ความคิดเห็นที่ 1 ตามความรู้สึกเราแล้ว ถ้ารู้ Structure แล้ว จะช่วยให้เราเข้าใจประโยคมากขึ้น จากที่ตอนแรกแปลแล้วเป็นภาษาไทยไม่รู้เรื่องเลย พอมาศึกษา Structure แล้วรู้สึกว่ามันแปลได้เป็นภาษาคนมากขึ้น -_-" จากคุณ : NongBua - [ 22 ก.พ. 51 14:20:58 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ไปอ่านกระทู้ที่เราตอบไว้ แล้วคุณจะเข้าใจเป็นลำดับขั้นตอนว่า 1. คำศัพท์ภาษาอังกฤษแต่ละคำมีพฤติกรรมเฉพาะตัว ที่ต้องเรียน... นี่คือ grammar ที่คนไทย "ลืมเรียน" 2. วืธีเรียนทำได้โดย unlearn and relearn ทุกอย่างที่เราเรียนผิดๆ ที่เรียนผิดๆเพราะพวกเราจำศัพท์เป็นคำโดดๆ แต่ให้เปลี่ยนเป็นเรียนให้ถูกต้อง โดยการจำคำศัพท์เป็นกลุ่มคำ ที่เรียกว่า collocations โดยการจำตัวอย่างประโยค ให้มากๆ 3. ขั้นตอนต่อไปคือการนำ clauses ต่างๆมาเชื่อมกัน และการนำประโยคมาเรียบเรียงเป็น paragraphs และเป็นหน้าหลายๆหน้า  (เราใส่ link ให้คุณไปบทเรียนของสถาบันต่างประเทศเรื่องการเขียนด้วย เมื่อคุณตาม link ที่เราให้ไว้ไป คุณก็จะเรียนรู้และเข้าใจในเรื่อง simple, compound and complex sentences) การเรียนรู้ตามลำดับ ทั้ง 3 ขั้นตอนนี้ เราคิดขึ้นค้นขึ้นมาเอง เพื่อช่วยคนไทยให้แก้ไขข้อผิดแบบคนที่ไม่ใช่เจ้าของภาษา (ที่เรียกว่า non-native speaker's errors) ให้หายไปทีละนิด ทีละนิด จนสิ้นซาก เราเสนออะไรดีๆ ที่เราคิดขึ้นได้เอง จากสมองของเราเอง แต่เนื่องจากเราไม่ได้เรียนเอกอังกฤษ เราจึงโดนคนเรียนสูงๆดูถูก หาว่าเราเป็นคนเรียนภาษาอังกฤษแบบ "มวยวัด" ลองตาม link ข้างล่างนี้ไปดู ข้อความที่เราเขียนตอบกระทู้ไว้ว่า น่าจะสอนให้คุณรู้ sentence structures หรือ sentence patterns แบบ down-to-earth (ติดดิน หรือในเชิงปฏิบัติ โดยไม่อวดอ้างทฤษฏีใดๆ) จะได้หรือไม่...??? http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6260270/K6260270.html เมื่อเรียนรู้อะไรแบบ "มวยวัด" แบบนั้นได้แล้ว คุณก็จะสามารถเรียนทักษะทางด้านภาษาได้อีกหลายๆอย่าง ได้ด้วยตนเอง เช่น การแปลเป็นต้น เราอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างที่ว่านั้น จนกระทั่งสอนตัวเองให้เป็นนักแปลได้ (ตอนนี้เราแปลพวกเอกสารภาษากฏหมายอังกฤษ-ไทย และ ไทย-อังกฤษ (บางทีจากการแปลไทยเป็นอังกฤษ กลายเป็นเราร่างสัญญากฎหมายที่รัดกุมเป็นภาษาอังกฤษให้บริษัทมหาชนที่มีชื่อเสียง) และแปลหนังสือราชการพวกงานประมูลจัดซื้อจัดจ้าง เป็นงานหลักของเรา... บางทีเราก็รับเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์) ด้วยความรู้เพียงแค่มัธยมต้นเอง (เราเรียนจบแค่มัธยมต้น จริงๆ) ลองไปอ่านแนวคิดเรื่อง ที่เราเขียนเอาไว้ เรื่องการสอนตัวเองให้เป็นนักแปล  ที่เราต้องเรียนเอง และคิดค้นขั้นตอนในการเรียนรู้ขึ้นมาเอง นั่นก็เพราะว่า เราไม่มีวุฒิการศึกษาสูงพอที่จะไปสมัครเรียนการแปลในมหาลัยได้ ลองตามไปอ่านดูได้ที่ link นี้ และให้กำลังใจกับตัวเองว่า "ภาษาอังกฤษเรียนได้ด้วยตนเอง หากมีความเพียรพยายาม...!!!" อย่าให้คนใจแคบมาขู่คุณให้กลัวได้ว่า "ถ้าไม่เรียนเอกภาษาอังกฤษในมหาลัย แล้วจะไม่เก่งอังกฤษ" ตาม link ข้างล่างนี้ แล้วไปศึกษาดูได้ เรื่องการเรียนการแปลด้วยตนเอง .... http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6332365/K6332365.html แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 08:55:36 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 15:16:17 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 15:13:01 แก้ไขเมื่อ 22 ก.พ. 51 15:09:17 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 22 ก.พ. 51 15:03:58 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ขอบคุณ คุณ tansy (iwrite4u) ให้อะไรที่เป็นประโยชน์กับเรามาก ๆ ในหลาย ๆ เรื่อง เพิ่มเติมจากที่ถามซะอีก เราเป็นคนหนึ่งที่นับถือคนที่เรียนรู้ด้วยตัวเองอย่างมาก ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : NoOk - [ 22 ก.พ. 51 15:42:18 A:125.24.83.248 X: ]

ความคิดเห็นที่ 4 ตอบคุณ Nook ครับ  ผมเห็นเหมือนความคิดที่หนึ่ง ว่าการเรียนโครงสร้างประโยคหรือไวยากรณ์ทำให้เราเข้าใจ(ระบบของ)ภาษามากขึ้นกับ  จะมีผลต่อการอ่าน การผูกประโยคด้วยครับ บางครั้งผมว่าต้องไปเรียนในห้องเรียนน่ะครับ เพราะว่ามันยากที่จะศึกษาเอง  ถ้าได้ระดับหนึ่งแล้วออกมาศึกษาเองได้ครับ ถ้ามีโอกาส ลองไปศึกษาดูพวกรายวิชาในมหาลัยวากยสัมพันธ์อังกฤษ (Englis Syntax or English structure)  จะช่วยได้มากทีเดียวครับ   ยกตัวอย่างง่ายๆ  ถ้าเปิด dictionary คำว่า write จะเห็น write on / write about / write something   ถ้าดูเผินๆ ไม่มีคนแนะนำ อาจจะเห็นว่าเหมือนกัน แต่จริงๆแล้วต่างกันครับ  write something เป็นกริยาที่ตามด้วยกรรมตรง เพราะฉะนั้นมันให้ความหมายว่า ผู้กระทำกริยาเขียนกระทำกริยานี้ต่อกรรมตัวนั้น  (เช่น I write a novel ฉันได้ทำกริยาเขียน และ นิยาย เป็นสิ่งที่ถูกเขียน)   ในขณะเดียวกัน to write on / to write about เป็นกริยาที่ไม่ต้องการกรรม  แต่ว่ามีบุพบท on กับ about เข้ามาเกี่ยว  แต่บุพบทสองตัวเป็นสิ่งที่ต้องการกรรม  เพราะฉะนั้นสิ่งที่จะมาเป็นกรรมจะเป็นของบุพบท on กับ about  เช่น I write about Africa ฉันเขียน "เกี่ยวกับ" อัฟริกา  (สังเกตว่า เมื่อกรรมมาเป็นของบุพบท  จะไม่ได้มีความหมาย "ฉันเขียนแอฟริกา" (ปล. มีอีกกรณีหนึ่ง ที่ ถ้า "อัฟริกา" เป็นชื่อหนังสือ ก็เป็นกรรมตรงได้ เช่น I write "Africa" หรือฉันเขียน(หนังสือ)ชื่อแอฟริกา) แต่ความหมายต่างกันมากทีเดียว เพราะฉะนั้นประโยคนี้ I should write a more serious topic  ถือว่า ผิดไวยากรณ์(และผิด common sense) เพราะว่า more serious topic ไม่สามารถเป็นกรรมตรงได้  มิเช่นนั้นจะให้ความหมายว่า คุณเขียน(คำว่า) a more serious topic (ในกระดาษ)   คือ เขียนแต่คำว่า a more serious topic ไม่ได้เขียนตัวเนือ้หา แต่ถ้าคิดดีๆ คุณต้องเขียน "เกี่ยวกับ" more serious topic  เพราะฉะนั้นต้องใช้บุพท on หรือ about เข้ามาช่วย เป็น I should write on/about more serious topics ถึงจะถูกครับ  (เพราะในสถานการณ์ทั่วๆไป เราคงไม่พูดว่าเราเขียนแค่(คำว่า) more serious topic บนกระดาษครับ  เราต้องเขียน "เนื้อหา" ด้วยครับ เล็กๆน้อยๆอย่างนี้ ต้องใช้ไวยากรณ์เข้าช่วยอธิบายครับ  ต้องมีพื้นแน่นทางไวยากรณ์ก่อน เพราะไปเปิด dictionary อย่างเดียว มันไม่ได้สิ่งเหล่านี้ (คนเขียน dic เค้า assume ว่าเราต้องเข้าใจไวยากรณ์อยู่แล้วไงครับ)   แต่อย่างที่เรียนไว้ข้างต้นของอย่างนี้อาจจะต้องให้ครูมาแนะก่อนแล้วค่อยค้นคว้าต่อ  ไม่อย่างนั้นอาจจะ"มองข้าม"ไปได้อย่างไม่รู้ตัว  และถึงแม้เราเปิดดิคแล้วแน่ใจว่าใช้ได้ (เพราะเรานึกว่า dic บอกว่า write จะใช้ write something / write on/about something ก็ได้  แต่จริงๆไม่เหมือนกัน) แต่ถ้าเราไม่รู้เรื่อง sentence structure เราอาจจะ"ปล่อยไก่" ออกมาทั้งเล้าได้ครับ แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 03:38:44 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 23 ก.พ. 51 03:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 5 จริงๆแล้วสิ่งที่ #4 อธิบายไว้ ใน esl dictionaries มีตัวอย่างประโยคอธิบายให้เราหมด ลองไปดู esl dictionaries 4 เล่มที่เราเอา links มาแปะไว้ให้ ข้างล่างนี้ Cambridge Advanced Learner's Dictionary http://www.dictionary.cambridge.org/ Longman Dictionary of Contemporary English http://pewebdic2.cw.idm.fr/ Oxford Advanced Learner's Dictionary http://www.oup.com/elt/catalogue/teachersites/oald7/?cc=th Collins Cobuilds Advanced Learner's English Dictionary http://eedic.naver.com/ การเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ต้องกลัวว่าจะปล่อยไก่ออกมาทั้งเล้า ... เราจะต้องเรียนแบบต่อยอด คือเหมือนกับของเล่นเด็กที่เขาเรียกว่า building blocks ที่เอามาต่อกันเป็นอาคาร หรือโครงสร้างอะไรต่างๆ นั่นเอง เราจะต้องวางพื้นฐานเอาไว้ให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยๆเรียนในลำดับที่ยากขึ้นไปเรื่อยๆ พื้นฐานแรกก็คือ คำศัพท์ 850 ตำ ง่ายๆ และ คำศัพท์ 2000 คำที่เรียกว่า defining vocabulary นี่คือ link ไปยัง Basic English core vocabulary ที่มีคำศัพท์ 850 คำ http://en.wiktionary.org/wiki/Appendix:Basic_English_word_list และนี่คือ link ไปยัง defining vocabulary ที่มีคำศัพท์ 2000 คำ http://www.cs.utexas.edu/users/kbarker/working_notes/ldoce-vocab.html ก่อนอื่นขอบอกว่า ในการสนทนาเรื่องง่ายๆในชีวิตประจำวันนั้น เรียนแค่ 850 คำที่ว่านี้ได้ ก็พอพูดได้แล้ว และถ้าเรียนครบ 2000 คำ ก็จะเปิด dictionaries อังกฤษเป็นอังกฤษได้แล้ว ซึ่งเป็นการเปิดประตูไปสู่การเรียนรู้ภาษาอังกฤษด้วยตนเองได้ เมื่อผู้เรียนมาสู่ระดับนี้ได้แล้ว เรื่องการการปล่อยไก่ทั้งเล้าเรื่องการใช้คำว่า write แบบที่#4 อธิบายไว้ ก็จะไม่เกิดขึ้น ถึงแม้ว่าผู้เรียนจะเรียนด้วยตนเองก็ตาม (จนถึงขั้นเรียนคำศัพท์ 5000 คำเพื่ออ่านหนังสือยากๆ หรือเรียนเพิ่มเป็นหมื่นๆแสนๆคำก็ได้) เนื่องจากว่า ใครก็ตามที่เรียนรู้ defining vocabulary 2000 คำหมดแล้วนั้น สามารถหาคำอธิบายในเรื่องการใช้คำศัพท์ต่างๆมาสร้างประโยคด้วย structures หรือ patterns ต่างๆได้จาก esl dictionaries "ไม่จำเป็นต้องไปเรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษในมหาลัย" ขอย้ำว่า "ไม่จำเป็นต้องไปเรียนเอกวิชาภาษาอังกฤษในมหาลัย" เพราะอะไร? เหตุผลที่ง่ายๆก็คือว่า ในการเรียนภาษาอังกฤษนั้น ผู้เรียนจะต้องเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใน  English speaking environment เมื่อสมัยก่อน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องไปเรียนในมหาลัย แต่ในยุคนี้ ถ้าใครตามโลกทัน ไม่ดักดาน ก็จะรู้ว่าเป็นโลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน การเดินทางมันง่าย ฝรั่งมาเมืองไทยมากมาย ถนนข้าวสาร เกาะสมุย หาดป่าตอง และแหล่งท่องเที่ยวมีมากมาย คนไทยสามารถไปตามแหล่งท่องเที่ยวเหล่านี้เพื่อฝึก ฟัง และพูด ในชีวิตจริงได้ หรือสามารถใช้ MSN Messenger กับ Netmeeting หาเพื่อนฝรั่งคุยได้ทั่วโลก ใครก็ตามที่ไม่มีโอกาสได้เรียนภาษาอังกฤษในมหาลัย อย่าได้ยอมให้คนเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัยมาพูดจาข่มคุณให้ท้อใจได้เป็นอันขาด มหาลัยชีวิต เป็นมหาลัยที่มีค่าที่สุด คนที่จิตใจเปิดกว้างไม่ด้กดาน จะไม่พยายามพูดว่า "ถ้าคุณไม่เรียนภาษาอังกฤษในมหาลัย คุณจะปล่อยไก่ทั้งเล้า" เราขอรับรองว่า "ไม่เป็นความจริง" แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 21:36:11 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 07:20:02 ]

ความคิดเห็นที่ 6 เราจะแนะนำคนไทยที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษเรื่องการหาเพื่อนฝรั่งคุยทางเน็ต ให้เข้าไปที่เว็บ msn หรือเว็บ yahoo มันจะมี groups หรือ communities แล้วจะมีหัวข้อเรื่องต่างๆที่น่าสนใจให้เลือก พอเราเลือกแล้ว ส่วนใหญ่เขาจะให้เราเป็นสมาชิก โดยที่เราต้องขอให้หัวหน้า group หรือ หัวหน้า community อนุมัติ พอเข้าไปได้แล้ว ทีแรกเราก็คุยกันผ่าน keyboard ก่อน เมื่อรู้จักกันดีพอสมควรแล้ว เราก็ชวนคุยผ่าน msn messenger หรือ netmeeting โดยใช้ไมค์กับหูฟัง ถ้าใช้ adsl internet เสียงจะชัดมากๆเหมือนกับนั่งอยู่ในห้องเดียวกันเลย ถ้าใช้ webcam ก็จะเห็นหน้าค่าตากันด้วย topic หรือหัวข้อเรื่องที่จะเข้าไปคุย ไม่ควรเลือกเรื่อง love, relationship หรือ adult ที่มีเรื่อง sex (groups หรือ communities พวกนี้ไม่มีการเซ็นเซอร์) เพราะบางทีจะมีการเลือกที่รักมักที่ชัง มีการเหยียดผิวกัน topic หรือหัวข้อเรื่องที่ควรเลือกคือ "การท่องเที่ยว" ถ้าเลือกท่องเที่ยวไทย คุณจะได้รู้จักกับฝรั่งที่อยากมาท่องเที่ยวไทย และจะคุยกันได้นาน และคุณจะมีเพื่อนต่างชาติดีๆมากมาย..... จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 07:30:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เรียนคนเดียวมันเหงาก็จริง  แต่บางครั้งคนเราก็ต้องการอยู่คนเดียวคิดคนเดียว เรียนด้วยกันหลายคนมันกระตุ้นความรู้สึกสัมผัสหูตาสมองและหัวใจ หลีกพ้นจากการคิดการทำคนเดียว แง่เดียวมุมเดียว   มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งหนึ่ง(เน้นนะว่าแหล่งหนึ่งไม่ใช่แหล่งเดียว) ที่เขาเสนอสถานที่และสิ่งแวดล้อมเหล่านี้ให้คนที่ต้องการ สรุปสำหรับอิชั้น  อิชั้นต้องการทั้งสองอย่าง จากคุณ : akebi1 - [ 23 ก.พ. 51 07:37:54 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เรื่องเรียนภาษาอังกฤษ ที่แรกเราก็ไม่ค่อยสนใจหรอก แต่เมื่อมาเล่นเน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บ pantip เราเห็นคนสนใจเรียนภาษาอังกฤษกันมาก เราก็เลยค้นคว้าหาวิธีเรียนใหม่ๆที่จะเรียนภาษาอังกฤษมาได้มากมาย ... และในโลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน คนที่ชอบท่องเน็ตแบบเรา ไปค้นพบขุมทรัพย์ในการเรียนภาษาอังกฤษนอกมหาลัยมากมาย  เราคิดจะเขียนหนังสือเปิดเผยวิธีการที่เราเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง ที่เราเรียนจากมหาลัยชีวิต เอาไปพิมพ์ขาย เพราะเห็นครูเคทเขียนหนังสือเรื่องเรียนภาษาอังกฤษแล้วร่ำรวย แต่ตอนแรกๆก็ติดขัด เพราะว่าเราติดต่อสำนักพิมพ์ไม่ค่อยจะสำเร็จ ก็เลยลืมๆเรื่องนี้ไปพลางๆก่อน และบางที (เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว) ตอนกินเบียร์หรือ wine ม้นๆ ได้ที่ก็เขียนบทเรียนภาษาอังกฤษบน pantip เล่นๆ แบบลูกทุ่ง ลูกทุ่ง หรือแบบที่ใครบางคนดูถูกเราว่า "มวยวัด" แต่ก็มีผู้คนสนใจอ่านกันมากจน vote ให้เป็นกระทู้แนะนำ แต่ในช่วงนี้นะ เรามีงานยุ่งมากๆเลย เป็นงานแปลเอกสารกฏหมายยากๆ (บางทีต้องร่างสัญญากฎหมายให้ลูกค้า) หรืองานแปลพวก PR (เช่น press release)  หรือแปลหนังสือราชการ (แปลเอกสารงานประมูลจัดซื้อจัดจ้างซึ่งเป็นงานที่เราถนัดมากๆ)  แต่เผอิญโชคดี คือว่า เราติดต่อสำนักพิมพ์ได้ 3-4 แห่ง  แห่งหนึ่งเรารับจ้างเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้เขา อีกแห่งหนึ่งเราแปลหนังสือให้เขา (ใช้นามปากกา) อีกแห่งหนึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์เป็นเพื่อนสนิทกับเพื่อนสนิทของเรา อีกแห่งหนึ่งบรรณาธิการบริหารเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคยกัน เคยทำงานโครงการแปลหนังสือนักสืบด้วยกัน  บรรดา contacts หรือ knowwho เหล่านี้ที่จะช่วย knowhow ของเรา ให้บรรลุเป้าหมายได้ไวๆ น่าจะช่วยให้เราตีพิมพ์หนังสือที่แนะนำคนไทยเรื่องเรียนภาษาอังกฤษ หนังสือของเราจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของหนังสือครูเคทได้   แต่พอจะเริ่มเขียนนะ ก็มีงานแปลราคาแพงๆเข้ามาแซงคิว จะไม่ทำก็เสียดายเงินที่น่าจะได้ ตอนนี้เพิ่งเคลียร์งานแปลเอกสารไป กำลังจะเริ่มเขียนหนังสือแนะนำคนไทยวิธีการเรียนภาษาอังกฤษแบบมวยวัดนอกมหาลัย และที่ขำก็คือ เมื่อคืนนี้คุยกับเพื่อนร่วมงาน เรื่องทะเลาะกับคนดักดานในกระทู้ในเรื่องที่ว่า ใครบางคนยืนกระต่ายขาเดียวแบบดักดาน จิตใจคับแคบมากๆ เพราะชอบพูดว่า "เรียนภาษาอังกฤษจะให้เก่งต้องเรียนในมหาลัยลูกเดียวเขียวลูกพ่อ" เราพูดกับเพื่อนเราว่า "เราจะสอนภาษาอังกฤษฟรีแมร่งบนเว็บ pantip เสียเลย เพื่อเอาชนะใจคนดู แล้วให้ไอ้หมอนั่นมันเลิกจิตใจคับแคบ และเลิกดักดาน" แต่เพื่อนเราเตือนเรา (เป็นครั้งที่ 2) ว่า "ข้อมูลดีๆ อย่าไปปล่อยบนเว็บหมด ให้เก็บไปเขียนหนังสือ หาเงินเข้ากระเป๋า จะดีกว่านะ" ก็เลยตอนนี้นะ ในขณะที่กำลังนั่งดื่ม wine ฉลองที่เพิ่งแปลงานเสร็จ กำลังบริกรรมว่า "จะเอาอย่างไรดีหว่า....???!!!" แต่ก่อนที่จะจากกระทู้นี้ไป เราขอให้กำลังใจคนที่ลังเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองว่า อย่าได้ท้อใจ ถ้าคุณเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง อย่ายอมให้ใครมาดูถูกคุณว่า "ถ้าไม่เรียนเอกอังกฤษในมหาลัย แล้วคุณจะไม่เก่ง" จากประสบการณ์ชีวิตจริงหลายสิบปีของเรา เราขอยืนยันได้เลยว่า "มันไม่จริง" แต่ความจริง มันก็คือว่า "มหาลัยชีวิตเป็นแหล่งเรียนรู้ที่ดีที่สุดของมวลมนุษย์" แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 08:10:27 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 08:07:22 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 07:58:45 ]

ความคิดเห็นที่ 9 หมายเหตุ เราตอบกระทู้นี้เพื่อให้กำลังใจคนไทยทั้งประเทศที่กำลังเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง โปรดช่วยๆกันมาให้กำลังใจคนพวกนี้กันดีกว่า อย่ายอมให้คนเรียนภาษาอังกฤษในมหาลัย (บางคน แต่ไม่ทุกคน) ได้ (ใช้ความคิดแบบจิตใจคับแคบและดักดาน เพราะไม่รู้ว่าโลกนี้มีการสื่อสารไร้พรมแดน) มาคุยโวทับถมคนเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ให้พวกเขาได้ท้อใจเลย พวกเราหลายๆคน โปรดช่วยๆกันมาลงชื่อสนับสนุน และให้กำลังใจแก่ทุกคนที่กำลังพยายามเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองกัน จะดีกว่านะ....เราขอเอาใจช่วย จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 08:15:05 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณทุกความเห็นอีกครั้งค่ะ อ่านความคิดเห็นของทุกคนแล้วในมุมมองใหม่ ๆ หลาย ๆ อย่าง นุกเองที่ก้อเป็นคนนึงที่คิดว่า Vocabulary ก้อสำคัญแต่การเรียนโครงสร้างประโยค มันก้อเป็นส่วนนึงที่สามารถนำเอาการรู้ Vocabulary มา apply ใช้ให้มันเกิดประโยชน์ทั้ง 4 Skills (ฟัง, พูด, อ่าน, เขียน) เพราะถ้ารู้ศัพท์เยอะแต่ขาดความเข้าใจในเรื่องโครงสร้างมันก้อน่าจะมีผลต่อที่จะทำให้ความเข้าใจและการใช้ทักษะทั้ง 4 ยังไม่ดีนัก (ความคิดเห็นของนุกนะคะ) เช่น อ่านหนังสือแล้วเจอประโยคที่มีการขยายความเยอะ ๆ มี clause เยอะ ๆ ก้อเริ่มงง ๆ เหมือนกันค่ะ พอได้มาเริ่มเข้าใจ Sentence Structure บ้าง ก้อมีความเข้าใจในการอ่านเพิ่มขึ้นว่าตรงนี้ขยายตรงนี้นะ ตรงนี้เป็นแบบนี้ ก้อช่วยได้เยอะเลยค่ะ พูดถึงเรื่องเรียน ส่วนใหญ่นุกก้อเป็นพวกเรียนแบบ Internal ค่ะ คือชอบที่จะเรียนคนเดียวทำงานคนเดียวหมายถึงตามลักษณะนิสัยด้วยนะคะ คิดว่าในบางเรื่องการเรียนแบบนั้นจะทำได้ดีกว่า แต่บางครั้งการเรียนแบบ External ก้อดีตรงที่เราได้แชร์และได้ฝึกฝนกับคนอื่น ๆ ค่ะ คิดว่ายังไงคนเราก้อต้องการทั้งสองอย่างทั้งการหาความรู้ด้วยตัวเอง และการปฏิสัมพันธ์กับคนอื่นเพื่อฝึกฝนและแลกเปลี่ยนความรู้ค่ะ ฉะนั้น ทั้งคนที่พยายามเรียนด้วยตัวเอง และคนที่เรียนจากมหาวิทยาลัยคงต้องเปิดใจยอมรับกันและกันนะคะ ไม่มีใครรู้อะไรไปซะทุกอย่าง ไม่อย่างนั้นคงไม่เกิดชุมชนแห่งนี้ขึ้นมาเพื่อให้ทุก ๆ คนที่มีน้ำใจต่อเพื่อน ๆ คนอื่นมาแลกเปลี่ยนหรือให้ความรู้ความคิดเห็นกันใช่มั้ยค่ะ รักกันๆๆๆ นะคะ ขอบคุณมาก ๆ ค่ะ จากคุณ : NoOk - [ 23 ก.พ. 51 10:09:44 A:125.24.93.197 X: ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามาอ่าน #4 แบบงงงงนิดหน่อย ถ้า I write a novel ถือว่าถูกต้อง I should write a more serious topic ก็ไม่น่าผิดไวยากรณ์และสามัญสำนึกนี่ครับ ถ้าลองเทียบ I write a novel กับ I write about a novel ก็เห็นได้ง่ายๆว่าความหมายของ write กับ write about มันต่างกัน I should write a more serious topic ถ้าจะตีความว่ามันผิด ก็เห็นจะผิดที่คำว่า topic เพราะ topic = a subject which is discussed, written about or studied ที่ว่ามันไม่น่าผิดไวยากรณ์ก็เพราะว่า ถ้าเปลี่ยนแค่คำว่า topic เป็น novel (I should write a more serious novel) มันก็ make perfect sense นะ จากคุณ : รบร้อยครั้ง พักกินน้ำสองครั้ง - [ 23 ก.พ. 51 10:44:04 ]

ความคิดเห็นที่ 12 ตอบคุณ รบร้อยครั้ง ฯ ครับ เป็นความผิดของผมเองครับ  จริงๆไม่ผิดไวยากรณ์ คือ เขียนน่ะเขียนได้ (I should write a more serious topic)  แต่ว่าอย่างที่ผมวงเล็บไว้ มันผิด common sense เพราะว่าอย่างที่คุณกล่าวไว้ topic มันเเปลว่า หัวข้อ, subject, etc   เพราะฉะนั้นถ้าเขียนอย่างนี้ จะแปลว่า "ฉันควรจะเขียน(คำว่า) more serious topic"   เพราะว่าจริงๆแล้ว common sense (หรือ sense ที่เราให้ส่วนใหญ่) มันน่าจะเป็นการเขียน "เกี่ยวกับ" topic  ใช่ป่ะครับ  แทนที่จะเป็น "เขียนตัวหัวข้อ" (เช่น เขียนหัวข้อว่า "My Childhood Experience" ลงไปบนกระดาษ) ลองทดสอบดูก็ได้ครับ  โดยการใช้ corpus (ถ้าไม่มีก็ใช้ google หรือ yahoo ดู ซึ่งก็ถือเป็น corpus ชนิดหนึ่ง) search วลี "write a topic" หรือ "write a more serious topic" จะไม่แสดงผลออกมา หรือ ถ้าได้ผลออกมา ก็ได้ออกมาเช่นตัวอย่างนี้ In clustering, you write a topic in the center of a page หรือ write a topic and words associated with that topic ซึ่งก็แปลว่า "คุณเขียน(ชื่อ) topic ลงไปตรงกลางหน้า"  และ "เขียนชื่อ topic และคำต่างๆที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆ" ซึ่งมันเป็น sense ที่เราใช้ไม่มากนัก (นอกจากจะมาคุยกันเกี่ยวกับวิธีการเขียนรายงาน เรียงความ ฯลฯ ผมเลยบอกว่าผิด common sense...) แต่ถ้า search วลี "write about (หรือ on) more serious topics" จะได้ผลออกมาเต็มไปหมด   เพราะฉะนั้นที่ผมบอกว่าผิดไวยากรณ์(และผิด common sense) คือใน sense ทั่วๆไป เราจะพูดว่า เขียน "เกี่ยวกับ" topic ไงครับ   ถ้าคุณลองไปตาม link ที่ #2 ให้ ซึ่งเป็นกระทู้ที่มีท่านสมาชิกมาให้แก้ไวยากรณ์ ซึ่งของเดิมของสมาชิกท่านนั้น (คุณ newbie) เค้าเขียนมาว่า "I ask myself whether I should write about serious topic" (ซึ่งเกือบถูกแล้วล่ะ ถ้าเป็น asked และทำให้เป็นพหูพจน์ซะ serious topics)  แต่มีท่านหนึ่งแก้(ของที่เกือบถูก)ให้เป็น I asked myself whether I should write a more serious topic. แถมไปบอกผู้เขียนด้วยนะครับว่า ผิดตรง about.....(เฮ้อ....) ซึ่งจริงๆมันคนละเรื่องเลย เพราะถ้าพิจารณาจากสิ่งที่คนมาให้แก้ต้องการจะสื่อ (และพิจารณาจาก common sense ที่ว่าปรกติเราใช้ sense ไหนมากกว่า) มันน่าจะเป็น I asked myself whether I should write about more serious topics ใช่ไหมครับ สิ่งที่ท่านนั้นแนะนำ (ปล่อยไก่??) (นั่นคือให้เขียนเป็น I should write a more serious topic) มันผิด sense ที่ใช้ของเจ้าของประโยคดั้งเดิม (ดังนั้นผมเลยพูดรวบรัดเอาว่ามันไม่ถูกไวยากรณ์สำหรับสื่อความ sense  นี้ (เพราะท่านนั้นอาจจะไม่ทราบความแตกต่างก็เป็นได้) ลิงค์อ้างอิง http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6260270/K6260270.html เพิ่มเติม link และแก้ไขตัวสะกด แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 11:53:18 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 11:47:28 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 11:33:57 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 11:31:25 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 23 ก.พ. 51 11:26:52 ]

ความคิดเห็นที่ 13 แหมตามจิกตามกัดกันทุกกระทู้ดีจริงๆนะเนี่ย ถ้าคนที่เรียนภาษาอังกฤษจบปริญญาเอกอย่างท่านtexasprofessor (krisdauw) สามารถเขียนข้อความข่มขู่ให้คนที่เรียนจบแค่มัธยมต้นเราหน้าแหกได้เรื่องการใช้ภาษาอังกฤษผิดๆนะ มันคงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจไม่น้อยเลยสินะ ทั่นtexasprofessor (krisdauw)  น่าจะเอาวีรกรรมของทั่นไป write topics (about การปราบคนเรียนจบแค่มัธยมต้นเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษบนเว็บ pantip นะ) ใน research paper ของทั่นนะ ....มันช่างน่าภาคภูมิใจเสียเหลือเกิ้น.....ก๊ากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ........ เรามาปลุกระดมให้คนเรียนภาษาอังกฤษแบบมวยวัด แบบเราทั้งหลาย ว่า "ไม่ต้องกลัวปล่อยไก่" เพราะถ้าเรา "ปล่อยไก" นะ คนอื่นก็ปล่อยไก่ด้วยกับเรา ก็มี อย่างเช่นฝรั่งคนนี้รับจ้าง write articles ไม่รู้ว่าเขาปล่อยไก่หรือเปล่านะ....??? เพราะเขาเขียนว่า I will write topics for anyone that needs them for tournaments etc... แล้วก็เขียนว่า I do expect a fee, as topics are not easy things to write, and take me time to write. อย่าคร่ำเครียดอยากจะเอาชนะมากนักนะ ทั่นprofessฉลาด...(เลื่อนตำแหน่งให้เพื่อเป็น consolation prize) เพราะว่าเด๋วจะเป็นโรคกระเพาะตายหรือเป็นกามตายด้านก่อนวัยอันควร....เด๋วจะหาว่าไม่เตือน...อิๆๆๆๆ.... เอ้าคัดข้อความมาเต็มๆ เอามาแปะให้ดูกันเล่นๆ...สบายๆใจกัน Extemp Online Topic Writing ARE YOU IN NEED OF TOPICS??? I specialize in made to order topics! I will write topics for anyone that needs them for tournaments etc... I do ask for 2 weeks notice at least. Please e-mail me with the following information: 1.) The number of topics needed (generally, with 8 speakers per section about 12 topics per round or so). 2.) How you would like them divided up (Domestic, foreign, domestic econ, foreign econ, domestic social, domestic political... etc) 3.) What restrictions you have on the topic sources (if they can only come from "Time", "Newsweeek", and "US News", or if I can also use the "Economist" or other periodicals.) 4.) When you need them by (Please, give me at least two weeks or more) I do expect a fee, as topics are not easy things to write, and take me time to write. This fee is negotiable depending on the number of topics, sources, and time given to write. Generally 100 topics will cost 40 dollars depending on sources, time, and other factors. Please e-mail me with questions. Thank You! I will soon have some sample topics on this page. Copyright 2006: Alex M. Rosenleaf and Extemp Online All Rights Reserved เอามาจากเว็บนี้ http://www.angelfire.com/al/extemponline/topics.html แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 16:40:45 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 16:38:50 ]

ความคิดเห็นที่ 17 เราพยายามแปะข้อความที่มีคนใช้ write a topic กับ write topics หาเจอเยอะพอสมควร แต่โดนกรองคำ และโดนลบไปหลายครั้งแล้ว แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 18:15:56 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 18:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 18 เอ้าลองใหม่ดิ เอ้าหาคนที่ปล่อยไก่มาทั้งเล้ามาเป็นเพื่อนเราได้มากพอสมควรเลยอ้ะ 2.Try to be brief and clear.DON'T write a topic which you don't know by yourself. 10.DON'T submit the same topic to more than one ezine in the same week. มาจากเว็บนี้ http://www.webmasters-central.com/wp/ep/articles.shtml ********************************************************* Writers may choose to write a topic of their choice (approved by the literary editor) or may select from a list of suggested topics. มาจากเว็บนี้ http://asu.thetriplehelix.org/Write_for_TTH/ ********************************************************* In this workshop, you’ll learn to write topics that are easy to follow online, construct the types of topics in a typical help system, and structure information for online branching. You’ll also learn about more advanced topic construction, integrating words and graphics, rewriting topics for online use, and indexing strategies. มาจากเว็บนี้ http://www.workwrite.com/writing_help.htm ********************************************************* จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 18:17:39 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ตอนนี้เรารู้แล้ว ระบบ pantip มันกรองคำว่า blogsp0t (เราใส่ 0(ศูนย์) แทน o (อักษรโอ)) เลยลองแปะใหม่ดูนะ มีคนเขียนประโยคแบบนี้ด้วย I mean its easy to write topics which can sell at least 4000 copies. หมายเหตุ จริงๆแล้วเขาสะกดผิด มันน่าจะเป็น I mean it's easy to write topics which can sell at least 4000 copies. มาจากเว็บนี้ http://computerauthor.blogsp0t.com/2006_11_01_archive.html ถ้าจะตาม link ไปอ่านดู click ที่ link ไม่ไป ต้อง copy ไปวางที่ไหนก่อน แล้วแก้ 0 (ศูนย์) ให้เป็น o (อักษรโอ) เสียก่อน แล้วจึง copy link ใหม่แล้วไปวางในช่องของ Internet Explorer แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 19:39:25 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 18:24:32 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 18:22:09 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เอ่อ ...คราวนี้ไม่โดนลบแล้ว ใช่สิ ระบบ pantip มันกรองคำๆนั้นจริงๆด้วยดิ แล้วเผอิญมันก็เป็นตัวอย่างที่น่าสนใจมากที่สุดด้วยเลยดิ นั่นก็เพราะว่าตัวอย่างประโยคใน คคห 19 คือ I mean its easy to write topics which can sell at least 4000 copies. หมายเหตุ จริงๆแล้วเขาสะกดผิด มันน่าจะเป็น I mean it's easy to write topics which can sell at least 4000 copies. ในบริบทนี้ คนเขียนเขาใช้คำว่า "topics" ในความหมายว่า "books" นั่นเอง ซึ่งถึงจะใช้ "ไม่" in the strict sense แต่มันก็น่าที่จะอนุโลมให้ได้ ก็ภาษาคนนี่นา มันก็ต้องมีแบบนี้บ้างหละ...มิน่าล่ะในกระทู้เดิมทั่นprofessฉลาด (เอ้าเลื่อนยศให้แล้วนะ อย่าโกรธกันนะ ...555+++...) จึงไปพูดจาดูถูกคนตั้งหลายอาชีพแน่ ทำนองว่า นักแปลกับนักเขียน ทำงานกิ๊กๆก๊อกๆ นั่นก็เพราะว่านิยายพวก bestsellers ส่วนใหญ่ฝรั่งนักเขียนก็เขียนแบบ  "ไม่"in the strict sense ภาษามันถึงสวยงามน่าสนใจยังไงล่ะ ซึ่งก็คล้ายๆกับในกระทู้ที่ทั่น professฉลาด (เอ้าเลื่อนยศให้แล้วนะ อย่าโกรธกันนะ ...555+++...) ตามจิกเราเรื่อง topic นั่นแหละ เราก็รู้ว่า มันใช้กับคำว่า about ก็ได้ แต่ส่วนใหญ่เขามักจะเขียนว่า topic about Thailand หรืออะไรในโครงสร้างทำนองนี้ ...มันก็คงคล้ายกับที่ทั่นprofessฉลาด (เอ้าเลื่อนยศให้แล้วนะ อย่าโกรธกันนะ ...555+++...)แก้ต่างในกระทู้เดิมนั่นแหละ ตอนที่ทั่นบอกว่า computer mouse ถ้าเป็น plural เป็น computer mouses และเราตอบว่าเราเห็นมีคนใช้ computer mice ก็ได้ (ที่เรารู้เพราะว่าเราแปลงาน computer บ่อย) และที่เราใช้ write a serious topic นั้นมันเป็นเพราะเราคิดว่า จขกท เขาตั้งใจที่จะพูดว่า article เราจึงใช้คำศัพท์แบบ "ไม่" in the strict sense คล้ายๆกับที่มีคนใช้คำแบบ "ไม่" in the strict sense คือ I mean its easy to write topics which can sell at least 4000 copies. ตามที่ยกตัวอย่างมาให้ดูแล้วใน คคห 19 นั่นเอง ซึ่งจริงๆแล้ว ในกระทู้เดิมนั้น เราน่าจะแก้ topic เป็น article ให้เป็นใช้คำ in the strict sense ไปเสียเลย จะได้ไม่มีปัญหา แต่เรากำลังแปลเอกสารยากๆตอนดึกๆอยู่ แล้วก็ตาลายมากๆ บางทีเราเข้ามาตอบกระทู้คลายเครียด แต่ถ้าช่วยเหลือใครได้บ้างก็ช่วยเหลือนิดหน่อย เราก็ตอบแบบชาวบ้านๆธรรมดาๆ แบบ down-to-earth ให้เข้าใจง่ายๆ และเราก็คิดว่า การใช้คำที่ "ไม่" in the strict sense นะ มันก็ไม่ได้เป็น serious error จนถึงจะต้องตามมาจิกมากัดกันเรื่อง grammar เรื่องอะไรยากๆจนน่าเวียนหัว ทั้งๆที่เรื่องแต่ละเรื่องที่คนตามจิกตามกัดพูดนะ เป็นเรื่องว่า "ต้องไปเรียนเอกอังกฤษในมหาลัยหมดเลย" แล้วก็พูดแต่เรื่องโอ้อวดว่ารู้ทฤษฎีหรือ grammar ยากๆ แต่ไม่เคยได้ช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ผู้ใด ในเรื่องง่ายๆในระดับพื้นฐานในเชิงปฏิบัติง่ายๆ ให้ไปกระทำได้ง่ายๆ เอาเสียเลย ...จนกระทั่ง จนกระทั่งอะไรรู้ไหม? "จนกระทั่งทำให้คนที่พยายามเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง แบบที่เราเรียนแบบมวยวัด (แบบที่ทั่นprofessเซ่อ...เอ้ยฉลาด...(โทษทีลืมไปว่าเลื่อนยศแล้ว...อิๆๆๆ) ตราหน้าเราไว้ในกระทู้เดิมนั่นหละ) อีกตั้งหลายๆคนทั้ง pantip น่ะ ต่างก็ขยาดกลัวที่จะเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองไปกันตามๆกัน" เราขอให้กำลังใจคนอื่นๆใหม่อีกว่า "ใครก็ตามที่เข้ามาอ่าน และกำลังพยายามเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองนั้น ต้องไม่กลัวที่จะใช้ภาษาอังกฤษผิดๆ อย่ากลัวจนถึงกับ "ไม่กล้าพูด" "ไม่กล้าเขียน" ...เราสามารถเรียนรู้จากข้อผิดพลาดได้ในชีวิตจริง...อย่าไปยอมให้คำพูดของใครบางคนมาบ่อนทำลาย ให้คุณต้องเกรงกลัวหรือย่นย่อท้อใจได้เป็นอันขาด...นะ" แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 19:39:52 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 19:31:29 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 19:28:59 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 19:03:37 แก้ไขเมื่อ 23 ก.พ. 51 18:58:07 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 23 ก.พ. 51 18:54:14 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ^ ^ ^ ^ เฮ้อ ทำไมคนเราต้องเอาสีข้างเข้าถูกด้วยหว่า และ/หรือ อ่านภาษาอังกฤษไม่แตก 1) write a topic/ write topics ใช้ได้ แต่ว่ามันมีความหมายต่างไป (ต่างไปอย่างไรไปดูความเห็นที่ 12 ของผม) แน่นอน ประโยคจากเวปในความเห็น 13 ประโยคต่อไปนี้ใช้ได้ (แต่ความหมายต่างไป) I will write topics for anyone that needs them for tournaments etc... เค้าใช้ write topics เพราะเค้าจะเขียนให้แค่ "หัวข้อ" สำหรับคนที่ต้องการ (แต่เค้าไม่เขียนมากไปกว่า topics คือ เค้าไม่เขียน "เกี่ยวกับ" topic) ทำไมอ่ะครับ แค่นี้แปลไม่ออกเหรอ...ว่าเค้าเป็นนักคิดหรือนักเขียน"หัวข้อ"เท่านั้น (นั่นคือ He can come up with cool topics for other people as it's what he does for a living, but he doesn't write ABOUT those topics for people) เฮ้อ คนเราหนอ อ่านยังไม่ออกเลย... ตัวอย่างอื่นๆในเวปไซต์ที่คุณยกมาก็เหมือนกัน ปล แล้วไอ้ sense นี้ มันเกี่ยวกับที่คุณไปแก้ของคุณ newbie ที่เกือบถูกให้มันผิด ตรงไหนว่าเพราะเห็นชัดๆว่าเค้าใช้ใน sense ที่ต่างไปทั้งดูจากบริบท และพิจารณาจา sense ที่มัน common กว่า คือ เขียน "เกี่ยวกับ" topic (แถมไปตัด about ของคุณ newbie เค้าออกด้วยนะ แล้วไปหาว่าเค้าผิด เฮ้อ...) 2) เป็นที่ทราบกันดีทั่วไปในหมู่คนที่ใช้ corpus หรือเรียน corpus linguistics ว่า corpus บางชนิด (เช่น yahoo, google) นั้น ต้อง"ระวัง"มากกว่า professional corpus/corpora เช่น Helsinki corpus, Cobuild Corpus, BBC corpus เพราะว่า yahoo กับ google นั้นรวมตัวอย่างของ non-native speakers (ซึ่งหลายๆคนทำความผิดไวยากรณ์ที่เหมือนคุณ tansy เพราะฉะนั้นเราต้องดูว่าเวปนั้นๆเขียนโดยใคร ใช่เจ้าของภาษาหรือเปล่า (ตัวอย่าง non-native web ที่คุณ tansy ยกมาอ้างโดยไม่ได้พิจารณา หรือไม่ทราบว่าต้องพิจารณาคือ webmaster-central.com กับ computerauthor.blogsp ความเห็นที่สิบแปด) ถ้าเข้าไปพิจารณา จะเห็นว่าสองเวปนี้มีความผิดแบบ non-native เต็มไปหมด สรุปว่า ใช้ไม่ได้ สุดท้าย เป็นที่รู้ๆกันในหมู่ผู้ที่ใช้ corpus ในการทำวิจัยว่า ถ้าผลการค้นหาไม่ yield ออกมาใน top 50 results (แต่ต้องไป"ควานหา"สุดหล้าฟ้าเขียว) แสดงว่ามีอะไรผิดปรกติกับคำตั้งต้น (ซึ่งเค้าเรียกว่า lemma) อาจจะเป็นเพราะคำนั้นใช้ใน sense ที่ต่างไปและไม่ใช่ common sense (มันเลยมีตัวอย่างน้อย) อาจจะเป็นเพราะเป็น dialectal differencs อาจจะเป็นเพราะมี non-native errors หลงรอดเข้ามา เฮ้อ...นี่แหละน้าของแบบนี้มันต้องลองไปเรียนดูก่อน แล้วค่อยมาลงมือเอง มิเช่นนั้น...จะ"ปล่อยไก่" ได้ทั้งเล้า...เพราะว่าเวลาไปเรียนนอกจากเค้าจะสอนวิธีการ search จาก lemma ต่างๆ เรายัง(อาจจะ)ได้ corpus ที่ reliable กลับบ้านจากอาจารย์ (หรือว่าบางมหาลัยอาจจะเป็นสมาชิก) ซึ่งค่าสมาชิกแพงโขอยู่ สรุปให้ชัดๆ สำหรับคุณ tansy ถ้าจะ"ลอง"ใช้ corpus ต้องสังวรณ์ไว้ว่า 1) search ต้อง yield ภายใน 50 ตัวอย่างแรก 2) ต้องดูว่า corpus ของคุณมันอะไร ถ้าเป็น google หรือ yahoo ต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจมี non-native results ปะปน ซึ่งต้องค้ดกรองออก 3) ถ้าอยากได้ professional corpus ก็ลองไปลงเรียน corpus linguistics ที่จุฬามีสอน ปล 2 ยิ่งออกมาแก้ต่างก็ยิ่งผิดมากขึ้นนะครับ ผิดก็คือผิด ไม่เห็นแปลกตรงไหน แต่ก็ยอมรับว่าผิด ก็แค่นั้นแล้วเอาไปพัฒนาต่อไป... แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 10:03:28 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 24 ก.พ. 51 05:59:49 ]

ความคิดเห็นที่ 24 เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : pokemon trainer - [ 24 ก.พ. 51 13:38:19 A:118.174.150.101 X: TicketID:000119 ]

ความคิดเห็นที่ 25 จริงๆแล้วมันก็แล้วแต่ใครจะตีความเข้าข้างตัวเองหรือไม่เท่านั้นเอง เนื่องจากกระทู้ที่คุณ Tom Cruise หรือคุณ Newbie เขียนตั้งแต่แรก มันก็สั้นพอที่จะเรียกว่าเป็น topic ที่จะ write ได้เหมือนกัน ในขณะที่ topics ของคนที่รับจ้างเขียนให้คน ที่เขาพูดว่า I will write topics for anyone that needs them for tournaments etc... แต่ละ topic มันก็อาจยาวกว่าของ คุณ Tom Cruise หรือคุณ Newbie ก็ได้เช่นกัน และข้อความนี้ ที่เราแปะไว้ใน คคห 18 เราว่าน่าจะเป็น native speaker เขียนนะ คือ 2.Try to be brief and clear.DON'T write a topic which you don't know by yourself. 10.DON'T submit the same topic to more than one ezine in the same week. มาจากเว็บนี้ http://www.webmasters-central.com/wp/ep/articles.shtml และ topic ในที่นี้เขาหมายถึง article หรือ story "อย่างแน่นอน"...เพราะเขาชวนให้คนเขียน stories ไปลง ezines นั่นเอง... ดั้งนั้น ระหว่างคุณ ใครจะผิดจะถูกอย่างไรก็ตาม... แต่การที่เรา argue ว่าน่าจะอนุโลมได้ว่าเป็นการใช้คำศัพท์แบบ "ไม่" in the strict sense นะ ซึ่งมันไม่ถึงกับ เป็น serious error นะ แต่ถ้าใครคิดว่า มันเป็น serious error ที่จะต้องมาตามจิกตามกัดกันนะ... มันก็ยังไม่สามารถสรุปได้อยู่ดีหรอกว่า "คนทุกคนที่เรียนภาษาอังกฤษเป็นภาษาที่สอง จะต้องเรียนเอกอังกฤษจากมหาลัยกันทุกคนจึงจะเก่งได้" เนื่องจากเรามั่นใจอย่างแน่นอนว่า คุณtexasprofessor (krisdauw) ถึงจะเรียนจบปริญญาเอกทางด้านภาษาอังกฤษมา ก็ยังจะต้องมีผิดพลาดแบบ non-native speaker's errors อยู่บ้างพอสมควร...คุณไม่ถึงระดับเทวดาอย่างที่อวดโอ้หรอกน่ะ... ตรรกะที่ถูกต้องคือ คนไทยเรียนเอกอังกฤษในมหาลัย เก่ง มี คนไทยเรียนเอกอังกฤษในมหาลัย ไม่เก่ง มี คนไทยไม่เรียนเอกอังกฤษในมหาลัย เก่ง มี คนไทยไม่เรียนเอกอังกฤษในมหาลัย ไม่เก่ง มี เรียนภาษาอังกฤษ มันไม่ได้ serious ขนาดเรียนแพทย์ที่ต้องใช้เครื่องมือและอุปกรณ์แพงๆ หรือจะต้องมีศพมาผ่า ที่นักศึกษาต้องพึ่งมหาลัยเสมอไป....แต่แหล่งเรียนรู้ภาษาอังกฤษในชีวิตจริงนอกมหาลัย มีมากมายถมเถไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโลกยุคการสื่อสารที่ไร้พรมแดนเช่นนี้   ดังนั้น ผู้ที่เรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเองเพราะความจำเป็นบังคับ หรือเพราะความสมัครใจ จึงไม่สมควรที่จะต้องตกใจขวัญเสีย เมื่อโดนคุณtexasprofessor (krisdauw) ขู่เอา "ฟอดๆ" ว่า "ต้องเรียนเอกอังกฤษในมหาลัยลูกเดียว ม่ายงั้นไม่เก่ง" หรือ ขู่ด้วยหลักวิชาการว่า "ตรงนั้นก็ผิด grammar ตรงนี้ก็ผิด syntax หรือผิดหลักการ หรือผิดทฤษฎีบ้าบอคอแตกอะไร" ที่น่าเกรงขามทั้งหลายแหล่นะ ...เราว่าอะนะ "เราอยากพูดจาให้กำลังใจคนที่ต้องเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง ให้ทำตัวสบายๆ แล้วเรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเองต่อไปเรื่อยๆ ผิดก็เรียนจากข้อผิดพลาดของตัวเอง มันก็จะผิดน้อยลง..." ไอ้ใครจะเก่งมากเก่งน้อยแค่ไหนนั้น มันขึ้นอยู่กับว่าสนใจมากน้อยแค่ไหนโดยเป็นการส่วนตัวเท่านั้น คือว่าการจะประสบความสำเร็จได้นั้น จะต้องมีทั้ง "พรแสวง" และ "พรสวรรค์" ด้วย เรามาดูผลงานในอนาคตกันต่อไปจะดีกว่า  อย่าเพิ่งคุยโวให้มากนัก แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 15:55:08 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 15:35:15 แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 15:24:31 จากคุณ : tansy (iwrite4u) - [ 24 ก.พ. 51 15:21:25 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ^ ^ ^ ขอบคุณครับที่เข้ามาตอบ แต่ลองกลับไปดูในเวป ezine อีกครั้งนะครับคุณจะเห็นความผิดแบบ non-native ตรึม (ขอไม่ยกนะ ขี้เกียจพิมพ์ แต่รับรองล้านเปอร์เซ็นว่า มีหลายที่เลยแหล จริงๆ...) ถ้าจะ"เรียน"ภาษา "จริงๆจังๆ" (มันก็แล้วแต่ว่าคุณจะ define "จริงๆจังๆ" ว่าอะไร) มันต้องใช้เครื่องมือแพงๆจริงๆแหละ (แต่อย่างว่าคุณไม่ได้เรียนมาด้านนี้เลยคิดว่าไม่มี เห็นได้จากว่าคุณบอกเองว่ามันไม่ซีเรียสมากเท่าเรียนแพทย์) แต่จริงๆ ถ้าคุณจะเรียนอย่าง "ซีเรียส" มันต้องมีเครื่องมือ เช่น เครื่องแยกคลื่นเสียง หรือ เครือ่งแยกประโยค หรือ corpus (คลังภาษา???) หรือเครือ่งที่ใช้ส่องดูกล่องเสียงเส้นเสียง หรือ เครื่องแปลภาษา หรือ หุ่นยนตร์ หรือทดลองในสัตว์ เช่น ในลิง หรือเครื่องตรวจคลื่นสมอง (เช่นสำหรับนักภาษาศาสตร์ที่ทำเกี่ยวกับการบำบัด speech patho) แล้วแต่ว่าสาขาที่เชี่ยวชาญของคุณคืออะไร บอกแล้วครับการเรียน(ภาษาหรืออะไรก็ตาม) ให้ได้จริงจัง มันไม่ใช่นั่งเปิด dictionary อยู่บ้านแน่นอนครับ เพราะฉะนั้นของพวกนี้ไม่น่าเรียนเองได้ ถ้าคิดจะเอาอย่าง"จริงจัง" เอ่อ สุดท้ายเรื่อง "คุยโว" (ความเห็น 25 บรรทัดสุดท้าย) ที่คุณว่าผมหรือห้ามผม ผมว่าผมไม่ได้คุยโวนะ แต่ว่าคุณหรือเปล่าที่คุยโว เช่น "เรื่องเรียนภาษาอังกฤษ ที่แรกเราก็ไม่ค่อยสนใจหรอก แต่เมื่อมาเล่นเน็ต โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเว็บ pantip เราเห็นคนสนใจเรียนภาษาอังกฤษกันมาก เราก็เลยค้นคว้าหาวิธีเรียนใหม่ๆที่จะเรียนภาษาอังกฤษมาได้มากมาย ... และในโลกแห่งการสื่อสารไร้พรมแดน คนที่ชอบท่องเน็ตแบบเรา ไปค้นพบขุมทรัพย์ในการเรียนภาษาอังกฤษนอกมหาลัยมากมาย เราคิดจะเขียนหนังสือเปิดเผยวิธีการที่เราเรียนภาษาอังกฤษได้ด้วยตนเอง ที่เราเรียนจากมหาลัยชีวิต เอาไปพิมพ์ขาย เพราะเห็นครูเคทเขียนหนังสือเรื่องเรียนภาษาอังกฤษแล้วร่ำรวย แต่ตอนแรกๆก็ติดขัด เพราะว่าเราติดต่อสำนักพิมพ์ไม่ค่อยจะสำเร็จ ก็เลยลืมๆเรื่องนี้ไปพลางๆก่อน และบางที (เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว) ตอนกินเบียร์หรือ wine ม้นๆ ได้ที่ก็เขียนบทเรียนภาษาอังกฤษบน pantip เล่นๆ แบบลูกทุ่ง ลูกทุ่ง หรือแบบที่ใครบางคนดูถูกเราว่า "มวยวัด" แต่ก็มีผู้คนสนใจอ่านกันมากจน vote ให้เป็นกระทู้แนะนำ แต่ในช่วงนี้นะ เรามีงานยุ่งมากๆเลย เป็นงานแปลเอกสารกฏหมายยากๆ (บางทีต้องร่างสัญญากฎหมายให้ลูกค้า) หรืองานแปลพวก PR (เช่น press release) หรือแปลหนังสือราชการ (แปลเอกสารงานประมูลจัดซื้อจัดจ้างซึ่งเป็นงานที่เราถนัดมากๆ) แต่เผอิญโชคดี คือว่า เราติดต่อสำนักพิมพ์ได้ 3-4 แห่ง แห่งหนึ่งเรารับจ้างเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้เขา อีกแห่งหนึ่งเราแปลหนังสือให้เขา (ใช้นามปากกา) อีกแห่งหนึ่งเจ้าของสำนักพิมพ์เป็นเพื่อนสนิทกับเพื่อนสนิทของเรา อีกแห่งหนึ่งบรรณาธิการบริหารเป็นคนที่เรารู้จักคุ้นเคยกัน เคยทำงานโครงการแปลหนังสือนักสืบด้วยกัน บรรดา contacts หรือ knowwho เหล่านี้ที่จะช่วย knowhow ของเรา ให้บรรลุเป้าหมายได้ไวๆ น่าจะช่วยให้เราตีพิมพ์หนังสือที่แนะนำคนไทยเรื่องเรียนภาษาอังกฤษ หนังสือของเราจะกลายเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของหนังสือครูเคทได้ แต่พอจะเริ่มเขียนนะ ก็มีงานแปลราคาแพงๆเข้ามาแซงคิว จะไม่ทำก็เสียดายเงินที่น่าจะได้ ตอนนี้เพิ่งเคลียร์งานแปลเอกสารไป กำลังจะเริ่มเขียนหนังสือแนะนำคนไทยวิธีการเรียนภาษาอังกฤษแบบมวยวัดนอกมหาลัย" (ความเห็นที่แปด) และ "เราอาศัยการเรียนรู้ด้วยตนเองอย่างที่ว่านั้น จนกระทั่งสอนตัวเองให้เป็นนักแปลได้ (ตอนนี้เราแปลพวกเอกสารภาษากฏหมายอังกฤษ-ไทย และ ไทย-อังกฤษ (บางทีจากการแปลไทยเป็นอังกฤษ กลายเป็นเราร่างสัญญากฎหมายที่รัดกุมเป็นภาษาอังกฤษให้บริษัทมหาชนที่มีชื่อเสียง) และแปลหนังสือราชการพวกงานประมูลจัดซื้อจัดจ้าง เป็นงานหลักของเรา... บางทีเราก็รับเป็นบรรณาธิการต้นฉบับหนังสือแปลให้สำนักพิมพ์) ด้วยความรู้เพียงแค่มัธยมต้นเอง (เราเรียนจบแค่มัธยมต้น จริงๆ) (จากความเห็นที่สอง) ผมว่า(อย่างน้อยๆ)"ถ้า"ผมได้คุยโวไป ผมก็ไม่ make it explicit เช่นนี้นะ แก้ไขเมื่อ 24 ก.พ. 51 15:56:55 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 24 ก.พ. 51 15:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 27 เข้ามาอ่านอีกรอบครับ จากคุณ : pokemon trainer - [ 24 ก.พ. 51 20:01:35 A:118.174.41.191 X: TicketID:000119 ]

ความคิดเห็นที่ 28 มาอ่านต่อค่ะ จากคุณ : NoOk - [ 25 ก.พ. 51 12:59:45 A:125.24.78.153 X: ]

ความคิดเห็นที่ 29 คุณ Kris เราเห็นด้วยกับคุณจริงๆ เลยนะ เพราะเราอ่านความคิดเห็นที่เค้าตอบไม่ค่อยรู้เรื่องอ่ะ เอ... หรือว่าเพราะเราจบป.ตรี สาขาภาษาอังกฤษหว่า.... น่าคิดเหมือนกันนะเนี่ย จากคุณ : Ex-Data Analyst @ Reuters (sserayangkoon) - [ 27 ก.พ. 51 07:09:41 ]

ความคิดเห็นที่ 30 accordingl to Ellis (2005), only 5 per cent of nnes will become a nativelike..... เพราะฉะนั้น อย่าท้อถ้าจะงงกับ structure บ้างเพราะแม้แต่ป.เอกก็ยังมีพลาดเกี่ยวกับการใช้ภาษาอังกฤษเหมือนกันค่ะ...อาจารย์ที่มหาลัยบอกมาน่ะ จากคุณ : My heart is in SF! - [ 20 มี.ค. 51 17:27:17 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าเรียนทางด้านทักษะภาษาไม่จำเป็นต้องมีเครื่องมือเครื่องไม้อะไรขนาดคห.26 หรอกค่ะ นั่นคือคนที่เรียนภาษาศาสตร์แล้ว แต่ว่าดิฉันขอกล่าวในทำนองกลางๆว่า คำว่า topic ดูจาก lexical entryและconceptual meaning (นี่ไม่รวมถึงในแง่discourse) แล้วมันไม่ใช่ทั้งwhole story นี่คะ มันคือ "หัวข้อเรื่อง" เท่านั้นเอง และที่คุณหาตัวอย่างการใช้มาให้ดู ดิฉันคิดว่ามันเป็นแบบ informal style ค่ะ อาจจะสื่อความได้พอเข้าใจแต่ก็นำมาสู่การตีความที่ผิดพลาดได้เช่นกัน จากคุณ : Lingkwis - [ วันจักรี 14:42:50 ]