ความคิดเห็นที่ 1 Hello, first of all, I think I should introduce myself first as I am going to ask for your favours for a long time. I'm a prospective student in The United States of America. This writing was intended to practice my English writing skill and also to ask for your help to correct mistakes. Now I'm quite hesitated about what to write. Well, this essay definitely has no problem because it's just an introduction one. But for future articles, I'm thinking about just writing some soft-topic like diary or stuff like that. But I'm afraid that it wouldn't be able to attract people to take an interest in; who really wants to read people's babbling, right? So, I ask myself whether I should write about more serious topic. May be things that I'm already fond at. It could definitely attract one who wants to know some particular subjects and also kind people. Can you tell me what topic I should write? Let's start with my present situation. I've planned to go to USA in 2009, to study MBA. Well, to tell you the truth I'm quite unaware of the TOEFL exam, because I reckon that I should meet the requirement of my dream university not so hard. It has been in my head for quite a long time to write in the website, Pantip.com, and ask for some comments; however, I didn't start anyway. Until yesterday, after a thorough speculation of requirement, I found one surprising requirement criterion that could, finally, make me launch this project. The target university requires 25 marks out of 30 in the writing section. Jeez, now I'm not quite sure whether I can do it or not. Well, that's why I'm here. Finally start writing something. I think this should be, for this introductory writing. Thanks in advance, I do appreciate your help. :-D จากคุณ : Newbie - [ 22 ม.ค. 51 23:03:35 A:124.120.160.38 X: TicketID:164886 ]

ความคิดเห็นที่ 2 จริงๆผมอยากจะยำให้แยอะกว่านี้ แต่กลัวว่ามันจะกลายเป็นภาษาของผมเอง ไม่ใช่ภาษาของ จขกท. เลยยั้งมือไว้ก่อน จากคุณ : Newbie - [ 22 ม.ค. 51 23:05:07 A:124.120.160.38 X: TicketID:164886 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ของคุณ Tom Cruise Hello, first of all, I think I should introduce myself first as I am going to ask for your favours for a long time. ผิดตรง to ask for your favours ที่ถูกควรเป็น to ask you a favor ‘for a long time’ ทำให้ตีความได้ว่า ‘the action of asking takes a long time’ I'm a prospective student in United States of America. เขียนแบบนี้นะ It means you’re already in the United States. This writing aims at practicing my writing skill and also to ask for help from you to correct mistakes. คำว่า aim เนี่ยใช้ลำบากเหมือนกันนะ เขาใช้ยังงี้ aim to do something หรือ is aimed at something ลองใหม่แบบนี้สิ ทีแรกจะเขียนว่า This writing is aimed at practicing my writing (written) skills and asking you to help correct my mistakes.  ก็ดูกระไร เพราะมี คำว่า writing 2 ที ดูไม่ดี   เลยลองรื้อประโยคดูใหม่หมดเป็น I write this article with intention of improving my English.  I would be grateful if you would kindly help correct my grammatical mistakes. คราวนี้ของคุณ Newbie: This writing was intended to practice my English writing skill and also to ask for your help to correct mistakes. ถ้าเป็นคน ก็น่าจะเป็น I intend to practice แต่ถ้าเป็น writing ก็น่าจะใช้กับ for นะ แต่เปลี่ยน writing เป็น article เพื่อไม่ให้มี writing 2 ที่ก็แล้วกัน ก็ได้อะไรประมาณเนี้ย This article is intended for improvement of my writing (written) skills. I would be grateful if you would kindly help correct my mistakes. ถ้าไม่ชำนาญ พยายามตัดประโยคให้สั้นลง จะได้เขียนง่ายๆหน่อย ของคุณ Tom Cruise: Now I'm quite hesitated what to write about. ของคุณ Newbie: Now I'm quite hesitated about what to write. ผิดทั้งคู่ เพราะว่า   I’m hesitated ไม่ได้ แต่ต้องเป็น I hesitated   ลองแบบนี้ดูดิ I started to write but hesitated, searching for just the right topic. ของคุณ Tom Cruise: But the future articles, I'm thinking about just writing some soft-topic like diary or stuff like that. ประโยคนี้สับสนมากๆเลย ลองแบบนี้ดูดิ I think my future articles should be ของคุณ Tom Cruise: So, I ask myself should I write in more serious topic? ผิดตรง write in ของคุณ Newbie: So, I ask myself whether I should write about more serious topic. ผิดตรง about I write about something. อย่างนี้ OK หรือ I write a topic. อย่างนี้ OK เลยน่าจะเป็น So, I asked myself whether I should write a more serious topic. ของคุณ Tom Cruise: Can you tell me what topic should I write? อันนี้ผิด ของคุณ Newbie: Can you tell me what topic I should write? อันนี้ถูก ของคุณ Tom Cruise: May be things that I'm already fond at. ต้องมี the หน้า things ไม่ใช่ fond at แต่เป็น fond of already น่าจะเป็น really ของคุณ Tom Cruise: It could definitely attract one who wants to know some particular subject and also kind people. คำว่า definitely แสดงความมั่นใจ แต่ could แสดงความไม่มั่นใจ มันเลยขัดกัน one ต้องเป็น someone .to know some particular subject and also kind people สื่อความหมายไม่ชัดเจน เพราะไม่รู้ว่า attract someone who wants to แล้ว attract kind people หรือ to know some particular subject และ to know kind people. ของคุณ Tom Cruise: Well, to tell you the truth I quite have no concern about TOEFL because I reckon that I should meet the requirement of my dream universities not so hardly. คำว่า hardly แปลว่า “แทบจะไม่” ตีความว่าจะพยายามบอกว่า TOEFL หมู ไม่กังวล แล้วคงเป็นไปตามข้อกำหนด ได้ไม่ยากนัก   คำว่า no concern ดูเหมือนพยายามบอกว่า “ไม่กังวล”  แต่ความสับสนของคำในประโยค ทำให้อาจสื่อความหมายได้ว่า  “ไม่ห่วงใย TOEFL (ว่ามันจะป่วยไข้หรือเปล่า?)” หรือไม่อยากจะยุ่งกับมัน ของคุณ Newbie: Well, to tell you the truth I'm quite unaware of the TOEFL exam, because I reckon that I should meet the requirement of my dream university not so hard. อันนี้คุณพอจะเดาได้ว่า ต้องเป็น hard ไม่ใช่ hardly แต่ก็ยังเรียงประโยคสับสน ค่าว่า unaware อ่านแล้วสื่อความหมายว่า “โดน TOEFL เล่นงานเอาโดยไม่รู้ตัว” ลองแบบนี้ดิ  ตัดประโยคให้สั้น (ถ้าไม่ชำนาญ ยิ่งเขียนยาวมาก ก็ยิ่งผิดมาก) เอาศัพท์ง่ายๆเลย  จะได้เขียนง่ายๆหน่อย Well, to tell you the truth TOEFL doesn’t worry me; I should be able to meet the requirements of my dream university without difficulty. หรือถ้าชอบคำว่า hard ก็ลองแบบนี้ดู Well, to tell you the truth TOEFL doesn’t worry me.  I shouldn’t find it hard to meet the requirements of my dream university. แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 06:43:49 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 05:33:46 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แฮ่กๆๆๆๆๆ...หมดแรง....ไม่ได้แก้ให้หมดทุกจุด ....ยังมีผิดอีกเยอะมากทั้ง 2 คน แนะนำว่า วิธีเรียนการเขียนที่ดี อย่าเพิ่งเขียนอะไรยาวๆแบบนี้ แล้วหวังว่าจะมีคน edit หรือแก้ไขให้ได้ เนื่องจากว่าเวลาเรียนในสถาบันการศึกษา นักเรียนหรือนักศึกษามีเป็นร้อยๆพันๆ อาจารย์มีแค่ไม่กี่คน ถ้าอาจารย์แก้ให้นักเรียนแล้วอธิบายโดยละเอียดแค่ 5 คน ละก้อจะไม่มีเวลาเตรียมการสอนเลย ....เพราะมันกินเวลานานมากๆ ....แถมอาจารย์ยังจะต้องซัดพาราเป็นกำๆอีกด้วยอ้ะ.... อีกทั้งถ้าแก้ไปแล้ว คนแก้ก็ไม่มีเวลาบอกว่าผิดตรงไหน เพราะอะไร จีงทำให้ learner แทบจะไม่ได้เรียนรู้จากการโดนแก้เลยแม้แต่นิดเดียว แล้วจะเรียนเขียนอย่างไรล่ะ? จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 05:55:09 ]

ความคิดเห็นที่ 5 วิธีการเรียนที่ถูกต้อง ให้ทำอย่างนี้นะ คำศัพท์พื้นฐานที่สุดที่คนใช้กัน มีอยู่ประมาณ 2,000 คำ  (เราเรียกว่า defining vocabulary) ให้เรียนคำศัพท์พวกนี้ใหม่หมด คือ unlearn and relearn them ฟังแล้วงงหรือเปล่า? คืออย่างนี้นะ ศัพท์พวกเนี้ย นักศึกษามหาลัยระดับปริญญาตรีเกือบจะทุกคน รู้คำแปลมันหมดทุกตัว แต่พวกเขา learned to understand ไม่ได้ learned to compose สิ่งที่คนไทยหลายๆคนอาจไม่เคยได้ยินมา นั่นก็คือว่า ภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่มีความพิศดารมากที่สุดในโลก เจ้าของภาษาใช้คำศัพท์เกือบทุกคำ โดยผสมผสานกับคำอื่นๆเป็นกลุ่มๆเฉพาะเจาะจง (เรียกว่า collocations)  ที่คนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษาต้องจำนับไม่ถ้วน  ม่ายงั้นเขียนผิด คือเขียนขาดหรือเขียนเกิน   ใครก็ตามที่ไม่ได้เกิดและไม่ได้โตในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ไม่มีทางที่จะเรียนเขียนภาษาอังกฤษได้ถูกต้อง ยกเว้นเสียแต่ว่า .... ยกเว้นเสียแต่ว่าอะไร?? ยกเว้นเสียแต่ว่า จะ unlearn and relearn all the words that you know โดยการเรียนจาก esl dictionaries ซึ่งฝรั่งที่มีประสบการณ์การสอนภาษาอังกฤษทำไว้ให้ non-native speakers ใช้จำว่าคำศัพท์แต่ละคำ มันใช้สร้างประโยคได้อย่างไรนั่นเอง เพราะว่ามันมีตัวอย่างประโยคให้จำไปเลียนแบบนั่นเอง.... นั่นก็คือ learn to understand and compose ภายในเวลาเดียวกัน โดยการเรียนคำศัพท์พื้นฐาน 2000 คำ (ที่รู้อยู่แล้ว) ใหม่หมดเลย โดยเปิด esl dictionaries เพื่อดูว่ามันเอาไปสร้างประโยคในระดับพื้นฐานอย่างไร แล้วหัดเขียนประโยคสั้นๆ เป็นประโยคเดี่ยวๆ แค่ที่ละ 2-3 ประโยคก่อน จนกว่าจะคล่อง แล้วค่อยมาลงมือเรียนเขียน paragraphs ยาวๆใหม่ อยากเห็นหน้า 2000 คำ (defining vocabulary) ที่ว่านี้ ให้ตาม link ข้างล่างนี้ไปดู http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 06:38:06 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 06:00:03 ]

ความคิดเห็นที่ 6 esl dictionaries คืออะไร? มันเป็น dictionaries ที่ทำขึ้นเพื่อคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองนั่นเอง มีอยู่ 4 เล่มซึ่งเป็นที่รู้จักกันทั่วโลกคือ Longman Dictionary of Contemporary English Oxford Advanced Learner's Dictionary Cambridge Advanced Learner's Dictionry Collins Cobuild Advanced Learner's Dictionary จำไว้ว่า ใครก้อตามที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง  ถ้าไม่หมั่นเปิด esl dictionaries 4 เล่มที่ว่านี้บ่อยๆ แล้วหัดจำ ตัวอย่างประโยค เอาไปเลียนแบบใช้งานพลิกแพลงเองนะ  ต่อให้ไปใช้ชีวิตอยู่อีก 10 ปี ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ ก็จะไม่มีทางเขียนภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติได้เลย  เว้นเสียแต่ว่าจะไปอยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษตั้งแต่อายุไม่เกิน 13 ขวบ ทั้งห้องสมุด pantip ใครๆก็ได้แต่ถามไถ่กันเรื่องว่าเรียนเขียนภาษาอังกฤษ ที่ไหนดี  มีแต่คนพูดถึง Wall Street กับครูเคท ....หรือ Fast English (ที่คุยว่าเรียนแค่กฎ grammar 25 กฏ ก็เขียนภาษาอังกฤษไม่ผิด ....เป็นไปไม่ได้???) แต่ไม่เคยมีใครพูดถึง esl dictionaries เลย อนิจา....บ้าที่สุดเลย....!!!! จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 06:09:34 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คำศัพท์ภาษาอังกฤษมีมายมายเกินกว่าจะนับได้  ใครรู้คำศัพท์มากถึง 5,000 คำ แล้วใช้สร้างประโยคพลิกแพลงได้อย่างถูกต้องในหลายๆรูปแบบ ก็นับได้ว่าเป็นเทพของเทพไปแล้ว แต่นักเขียนที่เก่งๆ รู้คำศัพท์มากกว่านั้นอีกตั้งเยอะ ความรู้ defining vocabulary (คือ 2000 คำที่ว่านี้ ที่ให้ link ไป) เป็นบันไดขั้นพื้นฐานที่จะช่วยให้ learner เปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษได้หมดทุกเล่ม เนื่องจาก dictionary ทุกเล่ม มักจะใช้คำศัพท์ 2000 คำ เขียนนิยามของคำศัพท์ทั้งหมด เอาแค่ลองเปิดดู 2000 คำที่ว่านี้ แล้วลองนั่งนับจำนวน collocations ที่ learner ต้องจำ  แล้วคำนวณความเป็นไปได้ดู จะพบว่า มี collocations ที่ต้องจำนับเป็นหมื่นๆแสนๆความเป็นไปได้ คำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำ เมื่อเปลี่ยน collocation ไป มันจะมีความหมายเปลี่ยนไปเรื่อยๆ มันแปลเป็นกลุ่มคำตั้งแต่ในระดับพื้นฐานไปจนถึงระดับวรรณกรรมคลาสสิก   ในขณะที่คำศัพท์ในภาษาไทยกับจีน แปลเป็นคำๆโดดๆเกือบหมด จะแปลเป็นกลุ่มคำก็เฉพาะในภาษาวรรณกรรมคลาสสิกไทยกับจีนเท่านั้น   นั่นก็หมายความว่า คนไทยเรียนภาษาจีนท่องศัพท์ได้ 5000 คำ อ่านรู้เรื่อง 5000 คำ เขียนได้ถูกต้องหมด 5000 คำ  ใช้เวลาอย่างมาก ก็แค่ 5 ปี ฝรั่งเรียนภาษาไทย แค่ 2-3 ปีก็พูดได้คล่องแล้ว แต่คนไทยเรียนภาษาอังกฤษ 10 ปี ถึงจำได้ 5000 คำ ก็อ่านไม่รู้เรื่อง 5000 คำ  เขียนไม่ถูกหมด 5000 คำ (เว้นเสียแต่จะขวนขวายมากๆ แล้วมีความจำเป็นเลิศระดับเทพ) อย่าว่าแต่ 5000 คำเลย ต่อให้ defining vocabulary แค่ 2000 คำ คนไทยที่ไปอยู่ในประเทศที่พูดภาษาอังกฤษ 10 ปีหรือบางคน 20 ปี ก็ยังจำ collocations ของ 2000 คำไม่ได้หมดเลย!!! ตัวเราเองก้อจำไม่ได้หมด ....ศัพท์ง่ายๆจะเขียน บางทีเรายังต้องเปิด esl dictionaries เลย บางทีเปิดแล้วก็ยังไม่แน่ใจ ต้องพึ่ง google บ่อยครั้ง นั่นก็หมายความว่า ....อันนี้ไม่ไช่พูดให้ท้อใจนะ ....การเขียน paragraphs ยาวๆ แล้วให้คนแก้ให้นั้น กว่า learner จะเขียนเสร็จ  กว่าคนอื่นจะแก้เสร็จนั้น ผู้เรียนจะเรียนได้แค่ทีละนิดเดียวเอง ...!!!  เนื่องจากยิ่งแก้ไปแล้วบอกเหตุผลไป learner ก็จะยิ่งสับสนและอาจท้อใจได้ง่ายๆ จนเลิกเรียนไปเฉยๆเลย ดังนั้น เราจึงแนะนำว่าให้เรียนเองด้วย esl dictionaries จะเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด หัดเขียนประโยคสั้นๆโดยจำตัวอย่างประโยคจาก esl dictionaries แล้วเอาไปดัดแปลงเขียนเอง จะดีที่สุด ในขณะที่ต้องพยายามอ่านหนังสือให้มากๆ แล้วเรียน grammar เพิ่มเติมบ้าง แล้วจึงค่อยไปเริ่มเขียน paragraphs ยาวๆ ....จริงๆแล้วคนที่รู้ 2000 คำ defining vocabulary ที่ว่านี้ จะเก่งพอที่จะเรียนวิธีการเขียน (ซึ่งเป็นวิธีการเชื่อมประโยคยาวๆ) ได้จากบทเรียนของฟรีบนเว็บ .... ตัวเราเองยังอยากเรียนเขียนจากเว็บกับจากตำราเล่มอื่นๆเลย เพราะยอมรับว่าตัวเองก็ยังเขียนได้ไม่ดี (แต่เรียนๆไปแล้วขี้เกียจ) บางทีเวลาต้องแปลไทยเป็นอังกฤษไวๆเหมือนชื่อบะหมี่ ก็ใส่ตีนหมาโกย ไม่คำนึงถึงความสวยงามแต่อย่างใด ...เพราะพลิกตำราไม่ทัน..!!!....คือต้องแปลให้เสร็จทันเอาไว้ก่อน ....นั่นเอง ....แต่เผอิญมี google ก็ใช้วิธีหาเอาบนเว็บว่าประโยคที่เราไม่แน่ใจเนี้ย มีฝรั่งที่ไหนเคยเขียนบนเว็บไหนมาแล้วบ้าง แล้วก็ไปลอกเขาเอามาดัดแปลงใหม่ ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพราะว่า งานบางอย่างมันยากมากๆ จนหาตัวอย่างประโยคใน esl dictionaries ไม่มีนั่นเอง ...... แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 17:14:32 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 06:35:11 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 06:32:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 O_o ผมกำลังคิดจะตั้งกระทู้พอดีเลยว่า "จะฝึกเขียนภาษาอังกฤษอย่างไร ให้เก่ง" มาเจอคุณ tansy ตอบคำถามผมหมดเลย ได้ความรุมากๆ ขอบคุณนะคับ จากคุณ : Snoopyz - [ 23 ม.ค. 51 12:39:05 A:124.121.91.81 X: TicketID:165671 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณครับ มี technique ในการเขียน preposition ให้ถูกเหมือน native ไหมครับ ผมทำ prep. ไม่ค่อยได้ จากคุณ : Newbie - [ 23 ม.ค. 51 12:41:11 A:124.120.179.95 X: TicketID:164886 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ใน esl dictionary แต่ละเล่มใน 4 เล่มที่กล่าวถึง จะให้ prepositions ไว้ครบถ้วนเลย และจะบอกด้วยว่า noun ตัวไหนเป็น countable กับ uncountable เท่านั้นไม่พอนะ ยิ้วประเด็นสำคัญที่ไม่มีกฎตายตัว "ที่ต้องจำลูกเดียว" คือต้องจำว่า เวลาเจอ non-finite verbs นะเมื่อไหรจะใช้ infinitive เมื่อไหร่จะใช้ verb + ing ละก้อ esl dictionaries พวกนี้ จะเป็นอัศวินขี่ม้าขาวมาช่วยเอาไว้เลยหละ เหมือนในนิยายที่มีเจ้าหญิง อัศวินขี่ม้าขาว และปราสาทสูงใหญ่ตระหง่านตาเลยอ้ะ จนป่านนี้นะ เราก้อยังสงสัยตะหงิดๆอยู่เลยว่าทำไมทั้งห้องสมุด pantip ได้แต่ถามไถ่กันนักว่าจะเรียนเขียนจะไปที่ไหนกัน ก็มีแต่คนตอบว่า Wall Street หรือ BCC หรือแม้กระทั่งสถาบันสอนภาษาดังๆในมหาลัย แต่ทำไมไม่เห็นมีใครพูดถึงเรียนเองจาก esl dictionaries กันบ้างเลย??? อ้อเรื่อง non-finites ที่พูดถึงนะ มีคนถามเรื่องนี้เมื่อไม่นานมานี้ เราผู้ซึ่งไม่เก่ง grammar ก็อุตส่าห์ใช้ google ดั้นด้นค้นหาข้อมูลมา แล้วก็ไปตอบไว้ (เราจึงได้เรียนรู้เรื่องที่เราก็ไม่เคยรู้..แหะๆๆๆ....คือส่วนใหญ่เราจะจำได้ว่าใช้อย่างไร แต่ก็ไม่เคยรู้เหตุผลว่าเพราะอะไร) ลองไปอ่านดูได้ที่กระทู้นี้ http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6175912/K6175912.html แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 13:29:51 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 13:26:18 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ตามที่บอกไว้แล้วว่า ถ้าจะเรียน writing ขั้นแรกก็คือต้องเรียนการนำคำศัพท์ง่ายๆไปสร้างประโยคกันใหม่หมดเลย โดยใช้ esl dictionaries 4 เล่มที่กล่าวถึง (ควรใช้มันให้หมดทั้ง 4 เล่มเลย)  ...ถ้าไปซื้อมาหมด ก็จะสะดวกดี แต่ก็เป็นเงินมากโข ถ้าอยากประหยัดเงินก้อใช้ของฟรี on line ได้ โดยการตาม links เหล่านี้ไป Cambridge Advanced Learner's Dictionary http://www.dictionary.cambridge.org/ Longman Dictionary of Contemporary English http://pewebdic2.cw.idm.fr/ Oxford Advanced Learner's Dictionary http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/?cc=th Collins Cobuilds Advanced Learner's English Dictionary http://eedic.naver.com/ จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 13:52:22 ]

ความคิดเห็นที่ 12 การเรียนเขียนตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง มีดังนี้ เมื่อเรียนวิธีนำคำศัพท์ง่ายๆ ไปใช้สร้างประโยคแล้ว ขั้นต่อไปก็จะต้องเรียน "การเชื่อม clauses และการเชื่อมประโยคยาวๆให้เป็น paragraphs" (คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เรียนตามลำดับขั้นตอน อยู่ดีๆก้อเล่นเขียน paragraphs ยาวๆเลย แล้วหวังว่าถ้ามีคนแก้ให้ก็จะเขียนเก่ง แต่โทษที แก้แต่ละทีกินเวลาครึ่งค่อนวัน ตามที่บอกไว้แล้วว่านักศึกษามีมากกว่าอาจารย์หลายเท่า หวังรออาจารย์แก้ ไม่ได้ผลหรอก เพราะผู้เรียนจะเรียนได้แค่ทีละนิดเดียวเอง) บทเรียนการเขียนพวกนี้หาได้บนเว็บ  ไม่ต้องไปกลัวว่ามันเป็นภาษาอังกฤษ เนื่องจากถ้าคุณเรียน defining vocabulary ไปครบ 2000 คำแล้ว คุณสามารถขว้าง dictionary อังกฤษ-ไทย ทิ้งถังขยะไปได้เลย (หากคุณต้องการเรียนเขียนภาษาอังกฤษอย่างเดียว "ไม่ได้เรียนการแปล" นะ) เมื่อรู้ 2000 คำที่ว่าเนี้ย คุณเปิดหาศัพท์จาก dictionaries อังกฤษ-อังกฤษลูกเดียว ทักษะในการเปิด dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ เพื่อเดาความหมายประโยคที่กำลังอ่านไปเรื่อยๆ จะช่วยให้คุณสามารถเข้าใจว่าคำศัพท์แต่ละตัวมีความหมายและสีสันแตกต่างกันอย่างไร และจะทำให้เลือกใช้คำศัพท์ได้เหมาะแก่สถานการณ์ ให้ใช้ google ไล่ล่าหาบทเรียนการเขียนบนเว็บ (เริ่มต้นจากการใช้ coordinating conjunctions และ punctuation marks เพื่อเชื่อม clauses ต่างๆ) เอ้าเราหามาให้อันหนึ่ง อันนี้ดีมากๆเลย  เขาแบ่งหลักสูตร (ของฟรี) ออกเป็น week #1 ถึง week #5 เริ่มตั้งแต่ grammar พื้นฐานง่าย แต่เรื่องที่เกี่ยวกับการเขียนคือการเชื่อม clauses หรือการใช้ punctuation น่าจะอยู่ที่ประมาณ week #4 นะ ....เราก้อยอมรับว่าเราก็ไม่ค่อยแม่นนัก บางทีอาศัยเคยอ่านหนังสือนิยายผ่านๆมาก้อพอจำได้นิดหน่อยเอาไปดำน้ำพอไหว... เราว่าจะเรียนแบบยกเครื่องใหม่หมด แต่ก้อมัวแต่ไปจีบสาวอยู่ก้อเลยไม่ได้เรียน เรียนๆแล้วหยุดๆไป เอาไว้ถ้าใครสนใจ ก็มาชวนกันลงเรียน แล้วบางทีเราจะมาร่วมลงแขก...เอ้ยลงเรียนด้วย.... มีเจ้าตัวยุ่งรายหนึ่งที่ป้วนเปี้ยนอยู่แถวๆนี้ที่ชอบแซวชาวบ้านเขา เงินเธอหนามาก เธอมีเงินไปเรียนภาษาอังกฤษที่ Wall Street ไม่รู้ว่าที่เรียนมาน่ะ ได้เนื้อหาสาระเรื่องการเขียนมากกว่าในเว็บที่เราจะให้นี้หรือไม่หนอ?  ถ้าไม่ได้ละก้ออย่าเพิ่งเสียใจไปผูกคอตายนะจ๊ะ...555+++...ไปเรียนที่เว็บนี้ แล้วไปทวงเงินจาก Wall Street กลับมาแบ่งให้เราไปซื้อเบียร์บ้างจะดีกว่าเนอะ ...อิๆๆๆๆ.... เอ้าตาม link ข้างล่างนี้ไปอ่านดูนะ แล้วไม่ต้องไปเสียเงินให้โรงเรียนสอนภาษา http://grammar.uoregon.edu/toc.html แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 14:31:39 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 14:19:40 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 14:10:58 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ขอบคุณมากคะ จากคุณ : NaNa_RooM - [ 23 ม.ค. 51 15:49:15 ]

ความคิดเห็นที่ 14 แว่วๆ มาจากไหนหว่า? เคยมีคนบอกว่าปีใหม่ไม่นึกอยากดื่มเบียร์ ฮื่ออออออ โรงเบียร์ไม่เจ๊งแล้ว จากคุณ : Guga - [ 23 ม.ค. 51 18:05:48 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ^ ^ ^ "ตั้งแต่ปีใหม่" ไม่ใช่ "ปีใหม่" จากคุณ : Guga - [ 23 ม.ค. 51 18:06:29 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ขอบคุณคุณ iwrite4u มากครับ โอโห super advanced จริง ๆ เป็นการใช้ภาษาของคนแปลหนังสือเลยนะครับนั่น ว่าแต่ writing toefl นี่เขาเข้มงวดกันมากขนาดนี้เลยรีึเปล่าครับ จากคุณ : Tom Cruise - [ 23 ม.ค. 51 19:58:28 A:124.122.202.161 X: TicketID:166237 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ซูฮกคับ แก้ได้สุดยอดจิงๆ จากคุณ : ปราชญ์กระบี่แสวงพ่าย - [ 24 ม.ค. 51 15:44:47 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ขอบพระคุณมากครับ จากคุณ : t_nattawat - [ 24 ม.ค. 51 16:21:44 ]

ความคิดเห็นที่ 19 เงินไม่หนาแล้ว แต่ไขมันหนาแทน อ๊ะ แต่ไขมันมันเก๊าะหนามานานละนิ อิอิ จากคุณ : i_tua_yung - [ 24 ม.ค. 51 22:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 20 คุณแท่นสี อธิบายได้ความรู้มากมาย ขอบคุณมากๆเลยครับ อันนี้ต้องเก็บเข้าคลังกระทู้เลยนะครับ จากคุณ : Jacob777 - [ 27 ม.ค. 51 13:22:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ดีจริงๆ  เก็บเ้ข้าคลังกระทู้ ขอบคุณคุณ Tansy มากค่ะ จากคุณ : ลำดวนกวนลำใย - [ 5 ก.พ. 51 14:29:43 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ทำไมถึงต้องใช้ esl dictionaries 4 ทั้งสี่เล่ม จากคุณ : Casey_Ryback - [ 23 ก.พ. 51 22:40:18 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เพื่อเอาไว้ค้นคว้า เปรียบเทียบมั้งคะ ตอนนี้มีอยู่เล่มเดียว ตั้งใจว่าจะไปหาซื้อเพิ่มเหมือนกัน วิธีการเรียนที่ดีที่สุดคือ ตั้งคำถาม ถามตัวเองว่าทำไมคำนี้ใช้อย่างนี้ แล้วไปค้นคว้าหาคำตอบจากดิกดี ๆ ที่มีอยู่ และทางเว็บไซต้ด้วย อย่างนี้จะทำให้เข้าใจข้อมูลและไม่ลืมง่าย ๆ ค่ะ จากคุณ : เมเปิ้ล - [ 2 มี.ค. 51 09:55:47 A:189.162.38.5 X: ]