ปี Zhongping ที่ 1  184AD
31 มกราคม 184 - 17 กุมภาพันธ์ 185
ในฤดูใบไม้ผลิ ตองจิ๋วแห่งกิหลำ ลูกศิษย์คนหนึ่งของเตียวก๊ก  ได้ส่งสารถึงราชสำนักเปิดโปงแผนร้ายของม้าอ้วนยี่  ม้าอ้วนยี่ถูกจับกุมและลงโทษประหารชีวิตด้วยการใช้ รถม้าศึกแยกร่างที่เมืองลกเอี๋ยง
มีราชโองการให้ซานก๋งและขุนพลประจำเมืองหลวง (ซานก๋ง  ตำแหน่งขุนนางสูงสุดสามตำแหน่ง ประกอบด้วย ไท่เว่ย (แม่ทัพใหญ่, ผู้บัญชากองทัพ) ซือถู (เสนาบดี) ซือคง (เสนาบดี)  มีหน้าที่หลักคือให้คำปรึกษาฮ่องเต้  แต่ก็มีอำนาจบริหารบ้านเมือง,  ขุนพลประจำเมืองหลวง (sili xiaowei) ขุนพลที่มีอำนาจควบคุมเจ็ดหัวเมืองในเขตเมืองหลวง) ให้ทำการจับกุมและสอบสวนขุนนางและองครักษ์ในวังหลวง  และชาวเมืองในเขตเมืองหลวงที่เชื่อในคำสอนของเตียวก๊ก   มีผู้คนมากกว่าหนึ่งพันคนถูกประหารชีวิต
ราชโองการถูกส่งมายังมณฑลกิจิ๋ว  ที่ซึ่งเตียวก๊กและเหล่าสาวกควรจะถูกจับตัว แต่พวกเขาเชื่อว่าแผนการพวกเขาถูกแพร่งพรายออกไปแล้ว   พวกเขาจึงส่งสารอย่างเร่งด่วน  ออกคำสั่งให้สาวกทุกหน่วยก่อการกบฏขึ้นพร้อมกัน   พวกเขาใช้ผ้าเหลืองมาคลุมหัวเป็นสัญลักษณ์  ชาวบ้านจึงเรียกพวกเขาว่า โจรกบฏโพกผ้าเหลือง
ในเดือนที่สอง  เตียวก๊กเรียกตัวเองเป็นเจ้าแห่งแม่ทัพสวรรค์  น้องชายของเขาเตียวโป้เป็นเจ้าแห่งแม่ทัพแผ่นดิน  เตียวเหลียง น้องอีกคนเป็นเจ้าแห่งแม่ทัพมนุษย์
ที่ทำการขุนนางทุกหนแห่งถูกเผาและทำลาย  เมืองและหมู่บ้านถูกปล้นสะดม   เหล่าขุนนางมณฑลและหัวเมืองต่าง ๆ ถูกบังคับให้ทิ้งที่ทำการและหลบหนีไป  ในเวลาสองสามอาทิตย์  ทั้งแผ่นดินก็ร่วมกับการก่อกบฏนี้  และเมืองหลวงก็ตกอยู่ในอันตรายและความหวาดกลัว
ชาวบ้านในอันผิงและกันหลิง จับกุมตัวอ๋องของพวกเขาและร่วมก่อการกบฎ
ในเดือนที่สาม วันที่ 2 เมษายน  โฮจิ๋นผู้ดูแลโฮหลำ ถูกแต่งตั้งเป็นแม่ทัพใหญ่ และได้รับตำแหน่งพระยาแห่ง Shen  เขาควบคุมกองทัพขวา, ซ้าย และทัพขนนกป่า  ร่วมด้วยกองทหารทั้งห้าของภาคเหนือ  โฮจิ๋นนำกองทัพไปตั้งค่ายที่เมืองหลวง  ที่นั่นพวกเขาได้จัดเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์ต่าง ๆ เพื่อรักษาความสงบในเมืองหลวง  และตั้งแต่งขุนพลให้คอยรักษาการณ์ประตูทั้งแปดของเมืองหลวง ได้แก่ (Hangu, Taigu, Guangcheng, Yique, Huanyuan, Xuanmen, Meng Crossing และ Xiaoping Crossing)
ฮ่องเต้ได้ทรงเรียกประชุมเหล่าเสนาบดีในท้องพระโรง  เจ้าเมืองเป๊กเต้ ฮองฮูสง ได้เสนอความคิดที่จะยุติการเนรเทศเหล่ากองทัพ  และควรจะแจกจ่ายทรัพย์สมบัติในวังหลวงและเหล่าม้าศึกจากสวนม้าตะวันตกให้แก่เหล่ากองทัพ (ฮองฮูสงเป็นหลานของฮองฮูกุ๋ย)  
ฮ่องเต้ได้ถามความเห็นจาก ขุนนางท้องพระโรงลิเกี๋ยง ว่าเขาคิดเช่นไรกับข้อเสนอนี้   ลิเกี๋ยงตอบว่า การลงโทษเหล่าแม่ทัพนายกองโดยการเนรเทศนั้นได้ดำเนินการมานานแล้ว  และคนที่โดนลงโทษต่างโกรธแค้นและไม่พอใจ  แม้ว่าจะมีการอภัยโทษภายหลัง  แต่พวกเขาก็จะเข้าร่วมกองทัพของเตียวก๊ก  ก่อกบฏอยู่นี้ กบฏครั้งนี้ก็จะรุนแรงและน่าวิตก  การยุติโทษเนรเทศนั้นสายเกินไปที่จะแก้ปัญหานี้แล้ว
ข้าขอร้องให้พระองค์ทรงประหารเหล่าขุนนางของพระองค์ที่ละโมบโลภมาก  ฉ้อราษฎร์ บังหลวง  และออกประกาศนิรโทษกรรมให้แก่เหล่าแม่ทัพนายกองทั้งหลาย  และจัดการตรวจสอบผู้ตรวจการมณฑลและเหล่าเจ้าเมืองทั้งหลายว่าได้ประพฤติปฏิบัติหน้าที่อย่างเหมาะสมหรือไม่  เมื่อจัดการตามนี้แล้ว  ก็จะไม่มีปัญหาจากการกบฏอีก
ฮ่องเต้ทรงหวาดกลัวมากและยอมรับคำแนะนำนี้โดยดี
ในวันที่ 5 เมษายน (renzi)  ได้มีประกาศนิรโทษกรรมให้แก่เหล่ากองทัพพร้อมกันทั่วทั้งแผ่นดิน  คนที่ถูกลงโทษเนรเทศได้รับอนุญาตให้กลับถิ่นฐานได้   มีเพียงเตียวก๊กที่ไม่ได้รับการนิรโทษ
มีการเกณฑ์เหล่าทหารที่ผ่านการฝึกมาจากเมืองหลวง โดยมอบหมายให้แม่ทัพฝ่ายเหนือโลติด  นำทัพเข้าโจมตีเตียวก๊ก   ฮองฮูสงแม่ทัพฝ่ายซ้าย และจูฮีแม่ทัพฝ่ายขวานำทัพเข้าโจมตีกองกำลังโจรผ้าเหลือที่เองชง
ในตอนนั้น  ขันทีเตียวต๋ง เตียวเหยียง เห้หุย ก๊กเสง ตวนกุ๋ยและ ซงเตียน (เชียกง?)  ได้รับแต่งตั้งให้เป็นพระยาและการปฏิบัติอย่างดี  ฮ่องเต้มักจะพูดเสมอว่า  “ขันทีเตียวเหยียงนั้นเปรียบเหมือนบิดาข้า  ส่วนเตียวต๋งก็เหมือนดั่งมารดาข้า
ทำให้เหล่าขันทีพากันมั่นใจในฐานะและอำนาจขอพวกเขามาก   เหล่าขันทีพากันสร้างคฤหาสน์ที่ใหญ่โตเหมือนวังหลวงเลยทีเดียว  มีครั้งหนึ่งที่ฮ่องเต้ต้องการที่จะปีนหอสังเกตการณ์ของวังความสงบสุขชั่วนิรันดร์  เหล่าขันทีพากันตกใจ  กลัวว่าองค์ฮ่องเต้จะเห็นคฤหาสน์ของพวกเขา  พวกเขาจึงส่งชางต้าน ขันทีในวังสนมไปทูลว่า โอรสสวรรค์นั้นต้องไม่ปีนขึ้นในที่สูง  เพราะถ้าฮ่องเต้องค์ใดทำเช่นนั้น  เหล่าประชาราษฎร์ก็จะได้รับความเดือดร้อนและภัยพิบัติต่าง ๆ  หลังจากนั้น ฮ่องเต้ก็ไม่ทรงปีบหอคอยอีกเลย
เมื่อแผนการของขันทีฮองสีและเคาฮอง ได้ถูกเปิดเผย  ฮ่องเต้ได้ทรงถามเหล่าขันทีว่า พวกเจ้ามักจะบอกข้าอยู่เสมอว่า  เหล่ากองทัพได้วางแผนก่อกบฏ  พวกเจ้าให้ข้าปลดพวกเขาออกจากตำแหน่ง  เนรเทศ และประหารชีวิตบางคน  แต่ตอนนี้ปรากฏแล้วว่าพวกเขาเป็นผู้ภักดีและข้ารับใช้ที่ซื่อสัตย์ของแผ่นดิน  แต่เป็นพวกเจ้าต่างหากที่สมคบคิดกับเตียวก๊ก  ไหนพวกเจ้าจงบอกซิว่า มีเหตุผลอะไรที่ทำให้ข้าไม่สังหารพวกเจ้าเสีย
เหล่าขันทีพากันคุกเข่าคำนับพูดว่า  นี่ล้วนแต่เป็นความผิดของอองฮูและเหาลำ หลังจากนั้น  พวกเขาก็ขออนุญาตลาออกจากตำแหน่งทีละคน  และส่งสารไปเรียกญาติและคนในตระกูลที่คุมกำลังตามหัวเมืองต่าง ๆ ให้กลับมา
เตียวต๋ง เห้หุยและขันทีคนอื่นปลอมแปลงรายงานเพื่อใส่ร้ายลิเกี๋ยงว่า  ลิเกี๋ยงได้ลอบสนทนาความลับของทางการกับเหล่าแม่ทัพนายกองว่า  เขาได้อ่านประวัติของฮัวะกวงซ้ำไปซ้ำมาหลายเที่ยว (ฮัวะกวง  ขุนนางผู้คุมอำนาจราชสำนักหลังการสวรรคตของฮ่องเต้เชาตี้  เขาตั้งหลิวเหอขึ้นเป็นฮ่องเต้  แล้วก็ปลดออก ไปแต่งตั้งหลิวผิงอี้ขึ้นเป็นแทน การเปรียบเทียบคนที่อ่านประวัติของฮัวะกวงหมายถึงขุนนางที่คิดจะใช้อำนาจเกินพอดี)   เขาและน้องของเขาได้แผ่ขยายการฉ้อราษฎร์บังหลวงต่าง ๆ ไปทั่วแผ่นดิน  ฮ่องเต้จึงส่งขุนนางแห่งประตูเหลืองนำทหารไปจับตัว ลิเกี๋ยง มายังท้องพระโรง
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 18:52:44
แก้ไขเมื่อ 18 ต.ค. 50 18:47:54
แก้ไขเมื่อ 17 ต.ค. 50 14:40:58
              
จากคุณ :
kazama  
  - [
17 ต.ค. 50 14:38:41
]
- [
17 ต.ค. 50 14:38:41
]