ความคิดเห็นที่ 1 1. เวลาฟังภาษาอังกฤษในทีวีหรือวิทยุ ถ้าพูดช้า พอฟังออก แต่ถ้าพูดปานกลางถึงเร็ว จะฟังไม่ออก ทำยังไงถึงจะทำตรงนี้ได้ ตอบ ภาษาอังกฤษมีหลักการที่แน่นอนตามวิชา phonetics ว่าเมื่อพูดช้าๆ (เรียกว่า strong form) จะออกเสียงอย่างหนึ่ง แต่เมื่อพูดเร็วๆ (เรียกว่า weak form) คำแต่ละคำจะออกเสียงอีกอย่างหนึ่ง มันจะมี elision นั่นก็คือว่า เสียงพยางค์บางเสียงจะโดนตัดทิ้งไป หรือรวบให้สั้นลง หรือเปลี่ยนเสียงไป แต่สิ่งที่ประหลาดก็คือ elision ในภาษาอังกฤษถือว่าถูกต้องตามหลักวิชา phonetics แต่ elision ในภาษาไทย โดนคนไทยที่เป็นพวก hypocrites (พวกเสแสร้งทำตนเป็นพลเมืองดี แล้วสวมหน้ากากเข้าหากัน) ตำหนิว่า "เป็นการทำลายภาษาไทย" จนกระทั่งคนอ่านข่าวต้องอ่านข่าวภาษาไทยเร็วๆ โดยไม่กล้าใช้ elision เลย เลยต้องพูดเร็วๆในขณะที่พยายามออกเสียงอักขระให้ชัดเจนทุกพยางค์ซึ่งนับว่า "ผิดธรรมชาติ" เนื่องจากภาษาทุกภาษาในโลกน่าจะมี weak form แต่พวก hypocrites พยายามกดดันให้คนไทยไม่กล้าพูดด้วย weak form ....!!! คราวนี้กลับมาเรื่องการฟังภาษาอังกฤษ คนไทยโดนสอนแต่ strong form (แถมยังสอนผิด) เมื่อไปฟัง weak form ก็จะยิ่งฟังไม่รู้เรื่องใหญ่เลย พอฟังไม่รู้เรื่องก็คิดแบบกำปั้นทุบดินว่า คราวนี้ต้องเรียนกับฝรั่ง แต่อนิจา ฝรั่งที่ไม่รู้วิชา phonetics พอพูดกับนักเรียนเร็วๆ (พูดด้วย weak form) นักเรียนฟังไม่รู้เรื่อง ฝรั่งก้อรำคาญก้อเลยพูดช้าๆ (พูดด้วย strong form) นักเรียนก็หลงดีใจคิดว่าฟังภาษาอังกฤษรู้เรื่อง แต่นั่นเป็นเพราะฝรั่งตั้งใจพูดช้าๆ นั่นก็หมายความว่าถ้านักเรียนไปฟังฝรั่งกับฝรั่งพูดกันเอง  นักเรียนก็จะยังฟังไม่รู้เรื่องอยู่ดีนั่นแหละ วิธีการสอนทักษะการฟังที่ถูกต้อง ก็คือ เปิดเทปหรือ video/audio files ให้นักเรียนฟัง(หรือดูภาพตามไปด้วยในกรณีที่เป็น video files) แล้วให้นักเรียนพูดตาม  (ควรใช้เสียงฝรั่งหลายๆสำเนียงเปิดให้ฟัง  ถึงผู้สอนจะเป็นฝรั่งเจ้าของภาษาก็ไม่ควรใช้เสียงตัวเขาเอง ทั้งนี้ เพื่อไม่ให้นักเรียนยึดติดกับสำเนียงผู้สอนนั่นเอง) ถ้านักเรียนฟังไม่รู้เรื่อง แล้วพูดไม่ได้ ผู้สอนก็จะต้อง ออกเสียงเป็น strong form แล้วให้นักเรียนพูดตาม จากนั้นจึงออกเสียงเป็น weak form (โดยการโยงเส้นพยางค์ที่มีการเชื่อมคำที่เป็น elision ให้นักเรียนดูบน whiteboard หรือบนจอภาพที่ฉายจาก projector ที่พ่วงกับคอมพิวเตอร์) แล้วให้นักเรียนพูดตามเป็น weak form โดยเพิ่มความเร็วไปเรื่อยๆ คือฝึกพูดจากช้าให้เร็วขึ้นโดยลิ้นไม่พันกัน .... การฟังแล้วพูดตามซ้ำๆกันนี้ เราเรียกว่า drill การ drill ให้นักเรียนฟังและพูดตามเสียงพยัญชนะและเสียงสระทั้งหมดในภาษาอังกฤษ (ไม่ใช่ 21 + 5 = 26 นะ... นั่นเป็นจำนวนรูป ไม่ใช่จำนวนเสียง จำนวนเสียงพยัญชนะและสระทั้งหมดที่มีในภาษาอังกฤษ ที่เขียนด้วย IPA (international phonetic alphabet) เป็นตัวออกเสียง ในวิชา phonetics มีมากกว่านั้นหลายเท่า...!!!)... แล้วพอ drill ก็ให้พยางค์ต่างๆที่เกิด links กันได้อย่างถูกต้องนั้น ถ้าผู้เรียนตอนเริ่มเรียนออกเสียงภาษาอังกฤษแย่มากๆอยู่แล้ว(เพราะได้รับการสอนมาผิดๆตั้งแต่เด็กๆ)  drill ไป 6 เดือน บางทีอะนะ ผู้เรียนยังพูดแล้วลิ้นพันกันเลย เว้นเสียแต่ว่าจะมีพรสวรรค์ทางด้านภาษาเป็นพิเศษ ......... การ drill จนนักเรียนออกเสียงได้ชัดเจน จะทำให้นักเรียนฟังรู้เรื่องมากยิ่งขึ้น เนื่องจากสามารถนำเสียงที่ได้ยินไปเปรียบเทียบกับเสียงที่ตัวเอง drill มาซ้ำๆหลายๆรอบได้  หลักการนี้ แสดงให้เห็นว่า ถ้าคุณออกเสียงไม่ชัด คุณก็ฟังไม่ค่อยจะรู้เรื่องด้วยเช่นกัน.... และนี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมการสอนภาษาอังกฤษในโรงเรียนสอนภาษา ส่วนใหญ่จึงประสบความล้มเหลว ใครก็ตามที่ไปเรียนโรงเรียนภาษาที่คุยว่าเสียค่าเรียนเป็นแสนๆบาท ลองสำรวจดูว่าโรงเรียนแพงๆที่ว่านี้ มีสอนทักษะการฟังกับการพูดแบบนี้หรือไม่? ถ้าไม่มี คุณเรียนไป ก็เสียเงินเปล่าๆ 2. ช่วยแนะนำอาจารย์สอน conversation ที่สอนดีๆ ราคาไม่แพงให้หน่อย อยากเรียนตัวต่อตัว ตอบ ของดีราคาถูกไม่น่าจะมีนะ????????????? แก้ไขเมื่อ 11 ก.พ. 51 02:48:13 แก้ไขเมื่อ 29 ม.ค. 51 02:19:30 แก้ไขเมื่อ 28 ม.ค. 51 12:29:33 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 28 ม.ค. 51 12:18:07 ]