ความคิดเห็นที่ 1 ใช่แล้วครับ ต้องได้รับ tesol certificate (แต่ปริญญาตรีจะเป็นอะไรก็ได้) แต่ว่าไอ้ cert ที่ว่าเนี่ยะ บางแห่งเรียนกันสามเดือน บางเเห่งเรียนกันหกเดือน บางแห่งเรียนกันปีนึง มาตรฐานก็ต่างกันไปนะครับ แต่ถึงแม้จะได้ tesol มาก็ไม่ได้การันตีทุกอย่างได้อยู่ดี เพราะว่า tesol สอน"วิธีการสอน" แต่ว่า "ความรู้เชิงลึก"น่ะส่วนใหญ่จะไม่ได้ครอบคลุมอ่ะครับ บางทีผมก็คิดๆว่า มีแต่วิธีการสอนที่ดี แต่ว่าความรู้ไม่มีก็จะสอนยังไงใช่ป่ะครับ จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ วันมาฆบูชา 01:06:39 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เราเคยทำงานเป็นผู้จัดการโรงเรียนสอนภาษาที่มีชื่อเสียง ทำหน้าที่รับสมัครอาจารย์ฝรั่ง ออกแบบหลักสูตรภาษาอังกฤษ ทำการตลาด จะบอกให้ว่าอาจารย์ฝรั่งที่มีวุฒิการศึกษาครบถ้วนอย่างที่ จขกท ต้องการ หายากมากๆ (เพราะส่วนใหญ่ฝรั่งพวกนี้จะไปสอนที่ซึ่งได้เงินมากๆ เช่นประเทศญี่ปุ่น) เวลานี้สถาบันภาษาที่มีอาจารย์วุฒิการศึกษาครบถ้วน ทุกราย ตามที่ จขกท ต้องการ เรากล้ารับประกันได้ว่ามีแค่ที่ British Council แห่งเดียว เนื่องจากรัฐบาลอังกฤษส่งคนพวกนี้มาทำงาน และให้การสนับสนุนทางด้านเงินค่าจ้าง ส่วนในโรงเรียนสอนภาษาอื่นๆ (ต่อให้โฆษณาว่ามีแต่ฝรั่งจบปริญญามา + TESOL) รับรองได้ว่า "ไม่จริงทุกรายเสมอไป" ... เพราะถ้าจริงทุกรายนะ โรงเรียนภาษา ไม่มีเงินพอที่จะจ้างได้หรอก ...คือส่วนใหญ่จะเป็นนักท่องเที่ยวที่มาอยู่เมืองไทย เพียงแค่ไม่กี่เดือน แล้วก็จากไป หมุนเวียนกันไป แต่จากประสบการณ์เราพบฝรั่งนับสิบๆคนที่ไม่มีวุฒิปริญญาตรี ที่สอนเก่งมากๆ หนึ่งในจำนวนนั้น เป็นคนอังกฤษ เคยตกงานแล้วไปเรียน TESOL ฟรีเป็นหลักสูตรที่รัฐบาลอังกฤษออกเงินให้เรียนฟรี (มีเงินเดือนให้ตอนเรียนด้วย) เพื่อช่วยเหลือผู้ตกงาน เพื่อที่จะได้ให้คนตกงานมีวิชาชีพ แล้วไล่ๆให้ออกไปหากินต่างแดน ฝรั่งคนที่ว่านี้เรียน TESOL แค่ 3-6 เดือน (จำไม่ได้แล้วว่ากี่เดือน) และไปสอนเจ้าชายซาอุ เขามีพรสวรรค์ในการสอนมากระดับที่เรียกว่า born teacher (คือเกิดมาเพื่อเป็นครูแท้ๆ) ได้เลย จนเจ้าชายซาอุพอพระทัย ตบรางวัลให้เขาอย่างงาม จนเขามีเงินไปซื้อบ้านที่ Florida แล้ว retired ไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องทำงานอีกตลอดชีวิต .... ฝรั่งคนแรกที่พูดถึงนึ้ เป็นคนวางหลักสูตรของโรงเรียนสอนภาษาแห่งหนึ่ง ที่ตอนนี้เปิดมานาน 10 กว่าปี และประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก เพราะแนวคิดของเขา ที่เขาพัฒนาขึ้นมาโดยการเรียนรู้เพียงแค่ไม่กี่เดือน แต่ใช้สมองตัวเองไปค้นคว้าต่อยอด ...ซึ่งลงเอยทำอะไรได้เหนือชั้นมากกว่าคนจบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษอีกหลายๆเท่า...!!! ส่วนอีกคน เป็นคนอังกฤษเหมือนกัน มีเมียคนไทย หมอนี่ไม่จบทั้งปริญญาตรี และไม่จบทั้ง TESOL แต่สอนเก่งมากๆ เราเคยสอนที่เดียวกับเขา (โรงเรียนที่ว่าประสบความสำเร็จ) เขามีลูกเล่นแพรวพราวมากๆเลย เวลาสอนนักเรียนสนุกสนานกันทั้ง classroom ...เขาจะสอนที่ไทย แล้วบินไปไต้หวันบ้าง ญึ่ปุ่นบ้าง สลับกัน ทำเงินได้มหาศาล   เทคนิคการสอนภาษาอังกฤษเหล่านี้ พวกเรา (รวมทั้งตัวเราเองด้วย) ได้มาโดยการทำ workshop ที่โรงเรียนสอนภาษาแห่งนั้น ทุกๆ 2 เดือน ทั้งครูไทยครูฝรั่งจะเข้าร่วม workshop แล้วจะมี brainstorming sessions กันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันในเรื่องปัญหาในการสอน และวิธีการสอนใหม่ๆ ที่ต่างฝ่ายต่างคิดค้นกันขึ้นมา รวมถึงนำเอกสาร และวัสดุการสอน มาแลกเปลี่ยนกัน ที่ผืนแผ่นดินใหญ่จีน มีชุมชนฝรั่งขนาดใหญ่ที่สอนภาษาอังกฤษอยุ่ที่นั่น พวกเขาแลกเปลี่ยนเทคนิค เอกสาร และวัสดุการสอนภาษาอังกฤษกันและกัน (ทั้งโดยการเจอตัวจริงกันและติดต่อกันผ่านเน็ต) การคิดค้นเทคนิคใหม่ๆ แล้วเอาไปทดลองใช้งานจริง เป็นตัวการที่ทำให้ประสบความสำเร็จ ไม่ใช่ปริญญาของครูแต่อย่างใด ขณะนี้นักศึกษาจีนที่จบปริญญาตรีเอกอังกฤษมา เมื่อเทียบกับไทยแล้ว โดยเฉลี่ย คนจีนจะเก่งกว่ามากๆ ....เนื่องจากกลุ่มฝรั่งพวกนี้ไปทดลองใช้เทคนิคการสอน "ภาคปฏิบัติ" ที่นั่น ซึ่งทันสมัยกว่าวิธีการที่ต้องเป็นไปตามหลักสูตรของไทยหลายเท่า...!!! แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 04:15:31 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 02:07:20 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 01:27:59 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ที่คุณtexasprofessor (krisdauw) บอกว่า "....มีแต่วิธีการสอนที่ดี แต่ว่าความรู้ไม่มีก็จะสอนยังไงใช่ป่ะครับ" ขอชี้แจงว่า จริงๆแล้วมันไม่ถึงขนาด "ความรู้ไม่มี" ความเป็นเจ้าของภาษา บวกกับวิธีการที่ช่วยกันคิดค้น และทดลองกันมาแล้วหลายปี และเก็บรวบรวมบันทึกข้อมูลเอาไว้แล้ว เป็นเวลาหลายปี และเอามาแลกเปลี่ยนกัน ด้วย brainstorming sessions ใน workshops ...สิ่งที่นำไปใช้เป็นภาคปฏิบัติเกือบจะล้วนๆ ไม่มีทฤษฎีมากนัก ผลออกมา เป็นที่น่าพึงพอใจ แล้วอีกอย่างหนึ่ง ในโรงเรียนสอนภาษาที่ดี เขาก็ต้องมีการทดสอบครูก่อนรับสมัครครู ไม่ใช่เอาฝรั่งที่อ่านไม่ออก เขียนไม่ได้ มาสอน และการสอนคนไทยก็มีเป้าหมายเพียงแค่สอนภาษาอังกฤษในระดับง่ายๆ แค่ ฟัง พูด อ่าน เขียน ในระดับใช้งานในชีวิตประจำวันเท่านั้น ไม่ได้สอนให้ไปเป็นนักเขียนมืออาชีพหรือล่ามในที่ประชุมสหประชาชาติ ... ดังนั้น ความรู้แค่นี้ + ความเป็น native speakers + เทคนิคดีๆที่แลกเปลี่ยนกันและกันในเครือข่ายขนาดใหญ่ของบรรดาอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ...นับว่า "ดีเกินพอแล้ว"... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 02:10:07 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 01:46:57 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แล้วอย่างพวกร.ร.นานาชาติละคะ เค้าคัดเลือกอาจารย์ฝรั่งกันยังไงหรอ จากคุณ : เจนิอุส (~GeNiuS~) - [ วันมาฆบูชา 06:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ^ ^ ^ ^ ก็จริงอยู่ครับว่าจุดประสงค์ของผู้เรียนภาษาหลายๆคนไม่ได้ต้องการเป็นนักเขียนที่ยิ่งใหญ่หรือเป็นนักวิจัยทางภาษา   แต่ผมว่าสอนนักศึกษาเบื้องต้นยิ่งต้องใช้ครูที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ(และประสบการณ์)มากกว่าที่สอนระดับสูงขึ้นไปเสียอีก เพราะว่าทรรศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาษาเอย หรือว่าเป็นทฤษฏีใหม่ๆที่เกี่ยวกับการเรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเอย หรือทฤษฏีที่เกี่ยวกับธรรมชาติของเด็กที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองเอย มันพัฒนาอยู่ตลอดเวลาซึ่งมันอาจจะแย้งกับทฤษฏีเก่าๆ(หรืองานวิจัยเก่าๆ) ก็เป็นไปได้    ถ้าคนที่มาเป็นครูสอนไม่ได้ติดตามหรืออัพเดทตัวเองอยู่เรื่อยๆ ผมคิดว่าอาจจะทำให้การสอนไม่สัมฤทธิ์ผลเท่าที่จะเป็นไปได้ครับ หรือแม้กระทั่งความรู้ในด้านอื่นๆที่นักเรียนน่าจะต้องการ เช่น เอาพื้นๆเลย ถ้าวันหนึ่งนักเรียนถามว่า ทำไม tooth กลายเป็น teeth หรือ child กลายเป็น children ผมว่าการสอนที่ “เข้าใจจริง” ไม่ใช่แค่ใช้ให้ถูก   แต่น่าจะเข้าใจถึงที่มาด้วย (เพราะมันจะโยงไปถึงทรรศคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับภาษาและการเปลี่ยนเเปลงของโลก)   หรือว่าทำไม interested ต้องใช้ in แต่ไม่ใช้ withเป็นต้น ครู(ที่ดี) น่าจะตอบได้ ซึ่งจะตอบได้ก็ต้องมีความรู้เกี่ยวกับ history of the English language มา   หรือแม้กระทั่งคำถาม(ที่นักเรียนบางคนอาจจะสงสัย) ซึ่งครูบางคนอาจจะมองข้าม เช่น ทำไมต้องเป็น an apple แต่เป็น a dog คำตอบที่ว่า an นำหน้าเสียงสระ หรือ a นำหน้าเสียงพยัญชนะ ยังไม่ใช่คำตอบ “สุดท้าย” ของนักเรียนช่างถามบางคน(และถามอย่างน่าชื่นชมเสียด้วย) เพราะเค้าอาจจะถามต่อว่า “แล้วทำไม an ต้องนำหน้าเสียงสระ หรือ a ต้องนำหน้าเสียงพยัญชนะ” อันนี้ก็ต้องมีความรุ้(พื้นฐาน)เรื่องระบบเสียงด้วย   หรือทำไมพูดว่า when did you go where? ได้ แต่ว่าพูดว่า where when did you go? ไม่ได้ หรือทำไมพูดว่า I very much love her กับ I love her very much ได้ แต่ว่าพูดว่า I love very much her. ไม่ได้     หรือทำไมในบางบริบท It’s hot in here ก็แปลความหมายได้ว่า open the window for me please. ซึ่งเป็นสิ่งที่ครูผู้สอนจะต้องรู้และอธิบายได้ ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ผมไม่คิดว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับเทคนิคการสอนที่สั่งสมมาหลายๆปีที่คุณ tansy ว่าไว้จะอธิบายได้  หรือแม้กระทั่งความเป็น "เจ้าของภาษา" ก็ไม่อำนวยให้ตอบได้ ผมคิดว่าเรื่องการเรียนการสอนภาษาควรจะทำเป็นวิทยาศาสตร์   นั่นคือ มีที่มาที่ไปของ “กฎ” ต่างๆ ไม่ใช่ว่า ตอบแบบกำปั้นทุบดินว่า   “ครูใช้ของครูมาอย่างนี้ หรือ ชาวบ้านพูดกันมาอย่างนี้ ฟังแล้วถูกต้อง” หรือ “กฎมันเป็นอย่างนี้”  แต่ถ้าครูอธิบายไม่ได้ ก็ไม่ถือเป็นครูที่ดีใช่ไหมครับ   เพราะว่านักเรียนต้องการคำอธิบาย(ที่มีหลักการ)เพื่อไป generalize ไปกับตัวอย่างอื่นๆ ที่ครูไม่ได้สอน    แน่นอนว่าการอธิบายหลักน่าจะเป็นเรื่องของศิลปะที่ครูต้องใช้ประสบการณ์ส่วนตัว simplify ให้เหมาะกับนักเรียนแต่ละระดับและแต่ละกลุ่มย่อย แต่ที่แน่ๆ ครูต้องมีความรู้(เชิงลึก)ก่อน มิเช่นนั้นจะเอาไป simplify ได้อย่างไร หรือถ้าพูดในด้านการเขียน ครูที่สอนเขียนในประเทศไทยยังสอนแบบ 5- paragraph essay อยู่เลย นั่นคือ คำนำ first, second, third and in conclusion ซึ่งอาจจะเอาไปใช้หลอกๆในการสอบโทเฟิล(อาจจะ)ได้ แต่เอาไปใช้เขียนอะไรจริงๆจังๆคงไม่ได้ หรือแม้กระทั่ง thesis sentence อย่างว่า There are many advantages in having many public parks in Bangkok ซึ่งถ้ามาดูการสอนเขียนที่เมกานี้ เค้าไม่ถือว่าเป็น thesis sentence ด้วยซ้ำ (เพราะมัน non-arguable) แต่ว่าที่เมืองไทยถือว่าเป็น good thesis ไปเสียได้    หรือเวลาสอนเขียนที่เมืองไทยยังมาให้เขียนเรื่องพวก What I did in my childhood อยู่เลย (ในระดับมหาลัยหรือระดับการสอนเสริมการเขียนทั่วๆไป) ซึ่งการสอนแบบนี้นอกจากจะไม่ได้พัฒนาสมองนักเรียนแล้ว ยังถือเป็นการสอนที่ผิดหลักการสอนเขียนเสียอีก (เพราะว่าในแนวคิดปัจจุบัน writing is a process ไม่ใช่ a product ขอไม่อธิบายต่อ เพราะยาวมาแล้ว) การที่ผมสนับสนุนให้สอนภาษา(และครูสอนภาษา)เป็นแบบ “วิทยาศาสตร์” นั่นคือมีทฤษฎีรองรับ ต้องอธิบายได้ และขยายผล (generalize) ไปกับข้อมูลทางภาษาชนิดคล้ายๆกันได้นั้น   นอกจากผมจะเล็งผลสัมฤทธิ์ทางด้านการใช้ภาษาในชีวิตประจำวัน ฟัง พูด อ่าน เขียนแล้ว ยังเล็งผลไปที่ความสามารถในการวิเคราะห์และวิพากษ์ (analytical and critical skills) ของผุ้เรียน ซึ่งถ้าเรียนเเบบ “จำๆไปเถอะ กฎมันว่าอย่างนี้” นอกจากนักเรียนจะไม่สามารถไปประยุกต์ได้แล้วยังทำให้นักเรียนมีทรรศคติที่ผิดต่อภาษา กล่าวคือ ภาษาเป็นเรื่องของความจำ ซึ่งจริงๆไม่ใช่ จริงควรจะรู้ว่า “กฎ” น่ะมาได้อย่างไรด้วย (แต่อย่างที่เรียนครูก็ต้องมีหลักศิลปะที่ต้อง simplify คำอธิบายให้เหมาะสมกับนักเรียนแต่ละระดับ) จะให้เปรียบเทียบคงเหมือนกับกรณีนักเรียนอนุบาลในสหรัฐอเมริกาหรือหลายๆประเทศ ที่ครูผู้สอนหลายๆคนจบดอกเตอร์ทางด้านการศึกษาก่อนปฐมวัย ซึ่งจริงๆคนส่วนใหญ่คิดว่าไม่จำเป็น    เพราะว่านักเรียนระดับนี้ทฤษฎีคงไม่ต้องใช้ แต่จริงๆแล้วจำเป็น เพราะว่าเป็นระดับที่การเรียนรู้เบื้องต้น หรือธรรมชาติของวัยต่างจากวัยผู้ใหญ่ เพราะฉะนั้นเราต้องการคนที่เชี่ยวชาญทางด้านนี้จริงๆมาสอน ไม่ใช่ว่าใครก็ได้ เหมือนๆกันครับ แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 07:15:40 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 07:12:43 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ วันมาฆบูชา 07:06:53 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เอ่อ ลูกศรข้างบนในความเห็นของผม ตอบความคิดที่สามนะครับ (ไม่ใช่ความคิดเห็นที่สี่) จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ วันมาฆบูชา 07:07:58 ]

ความคิดเห็นที่ 7 สำหรับข้อมูลและความคิดเห็นของ คห.ที่ 5 มีความจำเป็นไม่เฉพาะแต่วิชาภาษาอังกฤษ แม้แต่วิชา "ภาษาไทย" ก็ควรทำให้ได้เช่นเดียวกัน ขอบคุณมาก ^_^ จากคุณ : ปรียทรรศิกา - [ วันมาฆบูชา 09:08:39 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอบคุณความเห็นที่ 5 texasprofessor (krisdauw) มากที่ทำให้ผมมีมุมมองกว้างขึ้น จากคุณ : skimbleshanks (skimbleshanks) - [ วันมาฆบูชา 09:59:43 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ตอบ คคห4 ที่ว่า "แล้วอย่างพวกร.ร.นานาชาติละคะ เค้าคัดเลือกอาจารย์ฝรั่งกันยังไงหรอ " เราไม่รู้ทุกโรงเรียน แต่รู้แต่เฉพาะ ISB (International School of Bangkok) ในหมู่บ้าน Nichada Thani ที่รู้เพราะว่าเรามีเพื่อนเป็นฝรั่งชาวอเมริกันที่เป็นอาจารย์ตำแหน่งค่อนข้างสูงอยู่ที่นั่น  จากการคลุกคลีกับเขา ไปเที่ยวบ้านเขาเห็นการใช้ชีวิตอันหรูหราของเขา และฟังเรื่องระบบการศึกษาและอาจารย์หลายๆคนที่สอนอยู่ที่ ISB ก็ได้ข้อมูลมาว่า อาจารย์ที่นั่นทุกคนวุฒิการศึกษาสูงมากๆ และส่วนใหญ่จะเป็นมืออาชีพจริงๆ เงินเดือนอาจารย์ทุกคนน่าจะเกินแสนบาทกันทั้งนั้น ...ต้องอย่าลืมด้วยนะว่าอาจารย์ฝรั่งที่สอนที่ ISB นั้น ต้องสอนวิชาอื่นๆยากๆ อีกตั้งหลายวิชาให้นักเรียนฝรั่ง ไม่ได้สอนแต่ภาษาอังกฤษในระดับพื้นฐานแต่อย่างเดียวให้คนไทยที่อ่อนภาษาอังกฤษมากๆเหมือนในโรงเรียนภาษา ดังนั้น ISB จึงต้องจ้างคนที่จบมาวุฒิสูงๆในสาขาวิชาที่จะสอนกัน... และทั้งตัว ISB เองกับ Nichada Thani มีเงินทุนมหาศาล ที่นั่นเป็นชุมชนชาวต่างชาติที่ร่ำรวยขนาดใหญ๋ มีระบบรักษาความปลอดภัยที่เข้มงวดมากๆ บ้านใน Nichada Thani ราคาแพงลิบลิ่ว รู้สึกว่าจะมีพวกมหาเศรษฐีไทยไปซื้อบ้านที่ในนั้นอยู่กัน วันหนึ่งเราไปหาเพื่อนแล้วเห็นสาวไทยสวยๆไฮโซคนหนึ่งขี่รถคันงามราคาแพงมาก (คงถึงสิบล้าน) ออกมา คนหยุดมองกัน รถติดทั้งซอยหมู่บ้านเลย.... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 14:48:57 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 14:43:48 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 11:46:40 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 11:42:50 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 11:42:17 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ตอบคุณ texasprofessor (krisdauw) ที่ว่า "..แต่ผมว่าสอนนักศึกษาเบื้องต้นยิ่งต้องใช้ครูที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ(และประสบการณ์)มากกว่าที่สอนระดับสูงขึ้นไปเสียอีก " ตอบ ความรู้ความเชี่ยวชาญและประสบการณ์ ระดับนี้ ฝรั่งที่ไม่ได้เรียนจบปริญญาตรีหรือปริญญาเอกทางด้านภาษาก็สอนได้ เนื่องจากโรงเรียนที่มีการจัดระบบที่ดีจะมี training และมี workshop ตามที่เราเล่าไปแล้ว และไอ้ที่คุณยกตัวอย่างว่านักเรียนอาจไม่เข้าใจประโยคง่ายๆ ว่าทำไมถึงใช้อย่างนั้น และไม่ใช้อย่างนี้นั้น แล้วอาจาย์จะอธิบายได้อย่างไรนั้น ขอตอบว่า ....ได้กล่าวไปแล้วว่า native speakers หลายหัวระดมกำลังกันใน brainstorming sessions ใน workshops บ่อยๆ จนทุกโรงเรียนมีบันทึกข้อมูลเอาไว้มากมายอยู่แล้ว ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มันไม่มีความจำเป็นที่อาจารย์จะต้องจบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษแต่อย่างใด และในทางกลับกันก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่จบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษมา จะต้องแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าเหล่านี้ได้เสมอ เรื่องพวกนี้เป็นเรื่องของไหวพริบปฏิภาณ และประสบการณ์ในการลงมือสอนจริงๆ...ทักษะการสอนแบบนี้ สมัยนี้เรียนเอง คิดเองได้ เนื่องจากมีสื่อหลายหลายจากเน็ต มี textbooks ให้ download ได้ฟรีมากมาย มี community networks มากมาย ที่จะหาข้อมูลได้ ... แล้วอีกอย่างหนึ่งถ้าอาจารย์ฝรั่งที่ไม่จบปริญญาตรี ไม่มีปัญญาสอนจริง พวกเขาคงจะไม่มีปัญญาอยู่ในผืนแผ่นดินใหญ่จีนกันมากนานแสนนานและผลิตคนจีนที่เก่งภาษาอังกฤษออกมาได้มากมาย...ต้องอย่าลืมนะว่าที่จีนค่าแรงถูกมากๆ .... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 13:11:27 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 12:16:32 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอแชร์ประสบการณ์เรื่อง workshop ที่คุณ tansy เล่าหน่อยนะ เราเคยเห็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษมาที่ British Council  กันเป็นระยะ ตอนแรกก็ไม่รู้ว่าเค้ามาทำอะไรกัน หลังๆ สังเกตดูว่ามีโบรชัวร์กำหนดการ workshop อยู่ที่โต๊ะเจ้าหน้าที่ก็เลยไปหยิบมาดูบ้าง  บางทีเราเห็นหัวข้อ workshop น่าสนใจ นักเรียนอย่างเรายังอยากจะไปร่วมบ้างเลย แต่ก็หมดสิทธิอ่ะ (จริงๆ เราก็อยากเป็นอาจารย์สอนภาษาอังกฤษนะ) ชั้นหนังสือที่ I-Zone นี่มีหนังสือสำหรับอาจารย์สอนภาษาอังกฤษเยอะมากๆ อย่างที่คุณ tansy บอกค่ะ ทั้งหนังสือ เอกสาร วัสดุการสอน แม้แต่นิตยสารเกี่ยวกับการสอนภาษาอังกฤษทาง British Council ก็เป็นสมาชิกหลายฉบับ บางครั้งเราก็หยิบมาอ่านเหมือนกัน ได้เคล็ดลับดีๆ ในการเรียนการสอนภาษาอังกฤษเยอะเลย บางที่ใช้ Blog เป็นสื่อกลางระหว่างอาจารย์กับลูกศิษย์ โดยเฉพาะการฝึก writing (เคยเห็นอาจารย์ AUA ท่านหนึ่งก็ใช้ Blog สื่อกับลูกศิษย์ในคอร์ส) บางทียังคิดเลย ถ้าสมัยเราเรียน เราได้เจอกับครูที่ active ใส่ใจกับการเรียนการสอน พัฒนาการเรียนการสอนอยู่เสมอก็คงดีเนอะ สำหรับเรา เราก็อยากจะได้อาจารย์ที่มีความรู้ + วิธีการสอนที่เข้าใจง่าย ไม่น่าเบื่อ + มีการพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลาค่ะ   ขอบคุณทั้งคุณ tansy และอาจารย์ Krisdauw ที่ให้ความคิดเห็นดีๆ ค่ะ จากคุณ : Flowery - [ วันมาฆบูชา 12:18:02 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ที่เรากล้าพูดว่าฝรั่งที่สอนกันเกลื่อนกลาดทั่วไทยหรือในอีกหลายๆประเทศแล้วสอนเก่งมากๆโดยไม่ได้เรียนมาสูงๆ ก็เพราะว่าตอนเราทำงานในโรงเรียนสอนภาษา เรามีเพื่อนที่เป็นฝรั่งมากมายหลายคน ที่เมื่อเลิกงานแล้วไปจับกลุ่มสังสรรค์กัน เราจึงรู้พื้นเพพวกเขาดีว่า แต่ละคนเรียนจบอะไรมา และไปสอนที่ประเทศไหนกันมาแล้วบ้าง   แล้วอีกอย่างหนึ่งนะ เงินเดือนฝรั่งที่สอนในโรงเรียนสอนภาษาในประเทศไทย อยู่ระดับแค่ไม่กี่หมื่นบาทต้นๆเอง (ยกเว้นอาจารย์ที่ British Council ที่ส่วนใหญ่จะจบอย่างน้อยๆปริญญาโทด้านการสอนภาษาจริงๆและได้เงินสนับสนุนจากรัฐบาลอังกฤษมาจ่ายเป็นเงินเดือนพวกเขา)..ต่อให้โรงเรียนสอนภาษาที่คิดค่าเรียนแพงๆที่ลงเรียนทีนักเรียนต้องจ่ายเฉียดๆแสนบาทก็ตามเถอะ ...ไม่ได้หมายความว่าอาจารย์ฝรั่งจะได้เงินค่าสอนมากมายอะไรกันนัก แต่ที่ค่าเรียนมันแพงก็เพราะว่าโรงเรียนมันไปตั้งอยู่ที่ prime area ซึ่งที่ดินราคาแพงหรูหรา และต้องระดมเงินโฆษณามหาศาลนั่นเอง ถ้าเป็นฝรั่งวุฒิการศึกษาสูงๆมากๆ เขาก็ไปสอนโรงเรียนอินเตอร์เงินเดือนเป็นแสนๆบาท หรือไม่ก็ไปสอนที่ใต้หวัน ญึ่ปุ่น หรือซาอุ กัน ค่าตอบแทนมากมายมหาศาล ดีกว่ามาสอนในโรงเรียนสอนภาษาในเมืองไทยหลายๆเท่า... แต่จะอย่างไรก็ตาม อย่าไปดูถูกคนเขาว่า เขาจะสอนภาษาอังกฤษไม่ได้ เพราะเขาไม่ได้จบปริญญาเอกทางด้านภาษามา  คนเราทุกคนต่างก็มีมือ มีเท้า มีมันสมอง ที่จะค้นคว้าหาความรู้ด้วยกันทั้งนั้น คนเราจะต้องตามโลกให้ทัน โดยการเลิกมีความคิดที่คับแคบ...และเรียนรู้จากประสบการณ์ในชีวิตจริงจนตระหนักได้ว่า ทักษะการสอนภาษาอังกฤษสมัยก่อนอาจยากที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองนอกรั้วมหาลัย แต่สมัยนี้มันเป็นยุคของการสื่อสารไร้พรหมแดน ทำให้ให้ค้นหาข้อมูลทำได้ง่ายๆ มันจึงเป็นไปได้ที่จะเรียนรู้ด้วยตัวเองนอกมหาลัยได้ มันไม่เหมือนกับเรียนแพทย์ที่ต้องอาศัยเครื่องมือไฮเทคราคาแพงของมหาลัย ต้องมีศพให้ผ่า มีชีวิตคนเป็นเดิมพัน ที่คนธรรมดาๆ ไม่ใช่จะเรียนรู้กันได้ง่ายๆ เว้นเสียแต่จะไปเรียนในมหาลัย... แต่แม้กระทั่งเรื่องวิทยาศาสตร์ยากๆก็เถอะ Thomas Edison ซึ่งเรียนหนังสือไม่ได้เรื่องเลย จนครูที่สอนเขาบอกว่า เขามีสมองที่สับสนจนเรียนหนังสือไม่รู้เรื่อง  จนในที่สุด Thomas Edison ต้องออกจากโรงเรียนไป แล้วให้แม่สอนหนังสือให้เขาอยู่ที่บ้าน ต่อมาเขาอ่านหนังสือเอง ค้นคว้าเองจนกระทั่งกลายเป็นนักประดิษฐ์และนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ของโลกได้ เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นได้ ไม่ใช่เพราะ Thomas Edison เรียนเองเก่งเองเท่านั้น แต่เป็นเพราะเขาโชคดีอยู่ในสังคมที่ให้โอกาสแก่เขาด้วย โดยการขอดูผลงาน และดูศักยภาพในการเรียนรู้เอง คิดเองของเขาด้วย ไม่ใช่สังคมที่มีความคิดคับแคบเพียงแค่ไม่จบวุฒิสูงๆก็ไม่ไห้โอกาสกับเขา ถ้าพวกเราอยู่ในสังคมที่ไม่มีจิตใจคับแคบ และเปิดโอกาสให้คนเข้ามาทำงานโดยการดูผลงาน รวมทั้งความรู้ที่ค้นคว้าได้ และศักยะภาพของคนในการที่จะเรียนรู้ได้ด้วยตนเองต่อไปในอนาคต เป็นหลัก และให้ความสำคัญกับวุฒิการศึกษาน้อยลง ประเทศไทยก็อาจจะได้คนเก่งๆไปทำประโยชน์แก่ประเทศชาติได้มากกว่านี้บ้าง และเรื่องการศึกษาที่กลายเป็นธุรกิจ ที่แย่งกันเรียน แย่งกันจ้างคนเขียนวิทยานิพนธ์ แล้วจบมาวุฒิการศึกษาสูงถึงปริญญาเอก แต่ความคิดคับแคบ คิดเองไม่เป็น คิดอะไรใหม่ๆเองไม่เป็น ได้แต่ลอกกากตำรามาโอ้อวด คือ quote แต่พวกศัพท์แสงทางด้านวิชาการหรูๆ เพื่อยกตนว่ารู้มาก เพื่อที่จะสร้างความประทับใจให้แก่ผู้คน ...ก็จะค่อยๆหมดไปจากสังคมไทย ... แต่จะมีการศึกษาฟรี ที่ใครอยากจะเรียนหรือไม่เรียนก็ได้ .... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 13:14:14 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 12:51:53 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ส่วนเรื่องโครงการสอนภาษาอังกฤษเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษของคนไทยนั้น เราจะยกตัวอย่างแนวคิด 2 ความเป็นไปได้ให้ฟัง สมมุติว่ามีนักบริหารการศึกษา 2 คน พยายามแก้ไขปัญหานี้ คนแรกบอกว่า ให้จัดโครงการหาเงินทุนส่งนักเรียนไทยไปเรียนภาษาอังกฤษจากประเทศอังกฤษและอเมริกาจนถึงระดับปริญญาเอก แล้วกลับมาช่วยกันวางหลักสูตรการสอนภาษาอังกฤษกันเพื่อยกระดับการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย คนที่สองบอกว่า ตอนนี้มีคนไทยที่พำนักอาศัยอยู่ในอังกฤษ อเมริกา กับ ออสเตรเลียมานานกว่า 20 ปี (หรือเกิน 10 กว่าปีขึ้นไป) มากมายหลายคน พวกเขาไม่มีวุฒิการศึกษาสูงๆ จึงไม่กล้ากลับมาเมืองไทย จึงสมควรน่าจะดำเนินโครงการเชิญชวนคนไทยพวกนี้ให้กลับมาเมืองไทย แล้วสอน TESOL เป็นวิชาชีพให้พวกเขา (แต่ต้องมีการทดสอบก่อนนะว่า คนไทยเหล่านี้รู้ภาษาอังกฤษใกล้เคียงฝรั่งเจ้าของภาษาจริงๆ เพราะเก่งไม่เก่งมันขึ้นอยู่กับตัวบุคคล) โดยให้ฝรั่งที่มีหรือไม่มีวุฒิปริญญาตรี แต่มีประสบการณ์นับสิบๆปี ในการสอนภาษาอังกฤษ มาเป็นวิทยากรฝึกอบรมให้ และให้คนไทยที่ได้รับการฝึกอบรม กับอาจารย์ฝรั่งที่อยู่ในเครือข่ายนี้ กระจายกันออกไปสอนภาษาอังกฤษทั่วประเทศไทย ... เราเชื่อว่าคนที่พอจะมีความคิดความอ่าน และมีสามัญสำนึก อยู่บ้าง ก็คงพอที่จะคิดได้ว่า การผลิตคนจบปริญญาเอกแต่ละคนนั้น ใช้เงินมหาศาล แถมยิ่งถ้าเรียนจบมาแล้วดักดาน ความคิดคับแคบ คิดอะไรใหม่ๆเองไม่เป็น ได้แต่ลอกกากตำรา ลอกทฤษฎี แล้วก็ยังคิดโง่ๆต่อไปอีกว่า "ใครที่ไม่เรียนจบมาทางด้านภาษา ก็จะไม่เก่งหมด หรือยิ่งถ้าไม่จบปริญญาเอกทางด้านภาษา ก็จะไม่เก่งหมด" นักบริหารการศึกษาคนแรกนะ ต่อให้ดำเนินโครงการไปอีก 100 ปี คนไทยก็จะยังประสบปัญหากับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษอยู่ดี แต่เราเชื่อว่า ในทางกลับกัน นักบริหารการศึกษาคนที่ 2 จะประสบความสำเร็จภายในเวลาเพียงแค่ไม่กี่ปี เพราะอะไร? เพราะว่า คนไทยที่เคยอยู่ในสภาพแวดล้อมของการพูดภาษาอังกฤษมา 20 ปี (หรือน้อยกว่านั้นนิดๆ) ในต่างแดน บวกกับฝรั่งเจ้าของภาษาที่มีประสบการณ์สูง ที่ช่วยๆกันเรียน TESOL และระดมกำลังสมอง ใน brainstorming sessions กับ workshops จะต้องมีพลังสมอง มีศักยภาพในการเรียนรู้ค้นคว้าต่อไปในอนาคต ได้มากกว่าคนจบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษเพียงแค่ไม่กี่คนที่มีจิตใจคับแคบ คิดอะไรใหม่ๆเองไม่เป็น ได้แต่ลอกกากตำรา แล้วไม่ทำอะไรมาก ได้แต่พูดจาดูถูกคนที่ไม่ได้เรียนจบมาทางด้านภาษา  ....อย่างแน่นอน แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 13:21:00 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 13:19:13 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 13:09:22 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ประเด็นที่คุณtexasprofessor (krisdauw) กล่าวว่า หากมีนักเรียนช่างถาม ถามว่า ทำไม tooth กลายเป็น teeth หรือ child กลายเป็น children หรือทำไมพูดว่า when did you go where? ได้ แต่ว่าพูดว่า where when did you go? ไม่ได้ หรือทำไมพูดว่า I very much love her กับ I love her very much ได้ แต่ว่าพูดว่า I love very much her. ไม่ได้     และคุณtexasprofessor (krisdauw) ก็แสดงความเก๋าโดยการตอบว่า "...ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ผมไม่คิดว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับเทคนิคการสอนที่สั่งสมมาหลายๆปีที่คุณ tansy ว่าไว้จะอธิบายได้  หรือแม้กระทั่งความเป็น "เจ้าของภาษา" ก็ไม่อำนวยให้ตอบได้...." ขอตอบว่า จากประสบการณ์การสอนจริงใน classroom และจาก worshop ที่ไปเข้าร่วมกับอาจารย์ฝรั่งมา รวมทั้งเผอิญแปลงานให้ลูกค้าเรื่องการจัด training, workshop และ seminar (ที่ผู้เชี่ยวชาญฝรั่งเขียนไว้) ก็เลยพอจะรู้กลไกในการ handle situation แบบนี้มากพอสมควร การ handle situation ที่มีคนช่างถาม โดยการตอบคำถามได้อย่างน่าประทับใจในลักษณะของผู้คงแก่เรียน จนผู้ถามรู้สึกซึ่งในรสพระธรรมนั้น ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาเสมอไป เนื่องจากคนช่างถาม ก็จะคิดอะไรอย่างอื่นมาถามอีกเรื่อยๆไป และใน classroom ถ้ามีนักเรียน 15 คน แล้วมีคนช่างถาม ช่วยกันถามแค่ 5 คน แล้วอาจารย์มัวแต่แสดงภูมิตอบได้อย่างนักวิชาการ อยู่เรื่อยๆ แต่ไม่รีบใช้สมองพลิกแพลงชักจูงให้นักเรียนมองเห็นการใช้ภาษาในเชิงปฏิบัติ นั่นก็หมายความว่าการเรียนการสอนจะต้องหยุดชงักลงกระทันหัน และทั้งผู้เรียนและผู้สอนก็จะไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้ ... การตอบปัญหาด้านภาษาได้เป็นเรื่องที่ดี แต่ปัญหาทางด้านภาษามีมากมายหลายอย่างเกินกว่าจะจินตนาการได้ ว่าใครจะถามอะไร และในบางสถานการณ์ การสอนให้คนรู้ภาษาอังกฤษได้ คนเรียนไม่จำเป็นต้องถามบางอย่าง และคิดจะถามต่อไปแบบต่อเนื่อง และคนสอนก็ไม่จำเป็นต้องตอบปัญหาบางอย่าง อย่างต่อเนื่อง แต่ในทางกลับกันปัญหาคาใจเหล่านี้ เราสามารถเอามาเล่าสู่กันฟังเป็น  entertainment ได้ อย่างสร้างสรรค์ ทำให้เป็นเรื่องตลกๆ ทำให้ผู้เรียนเกิดความรักภาษา ซึ่งน่าจะเป็นทางออกสำหรับอาจารย์ที่มีไหวพริบดี....ไม่ยึดติดกับตำราหรือทฤษฏีมากจนเกินไป จนคิดอะไรใหม่ๆเองไม่เป็น จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 13:44:05 ]

ความคิดเห็นที่ 15 และนี่คือสิ่งที่เราพูดถึง เราสามารถเอาปัญหาโลกแตกเกี่ยวกับภาษาอังกฤษมาให้นักเรียนดูว่ามันเป็นเรื่องตลก ทำให้รู้สึกท้าทายว่าภาษาอังกฤษมันมีความลับมากมาย แทนที่จะพยายามตอบปัญญาทั้งหมด ยกตัวอย่างปัญหาข้างล่างนี้ ซึ่งใครคิดขึ้นมาได้อย่างชาญฉลาด อาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่มีไหวพริบควรนำมา ใช้เป็นสื่อที่ตลกๆ ที่ช่วยความจำ ในขณะที่ทำให้นักเรียนหัวเราะชอบใจอย่างสนุกสนาน แทนที่จะไปแสดงภูมิโอ้อวดว่าตอบได้ทุกอย่างเพราะรู้ประวัติศาสตร์ว่าคำศัพท์แต่ละคำมีความเป็นมาอย่างไร ซึ่งกลับจะทำให้เป็นเรื่องที่น่าเบื่อสำหรับผู้เรียนมากๆ ข้อความข้างล่างนี้เป็นปัญหาเกี่ยวกับความเป็นมาของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ ลองอ่านดู สนุกดี Something to make you smile... Let's face it -- English is a crazy language. There is no egg in eggplant nor ham in hamburger; neither apple nor pine in pineapple. English muffins weren't invented in England or French fries in France. Sweetmeats are candies while sweetbreads, which aren't sweet, are meat. We take English for granted. But if we explore its paradoxes, we find that quicksand can work slowly, boxing rings are square and a guinea pig is neither from Guinea nor is it a pig. And why is it that writers write but fingers don't fing, grocers don't groce and hammers don't ham? If the plural of tooth is teeth, why isn't the plural of booth beeth? One goose, 2 geese. So one moose, 2 meese? One index, 2 indices? Doesn't it seem crazy that you can make amends but not one amend, that you comb through annals of history but not a single annal? If you have a bunch of odds and ends and get rid of all but one of them, what do you call it? If teachers taught, why didn't preacher praught? If a vegetarian eats vegetables, what does a humanitarian eat? If you wrote a letter, perhaps you bote your tongue? Sometimes I think all the English speakers should be committed to an asylum for the verbally insane. In what language do people recite at a play and play at a recital? Ship by truck and send cargo by ship? Have noses that run and feet that smell? Park on driveways and drive on parkways? How can a slim chance and a fat chance be the same, while a wise man and wise guy are opposites? How can overlook and oversee be opposites, while quite a lot and quite a few are alike? How can the weather be hot as hell one day and cold as hell another. Have you noticed that we talk about certain things only when they are absent? Have you ever seen a horseful carriage or a strapful gown? Met a sung hero or experienced requited love? Have you ever run into someone who was combobulated, gruntled, ruly or peccable? And where are all those people who ARE spring chickens or who would ACTUALLY hurt a fly? You have to marvel at the unique lunacy of a language in which your house can burn up as it burns down, in which you fill in a form by filling it out and in which an alarm clock goes off by going on. English was invented by people, not computers, and it reflects the creativity of the human race (which, of course, isn't a race at all). That is why, when the stars are out, they are visible, but when the lights are out, they are invisible. And why, when I wind up my watch, I start it, but when I wind up this essay, I end it. จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 13:49:45 ]

ความคิดเห็นที่ 16 essay ข้างบนนี้ ถ้าอาจารย์สอนภาษาอังกฤษจบปริญญาเอกมา แล้วอวดเก่ง แล้วคิดว่าต้องแสดงภูมิให้นักเรียนรู้ เพราะให้ความสำคัญกับประโยคนี้ ที่คุณtexasprofessor (krisdauw) แสดงความเก๋าโดยการตอบว่า หากมีนักเรียนช่างถาม ถามว่า ทำไม tooth กลายเป็น teeth หรือ child กลายเป็น children หรือทำไมพูดว่า when did you go where? ได้ แต่ว่าพูดว่า where when did you go? ไม่ได้ หรือทำไมพูดว่า I very much love her กับ I love her very much ได้ แต่ว่าพูดว่า I love very much her. ไม่ได้     "...ซึ่งคำอธิบายเหล่านี้ผมไม่คิดว่า ประสบการณ์เกี่ยวกับเทคนิคการสอนที่สั่งสมมาหลายๆปีที่คุณ tansy ว่าไว้จะอธิบายได้  หรือแม้กระทั่งความเป็น "เจ้าของภาษา" ก็ไม่อำนวยให้ตอบได้...." เราว่าแนวคิดแบบนี้ เป็นเพียงแค่การดูถูกผู้อื่น แต่ไม่ได้เป็น useful contributions ที่จะช่วยยกระดับการเรียนการสอนภาษาอังกฤษได้เลย แล้วถ้าอาจารย์สอนภาษาอังกฤษคนไหน อยากแสดงความเก๋าก็เลย ไปอธิบายประวัติความเป็นมาของคำศัพท์ใน essay ใน คคห 15 ผลที่ได้ก็คือ "นักเรียนจะหลับน้ำลายยืดกันหมดทั้ง classroom เลย" ....555+++............ แต่ในทางกลับกัน ถ้าอาจารย์สอนภาษาอังกฤษ ลดความเป็นนักวิชาการลงไปบ้าง แล้วใช้ไหวพริบปฏิภาณ โดยการสอนว่า สูตรความจำที่ดีนั้น ได้จากการสร้างความสัมพันธ์กัน ระหว่างสิ่งที่เรารู้อยู่แล้วและจำได้อยู่แล้ว กับสิ่งที่เรายังไม่รู้ และกำลังจะเรียนรู้ และพยายามที่จะจดจำ... แต่ในกรณีที่ยังหาความสัมพันธ์ไม่ได้นั้น.... ก็ให้จำโดยอาศัยความสังเกต ว่า "มันมีความประหลาดพิศดารในตัวของมัน จนเด่นชัด....!!!" ซึ่งในกรณีนี้อาจารย์สอนภาษาอังกฤษที่ฉลาด คิดเองเป็น ไม่ได้ตั้งหน้าตั้งตาแต่จะลอกกากตำราหรือ quote ทฤษฎี (บางครั้งคนเรียนไม่สูงอาจได้เปรียบเนื่องจากจำเป็นต้องคิดอะไรใหม่ๆเอง อย่างสร้างสรรค์ เนื่องจากไม่มีทฤษฎีจะ cite หรือจะ quote) ก็จะดึงความสนใจของนักเรียนไปที่ essay ใน คคห 15 เพื่อให้นักเรียนเห็นว่า การใช้ตรรกะเปรียบเทียบการใช้งานคำศัพท์แบบแปลกๆ ตลกๆ ไร้สาระ เช่นใน essay เรื่องนั้น ถึงจะอ่านดูแล้วไร้สาระ แต่คุณสมบัติเด่นชัดที่เป็นประโยชน์ของมันก็คือ "ความแปลกพิศดาร ที่ช่วยให้จำได้ ว่าคำศัพท์ตัวไหนใช้สร้างประโยคได้อย่างไรนั่นเอง" แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 14:22:39 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 14:14:23 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 14:11:25 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ดูว่าคุณ tansy จะมีอคติต่อคนที่เรียนเอก(และปริญญาเอก)ทางภาษาเสียจริง เช่น ที่คุณพูดว่า "...จบมาแล้วดักดาน ความคิดคับแคบ คิดอะไรใหม่ๆเองไม่เป็น ได้แต่ลอกกากตำรา ลอกทฤษฎี แล้วก็ยังคิดโง่ๆต่อไปอีกว่า "ใครที่ไม่เรียนจบมาทางด้านภาษา ก็จะไม่เก่งหมด หรือยิ่งถ้าไม่จบปริญญาเอกทางด้านภาษา ก็จะไม่เก่งหมด" " (และผมอนุมานว่าเป้าหมายที่คุณพูดถึงคือ ผมเอง เพราะเคยมีประวัติมาในกระทู้ก่อนหน้า และมีการอ้างถึงคำพูดของผมในกระทู้นี้) ผมขอยืนยันว่า อันนี้เป็น misconception ของคุณเอง (อาจจะเป็นไปด้วยความอคติส่วนตัว หรือปมด้อยส่วนตัวที่ไม่ได้เรียนและไม่ได้รับโอกาสที่หลายๆคนได้รับก็ไม่ทราบได้) แน่นอนว่าคงจะมีคนประเภทที่คุณอ้างถึง คนที่เรียนจบมาแล้ว ทิ้งสิ่งที่เรียนมา ไม่ได้พัฒนาตัวเองต่อ ไม่ update ตัวเอง ไม่มี currency ในสาขาที่ตัวเองเรียน (แต่อันนี้มันก็เป็นเรื่องปรกติที่เกิดได้กับทุกสาขาอาชีพหรือเปล่า ทั้งระดับปริญญาตรี โท เอก ที่เรียนจบมาก็เพื่อให้ได้วุฒิเอาไปสมัครทำงาน) ไม่มีจิตวิญญาณความเป็นครู แต่ว่าที่ผมพูดถึงความจำเป็นที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญโดยตรงมาสอนภาษาอังกฤษนั้น ผมกำลังพูดถึงผู้เชี่ยวชาญ"ตัวจริง" นั่นคือ คนที่ devote เวลา และทรัพยากรให้กับด้านภาษานี้จริงๆ เอาพวกนี้มาสอน (ไม่ใช่เอากลุ่มเเรกที่กล่าวข้างตนมาสอน ก็ไม่ทราบว่าคุณจะยกกลุ่มนี้ขึ้นมาทำไม เพราะไม่ได้มีวิญญาณความเป็นครู หรือเป็นนักวิจัยอยู่แล้ว) คนที่เค้าเป็น "ตัวจริง" ไม่มีใครเค้าลอกกากตำรา ลอกทฤษฎีมาฝอยเพื่ออวดตัวหรอกครับ (อันนั้นมันตัวปลอม) ถ้าเค้าจะลอกตำรา ก็ลอกมาเพื่อค้นคว้าต่อ เพราะความรู้ไม่มีวันสิ้นสุด และเพราะในวิชาการทุกๆแขนงมันต้องมีการทำวิจัยต่อยอดโดยการนำสิ่งที่คนอื่นเค้าทำมาก่อนแล้ว แต่ยังมีจุดโหว่ หรือมีจุดที่ไม่สมบูรณ์มาต่อยอด มีการไปประชุมเพื่อ present papers มีการผลิตผลงานตีพิมพ์ (ซึ่งถ้าไม่ได้ตีพิมพ์ที่ดีพอ และจำนวนมากพอ ก็จะไม่ได้เป็นอาจารย์ต่อ) นักวิชาการที่ดีต้องเป็นอย่างนี้ และคนเหล่านี้ควรได้รับเครดิตด้วย ซึ่งถ้าเทียบกับเรื่องของเอดิสันที่คุณยกมา เอดิสันเค้าได้เครดิตตรงที่เป็น "คนแรก" ที่คิดอุปกรณ์หลายๆอย่างในยุคที่ไม่มีหลอดไฟใช้ แต่ไม่ได้หมายความว่าคนที่คิดทีหลังคนอื่นๆ เช่น คนที่เรียนทางด้านฟิสิกส์ไฟฟ้า ฯลฯ แล้วมาพัฒนาต่อยอดหลอดไฟของเอดิสัน ไม่ฉลาดเท่า ไม่เก่งเท่า หรือไม่อัจฉริยะเท่าเอดิสัน เพียงแค่เค้าไม่ได้เป็น"คนแรกในยุคที่ไม่มีหลอดไฟ" เท่านั้นเอง (เช่น ปัจจุบันเรามีหลอดประหยัดไฟ หลอดนีออน สารพัดชนิด ฯลฯ) คนที่คิดสิ่งเหล่านี้เป็นคนแรกก็ควรจะได้รับเครดิตและถือว่าเก่งพอๆกับเอดิสันไม่ใช่รึ??? และผมว่าตัวอย่างของเอดิสันคงไม่ apply กับคนทั่วๆไป เพราะว่าคนทั่วๆไปไม่ใช่อัจฉริยะ(?)แบบเอดิสัน เพราะฉะนั้น คนส่วนใหญ่จึงต้องได้รับการปลูกฝังพื้นฐาน(ที่ถูกต้อง)จากโรงเรียน สถาบันผลิตครู ฯลฯ ก่อน จึงจะก้าวไปสู่การเป็นเอดิสันที่สองได้ ถ้ากลับมาในเรื่องของครูสอนภาษา คนที่ไม่ได้จบปริญญาทางด้านภาษามาก็อาจจะสอนได้ดีเท่าหรือมีความรู้(จากการค้นด้วยตัวเอง)เท่ากับหรือมากกว่าคนที่จบทางด้านภาษา (นั่นคือเป็น "เอดิสันทางด้านภาษา") แต่คนเหล่านั้นมีกี่คนในโลก และต้องใช้ประสบการณ์นานเท่าไรจากการลองผิดลองถูก ??? คนธรรมดาทั่วๆไป ถ้ารักที่จะเป็นครูสอนภาษา(ให้ได้ดี) ก็ควรจะมาเรียนในห้องเรียน มาเรียนจากอาจารย์ที่เชี่ยวชาญ(และทำวิจัยต่อยอด)เกี่ยวกับหลักภาษาโดยตรง มารับประสบการณ์สอนที่อาจารย์ได้ประสบมา ที่เพื่อนร่วมชั้นได้ประสบมา หรือจากการอ่านงานวิจัยของคนอื่นๆ เพื่อนำไปปรับปรุงใช้กับตัวเองต่อไป มันเป็นความเขลา (หรือขอยืมคำของคุณ "จิตใจคับเเคบ") ของคุณเองที่คิดว่าคนที่เรียนปริญญาเอก "ลอกกากตำรามาตอบ...เพื่อดูถูกคนที่ไม่ได้เรียนจบทางด้านภาษา" คุณคงไม่เคยได้สัมผัสว่าการทำวิจัยจริงๆต้องทำอย่างไร หรือเค้าเรียนอะไรกันเวลาเค้าเรียนปริญญาเอก ถึงได้แสดงความคิดเยี่ยงนี้ อย่างที่ผมเรียนแล้วว่าการศึกษาภาษาเป็นวิทยาศาสตร์แขนงหนึ่ง เป็นศาสตร์ทำนองเดียวกับเเพทย์ศาสตร์ ซึ่งเป็นศาสตร์เฉพาะสาขา ดังนั้นก็จึงจำเป็นที่ต้องไปเรียน ต้องไปฝึกทำวิจัยเอง เช่น คนที่เค้า(เลือกที่จะ)เชี่ยวชาญหรือทำวิจัยด้านการรับรู้เสียงภาษาอังกฤษของ ESL students ที่มีภาษาแม่เป็นภาษาที่ใช้วรรณยุกต์ (เช่นภาษาไทย) เค้าก็ต้องเข้า lab ทดลอง มีการใช้เครื่องแยกคลื่นเสียง มีการอ่านกราฟเสียง มีการนำเด็กจริงๆมาทดลอง ฯลฯ แล้วเอามาประเมินผล ของอย่างนี้บอกได้เลยว่าเรียนเอง อ่านเอง ไม่มีทางได้ หรือของพวกนี้ต้องใช้เครื่องมือ "ไฮเทค ราคาแพง" นะครับ คนอื่นๆที่อยากเชี่ยวชาญด้านนี้ ก็ต้องมาทำวิจัยต่อจากคนๆนี้ เพื่อต่อยอดความรู้ไปอีก ไม่มีวันจบ มันเป็นการ "คิดอะไรใหม่ๆ" ที่ไม่สิ้นสุดต่างหาก ตัวคุณ tansy เองคงไม่เคยสัมผัสของพวกนี้ หรือวิธีการทำวิจัยอย่างมีระบบ เลยเชื่ออย่างผิดๆ ความรู้แบบนี้มีประโยชน์คือ สามารถนำมาใช้แก้ปัญหาของนักเรียนไทยที่ผสมเสียงวรรณยุกต์ไปในการพูดอังกฤษ ซึ่งภาษาอังกฤษมีความแตกต่างตรงที่เค้าเป็นระบบ intonation แทน ฯลฯ และความรู้หรือผลการวิจัยแบบที่ว่าข้างบนหาได้จากที่ใด?? จริงอยู่ที่โลกเราเป็นโลกไร้พรมแดน แต่ว่าบางทีทรัพยากรเช่น เงิน ก็เป็นตัวกั้นพรมแดนของการเข้าถึงงานวิจัยที่มีคุณภาพได้ (นั่นคืองานวิจัยได้รับการประเมินจากคนที่เชี่ยวชาญเรื่องเดียวกัน ที่เค้าเรียกว่า peer-reviewed papers) ซึ่งจะปรากฎในวารสาร (journal) หรือหนังสือเฉพาะทางเท่านั้น เช่น Journal of Pragmatics; Journal of English Linguistics) ซึ่งบอกได้เลยว่าค่ารับต่อปีของแต่ละวารสารแพงมหาศาล ขนาดที่มหาลัยใหญ่ๆในประเทศไทยหลายๆที่ยังไม่มี (ถ้าไม่เชื่อลองไปดูห้อง graduate lounge ห้องย่อยห้องสมุดได้ว่ามีคนขอ paper ตลอด) เนื่องด้วยปัจจัยตัวเงินเป็นหลัก ผมไม่คิดว่าคนทุกคนสามารถเข้าถึงสิ่งเหล่านี้ได้ ซึ่งผมว่าจำเป็นต่อการ update ตัวเอง เพราะถ้าภาษาเป็นศาสตร์ที่เหมือนกับแพทย์ศาสตร์ ฟิสิกส์ สังคมศาสตร์ ฯลฯ ผู้เชี่ยวชาญต้อง keep current ตลอดเวลา คนที่จะเข้าถึงได้ก็อาจจะต้องเป็นอาจารย์ เป็นนักเรียนด้านภาษา (ที่อาจารย์สั่งให้ไปค้นคว้ามาทำรายงาน หรือ ค้นคว้าด้วยตัวเองเพื่อนำไปเป็นฐานในการทำวิจัยต่อยอด) หรือเป็นผู้สนใจจริงๆและมีเงินมหาศาลหรือเข้าถึงด้วยวิธีอื่นๆ (ซึ่งคงจะมีน้อยอยู่) สุดท้ายนี้ ต้องยอมรับว่าแน่นอนว่าคนที่เรียนปริญญาเอกด้านภาษา(ตัวจริง) ก็ใช่ว่าจะสอนเก่งสอนดีเท่ากับคนที่ไม่ได้เรียนจบ (ผมก็ยอมรับว่าเป็นหนึ่งในนั้น คือสอนไม่เก่ง) แต่สิ่งที่เค้ามีก็คือความรู้เชิงลึก (ศาสตร์) ที่จะนำไปถ่ายทอดต่อไปให้กับคนที่ต้องการจะเป็นครูสอนภาษา (นั่นคือ คนที่จะมาเรียน TESOL อย่างที่จขกทถาม) ซึ่งคนกลุ่มหลังนี่จะต้องนำความรู้เชิงลึกไปประยุกต์ต่อเอาเองแล้วหล่ะครับ (ศิลป์) แต่ที่แน่ๆคือ คนกลุ่มหลังนี้จะต้องเรียน TESOL มาก่อน ผมหวังว่าคุณ tansy จะมีความเข้าใจที่มากขึ้นต่อเนื้อหาการเรียนภาษา การสอนภาษา และการวิจัยทางภาษา ว่าสิ่งเหล่านี้เป็น "ศาสตร์" ที่จำเป็นต้องมีการถ่ายทอด เรียนรู้ และต่อยอด ซึ่งผู้สอนภาษา(ที่ดี)ควรจะรู้ก่อน เพื่อจะนำไปประยุกต์ใช้ (ศิลป์) ให้เข้ากับสถานการณ์ในห้องเรียนและผู้เรียนได้ครับ ปล 1 essay ที่คุณยกขึ้นมา "english is a crazy language" น่ะ เค้าเอามาให้นักเรียนอักษรปีที่สอง เรียนกันตั้งนานนมมาแล้วคร้าบ....  บอกแล้วว่าถ้าเรียนมามันได้เจออยู่แล้ว คงไม่ต้องรอคุณเอามาหรอกครับ ปล 2 ยังจำได้เลยว่า อาจารย์ผมบอกว่า กลอนนี้ดูเผินก็ตลกดี  แต่ว่าคนที่แต่งนั้น ไม่ได้มีทรรศนคติที่ถูกต้องต่อภาษา  คิดว่าภาษาทำงานเหมือน "logic" ไปทุกอย่าง  เช่น ใน essay นี้เค้าถามว่า ทำไมใน hamburger ทำไมไม่มี ham  (เพราะมันควรจะเป็น ham + burger)   แต่จริงๆ คิดอย่างนั้นไม่ได้ เพราะว่าต้นตอมันมาจากเมือง แฮมบูกร์ (มั้ง)ในเยอรมัน นั่นคือ hamburg แล้วเติมปัจจัย er   หรือ eggplant (ที่แปลว่า มะเขือ) ทำไมไม่มี "ไข่"   ตอบว่า ก็เพราะว่ามันเป็น metaphor (อุปลักษณ์??) ที่ว่าเปรียบผลมะเขือเหมือนไข่  เพราะฉะนั้นคนที่เขียนอาจจะมีทรรศนคติไม่ถูกต้องนักเกี่ยวกับภาษา (ที่ว่าเขียนอย่างไร น่าจะหมายความอย่างนั้น)    จะเอา essay อย่างนี้มาสร้างความขบขัน ตลก ในห้องเรียนให้นักเรียนได้เรียนรู้ศัพท์แสง ฯลฯ ก็ได้อยู่  แต่ครูที่ถูกต้อง ที่เข้าใจ ต้องอธิบายต่อด้วยว่ามันมาได้ไง  และผู้เขียนตั้งข้อสังเกตที่ผิดพลาด(ในเชิงการทำงานของภาษา) ฯลฯ ปล 3 ถ้าคุณอธิบายที่มาศัพท์ หรืออธิบายเหตุผลเชิงลึกกับนักเรียน แล้วนักเรียนหลับ อันนี้เป็นเรื่องต่างหากที่บอกแล้วว่ามันขึ้นอยู่กับ "ศิลป์" ที่คุณจะเอา ความรู้เชิงทฤษฏี (ศาสตร์) ไปใช้ให้เหมาะกับกลุ่มผู้เรียนแต่ละกลุ่มอย่างไร (ผมย้ำหลายครั้งนะ คุณไม่น่าอ่านพลาด)  การทำห้องเรียนให้สนุก น่าสนใจ ฯลฯ น่าจะเป็นเรื่องของศิลป์มากกว่าศาสตร์ แต่ที่สำคัญและแน่ๆ น่ะ คุณมี "ศาสตร์" ในตัวคุณหรือยัง???  ถ้ายังก็ควรจะมีก่อน เพื่อนำไปประยุกต์ต่อไป.... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 15:05:28 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 14:55:44 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ วันมาฆบูชา 14:46:26 ]

ความคิดเห็นที่ 18 คนไม่เก่งภาษาเข้ามาดูคนเก่งภาษาคุยกัน แต่ผมเชื่อว่า คนที่เรียนมาเฉพาะด้านถ้าคิดเป็นเปอร์เซน แล้วย่อมมีคนที่สอนดีมากกว่าคนที่ไม่ได้จบมา แล้วผมก็ไม่ค่อยเชื่อว่า brainstorm ของบริษัท หรือโรงเรียนสอนภาษาจะดีกว่า International Conference ที่จัดโดยองกรณ์ใหญ่ ------- มุมมองของนักวิทยาศาสตร์คนนึง อย่ามาถล่มเลยขอร้อง -/\- ภาษาผมห่วยครับ จากคุณ : kanoomtan - [ วันมาฆบูชา 14:57:57 ]

ความคิดเห็นที่ 19 หวังว่าคราวนี้จะบางคน (?)ในกระทู้นี้จะไม่ออกมาท้าปาวๆให้คนที่จบด้านภาษามาตอบเป็นภาษาอังกฤษแข่งกับตัวเองอีกนะ บอกไว้ก่อนว่ามันไร้สาระ เหมือนเก้งขี้แพ้ จากคุณ : Puss'n Boots - [ วันมาฆบูชา 15:24:08 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ^ ^ โดยส่วนตัวผมขออ่านและ จับความเห็นของคุณ tansy (iwrite4u) และคุณ texasprofessor (krisdauw) มาเขย่า ๆ รวมกัน จะได้ความรู้ที่สุดยอดมาก ๆ ครับ ผมเห็นด้วยกับคุณ texasprofessor (krisdauw) นะครับ ว่าที่จริงแล้วการเรียนภาษาศาสตร์ นั่นก็ต้องเรียนเป็นวิทยาศาสตร์ถึงจะสัมฤทธิ์ผล ตอนเรียนระดับปริญญาตรีก็ไม่ค่อยเข้าใจ หรือรู้ซึ้งนัก แต่เมื่อได้ต้องมาทำวิจัยในระดับปริญญาโท ต่างแดน จึงจะรู้สึกได้เลยว่า แนวคิด กระบวนการคิด ทั้งหลายนั่นมันเหมือนกับสายวิทยาศาสตร์เลยทีเดียว เวลาผมคุยกับเพื่อนสายวิทยาศาสตร์ ผมก็กล้าใช้คำว่า "แลป" เลยนะ ถึงมันจะไม่มีเครื่องไม้เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ นัก แต่มันก็เป็นการเปรียบเทียบได้เลยว่า ผมกำลังนำสิ่งหนึ่ง เข้าสู่กระบวนการตั้งคำถาม ทดลอง และสรุปผล เหมือนกับพวกเด็กสายวิศวะ , ไบโอ ฯลฯ ทำกันนั่นแหล่ะ ที่จริงเรื่องนี้ก็มักจะเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกมาพูดทั้งที่แจ้งและที่ลับ คือการเปรียบเทียบนักภาษาศาสตร์กับคนทั่วไปแต่เก่งในภาษานั่น ๆ ก็ตามที่ได้มีการแลกเปลี่ยนความรู้ของทั้ง 2 ท่านข้างบน ตอนนี้ผมก็ทำวิจัยทางภาษาญี่ปุ่นและการสอนภาษาญี่ปุ่นศึกษาอยู่ ระบบของที่นี่ก็จะเหมือนกับภาษาอังกฤษ คือมีการ Brain storming อยู่ตลอดว่าวิธีการสอน วิธีการคิด การปฏิบัติต่อผู้เรียน ฯลฯ ที่ดีควรจะเป็นอย่างไร นั่นคือเน้นให้ความเข้าใจธรรมชาติของทั้งคนสอนและคนเรียน เพื่อผลสัมฤทธิ์ที่ดีกว่า ในขณะที่ทาง Japanese linguistics ก็จะเน้นทางด้านการต่อยอด การวิจัยโครงสร้าง (structure , grammar etc ) คือ มีความรู้อย่างละเอียดและสูงที่สุด แต่ก็ไม่ได้ประกันว่าเวลาเอาไปสอนในห้องเรียนแล้วจะสามารถทำให้นักเรียนสนุก เข้าใจ หรือว่าทำให้นักเรียนง่วง ด้วยเนื้อหาที่ละเอียดและลึกซึ้งมากกว่ากัน ซึ่งจากประสบการณ์การสอนระหว่างทำวิจัยของผม ผมคิดว่าทั้งสองด้านควรที่จะมารวมเข้าด้วยกัน คือทั้งระบบการสอนเพื่อการศึกษาและความรู้ลึกซึ้งทางภาษาศาสตร์ของภาษานั้น ๆ ถ้าเก่งเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ก็คงไม่ได้เรียกว่าเป็นครูที่ดีได้ อย่างเช่น คนที่ไม่ได้จบเอก(หรือปริญญาเอก ) มาโดยตรง แต่เป็นเจ้าของภาษา หรือว่าผู้ใช้เป็นภาษาที่สอง เมื่อนักเรียนถามอย่างเช่น ความต่างระหว่าง `an hour` `a horse`  คนที่ไม่ได้จบเอกภาษามาโดยตรงก็อาจจะแค่อธิบายได้ในระดับหนึ่งว่า มันต่างกันอย่างนี้ ๆ ๆ แต่ถ้าเป็นคนที่จบทางด้านเอกภาษาและเป็น "ตัวจริง" จะสามารถที่ตอบได้โดยมีแง่มุมหลากหลายมากกว่าแน่นอน เพราะผ่านการทำวิจัย การรวบรวมข้อมูล ที่จะรู้ลึก รู้จริง อย่างก็อย่างที่หลาย ๆ ท่านของบนพูดบอกว่า จริง ๆ แล้วพอถึงเวลาสอนจริง ๆ มันอยู่ที่ปฏิภาณ ไหวพริบ ของแต่ละคนแล้วล่ะครั้งบางครั้ง ความรู้ท่วมหัวเอาตัวเกือบไม่รอดก็มี 555+ แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 16:12:29 จากคุณ : Heian - [ วันมาฆบูชา 15:43:49 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ในห้องสมุด เราเห็นคนที่ทั้งเก่งมาก เก่งน้อย เมื่อเข้ามาในนี้ ต่างก็ช่วยๆกันคนละไม้คนละมือตอบคำถามอะไรที่ให้ประโยชน์แก่ผู้ถาม ตอบผิดบ้าง ตอบถูกบ้างตามอัตภาพ แต่ก็ยังนับได้ว่ามีน้ำใจ บางทีมีความคิดเห็นขัดแย้งกันบ้าง ก็ถกกันไป ไม่ถึงกับต้องดูถูกเหยียดหยามกันหรือยกตนข่มท่านกัน แต่ตั้งแต่เราเห็นคุณ texasprofessor (krisdauw) โผล่เข้ามาในห้องสมุดนะ เรายังไม่เห็นว่าคุณไปช่วยเหลือให้ความรู้อะไรแบบง่ายๆ แบบ down-to-earth ให้ใครด้วยน้ำใจไมตรีจิตเลย เราเห็นมีแต่เห็นคุณโผล่เข้าไปแต่ในกระทู้ที่คุณพอจะจับทางได้ว่ามีโอกาสที่จะคุยโวเรื่องความเป็น professor ของคุณ และถ้าสบโอกาส คุณก็ดูถูกคนที่ไม่ได้เรียนจบทางด้านภาษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง คุณไปพูดจาดูถูกคนเอาไว้ในกระทู้เดิม เช่นพูดทำนองว่า "คนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สองนั้นถ้าไม่เรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษ ในมหาลัยก็ไม่มีทางเก่งขึ้นมาได้" แล้วก็พูดว่า "คนเก่งภาษาอังกฤษเขาไม่มาช่วยเด็กทำการบ้าน และไม่มาแปลนิยายกิ๊กๆก๊อกๆ ..." คำพูดแบบนี้ย่อมแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า "คุณเป็นคนที่มีจิตใจคับแคบอย่างมาก" คำพูดแบบนี้ของคุณต้องถือว่า "เป็นการดูถูกคนธรรมดาๆที่พยายามเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ดูถูกคนที่ช่วยเหลือผู้อื่นเรื่องเรียนภาษาอังกฤษ ดูถูกนักแปล และดูถูกนักเขียน โดยทั่วไป" ซึ่งคุณก็ยังไม่ได้ไปแก้ต่างเลย ที่กระทู้เดิมเลย แต่กลับมาเบี่ยงประเด็นในทุกเรื่องที่พอเราถกกัน...แล้วคุณก็พูดจาเข้าตัวเอง แล้วก็พูดอะไรออกมาแบบไร้สติ แล้วพอเข้าตัวเอง คุณก็อ้างหลักวิชาการต่างๆนาๆมากมาย ที่ไม่ได้ช่วยให้ผู้อ่านได้รู้แนวทางดีๆอันใดในการเรียนภาษาอังกฤษได้เลย (เพราะคุณพูดได้เพียงแค่ว่าต้องไปเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัย)  แล้วคุณก็เบี่ยงประเด็นออกไปเรื่อยๆ แล้วก็ cite ทฤษฎีอะไรมาอีกเรื่อยๆ ....แบบ lame logic...คนที่ไร้สติปัญญา แล้วคิดเองไม่เป็นเท่านั้น ที่จะเห็นว่า แนวทางการโต้แย้งของคุณมัน impressive เอาเสียมากๆ .... แต่ ขอโทษที แท้จริงแล้ว แนวทางที่คุณโต้แย้งมา มันไม่มีอะไรที่จะช่วยให้คนไทยที่ไหนเก่งภาษาอังกฤษขึ้นมาได้เลย...!!! ส่วนเรื่องคุณจะคิดว่าเราจะมีปมด้อยนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องสลักสำคัญอะไรสำหรับเรา เพราะว่าเราไม่ได้ไปขอเงินคุณซื้ออาหารมาประทังชีพ หากเป็นจริงว่า เรามีปมด้อย มีหรือที่เราจะไปผูกคอตาย มันเป็นอะไรที่โง่สิ้นคิดเสียเหลือเกิน  แต่ในทางกลับกัน ทั้งๆที่เราไม่เคยคิดว่าเรามีปมด้อย ก็เลยไม่ค่อยขยันเรียนภาษาอังกฤษ แต่พอคุณมายัดเยียดว่าเรามีปมด้อย เราเลยชักจะอยากเรียนภาษาอังกฤษให้มากกว่านี้เสียแล้วดิ แล้วก็อยากจะเรียนนอกรั้วมหาลัยด้วย เพราะว่า "มันท้าทายดี" ในกระทู้เดิมคุณพูดว่าเราเป็น "มวยวัด" แต่เราก็ไม่กลัวเพราะว่าเราเคยเห็น "มวยวัดชกมวยมีครูคว่ำมาหลายรายแล้ว...555+++...!!!" เราหวังว่าคนที่จำเป็นต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง หรือไม่มีปัญญาได้เข้าเรียนในมหาลัยดีๆ เมื่ออ่าน คคห นี้ของเรา จะต้อง "ฮึดสู้นะ อย่าได้ยอมให้คนที่เรียนจบสูงๆ มาพูดจาข่มขู่ ให้ท้อแท้ใจได้ เป็นอันขาด" ในหยางมีหยิน = ในสิ่งดีๆมีสิ่งไม่ดี แอบแฝงอยู่ ...คุณฮึกเหิมในเรื่องปริญญาเอกของคุณ บางทีมันอาจทำให้คุณตาบอด คิดไม่ทัน และคิดไม่ถึงเอาเสียเลยว่า คนที่เขาคิดนอกระบบน่ะ เขาคิดอะไรแปลกๆใหม่ๆ แหวกแนว อะไรได้บ้าง แบบที่คุณคิดไม่ถึง จนใบ้รับประทานไปเลย...!!!! ในหยินมีหยาง = ในสิ่งไม่ดีมีสิ่งดีๆ แอบแฝงอยู่ ...คุณมาพูดจาดูถูกเรา เรายิ่งมีพลังในการเรียนรู้ โดยใช้หลักการแบบ unconventional และนอกระบบของเรา....ยิ่งคิดก็ยิ่งมีอะไรดีๆหลุดออกมาได้เรื่อย แต่เราขออุบไว้ก่อนนะ ยังไม่บอกว่าคิดอะไรใหม่ๆได้บ้าง ตอนนี้เก็บไว้ใช้เองก่อนนะ แล้วจะค่อยๆรวบรวมเพื่อนำไปตีพิมพ์เผยแพร่ เอาไว้ให้หลุดออกมาได้ก่อน ค่อยมาดูกันว่า จะเอาไปใช้งานจริงได้หรือไม่ เราทำงานอยู่ในแวดวงที่ต้องคลุกคลีกับคนไทยที่ต้องใช้ภาษาอังกฤษมามากมายหลายปี คนที่เขาจบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษมา ที่เขาเก่งกว่าคุณtexasprofessor (krisdauw)หลายๆเท่านะ ที่เราเคยพบพานมานะ เขาจะไม่มาคุยโวอ้างหลักวิชาโน่นนี่ ให้ฟังเพื่อ impress ผู้คน เหมือนที่คุณทำหรอก ...ในการทำงานหรือถกปัญหาใดๆ เขาจะเสนอแนะวิธีการ และแสดงความคิดเห็นที่มีเหตุผล นำไปใช้ได้ในเชิงปฏิบัติจริงๆ ซึ่งเป็น mentality ที่น่ารักและน่าเลื่อมใสมากๆ จนทุกคนที่อยู่รอบๆตัวเขาหรือรอบๆตัวเธอนั้น ต่างก็ต้องอยากรู้อยากเห็นว่า เขาหรือเธอผู้นั้น แท้จริงแล้วเป็นใคร เรียนจบอะไรมา แล้วก็ไปค้นพบได้เอง ความคิดอ่านของคุณ ถีงแม้จะเต็มไปด้วยทฤษฎีและศัพท์แสงทางด้านวิชาการอันหรูหราโอ่อ่า แต่แท้จริงแล้วยังนับได้ว่าเป็นความคิดที่ immature เอาเสียมากๆ ในโรงละครแห่งชีวิตจริง นี่คือสัจธรรม ที่คุณจะต้องเรียนรู้ในชีวิตจริงอีกมาก ไม่ใช่เรียนรู้แต่ใน academia เท่านั้น แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 16:17:14 แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 16:16:16 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ วันมาฆบูชา 16:04:52 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ^ ^ ^ ^ ถ้าคุณ tansy จะชักกระทู้เข้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับตัวผม และมาโจมตีผมโดยตรงแล้วล่ะก็ ถ้าจะกรุณา quote คำพูดผมให้"ตรง"หน่อย ก็จะถือว่าคุณให้เกียรติผมมากเลยทีเดียว เพราะว่าสิ่งที่คุณ quote มาน่ะ ไม่ใช่คำดั้งเดิมที่ผมพูด (ซึ่งมีผลอาจจะทำให้ผู้อ่านเข้าใจผิด) อย่าเอาคำพูดที่คุณคิดเองมาทำเหมือนว่าเป็นคำพูดผม อีกครั้งนะครับ ขอร้องว่าอย่าประดิษฐ์คำพูดขึ้นมาเองโดยไม่มีหลักฐานอ้างอิง หรือประดิษฐ์เองแล้วมาใส่เครื่องหมายอัญประกาศเพื่อให้ท่านอื่นๆเข้าใจว่า เป็นคำพูดของผม (อันนี้ถือเป็น ethical problem ของคุณนะ) ปล. ตรงไหนหรือ ที่ผมมาอวดภูมิในกระทู้นี้ว่า ผมเรียนปริญญาเอกมา??? (คุณไปเปิดบลอกของผมและเอาข้อมูลมาเอง)   ตรงไหนหรือที่ผม "คุยโว" อวดความเป็น professor ของผม???? ตรงไหนหรือที่ผมยกตนข่มคนอื่นๆ??? (ที่คุณกล่าวอ้างในความคิดเห็นที่ยี่สิบเอ็ดของคุณ) ผมคิดว่าผมได้ตอบจขกท ว่าคนที่จะเป็นอาจารย์สอนภาษาที่ดีได้ ต้องเรียน TESOL มาก่อนและอย่างลึกซึ้งด้วย (เราผิดตรงไหนหว่า) ปล 2 ตรงไหนเหรอ ที่ผมยก "ทฤษฏีหรูหรา" มาอวดอ้าง (ที่คุณมาว่าผมไว้ในความเห็นที่ยี่สิบเอ็ด บรรทัดท้ายๆ) ??????? ปล 3 ถ้าผมจะอวด (อย่าว่าผมนะถ้าผมจะขอพูดว่า) ผมก็มีของจะให้อวดแล้วกัน และไม่ได้อวดเกินจริงกว่าที่มีอยู่ มีข้อเสียอย่างไรก็ยอมรับ (เช่น ยอมรับว่าผมสอนไม่เก่ง)   แต่ผมย้อนถามกลับคุณว่า สิ่งที่คุณทำอยู่น่ะ ก็เข้าข่ายอวดตัว(แบบไม่ค่อยมีไรจะอวด) ได้เช่นกัน เช่น การ cite ประสบการณ์ตัวเองว่า รู้จักอาจารย์ระดับใหญ่ๆของโรงเรียนอินเตอร์อันหนึ่ง (ความเห็นเก้า) เคยไป workshop หลายๆที่กับอาจารย์ฝรั่ง (ความเห็นที่สิบสี่) เอา essay ตลกๆเกี่ยวกับภาษาอังกฤษ (ความเห็นที่สิบห้า) (ซึ่ง essay นี้ใครๆที่เรียนเอกอังกฤษน่าจะเคยเห็น) พูดว่าเคยทำงานเป็นผู้จัดการโรงเรียนสอนภาษา (ความเห็นสอง) และอื่นๆ   สิ่งเหล่านี้คุณเอามาเพื่อ impress ผู้อ่าน (จะโดยตั้งใจหรือไม่ก็แล้วแต่) ใช่หรือไม่???  สิ่งเหล่านี้คุณยกมาเพื่ออย่างน้อยๆก็ imply ว่าคุณก็มีดีเหมือนกันใช่หรือไม่??? สิ่งเหล่านี้ถือเป็นการอวดหรือเปล่า ผมว่าใช่ เพราะว่าอย่างน้อยๆก็อวดว่ามีประสบการณ์อันนั้นอันนี้   แต่ขอโทษเถอะนะครับ ขอ"กัด"หน่อยว่า ถ้าคุณว่าผมอวด ของผมมันมีให้อวดแบบที่น่าจะยอมรับได้มากกว่าของคุณแล้วกัน ขอจบแค่นี้นะครับ ผมคงไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับเรือ่งส่วนตัวแบบนี้ ความเห็นของผมนี้เปลืองเนื้อที่กระทู้นี้ เพราะเป็นเรื่องคุณหมั่นไส้ผมส่วนตัว แต่ขอใช้สิทธิ์เคลียร์ครับ... แก้ไขเมื่อ 21 ก.พ. 51 16:32:41 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ วันมาฆบูชา 16:26:46 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ตอบ จขกท อย่างเดียว (กลัวลูกหลง) เคยเป็นแต่นักเรียน ถามตอนสมัครเรียน เขาก็ให้ข้อมูลนะว่าครูจบอะไรมา ผ่านการอบรมอะไรมาบ้าง ชั้นเรียนสำหรับ beginner ก็วุฒิแบบนึง ชั้น academic writing ก็เฉพาะขึ้นมาหน่อย เคยได้เรียนกับดอกเตอร์ทางภาษา เธอทำวิจัยเรื่องการใช้ภาษาของ นศ ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาต่างประเทศ เรียนสนุกมาก เธอแทบจะบอกล่วงหน้าได้เลยว่า จุดไหนที่เราเขียนไม่เหมือนเจ้าของภาษา แล้วอธิบายว่า มันเป็นเพราะความต่างทางวัฒนธรรม ถึงตอนนี้ยังเขียนไม่ฝรั่ง แต่พอเข้าใจว่าเราคิดและสื่อสารต่างกันอย่างไร ก็ใช้สิ่งที่เรียนมาปรับปรุงตัวเองได้เรื่อยๆ ปล เรื่องคุณวุฒิของครู มันเป็นความจริงของชีวิตที่เราจะได้เท่าที่เราจ่าย และเราก็ควรจะตรวจสอบก่อนจ่ายด้วย จะได้ไม่เผลอจ่ายเกินจริง :) จากคุณ : Deckard - [ วันมาฆบูชา 18:48:05 ]

ความคิดเห็นที่ 24 อา-ราย-กาน-นี่?  อย่าทะเลาะกันเลย เราว่าทั้งคุณ Tansy และ อาจารย์ Krisdauw ก็เก่งและดีในแบบของตัวเอง และต่างก็มีเจตนาดีในเรื่องการเรียนการสอนภาษาอังกฤษ เรานับถือทั้งคู่นะคะ   วันนี้ วันมาฆบูชานะ เป็นมิตรกันไว้ดีกว่าค่ะ จากคุณ : Flowery - [ วันมาฆบูชา 19:07:54 ]

ความคิดเห็นที่ 25 แต่ที่มาที่ไปของศัพท์แต่ละคำช่วยในเรื่องการอ่าน การเขียน ได้อย่างมาก ระดับการพูดจาติดต่อสื่อสารทั่วไปชีวิตประจำวันอาจจะไม่ต้องใช้อะไรที่ลึกซึ้งขนาดนั้นก็ได้ (แต่ควรรู้ไว้จะดี เพราะเราไม่รู้ว่าจะมีเหตุการณ์ที่เราต้องใช้มันเมื่อไร) ภาษาคือวัฒนธรรมอย่างหนึ่ง เรียนมันอย่างโดดเดี่ยวไม่ได้ เราต้องเรียนรู้ที่มาที่ไป ความสัมพันธ์ของสังคมนั้นๆ ด้วยจึงจะใช้ได้อย่างสัมฤทธิ์ผล จากคุณ : Jai_ya - [ วันมาฆบูชา 19:13:14 ]

ความคิดเห็นที่ 26 อืม กลายเป็นหัวข้อทะเลาะซะแล้วแฮะ ผมขอถามคำถามผมต่อนะ ผมก็เข้าใจที่คุณ tansy ต้องการจะสื่อนะครับว่า ความสามารถ VS ปริญญา เรื่องนี้มันเถียงกันยากจริง ๆ ไ่ม่ใช่แค่เฉพาะสายนี้ สายการเงิน ก็เป็นอีกสาขาที่หัวข้อนี้มันก็ดูจะคลุมเครืออยุ่ แต่ก็อยากให้เข้าใจนิดน่ะนะครับว่าบางครั้ง ตัวที่จะดูอย่างเผิน ๆ ได้ง่ายที่สุดก็คงเป็น certificate และ ปริญญานั่นเอง เพราะบอก อืม คนนี้สอนเก่งมันแบบ...เฮ้อ ใครก็พูดได้อะ ยิ่ง เมืองไทย & ฝรั่ง ก็รู้ ๆ กันอะนะ แทบจะเป็น haven เอาไว้ทำเรื่องที่ทำไม่ได้ในประเืทศตัวเองรึเปล่า แล้วงี้ถ้าลูกเราไปเจอกับพวกนี้มันจะได้รับวัฒนธรรมอะไรแปลก ๆ มามั้ย ไรแบบนั้น ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคนจะซื้อกองทุนรวมเปิดใหม่ซิง ๆ ซักอัน มีผู้จัดการกองทุน 2 คน คนนึงจบ Quant Finance, CFA Lv3 กับอีกคน บริษัทบอกว่า "อืม เก่ง" แบบนี้มันก็... ดูอย่างเผิน ๆ ไง ๆ คนแรกก็มีภาษีกว่าเห็น ๆ จริงมั้ยครับ เพราะถ้ามันผ่านไอ 2 อันนั้นมาได้ ก็แสดงว่าฝีมือพอดูล่ะ ถึงแม้ว่า การเป็น fund manager จริง ๆ พวก born trader นี่จะแจ๋วกว่าพวก cfa lv3 ก็ไม่แปลก เพราะไง ๆ การจะทำกำไร มันมีอะไรมากกว่า ปริญญาและ cer เยอะ เพราะงั้นสำหรับการเลือกเรียน การจะ extreme ถือหางมันไปข้างเลยก็คงจะกระไรอยุ่ ส่วนกรณีฝรั่งสองคนนั้นที่ประสบความสำเร็จมาก ๆ ก็ดีอะครับ แต่มันจะมีสักกี่คนที่ทำได้แบบนั้น ปล เจ้าปริญญาที่ผมว่าตอนแรกเนี่ย ตอนนั้นผมคิดในใจเอาเองว่า เป็น ป.ตรีครุศาสตร์น่ะครับ นึกว่าอย่างน้อยคนที่มาสอนก็น่าจะเรียนเรื่องครุศาสตร์มา จบเรื่อง ปริญญา VS ความสามารถ --------------------------------------------- ขอถามในมุมกว้าง ๆ ในแง่ของ English Program VS ภาคธรรมดา นะครับ ที่จะต้องสอนเด็กตั้งแต่ ประถม1 - มัธยม 6 อาจไม่ถึงขั้นเป็นล่ามใน UN แต่ก็คงไม่ซิมเปิ๊น ซิมเปิ้ล ซะทีเดียว อย่างโรงเรียนแถวบ้านผมตอนนี้ก็มีโปรแกรม English Program กันหมด แล้วแบบนี้ผมจะรู้ได้ยังไงล่ะครับว่า อีตาฝรั่งคนนี้มีคุณภาพจริง สมกับเงินที่ต้องจ่ายเพิ่มขึ้นไปอีกกว่าภาคธรรมดา -_-'' ถ้าฝรั่งแบบให้เรียน tesol แ้ล้วโดนไล่ออกจากประเทศแบบที่คุณ tansy ว่า แบบนี้ผมให้ลูกเรียนแบบธรรมดา แล้วเข้า british council ได้เจอคนที่มีคุณภาพจริง ๆ จะดีกว่ามั้ย ขอถามอีกอย่างครับ ผมเดาเอาว่าคุณ tansy ต้องอยุ่ในโรงเรียนสอนภาษาที่ดีมาก ๆ แน่ ๆ เลยใช่มั้ยครับ ถึงได้มีการประชุมที่เพรียบพร้อม แต่มันคิดเป็นซักกี่ % อะครับ ของฝรั่งทั้งหมดในเมืองไทยที่มาสอนที่จะมีสิทธิเข้าถึงทรัพยากรที่ดี ๆ แบบนั้น หรือว่าพวกนี้มันเป็นเครือข่ายที่กว้างจริง....? ที่ทุกโรงเรียนที่เปิด English Program จะสามารถส่งครูเข้าร่วมได้ แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 02:44:55 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 00:48:36 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 00:39:11 จากคุณ : EAGo - [ 22 ก.พ. 51 00:31:10 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอแสดงความคิดเห็นเรื่องครูฝรั่ง - จากที่เห็นๆคนอื่นมาและเคยเจอกับตัวเอง การจ้างฝรั่งต่างๆมาเป็นอาจารย์สอนมันก็เหมือนซื้อหวย  ทีแรกดูจากเลขในหวย (เทียบกับปริญญาและใบประกาศต่างๆ) ก็น่าจะได้ครูดีราคาสมเหตุผล  ต่อมาพอหวยออก (คือสอนๆไป) ปรากฏว่ากลับเป็นแค่เลขท้ายสองตัว ไม่ถูกรางวัลเลย  มีทักษะแค่นิดๆหน่อยๆ สิ่งที่มีคือ พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง เด็กๆคือคนรับความซวยไป  หน่วยงานก็ต้องรับสภาพไปจนกว่าจะหมดเทอมหรือได้คนใหม่มาแทน   - เรื่องแย่ๆในการทำงานกับครูฝรั่ง เคยเจอครูฝรั่งบ้ากามเวลาสอนชอบมองแต่นักศึกษาสาว  เวลาสอบชอบนัดเด็กไปสอบ interview ในห้องพักเป็นรายบุคคล ใครสวยได้เอ บีบวก  คนไหนดำ อ้วน ถึงแม้จะเก่งกลับได้ซี แย่มากๆ ///  อีกเคส เป็นพวกขี้เหล้า ซึ่งชอบเจอบ่อยๆ บางรายมาสอน เดินเข้ามาห้องพักกลิ่นยังกับองุ่นเน่า  สอนเน่าๆ แล้วแต่จะคิดได้ // บางคนเป็นพวกชอบเรียกร้อง อ้างสิทธิ์ จะเอาแต่ผลประโยชน์  ทั้งๆที่เงินเดือนสูงกว่าเจ้าของประเทศตั้งหลายเท่า เอาค่าเช่าบ้าน เอาโบนัสรายปี เอาค่าล่วงเวลา  ขณะงานธุรการ งานพัฒนาหลักสูตร งานช่วยสังคมไม่เคยเหลียวแล - ส่วนตัวแล้ว ชอบครูไทยมากกว่าครูฝรั่ง ถึงบางคนพูดภาษาด้วยสำเนียงบ้านๆแต่ก็มีความเข้าใจ  เด็กเยอะกว่าพวกฝรั่ง คนไทยจะแน่นเรื่องหลักไวยากรณ์และคำศัพท์ ส่วนเรื่องพูดนั้นอาจยอมรับ  ว่าสู้ฝรั่งไม่ได้ แต่สื่อต่างๆ เช่น เทป ซีดีประกอบหนังสือ หนังแผ่น รายการเคเบิ้ล โปรแกรม  มัลติมีเดีย ก็จะช่วยเสริมเด็กได้ไม่ยิ่งหย่อนกว่ากัน - ทำไมประเทศไทยเรายังต้องง้อครูฝรั่ง(ห่วยๆ)   ๑. การมีครูฝรั่งช่วยยกมาตรฐานของโรงเรียนได้้ ๒. กระแสการพัฒนามันผลักดันให้ต้องมี EP ๓. บางโรงเรียนไม่มีงบไปจ้างครูแพงๆได้ มีเงินแค่ 10,000-20,000 ก็ต้องรับสภาพฝรั่งห่วยๆไป ๔. ครูไทยเก่งๆที่จบป.โท-ป.เอกมาจากเมืองนอก จบมาก็ไปอยู่ตามระดับอุดมศึกษาทั้งนั้น   มีเหลือไม่กี่คนที่ช่วยสร้างสรรค์การสอนภาษาอังกฤษแบบดีๆอินเตอร์ๆในโรงเรียน ๕. ครูไทยเก่งๆเท่าฝรั่งไม่ได้เงินเดือนสูงเท่าฝรั่ง ทั้งๆที่บางคนพูดก็ได้ แต่คนไทยยังงัยก็คนไทย   ในสายตาคนไทย ยังงัยใช้ฝรั่งยังดีกว่า ดูจากภายนอกตัดสินได้เลยว่าอินเตอร์ของแท้ ๖. เทคโนโลยีสื่อการศึกษาต่างๆ ยังงัยมันจะสู้มนุษย์แท้ได้เหรอ ------------------------------------------------- แก้ไขสะกดคำผิด แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 01:43:31 จากคุณ : GSK - [ 22 ก.พ. 51 01:29:58 ]

ความคิดเห็นที่ 28 เรียนคุณ : EAGo (เจ้าของกระทู้) สรุปเลยว่าถ้าจะเลือกแผนการเรียนให้ลูกว่าจะให้เรียนแผนปกติหรือแผน EP ดูตรงไหนว่า ควรเลือกหรือไม่ ว่าจะคุ้มค่าเทอมแสนแพงที่จะลงทุนให้ลูกหรือไม่ ผมให้น้ำหนักที่ปัจจัยชื่อเสียงปากต่อปากมากกว่าวุฒิบัตรต่างๆ อาจจะดูตลกที่มันไม่มีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์หรือวิชาการพิสูจน์ชัดเจนเท่าคุณวุฒิิิ แต่ความไว้ใจที่สั่งสมมาจากช่วงเวลาหนึ่งมันพิสูจน์ได้ ลองคุยกับผู้ปกครองรุ่นก่อนๆว่าส่งลูกมาเรียนโปรแกรมนี้มันคุ้มไหม ลูกเปลี่ยนไปในทางที่พัฒนาเยอะไหม หรือต้องให้ลูกไปเรียนเพิ่มข้างนอกเพิ่มอีกไหม หรือจะให้ลูกเรียนโปรแกรมภาษาไทยธรรมดา แล้วเซฟเอาเงินค่าเทอมพาลูกไปต่างประเทศ หรือส่งไป exchange program แบบซัมเมอร์หรือเป็นปีแทน หรือ เอาเงินไปลงทุนเทคโนโลยีสื่อการเรียนการสอนดี ถ้าเรามีงบทำได้ทุกทางเลือก (เรียน EP + ไป exchange + ซื้อสื่อการเรียน + เรียนพิเศษ )   ก็จัดการ "แบบบูรณาการครบวงจร" ไปเลยคุณพ่อ!   จากคุณ : GSK - [ 22 ก.พ. 51 02:03:03 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ฝากอีกนิดเดียว และสุดท้ายสิ่งสำคัญที่สุดของการศึกษาลูก ไม่จำเป็นต้องจ่ายแพงเลย นั่นคือ "ให้เวลา" ครับ พ่อแม่ควรให้เวลากับเค้า เรียนรู้กับเค้าในเวลาที่เค้าไม่เข้าใจ ถึงแม้ว่าพ่อแม่จะเรียนมาไม่เหมือนเค้า แต่ก็คงเคยผ่านความรู้สึกมีปัญหาสมัย ที่ีเป็นนักเรียนได้ใช่ไหม ปัญหาบางอย่างพ่อแม่อาจมองจิ๊บๆไร้สาระในสายตาผู้ใหญ่ เช่น การแต่งประโยคภาษาอังกฤษ การหาพื้นที่สี่เหลี่ยมคางหมู ฯลฯ แต่ปัญหานั้นน่่ะ คือ สิ่งที่หนักหนามากในสายตาพวกหนู การที่เรามีเวลาให้เค้าเสมอ ยอมลงทุนเสียเวลานั่งดูลูกแก้ปัญหาง่ายๆไปกับเขา มันจะเป็นกำลังใจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่ลูกต้องการ (ซึ่งอาจไม่ใช่โปรแกรม EP ค่าเทอมแพงลิบลิ่วก็เป็นได้ !) //////////////////////////////////////////////////////////////////// แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 02:26:26 จากคุณ : GSK - [ 22 ก.พ. 51 02:18:25 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ขอเชียร์ + ชม ความคิดเห็นของ texasprofessor (krisdauw)  นะครับ เด็ดขาดมาก เป็นครู Tesol ป่าวครับเนี่ย.. ชื่นชม คุณ tansy เหมือนกันในกระทู้อื่นๆ แต่บางทีคุณต้อง open มากกว่านี้นะคับ บางทีคนอื่นเข้าแสดงความคิดทั่วไป ไม่ได้กระทบคุณเลย คุณก็คิดมากเกิน เก่งทั้งคู่แหละ.. จากคุณ : TVC - [ 22 ก.พ. 51 02:21:34 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ฝรั่ง จบ ปตรีได้ นี่หมดตังไปเยอะนะครับ จะมาสอนภาษาทำไมให้เมื่อย จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 22 ก.พ. 51 03:31:32 ]

ความคิดเห็นที่ 32 คห.ของทั้งสองท่านน่าอ่านเหมือนๆกัน  บังเอิญกำลังอ่านหนังสือเก่าเล่มหนึ่งอยู่เขาพูดถึงเรื่องต่อไป ไม่ทราบว่าจะเป็นการอธิบายการถกเถียงข้างบนได้หรือเปล่า   Politeness strategies `face`(Erving Goffman 1956) Positive face,the need to be appreciated. Negative face,the need not to be disturbed. ส่วนเรื่องอาจารย์แบบไหนดีกว่ากัน ขอแสดงความเห็นส่วนตัวว่า ในประสบการณ์ส่วนตัว  อาจารย์แบบข้อ 1 สอนเข้าใจง่าย เข้าใจเร็วกว่าอาจารย์แบบข้อ 2 1  เคยเรียนภาคทษฎีทางภาษาศาสตร์มาแล้วสอน (โดยเฉพาะด้านภาษาศาสตร์เปรียบต่าง) 2  ไม่เคยเรียนแล้วสอน (ปรากฏการณ์อาจารย์ที่ Japan Foundation ส่งคนของเขามาสอนภาษาญี่ปุ่นในสถาบันระดับมหาวิทยาลัยเมื่อสัก 20 ,30 ปีก่อน   แต่ช่วยไม่ได้สมัยนั้นญี่ปุ่นเขายังอยู่ในสมัย ไม่พร้อมทางด้านบุคคลากร   นักเรียนสมัยนั้นซวยมาก ไม่รู้เรื่องเลย ได้แต่นั่งเดา) ตามโรงเรียนสอนภาษานะ  เขาเก็บค่าเรียนสูงแต่เขาจ่ายค่าชั่วโมงอาจารย์น้อยมาก เพราะฉะนั้นเจ้าของภาษาที่เก่งจริงเขาไปทำอาชีพอื่น แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 06:33:25 จากคุณ : akebi1 - [ 22 ก.พ. 51 06:32:06 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ขอชะแว้ปมาสนทนากับคุณ akebi1 หน่อยครับ เพราะท่าทางสนใจเรื่องเดียวกัน ที่คุณถามว่าเรื่องของทฤษฎีสุภาพ (Politeness) จะมาอธิบายการถกเถียงข้างบนได้หรือเปล่า ผมขอตอบว่าได้ครับ แต่ต้องพลิกแพลงหน่อย เพราะ concept ดั้งเดิมของกอฟแมน กับ brown and levinson ใช้ไม่ได้ครับ กอฟแมน (Goffman) ได้นำ concept ของ"หน้า"มาจากจีน คือ เหลียน กับ มิซี แปลง่ายๆคือ public self-image และคนเราทุกคนมี "face wants" ทั้งด้านบวก (เช่น ความต้องการเป็นที่รัก ความต้องการเป็นพวกเดียวกัน ความต้องการได้เป็นที่ยอมรับของกลุ่ม) และ ด้านลบ (เช่น ความต้องการที่จะเป็นอิสระ ความต้องการที่จะไม่พึ่งใครและไม่มีใครมาพึ่ง ฯลฯ) ความสุภาพ (คิดเผินๆเหมือนง่าย แต่จริงๆปัจจุบันนักภาษาศาสตร์ยังไม่ได้ข้อสรุปว่า ความสุภาพคืออะไร) ทั่วๆไปที่นักภาษาศาสตร์นิยามกันคือ การที่เรารักษาหน้าและความต้องการทางหน้า(face wants) ของผู้อื่น นี่คือ concept ที่ brown and levinson (1987) ได้คิดริเริ่มและพัฒนามาจากกอฟแมน เช่น ถ้าเราไปขอยืมเงินชาวบ้าน เราสามารถสุภาพทางลบได้ โดยพูดว่า Would you mind if I borrow your money? ในขณะเดียวกันเราสามารถสุภาพทางบวกได้ โดยพูดว่า Hey, man, give me little money will ya? เป็นต้น แต่ผมเห็นว่าในหลายๆครั้ง เราไม่ได้มุ่งที่จะสุภาพต่อคนอื่นอย่างเดียว แต่เรามุ่งที่จะสุภาพต่อตัวเองด้วย (นั่นคือ เรามุ่งที่จะรักษา"หน้า"ของตัวเอง) เช่นในกรณีผมในความเห็นที่ 22 ซึ่งขอออกมาเคลียร์ตัวเอง อันนี้เป็นสิ่งที่ผมทำเพื่อ restore face ของตัวเองครับ เพราะฉะนั้นผมขอตอบว่าทฤษฎีความสุภาพเอามาอธิบายการถกเถียงกันในกระทู้นี้ได้ แต่ว่าต้องเป็นทฤษฎีความสุภาพต่อตนเองครับ (ไม่ใช่ต่อผู้อื่น) ปล ปัจจุบันนอกจากความสุภาพ เรายังมี ความไม่สุภาพ (impoliteness) ถ้าสนใจ ผม refer ให้หาอ่าน C., Krisda. (Forthcoming 2008). Revisiting the Salem Witchcraft Trials: Self-Politeness Strategies. Journal of Historical Pragmatics. Chen, Rong. 2001. Self-Politeness: A Proposal. journal of pragmatics. 33: 81-106 Culpeper, Jonathan. 1996. Towards an anatomy of impoliteness. journal of pragmatics. 25: 349:367. จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 22 ก.พ. 51 08:27:47 ]

ความคิดเห็นที่ 34 หลังๆ เจอกระทู้ถามภาษาอังกฤษ ไม่ค่อยกล้าตอบ เคยเจอเจ๊แกว่าไม่รู้จริงแล้วยังตอบ ปล่อยเจ๊แกละกัน จากคุณ : ไปดีกว่า - [ 22 ก.พ. 51 10:24:40 A:161.200.255.162 X: TicketID:106200 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ขอยกตัวอย่างตัวเองน่ะค่ะ เอาที่เมืองนอกนี่พอไม่เอาที่เมืองไทย ครูฝรั่งสองคน คนหนึ่งพูดเก่งมากแต่ถามอะไรจะตอบแบบพื้นๆเหมือนฝรั่งที่สอนที่เมืองไทยเลย คิดในใจ ชั้นมาเรียนที่นี่ทำไมให้เสียเงินเดือนละหกเจ็ดหมื่นน่ะเนี่ย จนมาเจอคนที่สอง พี่พอลแกจบมาจากจอร์จเมสัน เรียนโทอยู่ด้วยที่เดิมน่ะค่ะ สอนดีมาก ทฤษฏีแน่น มุขเยอะแยะ ปรากฏว่าแกสอนมาสิบกว่าปีแล้วค่ะ ลูกศิษย์อาจจะไม่ใช่เจ้าชายซาอุแต่เศรษฐีน้ำมันตะวันออกกลางเยอะมาก อันนี้ยกตัวอย่างคร่าวๆน่ะค่ะ เพราะว่าจริงๆแล้วเรียนกับครูหลายคนมาก พวกที่มีดีกรีแต่อายุยังน้อยก็สอนได้ดีเลยแหละค่ะ แต่สู้พวกมีดีกรีแต่อายุเยอะไม่ได้ ส่วนพวกมุขเยอะๆนี่สอนได้แต่เด็กๆ สอนระดับที่จะใช้งานเมืองนอกไม่ได้จริงๆ และขอบอกอีกหน่อยว่าเพื่อนผู้สูงวัยเราเป็นอดีตอาจารย์สอนภาษาที่ญี่ป่น อเมริกา สุดท้ายแต่งงานกับคนอเมริกัน เลยมาสอนเปียโน บอกกับเราว่า (คนๆนี่จบปริญญาตรีวิศวะจากนิวเซาเวลเป็นออสซี่ค่ะ) สอนLEVEL1 ยากมากๆจะทำยังไงให้คนไม่รู้อังกฤษเลย แบบa-zยังไม่ครบเข้าใจ ป.ล. อาจารย์ไทยประเภทนร ทุนฟูลไบร์ท นี่เก่งกว่าฝรั่งเก่งๆอีกค่ะ จากประสบการ์ณ สัมผัสกับอาจารย์คณะมนุษย์ศาสย์จากมศวและที่อื่นๆ เก่งจริงๆค่ะ แกอาจสอนไม่สนุกแต่สอนดีเลยและรู้จริงด้วยค่ะ ไม่ได้หมายถึงอะไรดีกว่าอะไรน่ะค่ะ แค่เล่าให้ฟัง บางครั้งประสบการ์ณเยอะๆไม่มีดีกรี แต่ขยันได้ดีเยอะๆแต่น้อยมากเมื่อเทียบกับคนที่เค้าเรียนโดยตรง เหมือนคนที่มีคนมาแนะแนวแล้วหัวดีนี่ไปเร็วเลย บางครั้งไอ้มุขอะไรนี่มันก็ไม่ได้สำคัญที่สุดหรอกค่ะ ถ้าคนที่จะเรียนตั้งใจ แต่การบอกที่มาที่ไปมันทำให้ประยุกต์ได้ในทุกๆสถานการณ์ และเข้าใจว่าค่าสอนบ้านเรามันถูก แต่อยากจะบอกเฉยๆว่าคุณPROFESSOR KRISADAWแกอยากจะอธิบายแต่บางทีมันอาจดูเหมือนอวด คงไม่ถล่มเราน่ะค่ะ จากคุณ : cyberreturn - [ 22 ก.พ. 51 10:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 36 มาดูคนปั้นน้ำเป็นตัว จากคุณ : สักวันหนึ่ง - [ 22 ก.พ. 51 11:07:42 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ไม่มีความเห็นกับกระทู้ แต่อ่านชื่อกระทู้แล้ว ...  ถ้าไม่ใช้คำว่าภารโรง ก็จะดีหรอกค่ะ จากคุณ : ยาควัน - [ 22 ก.พ. 51 12:21:42 ]

ความคิดเห็นที่ 38 กำลังสนใจเรื่องนี้อยู่พอดี     ขอขอบคุณคุณtexasprofessor (krisdauw) ที่มาให้ความรู้เพิ่มเติม กลับมาขอเติมหน่อยว่าคำว่า"ชะ" ของคุณtexasprofessor (krisdauw) นี่ดีมากเลย  เพราะมันไม่ใช่"ฉะ" แต่ถ้าอ่านผิดเป็น"ฉะ" หัวใจคงแป๋วแน่  ขอบคุณอีกครั้ง แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 16:12:42 จากคุณ : akebi1 - [ 22 ก.พ. 51 16:03:52 ]

ความคิดเห็นที่ 39 บางครั้งไอ้มุขอะไรนี่มันก็ไม่ได้สำคัญที่สุดหรอกค่ะ ถ้าคนที่จะเรียนตั้งใจ อันนี้เห็นด้วย ลางทีปล่อยมุขมากๆผมก็รำคาญ จะมาเรียนไม่ได้มาดูตลก จากคุณ : achan42 (anchan42) - [ 23 ก.พ. 51 11:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 40 คิดมาก ไม่อยากให้ทะเลาะกันเลย ทั้งสองคน สายประสบการณ์ กับสายวิชาการน่ะ เป็นแฟนคลับมาทั้งสองคนเลยนะ ผมเนี่ย ส่วนเรื่องอาจารย์ที่มาสอน โรงเรียนแบบที่ว่านั้น เป็นเรื่องจริง เพื่อนผมเรียนตรีเอแบค บางทีก็ไปสอนบางโรงเรียน วิทยาลัย ซึ่งเขาก็ให้ สอน รายได้เขาให้เป็นชั่วโมงนะ ป.ล.ผมว่าสายวิชาการก็สำคัญนะ โดยเฉพาะภาษาศาสตร์บางทีก็จำเป็น เหมือนกัน เคยไปอ่านวิชาเกี่ยวกับ linguistics, language and mind อะไรพวกนี้ ตอนแรกก็คิดว่าไร้สาระ พออ่านไปมาก็ มีประโยชน์เหมือนกันนะ จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 25 ก.พ. 51 13:11:25 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ผมเพิ่งเรียนไปเอง linguistics language อย่างยากเนื้อหาเยอะมากหนังสือหนาเป็นตั้ง จากคุณ : Ainulindale - [ 26 ก.พ. 51 19:33:44 ]

ความคิดเห็นที่ 42 ไม่รู้จะทันรึเปล่า แต่อยากตอบ... เราตามอ่านงานของ tansyตลอดนะ ว่างๆก็ลองsearchชื่อดู แต่ครั้งนี้คุณ extremeเกินไป ถ้าลองเปิดใจบ้างจะรู้ว่าที่คุณ krisda พูด มีส่วนถูกอยู่มากเลย ภาษาไม่ใช่แค่เรื่องชีิวิตประจำวัน แต่เป็นideologyแบบที่คุณkrisda พูด เพราะงั้นถ้าสอนให้เข้าใจ ใช้ได้ถูกก็ืถือว่าครูคนนั้นเก่งมาก แต่ถ้ายิ่งสอนให้เข้าใจถึงความคิดทีถ่ายทอดลงในภาษาๆนั้น ก็จะยิ่งดีมากๆๆ จิงๆคนอย่างเรา เีรียนยังไม่จบป.ตรี แถมไม่เก่งภาษาอีกก็พูดลำบาก แต่จากประสบการณ์ที่เรียนพิเศษข้างนอก พวกคอร์สติวเอนท์ สนทนานิดๆหน่อยๆ  กับเรียนที่มหาวิทยาลัยเป็นรายวิชาเลย ตัวหลังชนะขาด อาจารย์อาจจะน่าเบื่อหน่อย แต่หลักสูตรที่เค้าคิดมามันเป็นระบบกว่า อาจารย์จะเข้าใจปัญหานักเรียนมากกว่า ขนาดเราลงเรียนเป็นวิชาเลือกแค่ 1 ตัว ยังรู้สึกว่าได้อะไรกลับไปมากกว่าที่เคยเรียนมาหลายปี inspiration ที่ทำให้เราลงหลักสูตรของมหาลัยก็มาจากคุณkrisdaแหละ ต้องขอบคุณด้วยค่ะ :) แต่หลักสูตรที่เราว่า ต้องสอนโดยคณะอักษรนะ ถ้าไปเรียนที่สถาบันภาษาจะเป็นอีกแบบ ลักษณะครูทั้งสองที่ก็จะต่างกันมาก(พูดถึงที่มหาลัยเราที่เดียว) แต่ใช่ว่าหลักสูตรของอักษรจะดีมาก หลายวิชามันไม่เอื้อให้คนเรียนเข้าใจภาษาว่าภาษาไม่ใช่แค่ภาษา แต่มันคือ"ระบบความคิดที่ครอบสังคมเอาไว้" มีอิทธิพลในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้ เหมือนเป็นคอร์สทำให้คนเก่งภาษาอังกฤษแบบเอาไปใช้ในหน้าที่การงาน มากกว่าจะสอนให้เด็กนำไปต่อยอดในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก แก้ไขเมื่อ 29 ก.พ. 51 14:45:53 จากคุณ : ต้องทำบุญด้วยอะไรถึงสวย - [ 29 ก.พ. 51 14:42:20 ]

ความคิดเห็นที่ 43 I want to tell you about my experiences in English class in Thailand... I'm kinda person who always asks "why" to find the reason (and it made me have a lot of trouble in "Thai school world")and I don't like remember things that I don't understand. I used to attend to many famous English school in BKK to learn English. However...I've never met any teacher who can answer some simple questions like "interested in"(as Khun krisdauw mention) or history(or root) of the words that I'm "interested in"   :) Most of instructors answered my questions by Ignoring or said "This is how we use." Moreover, many classmates laughed at me because of these stupid questions and told me not to analyze it  and "just remember it."  Therefore I never had any satisfied answers until I found the teacher who can explain my stupid simple questions and never say "This is how we use, Just remember it." She tried to answer my questions and tough me to analyze English sentences logically. She told me "English is a mixture of Science and Art" However, this is how I learn things , but I understand that people have difference learning method. If they like learning by remember, the normal teaching method is good for them. We just have to find the right method for us. จากคุณ : I thought I would not comment (The journey of Panny) - [ 3 มี.ค. 51 15:10:46 ]