ความคิดเห็นที่ 1 เปิดลองแมนแล้วก็น่าจะเคลียร์ สับสนตรงไหนล่ะ ไม่รู้จะตอบยังไง จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 23 ม.ค. 51 09:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ตรง irate farmer นี่ละคะ คือว่าลืมขยายความ ไอ้เจ้าหมวดนี่มันจะมีคำว่า angry / fury /irate / incense /indignant/enraged/wrath ในความคิดเรา มันไม่น่าจะใช้ตัวนี้ irate = extremely angry, especially because you think you have been treated unfairly: ในที่นี้ก็น่าจะแปลว่าชาวนาที่โกรธจัดใช่ไหมคะ มันน่าจะใช้ wrath นะในความคิดเรา ... รึเราคิดมากเกินไป คือเราชอบคิดแบบนี้ตลอด เวลาอ่านหนังสือหรือทำความเข้าใจประโยคก็เลยช้ากว่าชาวบ้านนะคะ เป็นอุปสรรคในการพูดของเราด้วยละ ตอนนี้ก็กำลังจะพยายามเลิกคิดมากๆอยู่ ...เฮ้อ จากคุณ : NaNa_RooM - [ 23 ม.ค. 51 13:45:55 ]

ความคิดเห็นที่ 3 We were chased out of the field by (an) irate farmer? ชาวนาผู้โกรธจัดไล่เราออกจากที่นา ก็ได้ความหมายดีแล้วนี่คะ เพราะในความหมายที่ยกมาก็บอกด้วยซ้ำว่า โกรธจัด โดยเฉพาะเมื่อรู้สึกว่าได้รับการปฎิบัติที่ไม่เป็นธรรม คุณเจ้าของกระทู้พอจะบอกได้มั้ยว่าทำไมคุณถึงคิดว่าน่าจะใช้ wrath มากกว่า แล้วที่บอกว่าสับสนกับคำว่า incense นี่คืออะไรคะ อ่านแล้วงง คำนี้ก็แปลว่าโกรธได้ด้วยนี่นา จากคุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ (zaida, film mania) - [ 23 ม.ค. 51 14:29:37 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เดินทางถูกแล้วที่หัดใช้ esl dictionary และ Longman Dictionary of Contemporary English เป็นหนึ่งใน esl dictionaries 4 เล่มที่ดีที่สุด แต่ที่เดินทางผิดก็คือ หลงผิดคิดว่ากฎ 25 ข้อจะช่วยได้ (เราได้ยินมาในห้องสมุดรวม pantip จนหูชาไปนานแล้ว)   ไอ้นั่นมันเป็น advertising gimmick ของโรงเรียน Fast English ดูชื่อโรงเรียนก็รู้แล้ว ทุกอย่างเป็น advertising gimmick หมดเลย เนื่องจากฝ่ายการตลาดตระหนักดีว่า คนไทยชอบคำว่าเรียนไวๆเหมือนชื่อบะหมี่แล้วเก่งเร็ว แบบประมาณว่าเอาตำราภาษาอังกฤษมาเผาไฟ แล้วเอาเถ้าถ่านผสมน้ำผึ้งดื่ม ก็จะเก่งภาษาอังกฤษข้ามวันไปเลย อย่าว่าแต่กฎ 25 ข้อเลย เราท้าพนันด้วย (เราเป็นเจ้ามือบ่อนการพนันเก่านะจะบอกให้) ว่า ใครก้อตามที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง (ที่ไม่ใช่เป็นภาษาพ่อภาษาแม่ของตัวเอง) ต่อให้รู้กฎ 250 ข้อด้วย แล้วแถมให้ขึ้นเครื่องบินเที่ยวถัดไป บินไปอยู่อังกฤษหรืออเมริกาอีก 10 ปี เรารับรองว่า ถ้าไม่ได้ไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุไม่เกิน 13 ขวบนะ อย่างมากก็แค่พูดได้คล่อง (เพราะภาษาพูดในชีวิตประจำวัน ใช้คำศัพท์แค่ประมาณ 800 คำ ก็เหลือกินแล้ว) แต่จะไม่มีทางเขียนภาษาอังกฤษให้เป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษาได้เลย เว้นเสียแต่ว่า .....เว้นเสียแต่ว่าอะไรกันหว่า????? !!! เว้นเสียแต่ว่า จะหมั่นเปิด esl dictionaries 4 เล่มที่ว่านี้ บ่อยๆ แล้วฝึกจำตัวอย่างการนำคำศัพท์มาใช้รวมกลุ่มกัน (collocations) ที่ทำให้ความหมายของคำศัพท์เปลี่ยนไปเรื่อยๆ เหมือนเพลงกระบี่ที่พริ้วไปจนยากที่จะคาดเดาได้ ดุจดั่งกระแสน้ำที่ไหลต่อเนื่อง (ฮั่นแน่ะ เล่นนิยายกำลังภายในเสียเลย) คำศัพท์แต่ละคำ มีวิธีการเฉพาะตัวของมัน ในการนำมันไปสร้างประโยคได้อย่างถูกต้อง และนี่คือ grammar ที่คนไทยลืมเรียนกัน เพราะมัวแต่ไปฝันลมๆแล้งๆกับไอ้กฎ 25 ข้อนี่แหละ...เพราะใครๆก็อยากเรียนลัดกันทั้งนั้น ... เอาแค่ non-finite verbs เนี่ยก็พอแล้ว verbs มีตั้งกี่ตัว ใครๆก็อยากได้สุตรลับว่า อันไหนต้องตามด้วย infinitive อันไหนต้องตามด้วย verb +ing คำตอบก็คือว่า "ไม่มีสูตรลับ" ต้องจำลูกเดียวเขียวลูกพ่อ เอาแค่เรื่อง collocations กับ non-finite verbs สองเรื่องก็พอที่จะพิสูจน์ได้แล้วว่า ความรู้กฎ 25 ข้อ เป็นวรยุทธ์ที่ต่ำต้อย ผู้รู้กฎ 25 ข้อยังไม่สามารถยืนหยัดและทะยานอยู่ในบู๊ลิ้มได้ดุจดั่งอินทรีที่องอาจ.... เรื่องความยากลำบากในการเรียนภาษาอังกฤษ ที่ทำให้จำเป็นต้องเรียนตามลำดับขั้นตอน ไม่ใช่กระโดนข้ามขั้น ไม่ใช่แบบให้ยอดฝีมือเอาฝ่ามือนาบหลังแล้ววรยุทธ์เพิ่มขึ้นทันทีแบบในนิยายจีน ไปอ่านต่อได้ที่กระทู้นี้ เมื่อคืนนี้กินชามากตาค้างเลยเข้ามานั่งปั่นกระทู้แข่งกับคุณต้น..อิๆๆๆๆๆ.... http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6260270/K6260270.html แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 15:28:46 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 15:13:05 แก้ไขเมื่อ 23 ม.ค. 51 15:12:38 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ม.ค. 51 15:05:58 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คุณ : ปลาทองอัลไซเมอร์ คือเราเปิดดิกลองเเมนดูแล้วมันเเปลคำว่า wrath : extream angry เหมือนกัน ก็เลยคิดว่าทำไมไม่ใช่คำนี้ละ สรุปว่าตอนนี้เข้าใจแล้ว ลืมดูไปว่ามันเป็นนาม 555++ อ๊ายอายคะ คุณ : tansy เดี่ยวจะตามไปอ่านนะคะ ปัญหาของเราก็คือ เรามัวแต่ไปกังวลกับความลึกของภาษา อย่างโกรธนี่มันมีหลายแบบใช่ไหมคะ เราก็มัวแต่ไปกังวลว่า ควรจะใช้แบบไหนถึงจะเหมาะสมกับสถานการณ์ มันก็เลยเป็นที่มาของความงง!!!  แบบว่าปกติภาษาก็ไม่ใช่จะแข็งเเรง แต่ยังมัวมากังวลรายละเอียดปลีกย่อยอีก ทำให้ช้าไปกันใหญ่(แอบใจร้อน)  แต่ก็กะจะสู้จนกว่าจะได้ละ เสียเงินเสียทองเรียนไปเยอะเเล้วก็มีค่าเท่าเดิม อยากจะลองอ่านเองดูมั้งดูซิว่าจะช่วยได้ไหม ถ้าใครเข้ามามีข้อเเนะนำก็คอมเมนท์บอกได้นะคะ  ... ยินดีน้อมรับทุกคำเเนะนำ จากคุณ : NaNa_RooM - [ 23 ม.ค. 51 15:43:21 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เจ้าของกระทู้ไปเอาคำถามใหม่ๆของคุณมาต่อในกระทู้นี้เถิดจะเกิดผล เพราะคุณทำให้เกิดกระทู้ใหม่ที่ไม่จำเป็นถึงสองกระทู้ ผิดกติกานะคร้บ เนื่องจากกระทู้ใหม่ของคุณนั้นโปรดสังเกตว่ามันไปสังหารกระทู้เก่าไปสองกระทู้เหมือนกัน ช่วยกันอนุรักษ์ของเก่าด้วยครับ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 23 ม.ค. 51 20:43:12 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ตามคำแนะนำคุณแอ๊ด เดี่ยวจะไปลบกระทู้นู้นนะคะ มือใหม่โทษทีนะคะ เกี่ยวกับ defining vocabulary 2000 คำ เอาไว้ ... มีข้อรบกวนอยากสอบถามหน่อยคะ ที่เราตัดสินใจไปจิ๊กไอ้ 25 ข้อของพี่มาอ่านก็เพราะเคยอ่านที่ผู้รู้ทั้งหลายเขียนไว้ในนี้เกี่ยวกับ defining vocab ว่าเป็นศัพท์พื้นฐานที่ควรท่องจำให้ได้ ที่นี้ก็เลยอยากจะทำตาม เราเลยไปซื้อลองเเมนมาอ่านแล้วก็ลองเปิดดู ที่นี่เหลือบไปเห็นไอ้ 25 ข้อที่ว่า แต่ 25 ข้ออันนี้เป็นส่วนของศัพท์นะคะ เขาจะจัดศัพท์ไว้เป็นหมู่ๆให้ท่องง่ายๆ แล้วก็มีเสียงของอาจารย์แกอ่านศัพท์+ตัวอย่างศัพท์ละ1ประโยคให้ฟัง เราก็เลยตัดสินใจ(เอาเอง) ว่าการท่องเป็นหมู่ๆน่าจะง่ายกว่า แถมยังมีเสียงประกอบอีกมันน่าจะให้จำประโยคได้ง่ายกว่าก็เลยตัดสินใจเอาเจ้าศัพท์ที่ว่านี้มาท่องคะ ..และก็เลยเป็นที่มาของความงง อย่างที่เคยตั้งกระทู้ถามนั่นเอง ตอนนี้เลยเกิดคำถาม .. 1. เราควรอ่านไอ้ 25 หมู่ที่เขาจัดเอาไว้ให้ + ศัพท์โทเฟิลซึ่งมีลักษณะคล้ายๆกันนี่ดี หรือ อ่าน defining vocab อย่างที่ตั้งใจไว้แต่เเรกดี 2. ตอนนี้ที่เราจัดตารางให้ตัวเองเอาไว้และมุ่งมั่นว่าจะทำให้ได้คือ เราจะดูซีรีย์ friends วันละตอน โดยจะดูแบบไม่มีซับ 1 รอบ ซับอังกฤษ 1 รอบ ซับไทย 1 รอบ แล้วกลับมาพูดตาม+จดศัพท์และประโยคที่คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เอาไว้  .... แล้วจะท่องศัพท์ที่ถามจากข้อเเรกนะคะ ว่าควรท่องอันไหนนี้ สักวันละ 20 คำ + แกรมม่าวันละเรื่อง อยากถามว่าแค่นี้พอไหมคะ ควรเพิ่มเติมอะไรไหม (ลาก่อนละครไทยตบจูบทั้งหลาย ปีหน้าฟ้าใหม่เราคงได้เจอกัน ฮือฮือ ) จากคุณ : นานะ (NaNa_RooM) - [ 23 ม.ค. 51 21:00:20 ]

ความคิดเห็นที่ 8 พูดถึงสถาบันที่เราเคยไปร่ำเรียนอยู่ราวๆ5เดือนนี้ดีกว่า 1. การเรียนการสอนเป็นยังไง - - - คนเยอะมาก ชั่วโมงครึ่งแรกเรียนกับวิดีโอ เบรค 15 นาที มาต่อช่วงหลังกับอาจารย์ตัวเป็นๆ ชั่วโมงครึ่ง แต่ .. ไม่ถึงหรอก เพราะอาจารย์มักจะมาช้าอย่างต่ำก็ 20 นาทีเสมอ (สมัยเราเรียนนะ) 2. แล้วเนื้อหาที่เรียนละเป็นยังไง - - - อาจารย์ให้จำ 25 กฎหรือพูดง่ายๆก็ไอ้เจ้าเล่มสีเหลืองหลักสูตรแกรมม่าให้ได้ (หนามากขอบอก ) อาจารย์บอกอยู่เสมอว่าต้องจำให้ได้ไม่เคยมีใครเก่งได้โดยไม่ต้องท่องจำ ขนาดนักเรียนหมอยังต้องจำพวกศัพท์ชีวะเลย 3. แล้วมันได้ผลไหม - - - คิดว่า ถ้าท่องได้หมดมันก็คงได้ผล ในแง่การสอบ เพราะคอร์สเเกรมม่านี่จะพูดน้อยมาก เน้นแกรมม่าเป็นหลักฉะนั้นถ้าหวังจะเรียนจบแล้วพูดได้เลยขอบอกว่าไม่มีทาง ต้องเรียนคอร์สโทเฟิลที่เน้นฟังพูดอ่านเขียนของเขาต่อ ( 2หมื่นแน่ะ) 4. สำหรับตัวเองละ ได้ผลอย่างไรบ้าง - - - ตอบตามตรง ตอนนั้นไปเรียนเป็นเพื่อนเจ้ ไม่ค่อยสำนึกในความสำคัญภาษาอังกฤษเท่าไร อาจจะเพราะทำงานกะญี่ปุ่นด้วยทำให้มัวแต่ไปสนใจเรียนภาษานี้มากกว่าทำให้ไม่กระเตื้องเท่าที่ควร แต่ถ้าถามว่าได้อะไรไหม ได้กำลังใจ+แรงฮึดสู้มากกว่าเพราะอาจารย์พูดบ่อยจนรู้สึกว่าถ้าเราตั้งใจจริงเราต้องทำได้ ภาษาจะพาเราเปลี่ยนชีวิตเปลี่ยนภพเปลี่ยนชาติ (อันนี้แกชอบพูด) - - - ที่คุณtansy พูดก็ถูก ไม่มีใครท่องแค่ 25 กฎนี่แล้วจะใช้ภาษาอังกฤษไม่ผิด ถ้าถามเราเราว่า ถ้าจำได้หมดนะ น่าจะให้ผลประมาณ 85-90% แต่จะมีประโยชน์อะไร ถ้าแกรมม่าพอได้ แต่พอเจอฝรั่งแล้วยังสั่นผั่บๆ มัวเเต่นึกถึงแกรมม่าอยู่จนโต้ตอบไม่ทัน อย่างเราในตอนนี้ จากคุณ : นานะ (NaNa_RooM) - [ 23 ม.ค. 51 21:01:07 ]

ความคิดเห็นที่ 9 - - - สารภาพตามตรงว่าเราไม่เคยอ่านหนังสือประกอบการเรียนอีกเลยตั้งแต่เรียนจบเมื่อกลางปีก่อน .. ทำไมนะเหรอ เพราะเราไม่เข้าใจนะซิ ไม่ใช่ว่าหนังสือประกอบเขียนไม่เคลียร์นะ ตัวเราเองต่างหากที่ไม่เคลียร์ ในหนังสือจะประมาณว่าสรุปเป็นสูตร+วิธีการใช้ให้ ซึ่งเราไม่สามารถท่องได้ ...ทำไมนะเหรอ ?? - - - เราจบวิศวะฯ คณะที่ผู้เรียนส่วนใหญ่หาคนแข็งเเรงทางภาษาน้อยมาก ทั้งๆที่ตอนเรียนส่วนมากก็อ่าน text book กันนะเออ แต่เจอฝรั่งมาก็ตัวใครตัวมันเหมือนกันหมด ... นอกเรื่องไปเยอะ คือเรากำลังจะบอกว่า ด้วยคณะ +การสั่งสอนที่บอกไม่ให้เชื่ออะไรจนกว่าจะพิสูจน์นี่มันติดมากับกมลสันดานของเราไปแล้ว ตั้งแต่เรียน เราไม่เคยเข้าใจสารพันสูตรต่างๆจนกว่าเราจะอ่านวิธีการคิด+ที่มาของสูตรรู้เรื่อง เราถึงจะเข้าใจและเอาไปทำโจทย์ได้ ... กรณีนี่ก็เหมือนกัน เราไม่สามารถท่องจำสูตรประมาณว่า S+V+ ... อะไรอย่างนี้ได้ โดยที่ตัวเรายังเข้าใจหน้าที่ ความสัมพันธ์ ของไอ้แต่ละตัวนี่ได้คล่องเเคล่วซะก่อน นี่คือสาเหตุที่ไม่ต่อคอร์ส เพราะที่นี่จะไม่มีการมาสอนอะไรพวกนี้หรอก อาจจะเพราะว่าเนื้อหาเยอะ เลยไม่สามารถอธิบายได้หมดด้วยมั้ง (ความจริงถ้าอาจารย์ไม่พูดนอกเรื่องก็คงจะได้อยู่หรอก นี่ 3 ชม นอกเรื่องไป2 ชั่วโมงกว่า 555++) แต่เจ้เราต่อ เขาก็ได้ภาษาจากที่นี่เยอะนะ สงสัยเพราะเขาขยันด้วยละ แต่อย่างว่านะละต่างคนต่างมีวิธีเป็นของตัวเอง เลยเป็นที่มาของไอ้สรุปศัพท์ 25 หมวด + ศัพท์โทเฟล ที่เราแอบจิ๊กมาอ่านตอนนี้ละ เฮ้อ...จบจนได้ หวังว่าจะมีผู้รู้มาตอบคำถามแนะแนวทางให้เราเยอะๆนะ เมื่อกี้ไปดูซีรีย์จบมาแล้ว กลับมาถึงบ้านปุ๊ปรีบทำเลยกันขี้เกียจ ตอนนี้ขอตัวไปหัดพูดตาม VOA ก่อน แล้วจะแวะมาดูคำตอบนะ จากคุณ : นานะ (NaNa_RooM) - [ 23 ม.ค. 51 21:01:54 ]

ความคิดเห็นที่ 10 วิธีการฝึกวิทยายุทธของหนูนานะนั้น เจ้าของถามว่า จะได้ผลไหม? ตอบฟันธงเลยว่า อาจจะได้ และอาจจะไม่ได้ อ้าว! เจ้าของกระทู้อาจจะร้องเสียงเหมือนค่าง ตูโดนเกรียนแล้วนี่หว่า! เปล่าเกรียนนะจ๊ะ แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ คือไม่มีใครบอกได้ ที่ไม่มีใครบอกได้ก็เพราะว่าการเรียนรู้ภาษานั้นเป็นเรื่องของทักษะ การเรียนรู้ในโลกนี้มันแบ่งเป็นสามด้าน ด้านที่หนึ่งคือปัญญาพิสัย เป็นเรื่องของความรู้และความเข้าใจ ด้านที่สองคือทักษะพิสัย เป็นเรื่องของความชำนาญเพราะว่าต่อให้อ่านตำราอีกร้อยเล่มถ้าไม่ฝึกมันก็ไม่ชำนาญ อ่านตำราขับรถห้าร้อยเล่มถามว่าขับรถเป็นไหม คำตอบคือไม่มีทาง ต้องฝึก และด้านที่สามคือเจตคติพิสัย เป็นเรื่องของความคิด เรื่องของทัศนคติ เรื่องของค่านิยม ไอ้นี่ก็ต้องปลูกฝัง ดังนั้น เมื่อภาษาเป็นเรื่องของทักษะก็ต้องฝึก ฝึก และฝึก ไม่มีทางอื่นที่จะชำนาญและเก่งได้ ฝึกอะไรบ้าง? ทักษะภาษามีสี่ด้านคือ อ่าน เขียน ฟัง พูด มันก็มีแค่นี้แหละ มันก็ต้องฝึกไปด้วยกัน ฝึกด้าน input คือการอ่านและฟังเสียก่อน เพราะถ้าไม่ input แล้วมันจะเอาอะไรไป output เหมือนทหารจะไปรบ ไม่มีกระสุนดินดำก็ตายเปล่าเพราะไม่รู้จะเอาอะไรไปยิงข้าศึก พอ input พอแล้วก็เริ่มร้อนวิชา ฝึกด้าน output ฝึกไปๆ เดี๋ยวก็เก่ง ถามว่าวิธีฝึกนี่ฝึกอย่างไร? ถามเซียนแถวนี้ร้อยคนก็ได้ร้อยคำตอบเพราะว่าแต่ละคนนั้นมีวิธีการและความถนัดในการเรียนรู้ไม่เหมือนกัน แล้วก็ขึ้นกับโอกาสในการเรียนรู้ของแต่ละคนด้วย มันเป็นเรื่องลางเนื้อชอบลางยา ดังนั้น ถ้าวิธีการที่คุณถามมามันเหมาะกับตัวคุณ เหมาะกับความสะดวก เหมาะกับเวลา เหมาะกับวิธีคิด วิธีจำของคุณ มันก็น่าจะเวิร์คแหละ แต่ในเมื่อเราไม่ได้เจอหน้ากัน ไม่ได้เคยคุยกันมาก่อน ยังไงๆผมก็บอกไม่ได้หรอกว่าจะได้ผลไหม แต่ยังไงๆ ก็เอาใจช่วย ขอให้โชคดีนะครับ มีอะไรจะมาถามก็มาถามต่อที่นี่แหละ ตอบได้ก็จะตอบ และตอบไม่ได้ ก็จะพยายามตอบเหมือนกัลลลล์ แบบว่าลูกเสือบำเพ็ญประโยชน์ง่ะ จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 23 ม.ค. 51 21:53:19 ]

ความคิดเห็นที่ 11 *****collocations versus กฎ 25 ข้อ ***** ให้ตายดิ เรานึกว่าโรงเรียนที่ว่านั้น มีกฎ 200 ข้อเสียอีก แต่ตอนหลังๆอ่านเจอในห้องสมุดว่า เขามีกฎ 25 ข้อก็หากินได้แล้ว!  (ทีแรกเขียนใน blog เราว่าโรงเรียนนั้นมีกฎ 200 ข้อ เช้านี้เพิ่งเข้าไปแก้เป็น 25 ข้อ) ที่พูดถึง defining vocabulary 2000 คำเนื่องจากว่าถ้ารู้หมด จะเปิด dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ อ่านรู้เรื่องได้ ซึ่งจะเป็นการเปิดประตูไปสู่การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองได้ในทุกรูปแบบ  โดยการอ่านบทเรียนของฟรีบนเว็บหรืออ่านตำราที่ฝรั่งเขียนไว้นั่นเอง จริงๆแล้วคนที่รู้ 2000 คำที่ว่านี้ จะสามารถพูดหรือเขียนเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันได้เกือบทุกอย่างอยู่แล้ว  ถ้าติดศัพท์เวลาอ่านหนังสือภาษาอังกฤษยากๆก็จะใช้ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษช่วยได้อย่างรวดเร็วเนื่องจากดิกฝรั่งทำใช้คำศัพท์ 2000 คำอธิบายคำศัพท์ทุกคำเอาไว้หมด (ซึ่งดีกว่า dictionaries อังกฤษ-ไทย ที่มีคำศัพท์น้อยกว่ามากๆ ทำให้อ่านหนังสือยากๆแล้วตีความผิดแบบหน้ามือเป็นหลังมือบ่อยๆ)   คนที่รู้ศัพท์ภาษาอังกฤษประมาณ 5000 คำก็อ่านหนังสือยากๆได้เกือบหมด แต่นักเขียนฝรั่งเก่งๆรู้ศัพท์มากกว่านี้อีกหลายเท่า! คนไทยเรียนภาษาจีนรู้ศัพท์ภาษาจีน 5000 คำ เป็นคำโดดๆ  ก้อสบายแล้ว  เขียนภาษาจีนโดยการเอาคำศัพท์ไปเรียงๆกัน คนจีนก้ออ่านรู้เรื่องสบายๆ ไม่ร้อง "ไอ๊หยา!" แล้ว เพราะภาษาจีนแทบจะไม่มี grammar ยากๆเลย เรียนแค่ 5 ปี ก็ลืมตาอ้าปากได้แล้ว แต่ภาษาอังกฤษไม่ง่ายขนาดนั้น บางทีเรียนไป 10 ปีไม่เห็นผลอะไรเลย เพราะมันน่าจะเป็นภาษาที่เรียนยากมากที่สุดในโลกนะ เพราะอะไร เรามาดูกัน คนไทยรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ เป็นคำโดดๆ ถ้าไม่รู้ collocations พอเขียนประโยคภาษาอังกฤษแล้ว ฝรั่งร้อง "My God!" เพราะอ่านไม่รู้เรื่อง ลองคิดดูว่าถ้าคิดจะเรียนคำศัพท์ภาษาอังกฤษ 5000 คำ แล้วคำศัพท์เกือบจะทุกคำมี collocations มากกว่า 10 ความเป็นไปได้ บางคำมี collocations มากหลายสิบหรือมีเป็นร้อยๆความเป็นไปได้ (ถ้ารวมพวก idiomatic expressions กับ slang terms เข้าไปด้วยให้หมดนะ) ....นั่นก็หมายความว่า learners ต้องจำวิธีการเอาคำศัพท์มาจับกลุ่มเป็น collocations นับเป็นหมื่นๆแสนๆความเป็นไปได้...!!! ดังนั้น เราจึงกล้าท้าพนันว่า ใครก้อตามที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง ต่อให้ไปใช้ชีวิตอยู่ในประเทศอังกฤษหรืออเมริกา 10 ปี ก็ไม่มีทางที่จะใช้ภาษาอังกฤษได้เป็นธรรมชาติเหมือนเจ้าของภาษา  เว้นเสียแต่ว่าจะไปอยู่ที่นั่นตั้งแต่อายุไม่เกิน 13 ขวบ แต่ถ้าอายุเกิน 13 ขวบไปแล้ว ต้องหวังพึ่งพา esl dictionaries เป็นอย่างมากเพื่อที่จะใช้ภาษาอังกฤษให้ได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา เนื่องจากผู้เชี่ยวชาญฝรั่งรู้จุดอ่อนของผู้เรียนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองแล้วเขาสร้าง esl dictionaries ขึ้นมาช่วย (ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งนับร้อยๆคนผลิต esl dictionaries versus คนไทยคนเดียวสร้างกฎ 25 ข้อ...!!!???)   ลองไปดู collocations ของคำว่า account ที่เราเขียนไว้บน blog เราดิ แล้วคุณน่าจะคำนวณได้ว่าถ้าจะเรียนคำศัพท์ 5000 คำ คุณจะต้องจำ collocations มากขนาดไหน แล้วคุณจะเชื่อว่า กฎ 25 ข้อเป็นเพียงแค่ advertising gimmick มันไม่ได้จะช่วยให้คุณเรียนภาษาอังกฤษให้แตกฉานได้เลย ที่ต้องใช้ advertising gimmick นั่นก็เพราะว่าคนไทยชอบเรียนลัดนั่นเอง  ถ้าไปโฆษณาโดยพูดความจริงว่าภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่เรียนยากมากที่สุดในโลกเพราะว่าต้องจำ collocations นับเป็นหมื่นๆแสนๆความเป็นไปได้ แล้วใครจะมาเรียนเล่า? ตาม link นี้ไปอ่าน collocations ของคำว่า account ดู http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=iwrite4u&month=05-2006&date=28&group=3&gblog=21 แก้ไขเมื่อ 24 ม.ค. 51 08:55:12 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 ม.ค. 51 08:41:10 ]