ความคิดเห็นที่ 1 ได้ผลครับ และควรจะเริ่มต้นจากแบบนั้นล่ะครับ จะได้มีกำลังใจ เริ่มจากยากเลยเดี๋ยวจะท้อเสียเปล่าๆ หาหนังเรื่องที่ชอบ แล้วก็ดูซ้ำหลายๆ รอบ รอบหลังๆ ก็ไม่ต้องขึ้นตัวบรรยายแล้วครับ พอคล่องๆ ก็เปลี่ยนเรื่องใหม่ ดูหลายเรื่องเข้า ก็จะฟังชำนาญขึ้นเองครับ ผมก็ใช้เวลาเป็นปีเหมือนกันครับถึงจะพอฟังออกบ้าง พอช่วงไหนไม่ค่อยได้ฝึกมันก็จะฟังไม่ค่อยออกอีก ยังไงมันก็ไม่ใช่ภาษาที่เราใช้พูดมาแต่อ้อนแต่ออกล่ะนะ ต้องฝึกฝนอยู่เรื่อยๆ จากคุณ : คนทับแก้ว - [ 22 พ.ย. 50 17:46:49 ]

ความคิดเห็นที่ 2 การฝึกฟังภาษาอังกฤษแบบที่ไม่ต้องอ่านสคริปต์ตามไปด้วยเป็นวิธีการเรียน listening comprehension skills ที่เร็วที่สุด มันน่าจะลดเวลาในการเรียนของคุณลงไปได้ประมาณครึ่งหนึ่งหรือเศษสองส่วนสาม   แต่น่าเสียใจที่จะบอกให้คุณทราบว่า คุณเรียนเองไม่มีทางได้อย่างเด็ดขาด คุณจะประสบความสำเร็จได้นั้น คุณต้องมีครูที่รู้วิชา phonetics สอนให้คุณ  ครูที่รู้วิชา phonetics ทำได้ดังต่อไปนี้ 1  สามารถแก้การออกเสียงที่ผิดๆของผู้เรียน (ผู้เรียนฟังไม่รู้เรื่องเพราะเขาออกเสียงไม่เหมือนฝรั่งเจ้าของภาษา) 2 สามารถบอกผู้เรียนได้ว่า ประโยคภาษาอังกฤษ เมื่อพูดช้าๆ (ในวิชาphonetics เรียกว่า strong form) มันเป็นเสียงอย่างหนึ่ง แต่เมื่อพูดเร็วๆเป็นธรรมชาติ (ในวิชาphonetics เรียกว่า weak form) มันรวบเสียง และกลายเป็นอีกเสียงอีกอย่างหนึ่ง การรวบเสียง (ที่เรียกว่า linking ของพยางค์) นั้น มีหลักการที่แน่นอน ซึ่งระบุเอาไว้อย่างชัดเจนในหลักวิชา phonetics วิธีการสอนที่เราพูดถึง ตามหลักวิชา เขาเรียกว่า drill (การฝึกซ้ำๆกัน ในที่นี้คือการฟังแล้วออกเสียงตามซ้ำๆกัน)   ในการ drill ผู้สอนจะเอาบันทึกเสียง (เทป, audio files หรือ video clips) ซึ่งเป็นเสียงฝรั่งเจ้าของภาษาคนอื่น (ที่ไม่ใช่ผู้สอน)  มาเปิดให้นักเรียนฟัง (โดยไม่ให้นักเรียนเห็น script) แล้วให้นักเรียนพูดตาม   ถ้านักเรียนฟัง weak form ไม่ทัน ผู้สอนก็จะพูด (ช้าๆ) เป็น strong form ให้นักเรียนฟัง แล้วบอกนักเรียนว่าพยาค์ไหนมี link กับพยาค์ไหน (รวบเสียง) แล้วให้นักเรียนพูดตามช้าๆ (ไม่มี link) ก่อน แล้วค่อยๆเพิ่มความเร็วในการพูด (มี link) ไปเรื่อยๆ จนกระทั้งนักเรียนพูดเร็วได้โดยลิ้นไม่พันกัน วิธีแก้การออกเสียงนักเรียน ผู้สอนจะใช้รูปหัวกับคอคนที่เห็นอวัยวะภายในที่ใช้ออกเสียง เอาให้นักเรียนดู แล้วบอกว่า ในการผลิตเสียงแต่ละเสียง จะต้องเคลื่อนไหวส่วนไหนบ้าง   รูปที่ว่านี้ เขาเรียกว่า side-of-a head diagram ผู้สอนเป็นคนไทย (ที่พูดชัดมากๆ)ฆ ก็ได้ เป็นฝรั่งก็ได้ แต่ถึงผู้สอนเป็นฝรั่ง ก็ยังต้องใช้บันทึกเสียงฝรั่งคนอื่น (หลายๆคน) มาเปิดให้นักเรียนฟัง ด้วยเหตุผลง่ายๆก็คือ "ไม่ต้องการให้นักเรียนยึดติดหรือชินกับสำเสียงผู้สอนมากเกินไป จนฟังเจ้าของภาษาคนอื่นพูด แล้วฟังไม่รู้เรื่อง" นั่นเอง มีฝรั่งที่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษคนหนึ่งแนะแนวเราไว้เคร่าๆ จากนั้นเราจึงค้นคว้าจากตำราต่างประเทศเพิ่มเติม บวกกับประสบการณ์ในการลงมือสอนจริงๆ และนำไปผสมผสานกันจนกลายเป็นวิธีการสอนอันนี้ขึ้นมาได้เมื่อ 15 ปีที่แล้ว แต่ตอนนี้เลิกสอนภาษาอังกฤษไปนานแล้ว แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 50 06:58:59 แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 50 05:30:26 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 50 20:54:33 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 22 พ.ย. 50 20:49:28 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ตอนเราเริ่มเรียนภาษาอังกฤษ เราอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษ คือไปพำนักอาศัยในประเทศอังกฤษ ในช่วง 6 เดือนแรก เราจะฟังอะไรแทบไม่รู้เรื่องเลย แต่ในช่วง 2 ปีต่อมา เราจะฟังรู้เรื่องเฉพาะสำเนียงมาตรฐานหรือเฉพาะที่ขอร้องให้ฝรั่งพูดช้าๆเท่านั้น  แต่ฟังหนัง soundtrack หรือทีวี หรือฟังคนพูดเร็วๆด้วยสำเนียงแปลกๆแทบไม่รู้เรื่อง  เราใช้เวลาประมาณอยู่ในอังกฤษ และเดินทางไปประเทศอื่นๆอีกประมาณ 5 ปีกว่าเราจะฟังสำเนียงแปลกๆ ที่พูดเร็วๆ รู้เรื่องเกือบหมด เราว่าคนไทยที่อยู่เมืองไทย ถ้าจะฟังสำเนียงทั้งมาตรฐาน และทั้งที่แปลกๆ ที่พูดเร็วๆ ถ้าเจออาจารย์ที่เก่งวิชา phonetics สอนให้ ก็น่าที่จะฟังสำเนียงต่างๆ ที่พูดเร็วๆ ได้รู้เรื่องเกือบหมดภายในเวลาประมาณ 2-3 ปี ...โดยตั้งสมมุติฐานว่าอาจารย์ที่สอน ซอกแซกพอที่จะไปหาเสียงคนพูดสำเนียงต่างๆมาสอนผู้เรียน (อัดเทปหรืออัดใส่ audio files มา) และโดยตั้งสมมุติฐานว่า ความแตกต่างของสำเนียง ส่วนใหญ่อยู่ที่เสียงสระ อยู่ที่ stress (การเน้นเสียงลงหนักที่พยางค์ไหน) อยู่ที่ rhythm (จังหวะจะโคน) และอยู่ที่ intonations (เสียงสูงๆต่ำๆ เหมือนเสียงวรรณยุกต์ (หมายเหตุ เสียงวรรณยุกต์ในภาษาอังกฤษมีอยู่ 6 ระดับแต่เป็นแบบ"ไร้รูป" คือไม่เขียนเครื่องหมายบอกไว้นั่นเอง) แต่เสียงพยัญชนะจะคล้ายๆกันเกือบทุกสำเนียง คนไทยที่อยู่เมืองไทย ที่ฟังฝรั่งพูดเร็วๆ (แบบฝรั่งพูดกับฝรั่ง ไม่ใช่แบบฝรั่งพูดลดความเร็วให้คนไทยฟัง) รู้เรื่อง ถ้าเรียนด้วยตัวเอง ส่วนใหญ่เรียนจากประสบการณ์การทำงานในบริษัทข้ามชาติ ที่ใช้เวลาทำงานเกินกว่า 10 ปี...ที่เราใช้เวลาแค่ 5 ปีเพราะว่าเราต้องทนฟังภาษาอังกฤษในต่างแดนตั้งแต่ตื่นนอนไปจนถึงเข้านอน ไม่ใช่แค่ฟังตอนเรียนภาษาอังกฤษในห้องเรียนหรือฟังแค่ตอนทำงานเหมือนที่คนไทยในเมืองไทยฟังกัน    แต่ก็ไม่แน่นะ อาจมีคนไทยในเมืองไทย ที่ไม่เคยไปต่างแดน ที่เป็นอัฉริยะเรียน listening compreshension skill ได้เร็วกว่าเราหลายเท่า   อย่าเชื่อเรา และอย่ายึดสถิติที่เราให้ไว้  เราเป็นคนที่ไม่มีพรสวรรค์ทางด้านภาษาเอาเสียเลย เราอยู่อังกฤษมา 20 ปี แต่กลับมาเมืองไทยแค่เขียนภาษาอังกฤษแบบจดหมายธุรกิจได้ไม่มีกลิ่นกะปิน้ำปลา แต่จะเขียนอะไรยากๆ เราต้องเรียนเขียน (ด้วยตัวเอง) อีกตั้ง 10 ปีแน่ะ แต่ตอนนี้นะ เราได้ยินคนใน pantip กล่าวขวัญกันทุกวันว่า มีโรงเรียนสอนภาษาในเมืองไทยแห่งหนึ่งนะ สอนกฎ grammar แค่ 25 ข้อ พอเรียนแล้ว ผู้เรียนเขียนภาษาอังกฤษเก่งมากๆโดยไม่มีที่ติเลยภายในเวลาเพียงแค่หนึ่งเดือนหรืออะไรทำนองนั้น....!!!    โหเก่งๆจริงๆ  เก่งยังกับเทพแน่ะ.......!!!??? แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 50 21:59:15 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 50 21:30:59 แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 50 21:09:16 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 22 พ.ย. 50 20:50:58 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ที่ภาษาอังกฤษมันฟังยาก ก็เพราะว่า สังคมประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่มีเสแสร้งทำตัวเป็นพลเมืองดี โดยการชักชวนคนในประเทศ "ให้ออกเสียงอักขระชัดถ้อยชัดคำแบบคนไทย" เนื่องจากพวกเขาถือว่า "ธรรมชาติของภาษา เมื่อพูดเร็วก็ต้องรวบเสียงให้สั้น"  และได้ "กำหนดมาว่ารวบเสียงสั้นแบบไหนตามหลักวิชา phonetics"   การชักชวนคนไทยทั้งประเทศ "ให้ออกเสียงอักขระชัดถ้อยชัดคำแบบคนไทย ทั้งๆที่พูดเร็ว" (ดังจะเห็นได้ว่าผู้อ่านข่าวดัดจริตรัวเสียง "ร" เรือจนเกินเหตุ กันหมด เพราะกลัวโดนพลเมืองดีด่าเอา) เป็นการทำลายระบบประสาทที่จะเรียน listening comprehension skills ในภาษาอื่นไปในตัวด้วยเช่นกัน แต่ที่พูดมานี้ ผู้เรียนที่ต้องเรียนด้วยตนเอง ก็ไม่ต้องไปท้อใจ เนื่องจากถ้าฝึกฟังขณะดู script (เพราะไม่มีครูที่เก่ง phonetics สอนให้) และถ้าไม่มี script แล้วผู้เรียนฟังฝรั่งพูดเร็วๆไม่รู้เรื่อง  ก้อแค่ขอให้เขาพูดช้าๆลง ก็พอสื่อสารกันได้ เอาเท่าที่เรียนได้ ก็ยังดีกว่าไม่เรียนอะไรเลย แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 50 21:31:23 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 22 พ.ย. 50 21:13:10 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ไม่ต้องดูสคริปนั่นแหละครับถูกแล้ว ตอนแรกจะทรมานหน่อยแต่พอผ่านไปซัก 3-4 เดือนคุณจะเริ่มชิน ในชีวิตจริง ฝรั่งไม่แบกซับไตเติลติดตัวเวลาคุยกันนะครับ จากคุณ : Shoe_Shine - [ 22 พ.ย. 50 22:23:20 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ควรจะฝึกฟังและอ่าน Subtitle ไปก่อนครับเพราะว่าถ้าคุณฟังไม่รู้เรื่องเลยแล้วยังไม่มี script อีก จะทำให้คุณท้อแท้และขาด motivation ในการฟังอีก เพราะตามทฤษฎีของ Second Language Acquisition.....motivation สำคัญมาก จากคุณ : ต้น (ajton13) - [ 22 พ.ย. 50 23:10:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เดี๋ยวๆ ขอขัดคอหน่อย เฮียแท่น "..การชักชวนคนไทยทั้งประเทศ "ให้ออกเสียงอักขระชัดถ้อยชัดคำแบบคนไทย ทั้งๆที่พูดเร็ว" (ดังจะเห็นได้ว่าผู้อ่านข่าวดัดจริตรัวเสียง "ร" เรือจนเกินเหตุ กันหมด เพราะกลัวโดนพลเมืองดีด่าเอา) เป็นการทำลายระบบประสาทที่จะเรียน listening comprehension skills ในภาษาอื่นไปในตัวด้วยเช่นกัน.." >> ก็ถ้าคนไทยไม่ออกเสียงอักขระของตัวเองให้ชัดถ้อยชัดคำแล้วจะให้มนุษย์ชาติไหนภาษาไหนมันออกล่ะ ภาษาไทยของปู่ย่าตายายเรานะคะรับ คนไทยไม่รักษาแล้วจะให้ใครรักษา ภาษาเขาก็มีลักษณะเฉพาะของเขา ภาษาเราก็มีลักษณะของเรา ซึ่งในความเห็นของผม มันไม่ได้เป็นอริต่อกันชนิดอยู่ร่วมฟ้าเดียวกันไม่ได้อย่างที่ฝรั่งเขาว่า mutually exclusive ก็ให้มันรู้ไปว่า คนไทยหูไทยลิ้นไทยนี่มันจะฟังและพูดภาษาฝรั่งไม่ได้ ผมไม่เห็นว่ามันจะเป็นอุปสรรคขวางกันตรงไหน กระจอกๆจากบ้านนอกอย่างผมยังทำได้ ทำไมคนอื่นจะทำไม่ได้ อย่างน้าฎรแกยังพูดได้ปร๋อเลย ขนาดอดีตทิดจากวัดทุ่งหมาว้อนะนั่น จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 23 พ.ย. 50 08:35:04 ]

ความคิดเห็นที่ 8 คุณจะฟังได้ควรมีฐานศัพท์ + การออกเสียงไว้บ้างครับ ถ้าไม่ดูซับเลยทั้งๆที่พื้นยังไม่แน่นยังไงก็ฟังไม่รู้เรื่อง พลานจะปวดกระบาล ขาดกำลังใจ ทั้งนี้เพราะว่าการจะไม่ต้องดูซับตั้งแต่แรกมันเป็นการบีบบังคับตัวเองเกินไป อย่าลืมนะครับว่าภาษาที่ใช้ในหนังนะมันเป็นขั้นของการสื่อสารจริงๆของเจ้าของภาษาในสารพัดบริบทแล้ว ขนาดหนังสือเรียนภาษาอังกฤษที่จำกัดวงศัพท์ที่เราเรียนๆกันระดับ ม.ปลายหรือมหาวิทยาลัยยังอ่าน+ฟังกันไม่ค่อยจะออกเลย จะให้เรียนแบบไม่ดูซับในหนังเลยมันจะเป็นไปได้อย่างไร เว้นเสียว่าคุณจะมีพื้นฐานดีมาก่อน (อ่าน+หาความรู้ได้เองจากดิก อังกฤษ-อังกฤษ อ่านหนังสือพิมพ์พอเข้าใจแล้ว หรือถูกสถานการณ์บังคับให้ไปอยู่เมืองนอกโน้นก็ว่าไปอย่าง ค่อยๆสะสมจากการดูแบบสบายๆ 1 รอบ(ดูซับ) รอบสองดูให้น้อยลง (ก็พอรู้เรื่องแล้วนิครับ) ครั้งที่สามเป็นจากซับไทยมาเป็นซับอังกฤษ(จะได้ดูว่ามีคำอะไรที่ไม่รู้หรือน่าสนใจจากนั้นอาจจดคำ วลี หรือประโยคที่เราชอบ หรืออยากจำ+หาความหมายเพิ่มจากพจนานุกรม) ครั้งที่ 4 ดูอีกทีที่เป็นซับอังกฤษแบบทบทวน อาจออกเสียงตามไปด้วยในบางคำหรือวลีที่เราจับใจความได้แล้ว ครั้งที่ 5 พร้อมแล้วค่อยลบซับออกให้หมด แล้วดูแบบตั้งใจ ควรหาเรื่องที่เราชอบ ซึ่งก็น่าจะมีหลายเรื่องครับ ค่อยๆเรียนไปอย่างมีความสุข ไม่ตึงไม่หย่อน ยังไงก็จะเก่งได้สักวันครับ จากคุณ : โจโฉ (joechou) - [ 23 พ.ย. 50 09:23:30 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณทุกความเห็นมากครับ ^^ จะเอาความเห็นของทุกคนไปปรับใช้ดูนะครับ (เอาจริงซักที หลังจากขี้เกียจเรื่องนี้มานานมากๆแล้ว) จากคุณ : พันธุ์หมาบ้า - [ 23 พ.ย. 50 10:40:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 อ้าคุณคุณแอ๊ด ปากเกร็ด ที่เราพูดน่ะ หมายถึงภาษาไทยเวลาพูดช้าๆแบบเน้นๆเช่นนักการเมืองกล่าวสุทรพจน์กับคนทั้งประเทศ กับคนอ่านข่าวทีวีอ่านข่าวเรื่องรถไฟตกราง แบบข่าวด่วนอ่านกระหึดกระหอบน่ะ  เกือบจะทุกประเทศทุกภาษาเลย กรณีพูดเร็วๆมันจะไม่มีทางชัดถ้อยชัดคำเหมือนที่คนไทยรณรงค์กันให้ออกเสียงอักขระให้ชัดเจนกันหรอก คือว่าเราเคยนั่งจับกลุ่มคุยกับฝรั่งชาติอื่นๆที่ไม่พูดอังกฤษ กับคนจีน คนญี่ปุ่น แขกอินเดีย แขกอาหรับ พวกอัฟริกันผิวดำ ให้ลองพูดภาษาพวกเขาทั้งช้าๆและเร็วๆ แลกสู่กันฟัง แล้วเราสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจนว่า เมื่อพูดเร็วๆ มันจะมีการ "รวบเสียง (elision)"  เกือบทุกภาษาเลย เราก้อเชื่อว่าโดยธรรมชาติแล้วการพูดภาษาไทย ชาวบ้านๆธรรมดาๆ เมื่อก่อนไม่พูดชัดถ้อยชัดคำแบบนี้ แต่โดนการรณรงค์ "ให้ออกเสียงอักขระให้ชัดเจนทุกพยางค์" จนกระทั่งการพูดด้วย weak form ในภาษาไทย (เชื่อว่ามีแน่ๆ) โดนคนเกือบทั้งประเทศดูถูกเหยียดหยามว่า "เป็นการพูดแบบคนไร้การศึกษา" เราว่าแนวคิดไม่ให้มี weak form ในภาษาเป็นการทำลายภาษาไทยเสียมากกว่า ต่อมาเมื่อนักอ่านข่าวกับนักร้องโดนจับผิดกัน ผลลงเอยก็คือว่า ใครๆก็กลัวโดนหาว่าไม่รักภาษาไทยกันหมด ด้วยเหตุเช่นนี้ภาษาไทยจึงกำลังจะกลายเป็นภาษาเดียวในโลกที่ไม่มีการพูดแบบ weak form (หรือมี แต่ถ้าใครพูดก็จะโดนตำหนิ) ในขณะที่เกือบทุกภาษาในโลกจะมี weak form แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 50 17:54:02 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 พ.ย. 50 17:47:37 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เมื่อ 2-3 เดือนที่แล้วเรานั่งแท็กซึ่มาคันหนึ่ง เขาเปิดวิทยุ เราได้ยินเสียง DJ ผู้หญิงพูดภาษาไทย กระดกลิ้นสั่นรัวเสียง 'ร' เรือ แบบผิดธรรมชาติมากๆเลย เธอรัวลิ้นราวกับชาว Scottish พูดตัว "r"  ชาว Scottish เวลาพูดเสียง "r" เขาจะรัวลิ้นหนักมากๆ จนคนอังกฤษกับอเมริกันฟังแล้วก็ต้องตกใจมากๆ  ในทำนองเดียงกัน เราฟังเสียง 'ร' เรือ แบบผิดธรรมชาติ ของ DJ คนนั้นนะ (คล้ายๆตั้งใจรัวมันเพื่ออยากเป็นพลเมืองดี งั้นหละ ในขณะที่เสียงชาว Scottish สำเนียงเขาเป็นแบบนั้นจริง ไม่ใช่เสแสร้ง) เราฟัง DJ คนนั้นแล้วก็ตกใจมากๆเลยทีเดียว...จนออกอาการไมเกรนขึ้นสมองจี๊ดๆเลย...!!! ทนไม่ไหว ต้องขอร้องให้คนขับแท็กซี่เปลี่ยนไปเป็นสถานีอื่น ทนฟังไม่ไหวเลยจริงๆ  เราว่ามัน false (เสแสร้งสุดๆเลย)   เราว่าพูดภาษาไทยน่ะพูดให้ชัด แต่ชัดเป็นธรรมชาติ พูดเร็วๆเช่นอ่านข่าวสำคัญๆ ด่วนๆ อย่างเร่งรีบ ก็ต้องมีรวบเสียง (elision) บ้างเล็กน้อย จะไปออกอักขระทุกพยางค์ให้ชัด มันทำให้ฟังข่าวแล้ว "ชักกระตุกกลางคัน..!!" คือมันไม่รื่นหูเอาเสียเลยนั่นเอง   คือพูดภาษาไทยชัดโดยธรรมชาติมันก็ดี แต่ผู้คนเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนอ่านข่าวหรือโฆษกรายการวิทยุและทีวี เป็นจำนวนมาก พยายามออกอักขระให้ชัดเจนแบบทุกพยางค์ เน้นเกินจนฟังดูฝืนธรรมชาติ จริงๆ และเมื่อพวกเราชาวไทยออกเสียงแยกพยางค์ ให้อยู่เป็นอิสระโดดๆกันหมด เวลาเรียนภาษาอื่นที่เมื่อพูดเร็วๆโดยธรรมชาติที่มีการรวบเสียง (elision) ก็น่าจะเป็นไปได้ที่ "จะต้องปรับตัวนานหน่อยกว่าจะฟังทัน" เนื่องจากความเคยชินที่แตกต่างกันราวกับไปกันคนละโลกนั่นเอง ส่วนที่บอกว่าตัวคุณแอ๊ดกับคุณฎรที่มาจากบ้านนอก ยังไม่มีปัญหาในการเรียนภาษาอังกฤษ...อ้า..เราว่าพวกท่านทั้งสองคนมีชั่วโมงบินที่สูงมากๆต่างหาก คืออยู่ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่ได้ยินภาษาอังกฤษมามาก (คุณฎรแกเล่นเรียนลัดมีภรรยาเป็นชาวอังกฤษด้วย...!!) แต่ก็ยังคงต้องใช้เวลาหลายปีเหมือนกับที่ตัวเราหัดฟังตั้งนาน กว่าจะฟังภาษาอังกฤษที่คนพูดเร็วๆเต็ม speed (ด้วยอัตราความเร็วสูงสุด) ได้ครบทุกสำเนียง ... ไม่ใช่อยู่ดีๆ เพิ่งเรียนภาษาอังกฤษ พอเปิดเทปหรือ CD บทเรียนภาษาอังกฤษ หรือเปิด DVD หนัง soundtrack ฟัง อีกไม่กี่เดือน จะฟังรู้เรื่องทุกอย่างหมด แก้ไขเมื่อ 23 พ.ย. 50 18:22:41 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 พ.ย. 50 17:53:35 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คุยกันหนุกดีนะจ๊ะ จากคุณ : ป้าป้าป้า - [ วันลอยกระทง 17:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ในกระทู้ 3 ที่เราเอ่ยถึงโรงเรียนสอนภาษาชื่อเหมือนบะหมี่ไวๆ นะเมื่อหลายเดือน หรือหลายปีก่อนไม่แน่จะ เราจำข้อมูลผิดพลาด ดันไปเขียนกระทู้บอกว่า มีโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่งสอนกฎ grammar แค่ 300 ข้อเพียงแค่ 2-3 เดือนแล้วคนไทยเขียนภาษาอังกฤษเก่งไม่ผิดเลย โหเราจำผิด!!!! โทษที โทษทีอย่างแรง นี่เราเผลอไปดูถูกเขา จริงๆแล้วเขาสอน "grammar 25 ข้อกฏทองคำ" ต่างหาก แค่ 25 ข้อเอ้งนะ ไม่ใช่ 300 ข้อ ผู้เรียนก้อเขียนภาษาอังกฤษไม่ผิดเลย ...โห เขาเก่งเกินกว่าที่เราคิดไว้เสียอีก แล้วก็มี (คนอ้างว่าเป็น) ศิษย์เก่าโรงเรียนภาษาอังกฤษบะหมี่ไวๆมายืนยันอีกด้วยว่า "ได้ผลจริงๆว่ะ" ให้ตายสิ ประเทศไทยเราสมควรมีอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเก่งๆแบบเทพ แบบเนี้ยมาตั้งนานนมแระ คนไทยจะได้เรียนลัดกันได้ แล้วฉลาดไวๆกันได้ เยอะๆ ยังไงล่ะ ตามไปอ่านดูดิ สุดยอดเลยจริงๆ ถ้าโรงเรียนนี้ไม่เก่งจริงแล้วลูกศิษย์เขาจะเข้ามากล่าวคำชมหรือ??? ตามไปอ่านดูได้ที่ link นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6028351/K6028351.html จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันลอยกระทง 21:20:19 ]

ความคิดเห็นที่ 14 เพิ่งนึกถึง elision ในภาษาไทยง่ายๆก็คือเมื่อกี้นี้นั่งมอเตอร์ไซค์เข้าซอย แล้วบอกว่า "ไปซอยยีบเก้า"   มันคือ elision ของคำว่า "ไปซอยยี่สิบเก้า ซึ่งก็ทีภาษาอังกฤษเขาพูดช้าๆ (strong form) เป็นว่า there is not any  แดร์ อีส นอท(หรือ "นาท" ถ้าเป็นภาษาอเมริกัน) เอนิ แล้วเขาพูดเร็วๆเป็น โดยใช้ elision เพื่อให้เป็น weak form there isn't any แดริสเซิ่นเทนิ แล้วถ้าคนไทยทั้งประเทศประนามคนอ่านข่าว ที่อ่านข่าวเร็วๆ คือแทนที่จะอ่านว่า "มีเทวดานั่งยานอวกาศมาลงที่ซอยยีบเก้า" แต่ต้องอ่านเร็วๆว่า "มีเทวดานั่งยานอวกาศมาลงที่ซอยยี่สิบเก้า" ก็เพราะว่ากลัวโดนพวกพลเมืองดีหาว่า "ไม่ออกเสียงอักขระให้ชัดเจน" เรากลับคิดอย่างสร้างสรรค์โดยไม่ตามชาวบ้านเหมือแพะเหมือนแกะนะ ว่า การห้ามใช้ elision และการห้ามใช้ weak form  ในภาษาไทย นั่น เป็นบทบาทของพวก hypocrites (พวกเสแสร้งเป็นพลเมืองดี) และเป็นการทำลายธรรมชาติของภาษาไทยอย่างแน่นอน ที่คิดเช่นนี้ก็เพราะว่า ถามหน่อย มีใครบ้างที่ไม่พูดคำว่า "ยีบเก้า" แทน "ยี่สิบเก้า" เวลาพูดเร็วๆ น่ะ ก็ในเมื่อง "ยีบเก้า" มันเป็นธรรมชาติ แล้วต้องไปอ่านข่าวต่อหน้าประชาชนทำไมต้องแกล้งอ่านชัดทุกอักขระด้วยล่ะ ??? คนอ่านข่าว BBC ก็ใช้ elisions หรือ weak forms เวลาอ่านข่าวเร็วๆ แต่ก็ไม่เห็นมีฝรั่งเจ้าของภาษาทีไหนไปประนามว่า "ออกเสียงอักขระไม่ชัดเจน" แก้ไขเมื่อ 25 พ.ย. 50 13:03:15 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 25 พ.ย. 50 12:58:13 ]

ความคิดเห็นที่ 15 เห็นด้วยกับการไม่อ่าน sub คะ เข้าใจว่าถ้าไม่คุ้นเคย ก็จะฟังไม่รู้เรื่องเลย เหมือนคนหูหนวก แต่แนะนำว่า ให้เริ่มจากของเด็กคะ เช่น การ์ตูนของวอลส์ ดิสนีย์ ซินเดอเรลล่า เจ้าหญิงนิทรา พวกนั้นนะคะ โหลดใน bit ก็ได้ ฟรี แล้วก็ไม่มี sub มันมีแต่ศัพท์แล้วก็ประโยคง่ายๆคะ พูดช้าและชัด แต่มีสำเนียงเหมือนจริง ทำให้คุ้นเคยกับภาษาเร็วขึ้นคะ ดูแล้วก็ดูอีกคะ ไม่ได้ดูเอาเนื้อเรื่อง แต่ดูจนกว่าจะฟังมันพูดออกทุกประโยคคะ แล้วค่อยเปลี่ยนไปเป็นหนัง วอลส์ดิสนีย์ หนังเด็ก หรือว่า harry potter ที่ยังไม่มีศัพ์มากมาย แต่การพูดคุย สนทนา เหมือนจริงมากขึ้น เร็วขึ้น แต่หูคุณเริ่มคุ้นสำเนียงมาจากในการ์ตูนแล้ว ก็จะปรับตรงนี้ไม่ยากคะ สุดท้าย ก็หนังปกติคะ หรือควรจะเริ่มจากหนัง x ดีคะ แต่ต้อง x ฝรั่งนะ ญี่ปุ่นไ่ม่เอา ญี่ปุ่่นร้องเยอะไปหน่อยคะ ไม่ค่อยได้สำเนียง ประโยคน้อยหน่อย อาจจะสร้างกำลังใจได้ดีกว่า ฮา ฮา จากคุณ : ok - [ 6 ธ.ค. 50 14:23:07 A:62.142.193.144 X: TicketID:159640 ]