จากประสบการณ์ที่คลุกคลีกับนักแปลหลายระดับมาแล้วเป็นเวลาสิบกว่าปี พบว่านักแปลที่มีฝึมือไร้เทียมทานนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นบุคคลที่ชอบอ่านหนังสือหลายๆประเภทมาแล้วตั้งแต่เด็กๆ (โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีพ่อแม่ส่งเสริมให้ลูกหัดอ่านหนังสือ) และชอบการเรียนรู้ภาษาอยู่แล้วเป็นนิสัยส่วนตัว หมั่นใฝ่หาความรู้รอบตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งการค้นข้อมูลจาก google ....ในขณะนี้พวกเราอยู่ในยุค information explosion ถ้านักแปลค้นข้อมูลไม่เก่งโอกาสที่จะแปลผิดจะมีมากโข
ยกตัวอย่างเช่นถ้าแปลหนังสือภาษาอังกฤษเล่มหนึ่ง แล้วในฉากเขาบรรยายถึงเมืองแห่งหนึ่งมีภูเขา แม่น้ำลำธาร มีถนนหนทาง และอะไรต่อมิอะไร การเขียนคำแปลภาษาไทยเพื่อบรรยายให้สมจริงนั้น ถ้านักแปลไม่เคยไปที่นั่นมาก่อน โอกาสที่จะแปลผิด จะมีมากโข แต่ google ช่วยได้
มีนักแปลท่านหนึ่ง เขาแปลหนังสือเร็จจนคนอ่านๆไม่ทัน แถมยังคุยโวด้วยว่าถ้าใครอยากจะแปลเร็วแข่งกับเขา คนๆนั้น "ต้องไม่นอน".... แต่อนิจานักแปลท่านนี้ไม่เคยรู้ตัวเลย ว่าเขา low tech มากๆ นั่นก็คือเขาไม่ใช้ computer เลย แต่เขาบอกคำแปลให้คนพิมพ์ และคนพิมพ์ที่เป็นบรรณาธิการต้นฉบับเขา ก็พิมพ์ได้เท่านั้น แต่ท่องเน็ตไม่เป็น เรายังมองไม่เห็นทางเลยว่าถ้าเขาแปลหนังสือเรื่องยากๆที่ต้องค้นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ การเมือง วัฒนธรรม สังคม และเทคโนโลยี (ในการแปลหนังสือแค่เล่มเดียวบางครั้งนักแปลต้องค้นข้อมูลเพียบเลย ถ้าไม่ค้นจะตีความต้นฉบับไม่ได้) เขาจะทำอย่างไรกัน เพราะเขาไม่มี google?.....ถ้าคุณทำงานแปลในระดับมืออาชีพคุณจะรู้ว่า วันไหนเกิด server ของ google ล่มนะ นักแปลทั่วโลกจะต้องกุมขมับด้วยความปวดเศียร
หากต้องการทำงานแปลในระดับมืออาชีพ ความเชี่ยวชาญทางด้านภาษาต้องมาควบคู่กันกับความรู้รอบตัว ความจริงที่ไม่ตาย นั่นก็คือว่า
"ถ้าคุณไม่รู้เรื่องที่คุณจะแปล คุณก็ไม่มีทางที่จะแปลมันได้ถูกต้อง"
ใครก็ตามที่อยากเป็นนักแปล เมื่อมีคุณสมบัติดีๆครบถ้วนตามที่ระบุเอาไว้ข้างบนนี้แล้ว (คือชอบเรียนรู้เรื่องภาษา ชอบอ่านหนังสือ และชอบค้นข้อมูลเพื่อค้นหาความรู้รอบตัวเพิ่มเติมอยู่เรื่อยๆ) เมื่อไปลงเรียนปริญญาโทการแปล ก็จะเป็นการ
"ติดปีกเสือ"
แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 16:59:55
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 07:39:19
แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 07:04:24