ความคิดเห็นที่ 51
ขออัญเชิญเรื่องราวเพิ่มเติมจากหนังสือประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ เฉพาะตอนนี้มาให้รับทราบกัน เป็นเหตุการณ์ในอีกมุมหนึ่งที่เราไม่ค่อยได้รับทราบกัน
ทูลกระหม่อมเริ่มประชวร
ถ้าดูกันเผินก็ดูเหมือนว่าพระเจ้าหลวงประชวรอยู่ได้เพียง ๔ วันเท่านั้นก็เสด็จสวรรคต, แท้จริงหาเปนเช่นนั้นไม่, เพราะเมื่อก่อนเสด็จพระราชดำเนิรประพาศยุโรปนั้นได้เริ่มทรงพระประชวรแล้ว, แต่ปิดกันนักจึ่งมิได้มีใครได้รู้,
ในการเสด็จไปยุโรปก็ว่าจะไปให้หมอตรวจพระอาการ, และได้ตรวจจริง, ทั้งได้พยายามรักษาด้วย. แต่ในรายงานที่โปรดเกล้าฯ ให้ลงพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษานั้น หาได้ลงตลอดตามที่หมอตรวจและออกความเห็นไม่, มีแต่ว่ามีพระอาการประชวรเล็กน้อยที่ในช่องพระนาสิกและพระศอ, กับว่าพระเส้นประสาทไม่ค่อยจะแขงแรงเพราะทรงทำงานกลางคืนและทรงพระโอสถสูบมากเกินไป, ส่วนความเห็นของหมอที่ว่ามีพระอาการพระวักกะพิการเรื้อรัง, ซึ่งแท้จริงเป็นพระอาการสำคัญอันต้องวิตกนั้น, หาได้ลงพิมพ์ให้ผู้ใดทราบไม่ แต่ผู้ที่รู้ก็ย่อมจะได้นึกระแวงอยู่, เพราะตามข่าวคราวที่ได้มาจากประเทศยุโรปถึงการรักษาพระองค์นั้น ย่อมจะเห็นได้อยู่ว่าเปนการใหญ่กว่าที่จำเป็นเพื่อเยียวยาหรือบำบัดพระอาการเล็กน้อยเท่าที่ได้โฆษณาไว้,
ตั้งแต่เมื่อเสด็จพระราชดำเนิรกลับจากยุโรปมาแล้วก็สังเกตเห็นได้ว่า ทูลกระหม่อมมีพระอาการประชวรอย่างน่าวิตก, พูดกันอย่างศัพท์สามัญว่า เห็นชัดว่าทรงทุพพลภาพทีเดียว พระองค์ท่านเองก็ทรงทราบดีอยู่เช่นนั้น จึ่งได้ทรงพยายามบริหารพระองค์มากทีเดียว, มีเสด็จประพาศบ่อยๆ. และออกไปประทับอยู่ที่เพชรบุรี (ตามคำแนะนำของพวกเข้าจอม "ก๊ก อ") และเมื่อถึงเสด็จอยู่ในกรุงก็ไม่ใคร่จะเสด็จออกในการงานพิธีต่าง, มักโปรดเกล้าฯ ให้ฉันไปแทนพระองค์เสียเป็นพื้น. แต่ก็นับว่ายังประทะประทังอยู่ได้จนทรงประสพโศกอันใหญ่, คือองค์อุรุพงศ์เจ็บและตายลง ณ วันที่ ๒๐ กันยายน, พ.ศ.๒๕๔๒. องค์อุรุพงศ์นั้นทูลกระหม่อมท่านโปรดของท่านมาก, เพราะเปนพระราชโอรสองค์เล็กและขี้โรค, จึ่งได้ทรงโฆษณาว่าจะเอาไว้ใช้เป็นไม้ธารพระกร, คือเปนอุปถากส่วนพระองค์, ไม่ให้รับราชการแผ่นดินเช่นลูกเธอองค์อื่นๆ องค์อุรุพงศ์เจ็บครั้งที่สุดนั้นหลายวัน, ทูลกระหม่อมทรงเปนห่วงและเสด็จลงไปพยาบาลอยู่เองโดยมากที่ตำหนักราชฤทธิ์รุ่งโรจน์, ต้องอดพระบรรทมและทรงเหน็จเหนื่อยมากอยู่.
ครั้นเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน, พ.ศ.๒๔๕๒, มีสวดเสดาะ เนื่องในงานเฉลิมพระชนมพรรษา, ทูลกระหม่อมได้เสด็จเข้าไปตามธรรมเนียม. พอเริ่มสวดมนตร์และโหรบูชานพเคราะห์ ทูลกระหม่อมก็เสด็จลุกขึ้นจากพระบัลลังก์ในพระที่นั่งไพศาล เพื่อเสด็จเข้าไปเสวยที่ชานพักตามเคย. พอเสด็จลับไปก็ได้ยินเสียงตุบ, และเสียงผู้หญิงร้อง ฉันรีบวิ่งเข้าไปที่ชานพัก, เห็นทูลกระหม่อมประทับอยู่กับพื้น, ท่านรับสั่งให้ฉันช่วยพยุงพระองค์ท่านขึ้นและพาไปประทับเหยียดบนพระเก้าอี้, แล้วจึ่งรับสั่งเล่าว่า ในเวลาที่ทรงก้าวลงจากพื้นพระที่นั่งไพศาลไปสู่ชานพักนั้น ได้ทรงเอาธารพระกรยัน, ปลายธารพระกรลื่นไปกับพื้นศิลาพระบาทก็เลยลื่นตามไป, จึ่งได้ทรงกระแทกลง, และในที่สุดตรัสว่า "แล้วก็นางพวกเหล่านี้ก็นั่งเฉยกันหมด, ไม่มีใครมีแก่ใจมาช่วยพ่อจนคนเดียว." ฉันกราบทูลว่า ได้เคยนึกวิตกอยู่นานแล้วเมื่อทรงธารพระกรเล็กๆ ทรงยันอย่างเต็มน้ำหนักพระองค์. เห็นว่าควรทรงเกาะคนดีกว่า. รับสั่งว่าถูกแล้ว, แต่เวลานี้ผู้ที่ได้ตั้งพระราชหฤทัยเอาไว้ใช้เปนไม้ธารพระกรก็มาทำน่าที่ไม่ได้เสียแล้ว, ฉันเห็นท่าทางว่าท่านทรงเป็นห่วงองค์อุรุพงศ์อยู่มาก, ฉันก็หมอบนิ่งอยู่จนรับสั่งให้ฉันออกไปนั่งตามที่ก่อน, ฉันจึ่งออกไป
ตั้งแต่วันนั้นต่อมาเห็นได้ทรงกะปลกกะเปลี้ยมากขึ้นเปนลำดับ, ซึ่งเปนธรรมดาอยู่, เพราะการล้มกระแทกเปนของแสลงนักสำหรับโรคไตพิการ. ในตอนหลังนี้ออกจะไม่มีใครเข้าใจผิดแล้วว่าทูลกระหม่อมมีพระอาการอันบอกเหตุว่าย่างเข้าขั้นที่สุดแห่งพระชนมพรรษา, เปนแต่ยังหวังอยู่ว่า การบริหารพระองค์ได้ทรงกระทำดีอยู่เสมอ อาจที่จะทำให้พระชนมายุยืนไปได้อีกหลายปี
(ประวัติต้นรัชกาลที่ ๖ ราม วชิราวุธ, สนพ.มติชน, ๒๕๔๖) โดยความอนุเคราะห์ของ คุณแสนอักษร
จากคุณ :
NickyNick
- [
วันปิยมหาราช 13:28:57
]
|
|
|