ความคิดเห็นที่ 1 1 ต้นทุนก็จะขึ้นกับจำนวนหน้าและเนื้อกระดาษที่ใช้พิมพ์ครับ แต่แน่นอนว่าต้อง สูงกว่า สนพ. ที่พิมพ์จำหน่าย mass อยู่แล้ว 2 สามารถฝากขายได้ครับ ถ้าขายตามร้านเล็กๆก็แล้วแต่จะคุยกะเจ้าของร้าน ถ้าฝากตามร้านใหญ่ๆ จะต้องทำสัญญา ค่อนข้างยุ่งยากนิดนึงคือ ต้องทำเอกสาร เช่น ใบส่งของ ให้เขาด้วย 2.1 ขึ้นอยู่กับสัญญาของแต่ละที่ครับ คิดว่าคงไม่เท่ากัน และขึ้นกับระยะเวลาด้วย อาจอยู่ที่ประมาณ 25%-40% ของราคาปก 3 คนอ่านจะสนใจมั้ย อยู่ที่หลายปัจจัยครับ หนังสือดีก็คงขายได้ แต่การโปรโมท ย่อมสู้พวกหนังสือที่รายใหญ่ทำไม่ได้อยู่แล้ว หนังสือของคุณอาจได้วางอยู่้บน ชั้นหลังๆร้าน รอให้นักอ่านผู้โชคดีผ่านไปค้นพบเอง เป็นต้น ถ้าคิดจะทำหนังสือขายเอง ก็ควรคิดแผนการตลาดและประเมินความเป็นไปได้ ให้ดีๆก่อนครับ ถ้าคุณมีเรื่องลงตามเว็บแล้ว ก็อาจใช้วิธีสอบถามคนอ่านว่าใคร อยากได้บ้าง แล้วให้คนอ่านสั่งจองแล้วทำเท่าที่มีคนจอง ก็จะลงทุนไม่มากและ ขายได้หมดแน่นอน แต่ถ้าอยากทำจำหน่ายในวงกว้างเอง (อย่างเช่น คุณวินทร์) ก็ควรจะมั่นใจในฐานคนอ่านพอสมควรนะครับ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทำได้แบบนั้น หนังสือของคุณอาจดีเยี่ยมก็ได้ แต่การขายหนังสือหนึ่งเล่มมีอะไรมากกว่านั้นเยอะ ไม่ใช่ว่าหนังสือที่เขียนดีทุกเล่มจะต้องขายดีเสมอไป ทั้งเงินทุน แผนการตลาด การโปรโมท การจัดจำหน่าย ต้องเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายครับ ไม่ใช่งา่นที่ทำคนเดียว ถ้าคุณมีหนังสือจะขายแค่เล่มเดียว ผมคงไม่แนะนำให้ิลงทุนทำอะไรใหญ่โต น่าจะ นำไปเสนอ สนพ. มากกว่า ไม่ก็เอาโปรโมทตามเว็บนิยายออนไลน์ แล้วให้คนที่ อยากได้สั่งจอง ถ้าคิดจะจัดจำหน่ายในวงกว้างเชิงธุรกิจ ก็ต้องมั่นใจว่าคุณจะมี งานออกมาต่อเนื่อง เล่มแรกอาจขายไม่ดี เล่มต่อๆมาอาจดีขึ้น เมื่อเริ่มมีคนรู้จัก และติดตาม และก็ต้องตัดสินใจด้วยว่าจะทำในรูปแบบอะไร เจ้าของคนเดียว คณะ บุคคล บริษัท หรืออะไร อย่าลืมว่าถ้าจะขายผ่านร้านใหญ่ๆอย่างซีเอ็ด, B2S คุณต้องทำเอกสารทางบัญชีให้เขาด้วยนะครับ และอาจมีเรื่องทางภาษีมาเกี่ยวข้อง อาจต้องปรึกษากับผู้รู้ว่า ควรทำออกมาในลักษณะใดดี ส่วนมากเท่าที่ผมเห็น หนังสือทำมือจะทำขายให้คนอ่านผ่านการจองตามเว็บครับ ไม่ค่อยมีการทำแบบขายเองในวงกว้าง ด้วยเหตุผลคือมันยุ่งยา่กนี่แหละครับ จากคุณ : sundown (sundown) - [ 25 ธ.ค. 50 13:48:15 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ๑)  จำนวนพิมพ์น้อยต้นทุนต่อหน่วยย่อมสูงเป็นเรื่องปกติ  หากจะกดราคาไม่ให้สูงมากจำนวนพิมพ์ขั้นต่ำควรจะอยู่ที่ ๓,๐๐๐ เล่ม  จะช่วยกดราคาผกของหนังสือลงมาอยู่ในระดับเฉลี่ยที่ขายกันอยู่ในตลาด ๒) หากคิดจะขายเองคงจะต้องเหนื่อยพอสมควรที่จะต้องวิ่งติดต่อร้านหนังสือต่างๆ  และโอกาสเสี่ยงสูง  หากมีทุนทรัพย์มากพอที่จะลงทุนและคอยเก็บผลลัพท์ในระยะยาวก็อาจฝากให้ศูฯย์หนังสือหรือสายส่ง เช่น ศูนย์หนังสือจุฬาฯ  เคล็ดไทย  ซีเอ็ด ฯลฯ ช่วยจัดจำหน่ายให้  แต่ต้องเสียส่วนลดให้ผู้จัดจำหน่ายตามอัตรา  ปกตืจะอยู่ที่ ๓๐ - ๓๕% ของราคาปก  แต่ในบางกรณี เช่น กรณีขายให้สายส่งแบบไม่รับหนังสือคืนอาจต้องมีส่วนลดถึง ๔๐% หรือมากกว่า  แต่ถ้าเป็นนักเขียนหน้าใหม่คงจะไม่มีรายไหนรับจัดจำหน่ายในรูปแบบนี้  นอกจากนั้นยังมีเงื่อนไขการจ่ายเงินให้เจ้าของหนังสือเช่น หนังสือวางตลาดแล้ว ๓ เดือน  จึงให้เช็คยอดจำหน่าย  แล้ววางบิลเก็บเงิน  เบ็ดเสร็จกว่าจะได้รับเงินงวดแรกก็ปาเข้าไปราว ๖ เดือน  การเช็คยอดหนังสือให้ทำทุก ๓ เดือนต่อๆ ไป  (เรื่องระยะเวลานี้แล้วแต่จะตกลงกันนะครับ  ที่ยกมาเป็นเพียงตัวอย่าง) ๓) ประเด็นเรื่องผู้อ่านจะสนใจหรือไม่  ประเด็นนี้ดูแล้วน่าจะเป็นเรื่องรอง  ปัญหาใหญ่น่าจะอยู่ที่จะประชาสัมพันธ์อย่างไรให้ผู้อ่านรู้จักหนังสือของเรา  ในกรณีที่มอบให้สายส่งเป็นผู้จัดจำหน่ายนั้นทางสายส่งจะมีวิธีการประชาสัมพันธ์หนังสือที่เขาเป็นผู้จัดจำหน่ายให้อยู่แล้ว  แต่เมื่อได้ประโยชน์เจ้าของหนังสือก็ต้องยอมเสียประโยชน์จากหนังสือที่ทางสายส่งนำไปโปรโมตนั้นด้วย  เพราะหนังสือที่นำไปโปรโมตนี้เขาจะนำมาหักออกจากยอดจำหน่าย  พูดง่ายๆ ก็คือเอาไปแจกฟรีนั่นแหละครับ  เจ้าของหนังสือต้องยอมเสียในส่วนนี้โดยไม่มีข้อโต้แย้ง โดยส่วนตัวผมเคยทำหนังสือนามสกุลพระราชทานรัชกาลที่ ๖ ให้หน่วยงานที่ทำงานอยู่  ใช้เวลาทำต้นฉบับอยู่ ๕ ปี  เมื่อเวลาจะจัดพิมพ์ผมไปตกลงขอเครดิตจากโรงพิมพ์ว่า  ขอให้โรงพิมพ์พิมพ์ให้ก่อน  แล้วผมจะขายหนังสือนี้แล้วเอาเงินมาจ่ายโรงพิมพ์  เมื่อหนังสือพิมพ์เสร็จผมจัดงานนิทรรศการนามสกุลพระราชทาน ๗ วัน  ตลอด ๗ วันขายหนังสือนามสกุลเล่มละ ๕๐๐ บาท ได้กว่า ๒๐๐ เล่ม  และผมสามารถเคลียร์เงินค่าพิมพ์กว่า ห้าแสนบาทให้โรงพิมพ์ได้ภายในเวลาสามเดือนเศษ  แต่กว่าจะได้เงินก้อนนั้นมาก็เหนื่อยเอาเรื่อง  แต่โชคดีที่ได้รับความอนุเคราะห์จากสื่อต่างๆ ช่วยกันประชาสัมพันธ์  เลยสามารถขายหนังสือได้กว่า ๖๐๐ เล่มในเวลา ๓ เดือนเศษ  จากนั้นก็เก็บเบี้ยใต้ถุนร้านมาเรื่อยจนถึงปัจจุบันซึ่งหนังสือจำนวน ๒,๐๐๐ เล่มที่พิมพ์มาครั้งนั้นจำหน่ายไปจนเหลือไม่ถึง ๑๐๐ เล่มแล้ว  ก็ขอฝากเป็นข้อคิดสำหรับท่านที่คิดจะลงทุนพิมพ์หนังสือจำหน่าย  ถ้าไม่พร้อมที่จะลงทุนเป็นเงินก้อนแล้วตามเก็บเบี้ยใต้ถุนร้านก็ขอแนะนำให้วิธีส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์พิจารณาจัดพิมพ์ให้ดีกว่า   เริ่มพิมพ์เองขายเองนี้  เมื่อผมเขียนหนังสือเรื่องเมืองเชียงใหม่โดยใช้ข้อมูลจากแผนที่เก่าเป็นตัวอธิบายข้อมูลทางประวัติศาสตร์  ซึ่งข้อมูลที่นำเสนอไว้ในหนังสือนั้นจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางประวัติศาสตร์เมืองเชียงใหม่ครั้งใหญ่แล้วเสร็จ  ก็คิดจะพิมพ์และจำหน่ายเองเหมือนกัน  แต่พอย้อนกลับไปดูเมื่อครั้งทำหนังสือนามสกุลแล้ว  เลยต้องเลิกล้มความตั้งใจนั้น  แล้วส่งต้นฉบับให้สำนักพิมพ์ช่วยจัดพิมพ์ให้  แม้จะต้องใช้เวลาตรวจสอบข้อมูลทางวิชาการและดำเนินกระบวนการจัดพิมพ์หลายเดือน  แต่ไม้ต้องลงทุนเอง  เพียงแค่คอยรับค่าเขียนตามยอดจำหน่ายที่สำนักพิมพ์จะจ่ายให้เป็นงวด  ดูแล้วก็สมประโยชน์ดีกว่าลงทุนเอง จากคุณ : V_Mee - [ 25 ธ.ค. 50 22:03:33 ]