ความคิดเห็นที่ 1 1. ทำให้ออกเสียงได้ง่ายขึ้น เพราะสระติดกันมันออกยากน่ะค่ะ เช่น a uncle ออกยาก เอะ อังเคิ่ล มาเป็น an uncle ง่ายกว่า แอน อังเคิ่ล 2. ข้อนี้ก็ตอบยากนะคะ เพราะว่ามันเป็นคำยกเว้น คงต้องใช้วิชาท่องจำ จากคุณ : thaispicy - [ 4 มี.ค. 51 00:59:10 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ในภาษาอังกฤษเรียกว่า Article ครับ ลองไปอ่านเพิ่มเติมที่ลิ้งข้างล่างนะครับ An article is a word that combines with a noun to indicate the type of reference being made by the noun. The three main articles in the English language are the, an and a. An article is sometimes called a noun marker, although this is generally considered to be an archaic term.[1] It is sometimes wondered which part of speech articles belong to. Despite much speculation, articles are not adjectives because they don't describe nouns; they just agree with them. Linguists place them in a different category, that of determiners. Articles can have various functions   * A definite article (English the) is used before singular and plural nouns that refer to a particular member of a group.        The cat is on the black mat.    * An indefinite article (English a, an) is used before singular nouns that refer to any member of a group.        A cat is a mammal. http://en.wikipedia.org/wiki/Article_(grammar) จากคุณ : Chomsky (PrinceOfSomething) - [ 4 มี.ค. 51 00:59:45 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่เอาแบบว่า "อ้าว...ก็ That's the way it is " >> ไม่ให้ตอบอย่างนี้ ก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะว่าเจ้าของภาษาเขาบัญญัติไว้อย่างนั้น กฎเกณฑ์ภาษาอังกฤษเกือบทุกข้อมีข้อยกเว้นหมด ที่คุณถามมาเรื่อง a กับ an นั้นจริงๆก็ไม่มีใครรู้เหตุผล แต่เมื่อเป็นกฎเกณฑ์ของภาษากำหนดไว้ ก็คงต้องทำตามเขา เรื่องรูปการผันกริยา จำพวก irregular verb ก็อีกอย่าง หาหลักเกณฑ์ตายตัวไม่ได้ ต้องจำลูกเดียว เรื่องการสะกดอักษรก็อีกอย่าง ดิ้นได้เอาเรื่อง คุณเคยได้ยินนิทานเรื่องการอ่าน ghoti ว่า fish ไหม? gh = f เช่นใน laugh, o = i เช่นใน women และ ti = sh เช่นใน nation จะบ้าตาย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 มี.ค. 51 01:28:27 ]

ความคิดเห็นที่ 4 ^ ^ ^ ไม่จริงครับคุณแอ๊ด กฎทุกกฎสามารถอธิบายได้ และไม่มีข้อยกเว้น ถ้าเราเรียนหรือค้นคว้าจริง เรา "ต้อง" อธิบาได้ครับ อย่าลืมสิครับว่า ภาษาเป็นสิ่งที่เป็นระบบ เพราะฉะนั้นเราต้องสามารถอธิบายระบบมันได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณค้นคว้าวิจัยลึกแค่ไหนเท่านั้นเอง Humans are pattern-seeking beings, and linguistics is a science that aims to discover systematicity in language อนึ่ง "กฎ" ไม่ใช่สิ่งที่ใครบัญญัติขึ้นมาทั้งสิ้น "กฎ"ที่คิดว่าเราๆต้องมานั่งจำ มันคือ ข้อสังเกตของนักภาษาศาสตร์จากการใช้ของเจ้าของภาษาจริง พวกเค้าสังเกต แล้วเอาข้อสังเกตมาให้นักศึกษาต่างชาติเรียนต่างหาก (เป็นสาเหตุที่ทำไม เจ้าของภาษาถึงไม่"รู้"กฎพวกนี้และอธิบายไม่ได้ กลับมาที่คำถามของจขกท คุณ thaispicy บอกไว้เสร็จแล้วในความเห็นหนึ่ง a, an เป็นเรื่องของความสะดวกในการออกเสียง เพราะภาษาอังฤษมีโครงสร้างพยางค์เป็น CVCVCVCVCV.... (คือ พยัญชนะ สระ พยัญชนะ สระ พยัญชนะ) เพราะฉะนั้น a apple ก็จะกลายเป็น "สระ กับ สระ" ดังนั้นเจ้าของภาษาจึงดึงเอาพยัญชนะ n มาเชื่อม โดยอัตโนมัติ เพื่อความสะดวกในการออกเสียง จริงๆ an มาจาก a น่ะแหละแล้วเติมเสียงพยัญชนะขึ้นไป แต่ในอดีตเจ้าของภาษาบางคน reanalyze (วิเคราะห์ใหม่) คำผิด ทำให้เกิด "คำใหม่" ขึ้น เช่น ปัจจุบัน a nickname มาจาก an ekename เห็นมะครับว่า เจ้าของภาษาแยกพยางค์ผิด เอา n ไปใส่ตรงคำเสียนี่ จาก eke กลายเป็น nick ปัจจุบัน an apron คำในอดีตคือ a napron เจ้าของภาษา(ในอดีต) ก็แยกพยางค์ผิด ดันไปตัดเสียง n ออกจากคำเดิม (ที่ยืมฝรั่งเศสมา) แล้วเข้าใจผิดว่ามันคือส่วนหนึ่งของ article "a" ภาษาอังกฤษก็เลยได้คำว่าผ้ากันเปื้อน apron มาจากคำเดิมคือ napron จากฝรั่งเศส an adder ที่แปลว่างูก็อีก มันมากจาก a nadder แต่คนอังกฤษสมัยก่อน reanalyse คำผิด นึกว่า n เป็นส่วนหนึ่งของ article "a" เลยตัดตัว n ทิ้ง(จากคำเดิม) มาใส่ที่ article มันเลยเป็นคำใหม่อย่างนี้ครับ ส่วนเรื่องพหูพจน์บางตัวไม่เติม s ก็เช่นกัน mouse เป็น mice ก็อธิบายได้อีก ถ้าคุณเรียนวิวัฒนาการของภาษาอังกฤษมา (แต่ผมไม่แน่ใจว่าไปอธิบายให้เด็กปอสองฟัง หรือเด็กมัธยมฟังจะรู้เรื่องนะครับ) ถ้าจะอธิบายมันเป็นเรื่องของปรากฏการณ์ทางเสียงที่เรียกว่า อี อุมเล่า (i-umlaut) ลองไป search google น่าจะมี นั่นคือ ภาษาอังกฤษโบราณ (old english) มีเพศ พจน์ (เหมือนฝรั่งเศส) และใช้ระบบการเติมปัจจัย (suffix) ที่เปลี่ยนไปตามเพศพจน์ของคำนามนั้นๆ mouse มาจากคำดั้งเดิมคือ mus (อ่านว่า "มูส") ถ้าจะเป็นพหูพจน์จะเติมปัจจัยสระ "อี" ที่ท้ายคำ กลายเป็น musi ("มูซี") เช่นเดียวกับ fot (โฟต) ที่กลายมาเป็น foot ฟุตน่ะแหละครับ ทีนี้ ไอ้ มู-ซี (musi) เนี่ย ปัจจัยสระ "อี" ข้างหลังมันมีอิทธิพลทำให้เสียงสระ "อู" ข้างหน้าเลื่อนเสียงสระสูงขึ้น (สระหน้าเลื่อนสูงขึ้นโดยอัตโนมัติเพราะผุ้ใช้ภาษา anticipate เสียงสระหลังและพยายามจะทำสระทั้งสองให้อยู่ในความสูงเดียวกัน เรียก vowel harmony) เพราะฉะนั้นจาก "มู" ก็กลายเป็น "มี" (สระอู กับสระอี เป็นสระเสียงสูงด้วยกัน แต่ใช้ส่วนลิ้นในการออกเสียงต่างกัน) ดังนั้นเราจึงได้ misi คือ มีสซี มา ต่อมาในภาษาอังกฤษสมัยกลาง ปัจจัย i ท้ายคำได้ถูก drop ไป (เพราะว่าเป็นเสียงเบา ไม่ stress) แต่คำดั้งเดิมที่แปลว่า หนูหลายตัว ก็ยังเป็น mys (มีส) อยู่ สุดท้าย หลังสมัย shakespeare มีสิ่งที่เรียกว่า the great vowel shift เกิดขึ้น ทำให้สระทุกตัวในภาษาอังกฤษ ยกเสียงขึ้นหนึ่งขั้น เสียงที่สูงสุดอยู่แล้วจะกลายเป็นสระผสม ทำให้ "มีส"mys ซึ่งมีสระ "อี"เป็นสระสูงสุด ต้องกลายเป็นสระผสมด้วย ก็กลายเป็น mice ด้วยประการฉะนี้ (ส่วน mus มูส หนูตัวเดียว ก็กลายเป็นสระผสม มาวส์ mouse ไงครับ) การเกิดปรากฎการเลื่อนเสียงสระครั้งใหญ่ The great vowel shift เป็นสาเหตุหนึ่งที่ว่าทำไมภาษาอังกฤษเขียนไม่ตรงกับตัวสะกด (ถ้าเทียบกับภาษาสเปน ฯลฯ) ก็เป็นสาเหตุที่ว่า ทำไม fish ได้ถูกล้อเลียนโดย George Bernard Shaw อย่างที่คุณแอ๊ดพูดข้างบนว่าสะกดได้เป็น ghoti น่ะแหละครับ จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 4 มี.ค. 51 02:03:39 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ฟัง #4 แล้วกระจ่างเลย อิอิ จากคุณ : Chomsky (PrinceOfSomething) - [ 4 มี.ค. 51 02:28:41 ]

ความคิดเห็นที่ 6 อิอิ คุณ krisdauw สุดยอดจริงๆค่ะ ขอบคุณค่ะที่อธิบายเพิ่มเติมได้อย่างชัดเจน จากคุณ : thaispicy - [ 4 มี.ค. 51 03:21:33 ]

ความคิดเห็นที่ 7 "กฏ"ทุก "กฏ" สามารถอธิบายได้ กฏบางกฏก็มีข้อยกเว้น และ "กฏ"ก็สามารถถูกหักล้างได้เมื่อมีกฏใหม่(ที่เป็นที่ยอมรับในวงกว้างแล้ว)มาสำทับ ถ้าผมเป็นครู....ผมจะตอบอย่างนี้ ประเทศไทยของเราเห่อภาษาอังกฤษจนมองข้ามหลักภาษาที่เป็นรากเง้าภาษาไทยของเราไป ความจริงแล้ว ถ้าเราได้เรียนรู้หลักภาษาไทยแล้วพาดโยงไปหาภาษาบาลีสันสกฤษบ้างในชั้นประถมหรือมัธยม.....คำถามทั้งสองอย่างที่ตั้งอยู่บน "หลักของภาษา" จะสามารถเข้าใจได้โดยไม่ต้องลำบากไปหา อี อุมเล่าท์ i-umlaut เพื่อสาวหาที่มาที่ไปให้เมื่อยตุ้ม.....หลักภาษาบาลีที่เป็นแม่แบบของภาษาไทยของเรา ก็สามารถอธิบายปรากฏการณ์ "วิวัฒนาการ" ของภาษาต่างๆ ได้.......เผอิญว่ากระทรวงศึกษาธิการไม่ค่อยเน้นให้เด็กไทยเรียนหลักภาษาไทยและบาลีอย่างเคร่งครัดเท่าไหร่(เพราะกลัวจะไม่ได้โกอินเตอร์กระมัง อิ อิ อิ!) เลยมองข้ามไปโดยหันไปเน้นภาษาอังกฤษอย่างสุดแรงเกิด......ปรากฏการณ์ "เส้นผมบังภูเขา" ก็เริ่มเห็นลางๆ ในสังคมไทยที่กำลังเล่าเรียนภาษาอังกฤษบนพื้นฐานที่ยังอ่อนไวยากรณ์ในภาษาของตนเอง ไม่ทราบว่าเคยได้ยินคำว่า "ภาษามีวิภัตติปัจจัย (Inflectional Language)" มากันบ้างไหมครับ ภาษาในตระกูลอินยูเรเปียนส่วนใหญ่จัดเป็นภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย คะเนกันว่าภาษาบาลีสันสกฤษเป็นภาษาต้นๆ แบบของภาษาที่มีวิภัตติปัจจัย ที่คุณกฤษอธิบายเกี่ยวกับปรากฏการณ์ i-umlaut นั้น เทียบเคียงได้เลยก็ภาษาบาลี ที่มีหลักการเติมหรือลง "วิภัตติ/ปัจจัย" ...... เมื่อ "ศัพท์" ตัวหนึ่งถูกลงวิภัตติหรือปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว มันก็จะชี้ได้เลยว่า เป็นพจน์(เอกพจน์ หรือพหูพจน์)หรือสามารถชี้ลิงค์(Gender) ของคำๆ นั้นได้ หลักการนี้เรียว่าการ "การผันคำนาม" (Noun Declension) ซึ่งหลักภาษาบาลีได้อธิบายไว้อย่างลึกซึ้งและละเอียดยากที่จะบรรยายได้หมด และสามารถนำมาเทียบเคียงและอธิบายได้ในภาษาที่มาจากตระ การที่กระทรวงศึกษาธิการไม่ได้บรรจุภาษาบาลีสันสกฤษไว้ในตำราเรียนนั้น นับว่าเป็นการเสียโอกาสอย่างใหญ่หลวงที่จะปูทางให้นักเรียนไทยได้เข้าใจธรรมชาติภาษาอื่นหรือแม้แต่ภาษาไทยของเราเอง........เสียดาย...เสียดายของดีที่เรามีอยู่ กลับถูกมองข้าม..... ไม่รู้ว่าตอบได้ตรงประเด็นไหม? ครือว่ากำลังจะเข้านอนพอดี ตอบแบบรวบๆ มาซะอย่างนี้ จากคุณ : ฎร - [ 4 มี.ค. 51 05:54:05 A:86.140.30.249 X: TicketID:109703 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ขอเสริม (สั้นๆ) ทุกๆ ท่านที่ตอบมาแล้วนะครับ 1. ทำไม an ต้องนำหน้าเสียงสระ หรือ a ต้องนำหน้าเสียงพยัญชนะ? - เพื่อแยกเสียงให้ออกง่ายครับ (คห ๔ อธิบายไว้ชัดเจนแล้ว) คือว่า ภาษาอังกฤษนี่ ไม่เหมือนภาษาไทย ที่ต้องออกชัดเจนทุกคำ ภาษาอังกฤษเสียงจะเปลี่ยนไปตามคำที่ตาม เช่น it's a cat (อิส "สะ" แคท) จะเห็นว่า ไม่พูด อิส อะ แคท ถ้าเขียน A ice (อะ ไอซฺ) เวลาพูดจะกลายเป็น อ้ายซฺ หรือ A ant (อะ แอ้นท์) ก็จะกลายเป็น อ็านท์ ดังนั้นจึงต้องแก้ไขโดย ใช้ n มาช่วยครับ ภาษาอื่นๆ ในยุโรป มีอะไรแปลกๆ แบบนี้เยอะครับ ภาษาอังกฤษถือว่า น้อยแล้ว อิอิ เช่น ในภาษาฝรั่งเศส de le pain (เดอ เลอ ป็าง) ไม่ครับ ไม่พูด เค้าพูด du pain (ดือ-อู ป็าง) เป็นต้น เขาจะกินเมื่อไหร่ ? Quand il va manger ? อ่าน ก็อง "ติล" วา ม็องเช่ ? ไม่อ่าน ก็องด์ อิล หรือ ก็อง "ดิล" ต้อง "ติล" เท่านั้น อิอิ ทั้งๆ ที่ใช้ตัว D แต่เหตุผลคือให้ออกเสียงง่าย เป็น "คำตอบครอบจักรวาล" ครับ อิอิ ======================================= 2. ทำไมพหูพจน์ บางตัวไม่เติม "S" แต่เปลี่ยนรูปไปเลยเช่น mouse -- mice - เท่าที่ทราบนะครับ ศัพท์พวกที่เปลี่ยนรูปไปเลยนี้ เป็นคำที่มาจากภาษาอังกฤษโบราณ (ตระกูลเยอรมันเก่า) (คห ๔ ก็ตอบละเอียดไปแล้ว) มันเป็นลักษณะทางไวยกรณ์ของภาษาตระกูลนี้ครับ Louse - Lice Mouse - Mice Goose - Geese Foot - Feet Tooth - Teeth Man - Men Woman - Women (อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่ วูแมน เป็น วีเมน ทั้งๆ ที่เขียน WO เหมือนเดิม เออ ถ้าเขียนแต่ wo ก็อ่าน โว ไม่อ่าน วู .....เอากับมันสิ อิอิ) ก็ต้องบอกลูกศิษย์ว่า มันเป็นลักษณะเฉพาะของภาษาตระกูลนี้ แล้วหละครับ ลิงค์เพิ่มเติมครับ Plural Nouns: http://www.phonicsontheweb.com/plurals.php Condition Sound Change "i mutation" : http://homepage.univie.ac.at/hans.platzer/spphon/lnphon1b.htm จากคุณ : Tartaria (Hotacunus) - [ 4 มี.ค. 51 07:19:21 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โห ดูมีนักภาษาศาสตร์หลายคนเลยในกระทู้นี้ ดีครับช่วยๆกัน คุณฎร ความเห็นที่ 7 ครับ ที่บอกว่า กฎทุกกฎมีข้อยกเว้น และกฎถูกหักล้างได้นั้น จริงๆแล้วผมคิดว่าถ้ากฎมีข้อยกเว้น แปลว่า กฎยังไม่สมบูรณ์ หรือพูดง่ายๆ เพราะว่านักภาษาศาสตร์ยังค้นไม่พบกฎที่มัน universal ใช่ป่ะล่ะครับ ถ้าเราค้นต่อไปเรื่อยๆมันน่าจะอธิบายทุกอย่างได้โดยไม่มีข้อยกเว้น และ"กฎ"(หรือข้อสังเกต)ที่เราตั้งขึ้นมาจะไม่ถูกหักล้างอีกต่อไป (อย่าถามว่าเมื่อไรเราจะไปถึงจุดนั้นนะครับ เพราะผมก็ไม่ทราบ แต่ก็ต้องให้ credit นักภาษาศาสตร์รุ่นปัจจุบันและอนาคตเพราะว่าเราเพิ่งเริ่มต้นมาเมื่อไม่นานนี้เอง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นมา หลักๆจาก Chomsky และจาก Labov ซึ่งเราก็อธิบายปรากฎการณ์ทางภาษาได้มากขึ้นเรื่อยๆ และครอบคลุมไปถึงภาษาที่ไม่ใช่อังกฤษ ละติน ฯลฯ อีกด้วย) ส่วนคุณ tartaria ครับ woman มันแปลกจริงๆครับ แต่เพราะว่ามันมาจาก wif + man    ในภาษาอังกฤษโบราณคำว่า "wife" (อ่านว่า "วีฟ") แปลว่า ผู้หญิง (ในปัจจุบันความหมายเปลี่ยนไปเป็น "เมีย") และ "man" แปลว่า "คน" หรือมนุษย์ (แบบที่ man is mortal นั่นแหละครับ ต่อมา "man" ถูกใช้ในความหมายหลักว่า "ตัวผู้" หรือ "ผู้ชาย") เพราะฉะนั้น wifman ก็คือ มนุษย์ที่เป็นผู้หญิง    และมันก็อธิบายได้ตามหลักเดียวกันอ่ะครับว่าทำไม women มันถึงเป็น "วีมัน" เพราะมันมาจาก "wifman" วีฟมัน นั่นเอง สรุปว่า ภาษาก็เหมือนทุกสิ่งในโลก คือเปลี่ยนแปลงตลอด และเราไม่ควรจะไปยึดติดเมือ่ภาษาเปลี่ยนไป สิ่งที่นักภาษาศาสตร์ศึกษาจริงๆไม่ใช่อะไรหรอกมันคือ พฤติกรรมของมนุษย์ในการใช้ภาษานั่นเอง "หมากม่วง" ยังกร่อนเป็น "มะม่วง" "หมากขาม"ยังกร่อนเป็น "มะขาม" เพราะฉะนั้นการกร่อนเสียง การเปลี่ยนแปลงทางเสียง (ที่ปัจจุบันกลายมาเป็น "ข้อยกเว้นที่ต้องจำ") มันก็มีที่มาที่ไปอย่างเดียวกันน่ะแหละครับ แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 51 07:56:36 จากคุณ : texasprofessor (krisdauw) - [ 4 มี.ค. 51 07:53:27 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คุณเคยได้ยินนิทานเรื่องการอ่าน ghoti ว่า fish ไหม? gh = f เช่นใน laugh, o = i เช่นใน women และ ti = sh เช่นใน nation เคยอ่านเหมือนกันครับ ขำดี อิอิ แต่จริงๆ ผมว่าเป็นมุขมากกว่าครับ เพราะว่าเป็นการจับเอาเสียงปัจจุบันที่เพี้ยนไปจากคำเดิมแล้ว มาผูกศัพท์ใหม่ จริงๆ แล้ว gh ใน laugh (และคำอื่นๆ เช่น night) แต่เดิมมีค่าเท่ากับ kh ครับ หรือ ถ้าจะเทียบกับเยอรมันคือ ch ซึ่งเป็นเสียง ค ที่ต้องพ่นลมออกจากคอ ลองออกเสียง เล้าเค่อะ (พ่นลม) ตรงพ่นลมนี่แหละครับ มันเพี้ยนมาเป็น F ในเวลาต่อมา กลายเป็น ลาฟ ในปัจจุบันซะงั้น อังกฤษ: Laugh     ; เยอรมัน Lachen อังกฤษ: Night       ; เยอรมัน Nacht (อันนี้ ภาษาอังกฤษสูญเสียเสียง kh ไปเลย) อังกฤษ: Right       ; เยอรมัน Recht อังกฤษ: Light       ; เยอรมัน Licht คือสาเหตุที่ภาษาอังกฤษอ่านไม่ตรงตามเขียน ก็เพราะว่า ภาษาอังกฤษยังคงรักษารูปคำไว้ครับ ทั้งๆ ที่พูดเพี้ยนกันมาเป็นลำดับ ส่วน ti ที่ออกเป็น ช ก็เพราะว่า จริงๆ แล้ว ต้องตามด้วย on ครับ คือรูป -tion มันเป็นเรื่องของอำนาจเสียงที่ต่อกันระหว่าง ทิ-ย็อน (i มีค่าเท่ากับ y ) ไม่รู้ว่าตามหลักการเค้าอธิบายอย่างไรนะครับ แต่ ทิุย็อน นี้มันเพี้ยนเป็น "ชั่น" ตามลิ้นคนอังกฤษ ุ-tion นี้ มาจากภาษาละตินครับ ส่วนใหญ่จะเพี้ยนเป็น ซ เช่น ละติน: Latium    ; อิตาลี: Lazio  (ติอุม เพี้ยนเป็น ซิโอ) ฝรั่งเศส: Nation (นาซิยง) ส่วนสุดท้าย วูแมน - วีเมน นี่ เข้าใจว่า คำหลังยังคงรักษาการออกเสียงแบบโบราณไว้ครับ คำอังกฤษโบราณคือ wimman (pl. wimmen) (น่าจะอ่านว่า วีมแมน - วีมเมน) wifman (pl. wifmen) (วีฟแมน - วีฟเมน) ก็ว่า เค้าอธิบายว่า , a compound of wif "woman" + man "human being" ภาษาดัชท์ว่า  vrouwmens แปลว่า ภรรยา (รูปศัพท์คือ "woman-man.") ส่วนการเพี้ยนนั้น เค้าอธิบายว่า ที่ออกเสียงว่า "วูแมน" นี้ เพี้ยนมาตั้งแต่ภาษาอังกฤษยุคกลาง แต่ วีแมน ยังออกเสียงเหมือนเดิมครับ The pronunciation of the singular altered in M.E. by the rounding influence of -w-; the plural retains the original vowel. ที่มา Online Etymology Dictionary: http://www.etymonline.com/index.php?term=woman หวังว่าคงไขข้อข้องใจของคำว่า Ghoti ได้นะครับ อิอิ จากคุณ : Tartaria (Hotacunus) - [ 4 มี.ค. 51 07:53:52 ]

ความคิดเห็นที่ 11 "กฎมีข้อยกเว้น แปลว่า กฎยังไม่สมบูรณ์ หรือพูดง่ายๆ เพราะว่านักภาษาศาสตร์ยังค้นไม่พบกฎที่มัน universal ใช่ป่ะล่ะครับ" ------------------------------------------------------- ใช่ครับ "กฎ" (หรือในทางภาษาศาสตร์คือไวยกรณ์) ก็คือ การจัดระเบียบให้กับภาษา ซึ่งเราจะพบว่า ทุกๆ ภาษามีข้อยกเ้ว้น นั่นก็เพราะว่า เรามาจัดระเบียบให้มัน ตอนที่ มันเพี้ยนมาแล้วเป็นร้อย เป็นพันปีครับ ข้อยกเว้นคือ การยอมรับความผิดเพี้ยน (จากตรรกะที่มันควรจะเป็น ซึ่งเพิ่งมาพบกันภายหลัง) หรือ ยังหาคำอธิบายไม่ได้ ก็จัดเป็นข้อยกเว้นไว้ก่อน ภาษาที่ไม่มีข้อยกเว้นเลย ก็น่าจะเป็นพวกภาษาประดิษฐ์มั้งครับ ผมไม่เคยเรียนเหมือนกัน เห็นชื่อว่าภาษา Esperanto เพราะว่าเค้าพยายามจัดไวยกรณ์ให้เป็นระบบ ระเบียบมากขึ้น ให้ใช้ง่าย ไม่สับสน แต่ผมดูแล้วน่าจะเหมาะกับคนที่มีความรู้ภาษาสเปน -โปรตุเกส - อิตาลี - ฝรั่งเศส มากกว่า  เพราะจะต่อศัพท์ได้เร็วมาก แต่ข้อยกเว้นต่างๆ ก็สามารถหาคำตอบได้ครับ แต่ต้องอาศัยวิชานิรุกติศาสตร์ (Etymology) เข้ามาช่วยครับ จากคุณ : Tartaria (Hotacunus) - [ 4 มี.ค. 51 08:05:50 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เหมือนภาษาฝรั่งเศสหรือเปล่า ฟังให้ดูเพราะขึ้นไม่ใช่ อ. กับ อ. แต่เป็น แอนด์ (เป็น ตัว น) เหมือนภาษาฝรั่งเศส บางทีเขาก็ตัดบางตัวก็ไป เช่น ตัว อี (ตัว อ.) เพื่อให้เสียงเพราะขึ้น พูดแล้วไม่จำเป็นต้องหยุด (จริง ๆ ไม่ควรต้องหยุด พูดต่อได้เลย ตามธรรมชาติและความสะดวก) คิดว่ามนุษย์น่าจะทำเพราะความสะดวกมากกว่า เพราะบางคำใช้ตัว ยู แต่พอออกเสียง ตัว ย. ก็ใช้อะ เหมือนเดิม เพราะออกเสียงได้สะดวก ภาษาอื่นคิดว่าน่าจะมีกฎแบบนี้เหมือนกัน เหมือนกับคำสนธิภาษาไทยหรือ เปล่าที่ไม่เอาคำมาต่อกันเหมือนคำสมาส แต่เอาคำมาผสมกัน ง่ายขึ้น สะดวกขึ้น ไม่ต้องออกเสียงอะ หลาย ๆ คำ แต่เปลี่ยนสระไปเลย รวมคำไป เลย โดยเฉพาะคำที่ใช้บ่อย ๆ ก็จะได้จำไว้เลย จากคุณ : ฟ้าลั่น - [ 4 มี.ค. 51 08:53:30 A:58.181.152.146 X: TicketID:091427 ]

ความคิดเห็นที่ 13 โอ้โห!!! มีแต่คนเก่งๆทั้งนั้นเลย อ่านแล้วเข้าใจขึ้นเยอะ แหม ไม่นึกว่าคําไม่กี่คํา ก็มีที่ไปที่มาตั้งมากมาย น่าสนใจที่สุด ดีจังค่ะ นึกถึงตอนปลายปี จะต้องเรียนภาษาอังกฤษเต็มที่แล้ว ถ้ามีโรงเรียน มีอาจารย์สอนแบบนี้คงสนุกน่าเรียนมากเลยค่ะ ตอนนี้ ต้องรีบเก็บข้อมูลไว้เป็นความรู้ก่อน แบบชอบเรียนฟรีแบบมีคุณภาพค่ะ อิอิ อิอิ จากคุณ : บุหลันรตี (บุหลันรตี) - [ 4 มี.ค. 51 09:28:13 ]

ความคิดเห็นที่ 14 โอ้! ได้ความรู้เพิ่มขึ้นมากทีเดียวหลังอ่านกระทู้นี้ ภาษานี่มีอะไรให้เรียนรู้เยอะจริงๆ นี่แหละ Lifelong Learning จากคุณ : Flowery - [ 4 มี.ค. 51 10:26:30 ]

ความคิดเห็นที่ 15 โอ้ว โอบาม่า! (เบื่อพระเจ้า จอร์จแล่ว) ขออุทานมั่ง... เยี่ยมจริง ๆ ครับกระทู้นี้ ผมก็คิดว่าทุกคำมันมีต้องมีที่มาที่ไป ทีนี้กระจ่างเลย เป็นผมคงตอบง่าย ๆ ว่าเพราะมันออกเสียงง่ายกว่า แค่แอบสงสัยว่านักเรียนที่ถามนี่ระดับไหน ประถม หรือเด็กอักษรฯ เหอะ ๆ จากคุณ : นัท305 - [ 4 มี.ค. 51 11:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 16 "โอ้ว โอบาม่า!" ชอบคำอุทานนี้มากๆ ขอยืมไปใช้บ้างคงได้นะคะ เพราะกำลังจะมาเป็น My next President. ชัวร์ที่สุดค่ะ จากคุณ : กุลธิดา (kdunagin) - [ 4 มี.ค. 51 11:56:27 ]

ความคิดเห็นที่ 17 "..ภาษาเป็นสิ่งที่เป็นระบบ เพราะฉะนั้นเราต้องสามารถอธิบายระบบมันได้ครับ ขึ้นอยู่กับว่าคุณค้นคว้าวิจัยลึกแค่ไหนเท่านั้นเอง.." >> จริงที่สุด ขอบคุณครับ ฟังผู้รู้อธิบายแล้วเห็นด้วยอย่างยิ่ง ขอบคุณอาจารย์ krisdauw มากครับ ว่าแต่เจ้าของกระทู้เอาอรรถาธิบายของอาจารย์ไปชี้แจงต่อให้นักเรียนนี่ ถ้านักเรียนที่เอาเรื่องเอาราวหน่อยนี่จะไปได้ไกลเลยนะนั่น เพราะท่าทางจะขี้สงสัย จากคุณ : แอ๊ด ปากเกร็ด - [ 4 มี.ค. 51 13:54:00 ]

ความคิดเห็นที่ 18 อะจึ๋ยเจี๊ยก.....อะไรจะลึกซึ้งปานนั้น ไม่นึกว่าในห้องสมุดนี้จะมีปรมาจารย์มาเป็นบรรณารักษ์ ถามมาเถอะมีคำตอบทั้งนั้น นับถือๆๆ คุณแอ๊ดนี้มีอารมณ์ขันนะ อ่าน ตย. ที่คุณยกมา ผมอมยิ้มไปนานเลย คุณtexasprofessor (krisdauw)และคุณ Tartaria (Hotacunus) ทั้ง 2 ท่านนี้ เป็นนักภาษาศาสตร์ที่น่าทึ่งในความรู้ความสามารถในการอธิบายจริงๆ กระจ่างเลย บางทีเวลาผมบอกเด็กๆว่าให้จำๆ อย่าถามมาก พอเห็นเขาทำหน้าตาแบบงงๆ เพราะไม่เห็นความชัดเจน ผมก็สงสาร เสมือนว่า เราไม่แก้ปัญหาให้เขา แต่ตอนนี้ ผมมีคำอธิบายให้เขาแล้วล่ะ แต่คงต้องทำให้เรื่องมันง่ายๆหน่อย แต่นั้นล่ะ เทียบกับทุกท่านแล้ว ความรู้ทางภาษาศาสตร์ผมนี้เท่าหางอึ่งเลย ดีใจจังครับ เหมือนปมที่ติดค้างอยู่ในใจ คลายตัวออกแล้ว ขอขอบคุณทุกๆท่าน ที่มาร่วมแลกเปลี่ยนความเห็น ขนาดคุณ thaispicy ที่สิงสถิตย์ห้องไกลบ้านยังมาแจมเลย โชคดีทุกๆท่านครับ จากคุณ : จขกท - [ 4 มี.ค. 51 14:11:48 A:118.173.205.0 X: TicketID:168918 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ขอขอบคุณคณาจารย์หลายๆ ท่านที่ได้เข้ามาช่วยแสดงความคิดเห็นอันเป็นประโยชน์แก่การเรียนการสอนภาษาอังกฤษในประเทศไทย แน่ใจว่า "ห้องเรียนภาษาอังกฤษ" ใน pantip.com จะเป็นแหล่งการเรียนรู้สำคัญสำหรับ "ผู้เรียน" และ "ผู้สอน" ขอให้กำลังใจครับ จากคุณ : nungning - [ 4 มี.ค. 51 17:45:14 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ได้ความรู้มาเยอะเลยค่ะ เห็นทีต้องค้นคว้าหาความรู้เพิมเติมเสียแล้ว จากคุณ : ryuzaki - [ 4 มี.ค. 51 19:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ใช่เลยอย่างที่คุณ nungning ว่า เราก็เชื่อมั่นว่า "ห้องเรียนภาษาอังกฤษ" ที่เราช่วยกันโหวตมาจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่สำคัญสำหรับทั้งผู้เรียนและผู้สอนภาษาอังกฤษ นี่ขนาดก่อตั้งมายังไม่ถึงสัปดาห์ยังคึกคักขนาดนี้ เพื่อนๆ ก็หลากหลายมากๆ ไม่ว่าจะวัยรุ่นอย่างเรา หรือรุ่นเก๋าอย่างคุณ K.Senior หรือระดับนักภาษาศาสตร์อย่างอาจาย์ Krisda และคุณ Tartaria (Hotacunus) ดีใจจริงๆ เลย   จากคุณ : Flowery - [ 4 มี.ค. 51 21:12:25 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ภะ ภาษาศาสตร์!!! จากคุณ : Alovera - [ 4 มี.ค. 51 21:34:32 ]

ความคิดเห็นที่ 23 ขอบคุณทุกๆ ท่านครับ เรื่องการเรียนภาษานั้น (ไม่ว่าภาษาไหนก็ตาม) ในความคิดของผม การท่องจำเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดครับ ที่มาที่ไปนั้น เอาไว้ทีหลัง ค้นกันได้ ตอนที่เราพูดได้แล้ว แต่พูดให้ได้ เรียงประโยคให้ถูก ตามเจ้าของภาษาเป็นสิ่งสำคัญกว่า มีเพื่อนชาวต่างชาติของผมหลายคน ที่ผมถามว่าทำไมต้องใช้แบบนี้ ทำไมต้องพูดแบบนี้ ทำไมต้องใช้กาลรูปนี้ เค้าตอบกันไม่ได้ครับ ตอบแต่ว่า "ไม่รู้อ่ะ ก็พูดกันมาแบบนี้" ๕๕๕๕๕ ดังนั้น ท่องให้ขึ้นใจก่อนจะดีกว่าครับ แล้วมาทำความเข้าใจทีหลัง (หรือ พร้อมๆ กันไปได้ก็ยิ่งดี) ถ้าคุณท่องจำศัพท์พื้นฐาน และรูปประโยคพื้นฐานได้แล้ว คราวนี้ก็จะเรียนต่อได้อย่างเร็วครับ จากคุณ : Tartaria (Hotacunus) - [ 5 มี.ค. 51 08:32:36 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณค่ะ ได้ความรู้ขึ้นเยอะเลยค่ะ เก่งกันทั้งนั้นเลยค่ะ จากคุณ : แม่น้องแคท - [ 5 มี.ค. 51 08:36:26 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เห็นด้วยกับ คห 23 อย่างยิ่ง ขอขอบคุณคุณTartaria (Hotacunus) อีกครั้ง จากคุณ : จขกท - [ 5 มี.ค. 51 13:41:47 A:118.173.203.229 X: TicketID:168918 ]