ความคิดเห็นที่ 1 เพราะข้อมูลมีผักชีโรยหน้าเยอะเกินไป ยากที่จะแยกแยะรื้อค้น ด้วยนิสัยคนไทยชอบหน้าตาสวยงามมีผักชีโปะ มากกว่าเรื่องราวภายในข้อเท็จจริง จากคุณ : จาก - [ 27 ม.ค. 51 11:25:21 A:58.64.101.157 X: TicketID:159709 ]

ความคิดเห็นที่ 2 "ไปดูทำไม  หินตากแดด" ถ้าแก้ไขคำๆ นี้ให้สูญไปจากความคิดของคนไทยส่วนใหญ่ได้ คนไทยส่วนใหญ่ก็จะเห็นคุณค่าประวัติศาสตร์ (เห็นคุณค่านะครับ  ไม่ได้มีคุณค่าขึ้นมา เพราะเนื้อแท้ วิชาประวัติศาสตร์มีคุณค่าอยู่แล้ว แต่คนไม่รู้ค่า) จากคุณ : เข้ามาจอบ - [ 27 ม.ค. 51 11:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะคนสอน ไม่ตั้งใจสอน คนเรียน ไม่ตั้งใจเรียน  รู้ไว้เพื่อให้สอบผ่าน แล้วก็ลืม ประวัติศาสตร์ต่าง ๆ ที่ตั้งกระทู้ถามกันมา ผมไปเปิดดูในหนังสือหลักสูตรชั้นมัธยมต้น-ปลาย ส่วนมากก็มีอยู่แล้วทั้งนั้น  เคยเรียนกันมาแล้วทั้งนั้น แต่จำไม่ได้เอง จากคุณ : นายช่างปลูกเรือน - [ 27 ม.ค. 51 12:23:10 ]

ความคิดเห็นที่ 4 -ผู้ชนะเขียนประวัติศาสตร์ แต่งเรื่อง ทั้งจริงและไม่จริง ตามใจชอบ -คนไทยชอบ เรื่องที่มีพระเอก มีตัวโกง มีคนดี มีคนเลวชัดเจน  ซึ่งในความจริงบนโลก ไม่มีพระเอกดีเลิศ หรือ ตัวโกงเลวสุด -อิทธิพล อำนาจนิยม ระบบอุปถัมน์ ความเชื่อทางศาสนา เทวนิยม ยังทำให้ผู้ที่ต้องการแสดงความเห็นแตกต่างจาก ประวัติศาสตร์ หลักออกความเห็นได้ยาก -วิธีการสอนประวัติศาสตร์ในระดับประถม มัธยม ค่อนข้างแปลกประหลาด แทนที่จะให้วิเคราะห์ว่า การปกครองในอยุธยา หรือ ประวัติศาสตร์อื่นๆ มีแรงจูงใจอย่างไร ดีหรือไม่  แต่กลับถามถึงปี พศ  ถามถึง สิ่งที่วัดปริมาตร แต่ไม่ได้ให้วิเคราะห์แนวคิด แก้ไขเมื่อ 27 ม.ค. 51 13:40:52 จากคุณ : ฮิคิโคโมริ - [ 27 ม.ค. 51 13:39:01 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เพราะวิชาประเภทประวัติศาสตร์ พุทธศาสนา หน้าที่พลเมือง ศีลธรรม เหล่านี้มักมีผลน้อยมากกับเกรดเฉลี่ย ครูก็ไม่ชอบเน้น เด็กก็ไม่ชอบเรียน จึงเอวังด้วยประการฉะนี้ค่ะ จากคุณ : papa mama love u - [ 27 ม.ค. 51 13:45:40 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เดาว่า คนไทยขาดการตั้งคำถามที่ดีมังครับ เมื่อขาดความสงสัยใคร่รู้ สุดท้ายจึงเรียนไปอย่างท่องจำ ซึ่งไม่สนุกเอาเสียเลย อีกประการก็น่าจะเป็นเรื่องของการประยุกต์ใช้ ซึ่งน่าจะเป็นปัญหาสืบเนื่องมาจากกรณีแรก ทัศนคติแบบนี้ไม่น่าจะเป็นปัญหาเฉพาะกับวิชาประวัติศาสตร์ แต่น่าจะส่งผลต่อวิชาแขนงอื่นๆด้วย จากคุณ : masked v - [ 27 ม.ค. 51 14:35:39 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ... เฮ้อ .... จากคุณ : ประมาณนั้น - [ 27 ม.ค. 51 14:46:53 A:202.149.25.225 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เห็นด้วยกับ rep.4 ครับ ปวศ.ไทย โดยมากจะเน้นเรื่องพลังเหนือธรรมชาติ ( อภินิหาร บุญญาบารมี ) มากกว่าข้อเท็จจริง นอกจากนี้ ความจริงแล้วในห้วง ปวศ. บ้านเรา มันก็มีช่วงที่เกิดสงครามระหว่างกลุ่มอำนาจต่างๆ เช่นกัน หากแต่เรานำเสนอไม่ได้ ( ละไว้ตรงนี้นะครับ ใครสนใจคาดว่าคงค้นได้จาก internet ไม่ยากนัก ) ปวศ. ไทยที่คนทั่วไป ( ที่ไม่ใช่ผู้สนใจจริงๆ ) พอจะรู้จึงดูไม่น่าสนใจครับ เพราะเน้นอยู่ที่บุคคลไม่กี่ท่านเท่านั้นเอง จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) - [ 27 ม.ค. 51 16:06:38 ]

ความคิดเห็นที่ 9 เรื่องบางเรื่องยังไม่ถูกเปิดเผย จากคุณ : 100 สตางค์ - [ 27 ม.ค. 51 17:06:43 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ผมว่า ยังไงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในทุกระดับของสยามประเทศก็ไม่เจริญรุ่งเรือง ตราบใดที่ -ยังเน้นการเรียนการสอนที่เน้นเรื่องท่องจำมากกว่าการคิดวิเคราะห์ -เนื้อหาการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ไทย เน้นการนำเสนอแนวคิดเพียงด้านเดียว ไม่รู้ เพราะว่าผู้มีอำนาจในบ้านเมืองไม่อยากให้คนไทยฉลาดเกินไปรึเปล่า จากคุณ : สนิมเหล็ก - [ 27 ม.ค. 51 17:45:50 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คนเรียนประวัติศาสตร์สมัยนี้รู้สึกว่า ประวัติศาสตร์คือเรื่องน่าเบื่อ ไม่น่าสนใจ ไม่ทันสมัย รู้ไปทำไม รู้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ คนสอนสอนประวัติศาสตร์แบบท่องจำ จำปี พ.ศ. ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจำแล้วได้อะไร ซึ่งการสอนประวัติศาสตร์แบบไทยนี้ก็มีส่วนทำให้ผู้เรียนไม่สนใจด้วย ขณะที่ว่ากันด้วยเรื่องเนื้อหา ประวัติศาสตร์ที่เด็กไทยเรียนรู้กันโดยมาก คือประวัติศาสตร์ด้านเดียวที่เขียนโดยผู้ชนะที่ผ่านการปรุงแต่งมา เป็นประวัติศาสตร์ที่เน้นความเป็นชาติ เน้นการสร้างความรู้สึกร่วมกันของคนในชาติ แต่ไม่ค่อยมีข้อเท็จจริงสักเท่าไร ทั้งในด้านของชาติพันธุ์ สังคม เศรษฐกิจ การเมือง ซึ่งในความจริงแล้วยังมีข้อมูลอีกมาก ที่ไม่ได้ถูกนำเสนอ หรือถูกลืม หรืออาจจะถูกปกปิดเอาไว้ ขณะที่หนังสือประวัติศาสตร์ดีๆ มักจะเขียนโดยคนต่างชาติ ที่นำเสนอออกมาตามข้อเท็จจริง บางครั้งคนต่างชาติรู้เรื่องเมืองไทยมากกว่าคนไทยเองเสียอีก จากคุณ : -TuM- (TuM153::LibErTy) - [ 27 ม.ค. 51 18:20:52 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ประวัติศาสตร์เป็นเรื่องสนุก ถ้าไม่เรียนแบบยึดติด   มีคนรู้ คนศึกษา แต่ไม่ค่อยมีคนมาให้ความสำคัญในเรื่องของแนวคิด เอาความรู้ไปตีราคาของเก่า กันมากกว่า จากคุณ : โตมิโต กูโชว์ดะ - [ 27 ม.ค. 51 19:00:34 ]

ความคิดเห็นที่ 13 1.  เพราะคนไทยไม่กล้ายอมรับความจริง  อาจจะเพราะด้วยอำนาจบารมีของบุคคลในปัจจุบันที่ไม่อยากหรือไม่ต้องการให้ใครรู้ถึงสิ่งที่น่าอับอายของบรรพบุรุษเค้า  จึงปกปิดหรือบิดเบือนข้อมูลที่แท้จริงไป 2.  เพราะความเชื่อทางศาสนาที่บอกว่า แล้วแต่เวรแต่กรรมของคนนั้นๆ  ทำให้คนอื่นไม่สนใจจะจดจำ หรือบันทึกไว้ให้น่าอับอาย 3.  สังคมไทยในสมัยก่อนไม่เปิดโอกาสให้คนทั่วไปได้ศึกษาเล่าเรียนเขียนอ่าน เนื่องจากต้องการรักษาระบบศักดินาไว้  จึงปิดโอกาสให้มีการบันทึกทางประวัติศาสตร์ หลักฐานข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของเราเลยไม่ค่อยมีแบบลายลักษณ์อักษรที่แน่นอน จะมีคำว่า "สันนิษฐานว่า...."  อยู่เป็นประจำ  ทำให้ไม่น่าสนใจจริง จากคุณ : จั๊กจั่นบันเทิง - [ 27 ม.ค. 51 19:02:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 คิดดูให้ดีเพราะไม่สามารถวิเคราะห์แบบเจาะลึกหรือวิจารณ์เหตุการณ์ต่างๆในประวัติศาสตร์ของประเทศไทยได้เต็มที่ ทั้งนี้เนื่องจากพื้นฐานวัฒนธรรมที่เคารพการตัดสินใจของกลุ่ม....ยังมีผลในสังคมไทยอยู่มากซึ่งทำให้การเรียนประวัติศาสตร์เป็นเรื่องของความจำมากกว่าความเข้าใจในเหตุและผลของบรรพบุรุษที่ต้องทำเช่นนั้น จากคุณ : O.D. (Doctor of Optometry) - [ 27 ม.ค. 51 19:45:54 A:124.120.18.153 X: TicketID:120208 ]

ความคิดเห็นที่ 15 กา โครงกระดูกในตู้ หรือ Skeleton in the cupboard  มาลองอ่านดูให้เข้าใจ เด็ก ๆ ก็อาจจะอยากเรียนประวัติศาสตร์ได้      มันอยู่ใคร เล่มที่หยิบมาอ่าน มาเรียนนั้น ใครเขียน เขียนให้ใหร    แต่ห้องประวัติศาสตณ์ พันทิป นี้ สมควรได้อ่าน จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 27 ม.ค. 51 20:05:50 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คงเพราะว่าระบบการศึกษาของเรา ดำเนินไปโดยมุ่งเน้นการตอบสนองตลาดแรงงาน พูดง่ายๆคือเรียนไปเพื่อหางานทำ ดังนั้นนิสิตนักศึกษาทางประวัติสาสตร์จำนวนไม่น้อยจึงได้รับคำถามว่า เรียนประวัติศาสตร์แล้วจบไปทำอะไร เอ่อ จบไปทำอะไร กรมศิลฯ อาจารย์ กระทรวงวัฒนธรรม ส่องถ้วยแตกๆ ดังนั้น จึงไม่ใคร่มีใครอยากจะเรียนทางประวัติศาสตร์อย่างจริงจัง (ยกเว้นเผอิญเอ็นติดก้เรียนๆไปก่อง) เพราะเรียนไปไม่รุ้จาทำงานอะไร(แม้คนที่เรียนจบมาแล้วจะมาพยายามพร่ำบอกกันว่า เฮ้ย เรียนแล้วทำได้หลายอย่างนะ แต่ก้ไม่ใคร่ได้รับความสนใจเท่าไร) อีกทั้งประวัติศาตร์ดูเหมือนจะไม่ได้ช่วยยอดจีดีพีของประเทศ ทางผู้ใหญ่จึงขอละงบประมาณไว้ให้พวกที่ช่วยเพิ่มรายได้ก่อง เมื่อขาดคน ขาดงบ การพัฒนาก้ลำบาก คนที่จะสร้างคนทางประวัติศาสตร์ต่อไปก้ลำบาก ครูระดับประถมมัธยม จึงขาดความเข้าใจในประวัติศาสตร์ นำไปสู่ปัญหาการเรียนแบบท่องจำตามหนังสือเรียน(ซึ่งแต่ละสำนักพิมพ์ก็ลอกกันไปลอกกันมา) (ในระดับมหาวิทยาลัย ไม่ใคร่จะเป้นแบบนั้น เพราะส่วนใหญ่อ.ค่อนข้างเฉพาะด้านแล้ว แม้บางคนอาจให้ท่องจำ ก้เพราะท่านมีเหตุผลให้ท่องจำ คือจำเป้นต้องท่องในบางเรื่องซึ่งก้เป็นเหตุผลของท่าน) อย่างไรก็ตามถึงการเรียนการสอนประวัติศาสตร์ในไทยจะยังไม่รุ่งเรื่อง แต่ก้ไม่ถึงกับมืดมนหรอกฮับ ข้าพเจ้ายังเชื่ออย่างนั้น แนวโน้มจะดีขึ้น(น่าจะเป้นอย่างนั้น) แต่ทั้งนี้ต้องทำให้คนเข้าใจศาสตร์ของการศึกษาประวัติเสียก่อง ว่าคืออะไร อย่างไร ไม่งั้นการเรียนประวัติศาตร์(ตามความเข้าใจของคนทั่วไป) จึงเป็นเพียงเสียกรุงศรีฯ ตอนพ.ศ. 2112/2310 จากคุณ : มณีมรกต - [ 27 ม.ค. 51 21:10:24 ]

ความคิดเห็นที่ 17 <หลุดประเด็นนิดหนึ่ง> ผมอยากให้มี อธิบายประวัติศาสตร์เชิงกลยุทธ์ บ้างอะ คือ เช่น เรื่อง สงครามก็เน้นเรื่องคนนั้นทำอย่างไรบ้าง คิดอย่างไร คล้ายๆ เรื่องจูมง คนไหนคิดอย่างไร ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ พศ.นี้ ไปรบ ไปตีเมืองนั้น ได้เมืองนี้ คือเราก็แค่รู้ว่าได้มาใน พศ นี้เสียเมืองไป พศ นี้ แต่เราไม่รู้ถึงกลยุทธ์และความฉลาดของผู้นำสมัยนั้นเลยอะ เสียเมืองเพราะอะไร มีการฑูตอย่างไร จากคุณ : tonytonz (tonytonz) - [ 27 ม.ค. 51 22:27:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ผมเห็นด้วยกับ reply 16 นะ ผมว่าเข้าเค้ามากที่สุด เนื่องจากวิชาประวัติศาสตร์มันใช้หากินไม่ได้ในเมืองไทย ตลาดงานน้อยมากๆ ทั้งๆที่ความรู้รอบตัวเรื่องประวัติศาสตร์ทำให้มุมมองต่อเรื่องต่างๆกว้างขึ้น แต่จะว่าก็ว่าเถอะ การเรียนการสอนวิชาประวัติศาสตร์ของกระทรวงฯ ก็ไม่ได้เอื้อให้ผู้เรียนมีทัศนคติกว้างขึ้นเอาเสียเลย จำ จำ จำ และจำ ถ้าจำไม่ได้"ตก"ไม่ได้มีการวิเคราะห์เจาะลึกเอาเสียเลย เช่น ทำไมถึงเกิดสงครามโลกครั้งที่ 1-2 ทำไมเราจึงเสียกรุงครั้งที่ 1 ทำไมพระบรมไตรโลกนาถถึงต้องปฏิรูประบบการปกครองในเชิงลึก เป็นต้น มีแต่จำว่า"คนไทยขาดความสามัคคี" จำแต่ว่า"เพื่อต้องการรวมศูนย์อำนาจการปกครอง" แต่รายละเอียด? ข้อมูลเชิงลึก? ความเห็นของผู้เรียน? ไม่เคยเกิดขึ้นในการเรียนการสอนของเรา จากคุณ : กระเทืองแก่ (Mascagni) - [ 27 ม.ค. 51 22:31:29 ]

ความคิดเห็นที่ 19 rep.17 ถ้าทำแบบนั้นได้ เราจะมีวีรชนที่เป็นคนธรรมดาเพิ่มขึ้นเยอะเลยครับ ( ซึ่งจริงๆ ตอนนี้ถ้าเรียนในขั้นสูงระดับมหาลัยนั่นล่ะถึงจะได้เรียน ) อย่าลืมว่าเรามีจุดประสงค์การเรียน ปวศ. เพื่อ " ความมั่นคงของชาติ " แค่นี้ก็จบแล้วครับ จะวิพากษ์วิจารณ์อันใดได้อีก ผมอิจฉาญี่ปุ่น อังกฤษและยุโรปต่างๆ นะครับที่สามารถสอนเรื่อง ปวศ. สมัยที่ดินแดนยังเป็นแว่นแคว้นต่างๆ ได้อย่างเสรี จากคุณ : TonyMao_NK51 (TonyMao_NK51) - [ 27 ม.ค. 51 23:10:19 ]

ความคิดเห็นที่ 20 กระทู้นี้ก็ยังโยงเข้าศักดินากันได้เหรอครับเนี่ยะ นับถือ ๆ ความสามารถ จากคุณ : Antares Kung - [ 27 ม.ค. 51 23:14:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ถ้าเรียนสายนี้ต้องเจอคําถาม  เรียนไปทําไหม  แล้วก็ไม่ได้ใช่สิ่งที่คนส่วนใหญ่เค้าจะอยากสนใจงันละ ------- แล้วก็เห็นด้วยกับคนที่20 พวกนี้เค้าเก่ง ทําไปได้นะคนเรา คงอัดอั้นมานาน จากคุณ : ไม่ได้มีสิบมือ (ไม่ได้มีสิบมือ) - [ 28 ม.ค. 51 00:58:18 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ขออนุญาตเขียนให้อีกสักกรณีสองกรณี (ที่ข้าพเจ้าติดอยู่ในใจเกี่ยวแก่ประวัติศาสตร์ไทย) แม้นเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับโลก ระดับใหญ่ เรายังมีตัวอย่างให้ดูอีกเช่น           หนังสือตำราประวัติศาสตร์ฝ่ายจุฬา เรียน ประวัติศาสตร์ตาม คณะต่างๆ ที่ Major ไปตามวิชา  และไม่เห็นจำเป็นที่นิสิตปีหนึ่งทั้งหมด ทุกคณะจะต้องเรียนประวัติศาสตร์ประเทศ เล่มเดียวกัน เหมือนกัน   ยกตัวอย่างการเรียนประวัติศาสตร์ เฉพาะแค่ประวัติศาสตร์ไทยช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง คือสมัย จอมพล ป. ถูกญี่ปุ่นบุก ประวัติศาสตร์ช่วงนั้น คนเขียนยังบิดเบือนจนถือว่าไทย (ซึ่ง Siamese Talk) ... สามารถรอดพ้นมือญี่ปุ่น ขาวสะอาด ด้วยเสรีไทย กลับมาเป็นชาติไทย มาได้...ไม่มีอะไรติดค้าง          อ่านช่วงนี้แล้ว ต้องมีอะไรติดคอ หายใจไม่ค่อยออก..          แต่ หนังสือ ตำราประวัติศาสตร์ของธรรมศาสตร์ แต่ชั้นศิลปะศาสตร์ ปีหนึ่ง ต้องเรียนว่า ไทยในฐานะคู่กรณีแพ้สงครามโลกครั้งที่สอง...จึงโดน ญี่ปุ่นปรับส่งข้าวให้ กี่แสนตัน ? ดังนี้เป้นต้น...แล้วใครยอมรับความเป็นจริง เรื่องนี้บ้าง ? มหาวิทยาลัยอื่นใช้ตำราเล่มไหนเรียน  และสาระในประวัติศาสตร์ช่วงนี้ ชำระกันแท้จริงว่าอย่างไร ?        นี่ก็เป็นความแตกต่าง ของหนังสือเรียน สองสถาบันมหาวิทยาลัย สาระใน ประวัติศาสตร์ แม้นแค่ช่วงยุคสมัย สงครามโลกครั้งที่สอง..ประวัติศาสตร์ ไทยยัง.."บันทึก"ไว้ไม่จะแจ้ง ยังคลุมเครือ...ยังไม่ตรงกัน ยังไม่สามารถ สรุปความเป็นไปที่แท้จริงได้  มันเหมือนกับว่า "ถ้าอยากให้อ่านก็เขียนให้อ่าน ถ้าไม่อยากให้อ่านก็ไม่บันทึกไว้ หรือทำคลุมเครือเสียแล้วก็แล้วกัน คนรุ่นหลัง จึงไม่ค่อยอยากพูดสถานะการเมืองประเทศ สักเท่าใด เพราะพูดไป ก็ผิดได้ ทุกประตู ดูเหมือนรู้ไม่จริงไปทุกครั้งยกเว้นไป นั่งสืบค้นจากหลายฝ่ายเอาเอง         ดังนั้น การที่ นักเขียนไทย ชื่อดัง นึกอยากจะเขียนนิยายอิงประวัติศาสตร์ แล้ว บิดเบือนให้ ตัวละครของตน ดีเด่นอย่างไรก็ได้ จนสมจริงแทบจะกลาย เป็นประวัติศาสตร์ไทยไปแล้วก็มีเยอะ ลืมไปว่า หน้าที่ของประวัติศาสตร์ คือ " การบันทึกความจริง" ไม่ใช่ การ"ตกแต่งสีสันให้น่าอ่าน" ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~             อีกอย่างที่ความที่ไม่เรียนประวัติศาสตร์ คนไทยปัจจุบันสมัยนี้ ก็มา "ทะเลาะดูถูกกันแต่ละภาค"   ข้าพเจ้า จำได้ว่า คนใต้ โกรธคนอีสาน หรือคนลาว ว่ากันไปว่ากันมา พอข้าพเจ้าพูดว่า " สมัยรัชกาลที่ ห้า ได้ให้ คนลาว ไปอยู่ ที่จังหวัดภาคใต้หลายจังหวัด และ วัฒนธรรมการทอผ้า จึงมาจากการที่ให้คนอีสาน/คนลาวในการปกครองของสยามไปอยู่ที่นั่น   " และ " ภาษาพูด ตาม การศึกษาของ ดร วิจินต์ ฯ แห่งคณะอักษรศาสตร์ จุฬา ก็สรุปไว้ว่าภาษาใต้หลายแหล่ง สำเนียงเดียวกับ อีสาน "           เท่านี้ ก็ยังรับกันไม่ได้ เลย ...เพราะความไม่รู้ประวัติศาสตร์ อีสาน ยัง โกรธใต้ และ ใต้ ยังโกรธอีสาน ...คิดแล้วมันน่านะ  เพราะ เราไม่เรียนประวัติศาสตร์ แม้ว่า "ไทยด้วยกัน แพร่กระจายไปทั่วไทย" นี้เรายังไม่ยอมรับ  กันเลย เรื่องอื่น ๆ ยิ่งกว่า นี้ เราจะยอมรับหรือ ? จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 28 ม.ค. 51 05:22:49 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ในความคิดของผมในฐานะที่เรียนประวัติศาสตร์เป็นวิชาเอกนั้น ก็ขอแสดงความแตกต่างระหว่างการเรียนประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานกับการเรียนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนะครับ แนวการเรียนที่แตกต่างกัน กล่าวคือ การเรียนประวัติศาสตร์ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น มีจุดประสงค์ที่แอบแฝง คือ นอกจากจะให้เห็นเหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในอดีตแล้ว ยังต้องการให้ผู้เรียนเกิดความภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ เกิดความรักชาติ ซึ่งเป็นแนวความคิดที่ถูกผลิตซำกันมาตั้งแต่ยุคของการปฏิรูปประเทศแล้วในสมัยรัชกาลที่ 5 แล้ว ดังนั้นประวัติศาสตร์ในโรงเรียนจึงเป็นเรื่องราวที่มิได้รับการพิสูจน์หรือถกเถียง กลายเป็นประวัติศาสตร์ที่ออกมาจากส่วนกลางหรือ official version เมื่อเป็นเช่นนี้ สิ่งที่ตามมาคือ      ก. ประวัติศาสตร์ที่เรียนมานั้น เหมือนกับว่าถูกรีดให้เรียบมาแล้ว หาข้อถกเถียงไม่ได้อีก กรณีที่เห็นได้คือ การสวรรคตของพระเจ้าแผ่นดินพระองค์ก่อน ที่สรุปว่าเป็นอุปัทวเหตุ แต่เมื่อพิจารณาจากปัจจัยสภาพแวดล้อมแล้ว โดยเฉพาะท่าที่นอน ตลอดจนวิถีของปืนและกระสุน ข้อสรุปนี้อาจไม่จริงก็ได้      ข. กลายเป็นการละเลยประวัติศาสตร์ท้องถิ่น ซึ่งไม่เปิดช่องว่างให้คนกลุ่มอื่นๆของประเทศได้มีแสดงบทบาทในหน้าประวัติศาสตร์ไทย กรณีที่เห็นได้ชัดคือ กรณีท้าวสุรนารี ที่มีคนทำวิทยานิพนธ์ว่า มีจริงหรือไม่ในประวัติศาสตร์ และเป็นเครื่องมือหนึ่งของรัฐในสมัยก่อนที่ใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างความภาคภูมิใจในชาติหรือไม่ ซึ่งทำให้ชาวโคราชทั้งจังหวัดไม่พอใจเป็นอย่างมาก (ข้อนี้พูดอย่างเป็นกลางนะครับ) ในขณะที่การเรียนประวัติศาสตร์ในมหาวิทยาลัยนั้น มีมากมายหลายแนว อย่างประวัติศาสตร์ไทยที่เรียนแล้วรู้สึกว่ามีข้อถกเถียงหรือเป็นสิ่งที่ non-sense หลายอย่าง โดยเฉพาะเรื่องถิ่นกำเนิดชนชาติไทยที่ผมได้เคยอธิบายไปแล้ว ตลอดจนการมองบุคคลในประวัติศาสตร์ที่เท่าเทียมกันหมด ไม่ว่าจะเป็นบุคคลที่เรียกว่าเป็นสมมุติเทพมาถึงชนชั้นไพร่ทาสกระฎุมพี เพราะถือว่าบุคคลเหล่านี้มีส่วนในการผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคมทั้งในแง่บวกและแง่ลบนั่นเอง นอกจากนั้น ในประเทศนี้รัฐบาลมุ่งส่งเสริมแต่ความเจริญทางด้านวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และเรื่องเศรษฐกิจ ข้อนี้ผมไม่ปฏิเสธว่า เป็นสิ่งจำเป็นในระดับประเทศ แต่การพัฒนาที่ดีนั้น ต้องก่อให้เกิดความสมดุล อย่างในกรณีนี้ ก็ต้องก่อให้เกิดความสมดุลทั้งทางวิทยาศาสตร์ และ สังคมศาสตร์ มนุษยศาสตร์ ในเมื่อรัฐบาลมุ่งแต่ทางด้านความเจริญที่เป็นรูปธรรมแล้ว สิ่งที่เป็นนามธรรมก็ย่อมถูกละเลยไปเป็นเรื่องธรรมดา และในเมื่อคนในสังคมมีค่านิยมในการเรียนที่ต้องการจบออกไปมีอาชีพรองรับที่ชัดเจน แน่นอน มีเงินกองอยู่ตรงหน้าแน่ๆ วิชาที่ไม่มีจุดหมายปลายทางที่ชัดเจนอย่างประวัติศาสตร์ก็ต้องถูกตั้งคำถามเป็นธรรมดาว่า ปลายทางของคุณคืออะไร ได้เงินเท่าไร นั่นเอง จากคุณ : ภารตยุทธ (ภารตยุทธ) - [ 28 ม.ค. 51 10:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 . ส่วนตัวแล้ว คิดว่าเป็นเพราะ... คนไทยส่วนใหญ่ มีนิสัยเป็นนักบริโภคนิยม นักกิน นักใช้ นักบริโภค ขาดความเป็นนักสร้าง นักคิด นักสังเกต   คนไทยส่วนใหญ่ จึงไม่ชอบการสืบค้น การค้นคว้า การค้นหา และการคิดอะไรที่สลับซับซ้อน ..รวมข้าเจ้าด้วยหรือเปล่าเนี้ย.. จากคุณ : ณสยาม - [ 28 ม.ค. 51 13:15:29 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ตามความคิดของผมน่ะครับ ผมเป็นคนชอบเรียนทางด้านนี้มาก แต่บางทีบางสิ่งบางเรื่อง จดทำเป็นหนังสือและบรรจุหลักสูตรไม่ได้ เพราะมันบอบบางเกินไป ทั้งทางจิตใจและสภาพปัจจุบัน ของทั้งทางความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเรื่องของกษัตริย์ก็ตาม ทั้งนี้มันขึ้นอยู่กับความสนใจและดุลพินิจของอาจารย์ล่ะครับ ที่ใคร่จะสอนเด็กมากน้อยเพียงใด แล้วอยู่ที่ตัวเด็กด้วยว่าชอบและฝักใฝ่ในการเรียนรู้ทางด้านนี้มั้ย แล้ว...จบประวัติศาสตร์มาทำงานอะไร? ไม่กินแกลบเหรอะตอนทำงาน? จะมีงานทำมั้ย? ไปสนใจวิทยาศาสตร์ดีกว่า รวยกว่าเยอะ? ตามความคิดผมน่ะครับ น้องๆสมัยนี้อาจคิดแบบผมก็ได้ แต่ผมรักทางด้านนี้มากกว่าครับ ถ้าเรารู้ว่าอดีตเราเป็นใคร เราก็สามารถแก้ไขและปรับปรุงสิ่งในอนาคตได้ จากคุณ : เด็กประวัติศาสตร์ศิลปะ (DirrtyVanilla) - [ 28 ม.ค. 51 15:30:21 ]

ความคิดเห็นที่ 26 หลักๆคือน่าเบื่อครับ ให้เรียนอะไรก้ไม่รู้ จำแต่พ.ศ.นั่นพ.ศ.นี่ แต่พอมีศึกษาแบบลับๆ กลับเห็นว่าน่าสนใจมากๆ จากคุณ : Oaki - [ 28 ม.ค. 51 20:33:17 ]

ความคิดเห็นที่ 27 กระทู้นี้เป็นกระทู้ที่ผู้ตอบ ตอบได้ดีกระทู้หนึ่งครับ เพียงแต่เจ้าของกระทู้ ู้น่าจะแสดงทรรศนะของตนในกระทู้ด้วย จากคุณ : กระเทืองแก่ (Mascagni) - [ 29 ม.ค. 51 09:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ก็เพราะประวัติศาสตร์ที่สอนกันอยู่นั้นเขียนขึ้นมาเพื่อใช้ในประเทศเท่านั้น ไม่สามารถ reconcile กับทางต่างประเทศได้ อะไรที่เป็นความจริงแต่รับไม่ได้ ขัดกับความรู้สึก ก็เขียนให้มันกำกวมแล้วให้คนเขาตีความกันเอง ตีความให้เป็นบวก หรือแต่งใหม่เลย ถามจริงเถอะ รับได้ละเปล่ากับหลักศิลาจารึกที่เคยเป็นข่าว รับได้ละเปล่ากับการเปลี่ยนยุคจากกรุงธนเป็นกรุงรัตนโกสินทร์ จากคุณ : ย่ำอยู่กับที่ไม่ว่า แต่ถอยหลัง - [ 29 ม.ค. 51 13:04:42 A:125.24.136.221 X: TicketID:131276 ]

ความคิดเห็นที่ 29 รับได้หรือเปล่าคืออะไรครับ เรื่องพวกนี้ก็ยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่ในวงวิชาการอยู่ มีข้อสรุปกันแล้วเหรอถึงมาถามว่ารับได้หรือเปล่า ถามตัวเองด้วยแล้วกันครับ ว่ายอมรับได้หรือเปล่า เรื่องประวัติศาสตร์มันก้ขึ้นอยู่กับสำนักที่ตนเชื่อถือ พอมีใครมาค้านดีหน่อยก็รับฟัง แต่จะคล้อยตามหรือไม่ไม่ฟันธง เลวร้ายหน่อยก็ต่อต้านซะอย่างงั้น แต่พวกมาประชดประชัน ท้าทาย และลองภูมิ คนโน้นทีคนนี้มันน่าเบื่อนะครับ จากคุณ : virgio - [ 29 ม.ค. 51 14:51:47 A:58.8.99.62 X: TicketID:166616 ]

ความคิดเห็นที่ 31 มิได้คิดจะลองภูมิใคร สำหรับผมสีขาวก็รับรู้ว่าขาว ดำก็รับรู้ว่าดำ จะเทาก็ใช้วิจารณญาณ แล้วใช้ประวัติศาสตร์เป็นกระจกเพื่อให้เจริญตามรอยตาม หรือไม่ให้ซ้ำรอยตาม ประวัติศาสตร์ที่ถูกต้องนั้นมีคุณค่ามากมายประเมินค่ามิได้หากใช้ให้ถูก แต่ในทางกลับกันหากมีการบิดเบือนก็จะมีโทษอนันต์เทียบได้กับอานุภาพของระเบิดนิวเคลีย์ ก็แค่ยกตัวอย่างที่ใกล้ตัวมากกว่าประวัติศาสตร์กรุงธน ก็เรื่องหลักศิลาจารึกที่พิสูจน์ได้ด้วยเครื่องมือซึ่งผลก็ออกมาให้เห็นแต่ไฉนจึงมีการต่อต้าน หรืออย่างที่มีคนกล่าวถึงข้างต้นเรื่องสงครามโลกครั้งที่ 2 ก็แต่งประวัติศาสตร์เก่งแบบย้ายข้างสมการแบบไม่ลงตัว แต่ก็ทำให้ถูกจนได้ แล้วเด็กรุ่นใหม่จะได้รับการสั่งรับการสอนให้มันถูกต้องได้อย่างไร นี่หรือครับที่การแสดงความคิดเห็นของผมคือ "การประชดประชัน ท้าทาย และลองภูมิ คนโน้นทีคนนี้มันน่าเบื่อนะครับ" อย่าลืมวลีที่เป็นสัจจธรรม "ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย" จากคุณ : ย่ำอยู่กับที่ไม่ว่า แต่ถอยหลัง - [ 30 ม.ค. 51 08:37:03 A:125.24.137.232 X: TicketID:131276 ]

ความคิดเห็นที่ 32 ท่านผู้เจริญแล้ว ท่านอ่านประวัติศาสตร์น้ำเน่าที่แต่งขึ้นมาสะกดจิตหมู่ทั้งประเทศ แล้วเชื่อ จริงๆเหรอ ประเดี๋ยวก็จะมีคนรับไม่ได้ จำนวนมาก มาดีดดิ้น กล่าวหา ด่าทอ แล้วพร้อมใจกันบอกว่า หากใครไม่เชื่อ มันผู้นั้นไม่ใช่คนไทย แล้วจะให้หวังถึงการพัฒนาในการศึกษาด้านประวัติศาสตร์ไทย อีกหรือ???? จากคุณ : กระเพาไก่ไข่ดาว โดนแบน30 วัน - [ 30 ม.ค. 51 20:17:46 A:124.121.113.247 X: TicketID:166876 ]

ความคิดเห็นที่ 33 เพราะมั่วแต่ทะเลาะกันไม่รวมตัวกันจิวัยเป็นกลุ่ม ทำงานเป็นกลุ่มแบบจริงจัง จากคุณ : Zorro - [ 31 ม.ค. 51 00:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 34 "ความจริง ย่อมลอยขึ้น เหนือน้ำ เหนือฟ้าเสมอ" แก้ไขเมื่อ 02 ก.พ. 51 23:38:04 จากคุณ : UnlimitedDreams - [ 2 ก.พ. 51 23:35:40 ]

ความคิดเห็นที่ 35 เข้ามารับความรู้ครับ ป.ล. หลายๆ คห.กล่าวเหมือนอาจารย์ที่สอนผมเลยครับ ป.ล 2 วิชาโท ปวศ.ครับ จากคุณ : OgaRyu - [ 3 ก.พ. 51 14:14:51 ]