เราอ่านหนังสือภาษาอังกฤษเล่มแรกตอนเพิ่งหัดพูดภาษาอังกฤษได้แบบงูๆปลาๆมาแค่ 6 เดือนหมาดๆเอง...ไม่ได้อ่านเพราะใจรัก แต่อ่านเพราะว่าเราป่วยหนัก จนเรียนหนังสือไม่ได้ จึงอยากค้นคว้าหาข้อมูลมารักษาตนเอง
อ่านตอนแรกๆเล่นอ่านยากเกินควรเช่น พวก psychoanalysis ของ Sigmund Freud ที่แปลจากเยอรมันเป็นอังกฤษ อ่านเรื่องการฝึกลมปราณของโยคีอินเดีย(แขกอินเดียเล่นเขียนภาษาอังกฤษแบบโบราณอ่านแล้วมึนหัวมั่กๆเลยอ้ะ) อ่านเรื่องการฝึกเล่นแร่แปรธาตุ (alchemy) คือการผสาน jing (พลังทางเพศ), qi (ลมปราณ) และ shen (วิญญาณ) ให้เป็นหนึ่ง เพื่อนำไปสู่ความเป็นเซียนตามแบบฉบับของนักพรตเต๋าจีนโบราณ ที่แปลจากจีนเป็นอังกฤษ (หนังสือของนักพรตเต๋าเล่มนี้แหละที่รักษาอาการป่วย OCD (ย้ำคิดย้ำทำของเราได้สำเร็จ)) ถ้าอยากเห็นว่าหนังสือเล่นแร่แปรธาตุ ซึ่งเป็นคัมภีร์ที่มีชื่อว่า "กลับคืนสู่ครรภ์ของมารดา" เพื่อนำไปสู่ความเป็นเซียน ที่เราอ่านตอนเด็กๆ ภาษาอังกฤษหน้าตาเป็นอย่างไร ลองไปดู คคห 58 กับ คคห 59 ที่ link นี้ได้
http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6319249/K6319249.html
อ่านๆไปแล้วแทบกระอักเลือดเพราะเราเรียนแบบกัดฟันเรียนโดยไม่มี dictionaries อังกฤษเป็นไทยเลย (เคยมีแต่ขว้างทิ้งไปหมด เพื่อนมันยุให้ขว้างทิ้งจะได้อ่านรู้เรื่องไวๆอ้ะ...555+++...) ตอนนั้นอยู่ต่างแดน เราใช้เปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษลูกเดียว ถ้าอ่านไม่เข้าใจก็เดินไปถามฝรั่งให้อธิบายให้ ....เรียนๆไปแล้วประสาทกลับ...!!!
เลยต้องหยุดอ่านไปพักใหญ่ๆ แล้วหันไปอ่านหนังสือโป๊แทนพลางๆก่อน.....มันทำให้ขยันเปิด dictionaries มากขึ้นกว่าเก่า ...555+++...แล้วจึงค่อยกลับไปอ่านเรื่องที่เราสนใจใหม่อีกรอบ ส่วนใหญ่จะออกไปเป็นแนว esoteric arts (ศาสตร์เร้นลับ) แต่ไม่เคยอ่านนิยายเลย แปลกจริงๆนะ...?!
กลับมาเมืองไทยเรารับจ้างแปลเอกสารดีๆแล้วดันทลึ่งไปรับแปลนิยายอังกฤษเป็นไทยให้สำนักพิมพ์ทั้งๆที่เราไม่เคยอ่านนิยายมาก่อนเลย แปลไปได้ 4 เล่มสำนักพิมพ์เกือบเจ้งแน่ะ ....555+++... เราจึงต้องเลิกแปลหนังสือ แล้วกลับไปรับจ้างแปลเอกสารเหมือนเดิม
ตอนนี้เพิ่งมาหัดอ่านนิยายอยู่ แบบว่าอ่านๆไปแล้วพยายามจำประโยคสวยๆเอาไปดัดแปลงเพื่อเขียนเป็นภาษาอังกฤษของตัวเอง ที่เราเรียนแบบนี้ก็เพราะเราเกลียด grammar นั่นเอง....
เวลารับงานแปลไทยเป็นอังกฤษราคาแพงๆ เราจะได้เขียนภาษาอังกฤษดีขึ้นหน่อย แบบไม่ต้องละอายใจเวลาไปคิดเงินลูกค้าแพงๆ....และเผื่อว่าเรารู้ทางหนีทีไล่แนวนวนิยายได้ดีกว่าเดิม...แล้วบางทีเราอาจกลับไปแปลหนังสือนิยายใหม่อ้ะ
เราว่าเวลาหัดอ่านภาษาอังกฤษควรเลือกเรื่องอะไรที่เราชอบแต่อ่านจากง่ายไปหายาก จะดีที่สุด ....จะได้ไม่ปวดหัวทรมาณเหมือนที่เราเคยเจอมา เพราะว่าเราเล่นอ่านจากยากไปหาง่าย....
บางคนขอคำแนะนำนิยายให้อ่านเรื่องแรก เราเห็นมีคนแนะนำหนังสือ Agatha Christie เราว่าจริงๆแล้วมันอ่านเข้าใจยากนะ ไม่ได้ง่ายอย่างที่คนไทยหลายๆคนคิด
เราเคยใช้ชื่อ sensitive reader (chatterbot) อ่านและวิเคราะห์หนังสือ Agatha Christie เอาไว้เรื่องหนึ่ง อ่านไปแค่บทสองบท ก็เจอยากๆเพียบเลยอ้ะ ตาม link นี้ไปลองบริกรรมดูได้
http://topicstock.pantip.com/library/topicstock/K3954683/K3954683.html
เราว่าหนังสือที่ควรหัดอ่านตอนแรกๆควรหัดอ่านหนังสือนอกเวลาของนักศึกษาที่เขามี simplified versions ไว้ให้อ่านก่อน แล้วค่อยขยับไปอ่าน versions เต็มยากๆ หรือไม่ก็หัดอ่าน Student Weekly ก่อน รู้ศัพท์พื้นฐานแค่ 2000 - 2500 คำก็พออ่านรู้เรื่องได้ หรือลอง Harry Potter ตอนต้นๆ ก็อ่านง่ายดี ถ้ารู้ศัพท์พื้นฐาน 2000 - 2500 คำแล้ว จะอ่านนิยายยากๆ (ซึ่งจำเป็นต้องรู้ศัพท์กว่า 5000 คำ หรือถ้าอ่านหนังสือยากมหาโหดๆสุดๆอาจต้องรู้ศัพท์เป็นหมื่นๆแสนๆคำก็ได้) ก็ใช้วิธีอ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ แล้วติดศัพท์อะไรก็เปิดหาจาก dictionaries อังกฤษ-อังกฤษที่เป็น software หรือ dictionaries อังกฤษ-อังกฤษ แบบ online ก็จะหาศัพท์ได้รวดเร็ว เนื่องจากการรู้ศัพท์พื้นฐาน 2000 - 2500 คำแต่แรกเริ่ม เป็นต้นทุนในระดับเบื้องต้นที่จะนำไปสู่การอ่านหนังสือยากๆได้โดยการเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษลูกเดียว (เพราะว่า dictionaries อังกฤษ-อังกฤษส่วนใหญ่จะใช้ศัพท์พื้นฐานแค่ประมาณ 2000 คำ (ที่เรียกว่า defining vocabulary) ไปอธิบายคำศัพท์อื่นๆ
ใครที่รู้ defining vocabulary 2000 คำแล้ว จะต้องพยายามอ่านหนังสือภาษาอังกฤษโดยไม่ใช้ dictionaries อังกฤษเป็นไทยเลย ที่ต้องทำเช่นนี้ก็เพื่อเป็นการป้องกันการตีความภาษาอังกฤษผิดพลาดอันเนื่องจากการที่ dictionaries อังกฤษเป็นไทยจุคำศัพท์ไม่มากพอนั่นเอง
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 13:38:37
แก้ไขเมื่อ 14 ก.พ. 51 12:07:58
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 51 22:16:49
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 51 22:10:55
แก้ไขเมื่อ 13 ก.พ. 51 22:03:57