ความคิดเห็นที่ 1 A book called "Writers INC A student Handbook for Writing and Learning" By Patrick Sebranek, Dave Kemper, and Vern meyer is best to read to find out how to be a good writer. It said in the book, "you are right one thing that the more you know about the subject, the easier it is to write about it." And much more..! จากคุณ : PatPDX - [ 2 มี.ค. 51 10:29:33 ]

ความคิดเห็นที่ 2 "ส่วนตัวคาดว่าน่าจะเป็นปัญหาเรื่องจัดลำดับความคิดด้วย ถูกไหมคะ" เห็นด้วยครับ คุณอาจจะไม่ได้มีปัญหาเรื่องการเขียนภาษาอังกฤษก็ได้ แต่มีปัญหาในการเขียนเลย เพื่อเช็คสมมติฐานนี้ คุณลองเขียน essay เป็นภาษาไทยก่อนซิครับ จะได้รู้ว่าปัญหาอยู่ที่ไหนกันแน่ จากคุณ : HotChoc - [ 2 มี.ค. 51 12:11:30 ]

ความคิดเห็นที่ 3 เขียน essay ให้ดี ต้องมีทั้งสองข้อที่ทั้งสองท่านว่ามาจริงๆ ค่ะ เคยสอนนักเรียนเรื่องการเขียนเพื่อไปสอบโทเฟลและไอเอลทส์ และพบว่าส่วนใหญ่นักเรียนจะไม่ให้ความสำคัญในการจัดลำดับความคิดเท่าไหร่ คือ panic มากๆ ตั้งแต่เปิดมาเจอโจทย์ พออ่านปุ๊บก็ลงมือเขียนทันที โดยมีน้อยคนมากที่จะวางแผนก่อน ว่าตนจะเขียนอย่างไร ซึ่งจริงๆ แล้วหากได้ทำการ brainstorming ลงในเศษกระดาษก่อน จะรู้แน่ชัดกว่าว่าเราถนัดในการนำเสนอความคิดในแง่ใด คือเขียนเรื่องที่ตัวเองรู้มากที่สุดนั่นเอง พอเรารู้แล้ว การจัดลำดับความคิดตั้งแต่ต้นจนจบ คือในช่วง introduction body และ conclusion จะง่ายขึ้นกว่าเดิมมาก แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 51 12:55:27 จากคุณ : แล้วหมาปั๊กก็จะครองโลก - [ 2 มี.ค. 51 12:54:49 ]

ความคิดเห็นที่ 4 จริงๆ อยากจะบอกว่าระบบการศึกษาของไทยเราไม่ได้สอนให้เรารู้จักการจัดระบบความคิด หรือเรียนลำดับความสำคัญต่างๆ ก่อน ดังนั้น มันจะเกิดปัญหาได้ในเวลาที่เราต้องการเขียนบทความหรืออะไรต่างๆ จากประสบการณ์ของตัวเองตอนที่ได้เรียนอยู่ต่างประเทศ แล้วอาจารย์ก็พบถึงปัญหาตรงจุดนี้ และช่วยแนะนำเรามาดังนี้ค่ะ เรื่องที่จะเขียนเราทำออกมาเป็นข้อสำคัญใหญ่ๆ ก่อน สักสองข้อ หรือสามข้อ ซึ่งแต่ละข้อตรงนี้ก็จะได้ หนึ่งพารากราฟแล้วอ่ะค่ะ งงมั้ยคะ ยกตัวอย่างเช่น การเีรียนภาษาอังกฤษ เราก็ตีออกมา ว่าเราจะพูดถึงสิ่งไหนบ้าง ก็เช่น ความยากของภาษาอังกฤษ สอง วิธีที่ทำให้การเรียนของเราพัฒนาขึ้น เราได้สองข้อใหญ่ละ ทีนี้ ในแต่ละข้อใหญ เราก็มาแยกค่ะ ทำเป็นข้อย่อยออกมา เช่น ความยากในเรื่องของการออกเสียง ความยากของแกรมม่า ฯลฯ ในข้อสองเราอาจจะหาข้อย่อย เช่น การอ่านหนังสือทำให้เราพัฒนาภาษา การดูหนังฟังเพลงต่างๆ ช่วยเรื่องการฟัง  ประมาณนี้ แบบนี้มันเหมือนสโคบเรื่องเข้ามา ทีนี้คุณก็สามารถเขียนได้หลายพารากราฟละ เวลาสรุป ก็จะไม่มีปัญหาอะไรละ ความรู้ที่ได้มานี้ก็นำมาเผื่อแผ่เป็นวิทยาทานกันนะคะ บางทีคุณ จขกท อาจจะทำแบบนี้อยู่แล้วก็ได้  หรืออาจจะไม่ได้ทำ ก็เป็นแนวทางที่ดีค่ะ เราเองก็ต้องขอบคุณอาจารย์ท่านนั้นมากๆ ที่ได้ให้แนวทางเด็กต่างชาติอย่างเรานะค่ะ หวังว่าคงจะเป็นประโยชน์ต่อคุณนะคะ จากคุณ : amore mio - [ 2 มี.ค. 51 20:46:31 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ ตอนเด็กๆเวลาเขียนเรียงความ(ภาษาไทย)ไม่มีปัญหาค่ะ ได้คะแนนเยอะซะด้วย แต่จะเขียนอย่างน้อย 2 ครั้ง เพราะไม่จำกัดเวลา ครั้งแรกก็เขียนความคิดทั้งหมดลงไป ครั้งที่สองก็เรียบเรียง แต่พอมาทำข้อสอบโทเฟล มีการจำกัดเวลาขึ้นมา เอาละซิ เริ่มแย่แล้ว --" ก็เขียนๆไปเลยเหมือนที่คุณหมาปั๊กครองโลกพูดไว้อ่ะค่ะ (ล๊อคอินน่ารักจัง อิอิ) ต่อไปจะลองนำคำแนะนำของทุกท่านมาประยุกต์ใช้ดูนะคะ ว่าจะเริ่มท่องศัพท์เพิ่มด้วย สำหรับท่านอื่นๆมีความเห็นอย่างไรก็เชิญโพสเพิ่มเติมได้เลยค่ะ ขอบคุณค่ะ *-* จากคุณ : โคอาล่าบ้องแบ๊ว - [ 2 มี.ค. 51 21:41:05 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่เห็นครูฝรั่งในระดับอนุบาล-ประถมสอนเด็กของเขาในเรื่องการเขียนนี่ บอกได้ว่าประทับใจ เพราะดูตัวเองก็เห็นว่าหลงทางมาตลอด ครูอนุบาลจะให้เด็กวาดรูป แล้วก็เขียนเล่าเรื่องให้ฟัง จะไม่สนใจเรื่องความผิดถูก ขอให้เล่ามาแล้วกัน บางคนเขียนออกมาอย่างนี้ "I  p in da y " คือคนเขียนจะบอกว่า I play in the yard. ครูเขาจะปลื้มมาก ที่เด็กเขียนออกมาได้ขนาดนั้น เด็กเกิดความมั่นใจในตัวเอง ว่าเขียนอะไรก็ได้ ไม่ผิด และมีความสุขที่จะได้แสดงออก พอโตขึ้น ครูก็จะค่อยๆดูรูปแบบการเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว เป็นรูปเป็นร่างที่ดีขึ้น ตามที่คุณ แล้วหมาปั๊กก็จะครองโลก คคห #3 บอกไว้เลยค่ะ คือ ต้องมี 3 parts อันนี้ คือ Intro, body and conclusion. คุณคงจะเคยเป็นกันมาบ้าง ที่หยิบหนังสืออะไรขึ้นมาสักเล่ม เปิดไปอ่านหน้าแรก อย่างไม่ตั้งใจเท่าไหร่ แต่ก็พบว่าตัวเองวางไม่ลง อยากรู้เรื่องต่อไป อันนี้ต้องบอกว่าคนเขียนมี introduction ดี คือเริ่มตันดี มีชัยไปกว่าครึ่งนั่นละค่ะ และก่อนที่จะเขียนก็ต้องรู้ก่อน ว่าจะเขียนเรื่องอะไร จะเขียนอย่างไร เขาว่า " Tell them, what you want to tell." ตอนจะเขียนอย่างไรนี่สำคัญนะคะ คือตอนนี้ต้อง brainstrom ความคิดเป็น balloons ว่ามันมีอะไรที่เกี่ยวข้องกับ main idea ที่คุณอยากจะพูดให้คนอ่านเขารู้บ้าง เขียนมันเข้าไป พอตอนเขียนจริงไม่ได้เขียนถึง balloon ความคิดทั้งหมดเหล่านี้ ก็ไม่เป็นไร ตอนนี้ เขาบอกว่าเป็นตอน " Tell them." แล้วก็มารวบยอดตอนสุดท้าย "Tell them, what you've told." ที่พูดมานี่เป็นการเขียนในระดับประถมที่เห็นครูเขาสอนกันมา คิดว่าเป็น general idea ที่ถึงคุณจะโตเป็นเด็กระดับมหาลัยแล้ว ก็ยังเอามา applyใช้ได้อยู่ ขอให้ enjoy writing กันถ้วนหน้านะคะ จากคุณ : PatPDX - [ 3 มี.ค. 51 01:15:51 ]

ความคิดเห็นที่ 7 แนะกระทู้หากินของผมคือ http://www.voanews.com/specialenglish เพราะจะมีหัวข้อการเขียนหลายสาขา เขียนกระชับ ใช้ภาษาไม่ยาก โครงสร้างเยียม อ่านบ่อยๆ แล้วมันจะซึมซับไปเอง ในขณะเดียวกัน จขกท ต้องหัดเขียนใน blog ตัวเองทุกวันด้วยครับ โดยเอาเรื่องในเวป มาเป็นหัวข้อในวันอื่นๆ เป็นต้น อาศัยความทรงจำ เรียบเรียงขึ้นมาใหม่ รับรองได้ผลพอควร จากคุณ : K.Senior - [ 3 มี.ค. 51 12:17:40 ]