ส่วนประเด็นที่ท่าน professor พูดว่า
การ drill คนทั่วไปอาจจะเป็นว่าเป็นวิธีฝึกที่ดี แต่จริงๆผมว่าฝึกไปมันก็ได้มากที่สุดคือเป็นแบบนกแก้วอ่ะ บางคนเรียนแบบจำประโยค มันก็พูดได้เท่านั้น(เท่าที่จำ) แต่ถ้ามาเรียนทางภาษาศาสตร์จะรู้ว่า ทุกภาษามีโครงสร้างเดียวกันหมด และโครงสร้างที่จำกัด (finite set of rules) สามารถสร้าง (generate) ประโยคที่ไม่จำกัดได้ (infinite possibilities)
จริงๆแล้วท่าน professor ก็เข้าใจผิดอีกนั่นแหละ.... คือว่า แท้จริงแล้วเราก็ไม่ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะ drill จนถึงขั้นที่ learners เรียนจบวิชา conversation ครบหลักสูตร จนได้มาซึ่ง fluency แบบเลิศเลอ perfect ไม่มีที่ติ ...จริงๆแล้วเป้าหมายหลักของเราคือการช่วยเรื่อง listening comprehension ต่างหาก เพราะว่าทักษะที่สำคัญที่สุดในการเรียนภาษาก็คือว่า
"ต้องฟัง แล้วพูดตามให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก แล้วทักษะอื่นๆที่เหลือจึงจะตามมาที่หลัง"
แต่การ drill ที่เราคิดค้นขึ้นมานั้น ก็ยังมีเป้าหมายรองต่างๆดังจะกล่าวต่อไปข้างล่างนี้อีกด้วย....
เรามีแนวคิดแบบนี้เนื่องจากตัวเราเองนั้น ต้องเสียเวลานานถึง 5 ปีกว่าจะฟัง native speakers พูดเร็วๆแบบ full speed ได้ ทั้งๆที่เราเรียนสนทนาภาษาอังกฤษในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษ .... แล้วถ้าคนไทยที่ไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษล่ะ มันจะยิ่งยากมากขนาดไหน ดังนั้นการ drill จึงเป็นแนวทางแก้ไขปัญหานี้
ก่อนที่เราจะคิดวิธีการ drill ขึ้นมาตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องนั้น เราก็ได้เปิดตำรา phonetics และ phonology ศึกษาดูแล้ว และนำสิ่งที่เราได้อ่านเจอจาก textbooks ไป present ให้ learners ในลักษณะที่ learner-friendly เอามากๆ นั่นก็คือ ตัด technical jargons ทิ้งออกไปจนหมด ....
ซึ่งในวิธีการที่เราเขียนเอาไว้นั้น เราพูดถึง improvisation อีกด้วยว่ามันเป็นจุดเริ่มต้นของการเรียน conversation แบบ interactive ในขณะที่สอน grammar แบบวิธีธรรมชาติไปด้วยในระดับหนึ่ง ซึ่งเราก็ไม่ได้รับประกันว่าจะต้องพูดได้แบบนักพูดมืออาชีพเพียงแค่เรียนใน classroom เท่านั้น.....
สิ่งที่เราเน้นหนักในการ drill มันก็แค่การแก้ไข bad pronunciation ของคนไทยเท่านั้นเอง โดยการสอนออกเสียงแบบ Received Pronunciation การอ่านตัว IPA และการ transcribe เสียงง่ายๆเท่านั้น ซึ่งได้จากแนวคิดพื้นฐานว่า ถ้า learners ปรับปรุง pronunciation ของพวกเขาเอง พวกเขาก็จะคาดหวังได้ถูกต้องว่าเสียงพูดของ native speakers น่าจะอยู่ที่ประมาณไหน ซึ่งเราค่อนข้างเชื่อมั่นว่าเราสามารถบรรลุเป้าหมายในการสอนให้ learners ฟัง native speakers พูดเร็วๆได้ โดยใช้เวลาเรียนต่ำกว่าที่เราเรียนเองในอดีต คือต่ำกว่า 5 ปีนั่นเอง โดยการแยกแยะและบอกความแตกต่างของ phonemes ทั้งหลาย แยกแยะ strong forms จาก weak forms และรับรู้ความหมายที่แตกต่างกันที่สื่อด้วย intonations นั่นเอง
แต่เราไม่ได้พูดว่า drill จะช่วยให้ได้มาซึ่ง fluency ในชีวิตจริง ....drill เป็นแค่เพียง preparation ในด้าน listening comprehension แนะแนวทาง good pronunciation และสอน grammar ด้วยวิธีการธรรมชาติได้ในระดับหนึ่ง เท่านั้น แต่การเรียนพูดจริงๆ เพื่อให้ได้มาซึ่ง fluency นั้น learners ก็ยังจำเป็นที่จะต้องเข้าไปอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดจาสนทนากับ native speakers ในชีวิตจริง
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 06:40:00
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 06:03:05
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 06:01:32
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 05:43:18
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 05:41:40