ความคิดเห็นที่ 5
(ต่อครับ)
เล่าเรื่องส่วนตัวเพลินไปหน่อยครับ กลับมาเรื่องเทคนิค (เท่าที่พอนึกออก) ที่ทำให้พูดภาษาอังกฤษได้ดีกันดีกว่าครับ
1. ต้องไม่อาย (กล้าๆ หน่อย)
เรื่องการพูดโต้ตอบ (conversation) นี่ ต้องไม่กลัวพูดผิดครับ ถ้าผิดบ้างก็ต้องช่างมัน ลองนึกดูครับ เวลาเห็นฝรั่งพยายามพูดไทยกับเรา เขาพูดผิดบ้างเพี้ยนบ้าง ถึงเราจะฟังแล้วขำๆ แต่เราก็เข้าใจเขาใช่ไหมครับ ถ้าเราไม่เข้าเราทำยังไงครับ เราก็ถามคำถามง่าย ๆ หรือทวนคำพูดเขาถูกไหมครับ หนักข้อเข้าก็ต้องมีภาษามือกับท่าทางผสมบ้าง แต่ตอนนั้นเรามานั่งนึกไหมครับว่าอีตาฝรั่งคนนี้พูดไทยไม่ถูกหลักภาษาไทยเอาเสียเลย ไม่พูดด้วยดีกว่า ไม่มีหรอกครับ ฉันใดก็ฉันนั้น เวลาเขาไม่เข้าใจเรา และเขาก็เห็นอยู่แล้วว่าเราไม่ใช่เจ้าของภาษา ถ้าเขาเห็นเราภาษาไม่แข็งมาก เขาก็จะพูดช้าลง ใช้คำที่ง่ายขึ้น หรือทำมือทำไม้เข้าช่วยเองแหละครับ ที่สำคัญต้องกล้าพูดครับ
เรื่องไม่กล้านี่ บางทีคนเรียนเก่งๆ มาเป็นหนักกว่าคนเรียนปานกลางเสียอีกครับ ประมาณว่าไม่อยากเสียฟอร์ม ผมขอฟันธงเลยครับว่าพูดได้ไม่ได้แทบไม่เกี่ยวกับที่เล่าเรียนมาเลยครับ มีเรื่องเล่าให้ฟังครับ อย่างชื่อ Richard ถ้าเราอ่านว่า ริ-ช้าด มันก็ไม่ค่อยเหมือนเท่าไร แต่ผู้หญิงไทยที่ไม่ได้มีการศึกษาสูงอะไรเขากลับเรียกสามีฝรั่งของเขาว่า ริ-จุด กลับใกล้เคียงกว่าเสียอีกครับ ก็ขอให้กล้าๆ เข้าไว้ก่อนครับ ผิดถูกว่ากันทีหลัง แล้วค่อยๆ มาทำการบ้านเพื่อปรับปรุงจุดที่เราคิดว่ายังไม่ดีทีหลัง เอาแบบค่อยเป็นค่อยไปนะครับ
2. ต้องไม่แปล
สำคัญมากๆ ครับ คือเราคนไทยเวลาสอบภาษาอังกฤษ มักทำได้ดีเรื่อง vocab, grammar อะไรประมาณนี้ แต่พอพูดโต้ตอบ หลายคนที่ไม่เคยกลับอึกๆ อักๆ บ้างก็หลบไปเลย ทั้งที่ถ้าจะพูดจริงๆ ก็พูดได้ ก็ไม่อยากโทษแบบเรียนของเราหรอกครับว่ามันไม่เน้นการใช้งานจริงมันถึงเป็นปัญหาขนาดนี้ (ชาติอื่นเขาเริ่มเรียนภาษาอังกฤษช้ากว่าเรา แต่พูดได้ดีกว่าเราเสียอีกครับ) ที่เป็นอย่างนี้เพราะเวลาที่เราฟังเขา เราก็จะแปลเป็นไทยก่อน แล้วทำความเข้าใจเป็นภาษาไทย พอเราอยากพูดบ้าง เราก็คิดเป็นภาษาไทย แล้วก็แปลเป็นภาษาอังกฤษ แล้วค่อยพูด เห็นไหมครับว่ากระบวนการนี้มันช้าแค่ไหนกว่าจะโต้ตอบได้ มาดูเจ้าของภาษากันบ้าง เวลาฟังภาษาอังกฤษ เขาก็เข้าใจเลย ไม่ต้องแปล และเวลาคิดก็คิดเป็นภาษาอังกฤษ ไม่ต้องแปลอีก พูดได้เลย มันก็สามารถโต้ตอบได้ทันใจสิครับ ลองดูอีกทีนะครับ
คนไทย: ฟังอังกฤษ --> แปล(ในใจ)เป็นไทย --> เข้าใจ คิดเป็นไทย --> แปล(ในใจ)เป็นอังกฤษ --> พูดเป็นอังกฤษ ฝรั่ง: ฟังอังกฤษ --> เข้าใจ คิดเป็นอังกฤษ --> พูดเป็นอังกฤษ
ถ้าอยากพูดได้เหมือนเขา (ขอย้ำให้ตั้งเป้าว่าเอาให้เหมือน เพราะสุดท้ายถึงจะไม่เหมือนก็ยังใกล้เคียงกว่าตั้งเป้าไม่สูงครับ) ก็ต้องใช้วิธีเดียวกับเขาครับ
วิธีฝึก: ต้องโต้ตอบอัตโนมัติครับ ลองให้เพื่อนชี้ไปที่อะไรสักอย่าง แล้วถามคุณว่า What's this? คุณต้องทันทีเลยนะครับว่า It's a newspaper. แล้วต้องไม่คิดเป็นภาษาไทยในใจก่อนนะครับว่า เอาล่ะ ฉันจะต้องตอบว่า นี่คือหนังสือพิมพ์ นี่คือก็ This is หนังสือพิมพ์ก็อะไรน้า อ๋อ newspaper แล้วก็พูด This is newspaper. เสร็จครับเสร็จ พูดไม่ถูกอีกต่างหาก เพราะฉะนั้น อย่าแปลครับอย่าแปล
3. ข้ามคำที่ไม่รู้
เวลาอ่านหรือฟัง คนไทยมักมีปัญหาว่าฉันต้องแปลให้ได้ทุกคำซะก่อน ถึงจะเข้าใจ จริงๆ แล้วตรงกันข้ามเลยครับ ที่คุณต้องทำคือเข้าใจคำที่สำคัญเท่านั้นก็พอครับ ลองนึกดูครับเวลาเราพูดกับคนไทยด้วยกันเอง เคยไม่ครับที่ได้ยินแค่แว่วๆ แต่รู้ว่าเพื่อนมันนินทาอะไรเรา :) ก็คล้ายๆ กันนั่นแหละครับ เคยอ่านมานะครับว่าเราสามารถเสียข้อความไปได้ 25% (บางกรณีก็ได้มากถึง 50%) เราก็ยังเข้าใจข้อความที่ผู้พูดต้องการสื่อสารได้ คือถ้าเราต้องการจะแปลทุกคำนะครับ พอเราติดคำเดียว เราก็จะพยายามแปลคำนั้นให้ได้ แล้วเป็นไงครับ คนที่พูดด้วยเขาพูดต่อไปอีก 6-7 ครับ เสร็จครับห่วงคำเดียว แต่ไม่ทันได้ฟังอีก 6-7 คำที่เหลือ แล้วอย่างนี้จะไปเข้าใจเขาได้อย่างไรครับ
ผมเข้าใจครับว่าคนไทยคิดว่าคนเก่งภาษาคือคนที่รู้ศัพท์เยอะๆ จริงๆ แล้ว vocab ที่มากไม่ใช่ประเด็นหลักหรอกครับ จำได้เคยดูรายการอะไรสักอย่าง เขาเอาคนที่พูดได้หลายร้อยภาษา (ประมาณว่าลงกินเนสสมัยนั้น) เขายังบอกเองเลยครับว่า ถ้าเขาต้องการเรียนภาษาใหม่ เขาขอแค่ประมาณ 2000 คำเท่านั้นก็พูดภาษานั้นได้รู้เรื่องกันแล้ว และถ้ามีความจำเป็นจริงๆ ในกรณีเร่งด่วนก็ยังอาจตัดทอนจำนวนคำลงเหลือแค่ประมาณ 400 คำเท่านั้นก็สามารถไปเที่ยวประเทศนั้นๆ ได้แล้ว ผมยังไม่เคยลองทำเองขนาดนั้นนะครับ แต่คงพอเห็นนะครับว่า vocab ไม่ใช่สิ่งที่จำเป็นที่สุดในการสื่อสาร
4. ถ้าฟังไม่รู้เรื่อง ให้ถามกลับ
อันนี้ผมใช้บ่อยครับ เพราะฝรั่งแต่ละคนสำเนียงก็ไม่เหมือนกัน บางคนก็ฟังยากครับ (ลองนึกถึงฝรั่งหัดพูดไทยกับคนกรุงเทพฯ แล้วต้องไปคุยกับชาวบ้านที่พูดอีสาน หรือแหลงใต้ดูสิครับ) หรืออย่างเวลาคุยโทรศัพท์ ซึ่งเป็นโจทย์ที่ยากกว่าการคุยแบบตัวต่อตัว เพราะเราจะไม่เห็นสีหน้าท่าทางของอีกฝ่าย ตลอดจนถึงการขยับปากของผู้พูด คล้ายๆ กับให้ปิดตาข้างหนึ่งแล้ววิ่งขึ้นลงบันใด (อย่าลองทำนะครับ ขอเตือน) มันจะยากขึ้นเอาเรื่องเหมือนกัน (บางทีคุยกับคนไทยด้วยกันนี่แหละยังต้องถามกลับไปเลยว่า เมื่อกี้คุณว่าอย่างนั้นอย่างนี้ใช่ไหม) เทคนิคก็ไม่ยากหรอกครับ ก็ใช้วิธีถามกลับครับ โดยพยายามถามให้คนตอบจะตอบแต่คำตอบสั้นๆ ฟังง่ายๆ อย่าง Yes หรือ No ก็ยิ่งดีครับ ลองตัวอย่างนะครับ
E: I'd like you to wri ????? tomorrow. T: Did you say you'd like like me to write that report by tomorrow? E: Yeah. But not just write it, email it to me too, okay? T: Yes sir. You can trust me on that.
E: I believe Somchai can(t?) finish it by the end of this month. T: You think he can or cannot finish it? E: I said he cannot finish it. T: Okay. I get it.
E: Can you help me on ...blah blah blah... and ...blah blah blah... and let me know by the end of this week? T: Okay, let's make sure I understand you correctly. You want me to do ... and ... and ... Is that all, sir? E: Yes, and please keep Brian in the loop too.
พอได้ไอเดียนะครับ จะว่าไปเทคนิคนี้ก็คล้ายๆ กับการทวนออเดอร์ของเด็กเสิร์ฟนั่นแหละครับ :) เป็นการย้ำให้แน่ใจครับว่าเราได้ยินเขาถูกแล้ว อาจจะน่ารำคาญบ้างถ้าใช้บ่อยๆ แต่ถ้าคนฟังเข้าใจว่าเราอยากแน่ใจว่าเราได้ยินเขา เข้าใจเขาถูกต้องแล้ว ก็น่าจะเป็นเรื่องที่ดีกับทุกฝ่ายนะครับ
5. ต้องทำตัวเป็นเด็ก
อันนี้ต่างจากข้ออื่นๆ นะครับ เพราะข้อนี้ไม่ได้ให้ทำตอนที่กำลังโต้ตอบนะครับ แต่เป็นการฝึกฝนที่เราต้องหมั่นทำครับ เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมเราถึงฟังฝรั่งพูดบางทีลำบากจนเหนื่อยใจ หัดเป็นสิบๆ ปีก็ได้ผลไม่มาก แต่ถ้าส่งเด็กไม่ถึงสิบขวบไปอยู่เมืองนอก แป๊ปเดียวฟังภาษาเขาพูดภาษาเขาได้แล้ว เอ๊ะหรือเด็กป.4 จะเก่งกว่าเราจริงๆ :) มีทฤษฎีครับ ถ้าเทียบไปก็คล้ายกับน้ำเต็มแก้ว หรือไม้อ่อนดัดง่ายนั่นแหละครับ ทฤษฎีเขาว่าไว้ว่า ตอนเด็กๆ การแบ่งเสียงต่างๆ ที่ได้ยินว่าเป็นเสียงอักษรใด สระใดนั้น ยังไม่แข็งครับ ยังปรับเปลี่ยนได้ไม่ยาก แต่ยิ่งเราอายุมากขึ้นเจ้าเสียงต่างๆ เหล่านี้มันก็จะชัดขึ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดเราก็ไม่สามารถได้ยินเสียงที่อยู่นอกเหนือจากภาษาของเราได้ และรวมถึงการพูดด้วย นี่พออธิบายได้ว่าทำไมเราถึงแยกเสียง th ออกจาก t หรือ d ไม่ได้ เพราะพอเราได้ยินเสียงนี้ปุ๊บ สมองเราก็จะต้องปัดให้ลงในช่องของเสียงที่ใกล้เคียงกับภาษาของเราที่สุด ซึ่งก็คือ t หรือ d แล้วแต่กรณี เพราะภาษาเราไม่มี th ครับ พอจะพูด th บ้างก็พูดไม่ได้ครับ เพราะไม่มีเสียงนี้ในสมอง ต้องออกเสียงเป็น t หรือ d ไป เวลาฝรั่งฟังบางทีก็งงไม่แน่ใจว่าเราพูดอะไรครับ เสียงที่มีปัญหากันบ่อยก็คือ sh กับ ch และ v กับ f (หรือ w) เป็นต้นครับ ผมเองเคยลองแกล้งเพื่อนฝรั่งเล่นๆ ลองสอนให้เขาพูดตามเราว่า ใครขายไข่ไก่ (กลายเป็น Krai kai kai kai) ทวนอยู่หลายเที่ยว ฟังแล้วก็ขำกลิ้งทุกทีครับ มันบอก I can hear they're different, but I can't just say it. ฮึๆ (ตาเราขำมันบ้าง)
ต้องลองไปฝึกดูครับ เขาแนะว่าอย่างนี้นะครับ ลองไปดูหนัง (เดี๋ยวนี้ดูทีวีก็มี soundtrack ให้ฟังง่ายๆ ไม่เปลืองตังค์เยอะแยะครับ) แต่อย่าพยายามทำความเข้าใจสิ่งที่เขาพูด อย่าแม้แต่จะพยายามแปลนะครับ ลองนึกดูครับ ว่าเวลาที่คุณอายุไม่ถึงขวบ มีใครต้องมาแปลให้คุณฟังไม่ครับ ว่าคุณพ่อหรือคุณแม่ท่านคุยอะไรกับคุณ ก็แล้วคุณเข้าใจท่านได้ยังไงเล่าครับ แล้วคุณเริ่มพูดได้เองได้ยังไงครับ (ไม่ต้องเรียนเป็นสิบๆ ปีเลย) แล้วถ้าไม่แปลแล้วให้ฟังทำไม่ คำตอบคือให้ฟังเสียงครับ ให้เสียงเข้าหูคุณแล้วฟังเสียงอย่างที่มันเป็น การที่เราไม่พยายามจะเข้าใจสิ่งที่ได้ยิน แต่พยายามฟังเสียงนั้น จะเพิ่มโอกาสให้เราอนุญาตให้สมองเรารู้จักเสียงใหม่ได้ครับ ไม่ต้องเร่งนะครับ พอคุณได้ยินแล้วก็จะได้ยินเอง (เหมือนเด็กนั่นแหละ) แล้วคราวนี้คุณก็จะรู้เองครับว่า sh กับ ch นั้นไม่เหมือนกัน th นั้นมีมากกว่าหนึ่งเสียง แล้วตัว v ก็ไม่ใช้ทั้ง ว และก็ไม่ใช่ ฟ ด้วย แล้ว a an the ก็ไม่ได้ออกเสียงว่า เอ แอน เดอะ อย่างที่สอนกันในห้องเรียนอีกต่อไป
เขียนมายาวมากแล้ว เอาเท่าที่นึกออกตอนนี้ก่อนก็แล้วกันนะครับ หวังว่าคงมีประโยชน์ไม่มากก็น้อยนะครับ :)
จากคุณ :
ลุงแว่นใจดี
- [
17 ธ.ค. 50 07:21:48
A:202.91.18.206 X:
]
|
|
|