อาฆาตมาดร้าย หมายถึง การขู่อาฆาตว่าจะทำอันตรายในอนาคต องค์ประกอบภายในคือ 1. ผู้กระทำรู้ถึงการกระทำนั้นว่าได้ หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย เงื่อนไขการรับผิด ผู้ถูกกระทำเป็น พระมหาก...ในรัชกาลปัจจุบัน พระราชิ..ในรัชกาลปัจจุบัน (ที่สวรรคตแล้วไม่เข้าองค์ประกอบของมาตรานี้) รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ขณะปฏิบัติหน้าที่ (องคมนตรีไม่ใช่ผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์) คุณธรรมทางกฎหมาย เพื่อคุ้มครองสัญลักษณ์แห่งรัฐ ในความเห็นผม กรณีของ วีระ มุสิกพงศ์ ที่เคยมีคนเอาฎีกามาลงไว้ (และสังเกตว่าในฎีกาศาลฎีกาก็ไม่มีการใช้คำว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแต่อย่างใด มีเพียงคำให้การของพยานเท่านั้นที่มีการใช้คำนี้) ไม่น่าจะเข้าตั้งแต่องค์ประกอบตั้งแต่องค์ประกอบภายนอกแล้ว และรวมทั้งกรณีไม่ยืนในโรงหนังด้วย ผมคิดว่าฎีกานั้นน่าจะโดนด้วยเหตุคำพูดที่ว่า “เพลงอะไรวะ ฟังไม่เห็นรู้เรื่อง” มากกว่า แต่ในความเห็นผมก็ไม่คิดว่าจะเข้าองค์ประกอบอยู่ดี การตีความของศาลในปัจจุบันที่ตีความมาตรา 112 จนเกินขอบเขตเช่นนี้ผมคิดว่าเป็นปัญหาใหญ่อย่างยิ่ง ขอตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า ในหมวดความผิดต่อพระมหาก... ในกฎหมายอาญานั้น ใน ประมวลกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ. 127 นั้น มีเพียงแค่ 2มาตรา (ถ้าผมจำไม่ผิดเพราะเคยอ่านนานแล้ว) แต่ในประมวลกฎหมายอาญาปัจจุบันที่ประกาศใช้ในปี พ.ศ.2499 ซึ่งเป็นรัฐบาลภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 และที่สำคัญเป็นรัฐบาลของ หลวงพิบูลสงคราม กลับเพิ่มขึ้นเป็น 6 มาตรา (แหม! ใครมาว่าหลวงพิบูลฯไม่จงรักภักดีไม่ได้นะเนี่ย) ซึ่งดูน่าคิดว่า “ทำไมรัฐบาลของผู้ที่ยึดอำนาจจาก... จึงเพิ่มอำนาจการปกป้องให้...?” ขอหมายเหตุเล็กน้อย มาตรา 112 เคยได้รับการแก้ไขเพิ่มเติมโดยคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับที่ 41 ลงวันที่ 21 ตุลาคม 2519 **********   ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่า ผมไม่คิดว่ามาตรา 112 นั้นจะเป็นปัญหา เท่ากับการตีความของศาลที่ตีความเกินเลยไปมาก (แต่ผมก็เห็นด้วยว่าควรจะยกเลิก หรือแก้ไขกฎหมายมาตรานี้อย่างยิ่ง) สิ่งที่ผมอยากให้เป็น (ที่ดูเหมือนจะเป็นไปได้มากกว่าการแก้ไข หรือยกเลิกกฎหมายมาตรานี้) คือ การที่จะต้องจำกัดกรอบการตีความที่กฎหมายอาญามีหลักอยู่ว่า “ต้องตีความตามตัวอักษร ห้ามเทียบเคียง (Analogy)” เพราะกฎหมายอาญาเป็นกฎหมายที่มีบทลงโทษ การตีความแบบไม่จำกัด (แบบที่ศาลไทยนิยมทำในปัจจุบัน) นั้น จึงเท่ากับเป็นการขยายขอบเขตการลงโทษ ซึ่งจะเป็นปัญหาต่อการบังคับใช้กฎหมายที่จะต้องมีความแน่นอนเป็นอย่างยิ่ง และควรที่จะสามารถอ้างเหตุยกเว้นความผิด ตามมาตรา 329 และเหตุยกเว้นโทษ ตามมาตรา 330 ได้ด้วย เพื่อเป็นกระบวนการที่จะตรวจสอบและถ่วงดุลย์ (check and balance) ด้วย และสิ่งหนึ่งที่ผมอยากจะขอให้เปลี่ยนสำหรับคนที่คิดว่ามาตรา 112 นั้นมีปัญหาและควรแก้ไข หรือนำออกไปนั้น คือ “เลิกเรียกมาตรา 112 นี้ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ สักทีเถอะครับ” เพราะกฎหมายมาตรานี้ไม่ใช่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ การเรียกว่า ‘กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ’ นั้น ผมว่ามันดูเป็น paradox อย่างยิ่งสำหรับคนที่คิดว่ากฎหมายมาตรานี้มีปัญหา เพราะหากคุณเรียกเช่นนั้น ก็เท่ากับว่าคุณสยบยอมต่ออำนาจของกฎหมายมาตรานั้นเอง และเท่ากับคุณยอมรับในความเป็นสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เพราะหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมีเฉพาะรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เท่านั้น แล้วเมื่อแสดงความสยบยอมเช่นนั้นแล้ว คุณจะมาเรียกร้องการมีปัญหาต่อสิ่งที่คุณสยบยอมได้อย่างไร ตอบความเเห็น 52 “ไหนๆกองทัพไทยเราก็ฉีกรัฐธรรมนูญมา17-18ฉบับแล้ว จะเรียกร้องให้กองทัพไทยช่วยดึงหน้าที่มี ม.112ออกให้ด้วยจะได้หรือไม่? (น่าจะง่ายกว่าฉีกรัฐธรรมนูญหนาๆทั้งฉบับนะ)” กองทัพได้ฉีกรัฐธรรมนูญจากการทำรัฐประหารทั้งหมด 8 ฉบับครับ (จากการทำรัฐประหาร 10 ครั้ง* แสดงว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่มีการฉีกรัฐธรรมนูญ) ไม่ใช่ 17-18 ฉบับ ได้แก่ 2490, 2494, 2502, 2515, 2519, 2520, 2534, และ 2540 จำนวน 17-18 ฉบับ ผมเข้าใจว่าคงเข้าใจจากจำนวนรัฐธรรมนูญทั้งหมดที่มีนะครับ ซึ่งจริงๆ แล้วมีรัฐธรรมนูญที่ผมคิดว่าร่างจากกระบวนการที่เรียกว่าประชาธิปไตยจริงๆเพียงแค่ 2489 และ 2540 เท่านั้น และมาตรา 112 นั้น อยู่ในประมวลกฎหมายอาญานะครับ ไม่ใช่ในรัฐธรรมนูญ ตอบความเห็น 62 “2.เรื่อง ม 112 อิฉันมองว่า เอาออกไปเลย แต่มี 2 ประเด็นหลักที่ควรเข้าใจ คือ หนึ่ง ไม่มีมาตรานี้ ไม่ได้แปลว่าคุณจะวิพากษ์วิจารณ์ไดยไม่ผิดมาตรา หมิ่นประมาทบุคคลได้ และ สอง พอไม่มี ม 112 แล้ว คนอาจก็คิดว่า พูดอะไรก็ได้ สิทธิของชั้นอะไรแบบนี้ เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปทำบ้าๆในที่สาธารณะ คนมันทนไม่ได้ รุมตื้บผู้โชคดี มันจะกลายเป็นบ้านป่า เมืองเถื่อนไป” ประเด็นแรก “...ไม่มีมาตรานี้ ไม่ได้แปลว่าคุณจะวิพากษ์วิจารณ์ไดยไม่ผิดมาตรา หมิ่นประมาทบุคคลได้...” ใช่แล้วครับ ผมเห็นด้วย ถึงแม้จะไม่มีมาตรา 112 แต่ก็ยังมีหมิ่นประมาท (มาตรา 326) อยู่ แต่น้ำหนักความต่างของ 2 มาตรานี้นั้น อย่างที่ได้กล่าวไปแล้วตั้งแต่ข้างต้น มันเป็นปัญหาที่ศาลประเทศไทยไม่เคยตีความมาตรา 112 ให้จำกัดในกรอบของมาตรา 326 แต่ตีความว่าทุกอย่างอาจเข้ามาตรา 112 ได้หมดเช่นในปัจจุบัน (ตัวอย่างเช่น ฎีกาที่ 1294/2521 หรือในกรณีของนายวีระ มุสิกพงศ์ ทั้งที่นายวีระยังไม่ได้กล่าวถึงใครเลยนอกจากตัวเอง) และถ้าจะใช้มาตรา 326 นั้น ผมก็ไม่เห็นว่าจะวิพากษ์วิจารณ์ไม่ได้ เพราะถ้าหากวิพากษ์วิจารณ์โดยสุจริตก็ไม่ต้องรับผิด ตามมาตรา 329 และถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์สาธารณะ และเป็นเรื่องจริง ก็สามารถพิสูจน์ได้ โดยไม่ต้องรับโทษ ตามมาตรา 330 ซึ่งผมว่าถ้าศาลประเทศไทยตีความแบบหมิ่นประมาทได้ผมจะดีใจมาก ประเด็นที่ 2 “...สอง พอไม่มี ม 112 แล้ว คนอาจก็คิดว่า พูดอะไรก็ได้ สิทธิของชั้นอะไรแบบนี้ เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปทำบ้าๆในที่สาธารณะ คนมันทนไม่ได้ รุมตื้บผู้โชคดี มันจะกลายเป็นบ้านป่า เมืองเถื่อนไป” ในเมื่อถึงแม้ว่าจะยกเลิกมาตรา 112 ไปแล้ว แต่ก็ยังมีหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 อยู่ ซึ่งคุณก็เข้าใจว่ามีอยู่เช่นกัน การที่คุณจะเกรงว่าคนจะไป “...พูดอะไรก็ได้ สิทธิของชั้นอะไรแบบนี้ เกิดไม่ดูตาม้าตาเรือ ไปทำบ้าๆในที่สาธารณะ...” มันไม่ดูขัดแย้งในตัวเอง (paradox) กับประเด็นแรกเหรอครับ เพราะผมก็เข้าใจว่าคนอื่นก็เข้าใจเช่นกันว่าถึงจะยกเลิกมาตรา 112 ไปแล้วก็ไม่ได้แปลว่าจะพูดอะไรก็ได้ ผมจึงคิดว่าประเด็นนี้จึงเป็นไปไม่ได้อย่างยิ่งครับ ______________ *ไม่รวมรัฐประหารเงียบในปี 2476 เพราะไม่ใช่การกระทำของทหาร แต่เป็นการกระทำของพระยามโนปกรนิติธาดา นายกฯ ขณะนั้นเอง แก้ไขเมื่อ 12 ต.ค. 50 18:54:46 แก้ไขเมื่อ 01 ต.ค. 50 23:30:58 จากคุณ : ฉันรู้ว่า... (ฉันไม่รู้อะไรเลย) - [ 1 ต.ค. 50 23:29:40 ]

ความคิดเห็นที่ 83 เห็นหลายคนในนี้ เชื่อว่า บทบาทของสถาบันในปัจจุบันไม่เหมาะสม และพวกคุณทั้งหลายก็แนะนำว่า สถาบันควรปรับเปลี่ยนเป็นลักษณะอย่างไร แต่พวกคุณ ก็ไม่มีใครเสนอทางออกแก่สังคมไทยเลย มีแต่คำพูดสวยงามเชิงวิชาการ กระแนะกระแหน หรือ สรรหาคำพูดที่ทำให้ตัวเองดูดี มีปัญญาเหนือว่าคนไทยที่คลั่งเจ้า พอออกไปข้างนอก ในโลกความจริง มีใครกล้าโต้แย้ง หรือต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง หรือ อ้างว่า กลัว ม.112 1. ยกเลิก ม. 112 แล้วทุกอย่างจะดีขึ้น จริงหรือป่าว 2. ความคลั่งของคนไทย ที่พวกคุณอ้างถึง จะแก้อย่างไร 3. ตราบที่ นักการเมืองไทยไร้อุดมการณ์ ประชาธิปไตยไม่โตสักที ผมว่า บทบาทของสถาบันในปัจจุบันก็ยังได้รับการยอมรับจากคนไทยส่วนใหญ่ ถ้าผมจำไม่ผิด อ.สมศักดิ์ เคยพูดว่า ให้ยกเลิก 112 ก่อน แล้ว ตนเองจะพูดมากกว่านี้ ผมก็ยอมรับนับถือ อ. หลายท่าน โดยเฉพาะที่ฟ้าเดียวกัน ที่กล้าเสนอในสิ่งที่คนไทยไม่กล้าแม้แต่จะคิด แต่กระแสหลัก ทั้งจากทีวี หนังสือพิมพ์ ก็ยังเหมือนเดิม ป.ล. 1. ผมเห็นในเว็บใต้ดิน พวกนี้ เค้ามีวิธีการที่เป็นรูปธรรมมากกว่านักวิจารณ์แบบพวกคุณเสียอีก แต่ผมจะไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายของพวกเขา ป.ล. 2. แค่อยากถาม เพราะเริ่มเบื่อที่จะอ่านแล้ว ปล่อยสังคมไทยไว้แบบนี้แหละ ไม่น่าจะเกิน 10 ปี น่าจะมีอะไรตื่นเต้นให้เห็นแน่ๆ จากคุณ : Live Free - [ 2 ต.ค. 50 01:07:05 A:67.15.100.200 X: TicketID:127314 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ๑. บอกไม่ได้ว่าดีขึ้นหรือเลวลง แต่รับประกันได้ว่า อะไรหลายอย่างที่เคยถูกกดทับด้วยความกลัว น่าจะน้อยลง แต่หากเป็นคนเรื่องที่ "สมยอม"กับมันไปแล้ว เลิกไม่เลิกก็คงไม่ต่างนัก ๒.วิธีแบบกำปั้นทุบดินคือให้คนไทยเปลี่ยนแนวคิด ปัญหาต่อมาคือ เราจะทำอย่างไร เพราะ ผลิตซ้ำวามคิดอย่างนี้ฝังมาเยอะและนานมาก ทั้งตำราเรียน ทั้งแว่นขาวที่แจกในหลายๆสื่อ รวมถึงอะไรหลายๆอย่าง เช่น แนวคิดหลายอย่างที่อิงกับศาสนา ประเพณี และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งมันถูกทำให้เป็นวัฒนธรรมประจำชาติไปแล้ว หากจะเปลี่ยนให้ก็ต้องจัดการกับองค์กรที่จัดการด้านวัฒนธรรมเหล่านี้ก่อน (แต่กลัวจะเป็นเหมาคนที่สองซึ่งผมไม่อยากให้เป็นเช่นนั้น)เพราะหากเปลี่ยนความคิดได้ หลายอย่างก็ง่ายขึ้น และที่สำคัญคือ ผมจะยึดวัด ยึดโรงเรียน ยึดสถานีโทรทัศน์ ทั้งหมดได้หรือและนอกจากนั้น การสร้างแนวคิดหลัก(hargemony)มันต้องใช้เวลานนามากครับ (เหมือนอย่างที่ท่านก็สะสมพระบารมีมาตั้งแต่ยุค ๒๔๙๐) ๓.แน่นอน และแน่นอนที่สุด เพราะท่านได้สะสมทุนททางวัฒนธรรมในฐานะผู้ที่ serve "ประชาชน"อย่างแท้จริง(อย่างน้อยก็ในสายตาของชนชั้นกลาง) และเป็นผู้ที่มีทุนทางวัฒนธรรมมากพอที่จะดับไฟที่กำลังลุกอยู่ไม่ให้ลามต่อได้ ก่อนบ้านเมืองจะลุกเป็นไฟ แต่ในขณะเดียวกัน นักเบือกตั้งทั้งหลายก็ ทำตัวเอง และแปะฉลากว่าเป็นนายที่ไม่ได้เรื่อง เอาแต่โกง ซกมกสรพัด เมือเทียบกันแล้วคงพอๆก็เอาอีแร้งเหม็นๆมาเทียบกับพญาอินทรี คงไม่ต้องบอกว่านกตัวไหนน่าดูกว่ากัน และอย่างทีคุณว่าคือ สิ่งที่เรียกว่ากระแสหลักและสิ่งที่มีทุนมากกว่าในการเข้าไปจับความได้เปรียบในการสร้างความชอบธรรมนั้น ใครเยอะกว่าใคร(โดยเฉพาะในสายตาคนเมือง) ยกตัวอย่างคือ ๑๙ กันยา ปีกลาย นอกจากนั้น การอยากฝากตัวให้เป็นเด็กในอาณัติของผู้มีอิทธิพล และการหวังพึ่งผู้ใหญ่อย่างเดียว โดยถือว่าประชาธิปไตยคือเลือกตั้งแล้วจบ อีกสี่ปีค่อยว่ากันต่อ ก็คงไม่ไหว พูดถึงพรรคการเมือง ผมคิดว่าปัญหาอย่างหนึ่งคือ เราไม่มีพรรคการเมืองจริงๆ เพราะมีแค่กลุ่มอำนาจของชนชั้นๆเดียว มาผสมพันธุ์และแยกตัวกันอย่างสนุกสนานตามฤดูกาลเท่านั้น บางที เราอาจจะเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เพราะเราไม่มีสำนึกที่สำคัญที่สุดคือ สำนึกในฐานะที่เป็นคนๆหนึ่งที่มีสิทธิมีเสียง ซึ่งมันถูกกดไว้ด้วยอะไรหลายอย่างเหลือเกิน ไม่นานก็คงมีอะไรให้ดูอย่างคุณว่า แต่ปัญหาคือ หลังจากเหตุการณ์นั้นเราจะไปอย่างไรกันต่อ เพราะทุกอย่างที่เราเห็น มันมีอะไรอยู่เบื้องหลังอีกเยอะ ป.ล.สเปอร์ทำไมหลังมันเห่ยงี้ว้า เปลี่ยนโค้ชได้แล้วมั้ง ไม่อยากลุ้นตกชั้นแล้ว แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 03:26:21 จากคุณ : นายปลาตีน - [ 2 ต.ค. 50 03:14:37 ]

ความคิดเห็นที่ 85 คห. 83 ผมว่าเวปบอร์ดมันก็เขยื้อนความคิดได้ในระดับหนึ่งนะ (อาจกลุ่มเล็กมากๆ)หลายคนอาจจะเปลี่ยนความคิดไปแล้วก็ได้ คุณจะหวังให้มันเปลี่ยนทันตาคงไม่ได้หรอก มันก็จริงว่าโลกมันไม่เปลี่ยนเพราะเราเอาแต่คุยกันหรอก แต่หน้าที่พื้นฐานอันหนึ่งของศาสตร์ทางสังคมก็เพื่อจะเปลี่ยนมันนี่แหละ (ผมไม่ได้พูดเอง เอามาจากตำราฝรั่ง) สิ่งที่มันทำหน้าที่ได้ก็เปลี่ยน mindset ไง นิดหน่อยๆ ก็ยังดี (บางคนอาจไม่เปลี่ยนก็ได้ เพราะหมายถึงโลกที่เคยรู้จักมันพังครืนลงมา) มาคุยกันนี่เขามาหาความบันเทิงกันทั้งนั้นแหละ อย่าจริงจังมาก ผมเองก็อ่านไม่รู้เรื่องหมดหรอก (บางคนอาจอยากแจม แต่เจอแต่ละท่านก็อ่ะนะ  ดูอย่างเดียวดีกว่า) จากคุณ : Foucault lover - [ 2 ต.ค. 50 04:36:56 ]

ความคิดเห็นที่ 86 ตามอ่านมาวันหนึ่งเต็มๆ  กว่าจะหมดทั้งกระทู้ (รวมทั้งกระทู้เก่าด้วย) ขอชื่นชมทุกท่านที่นำความรู้ ความคิด และทัศนคติที่แตกต่างมาแลกเปลี่ยน มาคุยกัน  ช่วยเปิดโลกทัศน์ของคนในสังคม (อย่างน้อยๆ ก็สังคมไซเบอร์) ให้กว้างขึ้น  โดยไม่ยึดติดกับค่านิยมบางอย่างจนเกินไป ซึ้งน้ำใจพันทิปด้วย  ที่ไม่ลบกระทู้นี้ทั้งที่การพูดคุยเรื่องเหล่านี้ที่นี่ผิดกฎพันทิปจริง  แต่ว่าก็ตามแนวทางของพันทิปที่ต้องการให้เป็นสังคมไซเบอร์ที่มีเสรีภาพเพื่อสร้างสรรค์สังคมจริงๆ ... กระทู้นี้จึงอยู่ได้  เพราะว่าไม่มีการถกเถียงในเรื่องที่ไร้สาระ อยู่นอกขอบเขตของการดูหมิ่น  และเป็นการถกเถียงเพื่อระบอบการปกครองโดยแท้จริง หวังว่าคนที่เข้ามาทีหลังจะเข้าใจเจตนาของกระทู้  เพราะไม่บ่อยเราจะได้มีพื้นที่ในการอภิปรายแบบนี้  ยังอยากอ่านความเห็น ความรู้ดีๆ ต่อไป เข้าเรื่องที่อยากตอบนิดนึงดีกว่า ความเห็นที่ ๔๘ ของคุณLive Free ข้อแรกปล่อยให้ท่านผู้รู้ตอบดีกว่า จะได้ตรงประเด็น ส่วนข้อสองที่ว่า " 2. แล้วที่หลายคนกำลังเรียกร้องนี่ เรียกร้องกับใครครับ แล้วกระบวนการมันเป็นอย่างไร คือว่า เห็นหลายคนถกเถียงกัน แต่ไม่เห็นมันจะมีแนวทางเป็นรูปธรรม หรือขั้นตอนเป็นยังไง " ^ ^ ถ้าเอาแค่ขอบเขตในกระทู้นี้ เท่าที่อ่านมา คิดว่ายังไม่มีใครเรียกร้องอะไร จึงยังไม่มีใครที่ดำเนินการอะไร  มันไม่เป็นแนวทาง ไม่มีรูปธรรมก็ถูกต้องแล้ว  เพราะการจะดำเนินการเรียกร้องมันต้องมีแนวคิดที่เป็นข้อสรุป  วิเคราะห์ให้เห็นถึงผลดีผลเสีย และที่สำคัญต้องมีแนวร่วม  แล้วหลังจากนั้น (นนนน...หลังจากนั้นอีกนานเลยล่ะ) จึงจะเป็นการดำเนินการอย่างเป็นรูปธรรม เข้าใจว่าในบอร์ดนี้  เราคุยกันในเชิงวิชาการ  อภิปรายกันในเชิงว่าเกิดอะไรขึ้นกับบ้านเมืองปัจจุบัน ปัญหาที่มี เปรียบเทียบกับบ้านเมืองอื่น และคือความกังวลต่อบ้านเมืองในอนาคต   ...คงต้องให้การถกเถียงเรื่องแนวคิดเข้าที่เข้าทางมากกว่านี้  จึงจะมีการพูดถึงแนวทางว่า "ถ้าหาก" ปฎิบัติจริง เกิดขึ้นจริง จะเป็นอย่างไร จริงอยู่ ความเห็นของคนกลุ่มเดียวเพียงเท่านี้ ยังไม่เปลี่ยนแปลงอะไร  ..อาจดูเหมือนไม่มีคุณค่าอะไรในเชิงรูปธรรม  แต่ว่าการดำรงชีวิตอยู่ในระบอบประชาธิปไตย  นี่คือสิ่งที่มันควรจะเป็น  ควรจะมีพื้นที่ที่เราได้คุยกัน ได้แสดงความคิดเห็น และรับฟังความคิดเห็น  แล้วจุดเล็กๆ นี่ ก็อาจจะเป็นจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงก็ได้เช่นกัน จากคุณ : The SoVo - [ 2 ต.ค. 50 05:42:27 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ว่าจะไปเงียบๆแล้วเชียวนะ มีเพื่อนหลังไมค์ลากผมกลับมาว่าช่วยตอบคำถามเค้าเหอะ เดี๋ยวหาว่าเข้ามากระทบกระเทียบแล้วหายตัวไป ******************************************** ไม่ต่างกับ "ด่าหนังเรื่องนี้ แน่จริงกำกับเองสิ" จากคุณ : nanoguy   ^^^^ ข้อแรก: ผมนึกแล้วว่าต้องมีคนโยงเรื่องหนังกับนักวิจารณ์ ว่าจะเขียนลงไปใน rep ดักไว้ก่อนแล้วเชียว ถ้าคุณติดตามวงการภาพยนตร์จริงๆ  คุณๆจะทราบว่า บรรดานักวิจารณ์ที่ด่าผกก.ไว้ซะเละเทะ มากำกับหนังเองกี่คน? หลายคนครับ...   และทำหนังห่วยยิ่งกว่าผกก.ที่พวกเขาเคยด่าสาดเสียเทเสียอีกมาก เราต้องแยกให้ออกก่อนนะครับว่า...การวิจารณ์ภาพยนตร์เชิงวิเคราะห์หรือวิจารณ์เพื่อสะใจนั้น มันก็แค่หนัง 1 เรื่อง หนังสือ 1 เล่ม   แต่ในกระทู้นี้พวกคุณกำลัง"ยกประเด็นที่เปลี่ยนแปลงการปกครองทั้งระบบ" ไม่ใช่แค่"วิจารณ์ระบบ" ความใหญ่โตและผลกระทบมหาศาลมันผิดกันฟ้ากับเหวครับ   ดังนั้น...พวกคุณควรรับผิดชอบกับความเห็นตัวเองมากกว่าแค่วิจารณ์หนัง ************************************************ นึกถึงพวกวาทกรรมของนักเลือกตั้ง ที่ไล่ให้คนที่วิจารณ์ ไปสมัครรับเลือกตั้งจริงๆ ^^^^ รบกวนย้อนกลับไปอ่านเหตุผลของผมข้างบนอีกที แล้วจะเข้าใจว่าผมหมายถึง.... "การพลิกฟ้าทั้งฟ้า  ต้องใช้มากกว่าแค่ลมปากวิจารณ์" ********************************************* ว่าแต่คุณผึ้งน้อยเพนจร เคยเป็น สส. หรือเป็นรัฐมนตรีหรือครับ ถึงได้อาจหาญไปวิจารณ์ท่านนายกฯ (คนไหนก็ไม่รู้) ว่าท่านขายฝัน ? จากคุณ : บุญชิตฯ (Players)   ^^^^^ ขออนุญาตตอบตามความเป็นจริงนะครับ ไม่ต้องหลบ ไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องเฟค ไม่ได้เป็นนักการเมืองครับ  แต่ทำอาชีพที่เกี่ยวข้องกับสังคมโดยตรง และโดยอาชีพทำให้ต้องเป็นผู้นำสังคมในระดับหนึ่ง ผมอยากถามพวกคุณว่า...เห็นฮิตเลอร์มั้ย? เยอรมันตอนนั้นมีสถาบันหรือ?  ไม่มีนะครับ แล้วฮิตเลอร์ทำไง......ทำตัวเป็นผู้นำจิตใจชนชาติเยอรมันล้างเผ่าพันธุ์ยิว แล้วก่อ WW2 ไง มาดูนโปเลียนอีก   ฝรั่งเศสเป็นเจ้าแห่งการปฏิวัติการปกครอง แล้วไง.....ภายหลังนโปเลียน แม่ทัพหัวก้าวหน้าก็สถาปนาตัวเองขึ้นเป็น Emporor นี่แหละครับ....ช่องว่างของการพลิกแผ่นดินโดยไม่มีระบบมารองรับ มาดูอเมริกาบ้าง   มีสถาบันที่คุณบ่นๆกันนักหนามั้ยล่ะนั่น? บุชก็ได้รับการเลือกตั้งมาแท้ๆ อำนาจทั้งหลายแทบจะรวมศูนย์ในมือประธานาธิบดี เป็นไงล่ะ? ******************************************************* ส่วนเรื่องร่างกายที่ไม่มีหัวนั้น ผมคิดว่า ประชาชนก็เหมือนไฮดราครับ หากตัดหัวเก่าออก ก็สามารถหาสิ่งที่เรียกว่าหัวใหม่ได้ ของแค่มีวิธีที่เหมาะสม จากคุณ : นายปลาตีน ^^^^^ ข้อนี้ผมก็เกือบจะเขียนไว้ใน rep แล้วเหมือนกัน แต่คุณปลาตีนแนะมาเช่นนี้ก็เดีเลยครับ เมื่อหัวหาย....เราต้องหาหัวมาแทน นี่คือเหตุผลที่ว่า..พวกคุณที่คิดพลิกฟ้า ก็ต้องกล้าเป็นหัวที่หายไป เป็นผู้นำคนรุ่นใหม่ชนิดใหม่ถอนรากถอนโคนด้วยนะ คิดตรงนี้ไว้หรือยังครับ?   ต้องคิดถ้วนถี่ก่อนออกความเห็นนะครับ(เหมือนที่คุณบัตรผ่าน live free เขียนไว้แหละ "เห็นหลายคนในนี้ เชื่อว่า บทบาทของสถาบันในปัจจุบันไม่เหมาะสม และพวกคุณทั้งหลายก็แนะนำว่า สถาบันควรปรับเปลี่ยนเป็นลักษณะอย่างไร แต่พวกคุณ ก็ไม่มีใครเสนอทางออกแก่สังคมไทยเลย มีแต่คำพูดสวยงามเชิงวิชาการ กระแนะกระแหน หรือ สรรหาคำพูดที่ทำให้ตัวเองดูดี มีปัญญาเหนือว่าคนไทยที่คลั่งเจ้า พอออกไปข้างนอก ในโลกความจริง มีใครกล้าโต้แย้ง หรือต่อต้านอย่างเป็นรูปธรรมบ้าง หรือ อ้างว่า กลัว ม.112" และ "ป.ล. 1. ผมเห็นในเว็บใต้ดิน พวกนี้ เค้ามีวิธีการที่เป็นรูปธรรมมากกว่านักวิจารณ์แบบพวกคุณเสียอีก แต่ผมจะไม่เห็นด้วยกับเป้าหมายของพวกเขา ป.ล. 2. แค่อยากถาม เพราะเริ่มเบื่อที่จะอ่านแล้ว ปล่อยสังคมไทยไว้แบบนี้แหละ ไม่น่าจะเกิน 10 ปี น่าจะมีอะไรตื่นเต้นให้เห็นแน่ๆ " จากคุณ : Live Free ********************************************************** บ้านเรามีคน"วิจารณ์แล้วจากไปมากเกินไป" แต่"ลงมือทำจนตลอดรอดฝั่ง"น้อยเกินไป จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 2 ต.ค. 50 09:23:08 ]

ความคิดเห็นที่ 88 บ้านเรามีคน"วิจารณ์แล้วจากไปมากเกินไป" แต่"ลงมือทำจนตลอดรอดฝั่ง"น้อยเกินไป ............................. แปลกนะ ผมเห็นคุณวิพากษ์วิจารณ์ ผู้นำคนเก่าอย่างไม่มีชิ้นดี  ทั้งนโยบายสารพัด  (ปัจจุบัน ผู้นำคนใหม่ ก็ลอกของเก่ามาหมด แม้กระทั่งพรรคตรงข้าม ก็ลอกมาทั้งดุ้น) แต่พอปัจจุบัน คุณกลับมาใช้คำนี้ได้ อย่างนี้ เขาเรียก 2 มาตรฐานหรือเปล่า จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 2 ต.ค. 50 09:44:22 ]

ความคิดเห็นที่ 89 ผมกลับคิดว่า ประเทศนี้มีคนยอมฟังคำวิจารณ์และพิจารณาคำวิจารณ์แล้วลงมือทำน้อยไป นะ จากคุณ : นายปลาตีน - [ 2 ต.ค. 50 10:40:27 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ^^ ^^ อันนี้ ผมเห็นด้วย จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 2 ต.ค. 50 11:09:17 ]

ความคิดเห็นที่ 91 Quote ผึ้งน้อยพเนจร "มาดูอเมริกาบ้าง มีสถาบันที่คุณบ่นๆกันนักหนามั้ยล่ะนั่น? บุชก็ได้รับการเลือกตั้งมาแท้ๆ อำนาจทั้งหลายแทบจะรวมศูนย์ในมือประธานาธิบดี เป็นไงล่ะ?" You totally misunderstand the American political system! US president does not have unlimited power. President can make a proposal but it Totally up to the Congress to approve or turn it down. The sytem has its check and balance that has been working well for over 200 years to make sure that no SINGLE person can have unlimited and unchecked power. Please spend more time to study the system before making such an uninformed comment! Sorry. Can't post in Thai จากคุณ : q - [ 2 ต.ค. 50 11:12:31 A:65.103.168.75 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 92 ก่อนจะวิพากษ์วิจารณ์ หากได้มีการถกข้อวิพากษ์วิจารณ์นั้นเป็นการภายในก่อนที่จะเผยแพร่สู่สาธารณะชนได้ น่าจะเป็นการดี แน่นอนว่าการวิพากษ์วิจารณ์นั้น เมื่อเผยแพร่ออกมาแล้ว ย่อมได้รับการตรวจสอบ หากแต่เมื่อออกสู่สาธารณะชนแล้ว ยังให้เกิดความเสียหายขึ้น ไม่มากก็น้อย ก็ยากที่จะหยุดยั้งความเสียหายนั้นได้ ในสังคมที่ยังนิยมบริโภคข่าวลือ การเผยแพร่บทวิพากษ์วิจารณ์ยิ่งต้องมีความรับผิดชอบ หากไร้ซึ่งความรับผิดชอบแล้ว การวิพากษ์วิจารณ์นั้นจะต่างอะไรกับการนินทาว่าร้าย หรือการสรรเสริญที่เกินจริง ............................................................................................................................. เมื่ออาทิตย์ก่อนได้ดูจูมง ฉากที่เห็นท่านอำมาตย์มาขออภัยโทษต่ออ๋องจุนวา ยอมรับว่า ตนคาดการณ์ผิดไป หากเราเป็นประชนชนปูยอ แล้วบังเอิญได้ยินเข้า คงเศร้าใจน่าดู ที่การคาดการณ์ของคนคนหนึ่ง เป็นเหตุให้ต้องมีคนสูญเสียชีวิตจำนวนไม่น้อย การคาดการณ์เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก และอนาคตก็เป็นสิ่งที่ยากจะคาดเดา ที่น่าสนใจ จริงๆแล้วเทโซ ต้องหลุดออกจากตำแหน่งผู้นำ เพราะสุริยคราส หรือเพราะเหตุใด ? มุมมองของชาวปูยอที่มีต่อเทโซเหมือนกับมุมมองของท่านอำมาตย์หรือไม่ ? สำหรับผมเป็นสิ่งที่ควรค่าแก่การขบคิด แต่ต้องรีบหน่อย ประเดี๋ยวอาทิตย์หน้าก็มีประเด็นใหม่แล้ว ............................................................................................................................... ผมอาจจะมองต่างมุม คำวิจารณ์ดีดีนั้นมีไม่มาก อัตตาก็ยังสูงอยู่ไม่น้อย จุดยืนที่ไม่หมั่นตรวจสอบ จะต่างอะไรไปจากยืนกระต่ายขาเดียว ... สรรเสริญหรือนินทาอันเกินจริง ต่างก็ยังความเสื่อมด้วยกันทั้งนั้น สร้างภาพไม่ต่างกัน ... จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 2 ต.ค. 50 11:50:03 ]

ความคิดเห็นที่ 93 #87 ผมยังไม่เห็นตรรกะอยู่ดีครับ พูดตรงๆ ผมก็ยังคงคิดว่า คุณใช้ตรรกะชุด "แน่จริงก็มากำกับหนัง(/เล่นการเมือง/ทำกับข้าว) เองสิวะ" อยู่ดี เพียงแต่คุณอ้างว่าเป็น "เรื่องใหญ่" ต้องรับผิดชอบมากกว่า ผมก็ยังมองว่า มันไม่ต่างกับการพูด สมัยทักษิณ เรืองอำนาจ ว่าไม่เอาแม้วจะเอาใครเลย (นั่นก็เรื่องใหญ่นะ หานายกเนี่ย) อีกอย่างถึง ถ้าผมอ่านไม่เพี้ยนไป (และคิดว่าอย่างนั้น) ไม่มีความเห็นไหนในกระทู้ทั้งสองนี้เลย ที่มีการเสนอให้พลิกฟ้า อย่างที่คุณกล่าวหา นอกจากจะหาทางให้ "ฟ้า" เป็นฟ้าที่แจ่มใส และสามารถ "มอง" ได้อย่าง ชัดเจนเต็มตา ไม่ว่าจะเมื่อตอนฝนตก หรือฝนไม่ตก คุณสับสนอะไรหรือเปล่า ? หรือถ้าคุณหาพบก็ลองเอามาโพสต์ดูนะครับ กรุณาอย่ามองว่าการวิพากษ์วิจารณ์ คือการไม่เอานะครับ คุณอาจจะไม่ชอบรถ เพระกระจกไม่สวย สีไม่สวย แตรไม่เพราะ แต่คุณก็ไม่จำเป็นต้องทุบรถทิ้งเสมอไป ส่วนกรณีของฮิตเเลอร์ นโปเลียน ที่คุณยกตัวอย่างมานั้น จริงๆเป็นตัวอย่างที่ดีนะครับ แต่เป็นตัวอย่างที่ดี ของการยึดมั่นในตัวบุคคล จนยอมทำลายระบบ โดยความจงใจของสังคม ซึ่งก็นำผลร้ายมาให้ คุณคิดว่า ฮิตเลอร์ และนโปเลียน ปราบดาภิเษกตัวเองขึ้นมา ด้วยกำลังและความทะเยอทะยานอย่างเดียวหรือ ถ้าอย่างนั้นคงต้องขอให้คุณไปอ่านหนังสือ ที่ทำให้คุณยกตัวอย่าง บุคคลสองคนนี้ อีกสักรอบ จากประวัติศาสตร์ ทั้งฮิตเลอร์ ทั้งนโปเลียน ล้วนทำลาย "ระบบ" เดิมลง "เพราะ" ความนิยมของคนในสังคม ทั้งสองคน อาศัยความนิยม "ส่วนบุคคล" ที่สังคมมีต่อตน สถาปนาตัวเองขึ้นเป็นใหญ่ และทำลายระบบลงทั้งสิ้น โดยความยินยอมพร้อมใจ จนเกือบๆเป็นความปลื้มปิติ ของสังคม ที่คลั่งไคล้ในตัวพวกเขาด้วย [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] บทเรียนที่คุณยกมา จึงไม่ใช่บทเรียนของการล้มระบบเก่า โดยไม่มีระบบใม่ยอมรับ แต่เป็นการ "ยึดถือในความนิยมส่วนบุคคล" จนทำลายระบบ มากกว่า คือพูดง่ายๆ เชื่อในตัวบุคคล จนคิดว่า เขาทำอะไร ก็ถูก ก็ดี ถ้าอย่างนั้น ระบบไม่ต้องมี ก็ได้ มากกว่า และนี่คือสิ่งที่หลายๆคนในกระทู้มองตรงกันไงครับ ว่า สังคมไทย กำลังย้อนตามรอยนี้อยู่หรือเปล่า และมันอันตรายหรือเปล่า ถ้าเรายอมทำลายระบบ (ทั้งทางตรงและทางอ้อม) ที่ปฏิเสธการพึ่งพาตนเอง การตรวจสอบ การต่อสู้ด้วยตนเอง หวังพึ่งแต่พ่อ หวังพึ่งแต่วิธีพิเศษของพ่อ หรือด่าแต่นักการเมือง เลวๆๆๆๆๆ แต่แทนที่จะหาทางช่วยคิด ช่วยสร้างระบบ การเมืองที่แข็งแรงขึ้น กลับคิดว่า ไม่เป็นไร ประเทศเรายังมีพ่อ ซำบายๆ หรือไม่ก็ให้พ่อ หรือคนของพ่อ ช่วยดูแลให้ จะดีกว่า นักการเมือง "เลวๆ" เรากำลังยึดถือใน "ตัวบุคคล" จนทำลายระบบที่มันควรจะเป็น ลงไปช้าๆ หรือไม่ จนถ้าสมมติพ่อไม่ใช่พ่อคนนี้ เท่ากับเรา "สถาปนาระบบใหม่" ที่พ่อจะมีอำนาจมากๆๆๆๆ แล้วตอนนั้นเราจะทำอย่างไรกันดีครับ ? นอกจากนั่งรอ ? "อะไรตื่นเต้น" ใจร้ายนะครับ... หลายๆคนที่มาคุยในกระทู้นี้ เพราะไม่ค่อยอยากเห็นเรื่องตื่นเต้นทั้งนั้นแหละ ซึ่งคุณยกเรื่องของผู้นำต่างประเทศมาก็ดีทีเดียว เพราะเป็นตัวอย่างที่ดี ในการตอบคนอีกส่วนนึง ที่ชอบบอกว่า พวกนี้หัวก้าวหน้า ดูแต่ฝรั่ง ไม่ได้ศึกษาบริบทไทย ขอบอกว่า เพราะว่า เราเห็น "บทเรียน" ของฝรั่งมาน่ะสิครับ ว่าเขาเคยพลาดกันอย่างไร และเขาอุดช่องโหว่ของปัญหานั้นอย่างไร เมื่อเราเห็นบริบทไทยๆ มันไปคล้ายๆ "ฝรั่ง" ก่อนล่มสลาย เราเลยต้องหาทางเอาวิธี ของ "ฝรั่ง" มาปรับเพื่อแก้ไข มันเป็นอย่างนั้น ปัจจุบัน ฝรั่งเขาพยายามปิดทางเรื่องปัญหาการยึดถือตัวบุคคล จนทำลายระบบ ลงไปหมดแล้วครับ แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:21:06 แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:20:19 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 2 ต.ค. 50 12:25:37 ]

ความคิดเห็นที่ 94 ^^^^คุณ : บุญชิตฯ (Players)  ให้ความรู้มาละพเอียดอย่างนี้ อย่างนี้สิครับ ผมเห็นด้วย " หลายๆคนที่มาคุยในกระทู้นี้ เพราะไม่ค่อยอยากเห็นเรื่องตื่นเต้นทั้งนั้นแหละ " เท่าที่ผมอ่านมา แทบจะมีคุณบุญชิตคนเดียวมั้งครับที่เขียนรู้เรื่อง และด้วยจิตเจตนาเช่นนี้ ********************************************* Please spend more time to study the system before making such an uninformed comment! จากคุณ : q - ^^^ I've studied politic science krub.  Sorry that I had shortened my comments due to my sonn-to-be-leaving the house at the time. Of course, Us presidency has check and balance but that dosen't prevent US  citizens  to critisize their Mr.President's supreme power as you all has been doing with this kratoo right now. จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 2 ต.ค. 50 12:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 95 Absoluted Power อาจจะไม่มีอยู่ในมือของท่านประธานาธิบดี จริงอยู่ที่มีระบบการถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ แต่ความฉ้อฉลในอำนาจนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกกัน เรื่องอิรักนับเป็นหัวข้อที่ดี สำหรับการถกเรื่องการใช้อำนาจนั้น ว่า มีการตรวจสอบและถ่วงดุลกันอย่างดีแล้วหรือ ... หากเรื่องบุกอิรักเป็นความผิดพลาด ... ท่านประธานาธิบดีควรรับผิดชอบ ? สภาคองเกรสควรรับผิดชอบ? หรือประชาชนชาวอเมริกันควรต้องร่วมกันรับผิดชอบ ? แก้ไข... ส่วนที่สำแดงโง่ไป... แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 12:59:30 จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 2 ต.ค. 50 12:44:15 ]

ความคิดเห็นที่ 96 อ่านอย่างต่อเนื่องค่ะ จากคุณ : เตียวเสี้ยน (b39kew) - [ 2 ต.ค. 50 14:27:02 ]

ความคิดเห็นที่ 97 "ฝรั่งเศส มีเทคโนโลยีที่ดีที่สุด ในการแก้ปัญหาในเรื่องนี้ น่าจะนำเข้ากันมาสักเครื่อง" ผมนึกถึง "เทคโนโลยี" ที่เขากล่าวถึงนั้น แล้วสะดุ้ง ก่อนจะตอบว่า "เฮ้ย ! ไม่เอาโว้ย" ไม่เอาความรุนแรงด้วยคนหนึ่งค่ะ จากคุณ : ป้าหนูดา - [ 2 ต.ค. 50 14:46:27 ]

ความคิดเห็นที่ 98 คุณบุญชิต ครับ หากจะกล่าวถึง เทคโนโลยี ที่ว่า  มันต้องว่ากันไปตั้งแต่เมื่อ 75 ปีก่อนแล้วครับ   มาพูดเอาตอนนี้  คงจะเป็นไปไม่ได้อย่างแน่แท้ ทั้งเทคโนโลยีของฝรั่งเศสหรือรัสเซีย และผมคิดว่า บ้านเมืองเรา คงไม่จำต้องเหมือนสองประเทศนี้  อาจจะเป็นไปในแนวทางคล้ายๆอังกฤษหรือญี่ปุ่น    หรืออาจจะมีลักษณะเป็นของตัวเองโดยที่มีอำนาจตามที่กฎหมายเขาให้มี  นั่นล่ะครับ น่าจะเป็นทางออกได้ดีที่สุด แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 15:30:52 จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 2 ต.ค. 50 15:11:19 ]

ความคิดเห็นที่ 99 เทคโนโลยีที่ว่าเนี่ย นายคนนี้เป็นคนคิดรึเปล่าครับ... จากคุณ : monkydlufy - [ 2 ต.ค. 50 15:51:03 ]

ความคิดเห็นที่ 100 ง่า...ผมอ่านความเห็นของคุณผึ้งน้อยพเนจรไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่เลยครับ สรุปว่าคุณต้องการที่จะ argue ว่าอะไรกันแน่...สรุปคุณคิดว่าประชาชนควรสามารถวิพากษ์วิจารณ์ได้หรือไม่ หรือถ้าวิจารณ์อย่างเดียวก็อย่าวิจารณ์เลยดีกว่า??? ปัญหาที (ผมเดาว่า) ทุกคนเห็นตรงกันคือ ระหว่างที่สังคมไทยเรียกร้องต้องการจะมีชีวิตทางการเมืองที่เรียกว่าประชาธิปไตยนั้น เราไร้หลักการพื้นฐานบางอย่างของชีวิตดังกล่าว เรามีสถาบันและบุคคลซึ่ง-จากประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา-มีการกระทำและจุดยืนที่ไม่เป็นผลดีต่อประชาธิปไตย ในขณะเดียวกัน ประดิษฐกรรมของสังคมไทยอย่างหนึ่งคือ ประดิษฐกรรมเชิง "บุคคล" ที่สามารถดึง "ท่าน" ลงมาจากความเป็นเทพ แต่ยังคงสถานะเกินมนุษย์อยู่ได้ สถานะดังกล่าวถูกฉายซ้ำเข้มข้นผ่านโรงเรียนและสื่อมวลชน ประชาชนไม่สามารถก้าวข้ามแว่นตาสี "ขวา" ไปได้ [เป็นปัญหาเชิงอุดมการณ์???] ดังนั้น สิ่งที่คุณบุญชิตและท่านอื่น ๆ ย้ำตลอดมาคือ การจัดวางตำแหน่งแห่งที่, บทบาท และอำนาจของสถาบันและบุคคลให้เป็นไปตามกรอบประชาธิปไตย โดยไม่คำนึงถึง การตัดสินเชิงคุณค่าต่าง ๆ นา ๆ เช่นเรื่องความดี-เลว นั่นคือเรื่องหลักการ ตรงนี้ผมมีข้อเสนอแปลก ๆ ครับ ผมมองว่า หากเราจะทำความเข้าใจปรากฎการณ์ทางการเมืองไทย โดยเฉพาะหลังการอภิวัฒน์ (?) 2475 เป็นต้นมา เราไม่สามารถแบ่งแยกการกระทำของบุคคลและตัวสถาบันออกจากกันได้อย่างง่ายดายนัก "ข้ออ้าง" ในการขึ้นสู่อำนาจของสฤษดิ์นั้น มีสองส่วนด้วยกัน ส่วนแรกคือการใช้ข้ออ้างเรื่องประเทศชาติที่กำลังตกอยู่ในปัญหาตกต่ำและมีภยันตรายศัตรู ตัวสฤษดิ์สร้างให้ตัวเองเป็นราวกับวีรบุรุษของชาติเข้ามากอบกู้ (เรื่องการสร้าง myth เรื่องปัจจุบันอันเสื่อมโทรมนั้นมักมาคู่กับ myth เรื่องอดีตอันเจริญรุ่งเรือง และมักเป็นเครื่องมือในการสร้าง nationalism sentiment) ส่วนที่สองคือ ข้ออ้างว่า "ท่าน" เป็นผู้แต่งตั้งสฤษดิ์ให้เป็นผู้รักษาความสงบพระนครฝ่ายทหาร (ถ้าผมจำชื่อไม่ผิด) ปัญหาคือ "ท่าน" มีอำนาจกระทำการดังกล่าวหรือไม่? "ท่าน" มีอำนาจแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารเป็นฝ่ายบริหารหรือไม่? ในเมื่อตั้งแต่หลัง 2475 เป็นต้นมา ราชาต้องปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญ (หรืออยู่ "ใต้" รัฐธรรมนูญ) การ endorse สฤษดิ์ จึงเป็นการกระทำที่ละเมิดรัฐธรรมนูญหรือไม่? หากเราจะกล่าวว่า "ท่าน" ไม่ได้ละเมิดรัฐธรรมนูญนั้น มีคำอธิบายข้อเดียวคือ อำนาจในการแต่งตั้งผู้ที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้งให้เป็นฝ่ายบริหารนั้น คือการใช้อำนาจเยี่ยง Absolute Monarchy...หรืออีกนัยหนึ่ง การใช้อำนาจดังกล่าวคือการละเมิดรัฐธรรมนูญนั่นเอง เราจะอธิบายปรากฎการณ์ดังกล่าวได้อย่างไร? อย่างที่ผมกล่าวไปข้างต้นแล้วว่า เราไม่สามารถ "ฉีก" การกระทำของบุคคลออกจากตำแหน่งแห่งที่ของสถาบันได้ ในกรณีที่ผมยกมานั้น "ท่าน" ยังมิได้สะสมบารมี หรือได้รับความนิยมจากคนไทยมากเท่าทุกวันนี้ (ถ้าผมจำไม่ผิด คนต่างจังหวัดเองจำหน้า "ท่าน" มิได้ด้วยซ้ำ) ถ้าหากเป็นอย่างที่คุณอำแดงมาเคยกล่าวไว้ในความเห็นก่อน ๆ คือ "ท่าน" ทำความดีปรากฎไว้ จึงมีพระราชอำนาจ "ล้นฟ้า" แต่ในเมื่อ "ท่าน" ในปี พ.ศ. นั้นยังเป็นเพียงราชาหนุ่ม มิได้สะสมความดีไว้มากล้น การใช้อำนาจเยี่ยง absolute monarchy ในคราวนั้น เอาอะไรมารองรับ? ผมมองว่า "ท่าน" ไม่สามารถมีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาดขนาดนั้นได้ หากชนชั้นสูง/ปกครอง/ชั้นนำไทย ไม่ได้มีกรอบคิดเรื่องพระราชอำนาจที่ติดตัวอยู่กับราชา ตัวอย่างที่ชัดเจนคือ แนวความคิดของ พระองค์เจ้าธานีนิวัตร (สะกด?) เรื่อง The Old Siamese Conception of the Monarchy พระองค์เจ้าท่านนี้เป็นผู้เลี้ยงดูในหลวงสมัยกลับมาเมืองไทยใหม่ ๆ (ถ้าจำไม่ผิด อีกท่านคือพระองค์เจ้ารังสิต) ในแนวความคิดของท่าน ราชาแห่งสยามนั้น เป็นประชาธิปไตยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ผ่านสิ่งที่เรียกว่า "ราชประชาสมาสัย" concept กว้าง ๆ คือ ประชาชนต่าง "เลือก" ราชาให้เป็นผู้ปกครองหรือ "ศูนย์รวมจิตใจ" ราชาในความคิดของสยาม (หรือในความคิดของพระองค์เจ้าธานีฯ) จึงมีความชอบธรรมในอำนาจที่ตัวเองได้รับ "เลือก" มาจากประชาชน concept การมองตัว "สถาบัน" ดังกล่าวจึงส่งต่อให้ "บุคคล" ได้รับอำนาจมากตามมาด้วย มากถึงขนาดสามารถแต่งตั้งหัวหน้าคณะรัฐประหารให้เป็นฝ่ายบริหารได้ ผมจึงสรุปว่า "ท่าน" ณ พ.ศ. นั้น ได้รับอำนาจผ่านจาก concept การมองตัว "สถาบัน" เป็นหลัก และ "ท่าน" ณ พ.ศ. นั้น ไม่สามารถมีพระราชอำนาจในการแต่งตั้งฝ่ายบริหารได้หากกรอบคิดว่าด้วยสถาบันแห่งราชาของชนชั้น elite ไทยไม่เอื้ออำนวย จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 2 ต.ค. 50 16:34:49 ]

ความคิดเห็นที่ 101 เข้ามาอึ้ง คห. คุณ little bee.... ถ้าเป็นอย่างที่คุณว่า....ก็ไม่ต้องมีพันทิพเลยดีกว่ามั้ย ไม่ต้องมีหนังสือพิมพ์ ไม่ต้องมีสื่อใดๆ ไม่ต้องมีการพูดคุย ไม่ต้องมีการวิเคราะห์ แล้วที่คุณบอกว่า มีแต่คนวิจารณ์ ไม่เห็นมีใครทำ ก็มันยังไม่ถึงจุดนั้นไงคุณ มันยังอีกยาวไกล สังคมไทยกำลังค่อยๆ evolve วิวัฒนาการในประเด็นนี้ด้วยความเร็ว 0.0000005 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันแค่กำลังเริ่มต้น การเปลี่ยนแปลงทุกอย่างบนโลกเกิดมาจากการตั้งคำถาม พอตั้งแล้วก็ถกในหัวตัวเอง แล้วก็ไปถกกับคนอื่น ไปเรื่อยๆ ก่อนที่การเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นจริง แต่คุณเล่นเสนอตัดตอน ตัดขั้นตอนการวิจารณ์ออกไป แล้วจะให้เกิดการกระทำเลย มันคงไม่ได้ล่ะมั้ง นอกเสียจากว่าคุณกำลังเข้าใจว่าสังคมไทยอยู่ ณ ระดับที่ไกลกว่าความเป็นจริง? หรือคุณคิดว่าเราวิจารณ์กันมาพอแล้ว ถึงเวลาทำเสียที? ถ้าคิดเช่นนั้น ส่วนตัวเราคิดว่ายังหรอกค่ะ ยังอีกนาน ดังนั้นก็ต้องให้ประชาชนวิจารณ์เสียก่อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การวิจารณ์อย่างเป็นกระบวนการ มีการเขียนเป็นลายลักษณ์อักษร มีการบันทึก มีการเผยแพร่เป็นวงกว้าง ไม่ใช่แค่กอสซิปในมุ้งหรือตามแท็กซี่อย่างที่เป็นอยู่ ใจเย็นๆค่ะ รอหน่อยละกัน เดี๋ยวนี้อินเตอร์เน็ตมันทำให้อะไรหลายๆอย่างเกิดขึ้นเร็วกว่าที่คิด ส่วนตัวเราคิดว่า อย่างน้อยถ้ามีกระทู้นี้เกิดขึ้นได้ ณ พ.ศ. 2550 โดนไม่โดนลบ ก็มีสิทธิ์ได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในชีวิตนี้ค่ะ ถ้าไม่มีใครไปชะงักและหยุดกระบวนการนี้อย่างจงใจเสียก่อน จากคุณ : Individualism - [ 2 ต.ค. 50 17:07:26 ]

ความคิดเห็นที่ 102 เข้ามาอ่าน ... เห็นกระทู้นี้แล้วนึกถึงหนังสือ Luang Wichit Wattakarn and the Creation of Thai Identity ... จากคุณ : Anonymous - [ 2 ต.ค. 50 17:23:25 A:10.90.4.11 X:202.28.181.10 TicketID:146259 ]

ความคิดเห็นที่ 103 Quote 95 Absoluted Power อาจจะไม่มีอยู่ในมือของท่านประธานาธิบดี จริงอยู่ที่มีระบบการถ่วงดุลระหว่าง 3 อำนาจ แต่ความฉ้อฉลในอำนาจนั้น ก็ยังเป็นเรื่องที่ต้องถกกัน เรื่องอิรักนับเป็นหัวข้อที่ดี สำหรับการถกเรื่องการใช้อำนาจนั้น ว่า มีการตรวจสอบและถ่วงดุลกันอย่างดีแล้วหรือ ... Absolutely! Before Iraq war, President Bush had asked the Congress to authorized the invasion. He didnt do without infroming American People as well as the Congress. There was widely debate about the invsion before the actual invasion took place. The war was a mistake (no doubt) but that was after consent by Congress (actual vote) and by American people (poll and Nov 2004 election). หากเรื่องบุกอิรักเป็นความผิดพลาด ... ท่านประธานาธิบดีควรรับผิดชอบ ? สภาคองเกรสควรรับผิดชอบ? หรือประชาชนชาวอเมริกันควรต้องร่วมกันรับผิดชอบ ? Congress paid the price. Republcan lost election in 06. President lost his popularity in the poll. Sure, American could not fire the President, but it is difficult forhim to get anything pass the current Congress. There is no perfect system, but this is the best possible. Accountability and transparency are the keys. I do not say that we have to copy their system but I think it is far better than relying on one person's ability and judgement. I agreee with others here that the institution must be reformed to survive this century. Reform is a better choice than Revolution as far as the institution concerns. Thai people will survive both situations, but the institution may not. Current practice is worrisome because it goes the opposite direction of reforming. 24 -HR advertisement is not the way. The higher you push something, the harder it will fall (whenever it falls). จากคุณ : q - [ 2 ต.ค. 50 17:31:51 A:71.214.17.212 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 104 งงๆ อยู่หน่อยครับ ตกลงว่า การบริหารรัฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการบ้านการเมือง หรือการรัฐประหาร ทั้งหลายเหล่านั้น ใครเป็นคน enforce ครับ แม้เปลี่ยนแปลงแล้ว พระบรมราชโองการที่ผ่านอำนาจฝ่ายบริหาร หรือนิติบัญญัติ แม้กระทั้งตุลาการ ไม่ว่าจะเป็นรัฐธรรมนูญฉบับใด ผู้ที่รับผิดชอบ คือ ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ ใช่หรือไม่ครับ ... ถึงแม้ไม่โปรดเกล้าลงมา รัฐสภาก็ยังมีสิทธิที่จะประกาศใช้กฎหมายนั้น ข้อนี้ยังเป็นจริงหรือไม่ครับ ......................................................................................................................................... # 107 # คลายข้อสงสัยพอสมควร แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 19:09:24 จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 2 ต.ค. 50 17:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 105 #103# ครับ There is no perfect system, but this is the best possible. Accountability and transparency are the keys. ไอ้ตรงที่ว่า but this is the best possible. นี้แหละครับ ที่ต้องถกกัน ... เพราะสิ่งที่ท่านประธานาธิบดีก่อให้เกิดความเสียหายขึ้นนั้น ในสายตาของชาวบ้านตาดำๆ ชีวิตที่เสียไปมันประมาณค่ามิได้ขอรับ ...ไม่ว่า จะเป็นชีวิตทหารเกณฑ์สหรัฐ หรือชีวิตชาวอิรักก็ตาม ระบบที่เป็นอยู่ เป็นระบบที่ตรวจสอบได้ เรื่องความโปร่งใส่ยังต้องดูละเอียดๆ เพราะนโยบายบางเรื่อง ก็มิได้ตรงไปตรงมา ยังมีการตีความกันเยอะ และเป็นที่มาของความเสียหายความเสียหาย โดยเฉพาะ "ชีวิตคน" โดยยังไม่มีกลไกใดสามารถป้องกันได้อย่างแท้จริง ฉะนั้น the best possible ที่ว่านั้น อาจจะ best possible ในบางเรื่องเท่านั้นครับ เป็นต้นว่า ระบบที่แสดงให้เห็นหนทางการเปลี่ยนแปลงของระบบตัวแทนอย่างละมุนละม่อม จุดนี้ผมเห็นด้วยครับ .......................................................................................................................................... เทโซ มีอำนาจได้ ก็เพราะอำมาตย์เชื่อในเทโซ เมื่อหมดความเชื่อถือกันแล้ว เทโซก็หามีอำนาจไม่ อ๋องจุนวา ก็เช่นกัน ฉันใดก็ฉันนั้น เมื่อผู้นำไม่สามารถรักษาความน่าเชื่อถือเอาไว้ได้ ยังจะมีผู้ใดย่อมรับในอำนาจอีกหรือ ... ถ้าเชื่อว่า ผู้ตามมีสติปัญญาพอ ใครจะเป็นผู้นำนั้น ก็อยู่ที่ผู้ตามจะเลือกเอาแล้ว ... ก็เท่านั้นเอง สิ่งที่น่าเสียดาย คือ ในท้องเรื่อง กฏหมายปูยอนั้น ไม่มีมาตราใดป้องกัน มิให้ เทโซ ใช้อำนาจประหัตประหาร ชาวบ้าน หรือขุนนาง ที่ไม่เชื่อถือในตัวเขาได้ ต่างจากปัจจุบัน .......................................................................................................................................... แก้ไข - เพิ่มเติมสาระเฟ้อจากจูมง แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 18:58:06 จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 2 ต.ค. 50 18:26:32 ]

ความคิดเห็นที่ 106 มีอะไรให้เห็นให้รู้ อย่างที่เคยคิดไว้ แต่ไม่ได้คาดว่าจะเกิดเร็วขนาดนี้ ทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อม (โลกร้อน ฯลฯ) เศรษฐกิจ (ฟองสบู่จะแตกอีกรอบ?? ทุนนิยมไม่ช่วยอะไร) สังคม (ความเสื่อมถอยของ คุณธรรมจริยธรรม เด็กฆ่ากัน เด็กหาเงินโดยวิธีที่ผิดศีลธรรมจรรยา) แล้วก็ได้เห็น "คน" ที่ออกมาต่อสู้ เพื่อหยุดยั้ง หรือ ลดทอน ปัญหาเหล่านี้ สิบกว่าปีก่อนตอนที่เรียน มันดูไกลตัว ดูเหมือนจะไม่ทันเห็นในช่วงชีวิตนี้ แต่ตอนนี้ มันช่าง ชัดเจน เสียจนน่ากลัว จากคุณ : g9h - [ 2 ต.ค. 50 18:50:40 ]

ความคิดเห็นที่ 107 ตอบความเห็น 26 จริงๆ อ่านความเห็นนี้แล้วมีหลายประเด็นที่อยากแลกเปลี่ยน ซึ่งมีทั้งที่เห็นด้วยและเห็นแย้ง แต่เนื่องจากข้อจำกัดบางประการของสถานที่ และการสื่อสาร จึงขอแสดงความเห็นในประเด็นที่พอจะแลกเปลี่ยนได้ (และปลอดภัย) ดังนี้ครับ “...ท่านจะมั่นในในกระบวนยุติธรรมไทย (ที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย !) ได้แค่ไหน หากคุณได้รับบาดเจ็บ เพราะการยืนยันที่จะไม่แสดงความเคารพ ในสิ่งที่ศาลใช้เป็นหลักในการตัดสินคดี...” ผมเคยเถียงกับอาจารย์รัฐศาสตร์คนหนึ่งเกี่ยวกับประเด็นนี้ เรื่อง “การอ้างว่า ‘กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย’ ของศาล” นั้น จะทำให้ศาลไม่ neutral หรือเปล่า? ในความเห็นของผมนั้นไม่ใช่เรื่องเดียวกันเลย ซึ่งผมคิดว่าประโยคเช่นนี้นั้นเป็นเหมือนคำพูดเหน็บแนม และล้อเลียนข้ออ้างของศาลในปัจจุบันที่ชอบอ้างเรื่องนี้อยู่เสมอ ซึ่งยอมรับว่าผมก็หมั่นไส้กับข้ออ้างนี้ของศาลอยู่เหมือนกัน แต่ถ้าเข้าใจตัวระบบแล้วผมขอแสดงความเห็นว่า การกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความ neutral หรือไม่เลย ต้องขอถามว่า “ในการกระทำของรัฐนั้นมีอะไรบ้างที่ไม่ได้กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย?” แม้ว่าจะบอกว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย” (ซึ่งประโยคนี้แม้จะมีข้อถกเถียงเรื่องคำว่า “เป็นของ” และ “มาจาก” แต่สำหรับผมไม่ใช่สาระสำคัญเท่าใดนัก) แต่ถามว่า “ปวงชนชาวไทยใช้อำนาจโดยตรงได้หรือเปล่า?” มันเป็นไปไม่ได้แน่ๆ ที่จะให้ทุกคนมาใช้อำนาจทางตรงทุกกรณี มันจึงต้องมีตัวแทนผู้ใช้อำนาจ ดังที่เห็นในมาตรา 3  ของรัฐธรรมนูญ 40 ที่วางหลักว่า “อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย พระมหาก... ทรงเป็นผู้ใช้อำนาจนั้นทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล...” ซึ่งผมคิดว่ามันหายไปประโยคหนึ่งคือ “ทำไมพระมหาก... จึงเป็นผู้ใช้อำนาจเล่าหากอำนาจเป็นของปวงชน?” ประโยคนี้ผมคิดว่ามีเพียงรัฐธรรมนูญฉบับเดียวที่ตอบได้ชัดเจนที่สุด คือ รัฐธรรมนูญ ฉบับ 27 มิถุนา 2475 ซึ่งมาตรา 2 วางหลักว่า “ให้บุคคลและคณะบุคคลดังที่จะกล่าวต่อไปนี้เป็นผู้ใช้อำนาจแทนราษฎรที่จะได้กล่าวต่อไปในรัฐธรรมนูญ... 1. กษั...” นั่นคือคำตอบของประโยคที่หายไปว่า ทำไม กษ...จึงเป็นผู้ใช้อำนาจที่เป็นของปวงชน และถ้าดูจากมาตรา 3 รัฐธรรมนูญ 40 จะเห็นว่า ผู้ที่กระทำภายใต้พระปรมาภิไธย ไม่ได้มีเพียงแค่ศาล แต่รวมทั้ง คณะรัฐมนตรี และรัฐสภา ด้วย ซึ่งมาจากเหตุผลที่ว่า king ในระบบ constitutional monarchy นั้นเป็น Tha king can do no wrong ที่ no wrong  เพราะกระทำใดใดไม่ได้ด้วยตัวเอง จึงต้องมีผู้รับสนองพระบรมราชโองการ เพื่อให้ผู้รับสนองฯ รับผิดชอบแทน ระบบของการรับสนองฯ นี้เองที่เป็นที่มาของ “การกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย” การแต่งตั้งนายกฯ การตรากฎหมาย และการกระทำของรัฐอีกหลายๆ อย่างก็ล้วนมีระบบนี้ แต่ต่างกันที่การพิพากษาคดีนั้นมีมากกว่าการตรากฎหมายมาก จึงไม่อาจที่จะลงพระปรมาภิไธย และมีผู้รับสนองฯ ได้ จึงเป็นเพียงการที่พิพากษาคดีภายใต้พระปรมาภิไธย เมื่อเป็นเช่นนี้ ก็เข้าใจได้ว่า “การกระทำภายใต้พระปรมาภิไธย” นั้นเป็นเพียงที่มาของอำนาจเท่านั้นครับ ไม่ใช่หลักที่ศาลจะนำมาพิจารณาคดี ศาลจะ neutral หรือไม่ จะยุติธรรมหรือไม่ครับ (ผมเข้าใจว่าคุณบุญชิตฯ เพียงต้องการยกตัวย่างให้เห็นภาพเท่านั้น แต่ขอสารภาพครับ ว่าแม้ว่าผมจะปฏิเสธเสมอว่าผมไม่ใช่นักกฎหมาย แต่ในฐานะที่เรียนทางด้านนี้มาโดยตรง ขอพูดด้วยความรู้สึกตัวเองว่า “ไม่ค่อยสบายใจนัก” เมื่อมีคนอ้างว่าการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย จะทำให้ศาลไม่เป็นกลาง เพราะผมเชื่อว่าเรื่องนี้นั้นมันหลุดไปจากเรื่องของระบบแล้ว แต่เป็นที่อัตตาของศาลแต่ละบุคคลไป ซึ่งก็ดูเป็นparadox ต่อตัวผมเองเช่นกัน ที่เชื่อเสมอว่าระบบที่ดีจะควบคุมคนได้) “...อย่าคิดว่า "อ้าว ถูกทำร้ายร่างกายเห็นๆ ศาลจะไม่ลงโทษให้ได้อย่างไร ?" ขอตอบว่า "ได้ครับ" ได้ตามหลักกฎหมายด้วย หลายท่านคงเคยทราบว่า การกระทำความผิดโดยบันดาลโทษะ สามารถลดโทษลงมากแค่ใดก็ได้ (ดู ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72) ซึ่งความผิดฐานทำร้ายร่างกาย โดยไม่สาหัสนี้ ถือว่าเป็นความผิดในกลุ่มที่โทษน้อย รับรองว่าไม่ถึงติดคุกแน่...” เห็นด้วยครับที่ความผิดฐานทำร้ายร่างกายนั้นโทษไม่ได้หนักอะไรเลย ทั้งทำร้ายร่างกายโดยไม่เป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (มาตรา 391) หรือทำร้ายร่างกายโดยเป็นเหตุให้เกิดอันตรายแก่กายหรือจิตใจ (มาตรา 295) นั้นโทษไม่ได้หนักหนาอะไรเลย และศาลก็อาจหาเหตุลดโทษได้ แต้จะอ้างเหตุบันดาลโทสะในการลดโทษไม่ได้แน่นอนครับ โดยมาตรา 72 วางหลักว่า “ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม จึงกระทำความผิดต่อผู้ข่มเหงในขณะนั้น...” การถูกข่มเหงโดยไม่เป็นธรรมนั้นต้องร้ายแรงถึงขนาดต่อการกระทำที่เกิดขึ้น และต้องเป็นถูกข่มเหงต่อตนเอง หรือต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเท่านั้น เช่น ภรรยา พ่อ แม่ ลูก เป็นต้น แต่การข่มเหงต่อสิ่งที่ตนเคารพไม่อาจอ้างเป็นเหตุบันดาลโทสะได้ครับ (โมโหคนบ้าทุบพระพรหม แล้วไปกระทืบคนบ้าตายนี่อ้างเหตุบันดาลโทสะไม่ได้นะครับ) “...วิธีคิดของเด็กกลุ่มนี้ ไม่แตกต่างจากวิธีคิด ของกลุ่มวัยรุ่นของกระทิงแดง หรือ นวพล เลย...” เหตุการณ์เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 2519 นั้นไม่ใช่อุบัติเหตุ และไม่ใช่เพียงแค่การปลุกปั่นเรื่องของสถาบันเท่านั้นครับในความเห็นของผม ซึ่งผมคิดว่าบทความที่อธิบายสิ่งที่จำเป็นต้องเกิดของเหตุการณ์ 6 ตุลาได้ดีที่สุดนั้น คือบทความของเบน แอนเดอร์สัน ที่ได้รับการแปลเป็นภาษาไทยแล้วที่ชื่อแปลว่า “บ้านเมืองของเราลงแดง” ที่สะท้อนถึงการประทุของอุดมการณ์ภายหลังจากเหตุการณ์ 14 ตุลา และนำพาไปสู่ความรู้สึกหวาดกลัวนักศึกษาของพวกelite และกระฎุมพีในเมือง และทำให้เกิดเหตุการณ์ 6 ตุลาขึ้นมา ซึ่งแม้ว่าจะไม่มีรูปถ่ายเมื่อวันที่ 5 ตุลาคมสุดท้ายฝ่ายขวาก็หาเหตุในการสลายการชุมนุมได้อยู่ดี (เช่นเดียวกับการเข้าสลายการชุมนุมในครั้งก่อนหน้านั้น และการเผาหอประชุมใหญ่ธรรมศาสตร์เมื่อตอนปี 18 นอกจากนี้ ยังมีการยืนยันจากตัวของ พล.ร.อ. สงัด ชลออยู่ หัวหน้าคณะรัฐประหารเมื่อวันที่ 6 ตุลา เองว่าได้มีการเตรียมการกันล่วงหน้านานแล้ว ดู สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ใน ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง) แต่ก็ยอมรับ และเห็นด้วยครับว่าเหตุปลุกปั่นที่ทรงพลังที่สุดใน 6 ตุลาคือเรื่อง “คอมมิวนิสต์ทำลาย ชาติ ศาสนา พระมหาก...” ส่วนเรื่องกระทิงแทง และนวพล กลุ่ม “นวพล” นั้น ชื่อบ่งบอกถึงอุดมการณ์กลุ่มยิ่งครับ และคนกลุ่มนี้ไม่ใช่นักเรียน หรือนักศึกษาเลย แต่กลับเป้นกลุ่มคนที่ถูกเรียกว่า “ปัญญาชน” และคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้บุกเข้ามาในธรรมศาสตร์ในวันที่ 6 ตุลา แต่กลับเป็นผู้บงการ สั่งการ อยู่ภายนอกธรรมศาสตร์เสียมากกว่า (อาจมีก็เพียงบางคนที่เข้ามาในธรรมศาสตร์) กลุ่มนวพล ที่มีชื่อเสียงอยู่ในปัจจุบันนั้นก็มี อาทิเช่น สมัคร สุนทรเวช, ดุสิต ศิริวรรณ, ธานินทร์ กรัยวิเชียร, ทมยันตี, จำลอง ศรีเมือง, กิติวุฒโฑ เป็นต้น ซึ่งผมไม่คิดว่าคนพวกนี้จะเป็นเด็กที่ถูกใครปลุกปั่นไปได้ง่ายๆ เมื่อบางคนเป็นถึงอาจารย์ และทุกคนเป็นที่นับหน้าถือตา (แม้จนถึงปัจจุบัน) กลุ่ม “กระทิงแดง” กลุ่มกระทิงแดง ยอมรับครับว่ามีที่มาจากนักเรียนอาชีวะ ซึ่งเมื่อตอนช่วง 14 ตุลานั้นยังทำหน้าที่เป็นการ์ดให้กับนักศึกษาอยู่เลย แต่เหตุผลที่กลุ่มนี้แปรไปอยู่กับฝ่ายขวานั้น ผมคิดว่ามันมีอะไรซับซ้อนมากกว่าการที่ถูกปลุกปั่นเรื่องสถาบันครับ เพราะสังเกตได้ว่ากลุ่มนี้มุ่งจะหาเรื่องกับนักศึกษาอยู่แล้วทุกการชุมนุม ซึ่งผมคิดว่าต้องย้อนกลับมาดูความสัมพันธ์ของการเกิดกลุ่มกระทิงแดง และผู้ก่อตั้งกลุ่มกระทิงแดง พล.อ.(ผมไม่แน่ใจยศ) สุดสาย เทพหัสดินทร์ ณ อยุธยา เจ้าของฉายา “เจ้าพ่อกระทิงแดง”  ครับว่า สุดสายนั้น ได้ deal อะไรกับกลุ่มกระทิงแดงกลุ่มนี้บ้าง (รวมถึงการใช้งานกลุ่มกระทิงแดงนี้โดยสุดสายเองด้วย) ปล. สิ่งที่โต้แย้งนั้นอาจไม่ใช่ agrument สำคัญในความเห็นของคุณ บุญชิตฯ แต่ผมคิดว่ามันมีส่วนสำคัญ (อยู่บ้าง) ในเชิงข้อมูลและตัวอย่างครับ ปล. 2 ถ้าต่อไปจะขออนุญาตเรียกคุณบุญชิตฯ ว่าพี่บุญชิตฯ จะได้หรือไม่ครับ? (เพราะคิดว่าอายุมากกว่าผมแน่ๆ) แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 19:22:29 จากคุณ : ฉันรู้ว่า... (ฉันไม่รู้อะไรเลย) - [ 2 ต.ค. 50 18:52:59 ]

ความคิดเห็นที่ 108 หากท่านไม่สามารถเป็นนายกได้ ท่านจงอย่าวิจารณ์นายก หากท่านไม่สามารถเป็นผู้นำได้ ท่านจงอย่าวิจารณ์.... นี่ผมหลงมาอยู่ก่อน 2475 หรือนี่ จากคุณ : - (อัศวินม้าเขียว) - [ 2 ต.ค. 50 19:15:59 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ตอบแล้วหาย ฮือๆๆๆๆ อุตส่าห์ทำสถิติ ไม่เคยถูกลบความเห็น (ทั้งแมนนวล และออโต้) ได้ตั้งนาน มันมีคำต้องห้ามเพิ่มมาหรือไงนี่ เอาเป็นว่า เรื่องนวพล ยอมรับว่าพิมพ์เพลินไป เพราะกล่าวถึงกระทิงแดงทีไร ก็ต้องมีเอ็มร้อย เอ้ย นวพลเสมอ จนลืมวิเคราะห์ไปว่าบางกรณีไม่เกี่ยว เรื่องศาล ผมไม่ได้มองเรื่องหลักกฎหมาย (ซึงผมเห็นด้วย และเห็นตรงกับคุณ) แต่ผมมองเรื่องเชิง จิตวิทยาที่มาจากการปลูกฝังของศาลมากกว่า ที่จะทำให้ศาลตัดสินไปแบบที่ผมพยากรณ์ไว้ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เขียนไว้แค่ว่า "ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ..." ส่วนเรื่องว่า หลักการว่าต้องเป็นการกระทำข่มเหงต่อตนเอง (อันนี้ชัดเจนตามกฎหมาย) หรือผู้ที่มีส่วนได้เสีย นั้น เป็นหลักการที่ศาล "วาง" จากแนวคำพิพากษา ดังนั้นจะเป็นไปได้ไหม ที่ศาลจะ "วาง" ลงไปถึง การข่มเหง เพราะแสดงอาการไม่เคารพ หรือเหยียดหยาม สิ่งอันจำเลยและปวงชนชาวไทย เคารพสักการะ ถือว่าเป็นการข่มเหงทางจิตใจร้ายแรง โดยไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ ? (คุ้นๆ ว่าเคยผ่านตา ฎีกา ด่าพ่อ หรือด่าแม่ ทำให้บันดาลโทสะได้นะ) คุณลองเทียบกับการตีความในคดี "เพลงอะไรวะ" ดูนะครับ นั่นก็ขยายความ จนจำหลักไม่ได้เหมือนกัน ผมว่าเป็นไปได้ แต่อันนี้ก็แล้วแต่มุมมองนะ เพราะอย่างที่บอก ว่าผม "พยากรณ์" จากแนวโน้มของคำพิพากษา และจากการศึกษาธรรมชาติของแนวคิดแบบผู้พิพากษา ส่วนจะเรียกผมว่าพี่ก็ได้ครับ ตามสบาย แต่ไม่เห็นต้องเรียกเลย ปล. ผมเชื่อว่าการโจมตีเวบฟ้าเดียวกัน มาจากเด็กๆ ก็จริง แต่มันมีเบื้องหลังให้ไปปลุกปั่น ... ผมถึงกลัวเหตุการณ์แบบ 6 ตุลา ไงครับ แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 19:51:09 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 2 ต.ค. 50 19:45:20 ]

ความคิดเห็นที่ 111 เขียน ๆ ลบ ๆ ค่ะ เลยไม่ได้ส่งข้อความสักที เลยตามอ่านคนที่เีขียนได้สละสลวยได้ใจความกว่าตัวเอง (รอจนมีคนคิดคล้ายกัน แล้วก็มีแน่นอน) ดังนั้น จึงได้แต่คล้ายว่าฝากคุณบุญชิตหรือคนอื่นเขียนแทนตน จากคุณ : suky - [ 2 ต.ค. 50 20:03:22 ]

ความคิดเห็นที่ 112 หมดไอเดีย 1 วันครับ ..... ป.ล. ความจริงอยากจะรู้เรื่อง legitimacy แต่ไม่รู้จะเปิดประเด็น และหาคำอธิบายชุดไหนดี แก้ไขเมื่อ 02 ต.ค. 50 20:59:52 จากคุณ : นายปลาตีน - [ 2 ต.ค. 50 20:47:02 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ความเห็นที่ 397 “ท้ายที่สุด  มีใครตอบคำถามได้หรือยังว่า สนง.ทรัพย์สิน ที่บริหารทรัพย์สินได้กำไร  ผลกำไรนั้น เอาไปทำอะไร เพื่ออะไร แล้วใครเป็นคนเบิกจ่าย  กำไรต้องเสียภาษีหรือไม่  ถ้าไม่เสีย  ทำไมไม่ต้องเสีย...” อ่านดูละกันครับ “มาตรา 6  รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหาก...ที่กล่าวในมาตรา 5 วรรคสองนั้น จะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศล เหล่านี้เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วเท่านั้น (วรรคสอง)  รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่ายใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษ...ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หรือโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการพระราชกุศลอันเป็นการสาธารณะหรือในทางศาสนาหรือราชประเพณีบรรดาที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหาก...เท่านั้น” “มาตรา ๘  ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากร (วรรคสอง)  ทรัพย์สินส่วนพระมหาก...ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน (วรรคสาม)  ทรัพย์สินส่วนพระองค์ย่อมไม่อยู่ในข่ายแห่งความยกเว้น ดังกล่าวแล้ว” ------------------------------ เอามาลงอีกที ของความเห็นข้างบน ว่าเงินเอาไปใช้อะไรบ้าง ไม่ได้บอกตรงไหนเลยว่า เงินของ สำนักงานทรัพย์สินถูกนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เงินก็เอาไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์สาธารณะ บำรุงวัด บำรุงโรงพยาบาล การศึกษา หรือเพื่อพระราชประเพณี ไม่ต้องแบบมือขอจากรัฐบาลให้ตกเป็นขี้ปากพวกเสียภาษีว่าเอาเงินไปใช้ไร้สาระ แต่เงินส่วนตัว หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ จะเอาไปใช้อะไรก็ได้ ทุกคนที่มีเงินส่วนตัวก็ทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ หรือคนระดับท่านจะมีเงินส่วนตัวไว้ใช้จ่ายไม่ได้ ต้องแบมือขอจากรัฐบาลอย่างเดียว  เงินส่วนตัวก็เสียภาษีเหมือนทุกคน จะเอาอะไรกันอีก ไม่ใช่พวกโปรเจ้า แต่เบื่อพวกที่อ่านหนังสือไม่แตก ------------------------------------------------------------ พูดอย่างงี้อีกไม่นานก็ต้องมีกระทู้ถามเรื่องเงินของสำนักงานทรัพย์สิน กับเงินส่วนพระองค์อีก จากคุณ : Kimpu - [ 2 ต.ค. 50 23:21:58 ]

ความคิดเห็นที่ 114 ... ตอนนี้, ขอแค่เข้ามาอ่านก่อนนะครับ--- จากคุณ : sidd - [ 2 ต.ค. 50 23:24:45 ]

ความคิดเห็นที่ 115 คงเพราะ คน เริ่ม ตื่นรู้กันมากขึ้น มั้งครับ .... ... .. . ผมว่าอีกไม่นานหรอก ประเทศนี้จะ มีการ เปลี่ยนแปลง อาจจะไม่เกิน 10-20 ปีนี้ แหละ จับตาดูกันต่อไป จากคุณ : B_SaBoOo - [ 3 ต.ค. 50 00:49:53 ]

ความคิดเห็นที่ 116 Quote 113: ไม่ได้บอกตรงไหนเลยว่า เงินของ สำนักงานทรัพย์สินถูกนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว.. (วรรคสอง) รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่ายใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษ...ตามพระราชอัธยาศัย !! จากคุณ : q - [ 3 ต.ค. 50 00:53:54 A:68.226.75.242 X: TicketID:095509 ]

ความคิดเห็นที่ 117 พ.ร.บ. การกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์  ก็มีคนโดนไปแล้ว (อาจจะโดนพ่วง ม.112) เดี๋ยวถ้า พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงฯ (ของใคร???) ออกมาอีก ใครจะโดนเป็นคนแรก ใครต้องการส่งเสริมประชาธิปไตยแบบไืทยๆ สามารถอ่านรายละเอียดได้ที่ http://www.democracythailand.com/ อาสาสมัครพัฒนาประชาธิปไตย http://www.democracythailand.com/index.php?m=result-list3 กทม. ยังได้เพียงแค่ 2% เอง ------------------------------- คุณ นายปลาตีน "ผมกลับคิดว่า ประเทศนี้มีคนยอมฟังคำวิจารณ์และพิจารณาคำวิจารณ์แล้วลงมือทำน้อยไป นะ" คุณหมายรวมถึง สถาบันด้วยหรือป่าว ------------------------------- แก้ไขเมื่อ 03 ต.ค. 50 02:23:54 จากคุณ : UnlimitedDreams - [ 3 ต.ค. 50 01:58:09 ]

ความคิดเห็นที่ 118 ติดตามอ่านมาตั้งแต่กระทู้ก่อน มีทั้งเห็นด้วยไม่เห็นด้วย แต่ไม่ขอวิจารณ์ขออ่านต่อ แต่สงสัยว่า ถ้าเกิดไม่มี ม.112(กฎหมายหมิ่นฯ) แล้วคนที่ต่อต้านระบบหรือใครก็ตามไม่วิจารณ์กันเลอะหรือ ทั้งเรื่องจริงเรื่องไม่จริง(ขนาดมียังมีคนกล้าวิจารณ์แรงๆ) แล้วเมื่อถึงตอนนั้น... จะเป็นยังไง จากคุณ : แหม่ม (DesperateMommy) - [ 3 ต.ค. 50 02:56:06 ]

ความคิดเห็นที่ 119 ไม่มี ม.112 ก็ยังมีกฏหมายหมิ่นประมาทไม่ใช่หรือคะ? ถ้าจะอนุญาตให้วิจารณ์ได้ยังไง ก็ควรจะมีขอบเขต กรอบของกฎหมายหมิ่นประมาทก็น่าจะเป็นกรอบที่เหมาะสมดีแล้วนะคะ จากคุณ : dittaya - [ 3 ต.ค. 50 09:13:36 ]

ความคิดเห็นที่ 120 เฮ้อ อ่านแล้วอนาจใจ จากคุณ : foxaon1 - [ 3 ต.ค. 50 10:03:23 ]

ความคิดเห็นที่ 121 คห 113 ครับ   กรุณาอ่านหนังสือให้แตกนะครับ วรรคสอง มีสองข้อความ และใช้คำเชื่อมว่า " หรือ  "  อยู่ด้วย กรณีที่ 1  รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่ายใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษ...ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หรือ กรณีที่ 2 โดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการพระราชกุศลอันเป็นการสาธารณะหรือในทางศาสนาหรือราชประเพณีบรรดาที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหาก...เท่านั้น แยกให้ออกนะครับ ว่า มี 2 กรณี และที่สำคัญ  กลับไปอ่านให้แตกว่า คห ที่ 397 ของกระทู้ก่อนนั้น ผมถามกี่คำถาม และเป็นเรื่องอะไร  มันเกี่ยวอะไรกับรายจ่ายส่วนตัวหรือไม่   อายเค้านะครับ จากคุณ : ลูกแม่โดม - [ 3 ต.ค. 50 10:07:27 ]

ความคิดเห็นที่ 122 แนะนำบทความครับ... " ความรักของนักเขียน บทเรียนของนักคิด " ในมติชนวันที่ 2 และโอเพ่นออนไลน์... จากคุณ : กัมปูชเจีย - [ 3 ต.ค. 50 11:05:22 A:124.121.10.194 X: ]

ความคิดเห็นที่ 123 ขอชะแว้บเข้ามาแนะนำ Link ครับ อ.ปิยบุตร เขียนเรื่อง Ultra-Royalist http://www.onopen.com/2006/editor-spaces/1169 จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 3 ต.ค. 50 15:59:52 ]

ความคิดเห็นที่ 124 ขอบคุณคุณฮกหลงฯ ค่ะ บทความน่าสนใจมาก เริ่มเข้าใจว่า ทำไมเราถึงควรเรียนประวัติศาสตร์ เพื่อพยายามไม่ให้มันซ้ำรอยในทางที่แย่ๆนี่เอง ทำลิงค์ให้คคห 122 ค่ะ http://www.onopen.com/2007/01/2224 จากคุณ : dittaya - [ 3 ต.ค. 50 17:05:35 ]

ความคิดเห็นที่ 125 the cleaned history จากคุณ : horseshoes - [ 3 ต.ค. 50 18:41:13 ]

ความคิดเห็นที่ 126 ตามเข้ามาอ่านค่ะ มีเพื่อนคนนึงแนะนำให้เข้ามาอ่านกระทู้นี้ จากคุณ : เวสาตรี - [ 3 ต.ค. 50 19:06:23 ]

ความคิดเห็นที่ 127 คุณ นายปลาตีน "ผมกลับคิดว่า ประเทศนี้มีคนยอมฟังคำวิจารณ์และพิจารณาคำวิจารณ์แล้วลงมือทำน้อยไป นะ" คุณหมายรวมถึง สถาบันด้วยหรือป่าว ***************** ตามคำพูดของผม ก็แล้วแต่ใครจะตีความครับเรื่องการรับฟังคำวิจารณ์ แต่ที่ๆ ท่านเป็นคนที่วิจารณ์แล้วมีคนเอาคำวิจารณ์ไปเทินไว้บนหัวมากที่สุด ส่วนคนอื่นๆ จะโดนประเภท "ถ้าคิดว่าง่ายก็ทำเองเถิด อ้ายทิด" (พอดี ที่ท้าๆ กันอยู่ ผมก็อยากลองเป็นนะ) ปัญหาของประเด็นนี้ ผมก็ยังหาทางออกให้ไม่ได้อยู่ดี ป.ล. "ประชาธิปไตยแบบไทย" เป็นอะไรที่ผมไม่ค่อยจะต้องการสนับสนุนครับ ผมต้องการประชาธิปไตยแบบฝรั่ง ที่มีการตรวจสอบและคานอำนาจ เพื่อให้ผู้บริหารบ้านเมืองต้องระวังตัวแจจนไม่กล้าทำผิด ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทนยที่มัวแต่ร่ำร้องขอนกกระสามาปกครองอยู่อย่างทุกวันนี้ ที่ทุกคนจะได้ไม่กล้าทำผิด เพราะกลัวบารมีคนอื่น หรือเพราะทำบุญให้ใคร แล้วได้แต่เรียกร้องว่า "ท่านนกกระสากรุณามีคุณธรรมด้วยเถิดค่า" โรงเรียนแถวนี้เขาสอนผมมาให้เชื่อในความเลวของมนุษย์ ที่จะนำไปสู่การจัดการและควบคุมกันเองครับ จากคุณ : นายปลาตีน - [ 3 ต.ค. 50 22:44:39 ]

ความคิดเห็นที่ 128 ตอบความเห็น 113 ครับ เรื่องสำนักทรัพย์สินฯ ผมคิดว่าผมพูดไปหมดแล้ว (เท่าที่พูดได้โดยปลอดภัยตามอัตภาพ และสถานที่) ที่ qoute ความเห็นผมมา จะดีกว่านี้นะครับถ้าหากว่าอ่านความเห็นทั้งหมดที่ผมตอบ รวมทั้งความเห็นที่ 349 ที่ผมนำ พ.ร.บ. นี้มาเปรียบเทียบให้ดูด้วย ว่าในฉบับ 2479 เขียนว่าอย่างไร ฉบับ 2491 แก้ไขเป็นอย่างไร และจะดีมากครับถ้าหากว่าอ่านหนังสือ และบทความที่ผมแนะนำประกอบด้วยในความเห็นที่ 364 ด้วย ผมคิดว่าผมคงไม่ใช่พวกอ่านหนังสือไม่แตก... แต่กฎหมายไม่ใช่คำอธิบายกฎหมายครับ เขาไม่เขียนทั้งหมดหรอก แต่ให้ตีความต่อเอาเองจากสิ่งที่ไม่เขียนด้วย ถ้ามีอะไรสงสัยและถาม ส่วนไหนตอบได้ (โดยคิดว่าสะดวก และปลอดภัย) ก็จะตอบครับ ตอบความเห็น 118 "...สงสัยว่า ถ้าเกิดไม่มี ม.112(กฎหมายหมิ่นฯ) แล้วคนที่ต่อต้านระบบหรือใครก็ตามไม่วิจารณ์กันเลอะหรือ ทั้งเรื่องจริงเรื่องไม่จริง(ขนาดมียังมีคนกล้าวิจารณ์แรงๆ)..." ยังมีหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 อยู่ครับ ซึ่งจริงๆ แล้ว หลักการตีความของมาตรา 112 ก็ต้องใช้หลักเดียวกันกับการตีความหมิ่นประมาทตามมาตรา 326 เช่นกัน เพียงแต่คุณธรรมทางกฎหมาย (สิ่งที่กฎหมายมุ่งจะคุ้มครอง) เป็นคนละสิ่งกันคือ มาตรา 326 คุณธรรมทางกฎหมายคือ คุ้มครองตัวบุคคล แต่มาตรา 112 คุณธรรมทางกฎหมายคือ คุ้มครองความมั่นคงของรัฐในฐานะที่กษ...เป็นสัญลักษณ์แห่งรัฐ ครับ (แต่ศาลประเทศนี้คงสอบตกกฎหมายอาญาเลยตีความมั่วไปหมด) ซึ่งมาตรา 112 ผมเคยแสดงความเห็นไปแล้วในความเห็นที่ 82 ครับ ตอบความเห็น 110 "...แต่ผมมองเรื่องเชิง จิตวิทยาที่มาจากการปลูกฝังของศาลมากกว่า ที่จะทำให้ศาลตัดสินไปแบบที่ผมพยากรณ์ไว้..." ผมก็มีความเห็นด้วยกับประเด็นนี้ครับ เพราะศาลประเทศนี้ต้องยอมรับว่าค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยมในแนวทางของการยึดแนวคิดแบบอาวุโส (จริงๆ ใช้คำนี้ก็ไม่เหมาะนัก แต่นึกไม่ออกว่าจะใช้คำอะไรดี) มากกว่าหลักในทางวิชาการ (ขนาดเคยตีความว่าไฟฟ้าเป็นทรัพย์มาแล้ว ไม่รู้คิดได้ไง?) แต่อย่างที่ตอบไปแล้วว่า "...ขอพูดด้วยความรู้สึกตัวเองว่า 'ไม่ค่อยสบายใจนัก' เมื่อมีคนอ้างว่าการตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย จะทำให้ศาลไม่เป็นกลาง เพราะผมเชื่อว่าเรื่องนี้นั้นมันหลุดไปจากเรื่องของระบบแล้ว แต่เป็นที่อัตตาของศาลแต่ละบุคคลไป..." (ความเห็นที่ 107) ผมจึงตอบด้วยความรู้สึกตัวเองครับว่า ไม่ชอบการอ้างเรื่องความไม่ยุติธรรมของศาลเพราะตัดสินภายใต้พระปรมาภิไธย แค่นี้จริงๆ ว่าให้ง่ายเข้าคือ ผมไม่ค่อยชอบนิทานเรื่องหมาป่ากับลูกแกะ และความเชื่อเรื่องของ origin sin นัก เลยไม่อยากให้ไปผูกโยงกับใคร (แม้ว่าไม่ได้เป้นการผูกโยงกัน แต่พอกล่าวพาดพิงไปแล้วมันทำให้ผมรู้สึกอย่างนั้นไปทุกที) "...ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 72 เขียนไว้แค่ว่า "ผู้ใดบันดาลโทสะโดยถูกข่มเหงอย่างร้ายแรง ด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรม ..." ส่วนเรื่องว่า หลักการว่าต้องเป็นการกระทำข่มเหงต่อตนเอง (อันนี้ชัดเจนตามกฎหมาย) หรือผู้ที่มีส่วนได้เสีย นั้น เป็นหลักการที่ศาล "วาง" จากแนวคำพิพากษา ดังนั้นจะเป็นไปได้ไหม ที่ศาลจะ "วาง" ลงไปถึง การข่มเหง เพราะแสดงอาการไม่เคารพ หรือเหยียดหยาม สิ่งอันจำเลยและปวงชนชาวไทย เคารพสักการะ ถือว่าเป็นการข่มเหงทางจิตใจร้ายแรง โดยไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ ? (คุ้นๆ ว่าเคยผ่านตา ฎีกา ด่าพ่อ หรือด่าแม่ ทำให้บันดาลโทสะได้นะ)" ใช่ครับ เรื่องการที่จะอ้างบันดาลโทสะนั้นต้องเป็นการกระทำต่อตนเองเป็นการวางหลักโดยคำพิพากษา ซึ่งรวมทั้ง"...หรือต่อบุคคลที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดเท่านั้น เช่น ภรรยา พ่อ แม่ ลูก เป็นต้น..." (ความเห็นที่ 107) ด้วย แต่อย่างไรก็ตามถ้าดูองค์ประกอบที่จะพิจารณาต่อไปว่าถึงขนาดหรือเปล่า? "...ต้องเป็นเรื่องที่ผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมและเหตุอันไม่เป็นธรรมนั้นต้องเป็นเรื่องร้ายแรง โดยต้องพิจารณาเปรียบเทียบกับความรู้สึกของคนธรรมดาหรือวิญญูชนทั่วไปที่อยู่ในภาวะวิสัยและพฤติการณ์อย่างเดียวกับผู้กระทำความผิด จะถือเอาความรู้สึกนึกคิดของตัวผู้กระทำความผิดเป็นเกณฑ์ในการพิจารณาว่าผู้กระทำความผิดถูกข่มเหงอย่างร้ายแรงด้วยเหตุอันไม่เป็นธรรมหรือไม่ไม่ได้..." (ฎีกาที่ 10/2549) หมายความว่า โดยปรกติไม่ยืนในโรงหนังก็ไม่มีใครมาทำร้ายร่างกาย ก็แสดงว่าโดยปรกติวิญญูชนย่อมทนได้ การที่เข้ามาทำร้ายร่างกายด้วยเหตุดังกล่าวจึงอ้างเหตุบันดาลโทสะไม่ได้ครับ ส่วนเรื่อง "...ดังนั้นจะเป็นไปได้ไหม ที่ศาลจะ "วาง" ลงไปถึง การข่มเหง เพราะแสดงอาการไม่เคารพ หรือเหยียดหยาม สิ่งอันจำเลยและปวงชนชาวไทย เคารพสักการะ ถือว่าเป็นการข่มเหงทางจิตใจร้ายแรง โดยไม่เป็นธรรมได้หรือไม่ ?..." ผมยังหาฎีกาที่มียืนยันหลักการที่ผมตอบว่า "...การข่มเหงต่อสิ่งที่ตนเคารพไม่อาจอ้างเป็นเหตุบันดาลโทสะได้ครับ..." (ความเห็นที่ 107) ไม่ได้ แต่โดยหลักการแล้วถ้าตีความขยายถึงขนาดนั้นมันไม่ได้มีปัญหาแค่ระบบกฎหมายในความผิดต่อพระมหากษ... แต่มันจะกระทบต่อกฎหมายโดยรวมด้วย เช่น อาจมีผู้อ้างเหตุบันดาลโทสะกระทืบคนจากการไม่เคารพสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่คนนั้นนับถือได้ เช่น พระพรหม หรือจตุคามฯ (แค่คิดก็หนาวแล้วครับ) ปล. วันนี้ตอบโดยอิงความเห็นเก่าอย่างเดียว ไม่ได้แสดงความเห็นใหม่เลย เห่อๆ ปล.2 ปรกติผมไม่ค่อยชอบอ้างฎีกา เพราะผมเชื่อว่าระบบ civil law ฎีกาไม่ใช่บ่อเกิดของกฎหมาย แต่ประเทศนี้ก็ใช้มั่วๆ ยังไงพิกล จากคุณ : ฉันรู้ว่า... (ฉันไม่รู้อะไรเลย) - [ 3 ต.ค. 50 22:47:56 ]

ความคิดเห็นที่ 129 วันนี้ง่วง+เหนื่อย+การบ้านและรายงานเยอะแยะไปหมด จึงขอเข้ามาแปะ Link แจ้งข่าวกรณี ส. ศิวลักษณ์ครับ http://www.prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9779&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai comment สั้น ๆ ว่า ส. ศิวลักษณ์เนี่ย บางคนมองว่าแกเป็นพวก royalist ตัวจริง (ซึ่งแกก็คงเป็น) ส่วนอีกหลาย ๆ คนมองว่า แกเป็นพวกไม่จงรักภักดีอย่างแท้จริง เพราะแกสนับสนุนการวิพากษ์วิจารณ์สถาบันและบุคคลมาเป็นเวลานาน โดยเฉพาะแกวิพากษ์โครงการหลวงต่าง ๆ ตลอดเวลา ผมมองว่า แกเป็นเพียง royalist แบบ progressive เท่านั้นเอง นี่ขนาดเป็น royalist ยังโดนความคับแคบและกฎหมายเข้าเล่นงานได้เลยนะเนี่ย... จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 3 ต.ค. 50 23:46:03 ]

ความคิดเห็นที่ 130 อ่านๆ มาตั้งแต่กระทู้โน้นจนย้ายมากระทู้นี้ ชอบคุณฉันรู้ว่า... (ฉันไม่รู้อะไรเลย) จังเลย ชื่นชม มั่กๆๆ ปล. ๑. ต่อไปคงมีประชาธิปไตยแบบสมบูรณ์แบบ รูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่ประชาธิปไตยแบบไทยๆๆ สงสัย คนในกระทู้นี้ต้องไปเสนอรัฐบาลชุดใหม่ที่จะเลือกตั้งเรวๆๆๆ นี้ซะแล้วมั้ง กระทู้นี้อ่านเพลิน ตาลายดี จากคุณ : ป.ปลา - [ 4 ต.ค. 50 00:38:54 A:202.14.117.33 X: ]

ความคิดเห็นที่ 131 เข้ามาตามอ่านอยู่เรื่อยๆ เห็นด้วยในหลายๆ ประเด็นครับ จากคุณ : seabreeze_psu - [ 4 ต.ค. 50 08:01:23 ]

ความคิดเห็นที่ 132 เคยแต่อ่านกระทู้นี้ เงียบๆ วันนี้ก็มีเรื่องทำให้ต้องมาโพสจนได้   คุณว่า "พิษร้าย" ของการโฆษณาชวนเชื่อมากเกินไป จนคนศรัทธามากกว่าใช้เหตุผล  เชื่อโดยไม่คิด  มันอันตรายไหม ทั้งๆที่ประเทศไทยไม่ได้มีทรัพยากร มากพอที่จะโดดเดี่ยวตัวเองเลย แต่ในที่สุด การโฆษณาชวนเชื่อ แนวคิด .....  เพื่อการอยู่อย่างสงบพอเพียง ก็กลับกลายทำให้คนเชื่อว่า การทำงานในเมือง เป็นเรื่องฟุ่มเฟือย ทั้งๆที่คนทำงานในเมือง ไม่ได้ทำงานสบายทุกคน การโฆษณาชวนเชื่อทำให้ถึงกับเชื่อว่า การใช้ทรัพยากรต่างๆของคนเรา เป็นเพราะเราโลภไปเอง ไม่พอเพียงไปเอง เราไม่ใช่ไฟฟ้าก็ได้นะ เราไม่ใช้น้ำมันก็ได้นะ  มันเกินไปแล้ว นี่แหล่ะ พิษร้าย ของโฆษณาชวนเชื่อ นี่คือ ตัวอย่าง http://www.pantip.com/cafe/wahkor/topic/X5881675/X5881675.html สังเกต คคหที่ ตอบแบบเชื่อมั่นว่าประเทศอยู่ได้โดยปิดประเทศ ยึดถือแนวคิดเกษตรกรรม ย้อนยุค แบบในอดีต เห็นชัดๆว่าได้รับอิทธิพลจากโฆษณาชวนเชื่อ มากกว่าใช้หลักเหตุผลใดๆ มาอธิบาย จากคุณ : ซามาร่า-ไม่เคยหลับ - [ 4 ต.ค. 50 11:24:51 ]

ความคิดเห็นที่ 133 #128 ถ้าเช่นนั้น อาจจะต้องรอบบรรทัดฐานในคดีคุณที่ไม่ยืนในโรงหนังน่ะครับ ว่าจะสู้กันจริงแค่ไหน เพียงไร (ผมไม่ได้ตามข่าวเลย) เพราะเชื่อว่า ถ้ามีการฟ้องร้อง จากผู้เสียหายจริงๆแล้ว ประเด็นข้อต่อสู้เรื่องเหตุบรรเทาโทษคือ "บันดาลโทสะ" นี้น่าจะถูกยกขึ้นมาใช้ หลักกฎหมายผมเห็นด้วยหมดทุกอย่างจริงๆครับ แต่ถ้าดูจากฎีกา "เพลงอะไรวะฯ" กับฎีกาคดีคุณวีระแล้ว คดี "หมิ่น" ที่จริงๆควรมีพื้นฐานของหลักกฎหมายอาญา อยู่บนฐานเดียวกับ ความผิดฐานหมิ่นประมาท หรือดูหมิ่นเจ้าพนักงาน ก็ถูกตีความเลยไปได้ไกลมากๆ ขนาดนั้น ผมก็เลยคิดว่า เรื่องนี้เราพยากรณ์ยากเหลือเกิน ว่าศาลจะพิจารณาตาม "หลักที่ควรจะเป็น" หรือ "หลักที่น่าจะเป็น" มากกว่ากัน ส่วนเรื่องผลกระทบกับบรรทัดฐานกฎหมายอื่นๆ ผมคิดว่าไม่มีผล เหมือนที่การตัดสินแบบสองคดีนั้น ก็ไม่ปรากฎการใช้วิธีตีความแบบนั้น ในคดีหมิ่นประมาทอื่นๆ (ที่ควรจะใช้หลักเดียวกัน) หรือคดีดูหมิ่นเจ้าพนักงานเลย (ยังคงถือหลักว่า หมิ่นต้องหมิ่นที่ตัวผู้ถูกหมิ่น ไม่เกี่ยวกับการ "สิ่งอ้างถึง" หรือ "สมติถึง") ส่วนกรณีของการอ้างเรื่องผู้พิพากษาพิพากษาภายใต้พระปรมาภิไธยนั้น ผมไม่ได้จะให้หมายถึงว่าศาลขาดความเป็นกลางไปเสียหมดเพราะรูปแบบพิธี [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แต่สำหรับรูปลักษณ์ที่แสดงแบบพิธีที่เห็นได้ภายนอก ก็ยังเป็นเรื่องที่ควรระวังไว้ก่อนอยู่ดี เพราะมันยากที่เราจะรู้สิ่งที่อยู่ข้างใน แต่เมื่อส่วนใหญ่เป็นเช่นนั้น จึงควรระวังไว้ เพราะอย่างน้อย เขาก็ใส่เสื้อ "นั้น" อยู่ โอกาสที่จะใส่เพราะรักทีมนั้นมากๆ จึงมีอยู่มาก และไม่จำเป็นที่เราต้องเอาตัวเราเข้าไปเสี่ยง ท่ามกลางคนส่วนมาก ที่ใส่เสื้อ "ตามแบบพิธี" ที่เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เชียร์ทีมเดียวกับเรา มิใช่หรือ ? ดังนี้แหละครับ นอกเรื่อง - ถ้าคนรู้จักผม จะเห็นว่าผมชอบใส่เสื้อทีมรักบี้ all-black ตัวหนึ่งไปไหนมาไหนเสมอ ซึ่งอาจจะนึกว่าผมเชียร์ออลแบลก แต่ขอโทษที ที่ใส่เพราะพ่อให้มา และมันอุ่นดี ประกอบกับผมมีเสื้อผ้าที่ใส่ในชีวิตประจำวันประมาณ 10 ตัว และเป็นเสื้อยืดแขนสั้น เพียง 5 ตัว ดังนั้นไม่วันใดวันหนึ่งในสัปดาห์ ผมคงจะต้องใส่เสื้อออลแบลกให้คุณได้เห็น แต่ผมไม่ได้สนใจดูรักบี้อะไรขนาดนั้น ... สุดท้ายนี้จึงขอหวังว่า ผู้พิพากษาในคดี "ไม่ยืนในโรงหนัง" คงจะคิดว่าสิ่งที่สวมไว้ เป็นเหมือนเสื้อประจำตำแน่งนะครับ... สุดท้ายของสุดท้าย จริงๆการศึกษากฎหมายทุกระบบ คำพิพากษา เป็นสิ่งสำคัญนะครับ อย่าไปนึกรังเกียจ เพราะคำพิพากษา คือการแปลความกฎหมายลายลักษณ์อักษร เป็นแนวทางปฏิบัติ ในทุกระบบกฎหมาย คำพิพากษาคือสิ่งที่ต้องศึกษามากๆ [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:22:34 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 4 ต.ค. 50 13:03:35 ]

ความคิดเห็นที่ 134 ขอลง Bookmark ไว้ตรงนี้ครับ ยังไม่ได้อ่านกระทู้แรกเลย คงต้องกลับไปศึกษาก่อนครับ แต่ก่อนไปผมยังยืนยันคำเดิมที่ผมพูดไว้ที่ ราชดำเนินเมื่อต้นปี 48 สมัยที่ข่าวเรื่อง ม.7 กำลังฮิต "คนไทยต้องรู้จักโตเสียที" แถมท้ายด้วยกระทู้จากห้องศาสนา http://www.pantip.com/cafe/religious/topic/Y5882746/Y5882746.html ถ้าทำโพลเกี่ยวกับเรื่องนี้คงพอจะรู้ได้ว่าสังคมไทยในอนาคตจะเป็นอย่างไร จากคุณ : Nexus - [ 4 ต.ค. 50 14:04:33 ]

ความคิดเห็นที่ 135 มีแต่คำเสียดสี หักล้างกัน แม้ไม่ได้ว่ากันโดยตรงก็รู้สึกได้ เท่าที่อ่านมาก็สรุปแบบบ้านๆเพราะไม่ใช่นักวิชาการเหมือนพวกๆคุณ ต่างฝ่ายก็คงต่างไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าทำไมคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ว่าคิดเหมือนๆกันอย่างนะ ฝ่าย 1 ต้องคิดอย่างเราสิ คิดอย่างงั้นได้ไง ทำไมบอกแล้วไม่เข้าใจอ่ะ ฝ่าย 2 ต้องคิดอย่างเราสิ คิดอย่างงั้นได้ไง ทำไมบอกแล้วไม่เข้าใจอ่ะ สรุปก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ ถามใจคุณอ่ะ พวกคุณคิดแบบนี้รึเปล่า มีใครจะตอบไม๊เอ่ย จากคุณ : ชาวบ้าน - [ 4 ต.ค. 50 16:16:26 A:124.121.121.17 X: ]

ความคิดเห็นที่ 136 ขอตอบอย่างนี้ครับ ผลิดอกงามแตกกิ่งใบ  จับดวงใจแม้ใครบังเอิญได้เดินมองมา อาจจะพบเห็นด้วยตา  ต้นชบาขึ้นในโรงเรียนสอนคนตาบอด ไม่อาจชมดอกชบา   ด้วยดวงตาสองตามีกรรมโลกจึงมืดมน ไม่อาจพบเห็นเหมือนบางคนว่า  ดอกผลนั้นมีสีสันรูปทรงอย่างไร บอดก็เพียงสายตาเท่านั้น  แต่จิตใจก็ยังผูกพันความงาม   อาจจะรับรู้ไปตาม สูดกลิ่นงามฟังเสียงวิไลร่มไม้บังเงา ต่างก็เพียงผู้จะชม  สิ่งจะชมสำคัญมันนั้นคืออันใด เหตุกับผลนั้นหรือว่าใจ  ต้นชบาก็มีความหมายไปตามคนมอง สิ่งจะงามอยู่กับใจ  บอดที่ใจ เห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม โลกจะสวยนั้นสวยไปตามจิตที่งาม  มองโลกสดใสไปในทางดี จากคุณ : Nexus - [ 4 ต.ค. 50 16:26:19 ]

ความคิดเห็นที่ 137 #136 สิ่งจะงามอยู่กับใจ บอดที่ใจ เห็นไปอย่างไรไม่มีวันงาม โลกจะสวยนั้นสวยไปตามจิตที่งาม มองโลกสดใสไปในทางดี ชอบจังครับ แต่ถึงกระนั้นก็เถอะครับ แม้แต่เพลงท่อนนี้ ก็ยังจะมีคนมองความท่อนนี้ได้หลากหลาย สนับสนุนให้มองโลกสดใส ด้วยจิตที่งามครับ จากคุณ : เกาะรั้ว (เกาะรั้ว) - [ 4 ต.ค. 50 17:23:41 ]

ความคิดเห็นที่ 138 เฮ้อ อ่านแล้วอนาจใจ จากคุณ : foxaon1 อ่านมานานสะดุดกับความเห็นนี้จัง ไม่เข้าใจว่าทำไมคนเราต้องรู้สึกอนาจใจเวลาที่มีคนอื่นกำลังวิจารณ์ในสิ่งที่มันอาจเป็นความจริงหรือไม่จริง แต่กลไกที่จะขับเคลื่อนสังคมแต่ละครั้งก็เริ่มก่อเกิดจากบทวิพากย์ต่าง ๆ จากคุณ : et009 - [ 4 ต.ค. 50 19:06:04 ]

ความคิดเห็นที่ 139 เฮ้อ อ่านแล้วอนาจใจ จากคุณ : foxaon1 นั่นสิครับ น่าศึกษากลไกของความอเน็จอนาถใจ แต่ไว้วันหลังนะครับ ตอนนี้ผมคงต้องขอตัวกลับไปจัดการกับกรีกผู้เฒ่าก่อน ป.ล. ถึง ความเห็นที่ร้อยสามสิบห้า ทั้งใช่และไม่ใช่ครับ ลึกๆ ผมก็อยากให้คิดเหมือนผม แต่ถ้าเป็นอย่างนั้น ก็แปลว่า คงมีคนที่เชื่อคำกันง่ายๆ ซึ่งไม่มีประโยชน์ แล้วจะให้คิดเหมือนทำไม เอาแค่ยอมฟัง"คำวิจารณ์" ดีกว่ามากระแนะกระแหนกันคงจะดีกว่านี้ครับ เพราะอย่างน้อยคำวิจารณ์ก็เป็นสิ่งที่เราถือว่ามีค่าสูงกว่าการกระแนะกระแหน ป.ล. สอง คำว่าชาวบ้านนี่ น่ากลัวนะครับ แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 20:21:15 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 20:17:40 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 19:39:24 จากคุณ : นายปลาตีน - [ 4 ต.ค. 50 19:25:10 ]

ความคิดเห็นที่ 142 ปัญหาคือ พญาอินทรีย์เป็นพญาอินทรีย์จริงหรือเปล่า??? หรือเป็นเพียงรูปจำแลง??? จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 4 ต.ค. 50 22:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 143 ^ ^ ^ อินทรีย์ แปลว่าร่างกาย หากจะแปลว่านก กรุณาใช้ อินทรี อย่างที่ตอบครั้งแรกครับ เดี๋ยวเขามาถามว่า "คนไทยหรือปล่า ใช้ภาษาไทยไม่ถูก" ตอนนี้กระแสรักชาติยิ่งแรงๆ ป.ล. แหม ก็รู้อยู่แล้วว่า Power tends to corrupt; absolute power corrupts absolutely ผมจะเป็นอินทรีหรือว่าตะกวด ก็ยังไม่รู้รู้ แต่มันอยู่ที่ว่า สำนึกว่า "อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย"หรือเปล่า หรือยังไง ไม่งั้นก็อย่างที่คุณเห็น ศักดินาขาว สู่ศักดินาแดง สู่ศักดินาเขียว และศักดินาม่วงสารพัดสี ป.ล. แต่บ้านเมืองก็ไปไหนไม่ได้หากไม่มีตำราวิจารณ์ อย่าลืมว่า ตำราแต่ละเล่ม เก็บเกี่ยวความคิดกันมาเท่าไร ดูเถิด ป.ล.แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 22:25:51 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 22:24:31 แก้ไขเมื่อ 04 ต.ค. 50 22:18:07 จากคุณ : ตัวเดิม (นายปลาตีน) - [ 4 ต.ค. 50 22:14:21 ]

ความคิดเห็นที่ 151 วิธีโจมตีตัวบุคคล และเบี่ยงเรื่องเป็นวิธีคลาสสิกเมื่อไม่สามารถใช้เหตุผลเข้าสู้ได้ และการถกเถียงในเรื่องที่ไม่ผิดกฎหมายผมก็เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ผิดแต่ประการใด อย่่าทำตัวเป็นศาสนจักรในยุคต้น Renaissance เลย จากคุณ : Nexus - [ 4 ต.ค. 50 22:47:14 ]

ความคิดเห็นที่ 152 มีเกรียนมากระทู้นี้ด้วย ผีมักกลัวแสงสว่าง ข้าทาสก็เช่นเดียวกัน จากคุณ : ซามาร่า-ไม่เคยหลับ - [ 4 ต.ค. 50 22:56:46 ]

ความคิดเห็นที่ 153 ถ้าคิดจะโจมตีตัวบุคคลก็กล้าใช้สถานะตัวตนจริง ๆ ก็ดีครับ เพราะถ้ายังหลบมุมอยู่หลังเวทีแล้วโจมตีคนอื่นมันไม่ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้กับคำพูดตัวเองเลยครับ จากคุณ : et009 - [ 4 ต.ค. 50 22:57:26 ]

ความคิดเห็นที่ 158 ปัญหาคือ พญาอินทรีย์เป็นพญาอินทรีย์จริงหรือเปล่า??? หรือเป็นเพียงรูปจำแลง??? จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร ^^^^ ข้อความนี้ผมว่า"เกินไป"แล้วครับ คนเราทุกคนต้องมี judgment of character อยู่ในตัวเอง ทำให้"ดูคนเป็น" คุณฮกหลงเขียนในกระทู้นี้หลายข้อความ  ด้วยภาษาสูงๆและวิชาการยากๆ ดูเหมือนคนที่เรียนมามาก มีภูมิรู้มากมายอยู่ แต่ถ้าคุณ"ดูคนไม่ออก"  ภูมิรู้ท่วมหัวก็คงเหมือนฟางบนกองฟืน จุดไม้ขีดทีก็ไหม้หาย ปัญญาชนสมควรถกปัญหาและวิพากษ์วิจารณ์นั้นถูกแล้ว แต่ปัญญาชนทุกคนต้องมีสิ่งหนึ่งติดตัวจึงจะเรียกว่าเป็นปัญญาชนที่เป็นวิญญูชน คือ RESPECT ครับ ถ้าคุณขาด RESPECT ในตัวเอง หรือในตัวคนอื่นจนมันฟ้องออกมาในวาจาของคุณ สิ่งดีๆที่คุณพูดถึงหรือเขียนถึงก็ไร้ค่า ไม่น่าเชื่อถือนะครับ ส่วนคุณบัตรผ่าน"บิดาท่าน" ผมเห็นด้วยกับเพื่อนๆร่วมถกในกระทู้นี้ว่า ถ้าอยากโต้แย้ง.. เปิดเผยตัวจะสง่างามกว่านะครับ ถ้าไม่มีล็อกอินจริงๆ  ใช้บัตรผ่านก็ได้ แต่พูดตรงๆ แมนๆ   ใช้คำประชดมันจะลดทอนความน่าเชื่อถือลงไปครับ จากคุณ : ผึ้งน้อยพเนจร - [ 4 ต.ค. 50 23:51:34 ]

ความคิดเห็นที่ 160 Dealing with trolls When dealing with suspected trolls, there are various strategies that you can employ. First of all, remember that just because you suspect that someone is a troll, it doesn't mean that they are a troll; also, just because you suspect someone is genuine, it doesn't mean that they are genuine. In view of this, the best tactics are:    ignore postings that you suspect may be from trolls.    don't invest any of your self emotionally until you have verified beyond all doubt that the person you are dealing with is genuine    beware of off list emails that praise and flatter, or seem to evoke sympathy. If you feel yourself beginning to like someone, ask first: how much verifiable data do I have about them?    if you do get involved in anyone, seek out verifiable data. Trolls will provide some data that will lead to dead ends; real people will provide some data that is open-ended and leads to a myriad of sources which enable you to verify their genuine status    if you must respond to a troll posting, don't get involved in the argument; limit it to pointing out that the posting may be considered as trollish, for the benefit of other list members.    Write to the listmaster to highlight what is happening    Write to the postmaster of the troll's domain. Keep it simple, polite and to the point (they are very busy!). Include your evidence (e.g.: offensive emails) and the full email header information, so that the troll can be properly traced. จากคุณ : Nexus - [ 5 ต.ค. 50 01:37:19 ]

ความคิดเห็นที่ 161 วันนี้โพสต์ทีแล้วโดนลบ สงสัยจะแรงอีกตามเคย มาวิจารณ์กระทู้แล้วกัน เพราะเนื้อหาผ่านไม่ได้ ฮา คราวที่แล้วบอกว่า เอา ม 112 ออกไปก็ดีนะ เพราะไม่รู้จะให้ซ้ำซ้อนกับกม หมิ่นประมาทธรรมดาไปทำไม แต่แอบเปลี่ยนใจตะกี้นี้เอง อ่านกระทู้นี้ดูอีกที แล้วรู้สึกใสปิ๊ง ว่า นี่หละตัวอย่างของสิ่งที่จะเกิดขึ้น ถ้าเอา ม 112 ออก ตามที่ใครคนหนึ่งบอกไว้ ตัวมาตรานี้ไม่มีเขี้ยวเล็บอะไร อยู่ที่การตีความของศาล ซึ่งเป็นการควบคุมพฤติกรรมได้ในระดับหนึ่ง ไม่ให้เลยเถิด ไปกันใหญ่ เพราะกระทู้นี้ ถ้าอ่านทีละโพสต์จะฟังดู สุภาพ วิชาการ ไม่น่าจะผิดกฏหมายอะไร แต่อ่านโดยรวมแล้ว ยิ่งวิจารณ์ ยิ่งแรง เสียดสี ตีกระทบ สาดโคลนดีๆนี่เอง ใช่ไม่ใช่คะ ประเด็นหลักมันไม่ได้อยู่ที่ว่า ห้ามวิจารณ์ ห้ามพูด แต่มันเป็นเรื่องอ่อนไหวของสังคมไทย อ่านแล้วอาจของขึ้นได้ ถ้าอยู่ข้างนอก ก็ฟาดปากกันไปแล้ว ฮา อ้อ ขออนุญาต ตีความชบา เข้าข้างตัวเองนะคะ แล้วก็ชอบสำนวน ภูมิรู้ท่วมหัวก็เหมือนฟางบนกองฟืนด้วย เห็นภาพอ่ะ ปล รู้สึกว่า สไตล์ของแถวนี้นะ สาว/หนุ่ม/แก่ มั่น เรียกร้องสิทธิเสรีภาพจนหยดสุดท้าย แต่ไม่มีความเข้าใจเรื่องขอบเขต วิ่งตามฝาหรั่งเช่นฝรั่งเศส อิอิ ถ้าคุณอ่านประวัติอาณานิคมฝรั่งเศส หรือเคยไปอยู่ฝรั่งเศสจริงๆจะรู้ว่ามันดูถูกผิวสีขนาดไหน ทั้งทั้งๆที่มันร้องหา เสรีภาพ ความเท่าเทียม ปาวๆ นั่นละ   สิทธิเสรีภาพ ความเท่าเทียม ของฝรั่งมีได้เมื่อเป็นคนขาวและมีกะตังค์ ถ้าเป็นผิวสีก็ต้องเก่งกะรวยถึงจะพอเข้าสังคมกะเขาได้ อย่าตามเขามากนักเลย แล้วก็ไม่จำเป็นต้องคิดแบบเขาหรอกเนอะ จากคุณ : อำแดงมา - [ 5 ต.ค. 50 02:02:20 ]

ความคิดเห็นที่ 164 [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:24:46 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 03:09:18 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 03:05:11 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 03:02:57 ]

ความคิดเห็นที่ 165 งานนี้กระทู้มีหวังโดนปิด อีกตามเคย ไม่ช้าก็เร็ว. จากคุณ : Glight - [ 5 ต.ค. 50 03:52:26 ]

ความคิดเห็นที่ 166 ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คิดเหมือนใครครับ มันอยู่ที่คิดเหมาะสมรึเปล่า แต่ถ้าบอกว่าไม่เหมาะสมเพราะคิดเหมือนฝรั่ง ผมไม่เห็นด้วยนะ เอาตรงๆก็คือ ผมคิดว่าคำนี้ไม่ควรพูดขึ้นมาเลย เรื่องที่ว่าสังคมอาจจะของขึ้นรับคำวิจารณ์ไม่ได้ ผมมองว่า สังคมที่ยอมรับคำวิจารณ์ไม่ได้ มันค่อนข้างจะขาดวุฒิภาวะนะ แต่ก็นั่นแหละ เรากำลังคุยกันว่ามันจะมีวุฒิภาวะขึ้นมาได้อย่างไร การยกเลิกมาตราน่าจะเป็นทางแก้ไหม ซึ่งผมมองว่าใช่นะ เหมือนกฎหมายเปลี่ยนคำนำหน้าชื่อที่เพิ่งออกมาแหละ ออกกฎหมายนำมาก่อนเพื่อแสดงเจตนาให้มีความเท่าเทียมกันทางรสนิยมทางเพศ การยกเลิก ม 112 เพื่อแสดงเจตนาให้วิจารณ์ได้ตามสมควร ก็น่าจะเป็นเช่นเดียวกัน สุดท้ายก็ย้อนกลับไปเรื่องที่คุยกันมาแล้ว 'ระบบ' ควรจะปกป้องสิ่งที่ควรจะเป็น ไม่ใช่ใช้ระบบตามมีตามเกิดแล้วก็หวังว่าคนจะเป็นคนดีขึ้นมา ถ้าเห็นด้วยกับตรงนี้ ก็น่าจะเห็นด้วยกับการยกเลิก ม 112 นะ จากคุณ : เอี้ยเสียวเฮียบ - [ 5 ต.ค. 50 03:56:15 ]

ความคิดเห็นที่ 168 อ่านแล้วคิดว่ายังไงการเปลี่ยนแปลงก็จะยังไม่เกิดในยุคนี้แน่นอน แต่อนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอน จากคุณ : shureman (shure-man) - [ 5 ต.ค. 50 08:20:17 ]

ความคิดเห็นที่ 169 คุณ บุญชิต – ไม่มั่วหรอกค่ะ คุณไปอยู่ที่ไหนมาละจ๊ะ ใครๆเขาก็รู้ทั้งนั้นว่า ฝรั่งเศสเป็นเผ่าพันธุ์ที่เหยียดผิวมากที่สุดในบรรดาคนขาวด้วยกัน แหม คนฝรั่งเศส(โดยรวมนะ) เข้ากันได้พอควรกะคนเข้าเมืองจนๆที่ผิวขาวคล้ายๆกันและเป็นคริสเตียน พวก โปแลนด์ โปรตุเกส ฮังการีอะไรแบบเนี้ย (แบบเดียวกันกะเมกาด้วย พวกนี้จะกลมกลืนได้เร็วกว่าผู้อพยพอื่น) แต่ถ้าเป็นยิว เป็นอาหรับ หรือดำ แบบ แอฟริกัน  โอ้โหไม่จืด ทีวียุโรปออกข่าวอยู่ทุกบ่อย ฮา คนเอเชียเช่นจีนจะปัญหาน้อยหน่อยไม่ว่าจะในเมกา หรือ ยุโรป ถ้าอยากรู้ว่าทำไมจะเล่าให้ฟังทีหลัง ฮา คุณ คนไทยไม่โง – อิฉันอ่านความเห็นคุณ แล้วขำกลิ้งลิงกับหมาเลยอ่ะ เดี๋ยวอิฉันต้องเกทับสักหน่อยว่า อยู่กับคนฝรั่งเศสมานานกว่าคุณ แล้วก็อยู่ต่างประเทศมานานกว่าคุณ 1 ปี  (อิอิ มันอดไม่ได้ง่ะ) “ฉันว่าฝรั่งเศสมีประชากรที่หน้าตาผิวพรรณต่างกันมากที่สุดในโลกแล้ว” ไม่ใช่ค่ะ แม้ว่าฝรั่งเศสจะชูธงเท่าเทียม เสรีภาพ และ การไม่เหยียดผิวอะไร ความเป็นจริงกลับเป็นประเทศที่มีการผสมของเผ่าพันธุ์น้อยมาก เมื่อเทียบกะเมกาที่เขาเรียกว่า หม้อรวมมิตรนั่นแหละจ้ะ ประเทศฝรั่งเศสมีคนกลุ่มน้อยอยู่ แค่ 6% ของประชากรทั้งหมด และ ในจำนวนนี้ ก็ยังแบ่งออกเป็น ขาว ดำ เหลืองต่างๆด้วย (อุตส่าห์ไปถามอาจารย์กู มาให้นะเนี่ย) ในปารีสจะมีหน้าแปลกๆเยอะหน่อย ก็เหมือน เมืองหลวงของโลกอื่นๆเช่น นิวยอร์คซิตี้ หรือ ลอนดอน นะ แต่ประเทศฝรั่งเศสที่เหลือเป็นไงไม่รู้ ฮา “แถมรัฐบาลยังให้เงินพวกลูกดกไปเลี้ยงลูกฟรีๆต่อคนต่อเดือนหลายหมื่นบาท ทั้งๆที่พวกลูกดกร้อยทั้งร้อยก็คือพวกแขกที่ไม่ยอมทำหมัน ไม่ยอมทำงาน ถ้าเค้าเหยียดผิวกันจริงๆเค้าจะยอมปล่อยให้แขกมาขยายพันธุ์ครอบสังคมคนขาวทำไม” คุณอยู่กะฝรั่งในฐานะอะไรละ  เพราะติดเชื้อมาคิดเหมือนคนขาวเด๊ะ ที่คุณกล่าวมานี่ เป็นตัวอย่างที่แรก และชัดเจนที่สุดของแนวคิดเหยียดผิว (คิดได้ไงเนี่ย) คือคนขาวมักจะพูดว่า ไอ้พวกคนอพยพนี่ มันสกปรก ขี้เกียจ แล้วต้องเอาภาษีไปเลี้ยงมัน มาขยายพันธุ์เต็มเมือง ไปไป ชิ้วๆ เป็นแนวคิดของพวกต่อต้านคนผิวสีเข้าเมืองมาแย่งงาน  คนนำชื่อ le pen ใช่ไหม ที่บอกว่าให้ส่งคนอพยพกลับนะ แต่ทีนี้คุณไม่ใช่คนขาว คิดอย่างนี้ถ้าไม่ใช่ไปจำฝรั่งมาพูดเป็นนกแก้ว นกขุนทอง ก็อยู่ใกล้ชิดคนที่คิดอย่างนี้มากเกินไปหน่อย เลยซึมมา เพราะถ้าเป็นคนผิวสี ไปเป็นพลเมืองชั้นสองที่เมืองนอก ถึงจะมีฐานะทางสังคมทีดีกว่า ก็น่าจะมีความเห็นอกเห็นใจในชะตากรรมของคนกลุ่มน้อยเหมือนกัน ไม่ใช่ไปด่าว่า เขาจน ลูกดก ไม่ทำหมัน ขี้เกียจ บ้าศาสนา ซึ่งปัญหาคนกลุ่มน้อยมันมีมิติมากกว่าการไปประทับตราด่าแบ่งแยกผิว แบบนี้ ที่พูดมายาวนี่ ไม่ใช่อะไร จะบอกว่า พี่ฝรั่งเศสของคุณนะตัวดี เชียวละ ชูธงเสรีภาพ เท่าเทียม ให้คุณๆวิ่งตามลิ้นห้อย ตัวเขาเองมีปัญหา เรื่องความเท่าเทียมระหว่างผิว และ ศาสนา แก้ไม่ตกซักทีนี่ละ ความเท่าเทียมของฝรั่งเศส มีไว้สำหรับคนขาว กะคนผิวสีมีตังค์ จ้ะ เอิกส์ จากคุณ : อำแดงมา - [ 5 ต.ค. 50 10:09:08 ]

ความคิดเห็นที่ 170 เห็นด้วยกับ 161 ครับ และรู้สึกตลกที่หลายคนในพันทิพไม่ชอบที่จะโดนวิจารณ์แต่ อยากวิจารณ์สถาบัน On topic ผมว่าคนที่ทำเสียคือพวกที่ดึงสถาบันลงมายุ่งเรื่อง ต่างๆ และตอนนี้ ยังทำจนกลาย เป็น Marketing trend อีกครับ ผมว่าแทนที่จะยกเลิก ม.112 มาหาทางป้องกันคนพวกนี้ใช้ประโยชน์จากท่านเถอะครับ จากคุณ : หมี่เกี๊ยว (ยิ้มเย้ยยุทธจักร) - [ 5 ต.ค. 50 10:26:43 ]

ความคิดเห็นที่ 171 สถาบันต้องมีการปรับเปลี่ยนไปตามสภาพ ของปชช.ที่การศึกษาสูงขึ้น   การจะดำรงอยู่ได้   ก็ต้องทำดีให้เห็น    การทำลายสถาบันนั้นผู้ใดไม่สามารถจะทำได้ ยกเว้น  สถาบันจะทำลายตัวเอง    จากภาพ  ข่าว  และ คลิปวีดิโอที่ปิดกันให้แซ่ดทั่วบ้านทั่วเมือง...จะโดนลบไหม ? นะ  คคห.นี้ แก้ไขเมื่อ 30 ก.ย. 50 10:19:11 จากคุณ : sao..เหลือ..noi          คุณหมายถึง.....เนเธอร์แลนด์หรือเปล่าคะ....หรือมีที่อื่นอีกคะ.. ................................................................................................. “มาตรา 6  รายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหาก...ที่กล่าวในมาตรา 5 วรรคสองนั้น จะจ่ายได้ก็แต่เฉพาะในประเภทรายจ่ายที่ต้องจ่ายตามข้อผูกพัน รายจ่ายที่จ่ายเป็นเงินเดือน บำเหน็จ บำนาญ เงินรางวัล เงินค่าใช้สอย เงินการจร เงินลงทุน และรายจ่ายในการพระราชกุศล เหล่านี้เฉพาะที่ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตแล้วเท่านั้น (วรรคสอง)  รายได้ซึ่งได้หักรายจ่ายตามความในวรรคก่อนแล้ว จะจำหน่ายใช้สอยได้ก็แต่โดยพระมหากษ...ตามพระราชอัธยาศัย ไม่ว่าในกรณีใด ๆ หรือโดยคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์เฉพาะในกรณีที่เกี่ยวกับการพระราชกุศลอันเป็นการสาธารณะหรือในทางศาสนาหรือราชประเพณีบรรดาที่เป็นพระราชกรณียกิจของพระมหาก...เท่านั้น” “มาตรา ๘  ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากร (วรรคสอง)  ทรัพย์สินส่วนพระมหาก...ย่อมได้รับความยกเว้นจากการเก็บภาษีอากรเช่นเดียวกับทรัพย์สินของแผ่นดิน (วรรคสาม)  ทรัพย์สินส่วนพระองค์ย่อมไม่อยู่ในข่ายแห่งความยกเว้น ดังกล่าวแล้ว” ------------------------------ เอามาลงอีกที ของความเห็นข้างบน ว่าเงินเอาไปใช้อะไรบ้าง ไม่ได้บอกตรงไหนเลยว่า เงินของ สำนักงานทรัพย์สินถูกนำไปใช้ เพื่อประโยชน์ส่วนตัว เงินก็เอาไปใช้ในทางที่เกิดประโยชน์สาธารณะ บำรุงวัด บำรุงโรงพยาบาล การศึกษา หรือเพื่อพระราชประเพณี ไม่ต้องแบบมือขอจากรัฐบาลให้ตกเป็นขี้ปากพวกเสียภาษีว่าเอาเงินไปใช้ไร้สาระ แต่เงินส่วนตัว หรือทรัพย์สินส่วนพระองค์ จะเอาไปใช้อะไรก็ได้ ทุกคนที่มีเงินส่วนตัวก็ทำอย่างนี้ไม่ใช่หรือ หรือคนระดับท่านจะมีเงินส่วนตัวไว้ใช้จ่ายไม่ได้ ต้องแบมือขอจากรัฐบาลอย่างเดียว  เงินส่วนตัวก็เสียภาษีเหมือนทุกคน จะเอาอะไรกันอีก ไม่ใช่พวกโปรเจ้า แต่เบื่อพวกที่อ่านหนังสือไม่แตก ------------------------------------------------------------ พูดอย่างงี้อีกไม่นานก็ต้องมีกระทู้ถามเรื่องเงินของสำนักงานทรัพย์สิน กับเงินส่วนพระองค์อีก จากคุณ : Kimpu          ขอเรียนถามคุณ  Kimpu ให้หายสงสัยหน่อยนะคะว่า ที่มีการจัดอันดับ...รวยสุดในโลกของไทยเราอยู่อันดับ4+1 เป็นการคิดจาก วรรคสอง หรือวรรคสาม หรือรวมกันค่ะ.... ..................................................................................... จากคุณ : เข้ามาขอความรู้ (แม่ขา) - [ 5 ต.ค. 50 11:29:59 ]

ความคิดเห็นที่ 172 สมมุติว่า มี คนอยู่สามคนนะ ชื่อหนึ่ง สอง สาม "เฮ้ย คนชื่อสามเพื่อนนายเหรอ" หนึ่งถามสอง "เออ ทำไมอ่ะ" สองตอบ "ไม่รู้ดิ รู้สึกนิสัยไม่ค่อยดี ไม่ค่อบชอบหน้าอ่ะ"หนึ่งบอก "กับคนอื่นไม่รู้ แต่สามดีกับเรามากนะ นายไม่ชอบก็เรื่องของนาย มันเพื่อนเรา" "นายก็เพื่อนเรา แต่เราไม่ชอบสาม แต่ก็ช่างมันเหอะ กินเหล้าดีกว่า" หนึ่งบอก หนึ่งกับสองก็ไม่พูดถึงเรื่องสามอีกเลย และก็ยังซี๊กันเหมือนเดิม ถามว่าใครผิด 1 หนึ่งผิด เพราะมองแต่ด้านไม่ดีของสาม ไม่มองด้านดี 2.สองผิด เพราะเห็นแแต่ด้านดีของสาม ไม่มองด้านไม่ดี 3.สามผิด เพราะมีทั้งด้านดีและไม่ดี ตอบหน่อยเหอะ ผมขอเปลี่ยนคำใหม่นะ แต่เจตนาเดิม หนึ่งผิด เพราะไปวิจารณ์สาม สองผิด เพราะไม่รับฟังคำวิจารณ์ของหนึ่ง สามผิด เพราะเกือบทำให้หนึ่งกับสองแตกแยก ทั้งที่ไม่รู้เรื่องไรด้วย เปลี่ยนอันนี้ด้วย มีแต่คำเสียดสี หักล้างกัน แม้ไม่ได้ว่ากันโดยตรงก็รู้สึกได้ เท่าที่อ่านมาก็สรุปแบบบ้านๆเพราะไม่ใช่นักวิชาการเหมือนพวกๆคุณ ต่างฝ่ายก็คงต่างไม่เข้าใจอีกฝ่ายว่าทำไมคิดอย่างนั้น แต่ผมก็ว่าคิดเหมือนๆกันอย่างนะ ฝ่าย 1 ต้องคิดอย่างเราสิ คิดอย่างงั้นได้ไง ทำไมบอกแล้วไม่เข้าใจอ่ะ ฝ่าย 2 ต้องคิดอย่างเราสิ คิดอย่างงั้นได้ไง ทำไมบอกแล้วไม่เข้าใจอ่ะ สรุปก็คิดเหมือนกันนั่นแหละ ถามใจคุณอ่ะ พวกคุณคิดแบบนี้รึเปล่า มีใครจะตอบไม๊เอ่ย เปลี่ยนอันนี้ด้วยเปลี่ยนคำว่า "ต้อง" ออกแล้วกัน คงเข้าใจนะ เพิ่มอีกหน่อย คนไทยฝ่าย1 ทำไมถึงคิดอย่างนั้นนะ เหตุผลก็บอกไปแล้ว ทำไมพวกนั้นยังไม่เข้าใจอีกนะ คิดได้แค่นี้เองเหรอ คนไทยฝ่าย2 ทำไมถึงคิดอย่างนั้นนะ เหตุผลก็บอกไปแล้ว ทำไมพวกนั้นยังไม่เข้าใจอีกนะ คิดได้แค่นี้เองเหรอ ถามใหม่นะ มีใครไม่คิดอย่างนี้บ้างครับ เอาถึงส่วนลึกในใจเลยนะครับ มันเป็นการยากนะที่จะพยายามทำความเข้าใจอีกฝ่ายที่คิดไม่เหมือนกัน ผมไม่เชื่อหรอกครับว่าคุณเข้าใจทั้งหมดของอีกฝ่ายอ่ะ( ไม่งั้นไม่มีคำนี้ออกมาหรอกครับ "พวกลัทธิบูชาเจ้า" "พวกเลียนแบบฝรั่ง คนไทยรึเปล่า" และอีกหลายๆคำ มันไม่ใช่ทั้งคู่แหละครับ บางคนเหตุผลดีๆ แต่ยังแฝงคำเสียดสี ทิ่มแทง ตามวรรณศิลป์ของพวกคุณ เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่รู้สึกได้ ไม่เลิกก็ลดๆหน่อยก็ยังดี สรุปก็คนไทยทั้ง 2 ฝ่าย ห่วงบ้านเมืองเหมือนกันแหละ ผมไม่ได้เป็นกลางนะ แต่ช่างเถอะ เพราะผมก็เข้าใจแค่บางส่วนของอีกฝ่ายเอง ปล.คำว่าชาวบ้านน่ากลัวยังไงครับ(ไม่เข้าใจจริงๆครับ) คุณปลาตีน จากคุณ : ชาวบ้าน - [ 5 ต.ค. 50 11:44:02 A:124.121.123.239 X: ]

ความคิดเห็นที่ 173 อย่ากิน กับข้าว เยอะ  เดี๋ยวเป็นตาลขโมย  <<---  กลัวเปลือง อย่าเอาตามฝรั่ง (เศส)  มันไม่ได้ดีจริง      << --- กลัวฉลาดรู้ว่าประเทศที่เจริญแล้วเป็นอย่างไร กั่กๆๆ  กุศลโลบาย ไทยๆ จากคุณ : ซามาร่า-ไม่เคยหลับ - [ 5 ต.ค. 50 12:05:32 ]

ความคิดเห็นที่ 174 [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:25:58 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 12:17:21 ]

ความคิดเห็นที่ 175 [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:48:30 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 12:28:14 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 12:24:34 ]

ความคิดเห็นที่ 176 ว่าแต่ "ฝรั่ง" มันเกี่ยวอะไรกับเรื่องนี้ไม่ทราบ แล้วไงอ่ะ ฝรั่งจะดีจะเลว แล้วเกี่ยวอะไรกับเรื่องที่เราคุยกันอยู่คะ มันชักจะต้มยำใส่สารพัด แบบว่ารู้จักขุ่นเคืองอัดอั้นคับแค้นใจ ก็เลยเอาเรื่อง "ตามฝรั่ง" มาโต้กัน (มายังไงหว่า........) หรือเพราะเห็น ไทยคำฝรั่งคำแล้วมันรู้สึกขัดลูกตา ไม่เกี่ยวกันโดยสิ้นเชิงเลยคู้ณณณณณณณณณณณ ถึงฝรั่งเศสจะเลวจะร้ายยังไง หรือใครจะเลวจะร้ายยังไง ก็ไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่า พลเมืองจะสามารถแสดงความเห็นต่อสถาบันฯ ได้หรือไม่ อย่าลืมนะคะ สถาบันฯ ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ล่องลอยโดยไม่สัมพันธ์กับใคร ในเมื่อสถาบันฯ คือส่วนหนึ่งในองค์กรปกครองสูงสุดแห่งรัฐ มีผลต่อประชากรในรัฐนั้น นี่ไม่ใช่สิทธิ์โดยชอบธรรมหรอกหรือที่ประชากรจะร้องกล่าวออกมาว่าเขารู้สึกแบบไหน ไม่เกี่ยวกับว่าจะต้องเป็นใหญ่เป็นโตหรือเป็นใครหรอกค่ะ แต่เป็นส่วนหนึ่งในระบบเดียวกัน กรุณาแยกประเด็นให้ออกจากกันค่ะ แล้วไอ้ที่คุณเชื่อว่าเป็นวิถีไทยแท้นั้น แน่ใจหรือคะว่า ระบอบราชาธิปไตยที่คุณรู้จักนั้นไม่ได้ข้ามแอตแลนติคมา ป.ล.1 ถ้าจะว่ากันด้วย myth อุ๊บบบบบบบส์ ภาษาไทยแบบแขกๆ คือ "มายาคติ" คำหนึ่งในบทสนทนาเกี่ยวกับความเป็นไปแห่งรัฐไทย คือคำว่า "ฝรั่ง" (ซึ่งคำว่า "ไทย" หลายๆ ทีก็เป็น myth และเป็นมากกว่าคำว่า "ฝรั่ง" ด้วยซ้ำ) ป.ล. 2 ดิฉันว่า นายทิม สุขยางค์ แกก็ไม่ได้ไปรู้จักฝรั่งที่ไหนนะคะ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 5 ต.ค. 50 12:40:09 ]

ความคิดเห็นที่ 177 คงไม่มีใครปฏิเสธมั้งครับว่า ประเทศที่มี mature democracy อย่างฝรั่งเศส. อังกฤษ. อเมริกา หรือประเทศอื่น ๆ นั้น เป็นประเทศที่ยังมีปัญหาอยู่ ทั้งในเรื่องปัญหาสังคมหรือแม้แต่ปัญหาเรื่องของหลักการพื้นที่ของประเทศเอง ผมเห็นด้วยครับว่า ประเทศฝรั่งเศสมีปัญหาเรื่องผู้อพยพ เรื่องสีผิว หรือเรื่องการกีดกันทางศาสนา ซึ่งดูราวกับว่า จะเป็น trend ที่เกิดขึ้นในหมู่ประเทศโลกที่หนึ่งในยุโรป แต่นั่น ด้วยปัญหาเหล่านี้นั้น ทำให้เราต้องละทิ้งหลักการประชาธิปไตยไปกระนั้นหรือ??? ที่ผมเรียกร้องความ..."เป็นไปได้"ในการวิพากษ์สถาบัน (และบุคคล) นั้น อาจแบ่งได้เป้น 2 ส่วน ส่วนแรกคือ สถาบันและบุคคลในสถาบันนี้ เป็นผู้ใช้เงินภาษีประชาชนในการดำรงสถานะดั้งเดิมอยู่ เพราะฉะนั้นโดยหลักการพื้นฐานที่ว่า ประชาชนเป็นเจ้าของประเทศ ไม่ใช่เพียงผู้มาอาศัยเขาอยู่ จึงสามารถ check and balance สถาบันและบุคคลได้ กระบวนการอย่างหนึ่งคือ การวิพากษ์วิจารณ์ สองคือ การประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของประเทศนี้นั้น สถาบันและบุคคลมีการกระทำที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตของคนทั่วไปอย่างมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ต่อชีวิตทางการเมือง อันเป็นพื้นที่ที่สถาบันและบุคคลอ้างว่า "อยู่เหนือ" หากประชาชนเป้นเจ้าของประเทศจริงแล้ว เราต้องสามารถสรุปบทเรียนและชะตาชีวิตทางการเมืองของเราเองได้ การตรวจสอบและถ่วงดุลกันนั้น ตั้งอยู่บนพื้นฐานว่า ไม่มีใครเป็นคนดีได้โดยบริสุทธิ์ โดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในบางสถานะนั้น การกระทำของเขาและเธอมีผลกระทบมหาศาลต่อคนทั่วไป ส่วนประเด็นที่ว่าเป้นเรื่องอ่อนไหว อาจมีใครมาตีหัวได้นั้น ผมมองว่า มันมีปัญหาที่ "พื้นฐาน" กว่า คือ สังคมไทยยังไม่สามารถดึงความเห้นต่าง ๆ มา clash กันได้อย่างมีคุณภาพ โดยการโต้แย้งที่เหตุผล ที่ arguement กัน ที่ผ่านมาคือ ถ้าไม่ถูดอุดปากกันเป็นแถว ๆ หรือไม่ก็ถูกจับยัดแว่นตาฉาบสีบางสีไว้ หรืออย่างสุดท้ายคือ จับลากคอไปแขวนที่ต้นมะขาม...เหมือนวันพรุ่งนี้เมื่อ 31 ปีที่แล้ว... แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 12:48:34 จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 5 ต.ค. 50 12:43:28 ]

ความคิดเห็นที่ 178 [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:26:30 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 12:58:45 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 12:56:09 ]

ความคิดเห็นที่ 179 "จับลากคอไปแขวนที่ต้นมะขาม... " นั่นน่ะสิ ไฉนกริยาแบบ "ไทยๆ" ถึงได้เหมือน KKK (Klu Klux Klan) ขนาดนั้นก็ไม่ทราบ....คงเป็นการตามก้นฝรั่งอย่างหนึ่ง หรือมันเป็นกริยาสถุลสากล หึหึ จากคุณ : AntiSpam (อันตราคนี) - [ 5 ต.ค. 50 12:58:43 ]

ความคิดเห็นที่ 180 ^ ^ ผมเชื่อในธรรมชาติร่วมกันของมนุษย์นะ... มันเป็นธรรมชาติที่เป็นวิทยาศาสตร์ คือ มนุษย์ไม่ว่าวัฒนธรรมไหน จะมีการตัดสินใจที่ไม่ต่างกันมากนักในสาระสำคัญ โดยไม่เกี่ยว เรื่องเชื้อชาติ ดังนั้นไม่แปลก ที่มนุษย์ในแต่ละถิ่นในโลก ต่างวัฒนธรรมและดินฟ้าอากาศ จะมีการตอบสนองที่ตรงกัน เช่นการเอาไปแขวนที่ต้นมะขาม หรือพาไปใช้เครื่องทุ่นแรง Fabrique en France ... (เครื่องทุนแรง อาจจะเปลี่ยนได้ตามบริบท เหมือนต้นมะขามนี่แหละ ในอเมริกาคงแขวนกับต้นมะฮอกกานี หรือฝรั่งเศส อาจจะใช้วิธีเผาไฟ เหมือนสมัยล่าแม่มด) ดูจากหลายๆความเห็นสิครับ ฟังไม่ถูกใจก็จะทำร้าย จะเอาของขว้างปา ไม่เห็นต้องไปลอกมาจากพวกผู้ชมละเม็งละคร หรือการแสดงบางอย่าง ของฝรั่ง ในสมัยก่อนเลย จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 13:04:05 ]

ความคิดเห็นที่ 181 อู้หู คนนั้นก็อยู่ฝรั่งเศส คนนี้ก็อยู่ฝรั่งเศส ประเทศไทยต้องเอาแบบฝาหรั่งเศส ฮา แต่ เอ อิฉันว่า ถ้าคุณไม่ใช่คนไทย ประเทศนอกเขารับไปอยู่ด้วยแล้ว ไม่ต้องมาวิจารณ์สถาบันอันเป็นศรัทธาของคนไทยจะดีกว่าไหม เหมือนสละสิทธิ์ไปแล้ว แต่ขอด่าด้วยคน มันพิศดารนะ ส่วนเรื่องฝรั่งเศส อิฉันก็ยังค้านคุณอยู่ดีละ ขออนุญาตไม่บอกประวัตินะคะ ว่าอยู่กะฝรั่งมาสิบปี หรือ อยู่เมืองไหนหรืออะไร เพราะบอร์ดแบบนี้ ไม่ต้องมาเกทับกันว่า อยู่เมืองฝรั่ง วิ่งตามฝรั่ง แล้วดีกว่าคนไทยในประเทศที่โง่งม มันเพี้ยน อิฉันว่าคุณนั่นแหละ มั่ว อิอิ ถ้าอยู่ที่นั่นจริง ก็อ่านหนังสือพิมพ์ให้มากๆหน่อย ปัญหา เรื่องเหยียด แขก และ คนดำแรงที่สุดแล้วในยุโรป เกิดมา เป็นรุ่นที่สองที่สาม ก็ยังโดนมองว่า ไม่ใช่คนชั้นหนึ่ง บางคนต้องเปลี่ยนชื่อจากโมฮัมเม็ด เป็นอย่างอื่น เพราะไม่ได้รับเลือกสัมภาษณ์งาน เรื่องตำรวจเลือกจับคนผิวสี เท่าที่ได้ยินก็แรง จริงไม่จริงละเนี่ย อ้อ คุณช่วยมาอธิบาย จราจลตุลา ปี 2005 ได้ไหมคะ ปล เอ จะว่าไปแล้ว อิฉันก็อยากรู้ประวัติของคุณเหมือนกันนะ จะได้รู้ว่าทำไมถึงคิดแบบนี้ ไปเรียนหนังสืออยู่มหาลัย ในฝรั่งเศส หรือ เมกา หรือเปล่า สังคมคุณมันคนละอย่าง คิดแบบผิวสีที่พอมีอันจะกินหรือเปล่า ถึงไม่สามารถเข้าใจความเจ็บช้ำของผู้อพยพเข้าเมือง ที่โดนเหยียดสีผิว และประณามแบบที่คุณข้างบนทำว่าจน ขี้เกียจ เป็นภาระ ต่างๆนานา หรือทำงานบริษัทฝรั่งเศส แต่เอ ทำไม ไม่รู้สึกอะไรหว่า หรือฝรั่งมันเป็นนาย มันว่าอะไรก็ต้องดีไปหมด คนฝรั่งเศสดีๆก็มี แต่ทัศนคติของคนจำนวนมากค่อนข้างแย่ แต่คุณว่าเขาดี เขาเจริญไปโม๊ด บางอย่างทิ่มตายังมองไม่เห็น เหอเหอ เอ๊ะ หรือเป็นนักลงทุนไทยในฝรั่งเศสนะ ไม่แน่ใจว่ามีสักเท่าไหร่ เพราะ อียู FTA พูดกันยากเหมือนเข็นครกขึ้นภูเขา ประเทศที่รักของคุณนะ มันอยากได้อย่างเดียว แต่ไม่ยอมเสียอะไรเลย ว้า แล้วเราจะรักกันได้อย่างไร หรือไปทำงานให้รัฐบาลไทยหว่า แต่เอ๊ สถานทูตมีอย่างนี้ด้วยหรือ ลูกจ้างกระทรวงต่างประเทศนี่ค่อนข้าง ศักดินาน้า ไปละ คุยเรื่องเหลวไหลได้ทั้งวัน น่าตีจริงๆ จากคุณ : อำแดงมา - [ 5 ต.ค. 50 13:15:00 ]

ความคิดเห็นที่ 182 [ข้อความส่วนนี้ ถูกลบทิ้ง] แก้ไขเมื่อ 07 ต.ค. 50 07:28:14 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 13:39:57 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 13:37:29 แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 13:36:18 จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 13:26:57 ]

ความคิดเห็นที่ 183 เหอะๆ ตอนแรกว่าจะเข้ามาแจม อุตส่าห์พิมพ์ความเห็นไว้กะจะมาโพสต์ ตอนนี้อยู่เฉยๆดีกว่า นั่งดูเค้าทะเลาะกันน่าจะดี แก้ไขเมื่อ 05 ต.ค. 50 13:36:22 จากคุณ : ฮัตเซปซัต - [ 5 ต.ค. 50 13:35:53 ]

ความคิดเห็นที่ 184 “แถมรัฐบาลยังให้เงินพวกลูกดกไปเลี้ยงลูกฟรีๆต่อคนต่อเดือนหลายหมื่นบาท ทั้งๆที่พวกลูกดกร้อยทั้งร้อยก็คือพวกแขกที่ไม่ยอมทำหมัน ไม่ยอมทำงาน ถ้าเค้าเหยียดผิวกันจริงๆเค้าจะยอมปล่อยให้แขกมาขยายพันธุ์ครอบสังคมคนขาวทำไม” คือ ที่เค้าชี้ให้เห็นนี่ก็น่าจะเป็นจุดที่ว่ายังไงๆรัฐบาลของฝรั่งเศสเค้าก็มีนโยบายด้านสวัสดิการสำหรับคนอพยพ ซึ่งน่าจะเป็นคนละประเด็นกับแนวคิดของคนฝรั่งเศสว่าอาจมีประชากรส่วนใหญ่มีแนวคิดด้านเหยียดผิวน่ะครับ คือ อย่างน้อยการกระทำของรัฐบาลก็เข้ากับนโยบายที่ตั้งไว้น่ะครับ ซึ่งภาพลักษณ์ที่พยายามสร้างมันอาจไม่ตรงกับความเห็นของประชาชนส่วนใหญ่ๆ รึเผลอๆอาจไม่ตรงกับความเป็นจริงในปัจจุบันนั้นๆก็ได้ เนื่องจากเป็นสิ่งที่พยายามผลักดันอะไรอย่างนี้ เช่น ประเทศไทยจะเป็นศูนย์กลางการค้าแห่งเอเชีย อะไรอย่างนี้ซึ่งมันก็ต้องมีนโยบายสนับสนุนและการผลักดันหลายพันประการกว่าจะก้าวไปถึงจุดนั้นได้ เป็นต้น จากคุณ : นายblackjack - [ 5 ต.ค. 50 13:42:57 ]

ความคิดเห็นที่ 185 ระวังออกนอกเรื่องกันมากๆนะครับ ถ้าอะไรที่มันออกทะเลมากๆก็ หยุดๆซะมันก็หายไปเอง ส่วนตัวผมเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงยังไม่สามารถเกิดขึ้นในภายในสภาวการณ์ป้จจุบัน เพราะว่ายังไม่มีการใช้อำนาจที่ไม่เป็นธรรมเกิดขึ้นอย่างชัดเจน เมื่อคนส่วนใหญ่เขาไม่อยากให้เปลี่ยนสิ่งนั้นๆก็ไม่เปลี่ยนครับ ลองมองดูการเปลี่ยนแปลงในประเทศต่างๆดูก็ได้ มันเกิดขึ้นมาพร้อมกับยุคข้าวยากหมากแพงทั้งนั้นไม่ว่าจะที่ไหนในโลก ลองไล่เรียงมาได้เลยเริ่มตั้งแต่อังกฤษเป็นต้นมา ลองมาเทียบกับประเทศไทยแล้วการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นได้ยากครับ แต่นั่นแหละการถกเถียงกันในเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมเห็นด้วยเพราะว่าถ้ามันถึงเวลาต้องใช้ขึ้นมาจริงๆ จะได้มีหลักให้หยิบมาใช้ได้เลย ไม่ต้องเริ่มจาก 0 ดังนั้นกระทู้นี้ผมเซฟเก็บเอาไว้่แล้วครับ แต่ไม่รู้ว่าในข่วงชีวิตของผมจะได้ใช้หรือเปล่านะ จากคุณ : Nexus - [ 5 ต.ค. 50 13:51:29 ]

ความคิดเห็นที่ 186 อ้ะ เชื่อคุณ Nexus ครับ แหละเห็นด้วยว่า คุยๆกันบ้างก็ดี เพราะเกรงว่า ถึงเวลาที่ใครๆก็รอแล้ว ช่องทางมันจะบีบเหลือแค่ "มี" หรือ "ไม่มี" "เอา" หรือ "ไม่เอา" ถ้าว่างๆ ตอนนี้ มาคุยกันก็ดีว่า "มี ...แต่ว่า...ขอให้..." น่าจะเซฟไว้ระดับหนึ่ง ดีกว่าห้ามพูดห้ามคุย แล้วรอตามยถากรรม ขอนอกเรื่องอีกคำครับ คุณ Nexus เคยเล่น Magic the Gathering หรือเปล่าครับ ? จากคุณ : บุญชิตฯ (Players) - [ 5 ต.ค. 50 14:00:50 ]

ความคิดเห็นที่ 187 ผมว่าคุณบุญชิตเลิกคุยกับเค้าเหอะครับ คนบางคนก็เหมือนน้ำเต็มแก้ว เทลงไปเท่าไหร่ ก็เปล่าประโยชน์ทั้งนั้น ตามอ่านและเห็นด้วยกับความคิดของคุณบุญชิตอยู่เรื่อยๆ นะครับ ส่วนเรื่องสถาบัน ผมว่าอีกไม่นานก็คงไม่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่แล้วหล่ะครับ เพราะทั้งจากภาพนิ่ง และคลิปขนาดยาว ที่แพร่กระจายทั่วไปใน internet ในตอนนี้ น่าจะบอกได้เลาๆ ถึงอนาคตของสถาบัน ผมว่าถ้ามีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างเปิดเผยด้วยเหตุและผล บางทีคงจะดีกว่านี้ เพราะว่าอาจจะแก้ปัญหาของสถาบันได้ตั้งแต่เนิ่นๆ ไม่ใช่ทำปิดบัง หลบๆ ซ่อนๆ จนสุดท้ายข่าวร้ายก็แพร่กระจายกันทั่วไปแบบนี้ ตอนนี้ผมมองไม่เห็นทางออกเหมือนเลยครับว่าจะเป็นยังไง ส่วนเรื่องการจัดอันดับมหาเศรษฐีที่เป็นสมาชิกของราชวงศ์ของนิตยสาร Forbes นั้น อยากถามเพื่อนสมาชิกคนที่ทำงานด้านธุรกิจ หรืออยู่อเมริกาหน่อยครับว่านิตรยสาร Forbes มีความน่าเชื่อถือมากเพียงใด จัดเป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับจากประเทศอื่นๆ หรือเปล่าครับ ที่สงสัยเพราะอยากรู้ว่าการที่เค้าจัดอันดับความร่ำรวยนั้น น่าเชื่อถือเพียงใด จากคุณ : seabreeze_psu - [ 5 ต.ค. 50 14:07:44 ]