ความคิดเห็นที่ 1 1. ไม่จริง การนับคำไม่ใช่การตัดสินราคาการแปลได้.. ความยากง่ายต่างหากที่เป็นเครื่องกำหนด.. 2. การแปลอังกฤษเป็นไทยสำหรับบทความง่ายๆ ทั่วไป เช่นข่าวในหนังสือพิมพ์.. ปัจจุบันราคาไม่น่าเกิน 100 บาทต่อหน้าครับ... แต่ถ้าเป็นบทความเชิงวิชาการที่ต้องอาศัยศัพท์เฉพาะ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วน.. คุณภรรยาของผมเคยรับแปลเอกสารทางกฏหมายสำหรับก่อสร้างสถานีบริการน้ำมันในกรุงเทพ.. จากไทยเป็นอังกฤษ... ตอนนั้นเรียกหน้าละ 1,200 บาท คนจ้างไม่ต่อแม้แต่คำเดียวครับ... 3. ไม่มีครับ...มีแต่โปรแกรมแปลที่ยังพัฒนาไม่สำเร็จ.. ถ้าคุณเอาไปใช้จะเจอภาษาพิลึกกึกกือ... แต่ที่น่าสังเวชก็คือ หนังสือแปลที่พิมพ์ขายกันเกลื่อนตอนนี้... หลายเล่มที่ใช้เครื่องแปลภาษามาช่วยอย่างชัดเจน... โดยคนที่อ้างว่าเป็นผู้แปลทำหน้าที่ขัดเกลาอย่างหยาบๆ เท่านั้น จากคุณ : หมู4X - [ 30 ม.ค. 51 10:21:46 ]

ความคิดเห็นที่ 2 โปรแกรมคอมพิวเตอร์ยังไงก็แปลสู้คนไม่ได้หรอกครับโดยเฉพาะการแปลเอกสารที่มีศัพท์เทคนิคเฉพาะกลุ่ม ขืนใช้เครื่องแปลโดยไม่ตรวจทาน รับรองพินาศสถานเดียว อย่าว่าแต่เครื่องเลย ต่อให้เป็นคนแปลถ้าไม่ได้อยู่ในวงการหรือไม่ได้ทำการบ้านมา เจอศัพท์ที่ใช้กันเฉพาะกลุ่มก็ตายสนิทเหมือนกัน เพื่อนเคยให้เพื่อนที่เป็นนักเคมีแปลงานเกี่ยวกับเครื่องปั้นดินเผา แปลออกมาแล้วคนอ่านมึนเลย มีทั้ง "Green" Strength ความแข็งแรง "เขียว" "Green" Density ความหนาแน่น "เขียว" "Green" Body วัตถุ "เขียว" (ดีไม่แปลเป็น "ของเขียว" ไม่งั้นคงนึกว่ากำลังอ่านเรื่องการสอนวิธีนั่งสมาธิ ) ที่จริงคำว่า Green ที่ว่า หมายถึงชิ้นงานดินตอนที่ยังไม่ได้เอาไปเผาต่างหาก จากคุณ : เกียรตินำ - [ 30 ม.ค. 51 14:38:02 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ควรคิดค่าตอบแทนยังไง >> ที่ผมเคยทำ มีทั้งคิดเป็นหน้า และ คิดเป็นคำ ไม่มีหลักตายตัว และอัตราค่าแปลขึ้นกับฝีมือและความไว้เนื้อเชื่อใจครับ โปรแกรม CAT ที่ช่วยในการแปลจะทำให้แปลง่ายขึ้นขนาดไหนครับ มีตัวไหนที่โหลดฟรีได้แนะนำมั้ยครับ >> โปรแกรมพวกนี้อำนวยความสะดวกในการแปลได้จริง ช่วยให้การบริหารจัดการง่ายขึ้น แต่ไม่ได้ช่วยให้แปลเก่งขึ้น แปลเก่งหรือไม่เก่งเป็นเรื่องของบุคคล ไม่เกี่ยวกับโปรแกรม หลักการก็คือ เขาจะซอยต้นฉบับเป็นส่วนย่อยๆที่เรียกว่า segment แล้วคนแปลก็แปลทีละ segment ส่วนที่แปลแล้วนี้เรียกว่า translation unit และหลายๆ TU รวมกันก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า Translation memory หรือ TM ความสะดวกอยู่ที่การสามารถนำบางส่วนกลับมาใช้ได้ สามารถส่ง TM ให้กันได้ถ้ามันเป็นโครงการใหญ่มากๆจนต้องแบ่งกันแปล นอกจากนั้นก็ช่วยควบคุมคุณภาพของงานให้คงเส้นคงวา ถ้าคุณแปลทีละหน้าสองหน้าอาจจะไม่จำเป็น ถ้าสนใจคุณก็ลองไปที่ www.wordfast.com ผมใช้ไอ้นี่อยู่ ใช้การได้ดีและราคาถูกที่สุด เขาให้ d/l มาใช้ได้ฟรีไปตลอดถ้าคุณใช้ TM ขนาดไม่เกิน 500 TU ซึ่งสำหรับงานทั่วไปจะใช้ได้เหลือเฟือ แต่ถ้าคุณต้องการใช้มากกว่านั้นก็ต้องเสียเงินลงทะเบียนกับเขา ถ้าคุณอยากจะใช้โปรแกรมแบบมืออาชีพ ก็คือ Trados ไอ้นี่ความสามารถสูง เป็นมาตรฐานในวงการแปลทั่วโลก แต่ราคาก็สูงตามไปด้วย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 30 ม.ค. 51 20:21:51 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ต้องแยกแยะว่า เป็น machine translation หรือ CAT (computer assisted translation) มันไม่เหมือนกัน machine translation ตัว software คิดคำแปลเอง (ถ้าแปลพวกภาษาของกลุ่มประเทศยุโรปด้วยกันละพอไหว แต่แปลไทย-อังกฤษ หรือ อังกฤษ-ไทย ละยุ่งแน่ๆ แต่ในอนาคต อีกเป็นสิบๆปี ก็ไม่แน่? ส่วน CAT นั้น นักแปลเป็นคนคิดคำแปลเอง แต่ตัว CAT programs หรือ tools เป็นแค่พี่เลี้ยงคอยช่วยเหลือเท่านั้น มีคนพูดถึง CAT programs/tools มาแล้วหลายปี เราเพิ่งมาสัมผัสกับมันเมื่อ 6 เดือนที่แล้วเอง ตอนไปรับงานแปลบริษัทข้ามชาติแห่งหนึ่งที่เขาบังคับให้ใช้ CAT program ของเขา  มันไม่ user-friendly เอาเสียเลย  ทีมงานพวกเราไปรับการอบรมมา 2 รอบ แต่พอลงมือแปลจริงๆก็ยังมึนหัว ต้องเรียกได้รับการ support หลายรอบกว่าจะใช้งานคล่อง   ฉากเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นก็คือว่า ตอนที่ handle folders กับ files เป็นจำนวนมากๆน่ะ เกือบพลาดท่าแน่ะ .....ถ้าพลาดไป folders กับ files พังวินาศสันตะโรหมดเสียหายเป็นแสนบาท  ในฉากเหตุการณ์นั้น เราปอดแหก ไม่กล้า backup งานเป็น files หรือเป็น folders ไว้เลย เพราะว่างงมากๆว่ามันอยู่ตรงไหนกัน แน่นเต็มไปหมด เลยเพื่อความปลอดภัยจึงใช้ Norton Ghost ทำการ clone hard disks 2 ลูกให้เหมือนๆกัน เป็นระยะๆ....และเครื่องคอมฯที่ทำงานแปล ไม่ต่อเน็ตเลย เพื่อตัดปัญหา viruses ทิ้งไปเลย แต่ใช้คอมฯอีกเครื่องต่อเน็ตแทน....ความจริงเครื่องคอมฯที่ต่อเน็ตเราป้องกันไว้เป็นอย่างดีแล้ว แต่ paranoid ไปเอง ...555+++.... ต่อมาเราฮึกเหิม ไปหา Trados มาลองใช้ดู  เปิดโปรแกรมขึ้นมา แล้วจิ้มมันส่งเดชปรากฎว่าหลังจากใช้โปรแกรมยากๆตัวแรกมาแล้วเลยพบว่าเรียนรู้วิธีใช้ Trados ได้ด้วยตัวเองโดยไม่ยากเกินไปนัก software พวกนี้จะ handle text files ....ถ้าลูกค้าส่งต้นฉบับเป็น texts มาก็แปลได้เลย แต่ถ้าส่งมาเป็น hardcopy มันต้อง scan แล้ว ocr ให้เป็น texts เสียก่อน    นั่นก็หมายความว่า ถ้าแปลอังกฤษ-ไทย ก็ ocr ต้นฉบับภาษาอังกฤษง่ายเพราะ มี ocr software เก่งๆหลายตัว แต่ถ้าแปลไทย-อังกฤษ ตอน ocr ต้นฉบับภาษาไทย ไม่ใช่เรื่องสนุกนัก เนื่องจาก ocr software ภาษาไทยยังไม่ค่อยเก่งมากนัก มีเปอร์เซ็นต์ผิดมากพอสมควร โดยภาพรวมแล้วเราว่า CAT programs/tools ช่วยนักแปลได้ดีทีเดียวถ้ารู้วิธีใช้งานและนักแปลมีหัวพลิกแพลงพอสมควร แต่ถ้าใช้ไม่คล่องหรือสมองทื่อๆจะยิ่งเป็นตัวถ่วง แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 09:01:04 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 08:35:13 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 00:52:18 แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 00:50:17 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ม.ค. 51 00:38:55 ]

ความคิดเห็นที่ 5 งานแปลกฎหมายเป็นงานที่มีบริษัทแปลหรือนักแปลๆกันเกลื่อนกลาดมากที่สุด แล้วแปลผิดมากที่สุด เมื่อ 15 ปีก่อนเราเคยไปฝึกงานแปลในบริษัทแปล แล้วต้องแปลงานกฎหมายมากที่สุด พอแปลๆไปได้ 5-6 ปี แล้วเราเก็บงานแปลกฎหมายเก่าๆเอาไว้ พอหลังจากไปหาประสบการณ์เพิ่มเติมอีก 10 กว่าปี เราลองเอางานแปลกฎหมายเก่าๆ กลับมาอ่านดู พบว่า "ตัวเองแปลผิดเพียบเลย” หลังจากนั้นพอเรารู้ทางหนีทีไล่มากขึ้นกว่าเดิม คือเข้าใจภาษากฎหมายมากขึ้นกว่าเดิม ก็ยังโชคไม่ดีพอ นั่นก็คือไปรับงานแปลจากบริษัทแปลที่กินหัวคิวเราไป 50% ดังนั้นเพื่อความอยู่รอดเราจึงต้องแปลเร็วกว่าปกติหลายเท่า จนถึงกับ “แปลผิดอย่างจัง” เนื่องจากลูกค้าจ่ายเงินน้อย (ต่อแหลกเลย) แถมยังเร่งให้แปลไวๆอีก  เราจึงต้องเลิกแปลไปในที่สุด สิ่งที่น่ากลัวมากๆก็คืองานแปลกฎหมายที่มาจากร้านแปลแถวๆ ถ.เพลินจิตกับ ถ.วิทยุ พวกนี้จะตัดราคาแข่งกันทำให้นักแปลได้เงินไม่เท่าไหร่ เลยนักแปลดีๆ (ซึ่งเมื่อก่อนเคยมี) ล้มหายตายจากกันไปหมด หรือไม่หาอาชีพใหม่กันหมด เลยมักจะมีนักแปลพวกหาลำไพ่พิเศษมาแปล เวลาจะจ้างใครแปลเอกสารกฎหมาย อย่าไปคิดว่าเพราะเขาเรียนจบมาสูงๆทางด้านภาษาแล้วจะต้องแปลได้  ตอนเรานั่งตรวจงานกฎหมายก่อนที่จะไปเป็นล่ามที่ศาล เราพบว่างานที่แปลโดยคนที่จบปริญญาเอกด้านการสอนภาษาอังกฤษจากสหรัฐ ซึ่งเป็นรองศาสตราจารย์ในมหาลัยไทย แปลผิดมาเพียบเลยเพราะไม่เข้าใจภาษากฎหมาย!!! บริษัทข้ามชาติที่เราไปรับงานแปลจากเขา เขาให้ทำงานพวก technical translation แต่มันจะมีข้อความกฎหมายปนๆมา เขาสั่งไว้เลยว่า “ห้ามแปลภาษาอังกฤษส่วนที่เป็นกฎหมายอย่างเด็ดขาด เขาจะให้ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งตีความเอง” หน่วยงานที่แปลเอกสารกฎหมายแม่นยำที่สุดก็คือสำนักงานกฎหมายข้ามชาติที่มีนักกฎหมายฝรั่งกับไทยทำงานร่วมกัน แต่ค่าแปลจะสูงมากๆ   ถ้าใครไม่อยากเสียเงินจ้างสำนักงานกฎหมายข้ามชาติให้แปลกฎหมาย แล้วคิดจะเลือกนักแปลควรเลือกคนที่เขียนภาษาอังกฤษเก่งมากๆแบบโครงสร้างซับซ้อนแบบโบราณๆได้ และเขียนได้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา เนื่องจากถ้าเขาเขียนแบบนั้นได้แสดงว่าเขาต้องเข้าใจภาษาลึกซึ้งมากๆพอที่จะเข้าใจภาษากฎหมายที่มีโครงสร้างประหลาดๆ  ยกตัวอย่างเช่น verb บางตัวในภาษาอังกฤษ ถ้าไม่มี preposition มันจะสื่อความหมายไม่ได้  และส่วนใหญ่ภาษาชาวบ้านเขาวาง verb กับ preposition ติดกัน  แต่ในเอกสารกฎหมายบางอย่างนักกฎหมายต้องการความรัดกุม คือป้องกันไม่ให้มี dangling modifiers เขาเลยจัดโครงสร้างพิศดารคือเอา preposition ไปวางไว้หน้า verb แต่วาง preposition ไว้ประมาณ 3-4 บรรทัดก่อนหน้า verb ซึ่งนักแปลที่ไม่ชำนาญหรือกำลังรีบๆแปล แล้ว “เมาหมัด" (เราก็เคยเมาหมัดบ่อยๆ บางทีนั่งงงอยู่เป็นชั่วโมงเลยก็มี)  จะงงมากๆ เพราะพอหา preposition ไม่เจอ (เพราะตาลาย) ก็จะเดาสุ่มไปจนกลายเป็นแปลผิดอย่างจัง   อันตรายอีกอย่างหนึ่งของการแปลเอกสารกฎหมาย นั่นก็คือนักแปลจะแปลจากซ้ายไปขวา แล้วพอไปเจอ interrupting phrases มาค้ำคออยู่  ถ้าแปลจากซ้ายไปขวา คำแปลจะ “อ่านไม่รู้เรื่อง”  และการที่จะเรียบเรียงคำแปลใหม่ให่อ่านรู้เรื่องได้นั้น จำเป็นต้องรื้อโครงสร้างประโยคใหม่หมดเลย นั่นก็หมายความว่า นักแปลที่จะแปลเอกสารกฎหมายจากอังกฤษเป็นไทย เมื่อเจอต้นฉบับภาษาอังกฤษแบบนี้เข้า ถ้านักแปลรู้ศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างเดียว (ซึ่งบางทีศัพท์กฎหมายมันก็ยากอยู่แล้ว) แต่นักแปลไม่มีทักษะในการเขียนภาษาอังกฤษให้ใกล้เคียงเจ้าของภาษา  นักแปลก็ไม่มีทางที่จะเรียงภาษาปลายทาง (คือภาษาไทย) ให้สื่อความหมายตรงกับภาษาต้นทาง (คือภาษาอังกฤษ) ได้สำเร็จ ... เนื่องจากไม่รู้วิธีเรียงประโยคภาษาอังกฤษใหม่ให้ง่ายแก่การตีความ  (เรียงในใจ แต่ถ้ายากๆโหดๆต้องเรียงโดยพิมพ์ใหม่) การแปลเอกสารประเภทนี้ให้ถูกต้องก็นับว่าไม่ใช่เรื่องหมูๆอย่างที่นักแปลหน้าใหม่หรือนักแปลสมัครเล่นคิดไว้ แก้ไขเมื่อ 31 ม.ค. 51 09:08:25 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ม.ค. 51 08:36:47 ]

ความคิดเห็นที่ 6 คำแปลหนังสือบางเล่มที่ดูเละเทะมากๆ ราวกับว่าใช้ machine translation นั้น จริงๆแล้วเราว่านักแปลคงไม่ถึงกับใช้ machine translation สาเหตุที่มีหนังสือแบบนี้หลุดออกมาได้ก็เพราะว่า 1. สำนักพิมพ์ก่อนจ้างขอดูตัวอย่างการแปลก็จริง แต่นักแปลที่สมัครงาน เจ้าเล่ห์ แปลมาเป็นตัวอย่าง แต่า  เขาเอาไปให้นักแปลอีกคนที่ชำนาญ edit (ตรวจทานแก้ไขให้) จนสวยงาม แล้วจึงส่งให้สำนักพิมพ์พิจารณา   จริงๆแล้วมีเหตุการณ์ที่สยองขวัญที่เกิดขึ้นจริงๆ นั่นก็คือว่า ที่กระดานข่าวบนเว็บแห่งหนึ่งมีนักอยากแปลคนหนึ่งเอาบททดสอบของสำนักพิมพ์ไปหัดแปลแล้วแปลผิดเพียบเลย แต่นักแปลคนนั้นขอร้องให้สมาชิกคนอื่นๆช่วยกันแก้ไข พวกพี่ๆก็เลยช่วยกันแก้คนละไม้คนละมือ จนได้คำแปลที่ดีเลิศสวยงามหรูหรา  แล้วนักอยากแปลเอาตัวอย่างการแปลดีๆนั้นไปสมัครงานกับสำนักพิมพ์... แล้วได้รับการตอบกลับมาว่า “ทดสอบผ่าน”  แล้วพวกพี่ๆของเธอที่ช่วยตรวจทานแก้ไขบ้าง ก็ลองทำบททดสอบอันเดียวกันของสำนักพิมพ์เดียวกัน เกิดเหตุอาเภท คือ “ทุกคนไม่ผ่าน...!!!”  ลองนึกภาพดูดิว่าจะเกิดอะไรขึ้น ...555+++.... 2. สำนักพิมพ์พอเห็นตัวอย่างการแปลดีๆ ก็เลยทำสัญญาว่าจ้าง ซึ่งถ้าเป็นสำนักพิมพ์เล็กๆ เขาทำ QA กับ QC ได้โดยการกำหนดเอาไว้ในสัญญาว่า ให้นักแปลทยอยส่งคำแปลมาทีละบท แล้วบรรณาธิการก็ทยอยตรวจถ้าเห็นว่าแปลมาเละเทะก็ต้องบอกให้นักแปลเลิกแปล แล้วยกเลิกสัญญา (ตามที่ระบุเอาไว้ในสัญญา)  แต่นั่นเราพูดถึงสำนักพิมพ์ที่ออกหนังสือปีละ แค่ไม่กี่สิบเล่มก็ทำแบบนี้ได้  แต่ถ้าสำนักพิมพ์ออกหนังสือปีละหลายร้อยเล่มหรือเป็นพันเล่มละก้อ ...555+++...ตัวใครตัวมันหละ ..... 3.  ในกรณีที่มีนักแปลที่แปลเละออกมาแบบนี้ พอไปถึงขั้นตอนของการ edit (ตรวจทานแก้ไข) ถ้าเป็นสำนักพิมพ์ใหญ่ๆ ที่มีหนังสือค้างอยู่ คือที่แปลแล้วยังไม่ได้ edit นับเป็นพันๆเล่มนั้น ไม่มีไพร่พลมากพอที่จะจ้างบรรณาธิการต้นฉบับประจำได้ จึงต้องจ้างแบบ freelance การจ้างบรรณาธิการต้นฉบับแบบ freelance เป็นจำนวนมากมายนั้นจะทำ QA กับ QC ทำได้ยากมากๆ  ในความเป็นจริงจะเจอ scenarios 4 อย่างนี้คือ 1. นักแปลเก่งบรรณาธิการต้นฉบับเก่งแล้วต่างฝ่ายต่างประสานงานกันและยอมรับฟังความเห็นของกันและกัน (อันนี้งานออกมาสวยงามมีคุณภาพมากๆ) 2. นักแปลเก่งบรรณาธิการต้นฉบับไม่เก่ง (อันนี้นักแปลๆมาดี แต่บรรณาธิการต้นฉบับแก้เป็นแปลผิด นักแปลเก่งๆเลยไปผูกคอตายกันมากมาย เลยเหลือนักแปลไม่เก่งมากกว่าเดิม)   3. นักแปลไม่เก่งบรรณาธิการต้นฉบับไม่เก่ง (อันนี้ผลลงเองหนังสือออกมาเหมือนใช้ machine translation คืออ่านไม่ค่อยจะรู้เรื่อง) 4. นักแปลไม่เก่งบรรณาธิการต้นฉบับเก่ง (อันนี้บรรณาธิการต้นฉบับแก้จนตัวเองประสาทกลับ แล้วทำตาขวางๆไปหาเรื่องทะเลากับแฟนตัวเอง ...พูดถึงใครกันหว่า....555++++.....) จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ม.ค. 51 08:37:32 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ค่าแปล มีทั้งคิดตามฝีมือ และคิดเกินฝีมือ (คือนักแปลลักไก่) มี quotations ไว้ให้หลายระดับในกระทู้นี้ ตาม link ข้างล่างนี้ไป http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6277577/K6277577.html จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 31 ม.ค. 51 08:38:07 ]