ความคิดเห็นที่ 1 ใช้ Trados นับครับ จากคุณ : ลุดวิก - [ 14 ก.พ. 51 15:49:18 ]

ความคิดเห็นที่ 2 อยากถามเรื่อง Trados เพิ่มหน่อยครับ ตัวฐานข้อมูล translation memory นี่เอามาจากไหนครับ หรือว่าเราต้องสร้างขึ้นมาเอง จาก 0 ครับ จากคุณ : Newbie - [ 14 ก.พ. 51 16:50:37 A:124.120.167.187 X: TicketID:168091 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เรื่องเรียนการแปลน่ะ หลายๆคนไปคิดถึงทฤษฎีการแปล ไปคิดถึงตำรา ไปคิดถึงหลักสูตรอะไรต่อมิอะไร ให้รกสมอง...แต่ไม่ค่อยจะมีใครคิดถึงเรื่องอะไรแบบ down-to-earth กันมั่งเลย ... กระบวนการที่คนๆหนึ่งจะพัฒนาไปสู่การเป็นนักแปลได้นั้น จะต้องทำตัวเองให้เป็น bilingual  ให้ได้ในระดับหนึ่ง เสียก่อน ... นั่นก็คือ แทนที่จะอยู่ดีๆไปคว้าเอาหนังสือยากๆหรือรับเอกสารยากๆโหดๆมาหัดแปลเลยทีเดียว (กรณีแปลอังกฤษเป็นไทย) หรือคว้ากฎกระทรวงหรือหนังสือราชการมาหัดแปลเลยทีเดียว (กรณีแปลไทยเป็นอังกฤษ)  ...ก่อนอื่นสมควรฝึกทักษะการฟังการพูดภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานในชีวิตประจำวันให้คล่องเสียก่อน ถ้าคุณฝึกจนถึงขั้นที่ไปนั่งคุยกับฝรั่งเจ้าของภาษาได้นาน 2-3 ชั่วโมง แล้วพูดภาษาอังกฤษเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวัน แล้วฝรั่งจับผิดคุณแบบ หา errors ที่เป็น errors แบบ non-native speaker แทบไม่ได้เลยนะ นั่นก็หมายความว่า "คุณมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งแล้ว และพร้อมแล้ว ที่จะเรียนทักษะยากๆ คือ "การแปล" ได้ด้วยตนเอง จนประสบความสำเร็จ" วิธีเรียนก็ง่ายๆ คือเวลาดูทีวีไทย ฟังภาษาไทย ก็พยายามคิดคำแปลตามไปเป็นอังกฤษ และเวลาดูหนังฝรั่งหรือเคเบิ้ลทีวีโปรแกรมฝรั่ง ก็พยายามคิดคำแปลตามไปเป็นภาษาไทย ...นี่เป็นวิธีการที่เราสอนตัวเอง.... พอผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว จึงเริ่มหาตัวอย่างการแปลที่ค่อนข้างน่าเชื่อถือได้มาศึกษา เช่น กรณีที่เราฝึก เราเอาประมวลกฏหมายแพ่งและพาณิชย์ ประมวลกฎหมายอาญา พวกพระราชบัญญัติต่างๆ ฉบับที่มีไทยอังกฤษคู่กัน หรือหนังสือแปลที่แปลโดยนักแปลที่น่าเชื่อถือได้ มาวางเทียบกับต้นฉบับ เพื่อศึกษาดู พวกหลักสูตรการปริญญาโทการแปลในมหาลัย ไม่เหมาะสำหรับคนที่พื้นฐานไม่แน่น แล้วไปเรียนเพื่อหวังจะเก่ง เนื่องจากส่วนใหญ่มักจะสอนทฤษฎี ถ้าคุณไม่ binlingual อยู่บ้างพอสมควร แล้วเรียนไปจบมาก็ยังแปลไม่ได้อยู่ดีนั่นแหละ...แต่เผลอๆไปสมัครเขาจะไม่รับเอาด้วยซ้ำไป ส่วนใหญ่เหมาะสำหรับคนที่เคยมีประสบการณ์อยู่แล้ว แล้วไปเรียนเพื่อเป็น "เสือติดปีก" มีข่าวเขาเล่าลือกันว่าเมื่อสมัยจุฬาเปิดหลักสูตรปริญญาโทการแปลรุ่นแรก นักศึกษารุ่นแรกที่เข้าไปเรียน มีหลายคนเคยทำงานเป็นนักแปลมืออาชีพมาแล้วเกิน 10 ปี ...นักศึกษาบางคนถกเรื่องการแปลกับอาจารย์ แล้วไล่ต้อนอาจารย์จนอาจารย์แทบจะจนมุม... ตอนนี้นะ หนึ่งในมหาบัณฑิตกลุ่มนั้นกลับเข้าไปสอนปริญญาโทการแปลที่จุฬาเสียเองเลย...คนที่เราพูดถึงนี้นะ มีความเป็นอัฉริยะทางด้านภาษาเอาเสียมากๆ เขาเคยมีหนังสือแปลของเขาออกตีพิมพ์ตั้งแต่อายุได้แค่ประมาณยี่สิบ หรืออาจจะน้อยกว่านั้น และที่น่าทึ่งยิ่งกว่านั้นนะ ถ้าจำไม่ผิดนะ รู้สึกว่า เขาจะเรียนเอกฝรั่งเศส แต่ดันเก่งภาษาอังกฤษมากพอที่จะสอนปริญญาโทการแปลอังกฤษ-ไทย ไทย-อังกฤษ ได้...!!!???...นักแปลที่เก่งขนาดนี้ เขาเก่งได้เพราะเรียนภาษามาตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องด้วยความขยันหมั่นเพียร โดยสร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งมากๆมาตั้งแต่แรกเริ่ม ไม่ใช่อยู่ดีๆไปคว้าหนังสือหรือเอกสารยากๆ มาแปลดำน้ำไปเรื่อย... แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 03:10:20 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 17 ก.พ. 51 15:34:36 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อนึ่ง การเรียนลัดโดยอยู่ดีๆ ไปคว้าหนังสือหรือเอกสารภาษาอังกฤษมา แล้วแปลเป็นไทยไปเลยโดยการเปิด dictionaries ไล่หาคำศัพท์ตะบี้ตะบัน ถ้าออกแรงเยอะๆ มันก็แปลได้ในระดับหนึ่ง ดังเช่นมีนักแปลคนหนึ่งที่แปลหนังสือไวจนคนอ่านๆไม่ทัน เขาเขียนข้อความเกี่ยวกับประวัติเขา มีข้อความว่า ผมแปลหนังสือมา 200 กว่าเล่ม แปลได้ดี แต่ผมฟังภาษาอังกฤษไม่รู้เรื่อง พูดไม่ได้ เขียนภาษาอังกฤษก็ไม่ได้ คืนครูไปหมดแล้ว แต่ผมแปลดี ขอย้ำว่าแปลได้ดี...???!!!...แล้วถ้าเจอเรื่องยากๆนะ ผมก็มีผู้ช่วย อีกด้วย....... นักแปลคนที่ว่านี้ ถ้าให้เขาไปแปลไทยเป็นอังกฤษ เขาจะไม่มีทางแปลได้ หรือถ้าแปลออกมาคำแปลภาษาอังกฤษก็จะอ่านไม่เป็นภาษาคน เนื่องจากว่า เขาไม่ได้เรียนรู้ให้ตัวเอง bilingual มาอย่างค่อยๆเป็นค่อยๆไป ตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้อง นั่นก็คือ 1.ต้องฟังภาษาอังกฤษให้ทัน (รู้เรื่องไม่รู้เรื่องไม่เป็นไร) แล้วพูดตามให้ได้ก่อนเป็นลำดับแรก 2. ฟังให้รู้เรื่องเป็นลำดับต่อไป 3. พูดให้ฝรั่งฟังรู้เรื่องให้ได้ด้วย 4. อ่านให้รู้เรื่อง อ่านจากง่ายไปหายาก ในขณะที่พยายามจำสิ่งที่อ่านเจอ เอาไปหัดเขียนเรื่องง่ายๆก่อน   5. แล้วค่อยๆหัดเขียนในระดับที่ยากๆมากขึ้นไปเรื่อยๆ 6. และหัดแปล ซึ่งเป็นทักษะที่ยากที่สุด ซึ่งถ้าเรียนตามลำดับขั้นตอนที่ถูกต้องแบบนี้ จะทำให้ผู้เรียนกลายเป็น bilingual พอที่จะเรียนด้วยตัวเอง ให้แปลได้ทั้งอังกฤษ-ไทย และไทย-อังกฤษ คนที่พยายามเรียนการแปล แล้วเรียนไม่ได้ผล เป็นเพราะชอบเรียนลัด นั่นเอง เรียนๆไปยิ่งแปลๆไป ก็ยิ่งมึน head...แล้วก็จะเดินไปสู่ทางตัน... ในกรณีของนักแปลที่คุยฟุ้งว่าแปลหนังสือมา 200 เล่ม ได้ทั้งๆที่พูดภาษาอังกฤษไม่ได้นั้น อย่าว่าแต่แปลไทย-อังกฤษไม่ได้เลย เอาแค่แปลอังกฤษ-ไทยนะ ถ้าเคราะห์หามยามซวย ไปเจอประโยคภาษาอังกฤษแบบโครงสร้างพิศดารกลับหัวกลับหางกับภาษาไทย มากๆเข้า ก็บางทีอาจถึงกับงงเป็นไก่ตาแตก จนแปลไม่ได้เอาเสียดื้อๆ หรือถ้าแปลได้ คำแปลก็อ่านไม่เป็นภาษาคน ยกตัวอย่างเช่นประโยคข้างล่างนี้เป็นต้น เป็นประโยคที่คำศัพท์ง่ายๆ แต่คนที่ไม่ binlingual ในระดับหนึ่งจะแปลออกมาแล้วเรียบเรียงคำแปลภาษาไทยแบบสับสนมากๆ.... นี่คือตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่มีลำดับคำกลับหัวกลับหางกันกับภาษาไทย ทำให้ต้องอาศัยความเป็น bilingual ในการแปล Against compliance by the Vendor with their obligations under the Agreement, the payment at Closing shall be satisfied by the Purchaser at the Closing by delivery to the Vendor of a cashier’s cheque drawn on a bank in Bangkok in favour of the Vendor in the amount of baht........... แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 51 03:42:08 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 51 16:09:02 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 51 16:07:01 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 51 16:06:06 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 17 ก.พ. 51 15:49:59 ]

ความคิดเห็นที่ 5 เอ้า..เราจะลองแปลประโยคข้างบนเล่นๆ แล้วชำแหละประโยคให้ดู เพื่ออธิบายว่าเราคิดอย่างไรจึงแปลออกมาแบบนี้ นี่เป็นวิธีสอนตัวเองให้เรียนการแปล โดยการพยายามทำความเข้าใจกระบวนความคิด...ของนักแปล ชื่อเรื่องก็คือ "การแปลประโยคที่ขึ้นต้นว่า 'against' " Interpretation of source text & rearrangement of word order in target text การตีความภาษาต้นทาง และการจัดลำดับคำใหม่ในภาษาปลายทาง Source text (ภาษาต้นทาง): Against compliance by the Vendor with their obligations under the Agreement, the payment at Closing shall be satisfied by the Purchaser at the Closing by delivery to the Vendor of a cashier’s cheque drawn on a bank in Bangkok in favour of the Vendor in the amount of baht....... Target text (ภาษาปลายทาง): ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินเมื่อผู้ขายปฏิบัติภาระหน้าที่ภายใต้สัญญานี้ โดยที่ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินเมื่อมีการทำธุรกรรมกัน ซึ่งเมื่อมีการทำธุรกรรมกัน ผู้ซื้อจะต้องส่งมอบแคชเชียร์เช็คให้แก่ผู้ขาย ซึ่งจะเป็นการสั่งจ่ายเงินจำนวน ........บาท จากธนาคารในกรุงเทพ ฯ ให้แก่ผู้ขาย Annotation (คำอธิบายว่าทำไมจึงแปลออกมาอย่างนี้): เมื่อเผชิญหน้ากับคำว่า 'Against' ที่อยู่หน้าประโยค นักแปลบางท่านก็อาจสับสนได้ เราจะใช้บริบทตีความคำที่ทำให้งงก่อนอื่นต้องดูว่า "Against" ใช้กับ "payment" ซึ่งในที่นี้ "against" แปลว่า" in return for" ซึ่งแปลว่า "เพื่อเป็นการตอบแทนต่อ (การที่)" (ซึ่งจริงๆแล้วในคำแปล เรา "แปลง" เป็น "เมื่อ" ไปเสียเลย จะได้สอดคล้องกับข้อเท็จจริง และให้ฟังดูเป็นภาษาไทย) และต้องดูว่า "compliance" ใช้กับ "with" ส่วน "satisfied" ใช้กับ "payment"และ คำว่า "to satisfy" (ในที่นี้ แต่เขียนพลิกแพลงเป็น passive sentence) ไม่ได้แปลว่า "ทำให้พึงพอใจ" แต่แปลว่า "to provide what is wanted" หรือ "ให้สิ่งที่ต้องการ" ซึ่งในที่นี้หมายถึง "เงิน" คือ "การชำระเงิน" นั่นเอง  ส่วน Closing มาจากคำว่า close ที่แปลว่า bring deal to closure: to complete a transaction successfully จึงแปล "Closing" เป็น "การทำธุรกรรม" ถ้าอาศัย clues เหล่านี้ ในการตีความก็นับว่าสำเร็จไป 50% แล้ว หลักการแรกก็คือ ตีความต้นฉบับให้แตกเสียก่อน ขั้นตอนถัดไปก็คือการแยกประโยคยาว ๆ เป็นประโยคสั้น ๆ เพื่อให้ง่ายต่อการจัดเรียงลำดับตามเวลา และตามเหตุผล ให้สังเกตว่า ภาษาอังกฤษมีคำว่า Purchaser แค่ตัวเดียว และการเขียน passive sentence ในภาษาไทยทำได้ยากมาก จึงน่าที่จะเอาคำว่า “ผู้ซื้อ” ไปขึ้นต้นประโยค (กำจัดpassive voice ให้สิ้นซากไปเลย) และย้ำคำว่า “ผู้ซื้อ”ไปเรื่อย ๆ เมื่อเห็นว่า “ผู้ซื้อ” ทำกริยาอะไร ก็ย้ำไปเรื่อย ๆ พี่ไทยเขาชอบ “จับให้มั่นคั้นให้ตาย” เอาแบบ sure ๆ เลย . จริง ๆ แล้ว passive sentence ในภาษาอังกฤษเขาก็ sure แต่ ไปแปลตามเขา พวกเราชาวไทยอ่านแล้ว “เป็นงง” แน่ ๆ หลักการอันที่สองก็คือเรารู้ว่าใครทำอะไรแล้วทำให้กับใคร เราก็เรียงประโยคใหม่ได้ตามความหมายที่ผู้เขียนต้องการจะพูดว่าอะไร .. ส่วน “in favour of” แปลว่า “เพื่อประโยชน์แก่” แต่แปลสั้น ๆ เป็น “ให้แก่ (ผู้ขาย)” ไปเลย นับได้ว่าเป็นหลักการอันที่สาม คือไม่จำเป็นต้องแปลเด๊ะ ๆ ตามตัวอักษร และไม่ต้องแปลทุกตัว แต่บางทีไม่มี ก็ต้องแถมให้เขา เพื่อความชัดเจน หลักการที่สี่ คือต้องระวัง preposition ในที่นี้ให้ดูคำว่า "drawn on" ถ้าใครแปลว่า "ถอนบน" ละยุ่งแน่ๆ เพราะเมื่อผู้ซื้อรับเช็ค (ที่ออกโดยธนาคารที่ผู้ขายไปขอให้ออกเช็ค) จากผู้ขายไปแล้ว ผู้ซื้อคงจะไม่ไป "ถอนบน" ธนาคารแห่งนั้น แต่น่าจะเอาเข้าบัญชีธนาคารตัวเอง เลยน่าจะเป็น "ถอนจาก" เสียมากกว่า นี่ก็เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่บางครั้งหนังสือที่แปลขายในท้องตลาด บางทีอ่านแล้วเข้าใจยาก เพราะผู้แปลทำการแปล prepositions ตรงๆตัว โดยไม่ลำดับเหตุการณ์ให้ดีๆว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหน บ่อยครั้งที่ prepositions ในภาษาอังกฤษจะทำให้นักแปลตกม้าตายเอาเสียง่ายๆได้ ทีนี้เราลองมาวาง source text เทียบกับ target text ให้ดูอีกรอบหนึ่ง Source text (ภาษาต้นทาง): Against compliance by the Vendor with their obligations under the Agreement, the payment at Closing shall be satisfied by the Purchaser at the Closing by delivery to the Vendor of a cashier’s cheque drawn on a bank in Bangkok in favour of the Vendor in the amount of baht........... Target text (ภาษาปลายทาง): ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินเมื่อผู้ขายปฏิบัติภาระหน้าที่ภายใต้สัญญานี้ โดยที่ผู้ซื้อจะต้องชำระเงินเมื่อมีการทำธุรกรรมกัน ซึ่งเมื่อมีการทำธุรกรรมกัน ผู้ซื้อจะต้องส่งมอบแคชเชียร์เช็คให้แก่ผู้ขาย ซึ่งจะเป็นการสั่งจ่ายเงินจำนวน ........บาท จากธนาคารในกรุงเทพ ฯ ให้แก่ผู้ขาย จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 18 ก.พ. 51 03:27:38 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เราต้องสร้าง translation memory ขึ้นมาเอง หมายความว่า สร้างตอนที่เราแปลนั่นแหละครับ มันจะเก็บคำแปลไว้เรื่อยๆ ความจำก็ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ไม่ต้องพิมพ์คำแปลเดิม ไม่ว่าจะเป็นประโยค คำ หรือวลี เครื่องมันจะแสดงออกมาให้เราเลือกเอาเลยครับ นอกจากนี้มันยังช่วยรักษาฟอร์แมทของต้นฉบับไว้ด้วย เช่น การแปล html, excel, ฯลฯ พวกนี้จะมี tags กำกับอยู่ อย่างหน้าอินเตอร์เน็ตเป็นภาษาอังกฤษ ก็ใช้ Tageditor จัดการแปลเสีย เสร็จแล้วเซฟงานไปใช้ได้เลย โดยไม่ต้องมาทำโปรแกรมใหม่อีกเ็ป็นภาษาปลายทาง หน้าตาเหมือนเดิมเปี๊ยบ ลองนึกดูถ้าทำเวบไซต์ 5 ภาษา สิครับ ถ้าไม่ใ้ช้ทราดอส เราต้องทำโปรแกรมเดิมซ้ำเดิมกัน ห้าครั้ง ห้าภาษา จากคุณ : ลุดวิก - [ 18 ก.พ. 51 11:56:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณทุกคนครับ สรุปคือ back to basic ใช่ไหมครับ แล้วการใช้ trados นี่ปกตินักแปลแยก TM เป็นหมวดๆไปรึเปล่าครับ เช่นหมวด กฎหมาย หมวดวิศวะ ใช้ TM เดียวกัน หรือว่าแยกงานเป็นชิ้นๆ แบบหนังสือเป็นเล่มๆ ครับ เล่มนึงใช้ TM เดียว จากคุณ : Newbie - [ 18 ก.พ. 51 16:26:53 A:124.121.225.200 X: TicketID:168091 ]

ความคิดเห็นที่ 8 แล้วแต่ครับโครงการ และนักแปลจะบริหารงานของตัวเองครับ แต่ปกติ ถ้าภาษาต้นทางกับปลายทางเหมือนกัน เขามักรวมเอาไว้ใน "หน่วยความจำการแปล" เดียวกัน เพราะอย่างไรมันก็ต้องมีคำที่เคยแปลปรากฏซ้ำอย่างแน่นอน ถึงจะต่างหมวดก็เถิด จากคุณ : ลุดวิก - [ 19 ก.พ. 51 08:29:16 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบคุณ Newbie ใช่แล้ว... การที่คุณจะเป็นนักแปลที่เชี่ยวชาญได้นั้น คุณจะต้องค่อยๆแก้ไขข้อบกพร่องในการใช้ภาษาในระดับพื้นฐานทั้งหมดให้ได้เสียก่อน   ยกตัวอย่างเช่น คำศัพท์พื้นฐาน 2,000 คำ ที่เราเรียกว่า defining vocabulary นั้น ถ้าคุณจำ collocations ของมันได้บ้างพอสมควร เวลารีบๆแปลไทย-อังกฤษ งานด่วนๆ คุณก็เลือกใช้ sentence structures ที่คุณรู้เป็นของตายอยู่แล้ว งานมันก็เดินไปได้เร็ว แต่ถ้าต้องใช้ศัพท์ที่ยากเกินไปกว่านั้น เราก็เปิด dictionaries ฝรั่ง หรือไปไล่หาตัวอย่างการใช้งานจาก google ได้ ......อย่าลืมนะ ในการแปลในระดับมืออาชีพจริงๆ คุณต้องรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษมากกว่า 5,000 คำขึ้นไปจึงจะแปลได้แบบไม่ทึ้งผมเผ้าด้วยความเครียด... ที่ว่ารู้ศัพท์ภาษาอังกฤษ 5,000 คำนะ รู้แค่ว่าแปลว่าอะไรก็ "เกือบจะพอ" แล้วสำหรับแปลอังกฤษเป็นไทย ที่ใช้คำว่า "เกือบจะพอ" ก็เพราะว่า ถ้าคุณไปเจอประโยคภาษาอังกฤษที่พิศดารมากเข้าจริงๆ แล้วคุณไม่มีทักษะการเขียนภาษาอังกฤษเอาเสียเลยนะ คุณอาจจะถึงกับ "ตีความประโยคไม่ออก" ใบ้รับประทานไปเลย ก็ได้... ดังนั้น grammar จึงสำคัญในระดับหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง grammar ในเรื่องโครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษ....!!!!! แต่ในกรณีของการแปลไทยเป็นอังกฤษนั้น คุณต้องรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างน้อยที่สุด 5,000 คำแล้ว "ใช้มันให้เป็นด้วย" ....นั่นก็คือ ใช้คำศัพท์เหล่านั้นสร้างประโยคภาษาอังกฤษโดยให้มันมี non-native speaker's errors น้อยที่สุด หรือไม่มีเลย ...จึงจะแปลได้ดีในระดับมืออาชีพจริงๆ...   แต่ถ้าคำศัพท์พื้นฐาน 2,000 คำ คุณรู้แต่คำแปล (เผลอๆรู้คำแปลเป็นคำโดดๆ แต่ไม่รู้คำแปลเมื่อมันรวมกลุ่มกันพลิกแพลงออกไป) แต่ไม่รู้ collocations ถ้าคุณรู้ตัวว่าตัวเองไม่รู้ คุณก็ต้องออกแรงเหนื่อยไปหาตัวอย่างประโยคจาก esl dictionaries หรือจาก google ...ซึ่งก็จะทำให้ช้าจนถึงกับแปลไม่ทันส่งงาน แต่ในกรณีที่คุณไม่รู้ว่าคุณใช้คำศัพท์ไม่เป็น คุณสร้างประโยคภาษาอังกฤษไป ฝรั่งอ่านแล้วก็เวียนหัว ยิ่งแปลไปมากๆ โดยไม่แก้ไขข้อผิดพลาดในระดับพื้นฐานที่เรียกว่า non-native speaker's errors... คุณก็ไม่มีทางที่จะเก่งขึ้นมาได้ อนึ่ง เรื่อง google เคยมีคนบอกว่า "เฮ้ย หาไปเรื่อย รู้ได้อย่างไรว่า ประโยคที่หาเจอจาก google จะเลียนแบบเอามาเขียนได้ คนเขียนอาจเขียนผิดก็ได้" คำตอบก็คือว่า "คนหามันก็ต้องพอจะเป็นมวยอยู่บ้างเหมือนกันดิ...คือเคยอ่านหนังสือมามากพอและเคยเห็นประโยคแบบนั้นมาคลับคล้ายคลับคลา แต่พอจะเขียน เขาจำไม่ได้ จึงใช้ google ช่วยตามหามาจนจำได้ และเอาไปช่วยเขียนประโยคภาษาอังกฤษได้ นั่นเอง หรือไม่เขาก็มี senses ต่างๆพอที่จะรับรู้ได้" ส่วนเรื่องยากๆทางด้านภาษาบางเรื่องนะ ถ้าไม่รู้จริงๆ แปลๆไปค้นคว้าไปเรื่อยๆ พอไปรอด ไม่ตาย และเมื่อทำได้แล้ว พอลงมือแปล ยิ่งแปลไป คุณก็จะรู้ว่า ตัวเองจะต้องเรียนรู้อย่างต่อเนื่องอย่างไม่มีที่สิ้นสุด มันเหมือนราวกับว่า "ยิ่งเรียนไปก็รู้สึกว่ามีเรื่องที่เราไม่รู้ ที่ต้องเรียนไปอีกชั่วชีวิต" ส่วนเรื่อง Trados นั้น นอกจาก translation memory แล้วยังมีตัวช่วยเรื่องคำศัพท์อีกตัวหนึ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งการจดศัพท์ หรือการแยกคำศัพท์เป็นหมวดๆ มันคือ MultiTerm นั่นเอง (เป็นโปรแกรมที่ทำงานร่วมกันกับ Trados ซึ่ง MultiTerm นี้เป็นโปรแกรมที่ต้องซื้อเพิ่ม) การทำงานของทั้งระบบก็คือเป็น interface ระหว่าง Trados, MultiTerm และโปรแกรม Word นั่นเอง โปรแกรมพวกนี้ ไม่ถึงกับใช้ยากมากจนโหดๆ แต่ก็ใช้ไม่ง่ายนัก ...และที่โชคดี ก็คือว่า โปรแกรมพวกนี้มันขายมาพร้อมก้บ demos ที่เป็น animations ถ้าคุณ install programs ทั้ง Trados และ MuliTerm แล้ว click เปิด demos ค่อยๆหมั่นศึกษาดู ถึงมันจะค่อนข้างยาก แต่ถ้าออกแรงค่อยๆเรียนรู้ด้วยตัวเองไปเรื่อยๆ คุณก็จะเข้าใจกลไกการทำงานของมันได้ดีในที่สุด... แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 51 22:04:07 แก้ไขเมื่อ 19 ก.พ. 51 15:03:00 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 19 ก.พ. 51 13:03:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ครับ ขอบคุณครับ จากคุณ : Newbie - [ 19 ก.พ. 51 17:01:53 A:124.120.176.75 X: TicketID:168091 ]

ความคิดเห็นที่ 11 หรือไม่ก็ โหลดเอา ฐานข้อมูลความจำ (เอามาจากไหนก็ได้ เช่น แฟ้มข้อเดิมที่เคยแปลไว้ หรือของคนอื่น เช่นของหัวหน้าโครงการที่ หรือของบริษัทที่เก็บฐานข้อมูลความจำนั้นไว้ หรือโหลดทั้งของเก่าของใหม่มาใช้พร้อมกันเลยก็ได้ครับ แต่ต้องลง Multiterm ก่อน และต้องติตั้งให้โปรแกรมทั้งชุดให้มองเห็นกันทั้งหมดอย่างสมบูรณ์ก่อน (ติดตั้งชนิดที่ไม่มี แอร์เรอร์ สักตัวหนึ่งเลย) มีอะไรหลังไมค์มาได้ครับ จากคุณ : ลุดวิก - [ 4 มี.ค. 51 15:27:43 ]