ความคิดเห็นที่ 1 คนเราก็ต้องมีดีอย่าง เสียอย่างสิค่ะ คุณ มีดีที่คุณขยัน ถึงเข้าได้ เขามีดีที่เขาเป็นนักกีฬา เขาถึงเข้าได้ เปิดใจให้กว้างหน่อยค่ะ จากคุณ : KKK (ตะวันสีชมพู) - [ 8 มี.ค. 51 12:26:34 ]

ความคิดเห็นที่ 2 เขาอาจจะไม่เก่ง แต่เขาก็ควรที่จะมีโอกาสที่จะได้เรียน และที่ที่คุณเรียน เขาก็คำนึงถึงความเท่าเทียมที่คนที่อาจจะไม่เก่งเท่าคุณ ควรจะได้รับโอกาสทางการศึกษา คุณร่าจะภูมิใจที่สถาบันที่คุณเรียนเขาคิดและเปิดโอกาสให้คนที่เขาอาจจะไม่เก่งได้มีโอากาสเรียน เพราะบางที่เขาไม่คำนึงถึงเรื่องพวกนั้น เขาจจะไม่ใช่คนเก่งในสายตาคุณ แต่เขาก็เก่งเรื่องกีฬา ที่คุณอาจจะไม่เก่งเท่า และเขาก็อาจจะเป็นคนดี คุณน่าจะภูมิใจที่คุณมีเพื่อนที่เขาได้รับโอกาสจะสถาบันที่เขาใจกว้างและคำนึงถึงโอกาสของคนทุกคน และเขาก็อาจจะเป็นเพื่อนที่ดี มากกว่าที่คุณได้ไปเรียนที่ที่ดี มีแต่คนเก่ง แต่อาจจะมีเพื่อนเป็นคนไม่ดี จากคุณ : ฮูล่าโอมมี่ - [ 8 มี.ค. 51 12:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แฮะๆ ไม่รู้จะว่าไงดี แต่โลกก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้วนี่นะคะ แต่ในกรณีนี้ เค้าเป็นนักกีฬา เค้าเข้าโควต้านักกีฬาได้ก็ต้องเล่นกีฬาเก่งใช่ไหมล่ะคะ จะเล่นเก่งได้มันก็ต้องขยันฝึกซ้อมอยู่เหมือนกันนี่นา ถ้าจะบอกว่ายุติธรรมหมายถึงให้เค้ามาสอบข้อสอบเดียวกับคุณใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้ามองกลับกัน จะให้ยุติธรรมกับเค้า ก็ต้องให้คุณมาทดสอบเรื่องกีฬากับเค้าด้วยนะเออ ถ้าคิดว่าที่ๆคุณเรียนมีแต่คนเก่งเรียนได้ก็ไม่ต้องว่าอะไรหรอกค่ะ เพราะถ้าเค้าโง่จริงๆเค้าก็คงเรียนไม่ได้ต้องออกอยู่ดี ข้าพเจ้าพูดในฐานะคนโง่ เลยอาจลำเอียงไปบ้าง(เห็นไหมว่าโลกก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว) แต่ว่าเราก็ต้องให้โอกาส เปิดใจให้คนอื่นบ้างนะคะ อย่างข้าพเจ้าทั้งโง่ ทั้งขี้เกียจ โดดเรียนได้เป็นโดด เพื่อนคนอื่นมันขยันๆ แต่ได้เรียนที่เดียวกัน เพราะระบบแอดมิดชั่นใหม่+ดวง(เราเข้าได้เพราะมีแอดกลาง)  แต่เพื่อนเราก็ไม่เคยโวยวายว่าทำไมแกเข้าได้ แกต้องเข้าไม่ได้ ซะหน่อย เพราะเข้ามาแล้วเราก็ต้องมานับ1เริ่มต้นกันใหม่ที่จุดเดียวกันอยู่ดี หลังจากนั้นมันจะเป็นยังไงก็ต้องแล้วแต่คนกันล่ะ ...นอกเรื่องไปไหม...ข้าน้อยขอโทษที่นอกเรื่อง- -"...และขอโทษที่เห็นใจท่านน้อยไป จากคุณ : โลกนี้ยังคงน่ารักเสมอ - [ 8 มี.ค. 51 12:46:54 ]

ความคิดเห็นที่ 4 เรามีความรู้สึกว่า คุณ............. คิดเอาเองนะ  คนเราไม่ได้ความสำเร็จจากการสอบมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง เป็นเพียงแค่ก้าวแรกเท่านั้น  บางทีคนที่คุณว่าโง่  อาจจะประสบความสำเร็จกว่าคุณก็ได้ ทำไมไม่ลองคิดการที่เข้าเรียนที่เดียวกับคุณ จะได้มีคนเก่งเยอะๆไปช่วยพัฒนาบ้านเมือง ลองคิดดูบ้างๆนะ เราว่านะคงมีคนแบบพวกคุณอยู่เยอะ ถึงได้มีผลต่อการพัฒนาบ้านเมือง แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 12:50:48 จากคุณ : lillylady - [ 8 มี.ค. 51 12:50:14 ]

ความคิดเห็นที่ 5 "ถ้าจะบอกว่ายุติธรรมหมายถึงให้เค้ามาสอบข้อสอบเดียวกับคุณใช่ไหมล่ะคะ แต่ถ้ามองกลับกัน จะให้ยุติธรรมกับเค้า ก็ต้องให้คุณมาทดสอบเรื่องกีฬากับเค้าด้วยนะเออ" ที่นี่มันมหาวิทยาลัยวิชาการนะคับ ไม่ใช่วิทยาลัยพละศึกษา ที่ผมต้องไปเล่นกีฬาแข่งกับเค้าเพื่อเข้าไปเรียน ที่ที่ผมเรียนเน้นวิชาการ ที่ควรให้คนที่มีความสามารถด้านวิชาการเข้าศึกษา เค้าเข้ามาเรียนทำให้คนเก่งวิชาการต้องหมดสิทธิ์เรียนที่นี่ มันสมควรเหรอคับ ได้นักกีฬาแรงเยอะ สมองน้อยมา แต่ลดจำนวนคนเก่งทางวิชาการลงไป จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 12:52:24 A:118.174.89.172 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ยึดติดอะไรมากไปหรือเปล่าค่ะ? ถ้ามองโลกอย่างนี้ทุกสิ่งทุกอย่างมันก็ไม่ยุติธรรมอยู่แล้ว ลองปรับเปลี่ยนทัศนคิตมองคนอื่น มองโลกในแง่ + บางก้อดีนะค่ะเพราะจะทำให้ความคิดความอ่านของเราเปิดกว้างขึ้น อย่ามัวแต่ตีกรอบความคิดไว้แค่นี้สิค่ะ เปิดใจยอมสิ่งต่างๆถ้าคิดแค่นี้ชีวิตคุณคงไม่มีความสุข ขอยกตัวอย่างปัญหาของประเทศญี่ปุ่นให้ฟัง ฮิคิโคโมริ นายแพทย์ประเสริฐ ผลิตผลการพิมพ์ มีรายงานว่าเด็กญี่ปุ่นจำนวนมากมีอาการของ Hikikomori Syndrome มาตั้งแต่ปี ๑๙๙๖ นอกจากญี่ปุ่น ยังพบรายงานเกี่ยวกับเด็กที่มีอาการคล้ายคลึงกันนี้จากประเทศเกาหลี ไต้หวัน และสิงคโปร์ด้วย เป็นที่น่าสังเกตว่าประเทศที่กล่าวมาล้วนเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจมั่งคั่งทั้งสิ้น และเท่าที่ทราบ ยังไม่มีรายงานกลุ่มอาการนี้อย่างเป็นทางการในประเทศไทย เด็กที่มีอาการของฮิคิโคโมริซินโดรม หรือป่วยด้วยโรคฮิคิโคโมริ หมายถึง เด็กที่แยกตัวออกจากสังคม เก็บตัวอยู่เฉพาะในห้องส่วนตัว หรือในบ้าน เป็นแรมเดือนหรือหลายปี ก่อนที่จะลงรายละเอียดของโรคหรือกลุ่มอาการนี้ มีหลายประเด็นที่ควรทำความเข้าใจก่อน หรือจะพูดให้ถูกคือ ถึงตอนนี้ก็ยังมีอีกหลายเรื่องเกี่ยวกับฮิคิโคโมริที่เรายังไม่เข้าใจ จิตแพทย์และนักจิตวิทยาญี่ปุ่นจำนวนหนึ่งให้ความเห็นว่า ฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น เป็นปรากฏการณ์ทางสังคม และมิใช่โรค โดยเฉพาะอย่างยิ่งมิใช่โรคทางจิตเวช หากฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น ก็จะมีคำถามตามมาว่าญี่ปุ่นมีอะไรที่ชาติอื่นไม่มี คำตอบคือ ญี่ปุ่นมีระบบการศึกษาที่เคี่ยวเข็ญเด็กอย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างที่เราทราบกันว่าการแข่งขันของเด็กญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ชั้นอนุบาล ญี่ปุ่นมีระบบการจ้างงานตลอดชีวิต มีวัฒนธรรมการทำงานที่เรียกร้องให้คนทำงานหนัก หนักกว่า และหนักที่สุด ญี่ปุ่นมีเทคโนโลยีการสื่อสารเลิศที่สุดในโลก ที่สำคัญคือ ญี่ปุ่นผ่านความบอบช้ำอย่างรุนแรงหลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ทั้งสงครามโลกครั้งที่ ๒ ระบบการศึกษาแบบญี่ปุ่น และวัฒนธรรมการทำงานแบบญี่ปุ่น เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและมีอยู่ในสังคมญี่ปุ่นมานานครึ่งศตวรรษแล้ว ซึ่งนักสังคมวิทยาเชื่อว่าทั้งหมดนี้เป็นการบ่มเพาะปรากฏการณ์ฮิคิโคโมริที่สำคัญก่อ นที่จะถูกกระตุ้นให้แสดงออกอย่างชัดเจนด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารในช่วง ๑๐ ปีหลัง เหล่านี้คือสิ่งที่ชาติอื่นไม่มี และแม้ว่าระบบการศึกษาและวัฒนธรรมการทำงานอาจเป็นเรื่องที่เลียนแบบกันได้ แต่ประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ ๒ แบบที่ญี่ปุ่นเผชิญ เป็นเรื่องพิเศษเฉพาะตัว และเมื่อมองว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ไม่ใช่โรค เพราะฉะนั้นการใช้คำว่า “โรค” หรือ “Syndrome” ในบทความนี้จึงอาจถือว่าผิด นักจิตวิทยาญี่ปุ่นมีความเห็นว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมอย่างแท้จริง เกิดขึ้นเพราะเด็กญี่ปุ่นไม่ยอมรับวิถีชีวิตในสังคมของคนส่วนใหญ่ เขาจึงกำหนดตนเอง (autonomy) “เป็น” ฮิคิโคโมริ เขาพอใจชีวิตที่เป็นและไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร หากจะมีผลเสียอยู่บ้างก็คือ เมื่อเขาใช้ชีวิตในห้องนานๆ ก็จะขาดทักษะในการเข้าสังคมกับคนส่วนใหญ่ ขอให้สังเกตข้อความในย่อหน้าที่ผ่านมา เราจะไม่พูดว่า “เด็กญี่ปุ่นไม่ยอมรับวิถีชีวิตในสังคมของคนปรกติ” เพราะนั่นเท่ากับบอกว่าเด็กฮิคิโคโมริผิดปรกติ นอกจากนี้การที่นักจิตวิทยาเลือกใช้คำว่า “autonomy” ก็เป็นการย้ำว่าฮิคิโคโมริเป็นพัฒนาการของคนกลุ่มหนึ่ง เพราะคนทุกคนเมื่อพัฒนาไป ย่อมผ่านจุดที่จะต้องมี autonomy ด้วยกันทั้งนั้น เมื่อมองว่าฮิคิโคโมริไม่ใช่โรค การช่วยเหลือเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริจึงเป็นเพียงการนำตัวเด็กเหล่านั้นมารวมกลุ่มก ันแล้วใช้ระบบเพื่อนช่วยเพื่อน เพื่อไม่ให้พวกเขาตัดขาดจากสังคมภายนอกมากจนเกินไป ในทางตรงข้าม หากฮิคิโคโมริเป็นโรค การรักษาก็จะมุ่งไปในทางวินิจฉัยให้จงได้ว่าพวกเขาแต่ละคนป่วยเป็นโรคอะไรกันแน่ เช่น เป็นโรคจิตเภท (Schizophrenia) โรคซึมเศร้า (Major Depression) โรคกลัวที่โล่ง (Agoraphobia) โรคตื่นตระหนก (Panic Disorder) หรือแม้กระทั่งเป็นบุคคลออทิสติก (Autistic) เมื่อวินิจฉัยแล้วก็จ่ายยาหรือทำจิตบำบัดเฉพาะโรคไปตามการวินิจฉัยนั้น ข้อเสียสำคัญของการมองฮิคิโคโมริเป็นโรค คือทำให้เกิดการตีตรา (stigma) การตีตราเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้ครอบครัวไม่ยอมรับว่าเด็กของตนกำลังมีอาการของฮิคิ โคโมริซินโดรมและต้องการความช่วยเหลือ ทำให้การช่วยเหลือเนิ่นช้าออกไปและยิ่งยากต่อการช่วยเหลือมากขึ้นทุกที ยิ่งไปกว่านั้น ตอนที่ข่าวฮิคิโคโมริปรากฏในสังคมญี่ปุ่นครั้งแรกๆ ได้เกิดความคลาดเคลื่อนในการรายงานข่าว โดยมีการระบุว่าเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริทำร้ายมารดาของตนอย่างรุนแรง ส่งผลให้สังคมญี่ปุ่นหวาดระแวงเด็กฮิคิโคโมริ เกี่ยวกับเรื่องการตีตราหรืออคติที่มีต่อผู้ป่วยจิตเวชนั้น ถ้าจะให้เห็นภาพชัดขึ้นคงต้องยกกรณีตัวอย่างที่เกิดขึ้นในบ้านเรา นั่นคือกรณีหญิงสาวที่ใช้มีดทำร้ายนักเรียนในบริเวณโรงเรียน และกรณีชายหนุ่มที่ทำลายพระพรหมเอราวัณจนกระทั่งตนเองถูกรุมทำร้ายถึงตาย จริงอยู่ที่ผู้ก่อเหตุทั้งสองเป็นผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรังซึ่งไม่สามารถรักษาให้หายขาด ได้ แต่ประเด็นคือ หากสังคมไม่มีอคติ และรู้ว่าโรคจิตเกิดจากสารเคมีบางตัวในสมองผิดปรกติ ผู้ป่วยทั้งสองก็จะได้รับการรักษาพยาบาลโดยเร็วตั้งแต่หลายปีก่อน และสามารถหายขาดได้ในที่สุด แทนที่จะกลายมาเป็นผู้ป่วยโรคจิตเรื้อรัง จนกระทั่งก่อเหตุ และนำมาสู่บทลงเอยเช่นนั้น สำหรับฮิคิโคโมริ เนื่องจากนักวิชาการญี่ปุ่นเกรงว่าสังคมจะมีอคติ จึงพยายามไม่ผูกโยงคำว่าฮิคิโคโมริเข้ากับเรื่องทางจิตเวช พวกเขาต้องการให้มองฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคมเท่านั้น แต่ในอีกทางหนึ่ง เมื่อมองว่าฮิคิโคโมริเป็นปรากฏการณ์ทางสังคม ก็ทำให้วงวิชาการละเลยและไม่เอาจริงเอาจังกับผู้ที่มีอาการฮิคิโคโมริ ผลที่เกิดขึ้นคือ ไม่มีใครทราบตัวเลขที่แท้จริงของเด็กที่ “เป็น” ฮิคิโคโมริในญี่ปุ่น อาจจะเพราะไม่สนใจที่จะสำรวจทางระบาดวิทยาอย่างจริงจัง หรืออาจเพราะครอบครัวของเด็กฮิคิโคโมริส่วนใหญ่ปิดบังข้อมูลเพราะความอับอาย เอกสารบางชิ้นระบุว่าญี่ปุ่นมีเด็กฮิคิโคโมริถึง ๑ ล้านคน ขณะที่เอกสารบางชิ้นก็ว่ามีเพียง ๕ หมื่นคนเท่านั้น ครอบครัวของเด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริมักจะอับอายที่มีเด็กเช่นนี้อยู่ในบ้าน เมื่ออับอายก็ซ่อน เมื่อซ่อนก็เท่ากับหมักหมมปัญหา ทำให้อาการของเด็กรุนแรงมากขึ้นและยากต่อการเข้าช่วยเหลือ ยิ่งไปกว่านั้นนักจิตวิทยาจำนวนหนึ่งยังเชื่อว่า สาเหตุไม่ใช่เพียงเพราะครอบครัวอับอาย แต่ที่แท้แล้วเด็กฮิคิโคโมริเกิดขึ้นได้ก็เพราะครอบครัวของเด็กเอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณแม่ สนับสนุนให้เป็นเช่นนั้น อย่างน้อยก็ในตอนเริ่มต้น คุณแม่จำนวนมากเริ่มต้นเรื่องนี้เพราะต้องการปกป้องลูกของตนจากการถูกรังแกที่โรงเรี ยน ทั้งยังเห็นว่าการที่ลูกขังตัวเองอยู่ในห้องในบ้านในสายตา ก็ยังดีกว่าหายตัวไปข้างนอก ปัจจัยสำคัญอีกข้อที่ไม่ควรมองข้ามก็คือ โลกปัจจุบันรวมทั้งสังคมญี่ปุ่น ไม่เว้นแม้แต่สังคมไทย มาถึงจุดที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกให้คนคนหนึ่งสามารถขังตัวเองได้อย่างสมบูรณ์ เด็กที่มีอาการฮิคิโคโมริมักเป็นเด็กผู้ชายและมักเป็นลูกคนโต เด็กเหล่านี้จะไม่ไปโรงเรียน ใช้ชีวิตในห้องส่วนตัวตลอดเวลา ส่วนใหญ่จะนอนตอนกลางวันและตื่นตอนกลางคืน อาจจะออกจากห้องไปที่ครัวในกลางดึกบ้างเพื่อหาอาหารกิน หรือมีบ้างที่จะออกจากบ้านกลางดึกเพื่อไปซื้อเสบียงจากร้านสะดวกซื้อที่เปิดตลอด ๒๔ ชั่วโมง กิจกรรมที่พวกเขาทำขณะตื่นกลางดึกนั้นคือดูทีวีไปเรื่อยๆ เซิร์ฟไปตามเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน เรียกได้ว่าครบสูตร หนักที่สุดคือนั่งจ้องผนังเฉยๆ ไปเรื่อยๆ ขอให้สังเกตว่าพวกเขาไม่นิยมแช็ตหรือส่งเมลให้ใครหรือสื่อสารกับใครแม้ในความจริงเสม ือน พวกเขาอาจมีโทรศัพท์มือถือไว้ข้างตัวแต่ก็มิใช่เพื่อการพูดคุย พวกเขาสร้างโลกเสมือนขึ้นเพื่อให้ตนเองอยู่อย่างแท้จริง และพวกเขาสามารถอยู่ได้จริงๆ ตลอดไปเสียด้วย หลายปีมานี้ผมพบเด็กไทยในครอบครัวคนชั้นกลางเขตเมืองที่ไม่เรียนหนังสือมากขึ้น เด็กเหล่านี้จะอยู่บ้านเฉยๆ เล่นเน็ต เล่นเกม และอ่านการ์ตูน แต่ที่พิเศษกว่าเด็กฮิคิโคโมริ คือพวกเขาเมาท์ แช็ต และบางคนชอปด้วย จึงยังไม่อาจเรียกว่าฮิคิโคโมริได้เต็มปาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อคิดว่าเราไม่เคยแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ (ที่จริงแล้วเขาว่าเราเป็นผู้ชนะเสียด้วยซ้ำไป) และต่อให้เรามีการศึกษาระบบทารุณกรรม แต่เราก็ยังไม่มีวัฒนธรรมการจ้างงานตลอดชีวิต เราไม่มีแม้กระทั่งวัฒนธรรมการทำงานหนัก เด็กพวกนี้จึงไม่ใช่เด็กฮิคิโคโมริ อย่างไรก็ตาม มีข้อเหมือนอยู่ประการหนึ่ง นั่นคือพฤติกรรมเช่นว่านี้พบเฉพาะเด็กในครอบครัวคนชั้นกลางเท่านั้น ครอบครัวที่พ่อแม่รวยพอที่จะปรนเปรอลูกด้วยวัตถุถึงห้องนอน แต่ก็ไม่รวยพอที่จะส่งลูกหนีจากการศึกษาระบบทารุณกรรมไปเรียนต่างประเทศ ที่แท้แล้วเด็กแยกตัวบ้านเราเป็นเด็กอะไร ? http://www.sarakadee.com/web/modules.php?n...ticle&artid=604 จากคุณ : หนูมาลี (hamanda) - [ 8 มี.ค. 51 12:52:53 ]

ความคิดเห็นที่ 7 คุณ lillylady คับ เพราะต้องการให้คนที่มีความสามารถเหมาะสมกับสิ่งที่เรียนจริงๆเข้ามาเรียนนะสิคับ ถึงไม่เห็นด้วยกับพวกนักกีฬาพวกนี้ เข้ามาเรียนก็เรียนไม่ดี เรียนไม่ได้ ไม่มีเวลาเรียน ต้องไปซ้อม ต้องไปแข่ง น่าจะเอาสิทธิ์นี้ไปให้กับคนที่ตั้งใจเรียนในสาขาวิขานี้จริงๆดีกว่า ถ้าเค้าจะไปเรียนวิชาเกี่ยวกับพละศึกษา ผมไม่ว่าอะไรเลย แต่นี่ไม่ใช่ แล้วอย่างนี้จะได้คนเก่งออกไปพัฒนาบ้านเมืองได้ยังไง คงได้คนที่มีความรู้แค่งูๆปลาๆ จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 12:56:06 A:118.174.89.172 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ใช่ว่าคุณจะดีคนเดียวนี่ครับ? คุณเรียนเก่ง เค้าเล่นกีฬาเก่ง สมควรให้โอกาสคนบ้างครับ สถาบันศึกษาใช่จะมีไว้เพื่อเรียนอย่างเดียว กิจกรรมก็ต้องมีด้วย อีกอย่าง นักกีฬาก็ใช่ว่าจะ "โง่" นะครับ เพียงแต่เค้าไม่ "ฉลาด" เท่าคุณ เท่านั้นเอง (ตามที่คุณคิด) ถ้าน้อยใจ เสียใจ รู้สึกเหมือนว่าโดนหลอก ผมว่า ออกไปเรียนคนละที่กับเค้าดีกว่าครับ เพราะว่าความน้อยใจ เสียใจรู้สึกเหมือนโดนหลอกของคุณนั้น ผมว่ามาจากการเห็นเค้าได้เท่าเทียมคุณมากกว่า ถ้าเค้าได้ทุน ได้โควต้านักกีฬา กับสถาบันอื่น คุณคงสบายใจกว่านี้ เพราะไม่ต้องร่วมสถาบันกัน... ดังนั้นถ้าทำใจให้กว้างไม่ได้ ผมว่าอย่าอยู่ให้เห็นตำตาเลยครับ...ดีไม๊???????? ปล. อย่างที่หลายๆคนบอกไว้ในกระทู้นะครับ....."เปิดใจให้กว้างขึ้นอีกนิดนะครับ" จากคุณ : น้องกี้...ความรู้แค่คืบ - [ 8 มี.ค. 51 12:56:57 ]

ความคิดเห็นที่ 9 แล้วอย่างนี้จะได้คนเก่งออกไปพัฒนาบ้านเมืองได้ยังไง คงได้คนที่มีความรู้แค่งูๆปลาๆ ^ ^ ^ ผมว่าอย่างคุณมีความรู้ก็ไม่ได้พัฒนาบ้านเมืองหรอก เพราะเห็นแต่โลกของตัวเองน่ะ ถ้าคุณเป็นคนใจแคบและมองอะไรด้านเดียวแบบนี้ต่อไป อนาคตไม่ใช่ว่าคนอื่นเขาจะเป็นปัญหาสำหรับคุณนะครับ แต่คุณนั่นแหละที่จะกลายเป็นปัญหาของคนอื่น จากคุณ : คุณหยึย - [ 8 มี.ค. 51 13:16:37 A:58.64.86.73 X: ]

ความคิดเห็นที่ 10 ถามหน่อยสิคะว่าคณะอะไร แล้วที่ว่าเขาเรียนไม่เก่งเนี่ย ไม่เก่งขนาดไหน สมมติสอบได้แค่ 1.9 ต่อให้เป็นนักกีฬาโอลิมปิค เขาก็คงไม่ให้เรียนหมอหรอกนะ จากคุณ : ทินา - [ 8 มี.ค. 51 13:30:09 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คุณก็แค่เรียนเก่งนะครับ แต่ความคิดความอ่านแคบเกินไป คือผมมองจากจุดของผมเอง ไม่ได้บอกว่านี่คือสิ่งที่ถูกต้องที่สุดนะครับ แต่ผมเชื่ออย่างนี้ครับว่า คนแต่ละคนมีความสามารถของตัวเอง ซึ่งเมื่อรู้จักพัฒนาและใช้มันให้เป็นประโยชน์ มันก็จะช่วยพัฒนาประเทศได้ทั้งนั้นนะครับ คนที่เรียนเก่ง อาจจะเพราะหัวดีหรือเพราะขยันมาก ๆ ก็แล้วแต่ล่ะ มักจะมองเห็นคนที่เรียนไม่เก่งเป็นเหมือนคนที่ไม่เป็นโล้เป็นพาย แล้วเมื่อเห็นเค้าได้ดีกว่าที่คาด ก็มักจะเกิดความรู้สึกต่อต้านขึ้นมา ผมคิดว่าคุณกำลังเป็นแบบนั้น ซึ่งตอนนี้คุณเป็นแค่คนเรียนเก่งเท่านั้นนะครับ แล้วคุเก่งอย่างอื่นอีกหรือไม่ มีอะไรที่คุณทำได้ไม่มีบ้าง หรือว่าคุณเก่งไปหมดทุกเรื่องครับ มองให้กว้าง ๆ กว่านี้แล้วคุณจะพบว่าตัวคุณเองก็แค่รู้มากในบางเรื่อง ซึ่งคนที่คุณพาดพิงถึงนั้นเค้าก็เป็นเช่นเดียวกับคุณครับ เค้ารู้มากแค่บางเรื่องเหมือนกัน คุณกับเค้าไม่ต่างกันเลย แล้วใยจะต้องเป็นแค่คุณที่ต้องได้เรียนที่ที่คุณว่ามานี้ มองโลกอย่างเท่าเทียม แล้วคุณจะเก่งขึ้นอีก ไม่ได้จมอยู่แค่กับตัวเองอย่างตอนนี้นะครับ ตอนนี้ผมเรียนจะจเอกแล้ว ยังวิ่งไปขอลายเซ็นต์นักบอลอยู่เลยครับ คนเรามันเก่งต่างกันครับ จากคุณ : เป็นเอก - [ 8 มี.ค. 51 13:43:30 A:172.18.206.235 X:133.62.137.102 TicketID:148450 ]

ความคิดเห็นที่ 12 โอกาสที่เค้าได้เข้ามาเรียนมันควรจะเป็นของเด็กคนอื่นที่มีความสามารถมากกว่า แล้วเงินทุนที่เค้าได้ก็ควรให้เด็กเรียนดีที่ขาดแคลนทุนทรัพย์มากกว่า เค้าเข้ามาเรียนโดยโควต้านักกีฬา มันไม่ยุติธรรมกับเด็กคนอื่นที่เรียนดีแต่โดนโควต้านักกีฬาเบียดออกไปไม่ใช่เหรอ ผมจะดีใจกว่าถ้ามีเพื่อนที่เรียนเก่ง ตั้งใจเรียน และเอาชนะผมได้ มากกว่าเพื่อนที่ผมชนะได้ง่ายๆ และไม่มีความเหมาะสมที่จะเรียนที่เดียวกับผม เดาได้เลยว่าเค้าไม่สามารถเรียนจบได้ ต้องออกไปเรียนที่อื่น เท่ากับปิดโอกาสให้คนที่มีความสามารถเข้ามาเรียนที่นี่ไปอีก และเงินทุนที่ได้ก็เสียเปล่า จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 14:55:40 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ผมขอยอมรับความคิดเห็นเฉพาะคนที่จบหรือเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมเท่านั้นนะคับ เพราะคนอื่นไม่ได้รักในสถาบันนี้เท่ากับที่ผมรู้สึกหรอก จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 14:58:30 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ผมมองเฉพาะในแง่ของความเหมาะสมด้านวิชาการ เพราะมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนเน้นวิชาการ ไม่ใช่วิทยาลัยพละศึกษา นะคับ ดังนั้นคนที่เข้ามาเรียนจึงควรมีคุณสมบัติในด้านวิชาการที่เหมาะสม ถ้าคุณมองว่าความสามารถด้านกีฬาเป็นส่งสมควรที่ทำให้ได้เรียนที่นี่ อย่างนี้ถ้าบางคนมีความสามารถด้านการเงิน ก็สมควรได้เรียนเพราะยัดเงินเข้าเรียนได้ใช่หรือเปล่าคับ จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 15:02:06 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 15 คุณยังไม่เลิกใจแคบจริง ๆ นะครับเนี่ย ถ้าเช่นนั้น ก็ดูกันต่อไปนะครับว่าอะไรจะเกิดขึ้นต่อไป อย่างที่บอกคือ คนเรามันเก่งต่างกันครับ คนหนึ่งคนจะเป็นคนที่สมบูรณ์ไม่ใช่แต่ว่าจะต้องเก่งวิชาการเท่านั้นนะครับ ถ้าคุณอยู่แต่ในโลกวิชาการของคุณ สักวันหนึ่งเมื่อออกจากวงโคจรนั้นมาได้ คุณก็จะพบว่าที่ผ่านมาชีวิตที่มีแค่ด้านเดียวนั้นมันไม่คุ้มค่าเลยจริง ๆ ผมก็ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยพลศึกษานะครับ แต่ไม่เห็นจะคิดแบบคุณเลย ที่สำคัญก็อย่าคิดออกนอกลู่นอกทางสิครับ จะไปพาลเรื่องมีเงินมีทอง ยัดเงินเข้าเรียนอะไรนั่นทำไมกัน คนที่เก่งกีฬาแต่เรียนไม่เก่งนี่เสียหายมากเหรอครับ คือว่าคุณจะไม่คบคนเหล่านี้เลยหรือครับ แล้วคุณจะคบคนแบบไหนครับ คนที่เก่งเหมือนกันเท่านั้นหรอครับ เอาเป็นว่า ที่พยายามบอกอยู่เนี่ยคือหวังดีนะครับ ผมก็ไม่ได้เป็นไอ้โง่ที่ไหนที่จะมาแนะนำคุณไม่ได้นะครับ เอาเป็นว่า เห็นโลกมาพอสมควรแล้ว เลยรู้ว่าที่คุณกำลังคิดอยู่เนี่ย มันคับแคบเกินไป จากคุณ : เป็นเอก - [ 8 มี.ค. 51 15:22:03 A:172.18.206.235 X:133.62.137.102 TicketID:148450 ]

ความคิดเห็นที่ 16 อ่านแล้ว เห็นด้วยกับจขกทครับ ที่เห็นด้วยก็เพราะ ความสามารถมันไม่ตรงกันครับ เช่นได้โควต้านักกีฬามาเรียนวิศวะ  คือความสามารถมันไม่เกี่ยวกันเลยครับ แบบนี้ก็ทำให้คนที่อยากจะเรียนจริงๆก็เสียโอกาส จริงๆแล้วที่ทางมหาวิทยาลัยบอกว่าเพื่อส่งเสริมกีฬาอะไรนั่น ที่จริงแล้วทำเพื่อชื่อเสียงหน้าตาของมหาวิทยาลัยแหละครับ ถ้าจะส่งเสริมกีฬาก็น่าจะมีมหาวิทยาลัยเฉพาะทางไปเลย แต่มันก็ทำไม่ได้ ประเทศไทยเป็นยังไงก็รู้ๆกันอยู่ แต่คุณก็ไม่ควรไปว่าเขาโง่นะครับ คนเราก็เก่งและฉลาดไม่เหมือนกัน จากคุณ : ซายูบิ - [ 8 มี.ค. 51 15:35:11 ]

ความคิดเห็นที่ 17 พี่ว่าน้องยังไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไรค่ะ เวลาต่อจากนี้ไป ก็ตั้งใจเรียนอย่างที่ตั้งใจไว้ ... ดีแล้ว แต่อย่าลืมศึกษาตัวเองด้วยยย ...... ถ้าเราเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะเข้าใจผู้อื่นด้วยเหมือนกัน จากคุณ : ลมพัดลมเพ - [ 8 มี.ค. 51 15:36:29 A:125.24.247.104 X: ]

ความคิดเห็นที่ 18 ลองออกจากโลกของน้องมาดูโลกข้างนอกบ้างสิ อย่าจำกัดความคิด มองในมุมอื่นๆให้หลากหลาย นะ เพื่อการใช้ชีวิตอย่างมีความสุขในอนาคต เอาใจช่วยนะ จากคุณ : i see u - [ 8 มี.ค. 51 15:39:03 ]

ความคิดเห็นที่ 19 อย่ายึดติด... จากคุณ : ไม้ไต่คู้ - [ 8 มี.ค. 51 15:55:23 ]

ความคิดเห็นที่ 20 วัตถุประสงค์ของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อวิชาการไม่ใช่เหรอคับ การรับคนเข้าศึกษาก็ควรจะใช้เกณฑ์ด้านวิชาการสิคับ ถ้าใช้เกณฑ์ด้านกีฬา ก็ไปศึกษาในวิทยาลัยพละศึกษานั่น หรือไปเรียนหลักสูตริวทยาศาสตร์การกีฬา ไม่ใช่คณะอะไรก็เรียนได้แบบนี้ มหาวิทยาลัยกำลังลืมวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งหรือเปล่า ถ้าเค้าเรียนดีเรียนเก่งผมคงไม่มาพูดในนี้หรอกคับ มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ก็คงไม่มีนโยบายรับคนที่ขาดคุณสมบัติด้านวิชาการเข้าศึกษาหรอก ต่อให้เป็นแชมป์โลกก็เถอะ ถ้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังลืมวัตถุประสงค์แบบนี้อยู่ ยังไงก็สู้มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้หรอก จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 15:59:53 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 21 แล้วโควต้าพิเศษทำไมมีแต่ด้านกีฬา ด้านอื่นไม่สนใจเหรอคับ ผมเชื่อว่ามีคนที่เก่งกว่าเค้าแต่ไม่ได้เรียนเพราะโดนโควต้านักกีฬาของเค้ามาแย่งที่เรียนไป แล้วทำไมความสามารถด้านกีฬาจึงได้รับพิจารณาก่อนความสามารถด้านวิชาการคับ จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 16:04:59 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 22 อย่างแรก ไปจิกว่าคนอื่นเค้าโง่น่ะ หยาบคาบนะคะเจ้าของกระทู้ อย่างที่สอง เค้าเข้ามาเรียนที่นี่ได้อย่างถูกต้องยุติธรรมตามเกณฑ์ที่มหาวิทยาลัยตั้งไว้เหมือน ๆ กับคุณเหมือนกัน เพียงแต่เกณฑ์ของคุณอาจจะเป็นเกรด เป็นคะแนน แต่ของเขาเป็นความสามารถด้านกีฬา ดังนั้น เขาย่อมมีสิทธิทุกประการที่จะได้เรียนที่เดียวกับคุณอย่างเต็มภาคภูมิ ไม่ว่าคุณจะมีปัญหาหรือไม่มีปัญหา จะโวยวายหรือไม่โวยวาย เขาก็ไม่ได้โกงใครเข้ามา และมหาวิทยาลัยที่ตั้งเกณฑ์นี้ ก็ไม่ได้สนใจด้วยว่าคุณจะโวยวายหรือเปล่า เพราะคุณเป็นแค่เด็กน้อย เป็นแมลงตัวจ้อยที่ไม่มีความสำคัญกับเขา ฮ่า ๆ ถ้ามีปัญหาที่จะเรียนกับคนที่เข้ามาได้เพราะการเล่นกีฬา ก็ออกไปเรียนที่อื่นซะ อย่างที่สาม มีเค้าเรียนร่วมห้องด้วยแล้วเป็นยังไงเหรอคะ? คุณเจ้าของกระทู้จะชักดิ้นลงไปตรงนั้นเลยหรือเปล่า? หรือว่าเข้าห้องเรียนเดียวกันแล้วหิดขึ้น? คุณก็อยู่ของคุณ เค้าก็อยู่ของเค้า การที่เค้าจะเข้ามาจากไหน ด้วยวิธีไหน เกี่ยวอะไรกับเจ้าของกระทู้ไม่ทราบคะ? ตั้งใจเรียนของตัวเองไปดีกว่ามั้ยเอ่ย? ระวังเพื่อนที่คุณคิดว่าเข้ามาเพราะกีฬา จะเรียนได้ดีแซงหน้าไปนะ เพราะเค้าไม่มัวแต่เอาสมาธิและสมองไปอิจฉารุ่มร้อนเต้นเร่าน่ะนะ จากคุณ : Beauty&Stupid - [ 8 มี.ค. 51 16:24:11 ]

ความคิดเห็นที่ 23 โอ้ เข้าใจจุดประสงค์แล้วค่ะ...อืมเรื่องนี้...มันก็ไม่รู้จะทำยังไงล่ะนะ เอาเป็นว่าคุณจบมาแล้วค่อยมาแก้ไขแล้วกัน...เพราะบ่นไปก็เท่านั้น มันเกี่ยวกับเรื่องชื่อเสียงของมหา'ลัยนี่เนาะ จะว่าไปมหา'ลัยก็เป็นธุรกิจอย่างหนึ่งเหมือนกัน(ในโลกทุนนิยมเช่นนี้) ตอนแรกไม่ค่อยเข้าใจจุดประสงค์เท่าไหร่ ขออภัยสักล้านหน แต่คงไม่เป็นไรหรอกเนอะ ก็ ผมขอยอมรับความคิดเห็นเฉพาะคนที่จบหรือเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมเท่านั้นนะคับ ---ยังไงท่านก็ไม่ได้ใส่ใจอยู่แล้วใช่เปล่า โชคดีจัง^______^ ตอนนี้อย่าคิดมากเลย เดี๋ยวเป็นความดันโลหิตสูง เส้นเลือดสมองแตกตั้งแต่เล็กแต่น้อยน้า อย่าเครียด อย่าหมกมุ่น... เอ้า มาจิบน้ำใบบัวบกดีกว่า จะได้ไม่เป็นร้อนใน^ ^ เนาะ ปล.แนะนำว่าน่าจะไปโพสที่บอร์ดสถาบันที่คุณเรียนนะคะ เพราะว่าคนแถวนี้อาจจะไม่ค่อยเข้าใจ เดี๋ยวคุณจะอารมณ์เสียกว่าเดิม แนะนำจริงๆ ไม่ได้ประชดเน้อ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 16:32:16 จากคุณ : คนโง่ที่หวังดี (โลกนี้ยังคงน่ารักเสมอ) - [ 8 มี.ค. 51 16:27:55 ]

ความคิดเห็นที่ 24 แล้วถามหน่อยสิคะว่า กี่ฬามหาลัยคุณจะลงแข่งให้รึปล่าว (คิดว่าช่วงนั้นมหาลัยคงปิดประมาณ1สัปดาห์)หรือว่าใช้เวลาช่วงนั้นนั่งอ่านหนังสือ ในขณะที่นักกีฬาเค้าต้องทุ่มเท การซ้อมก่อนลงแข่ง แม้แต่กองเชียร์คุณก็อาจจะไม่ไปเชียร์นักกีฬาด้วยซ้ำ....... ใจแคบจังเลยเนอะ ...........จากรุ่นพี่ที่สอบติดเองไม่ได้ใช้โควต้า(และคิดว่าน่าจะเป็นสถาบันเดียวกับคุณ) จากคุณ : 11 - [ 8 มี.ค. 51 16:35:41 A:58.9.159.71 X: ]

ความคิดเห็นที่ 25 เอ่อ เจ้าของกระทู้ ฉลาดครับที่ได้เรียนที่นี่ IQ ดีครับ แต่คิดว่าต้องพัฒนาทางด้าน EQ นะ อ้อ ถึงไงก็ไม่น่าดูถูกคนอื่นเค้านะว่าเค้าโง่....... แว๊บบบบ ไปดีกว่า จากคุณ : Doraemon - [ 8 มี.ค. 51 16:41:32 A:203.146.147.122 X: TicketID:138394 ]

ความคิดเห็นที่ 26 จำเป็นด้วยเหรอคับ กับเหรียญกีฬาน่ะ งั้นก็เปลี่ยนเป็น กีฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ไม่ดีกว่าเหรอคับ จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 16:41:55 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 27 กราบขอโทษ ที่นำนามพระราชทานมาเปลี่ยนแปลง จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 16:43:39 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ผมคิดว่าผมอยู่สถาบันเดียวกับคุณเจ้าของกระทู้นะครับ ก็เพื่อนของคุณเจ้าของกระทู้เข้ามาในโควตานักกีฬานี่ครับ ไม่ได้ไปเบียดเบียนโควตาปกติแต่อย่างใด เพราะการรับคนที่มีความสามารถทางการกีฬานั้นรับเข้ามาต่างหาก การรับจากโครงการชนบทก็เช่นกัน เป็นการรับเพิ่มต่างหากจากระบบกลาง ทั้งโครงการกีฬาและโครงการชนบทมันมีวัตถุประสงค์ในตัวของมันเองชัดเจนอยู่แล้วครับ ไม่ได้เกี่ยวกับประเด็นแย่งที่เรียนจากระบบกลางเลยครับ ถ้าเป็นการกันที่จากระบบกลางไปก็เป็นอีกเรื่อง แต่นี่ไม่ใช่ครับ จากคุณ : Tony Almeida - [ 8 มี.ค. 51 16:43:57 ]

ความคิดเห็นที่ 29 >> ผมขอยอมรับความคิดเห็นเฉพาะคนที่จบหรือเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกับผมเท่านั้นนะคับ เพราะคนอื่นไม่ได้รักในสถาบันนี้เท่ากับที่ผมรู้สึกหรอก ดูจาก attitute ของคุณแล้วน่าเป็นห่วงครับ เรื่องความรักสถาบันนี่ผูกขาดกันได้ด้วย? ขออนุญาตเตือนในฐานะรุ่นพี่คุณด้วยความหวังดีนะครับ ผมว่าคุณควรจะปรับทัศนคติตัวเองบ้าง ความคึกคะนองอย่างที่คุณแสดงออกมาในความเห็นที่ 26 นี่ไม่สมควรเลยนะครับ เพราะมันมาจากอคติและความไม่รู้ของคุณเองล้วน ๆ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 16:50:41 แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 16:50:12 จากคุณ : Tony Almeida - [ 8 มี.ค. 51 16:49:07 ]

ความคิดเห็นที่ 30 ผมก็จบจากที่เดียวกับเจ้าของกระทู้ครับ รุ่นพี่คุณเยอะมากๆครับ บอกได้คำเดียวครับ ว่ามหาวิทยาลัยเลือกคนผิดครับ ไม่น่าเลือกคนอย่างเจ้าของกระทู้เข้ามาเลย เฮ้อ!!!! เปิดใจให้กว้างอีกนิด แล้วทำตัวให้เป็นผู้ใหญ่อีกหน่อย แล้วจะคิดได้ครับ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 17:01:44 จากคุณ : Tui (natty_tui) - [ 8 มี.ค. 51 17:00:41 ]

ความคิดเห็นที่ 31 คุณ จขกท. ครับ ผมแนะนำนะครับ ถ้าคุณไม่อยากอยู่ "เกลือกกลั้ว" กับชนชั้น "สมองน้อย" (ตามที่คุณว่า) คุณพัฒนาตัวคุณเองหนีการไล่ตามของเค้าดีกว่าไม๊ครับ? เพื่อที่คุณจะได้ "สูง" "ดี" "เด่น" "แปลกแยก" "คนละระดับ" กับเค้า (อาจจะรวมถึงตัวผมด้วย...ซึ่งอาจจะเป็นชนชั้นสมองน้อย ด้อยมาตั้งแต่โครโมโซม) ไม่ใช่ว่า..."ทำตัวให้สูงกว่าคนอื่น โดยการกดคนอืนให้ต่ำ" แบบนี้...ผมว่าดีกว่านะครับ ........ ............ จขกท.เป็นอีกตัวอย่างของ "เด็กเรียน" ที่ด้อยน้ำใจ และ ไร้สังคม เปิดใจอีกนิดนะครับ โลกจะกว้างขึ้น คนที่ดี ที่เก่งกว่าคุณก็มีเยอะแยะ พวกเค้าไม่เห็นรังเกียจคุณมั่งเลย คุณยังไม่โดนรังเกียจ แล้วทำไมรังเกียจคนอื่นละครับ? จากคุณ : น้องกี้...ความรู้แค่คืบ - [ 8 มี.ค. 51 18:08:09 ]

ความคิดเห็นที่ 32 เราคิดว่าเราก็มาจากมหาวิทยาลัยที่คุณกล่าวถึงนะคะ เป็นนักกีฬาด้วย (แต่ไม่ได้เข้ามาโดยใช้โควต้า... เกรดตอนม.ปลายไม่ถึงน่ะ แหะๆๆ)  เพื่อนร่วมทีมที่สนิทๆกันก็เด็กโควต้า จบเกียรตินิยมอันดับหนึ่งไปแล้ว  ส่วนเราน่ะเหรอ? ไม่จบค่ะ ไม่ใช่ว่าเรียนไม่ไหวนะ พอดีลาออกมาเรียนต่อที่อังกฤษก่อน คุณแน่ใจเหรอว่าไม่มีโควต้าพิเศษอื่นๆนอกจากกีฬา ตอนรุ่นเราก็มีโครงการนู้นโครงการนี้เยอะแยะไป จากคุณ : pervpanda - [ 8 มี.ค. 51 18:16:13 ]

ความคิดเห็นที่ 33 อ่อ โควต้ากีฬา ไม่ใช่ว่าแค่เล่นกีฬาก็เข้าได้นะคะ ไม่ทราบว่าตอนนี้เป็นยังไง แต่เมื่อห้าปีที่แล้ว คุณต้องเคยเล่นกีฬาระดับประเทศได้ที่ 1-3 หรือต้องเคยติดทีมชาติมาก่อน ไม่ได้ง่ายๆมาอย่างที่คุณคิดหรอก จากคุณ : pervpanda - [ 8 มี.ค. 51 18:19:11 ]

ความคิดเห็นที่ 34 คิดว่าอีกหน่อยคุณจขกท.อายุมากขึ้น มีประสบการณ์มากกว่านี้แล้วคงจะเข้าใจ โลกเรามันก็อย่างนี้ คนเราไม่ได้เท่าเทียมกันแต่แรกอยู่แล้วค่ะ แขนขาสองข้างมันยังยาวไม่เท่ากันเลย ^ แต่นี่ก็ไม่ใช่ประเด็นหรอก แต่ละคนก็มีข้อดีแตกต่างกันไปนะ คนที่เขาเรียนด้อยกว่าคุณก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีคุณค่าน้อยกว่าคุณในการเข้าเรียนม.นี้ แล้วก็ไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีความพยายามน้อยกว่าคุณด้วย จากคุณ : vee vee' - [ 8 มี.ค. 51 18:31:18 ]

ความคิดเห็นที่ 35 สมมติว่าคณะ A ประกาศว่าจะรับนักศึกษาจากการสอบ 50 คน ถ้าคุณและ ทุกๆ คนใน 50 คนนั้นสามารถเข้าได้จากการสอบ และเด็กโควต้าคือคน ที่นอกเหนือจาก 50 คนนี้ ผมว่าก็น่าจะโอเคนะครับ เพราะการแข่งขัน ในการเข้าเรียนนั้น ถือได้ว่าเป็นการรับเด็กคนละรูปแบบไป คุณต้องแข่งขัน เด็กโควต้าเหล่านั้นก็ต้องแข่งขันเหมือนกันครับ แต่เขาแข่งกันคนละรอบ กับคุณแค่นั้นเองครับ ซึ่งคุณกับเขาก็ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งกันด้วยครับ โควต้าด้านกีฬาไม่ใช่จะได้กันง่ายๆ นะครับ ยิ่งเป็น ม.ของรัฐ ด้วยแล้วเนี่ย ยิ่งสุดๆ เลยครับ ส่วนเรื่องวิชาการ ก็ค่อยมาดูกันดีกว่าครับ ว่าเขาจะเรียน ได้หรือเปล่า อาจารย์ช่วยเขาไม่ได้แน่ๆ ครับ สำหรับวิชาการ โดยเฉพาะ ม.ของรัฐนี่ยิ่งยากครับ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 18:55:06 จากคุณ : KenshiroJr. - [ 8 มี.ค. 51 18:54:41 ]

ความคิดเห็นที่ 36 ขอบังอาจตอบกระทู้ ทั้งที่ไม่ได้จบจากมหาวิทยาลัยที่คุณเรียนอยู่ แต่ขอตอบในฐานะนักกีฬาโควต้าคนหนึ่ง   ว่าการเข้าโควต้านักกีฬานั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย นักกีฬาอย่างเราๆ ก็ต้องไปชิงชัยกันเองเช่นกัน ยิ่งเมื่อเรียนไปด้วยและต้องซ้อมกีฬาไปด้วยแล้ว ถือเป็นเรื่องหนักอย่างมาก เพราะเท่ากับว่าต้องรับผิดชอบทั้งสองอย่าง คือเรื่องเรียนและกีฬา เราสงสัยว่าคนที่จะเป็นนักกีฬาจำเป็นด้วยเหรอต้องเรียนเกี่ยวกับพลศึกษาหรือวิทยาศาสตร์การกีฬาเพียงอย่างเดียว เราเห็นรุ่นพี่ที่เป็นนักกีฬามากมายเล่นกีฬาก็เก่ง แถมเรียนเก่งได้เกียรตินิยม เราไม่ได้หวังให้คุณเข้าใจหรอกนะ เพราะตอนนี้เรารู้สึกว่าคุณตั้งกระทู้ อาจจะมีจุดประสงค์เพียงล่อเป้าเท่านั้นเอง แต่ถ้าหากคุณมีนิสัยอย่างที่แสดงในกระทู้นี้ เราเห็นใจคุณมากกว่านะ ที่มีความคิดและความรู้สึกเช่นนี้ เพราะเชื่อว่าเมื่อคุณออกมาทำงานแล้ว คุณจะใช้ชีวิตในสังคมนี้ได้ยากมาก คือตอนนี้คุณทำตัวเหมือนคนที่คิดว่าตนเป็นคนดี ถือศีล 5 อย่างเคร่งครัด ประหนึ่งเป็นผู้รู้แจ้ง หากแต่เมื่อพบผู้อื่นที่มิได้ปฏิบัติตนแบบเดียวกับคุณ คุณก็จะมองคนเหล่านั้นเยี่ยงคนถ่อย หรือคนเลว แต่แท้จริงแล้ว คนที่ดีจริง ถือศีลอย่างเคร่งครัด ควรหรือไม่ที่จะดูถูกคนอื่น แล้วคุณเป็นคนดีอย่างที่ยกตนขึ้นมาแล้วหรือ ปล. เรื่องเป็นคนดีน่ะ เราแค่เปรียบเปรยนะคะ เดี๋ยวจะหาว่าเราโง่ เขียนอะไรไม่รู้จักจับประเด็น จากคุณ : ฤทธิรัตน์ - [ 8 มี.ค. 51 19:36:07 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ถ้าคุณเรียนอยู่แนะนำให้ลาออกครับ   เสียชื่อถาบันหมด....เฮ้อ การศึกษาไม่ได้สอนอะไรเลยเหรอ จากคุณ : ฉันมันตัวเปล่า - [ 8 มี.ค. 51 19:37:25 ]

ความคิดเห็นที่ 38 เฮ้อ... จากคุณ : กลุ้ม - [ 8 มี.ค. 51 19:58:33 A:124.121.36.247 X: TicketID:121452 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เฮ้อออออออออ.... ไม่อยากจะคิดถึงอนาคตของชาติในวันข้างหน้าเลยครับ ถ้ามีแต่พวก IQ สูง EQ ต่ำ มองอะไรไม่เกินปลายจมูกตัวเองนี่.... ระวังนะ เรียนจบแล้ว ต้องไปทำงานนะ ถ้าหน่วยงานเขาเลือกคนที่ฉลาดน้อยกว่าคุณเข้าทำงาน เพราะเขาดูออกว่าคุณมี attitude ที่แย่ และแคบขนาดนี้ ระวังรับความผิดหวังไม่ไหว แล้วต้องฆ่าตัวตายในที่สุดนะ เตือนเอาไว้...จากคนที่ผ่านโลกมามาก และเรียนในสถาบันที่คงไม่ด้อยไปกว่าคุณหรอก จากคุณ : บ้านนอกตั้งแต่เกิด - [ 8 มี.ค. 51 20:47:18 ]

ความคิดเห็นที่ 40 จขกท ครับ ถ้าเพื่อนนักกีฬาของคุณปัญญาทึบจริง เขาก็เรียนไม่จบหรอกครับ แต่นั่นก็ไม่ใช่ประเด็นสำคัญ ประเด็นคือ ทัศนคติของคุณมีปัญหา อีกหน่อย พอคุณไปทำงาน สมมติว่าได้งานบริษัทต่างชาติอันดับหนึ่งของประเทศ คุณจะได้เจอเพื่อนร่วมงานจากหลายๆมหาลัย คุณก็จะรู้สึกอีกว่า ถ้าไม่ได้จบจากสถาบันอันทรงเกียรติที่เดียวกับคุณ ก็ไม่ควรมาทำงานบริษัทเดียวกับคุณอีก ระวังนะครับ ทัศนคติแบบนี้ ผมเจอมาเยอะแล้ว เวลาจะเลื่อนเป็นผู้บริหารถ้ามีทัศนคติแบบนี้ คุ้มลูกน้องไม่อยู่นะครับ บางคนที่เป็นแบบนี้เจอลูกน้องไล่ ก็มีหลายคนครับ จากคุณ : คุณฉงน - [ 8 มี.ค. 51 20:47:35 ]

ความคิดเห็นที่ 41 เวงกำ ทำไมสถาบันที่รักของฉันถึงรับเด็กจิตใจเป็นพิษเข้ามาเรียน น่าจะจับตรวจสภาพจิตใจก่อนนะ แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 51 21:00:17 จากคุณ : A-Chee - [ 8 มี.ค. 51 20:55:14 ]

ความคิดเห็นที่ 42 กรรม -*- อ่านความคิดที่โพสท์แล้วกลุ้มใจ จากคุณ : อ้อมโลกหมื่นลี้ - [ 8 มี.ค. 51 21:04:31 ]

ความคิดเห็นที่ 43 จขกท ครับ นั่นใจหรือเม็ดก๊วยจี๋ครับนั่นน่ะ ทำไมมันทั้งเล็กทั้งแคบขนาดนั้น... จากคุณ : มดคันไฟไร้ระเบียบ - [ 8 มี.ค. 51 21:06:55 ]

ความคิดเห็นที่ 44 โทะ.. จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 8 มี.ค. 51 21:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 45 เพราะว่ามหาวิทยาลัยคือสังคมจำลองไงคะ แปลกแฮะ เราไม่ได้มองว่ามหาวิทยาลัยเป็นที่รวมทางวิชาการอย่างเดียวหรอก มันยังมีเรื่องการปรับตัว เรื่องกิจกรรม เรื่องการเรียนรู้สังคมที่กว้างขึ้น ดังหนึ่งลูกอ๊อดเริ่มจะโตเป็นกบอ๊บๆ สำหรับเรา มหาวิทยาลัยไม่ใช่แค่ว่าเข้าไปตั้งหน้าตั้งตาเรียนแล้วผลิตคนที่เก่งวิชาการออกมา แต่มันยังเป็นสนามฝึกคนให้เรียนรู้วิชาการพร้อมกับการเรียนรู้ความเป็นคนเต็มคน เพื่อปรับตัวจากบ่ออนุบาลสมัยโรงเรียนให้เข้าสู่โลกความเป็นจริง ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบวิชาเรียนด้วยตนเอง การรู้จักคนที่อยู่ต่างชุมชน ต่างคณะ การทำกิจกรรม การรู้จักบริหารบุคคล บริหารเวลา เข้าใจโลก เข้าใจเพื่อน ฯลฯ ได้รู้ว่านอกจากวิชาการแล้ว เรายังต้องให้ความสำคัญกับอย่างอื่นอีกมาก และสังคมจริงก็เป็นเช่นนี้ เราอาจจะอยู่ในบริษัทที่คนที่เก่งอย่างอื่นมากกว่าวิชาการ มากกว่าการทำงาน เขาแซงหน้าเราไปก็ได้ เช่นเขาอาจจะมีบุคลิก มีความสามารถทำให้ลูกค้าประทับใจ แม้เขาทำงานไม่เก่ง เขาก็หาลูกค้าเข้าบริษัทได้ เป็นต้น เหมือนกับมหาวิทยาลัยที่ก็ต้องมีโควต้านักกีฬาเพื่อการแข่งขันระหว่างมหาวิทยาลัย และเพื่อสนับสนุนการกีฬาของประเทศอีกด้วย มหาวิทยาลัยวิชาการในหลายประเทศให้ความสำคัญกับการกีฬา การดนตรีมากๆ เหมือนกัน โลกแห่งความจริงก็ไม่ได้แตกต่างกัน เข้ามหาวิทยาลัย ขอให้เข้าไปเพื่อเรียนรู้ชีวิตเถอะค่ะ ไม่ใช่แต่เพียงวิชาการ ขอให้จบออกมาเป็นคนเต็มคน อย่าจบมาเป็นคนที่มีความรู้ มีความสามารถทางวิชาการ แต่ไม่มีความเข้าใจโลก ไม่เข้าใจสังคม ไม่เข้าใจปัจจัยประกอบของสังคม อยู่บนหอคอยงาช้าง นึกว่าตัวเองเก่ง และดี ไม่รู้ว่าที่จริงอาจฉลาดวิชาการ แต่ “โง่”  ในหลายๆ บริบท ที่สำคัญ โลกมันไม่เคยยุติธรรมอยู่แล้วก็จริงอยู่ แต่กรณีนี้เราไม่ได้มองว่าโลกไม่ยุติธรรม แต่เรามองว่าคุณ จขกท นิสัยและความคิด...."คับแคบ" ค่ะ ถ้าคุณจะมาตั้งคำถามว่า "ทำไมมหาวิทยาลัยต้องมีโควต้านักกีฬา ไม่ควรมุ่งเน้นแต่วิชาการเหรอ" เราเชื่อว่าคนจะตอบคำถามคุณได้กระจ่างกว่านี้ นี่คุณตั้งหน้าว่าคนอื่นโง่เสียก่อนเลย จิตใจคับแคบ ความคิดคับแคบนี่ เราว่าแย่กว่าเรียนไม่เก่งเยอะเลยค่ะ จากคุณ : =p o o k p u i= - [ 8 มี.ค. 51 21:37:29 ]

ความคิดเห็นที่ 46 การสอบเข้ามหาวิทยาลัยสมัยนี้ นอกจากการสอบวัด IQ แล้ว น่าจะมีการสอบวัด EQ ด้วยก็ดี ประเทศและสังคมกำลังต้องการเชียว จากคุณ : Guga - [ 8 มี.ค. 51 21:38:30 ]

ความคิดเห็นที่ 47 โอ้โห  คุณเจ้าของกระทู้อยู่ในสังคมนี้ได้ยังไงคะ   น่าเศร้าใจอนาคตของชาติ จากคุณ : lafleur007 - [ 8 มี.ค. 51 22:19:23 ]

ความคิดเห็นที่ 48 น้องคงมีอคติกับคนข้างบ้านมากกว่ามั้งคะ น้องดูถูกเค้า ไม่ชอบเค้า คิดว่าเค้าโง่ เรียนสู้น้องไม่ได้ แต่พอรู้ว่าเค้าสามารถเข้าเรียนที่เดียวกับน้องได้ น้องเลยรู้สึกเสียฟอร์มใช่มั๊ยคะ เพราะน้องคิดมาตลอดว่า น้องดีกว่าเค้าทุกย่าง ยังไงเค้าก็ไม่มีทางสู้น้องได้ แล้วเค้าผิดด้วยเหรอที่เค้าได้โอกาสที่เค้าควรจะได้ คนเราต้องรู้จักให้โอกาสคนอื่น เห็นใจคนอื่น มีเมตตากับคนอื่นนะคะ เอาไว้น้องเรียนจบ ทำงานแล้ว น้องจะรู้ว่า คนในสังคมที่น้องต้องเจอ ต้องติดต่อด้วย ไม่ใช่มีแค่คนที่จบจากมหาวิทยาลัยเดียวกับน้องหรอกค่ะ แล้วน้องจะดูถูกคนเหล่านั้นด้วยมั๊ย แล้วถ้าน้องยังไม่ปรับเปลี่ยนความคิด ยังจะเป็นอย่างนี้ต่อไป น้องจะสามารถทำงานร่วมกับคนอื่นได้อย่างไร แก้ไขที่ใจน้องก่อนดีกว่ามั๊ย คนที่ โง่ น่ะ ไม่ใช่เค้าหรอก แต่เป็นน้องต่างหาก จากคุณ : น่าเป็นห่วง - [ 8 มี.ค. 51 22:24:52 A:192.168.50.237 X:124.121.225.199 TicketID:154440 ]

ความคิดเห็นที่ 49 ขอโทษครับ คุณเจ้าของกระทู้ลองไหมล่ะครับ เวลาไปสมัครงาน ปริ้นกระทู้นี้ไปให้คนที่เขาสัมภาษณ์คุณอ่าน ต่อให้คุณได้เกียรตินิยม เหรียญทอง เขาก็ไม่สนใจที่จะเอาคุณทำงานด้วยหรอกครับ เพื่อนผมเป็นนักกีฬา ได้ทุนมหาวิทยาลัย เข้ามาด้วยโควต้านักกีฬารักบี้ เรียนคณะที่ไม่เกี่ยวกับกีฬา ทุกวันเพื่อนผมเขามีซ้อม เวลาไปแข่งเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย เป็นตัวแทนประเทศชาติ เก็บตัวทีมชาติ ไม่ใช่ว่าเขาไม่ตั้งใจเรียน แต่เขามีเวลาอ่านหนังสือน้อยกว่าคนอื่น และไม่ใช่ว่าเขาไม่พยายามนี่ครับ อาจารย์ช่วย เป็นเรื่องธรรมดาครับ เพราะเขามีเวลาเรียนน้อยกว่านิสิตปกติ แล้วคุณจะไม่ให้โอกาสนักกีฬาเหล่านี้เรียนสาขาอื่นเลยหรือครับ อย่างน้อยผมทราบครับว่าเรียนกีฬาไปอนาคตลำบาก ทำเพื่อชาติแต่บั้นปลายอาจจะลำบากทำอย่างอื่นไม่ได้ เพราะมีแต่กีฬา และวุฒิกีฬา เขาจึงเปิดโอกาสให้ นักกีฬาเหล่านี้เรียนในคณะอื่นๆครับ แต่ก็ไม่ใช่จับยัดๆ เขาคัดเลือกเหมือนกันว่าเหมาะไหม เรียนได้ไหม ส่วนใหญ่จะเกินเกณฑ์พอใช้ทั้งนั้น บางคนก็ทำได้ดีเลยทีเดียวก็มี ใช้สมองเยอะๆ ครับก่อนที่จะโพสอะไร ถ้าไม่พอใจก็ลาออกไปเลย คืนปริญญาไปเลยก็ได้ ไม่มีใครว่าครับ จากคุณ : monkeygig - [ 8 มี.ค. 51 22:30:43 ]

ความคิดเห็นที่ 50 ให้โอกาสคนเป็นสิ่งที่ดีนะครับ ถึงเค้าจะเรียนไม่เก่ง แต่เค้าก็มีความสามารถทางด้านกีฬา ถ้าเค้าไม่เก่งทางด้านกีฬาจริง เค้าคงไม่สามารถเข้าเรียนในโควต้านี้ได้ครับ แล้วก็ยังได้ทุนด้วย สังเกตดูจากโรงเรียนมัธยมก็ได้ครับ จะมีโควต้านักกีฬาเสมอ ลองเปิดใจให้กว้างครับ แล้วเราจะได้อะไรมากขึ้น แล้วก็มีความสุขกว่าตอนนี้แน่นอนเลยทีเดียว จากคุณ : Green Tablet - [ 8 มี.ค. 51 22:40:53 ]

ความคิดเห็นที่ 51 ความคิดเห็นที่ 20   วัตถุประสงค์ของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อวิชาการไม่ใช่เหรอคับ การรับคนเข้าศึกษาก็ควรจะใช้เกณฑ์ด้านวิชาการสิคับ ถ้าใช้เกณฑ์ด้านกีฬา ก็ไปศึกษาในวิทยาลัยพละศึกษานั่น หรือไปเรียนหลักสูตริวทยาศาสตร์การกีฬา ไม่ใช่คณะอะไรก็เรียนได้แบบนี้ มหาวิทยาลัยกำลังลืมวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งหรือเปล่า ถ้าเค้าเรียนดีเรียนเก่งผมคงไม่มาพูดในนี้หรอกคับ มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ก็คงไม่มีนโยบายรับคนที่ขาดคุณสมบัติด้านวิชาการเข้าศึกษาหรอก ต่อให้เป็นแชมป์โลกก็เถอะ ถ้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังลืมวัตถุประสงค์แบบนี้อยู่ ยังไงก็สู้มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้หรอก จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 15:59:53 A:118.174.156.41 X: TicketID:164850 ] ตัวคุณเองก็ไม่เข้าใจวัตถุประสงค์ และบทบาทของมหาวิทยาลัยของคุณเองเลยครับ ใช่ครับด้านวิชาการเป็นวัตถุประสงค์ด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัย แต่บทบาทอีกด้านหนึ่งของมหาวิทยาลัยคือการรับใช้สังคมครับ การรับนิสิตในโควต้านักกีฬา เป็นบทบาทด้านสังคมคือ สนับสนุนนักกีฬาของไทย ให้มีโอกาสทางการศึกษาครับ ซึ่งไม่ใช่นักกีฬาทุกคนจะเข้ามาเรียนได้ ก็ต้องมีเงื่อนไขอีกเช่นกัน ทำไมโควตานักกีฬาจึงเป็นบทบาทของการรับใช้สังคม เพราะนักกีฬานั้นไม่สามารถมีเวลาเรียนได้ตามปกติ เพราะต้องมีการซ้อม เก็บตัว แข่งขัน นักกีฬาไปแข่งขันที่บางครับเป็นสัปดาห์ เป็นเดือน เก็บตัวซ้อมเป็นเดือน มหาวิทยาลัยจึงได้สนับสนุนที่จะจัดโควตาให้กับนักกีฬาเหล่านี้ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของชาติ แน่นอนผลพลอยได้อย่างหนึ่งของมหาวิทยาลัยคือ นักกีฬาคนนั้นก็สามารถเป็นตัวแทนของมหาวิทยาลัยในการแข่งขันกีฬาต่างๆได้เช่นกัน เพื่อนผมที่เป็นนักกีฬาตอนเรียนก็ช่วยกันติว ช่วยกันแนะนำ ตอนนี้ไม่ได้เล่นกีฬาเป็นตัวแทนชาติแล้วก็มีงานดีๆทำ เพราะมหาวิทยาลัยให้โอกาส ดังนั้นขอความกรุณาครับ ถ้าไม่รู้อะไรเลยอย่าตัดสินมั่วๆ เข้าใจผิดๆ แล้วมาโวยวายให้หน้าแหกเองครับ จากคุณ : monkeygig - [ 8 มี.ค. 51 22:42:42 ]

ความคิดเห็นที่ 52 กระทู้นี้ท่าจะยาว...(ไหม) จากคุณ : คีบู - [ 8 มี.ค. 51 22:46:32 ]

ความคิดเห็นที่ 53 แม้แต่ Harvard University ก็ีมีโควต้านักกีฬาครับ :) จากคุณ : L-Nets - [ 8 มี.ค. 51 23:05:24 ]

ความคิดเห็นที่ 54 ต่อไปนี้คงเลิกภาคภูมิใจกับความพยายามของตัวเองที่ได้เข้าเรียนในสถาบันนี้ คงต้องท้าทายตัวเองให้เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกที่ไม่รับคนไร้ความสามารถเข้าศึกษา และถ้าสำเร็จนั้นคือความภูมิใจที่แท้จริง จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 23:14:50 A:118.174.105.125 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 55 เชิญลาออกไปได้เลยครับ จากคุณ : monkeygig - [ 8 มี.ค. 51 23:17:29 ]

ความคิดเห็นที่ 56 ยังไม่ออกหรอก รอดูคนรีไทร์ เพราะเรียนไม่รอด จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 23:23:09 A:118.174.105.125 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 57 เข้าใจความรู้สึกของ จขกท.นะ เพราะผมเองก็เคยรู้สึกอะไรคล้ายแบบนี้ แต่ไม่เหมือนเสียทีเดียว คล้ายในลักษณะที่ว่าเราตั้งใจทุ่มเททำอะไรเพื่อ บางสิ่งบางอย่าง แต่ปรากฏภายหลังว่า ด้วยความเปิดโอกาสนี่แหละ ทำให้คนอื่นทำในสิ่งที่ไม่ต้องใช้ความทุ่มเทมากเท่าเรา แต่ได้ผลออกมา เกือบเหมือนกัน สิ่งที่นักกีฬามีแต่คุณไม่มี คือ การสร้างชื่อเสียงให้สังคม สังคมเลยให้การยอมรับ สังคมเลยให้สิ่งตอบแทน... อย่าน้อยใจไปเลยครับ ทำในสิ่งที่คุณเพียรพยายามทำมาให้ดีที่สุดไว้เถอะ จำเป้าหมายของ ตัวคุณเองไว้ให้ดี อย่าไปวอกแวกกับเรื่องแบบนี้ แล้ววันนึง สิ่งที่สมควร จะเป็นของคุณและไม่ใช่ของคนอื่น ก็จะมาถึงคุณเองครับ เอาใจช่วยนะ จากคุณ : พลายแป้ง - [ 8 มี.ค. 51 23:32:34 A:89.217.151.189 X: TicketID:120371 ]

ความคิดเห็นที่ 58 http://www.pantip.com/cafe/library/topic/K6402743/K6402743.html จากคุณ : Guga - [ 8 มี.ค. 51 23:40:10 ]

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณ คุณพลายแป้งมากคับ ที่เห็นใจ ขอบคุณทุกความเห็นที่เข้ามาซ้ำเติม มันทำให้ผมเข้มแข็งมากขึ้น และเป็นแรงผลักดันให้ผมอยากเอาชนะ และต้องให้ตัวเองอยู่เหนือคนอื่นมากขึ้นไปอีก จากคุณ : แทน - [ 8 มี.ค. 51 23:41:33 A:118.174.105.125 X: TicketID:164850 ]

ความคิดเห็นที่ 60 เหอะ!!! จากคุณ : monkeygig - [ 8 มี.ค. 51 23:43:46 ]

ความคิดเห็นที่ 61 อืมม.... เรียนจบแล้ว ท่าทางจะทำงานร่วมกับผู้อื่นลำบาก จากคุณ : 3ttt - [ 9 มี.ค. 51 00:06:50 ]

ความคิดเห็นที่ 62 พี่ก็จบที่เดียวกับน้องนะ น้องอย่าไปสนใจเรื่องจิ๊บๆอะไรแบบนี้เลย ใจกว้างหน่อย น้องควรดีใจที่สอบติด มากกว่า คนอื่นเค้าจะสอบเข้ามาอย่างไรก็เรื่องของเค้า เค้าก็เข้ามาถูกต้องตามเกณฑ์ ก็น่าจะพอแล้ว มหาลัยก็มีเหตุผลของมหาลัยที่ตั้งเกณฑ์แบบนี้ขึ้นมา น้องต้องลองมองให้กว้างๆหน่อย การพัฒนาประเทศมันต้องพัฒนาไปทุกทางนะคะ ถามว่ามีโอลิมปิคทีนึงพี่เป็นคนไทยก็อยากเห็นคนไทยเข้าไปมีลุ้นบ้าง แต่ถ้าภายในประเทศไทยเองนักกีฬาไม่มีที่ยืน ไม่มีทางเชิดหน้าชูตา ได้มีสิทธิเข้าเรียนในสถาบันดีๆเลย ใครเค้าจะอยากเป็นนักกีฬา   มหาลัยก็ทำถูกแล้วที่สนับสนุนด้านการกีฬาด้วยโดยการตั้งเกณฑ์โควต้าต่างหากขึ้นมา ก็ไม่ได้ไปเบียดเก้าอี้พวกเอ็นท์ปกติสักหน่อย ต่างคนต่างเรียนไปเหอะ ไม่ชอบเค้าก็อย่าไปสุงสิง อย่าด่าเค้าว่าโง่ อย่ารอซ้ำเติมคอยดูเค้าไทร์อย่าที่น้องพูดไว้ด้านบนๆเลย ไม่ดีนะจ๊ะ จากคุณ : zaoreo - [ 9 มี.ค. 51 00:38:06 ]

ความคิดเห็นที่ 63 คงไม่ใช่สถาบันเดียวกับเจ้าของกระทู้ แต่วิธีปฏิบัติไม่น่าต่างกัน โควต้านักกีฬาปกติจะแยกออกมาจากจำนวนที่รับเข้าปกติ เช่นถ้าจะรับ 100 คน แล้วมีโควต้านักกีฬา 2 คน ก็คือเป็น 100+2 ไม่ใช่ 98+2 ดังนั้นโควต้านี้จึงไม่ได้รบกวนจำนวนคนที่เข้าเรียนปกติ และโควต้านี้ต้องมีการสอบแข่งขันเช่นเดียวกับคนทั่วๆไป แถมอาจกำหนดเกรดคนสมัครอีกต่างหาก แต่แข่งแค่ในกลุ่มคนที่ใช้โควต้านักกีฬานี้ เช่นรับ 2 คน มาสมัคร 5 คน ก็ต้องสอบเลือกคนที่เหมาะที่สุดอีกที และถ้าสอบแล้วยังมีคะแนนต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้ จะไม่รับเลยก็ได้ ดังนั้น โควต้านี้ (รวมถึงโควต้าพิเศษอื่นๆ เช่นเด็กด้อยโอกาส เด็กจากภาคใต้ ฯลฯ) จึงถือว่าต้องคัดเลือกทางวิชาการเช่นกันกับการสอบตามปกติ และที่สำคัญ ไม่ว่าจะเข้ามาเรียนจากกลุ่มไหนๆ การจบการศึกษาจะใช้เกณฑ์เดียวกันทั้งหมด ตัดเกรดร่วมกัน สอบพร้อมกัน ดังนั้น ถ้าใครสามารถจบได้ ก็ถือว่าผ่านเกณฑ์ที่กำหนด ซึ่งถือว่าเป็นมาตรฐานของแต่ละสถาบันอยู่แล้ว จากคุณ : I'm wu - [ 9 มี.ค. 51 00:42:16 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ผ่านการทดสอบทางจิตวิทยา เข้าไปได้ยังไง สุขภาพจิตคุณผิดปรกติอย่างแรงมาก แต่จริงๆ คิดว่าล่อเป้ามากกว่า ถ้าจบมาจริงๆ คงจะน่ากลัวมาก สำหรับสังคม สิ่งที่คุณคิดอยู่ตอนนี้คือ  ดูถูกสถาบันตนเอง ดูถูกคณะบดี ดูถูกสภามหาวิทยาลัย ที่กำหนดการรับนักศึกษาด้วยวิธีการอื่น นอกเหนือจากที่คุณต้องการ คุณดูถูกเขาขนาดนี้ ยังกล้าบอกว่าภูมิใจอีกหรือ  คุณไม่ได้เคารพสถาบันการศึกษาของคุณอย่างที่ปากพูดเลย   ถ้าไม่เคารพกติกาของเค้า แล้วเข้าไปทำไม คุณจะหาบริษัทที่มีแต่สีชมพู ทุกคน ตั้งแต่ยาม ยัน CEO ไม่ได้หรอก แต่คุณก็จะทำงานร่วมกับคนสีอื่นไม่ได้  เพราะคุณมองว่าเขาไม่ใช่คุณอย่างคุณ ถ้าหัวหน้าคุณเป็นคนสีอื่นล่ะ จะทำไงดี ลาออก ลาออก ครั้งแล้วครั้งเล่า  กรูไม่อยากเป็นลูกน้องคนสีอื่นหรอกเว้ย คุณคงคิดงี้ .. โอ้ ทีนี้ คุณจะทำมาหากินอะไรดี ต่อให้คุณทำงานเป็นอาจารย์อยู่ที่สีชมพูแห่งนี้ คุณก็จะมีปัญหากับเพื่อนอาจารย์ และ นักศึกษาอีก ว่าเป็นสีชมพูเข้ม หรือ ชมพูอ่อน สรุปว่า คุณคงมีปัญหาทางจิตใจจริงๆแหล่ะ ไปรักษาสุขภาพจิต ค่อยกลับมาเรียนใหม่ดีกว่า ไม่งั้นจะกลายเป็นคนแบบที่เรารู้จัก จบ ป โท แต่ไม่สามารถทำงานที่ไหนได้ จนอายุ 50 กว่า เป็นเด็กโข่งให้ที่บ้านเลี้ยงตลอดไป เพราะอีโก้ หรืออะไรก็ไม่ทราบ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 00:55:55 แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 00:52:46 จากคุณ : ซามาร่า-ไม่เคยหลับ - [ 9 มี.ค. 51 00:48:43 ]

ความคิดเห็นที่ 65 จะอยู่เหนือคนอื่นไปเพื่ออะไรเนี่ย... แข่งกับคนอื่น คิดไม่ดีกับคนอื่น ตัวเองก็ทุกข์เองอยู่คนเดียว เด็กข้างบ้าน จขกท. คงไม่ได้มาคิดมาก ทุกข์ใจอย่างจขกท. หรอก โควต้านักกีฬานั้น มหาวิทยาลัยดังๆ ระดับโลก เค้าก็มีค่ะ ส่วนโควต้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่โควต้านักกีฬา ที่มหาวิทยาลัยคุณก็มีเยอะแยะ จากคุณ : Halimeda Lover - [ 9 มี.ค. 51 00:53:08 ]

ความคิดเห็นที่ 66 มองอย่างเป็นกลางนะครับ จขกท. raise ประเด็นในเชิงการศึกษา/การบริหารมหาลัย ที่น่าสนใจขึ้นมาอันหนึ่ง...หรือหากไม่ ผมขอเป็นคน raise เองละกันขออนุญาตถามต่อ... โควต้านักกีฬาของมหาลัยเนี่ย มี "ความจำเป็น" มากน้อยเพียงใดครับ? ทั้ง ๆ ที่มหาลัยสามารถนำ cost ส่วนนี้ไปใช้จ่ายกับ "ความจำเป็น" อื่น ๆ ได้ ... ??? จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 9 มี.ค. 51 00:54:16 ]

ความคิดเห็นที่ 67 ผมไม่ได้อ่านทั้งหมด แต่แค่อยากบอกเจ้าของกระทู้ว่าใจ "แคบ" จัง ชีวิตมันมีอะไรมากกว่าที่เห็นเยอะ คนที่เรียนเก่ง อาจไม่ใช่คนที่ดี และประสบความสำเร็จในชีวิตก็ได้ และในทำนองเดียวกัน คนที่ประสบความสำเร็จก็อาจไม่ใช่เป็นคนที่เรียนดี สิ่งหนึ่งที่มหาวิทยาลัยไทยไม่สอน (หรือสอนก็ไม่รู้) คือการแบ่งปัน และการมองว่าคนอื่นเป็นคน และมีค่าเท่าเทียมกับเรา ร่างกายประกอบด้วยหลายสิ่ง และหลายสิ่งนี่แหละที่ประกอบเป็นร่างกาย ทุกครั้งที่ผมพิจารณาคนเข้าทำงาน ผมจะไม่เลือกจากเกรด เพราะไม่ได้บ่งบอกอะไร (มีน้องคนนึงจบจากม. เจ้าของกระทู้เหมือนกัน ภาษาอังกฤษดีมาก สวย แต่ไม่มีปฏิภาณในการทำงาน แล้วถามว่าผมจะเอามาทำอะไร) แต่ระดับ EQ เป็นสิ่งที่ผมมองหา การทำกิจกรรมและความสามารถในการอยู่ร่วมกันกับคนอื่น  และความีปฏิภาณ เพราะในชีวิตการทำงานสิ่งเหล่านี้และเป็นแรงผลักดันทั้งตัวผู้ทำและบริษัทเอง และผมมักพบว่าพวกเรียนเก่ง วิธีการโกงก็แนบเนียน ใจแคบและก็ชอบทำให้คนอื่นอับอาย และมักไม่ชอบพูดซึ่ง ๆ หน้า มักชอบประจานคนอื่นมากกว่า จากคุณ : WhoDaresWin! - [ 9 มี.ค. 51 01:10:28 ]

ความคิดเห็นที่ 68 เห็นด้วยกับ คห. 67 ค่ะ ในเรื่องการทำงาน และรับคนเข้าทำงาน จากคุณ : Halimeda Lover - [ 9 มี.ค. 51 02:03:38 ]

ความคิดเห็นที่ 69 ขออนุญาตตอบครับ หากเทียบตามสัดส่วนจำนวนโควตาแล้ว  โควตานักกีฬามีจำนวนน้อยกว่าโควตาประเภทอื่นๆ  นอกจากนี้ระบบการคัดกรองก็ได้ระบุจำนวนที่แน่นอนซึ่งเป็นที่แน่ว่า จะไม่เบียดบังจำนวนของผู้สอบปรกติอยู่แล้ว  เพราะถึงจำนวนโควตาจะไม่ได้ตามที่กำหนดก็ไม่รับเด็กในรายสอบปกติเข้ามาแทนที่ของโควตานักกีฬาแน่นอน   ส่วนเรื่องทุนการศึกษาถ้าเทียบจำนวนกันจริงๆในทุกมหาวิทยาลัย ทุนส่วนของนักกีฬาก็น้อยกว่าทุนการศึกษาในด้านอื่นๆอยู่แล้ว  ทุนเรียนดีต่างๆ เช่น ทุนช้างเผือก เป็นต้น โควต้าของนักกีฬามีความจำเป็นมากน้อยเพียง  ขอให้ท่านผู้สงสัย ไปอ่านประกาศหรือโครงการรับโควตาของนักกีฬาในเรื่องวัตถุประสงค์ในการรับโควตาชนิดนี้ สำหรับนิสิตใหม่ที่ตั้งกระทู้  คุณอาจรู้สึกเหนื่อยที่ต้องลงแรงอย่างมากจึงได้เข้ามาศึกษาในสถาบันแห่งนี้  ซึ่งก็น่ายินดีด้วยอย่างยิ่ง  แต่ขอให้นิสิตพึ่งระลึกว่า  ระบบการศึกษาของมหาวิทยาลัยชั้นนำย่อมมีระบบคัดกรองบุคคลที่พึ่งจะเป็นบัณฑิตอย่างสมบูรณ์และมีคุณภาพ  เพราะหากผู้ใดไม่มีความสามารถจริงๆ ก็จะพ้นสภาพนักศึกษาไปในระหว่างการเรียนเอง ดังนั้นจึงไม่จำเป็นเลยที่นิสิตจะมาตีโพยตีพาย   ถ้านักศึกษารู้สึกไม่เป็นธรรมลองตั้งใจเรียน/ทำกิจกรรม แล้วทำชื่อเสียงให้สถาบันดีกว่า  (นักกีฬาส่วนใหญ่จะมีโอกาสทำชื่อเสียงให้สถาบันได้มากว่านิสิตปรกติ) เพราะการที่ออกมาแสดงความคิดเห็นแบบ "เกรียน" อย่างนี้ มันแสดงให้เห็นว่านิสิตเองต่างหากไม่เหมาะที่จะอยู่ในสถาบันแห่งนี้ เพราะหลักการใช้เหตุผลง่ายๆ ยังไม่รู้จัก  แล้วจะเป็นบัณฑิตที่มีคุณภาพได้อย่างไร ?? ***คนโง่แต่เป็นคนดี  ผิดด้วยหรอ*** จากคุณ : เกนหลงหนึ่งหรัด - [ 9 มี.ค. 51 02:08:34 ]

ความคิดเห็นที่ 70 เพราะคนอื่นไม่ได้รักในสถาบันนี้เท่ากับที่ผมรู้สึกหรอก มธ. ตอบได้มั้ยครับ รักสถาบัน หรืออาศัยชื่อเสียงสถาบันยกระดับตัวเองกันแน่ ??? อิจฉาเพื่อนบ้านอะดิ๊ ไม่ต้องอ่านหนังสือก็เข้าจุฬาได้ 5555 (โหมดจริงจัง) อ่านความเห็นที่ไม่ถูกใจแล้วเอาไปคิดมั่งมั้ยเนี่ย หรือเลือกอ่านแต่อันที่เห็นด้วย -*- จบไปก็เจอปัญหาอยู่ดีแหละครับ ทำไมเราเก่งกว่าไ่ม่่ได้โปรโมท เราคะแนนดีกว่าทำไมไม่อยู่เหนือคนอื่น ทำไมๆๆๆๆ . .. ... จะดูคนถูกไทร์ ดูที่บ้านก็ได้ครับ แต่อย่างคุณ สอบเข้าได้คงดีใจจนติ่งกระดิกแล้ว เรื่องอะไรจะออก ใช่มะ ??? ขอเชิญตะเกียกตะกาย อยู่เหนือคนอื่นต่อไปเถอะนะครับ เป็นเกียรติเป็นศรีต่อมหาวิทยาลัยที่คุณอ้างว่ารักนักรักหนาม๊ากมาก จากคุณ : Papercut - [ 9 มี.ค. 51 02:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 71 กลับมาอีกรอบ กระทู้นี้ท่าทางจะยาว     แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 02:25:28 จากคุณ : lillylady - [ 9 มี.ค. 51 02:21:18 ]

ความคิดเห็นที่ 72 ถ้าเค้าโง่จริงๆ อย่างที่คุณว่า เดี๋ยวเค้าก็ไทร์เองแหละค่ะ ทางมหาลัยเค้าก็มีกฎ ข้อบังคับเพื่อทำให้นิสิตที่จบมีคุณภาพ มีมาตรฐานอยู่แล้วละค่ะ คุณเอาเวลาที่มาคิดเรื่องนี้ไปอ่านหนังสือของปี1 เพื่อเตรียมความพร้อมก่อน เข้ามหาลัยจะดีกว่าไหมค่ะ คนเก่งจริงเค้าไม่นั่งคิดอะไรแบบนี้ให้เสียเวลาหรอกค่ะ จากคุณ : ... (MemoryLand) - [ 9 มี.ค. 51 02:51:31 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เป็นเจ้าของมหาลัยเหรอคะ? ต้องไปคิดแทนเค้า ทำหน้าที่ตัวเองไปเหอะค่ะ...ถ้าจะบอกว่าตัวเองตั้งใจ ก็เรียนให้จบเกียรตินิยม ค่ะ ไม่ต้องไปห่วงเค้าหรอก EQ ยังต่ำอยู่นะคะพัฒนาด้วย พัฒนาเยอะๆ นะคะ เรียนให้จบดร. ไปเลยค่ะ จากคุณ : Ex-TeRMinaToR - [ 9 มี.ค. 51 03:11:38 ]

ความคิดเห็นที่ 74 สรุปว่าอิจฉา น้อยเนื้อต่ำใจ ถูกต้องไหมครับ โลกไม่เคยยุติธรรมครับ เพราะคำว่า "ยุติธรรม" โลกไม่ได้บัญญัติ แต่มนุษย์เป็นผู้บัญญัติ จากคุณ : ParalleLDreamS - [ 9 มี.ค. 51 03:14:25 ]

ความคิดเห็นที่ 75 มีคนแบบนี้ด้วยเหรอ .. . . . . . . . . . . .โอว ไม่เคยเจอเลย เคยได้ยินแต่ในคติธรรม หมายถึงเจ้าของกระทู้นะครับ ......... น่าสงสารขอให้หลุดพ้นบ่วงกรรมนี้โดยไว จากคุณ : หล่อเลือกได้ครับ - [ 9 มี.ค. 51 06:56:44 ]

ความคิดเห็นที่ 76 ง่า คืออยากบอกว่ามีประสบการณ์ร่วมนะคะ คณะที่เราเรียนเป็นคณะที่มีนักกีฬาทีมเลือกเรียนกันเยอะมากๆๆๆ โดยเฉพาะนักกีฬารักบี้ แล้วพวกนี้จำนวนหนึ่งจะเหมือนอภิสิทธิ์ชนอ่านะ เวลาเรียนไม่เข้า เวลาสอบไม่ใส่ใจ เอะอะๆก็อ้างว่าซ้อมกีฬาๆ เวลาทำงานกลุ่มก็เบี้ยวตลอด งานเดี่ยวก็ให้แฟนทำให้ โดนจับได้ก็ไม่ยอมรับ เวลาอาจารย์ฟิวขาดก็โดนกันทั้งห้อง ดีไม่ดีจะมีพาลใส่นักศึกษาธรรมดาว่าทำไมไม่ช่วยเพื่อน เวลาเกรดออกมาไม่ดีก็จะมีฝ่ายบริการนักศึกษามาขอร้องอาจารย์ให้ช่วยหยวนๆ ถ้าติดโปรก็จะได้รับการพิจารณาเป็นพิเศษ แต่ยังไงก็ดี กรรมใดใครก่อกรรมนั้นย่อมสนอง เขาไม่ตั้งใจเรียน คนที่หัวกลวงก็คือเขาเอง เวลาเขียนข้อสอบอัตนัยก็เป็นตัวชี้วัดอยู่แล้ว อย่างป๋าเสกก็เคยเอามาบ่นๆว่ามีคนตอบป๋าเสกว่า6,14 ตุลา เป็นสาเหตุของการปฏิวัติ 2475 ของอย่างนี้มันก็เห็นๆอยู่ เจ้าของกระทู้ก็น่าจะเคยเห็นนะคะ หลักการง่ายๆว่าใครเรียนใครได้ ไม่เรียนแล้วเก่งก็รอดไป แต่ถ้าไม่เก่งแล้วไม่เรียนอาจารย์เขาก็ไม่เอาไว้หรอกค่ะ เขาก้าวเข้ามาได้เช่นเดียวกับคุณ แต่มันไม่ได้วัดอะไรหรอกค่ะ รอดูดีกว่าว่าใครจะได้ก้าวออกไปในฐานะบัณฑิต ^^ จากคุณ : หนูสิงห์แดงตัวน้อย - [ 9 มี.ค. 51 07:32:24 ]

ความคิดเห็นที่ 77 กระทู้นี้แทบจะไม่มีที่ให้แสดงความคิดเห็น เพราะเจ้าของกระทู้ จิตใจคับแคบเหลือหลาย ทัศนคติแบบของเจ้าของกระทู้นี้ จำเป็นต้องไม่พบปะ หรือคบกับใคร เพราะอยู่กันด้วยความสามารถกระจ้อยร่อยแค่จากตำรา เก่งเหรอ เก่งแค่นี้ คิดดี ๆ ยังไม่เป็น ไปอ่านไปเรียนจบได้เกียรตินิยมก็ชื่นชมแค่ตัวคุณเองนั่นแหละ ออกไปทำงานเดี๋ยวก็ได้เจอพวกคนประเภทที่คุณเรียกว่าโง่น่ะ พวกนั้นเค้าโง่วิชาการก็จริง แต่อาจจะเก่งกว่าคุณในเรื่องอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ คนแบบเจ้าของกระทู้นี้ยังมีอยู่จริง ๆ เหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าจะมีจริง ๆ หรือแกล้งเข้ามาโพสต์ล่อเป้าเล่น ๆ ไปงั้น ๆ แต่ถ้าจริง ก็ขอให้อย่าได้ดีเลย เพราะว่าคนอย่างคุณได้ดีไป ก็ได้ดีอยู่คนเดียว เหยียบย่ำทำร้ายผู้อื่นขึ้นไปเพื่อทางของตัวเอง ดูถูกคน ปิดกั้นโอกาส และเห็นแก่ตัวสุด ๆ ที่ว่ามานี้ แปลจากทัศนคติของคุณนะ ถ้าตอนนี้คุณไม่ได้เป็นอย่างที่ว่ามาข้างบน ก็แค่อย่าเปลี่ยนทัศนคติ แล้วรับรองในอนาคตคุณจะเป็นอย่างที่ว่ามาแน่ ๆ นี่เอาปริญญาเอกเป็นประกันเลยนะ เก่งแต่เลว สู้มีคนโง่แต่ดีเสียดีกว่า จากคุณ : คีมง้างใจ - [ 9 มี.ค. 51 08:19:05 A:219.60.119.106 X: TicketID:148450 ]

ความคิดเห็นที่ 78 เขาเรียนไม่เก่ง แต่ไม่ได้ไม่มีความสามารถด้านอื่นนี่ครับ ทางสถาบันทั่วๆไป ก็คงไม่ได้บ้าจี้ จะเอาดัชนี้เรียนดีเป็นตัวชี้นำอย่างเดียว เค้าต้องถัวๆ ไปด้านกิจกรรมอื่นๆบ้าง จบออกมาคุณคงต้องทำงาน ด้วยตัวคนเดียวแล้วล่ะมั้งครับ..ถ้ายึดติดกับอัตตาของตัวซะขนาดนั้น ถามจริงๆเถอะ..ชีวิตเคยทำกิจกรรมนอกการอ่านตำราเรียนบ้างหรือเปล่า ? จากคุณ : jetboat - [ 9 มี.ค. 51 08:24:12 ]

ความคิดเห็นที่ 79 จงยินดีกับคนที่ได้ดี หรือดีกว่าเรา และจงช่วยเหลือ เกื้อกูลคนที่ด้อยกว่าเรา อย่าคิดร้าย คิดไม่ดี กับผู้อื่น อย่าประนาม หยามเหยียดเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน เอาเวลาที่รอคอยดูเค้าโดนรีไทร์ ไปพูดคุยส่งเสริมและเปลี่ยนความรู้กันดีกว่าค่ะคุณ จขกท ... เผลอๆคนที่ จขกท ว่าโง่อาจจะหายโง่แล้วกลายเป็นคนฉลาดก็ได้ จบมาอาจได้เกียรตินิยมเลยด้วย ช่วยกันสร้างคนให้เก่งขึ้นสิคะ มัวแต่ขลุกกับเรื่องไร้สาระ ... คิดนู้นคิดนี่ ไม่ต้องไปหงุดหงิดกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง (ก็เห็นบอกว่าเด็กข้างบ้าน น่าจะช่วยๆกันได้นะ) มนุษย์สัมพันธ์ก็เป็นบทเรียนหนึ่งในชีวิตจริงที่ต้องใช้นะคะ ลองบทเรียนนี้ตั้งแต่ตอนนี้สิคะ จะคนโง่ คนเก่ง ก็คนเหมือนกัน ต้องการสิ่งตอบรับดีดีเหมือนกัน และก็คิดว่า จขกท ก็คงอยากรับแต่สิ่งดีดีเช่นกันกับหนุ่มนักกีฬาคนนั้น คงไม่อยากให้ใครว่าลับหลังแบบนี้ ไม่ก็ไปคุยกับนักกีฬาคนนั้นตรงๆสิคะ ไม่ใช่คำก็โง่ สองคำก็โง่ สามคำก็รอดูเค้าโดนรีไทร์ มันไม่ดีนะ สุขภาพจิตจะเสียเปล่าๆ แทนที่ไหนๆก็ไหน น่าจะช่วยให้ประเทศชาติไทยสูงขึ้น โดยการกระจายความรู้ แบ่งบันบทเรียนใหม่ๆให้เพื่อนมนุษย์ด้วยกัน แล้วถ้าคิดว่าโดนหลอก ไม่สบายใจ ... ก็หาที่ที่คิดว่าไม่หลอกคุณ จขกท เรียนสิคะ จะได้สบายใจ ^^  อยากให้ จขกท สบายใจนะคะและไม่อยากให้โดนหลอกอยู่แบบนี้ แล้วอย่าดูถูกคนในชาติเดียวกันเลยค่ะ ถึงจะโง่เรื่องนี้ อีกเรื่องเค้าอาจฉลาดก็ได้ ใครจะไปรู้ ........ เรียนไปเรียนมานักกีฬาคนนั้นอาจจะอยู่แนวหน้าเลยก็ได้ ให้โอกาสคนหน่อยค่ะ ถ้าเค้าทำไม่ได้ก็ช่วยๆส่งเสริม เนอะ จขกท สถาบันไหนก็สอนให้เป็นคนฉลาด ให้เป็นคนดีหมดแหละ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 08:46:55 จากคุณ : intokyo - [ 9 มี.ค. 51 08:39:18 ]

ความคิดเห็นที่ 80 เข้ามาต่ออีกนิด ผมมีเพื่อนที่คิดว่ารักมากคนหนึ่ง เพื่อนผมคนนี้เล่นกีฬาเก่งมาก มีเหรียญมีโล่ห์มีอะไรหลายอย่างรับรองความสามารถ และทุกครั้งที่แข่งกีฬาเพื่อนคนนี้แหละที่กู้หน้าแผนกไว้  แล้วก็เพื่อนคนนี้แหละที่เป็น พนักงานดีเด่น ของบริษัทที่บริษัทภูมิใจหนักหนา ถามว่าเพื่อนผมเรียนเก่งไหม ก็ไม่ได้จบเกียรตินิยม แต่สำหรับปริญญาชีวิตเค้ายิ่งกว่าได้รับเกียรตินิยมเหรียญทองอีก ผมถามคุณที่คุณคิดว่าเค้ามาเบียดบังคนอื่นไป ถ้าคุณต้องไปแข่งกีฬาเวลามีกีฬามหาวิทยาลัย คุณจะยอมลุกจากหน้าตำราออกไปแข่งไหม ผมเคยมีแฟนที่ฉลาดเป็นกรด แต่เวลารวมกลุ่มกับเพื่อน เคยออกไปทำงานกลุ่มไหม ไม่เคย เคยแสดงอะไรต่าง ๆ ที่เป็นการแสดงสื่อถึงประเทศไหม ก็ไม่เคย เก่งกับดีอาจไม่ได้อยู่ด้วยกันเสมอไป ผมมีรุ่นน้องที่เก่งมากอีกเหมือนกัน  เวลาเด็กไทยรวมกลุ่มกัน เพื่อทำอะไรเพื่อแสดงให้เห็นความเป็นประเทศ หรือง่าย ๆ มีงานเลี้ยงเล็ก ๆ ระหว่างคนไทยด้วยกัน น้องคนนี้ก็มักจะอ้างว่าต้องรีบไปอ่านหนังสือ เดี๋ยวตามไม่ทัน  ช่วยก็ไม่ช่วย แล้วยังเอาเปรียบคนอื่นอีก  ลืมไปหรือเปล่า พวกเราทุกคนที่อยู่ ณ ที่นั้นก็เป็นหัวกะทิเหมือนกันหมด เป็นพวกที่ถูกเลือกเหมือนกันหมด แต่สิ่งที่มันฉายออกมาคือ EQ ไม่ใช่ IQ ผมมีเพื่อนอีกคนนึง ตอนเรียน ลอกผมประจำ แต่ตอนนี้เป็นวิศวกรใหญ่อยู่ที่ญี่ปุ่น ตอนเรียนโง่ ติดศูนย์ ถามว่าไปได้ไงไม่เห็นเก่งเลย คนเรามันมีโอกาสและจังหวะชีวิตไม่เหมือนกัน  เค้ามีความกล้ากว่าผม  ในขณะที่คนเก่งมีแต่คิดตามตรรกะอยู่  คนที่ไม่เก่งกลับมีความกล้า และยอมที่จะเสี่ยงมากกว่า เพราะฉะนั้นอย่าน้อยใจไปเลย ตอบคุณอีกว่า คนอื่นอาจไม่รักสถาบันมากเท่าคุณหรอก  ผมกลับคิดว่าคนอื่นรักสถาบันมากกว่าคุณ มหาวิทยาลัยอยากมีชื่อเสียงในด้านอื่นด้วยที่ไม่ใช่วิชาการอย่างเดียว จากคุณ : WhoDaresWin! - [ 9 มี.ค. 51 08:52:40 ]

ความคิดเห็นที่ 81 จริงๆ คนที่ไม่น่ารับเข้ามาเรียน น่าจะเป็นเจ้าของกระทู้ คุณ แทน  มากกว่านะครับ จากคุณ : กัมม์ - [ 9 มี.ค. 51 09:05:10 ]

ความคิดเห็นที่ 82 เอ่อ เจอกระทู้แบบนี้ เล่นเอาอึ้ง เอาเป็นว่า แนะนำว่าให้มองโลกให้ไกลๆ กว้างๆ กว่านี้ เพราะนี่จากเท่าที่อ่านมา น้องมองตัวเองเป็นหลักเลย จากที่น้องเขียนมา พี่สรุปเป็นภาษาพูดได้ว่า "แกมันโง่ สะเออะมาเรียนที่เดียวกับชั้น(ที่สูงส่งกว่าแก)ได้ยังไง แล้วคนที่ไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับชั้น ก็อย่าสะเออะมาออกความเห็นอีกเช่นกัน เพราะชั้นก็สูงส่งกว่าแกอีกนั่นแหละ" ขอโทษด้วยที่แปลออกมาแล้วรู้สึกว่ามันแรง -_-' ก็มันรู้สึกจริงๆนินา เห็นด้วยกับคุณ monkeygig ว่า คนที่เล่นกีฬา เขาต้องเสียสละเวลาเพื่อมาเล่นกีฬารับใช้มหาลัย อาจจะจนถึงรับใช้ชาติในซีเกมส์ เอเชี่ยนเกมส์ หรือโอลิมปิคในอนาคต อย่างบางคนเพราะได้โควต้ามหาลัย มีเพื่อนๆ อาจารย์คอยช่วยเหลือ เขาเลยมีโอกาสที่จะฝึกหนักโดยไม่กังวลกับอนาคตว่าจะไม่มีกิน เขาจึงสามารถไปคว้าเหรียญในกีฬาระดับชาติ สร้างชื่อเสียงให้เมืองไทยได้ อันนี้ขอบอกว่าเขาเสียสละเพราะว่า อายุของนักกีฬามันไม่ยาว ฝึกหนักแทบตาย พอสภาพร่างกายแก่เกิน เขาก็เป็นนักกีฬาไม่ได้ แล้วเขาจะไปทำอะไรกิน ถ้าเขาเป็นคิดแบบคุณ เขาก็ไม่ควรจะทำอะไรเพื่อชาติ เรียนอย่างเดียวดีกว่า กีฬากินไม่ได้ ก็จะไม่มีคนเสียสละเพื่อชาติไปสร้างชื่อเสียงให้เมืองไทย ถ้าสังคมต้องการบุคคลากรแบบนี้ สังคมก็ต้องให้ "โอกาส" โดยให้โอกาสทางการศึกษาผ่านทางโควต้ามหาลัย เพื่อสร้างบุคคลากรเหล่านี้ขึ้นมารับใช้ชาติ ถ้าหากว่า "สังคม" ไม่ให้โอกาสเขาเลย แต่คิดจะฉกฉวยโอกาสจากเขา มันก็เกินไป จริงไหมคะ น้องยังมีอนาคตอีกยาวไกล อยากจะบอกว่าไม่มีอะไรในโลกนี้ยุติธรรมจริงๆ หรอก พอถึงชีวิตทำงาน น้องจะพบว่า หัวหน้างานจบจากมหาลัยที่ดังน้องกว่าน้อง หรือไม่ได้เกียรตินิยมเหมือนน้อง เพื่อนร่วมงานที่ทำงานไม่ได้เรื่องแต่หัวหน้าชอบ คนโน้นได้เลื่อนขั้นเร็วกว่าทั้งที่เราทำงานดีกว่าเยอะกว่า ฯลฯ เยอะแยะมากกว่า แนะอีกครั้ง เอาเรื่องที่ครุ่นคิดนี้ ไปทิ้งถังขยะเถอะ หาอะไรที่มันดูสร้างสรรค์กว่านี้คิดมันจะยกระดับจิตใจของน้องมากกว่าไปคิดร้ายกับคนอื่นเลย ปล น้องเรียนคณะอะไรคะ พี่จะได้ระวังๆ เอาไว้เวลารับคนมาเป็นลูกน้อง บอกตรงๆ ว่ากลัวค่ะ จากคุณ : peiNing - [ 9 มี.ค. 51 09:13:52 ]

ความคิดเห็นที่ 83 ไม่เปนรัยหร่อกค่ะ เค้าเรียนที่รรที่นึง มีชื่อเหมือนกัน เพื่อนไม่ตั้งจัยเรียนเพียบเลย แบบอาจารย์เค้าขายข้อสอบด้วยนะ เราก้แบบเออๆ เครียดนะนี่ ไม่ได้เรียนเพื่อเอาแค่ข้อสอบเนี่ย เราเรียนเอาความรุ่ จากคุณ : เด่กเรียน - [ 9 มี.ค. 51 11:42:06 A:58.136.210.45 X: TicketID:167816 ]

ความคิดเห็นที่ 84 ใช้ไรคิดเนี่ย เด็กข้างบ้านคนนี้เข้ามาเรียนมีผลกระทบต่อชีวิตคุณอย่างไรครับ ถามหน่อย ขอซักสามข้อนะ จากคุณ : Jump.Jr - [ 9 มี.ค. 51 12:05:54 ]

ความคิดเห็นที่ 85 อ้าว จขกท. ไม่ยอมอ่านความเห็นผม... มหาวิทยาลัยดังระดับโลกทุกที่มีโควต้านักกีฬาหมดครับ :) จากคุณ : L-Nets - [ 9 มี.ค. 51 12:46:11 ]

ความคิดเห็นที่ 86 เรียนเก่งแต่ใจแคบแบบนี้ การศึกษาเขาม่ได้มีไว้พัฒนาแค่สมองนะคะ เขาใช้พัฒนาคุณะรรมจริยธรรมควบคู่ด้วย จขกท เป็นอีกกรณีหนึ่ง ที่เราขอใช้คำว่า การศึกษาไม่ช่วยอะไร จากคุณ : HEINEKEN GIRL - [ 9 มี.ค. 51 14:56:17 ]

ความคิดเห็นที่ 87 ขอโทษที ไปตอบกระทู้เก่า ไม่มีคนเข้าไปแล้ว กล้วน้อง จขกท ไม่ได้เข้ามาอ่าน เลยขอตอบที่นี่อีกทีนะคะ น้อง จขกท อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกับเราหรือเปล่านี่ แถวสามย่าน  ทำไมคิดว่าที่นี่เป็นอันดับ 1 คะ จริงๆแล้ว ที่อื่นเขาก็เก่งนะ เวลาเราพูดถึงที่นี่ เราจะบอกว่าหนึ่งในมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศ   ถ้าน้องไม่ได้อยู่ที่เดียวกับเรา ก็ขอโทษด้วยที่เข้ามาตอบ ความจริงเราไม่อยากพูดถึงตัวเองเลยนะ แต่ขอเปรียบเทียบให้ฟัง เราเรียนมัธยมโรงเรียนที่อยู่ติดรั้วสถาปัตย์น่ะ อยู่ห้องที่เก่งสุดของสายภาษาที่นั่น สอบเทียบแล้วก็สอบติดคณะที่คนส่วนใหญ่บอกว่าเก่งภาษาที่สุด  จบด้วยเกียรตินิยมอันดับ 1 แต่เราไม่เคยดูถูกเพื่อนที่เข้ามาด้วยโควต้าเลย ไม่ว่าโควต้าอะไร ประจำภาคหรือนักกีฬา เราคิดว่า มันเป็นโอกาสของเขา เขาก็มีความสามารถในด้านที่เราไม่มี  เขาเล่นกีฬาเก่ง เป็นตัวแทนมหาวิทยาลัย ต้องเสียสละเวลาเรียนไปฝึกซ้อม ไปแข่ง ในขณะที่เรามีเวลาเรียนเต็มที่ เราไม่เก่งกีฬาเลย ถ้าไม่มีเขา จะมีนักกีฬาไปแข่งในนามมหาวิทยาลัยหรือคะ เพื่อนต่างคณะของเราบางคนที่เป็นนักกีฬาก็เรียนจบ บางคนก็ถูกรีไทร์ แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ เพื่อนเราคนหนึ่งที่ต้องออกได้ไปสอบเข้าใหม่คณะเดิมโดยไม่ใช้โควต้านักกีฬาที่มหาวิทยาลัยรัฐอีกแห่ง เขาก็เข้าได้ และเรียนจบ ถึงจะช้ากว่าเรา 3 ปี แต่ก็พิสูจน์ว่าเขาไม่ได้โง่ค่ะ แค่ไม่มีเวลาเรียนหรือไม่ตั้งใจมากพอ   น้อง จขกท ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุดดีกว่าค่ะ อย่าไปอิจฉาเพื่อนเลย แล้วก็ไม่ควรไปว่าเขาโง่ด้วย ไม่งั้นเขาก็อาจว่า น้องโง่ด้านกีฬา ได้เหมือนกัน ไม่มีใครฉลาดทุกเรื่องหรอกค่ะ คนเรามีหน้าที่และความถนัดต่างกัน ยังไง มหาวิทยาลัยก็คงไม่เลิกโควต้านักกีฬาหรอกค่ะ เขามีมาหลายสิบปีแล้ว คน''โง่'' กีฬาอย่างพี่ก็ไม่มีโอกาสได้ใช้หรอกในชาตินี้ ต่างคนต่างอยู่ดีกว่าค่ะ น้องข้างบ้านเขาก็ไม่ได้ทำให้  curve คะแนนของน้อง จขกท รวนไม่ใช่หรือคะ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 15:24:53 จากคุณ : ลดาดาว - [ 9 มี.ค. 51 15:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 88 เฮ้อ อย่าไปตอบกระทู้กับคนที่คิดว่าคนอื่นโง่กว่าตนเองเลยเสียเวลาจริงหัดมองดูตัวเองมั่งว่าเป็นยังไง IQ สูง แต่ขาด EQ แล้วก็ขี้อิจฉาอีกต่างหากแล้วจะอยู่ร่วมสังคมกับผู้อื่นได้ยังไง ฉันก็มีลูกที่เข้าโครงการนักกีฬ้าแตไม่ใช่จะต้องเข้าเฉยๆได้นะก็ต้องสอบให้ผ่านเกณฑ์ที่ทางมหาลัยแล้วก็คณะกำหนดแล้วคณะที่เรียนก็คณะวิทยาศาสตร์มหาลัยมีชื่อติดอันดับเหมือนกันสอบเสร็จแล้วกำลังจะจบเหลือจะส่งแต่โครงงานเท่านนั้นคุณไม่รู้หรอกว่าพวกเค้าต้องใช้ความพยามแค่ไหนให้การเรียนกับการกีฬาไปด้วยกันได้คุณมันก็แค่นั่งนอนอ่านหนังสือแต่พวกนี้เค้าต้องใช้ความพยายามมากกว่าคุณต้องตื่นตั้งแต่ตี4 เพื่อไปซ้อมกีฬาต้องรีบไปเรียนหนังสือเย็นต้องรีบซ้อมกีฬากว่าจะเสร็จตั้ง4-5 ทุ่ม กลับบ้านต้องมาทำรายงานอ่านหนังสือให้คุณเก่งย้งไงแต่ดูถูกคนอื่นสังคมนี้ก็ไม่ที่ให้คุณอยู่ จากคุณ : kuuuetuuue@hotmail.com - [ 9 มี.ค. 51 16:12:33 A:119.42.66.157 X: TicketID:166915 ]

ความคิดเห็นที่ 89 อ่าน คห 66 ไม่รู้เรื่องครับ.. ความจำเป็นมันขึ้นอยู่กับมุมมอง แต่สำหรับผม มันจำเป็นนะครับ.. เพราะถ้าไม่มีนักกีฬา ก็ไม่มีเชียร์ลีดเดอร์.. (ล้อเล่นนะ) จขกท.. สุดยอดเลยครับ.. ความฉลาดหรือความโง่วัดกันตรงไหนครับ ในมุมมองของนักกีฬา คนที่เล่นกีฬาไม่เป็น เอาแต่เรียนก็เป็นที่ "โง่" เหมือนกันครับ สงสารสถาบันพี่น้องที่มีนิสิต (หรือนักศึกษา) อย่างคุณนะครับ ป.ล. เป็นแ่ค่คนข้างบ้านจริงอ่ะ?? แค่คนข้างบ้านต้องซีเรียสขนาดนั้นเลยเหรอครับ? จากคุณ : Govinda Gopala - [ 9 มี.ค. 51 17:56:16 ]

ความคิดเห็นที่ 90 ไม่ผิดที่เป็นนักกีฬา แต่จบมาได้เพราะอาจารย์ช่วย อันนี้น่ามอง จากคุณ : 32141 - [ 9 มี.ค. 51 21:08:19 A:58.8.27.245 X: TicketID:170228 ]

ความคิดเห็นที่ 91 สวัสดีครับ พอดีแฟนส่งกระทู้มาให้อ่าน อ่านแล้วเลยอยากตอบบ้างครับ เรื่องโควต้าอะไรนี่ ผมไม่รู้เรื่องหรอก เพราะผมวาสนาไม่ถึงที่จะได้เรียนมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียง แต่เรื่องนักกีฬากับการศึกษานี่ ผมเห็นใจอยู่ส่วนนึง คือเค้ามีความสามารถด้านกีฬา แต่โอกาสด้านการศึกษาบางคนก็มืดมน ที่เมืองไทยไม่มีนักกีฬาอาชีพ เพราะว่า เล่นกีฬาแล้วมันไม่ยั่งยืนครับ พอแก่ตัว หรือบาดเ็จ็บ ก็เหมือนสุนัขล่าเนื้อ ต้องปลดระวางไป เด็กบางคนก็เล่นกีฬาเก่ง แต่พอจะให้เลือกอนาคต หลาย ๆ คนก็ต้องทิ้งด้านกีฬาไป หันไปเรียนอย่างเดียว ก็ลองฝากให้คิดดูครับ แล้วก็อยากให้น้อง ๆ ตั้งใจเรียน และหันมามอบสิ่งตอบแทนให้สังคมไทยบ้างก็ดีนะครับ เพราะเงินภาษีของผมส่วนนึง มันเป็นไปส่วนเกื้อหนุนเล็ก ๆ ที่ช่วยให้น้อง ๆ ได้ร่ำเรียนครับ จากคุณ : PEDestrain - [ 9 มี.ค. 51 21:20:46 ]

ความคิดเห็นที่ 92 มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก ให้ทุนการศึกษานักกีฬาหรือผู้มีความสามารถทางกีฬากันแทบทั้งนั้นล่ะค่ะ อ่านกระทู้นี้แล้วปลง IQ อาจพอมี แต่ EQ เตี้ยติดดินจริงๆ เกือบลืมบอกไป Tiger Woods เคยลงเรียนที่ Standford University ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยชั้นนำของอเมริกา ก่อนหันมาเป็นนักกีฬาอาชีพค่ะ แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 21:24:16 จากคุณ : lynet - [ 9 มี.ค. 51 21:22:15 ]

ความคิดเห็นที่ 93 เซ็งเลย...เรียนที่เดียวกับเราด้วย ขอไม่รับคนอย่างงี้เป็นรุ่นน้องนะคะ อย่ามาบอกว่ารักจุฬา ถ้าแค่ชื่อก็เอามาล้อเลียน (จะขอโทษไปทำไม ถ้ารู้ว่าไม่ดีก็อย่าทำสิ) อย่าบอกว่ารักจุฬา ถ้าคุณไม่เข้าถึงจิตวิญญาณและเกียรติภูมิจุฬาที่แท้จริง แล้วก็ถ้าไม่ภาคภูมิใจในจุฬาแล้วก็เชิญออกไปได้เลย พยายามเข้าเถอะนะ จะเข้ามหาวิทยาลัยชั้นนำของโลกน่ะ ทัศนคติแบบนี้ มหาวิทยาลัยระดับนั้นเค้าไม่เอาคุณหรอก เค้าไม่ได้ดูแค่ผล TOEFL GMAT GRE คุณเท่านั้น เค้าดู statement ดูสัมภาษณ์ ดูอะไรอีกหลายอย่าง (บอกไว้ให้ เผื่อจะไม่รู้ ดูท่าทางโลกแคบเหลือเกิน) แล้วแต่ละที่ เค้าก็มีโควต้านักกีฬาเหมือนกัน เผลอๆจะมีอภิสิทธิ์เยอะกว่าที่เมืองไทยอีก ประเภทขาดสอบได้ ส่งงานช้าได้ มีติวเตอร์ให้ ฯลฯ จากคุณ : NAJ - [ 9 มี.ค. 51 22:02:35 ]

ความคิดเห็นที่ 94 เพิ่งเห็นที่น้อง จขกท เขียนใน คห ล่างๆ ''วัตถุประสงค์ของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อวิชาการไม่ใช่เหรอคับ การรับคนเข้าศึกษาก็ควรจะใช้เกณฑ์ด้านวิชาการสิคับ ถ้าใช้เกณฑ์ด้านกีฬา ก็ไปศึกษาในวิทยาลัยพละศึกษานั่น หรือไปเรียนหลักสูตริวทยาศาสตร์การกีฬา ไม่ใช่คณะอะไรก็เรียนได้แบบนี้ มหาวิทยาลัยกำลังลืมวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งหรือเปล่า ถ้าเค้าเรียนดีเรียนเก่งผมคงไม่มาพูดในนี้หรอกคับ มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ก็คงไม่มีนโยบายรับคนที่ขาดคุณสมบัติด้านวิชาการเข้าศึกษาหรอก ต่อให้เป็นแชมป์โลกก็เถอะ ถ้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังลืมวัตถุประสงค์แบบนี้อยู่ ยังไงก็สู้มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้หรอก'' คุณน้องขา ถ้าน้องอยู่ที่สามย่านละก็ ที่นี่ก็มีวิทยาศาสตร์การกีฬานะคะ ไม่ได้เน้นแต่วิชาการด้านอื่น แล้ววิทยาศาสตร์การกีฬานี่ก็เป็นวิชาการนะคะ เขาไม่ได้วันๆมาเล่นกีฬาสอบอย่างเดียว แล้วนักกีฬาที่เขาได้โควต้าคณะอื่น เขาก็ต้องสอบผ่านเกณฑ์วิชาที่จำเป็นแล้ว มหาวิทยาลัยไม่ได้หลับหูหลับตารับหรอกค่ะ  แล้วที่ว่าอาจารย์ช่วยให้จบที่ช่วยยังไงคะ ถ้าให้เข้าสอบได้ แม้เวลาเข้าเรียนไม่ครบ มีติวพิเศษในส่วนที่ขาดเรียนไปฝึกซ้อม ก็เป็นข้อยกเว้นปกติสำหรับนักกีฬาอยู่แล้ว แต่ถ้าช่วยเพิ่มคะแนนให้หรือช่วยให้ผ่านโดยไม่ต้องสอบ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง คุณน้องขา มหาวิทยาลัยชื่อดังในต่างประเทศเขามีโควต้าให้นักกีฬาทั้งนั้นแหละค่ะ แล้วนักกีฬาฝรั่งนี่ เผลอๆ เวลาเข้าเรียน เข้าสอบน้อยกว่าไทยเราอีกนะ ดารายังสามารถเรียนเองที่กองถ่ายแล้วไปสอบได้เลย ไม่ยิ่งอภิสิทธิ์หรือ พี่จำได้ว่า บรูค ชีลล์นี่ไม่ค่อยได้เข้าเรียนหรอกนะ แต่อาจารย์อนุโลมให้อ่านหนังสือเอง ติวเอา แล้วไปสอบ สุดท้ายก็จบ Princeton  อย่างไทเกอร์ วูด ก็รู้สึกจะได้โควต้าของมหาวิทยาลัยแสตนฟอร์ดนะคะ ก่อนว่าใคร ควรหาข้อมูลดีๆก่อนค่ะ สุดท้ายนี้ พี่ว่า มหาวิทยาลัยไทยเราสู้มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้ เพราะนักศึกษา บัณฑิตมี EQ ต่ำ มากกว่าเรื่องโควต้าที่น้องว่านะคะ จากคุณ : ลดาดาว - [ 9 มี.ค. 51 22:45:07 ]

ความคิดเห็นที่ 95 ระวังตัวเองจะโดนรีไทร์ทางสังคมเสียเองนะคะ.. เป็นห่วง.. เหอะๆ จากคุณ : ว่านน้ำ - [ 9 มี.ค. 51 22:56:59 ]

ความคิดเห็นที่ 96 คห. 89 คุณก็เข้าใจผมแล้วนี่นา ประเด็นที่ผมสงสัยเนี่ย-เรื่องเอาเข้าจริง ๆ แล้วเนี่ย โควต้านักกีฬามัน "จำเป็น" จริงหรือ...หากจะพูดแบบใจแข็งกระด้างคือ ทำไม่ได้ก็ไม่ต้องได้ เนี่ย มัน make valid point หรือเปล่า หรือมัน "คุ้ม" ไม๊???  มันไม่มีคำตอบสุดท้ายหรอก เพียงแต่มันก็น่าคิดดี จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 10 มี.ค. 51 00:20:56 ]

ความคิดเห็นที่ 97 กรรม คุณ แทน คิดว่า โค้วต้ามีแต่กี่ฬา เหรอครับ ดนตรีก็มีน่ะครับโค้วต้า ที่เดียวกับคุณด้วย และ!!! ผมก็มี คุณสมบัติ ครบทุกอย่างที่โค้วต้า กำหนดไว้ อย่างเคย แข่ง ได้รางวัลระดับประเทศ แต่ไม่เคยไปสมัคร ที่เดี่ยวกับ คุณแทน หรอกครับ ผมเลยไปเลือกมหาลัยที่เหมาะกับตัวผมเองดีกว่า ทั้งครูอาจารย์และ อุปกรณ์การเรียนที่พร้อมดีกว่า ก่อนอื่นผมต้องข้อแสดงความยินดีกับ ข้างบ้าน คุณ แทนด้วยน่ะครับ ที่สอบได้ทุน ไม่อยากพูดไรมาก ข้างบนตอบไปหมดแล้ว จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 10 มี.ค. 51 00:25:20 ]

ความคิดเห็นที่ 98 ขอ อนุญาตอีกนิดน่ะครับ ตอนแรก อ่าน หัวข้อ และ ความเห็น แรกๆ นึกว่า เด็ก ป.6 มัน อิจฉรา ข้างบ้าน ที่สอบเข้า โรงเรียนชื่อดังได้อ่ะครับ ทั้งๆที่ตัวเองอ่านหนังสือแท็บตาย ปล.เกรียนไทย หรือ ใจรัก(สถาบัน) กันแน่ จากคุณ : 1812Overtureyoot - [ 10 มี.ค. 51 01:02:46 ]

ความคิดเห็นที่ 99 สมัยผมนี่ โควต้าขั้นนักกีฬาขั้นต่ำของคณะวิศวะ ต้องเป็นนักกีฬาเยาวชนทีมชาติเชียวนะ ไม่ใช่ระดับหมู่บ้านนะครับ จากคุณ : jean_navara - [ 10 มี.ค. 51 01:25:16 ]

ความคิดเห็นที่ 100 โอ๊ย ฮ่า ๆ ๆ ๆ อยากจะหัวเราะเป็นภาษาปากีสถาน เอาที่ไหนมาพูดว่า ฮาร์วาร์ดไม่รับโควตานักกีฬา ?? หึหึหึ เอาเถอะ ๆ ผมไม่ได้เรียนสถาบันเดียวกับคุณก็คงพูดอะไรมากไม่ได้ จากคุณ : Zkizzik - [ 10 มี.ค. 51 02:09:23 ]

ความคิดเห็นที่ 101 มหาวิทยาลัยต่างประเทศสนับสนุนเรื่องกีฬามากกว่าไทยมากๆๆๆๆๆเลยค่ะ ยิ่งระดับชั้นนำของโลกนี่ไม่ต้องพูดถึง ทั้งนักกีฬา นักดนตรี ศิลปิน เรียนเยอะมาก คนพวกนี้ต่างชาติไม่ได้คิดว่าเป็นแค่ นักกีฬานะคะ แต่เป็นระดับอัจฉริยะเลยด้วยซ้ำ ทั้งพรสวรรค์และการฝึกซ้อมนี่ไม่ได้จากการอ่านหนังสือไปสอบนะ ถ้าให้นักกีฬาที่คุณว่าตั้งใจเรียน มีเวลาอ่านหนังสือเหมือนคุณ เค้าอาจสอบได้ดีกว่าคุณก็ได้ คุณเรียนเก่งจบจากสถาบันที่มีชื่อเสียงที่(คุณคิดเอาเองว่าดีที่สุด ดีกว่าใคร) เมื่อจบออกมา ทุกที่ต้องอยากรับคุณเข้าทำงาน นี่คือความคิดของคุณใช่ไหม เล่าให้ฟังเรื่องหนึ่งนะ ถึงแม้จะไม่ค่อยเกี่ยวกับกระทู้ ที่ๆเราเรียนเป็นม.รัฐ อยู่ต่างจ. รุ่นพี่เราไปฝึกงานกับบริษัทที่ถือว่าใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย(เกี่ยวกับอาหาร) มีนศ.มาฝึกงานจำนวนมาก จากม.ที่ดังกว่าเรา และมีนิสิตจากสถาบันคุณด้วย แต่หลังจากฝึกงานเสร็จมีพี่เรากับคนอีกไม่กี่คนที่ได้รับการติดต่อให้เข้าทำงานเลยหลังจากเรียนจบ พวกจากม.ที่ชื่อดังกว่าเสียงประทัดนี่ ไม่ได้ทำเลย พี่เราเรียนไม่เก่งหรอกเกรดแค่สองกว่าๆ แต่เค้ามีมนุษยสัมพันธ์ดี ทักทาย ยกมือไหว้ทุกคน เข้ากับคนอื่นได้ ไม่เรื่องมาก ทำงานได้ทุกอย่างตั้งแต่บริการยันพิมพ์เอกสาร สถาบันกับเกรด ไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตหรอกนะ ถ้ายังติดอยู่กับโลกของตัวเอง คุณจะมีปัญหาตอนที่อยู่ในสังคมการทำงาน จากคุณ : นางเอกหนังไทย - [ 10 มี.ค. 51 02:30:24 ]

ความคิดเห็นที่ 102 ถ้าอ่านหนังสือแทบตายจนไม่ได้หลับไม่ได้นอนถึงได้เรียนแสดงว่าก็โง่เหมือนกัน คนเก่งไม่ต้องอ่านมากก็สอบเข้าได้สบายๆ จากคุณ : ลาบราดอร์สีดำ - [ 10 มี.ค. 51 11:06:18 ]

ความคิดเห็นที่ 103 นักศึกษาจบใหม่ ชอบนั่งเก้าอี้สั่งงาน ชอบมองคนที่จบต่ำกว่า ไปรู้เรื่องรู้รางอะไร ชอบบอกว่าอาจารย์ตัวเองเก่งที่สุด ถามเรื่องอื่นก้อตอบไม่ได้ บอกว่าไม่ได้เรียนมา  ถามเรื่องที่เรียนมาก้อตอบแบบซักแม่น้ำทั้ง 5 มาอ้าง น้องนี้มีแวว จากคุณ : SATADA - [ 10 มี.ค. 51 11:57:33 ]

ความคิดเห็นที่ 104 #96 ขึ้นกับวัตถุประสงค์ของการดำเนินงานของมหาวิทยาลัยครับ ว่าอยากให้การศึกษาเป็น Elitist Institution คือสถาบันเพื่อบุคคลบางกลุ่มเท่านั้น หรือจะให้การศึกษาเป็น The Great Equalizer คือสถาบันเพื่อปรับความไม่เท่าเทียมกันในสังคม คนเราเกิดมาก็ไม่เท่าเทียมกันอยู่แล้ว เรื่องนี้เป็นสิ่งที่มนุษย์ทุกคนเห็นพ้องต้องกันและเข้าใจชัดเจน ปัญหาก็คือสังคมของเราจะทำอย่างไรกับสิ่งที่ไม่เท่าเทียมกันนี้ การให้โอกาสการศึกษานั้นเป็นวิธีนึงที่จะลดช่องห่างของสังคมครับ ของยกคำพูดที่ยกกันมาประจำเวลาพูดเรื่องการศึกษา "Education, then, beyond all other devices of human origin, is the great equalizer of the conditions of man, - the balance-wheel of the social machinery." -- Horace Mann คำพูดของ Horace นั้นพูดไว้นานแล้ว เป็นสมัยที่โอกาสทางการศึกษานั้นจำกัดแต่ผู้มีอันจะกินเท่านั้น elite ในสมัยนั้นคือพวกขุนนาง หรือผู้มีเงินทอง แต่ปัจจุบันนี้ elite นั้นได้รวมไปถึงผู้ที่ได้รับการศึกษาจากมหาวิทยาลัยระดับแนวหน้าด้วย น่าเศร้าหรือไม่ครับ ที่สถาบันที่ควรจะเป็นผู้ลดช่องว่างทางสังคมนั้นกลับไปเป็นส่วนหนึ่งของชนชั้นซะเอง ทุนต่างๆ นั้นจึงยังสมควรมีอยู่ครับ มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ ของเมืองไทยสมควรทำตัวเป็น The Great Equalizer จริงๆ มหาวิทยาลัยที่จะทำตัวเป็น elitist institution ก็ควรเป็นมหาวิทยาลัยเล็กๆ รับเด็กไม่กี่คน (ให้มัน elite จริงๆ คนจบมาจากที่เดียวกันปีละเป็น 2-3000 คนมันจะ elite ได้ไง) คัดเด็กเข้าให้มันสุดๆ ไปเลย เอาไว้รองรับเด็กแบบจขกท. จากคุณ : HotChoc - [ 10 มี.ค. 51 15:04:17 ]

ความคิดเห็นที่ 105 ด้านนึงของมหาวิทยาลัยคือให้บริการสังคม อีกด้านคือเป็นแหล่งพัฒนาตนเอง ในด้านนี้ผมมองคำพูดของ Horace อีกแนวนะครับ ถ้าเราเลิกการให้ทุนกีฬากับเด็ก ก็จะเป็นการบอกเด็กเป็นนัยๆ ว่ากีฬาไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเรียน เป็นการบังคับเด็กไม่ให้ทำอย่างอื่นนะครับ เหมือนเราขีดเส้นให้เด็กเดินไว้แล้ว ว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิตต้องทำอย่างไร ต้องเรียนให้ได้เกรดดีๆ ไปติวหนังสือสอบ สอบเข้ามหาวิทยาลัยดีๆ ให้ได้ คือต้องเป็นอย่างนี้เท่านั้น ไม่มีทางเลือกอื่นให้เด็กเดินเลย การรับเด็กเข้ามหาวิทยาลัยของไทยยังล้าหลังนะครับ ที่อเมริกามหาวิทยาลัยดีๆ จะมองกิจกรรมที่เด็กทำตอนเรียนด้วย หรือการใช้ชีวิตด้านอื่นๆ ด้วย เช่นไปค่ายอะไรบ้างไหม กิจกรรมเพื่อสังคมล่ะ ทักษะความสามารถด้านอื่น งานอดิเรก(ไปถามเด็กไทยเรื่องนี้ก็จะไม่พ้น ดูหนัง ฟังเพลง เล่นเน็ต อย่างดีก็เล่นกีฬา ไม่ค่อยมีแบบ อยู่ชมรมดูดาว ตั้งแคมป์กับเพื่อนๆ ประดิษฐ์อุปกรณ์เล่นเอง เล่นดนตรี เต้นรำหรือรำไทย เล่นศิลปะป้องกันตัว โยคะและฝึกสมาธิ เลี้ยงและฝึกสุนัข ดำน้ำปีนเขา อะไรก็ว่ากันไป) เราไม่สนับสนุนให้เด็กสรรหากิจกรรมอื่นๆ มาทำ ให้เขาเลือกสิ่งที่เขาชอบ เก่งในสิ่งที่เขาชอบ เขาก็ต้องมาแข่งกันเก่งในเรื่องเดียวที่เราให้เขาทำ ก็คือเรื่องเรียนนี่แหละ จากคุณ : HotChoc - [ 10 มี.ค. 51 15:26:24 ]

ความคิดเห็นที่ 106 อยากรู้ชื่อ จริง นามสกุลจริง จขกท และ อย่า "แสร้ง มาทำเป็นเด็กเพิ่งเข้าได้ เพื่อ ปั่นกระทู้ให้ยืดยาว แล้วตลบหลังด่าทางการเลยค่ะ " -------------------------- เข้ามาแก้ไข หวังว่า หลายท่านได้อ่านแล้วก็แล้วกันค่ะ แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 15:18:24 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 10 มี.ค. 51 21:48:04 ]

ความคิดเห็นที่ 107 คนเรา ไม่ได้ ดี เด่ อะไร เพราะสีสถาบันค่ะ คนเรา ไม่ได้ ดี เพราะเป็นลูกใคร นามสกุลดังอะไร หรือ เรียนเก่งจำแม่น   คนเรามันจะดีจะชั่ว อยู่ที่การกระทำของตัว.... ไม่ใช่อ้างอิงสถาบันไหน ค่ะ ~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~~ มาแก้ไขให้เป็นครั้งสุดท้าย แก้ไขเมื่อ 11 มี.ค. 51 15:19:33 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 22:25:58 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 22:22:45 จากคุณ : tiki_ทิกิ - [ 10 มี.ค. 51 21:52:58 ]

ความคิดเห็นที่ 108 ความคิดเหมือนไม่ใช่คนปกติเคยไปหาจิตแพทย์บ้างหรือเปล่า จากคุณ : แข้งซ้ายไฟเพนียง - [ 10 มี.ค. 51 22:04:07 ]

ความคิดเห็นที่ 109 ช่วยกดโหวตค่ะ ทุกคนจะได้เห็นมุมมองที่แย่ๆแบบนี้ และหวังว่าเด็กรุ่นต่อไปจะไม่คิดแบบนี้ตาม ปล. จขกท หายไปเลย (คิดให้ได้เสียทีนะคะ) จากคุณ : intokyo - [ 11 มี.ค. 51 01:49:01 ]

ความคิดเห็นที่ 110 ทุกคนมีส่วนดีของตัวเองทั้งนั้นแหละค่ะ   คนบางคน --จบการศึกษาสูงส่ง  ฐานะดี อะไรๆก็เพอร์เฟค ----แต่นิสัยแย่ อยู่ร่วมกับคนอื่นไม่ได้ -- อันนี้ก็ไม่ดีหรอกค่ะ  คงประสบความสำเร็จและมีความสุขยาก คนบางคน --ที่บ้านยากจน  เรียนไม่สูง เรียนไม่เก่ง  อาจจะเก่งด้านอื่น ความคิดดี  นิสัยดี ---- อันนี้น่ายกย่อง  และถือว่าสามารถอยู่เป็นบุคลากรที่ดีของชาติได้  มีประโยชน์มากกว่าคนเก่ง ที่ไม่มีน้ำใจกับใครเลย   ไม่รู้สิ ..คิดว่าทุกคนก็เก่งไม่เหมือนกัน ความสามารถ  พรสวรรค์ต่างกัน  ถ้านิสัยโอเค  ก็คงดีกว่าคนเก่งที่ไม่มีน้ำใจกับใครนะคะ  เพราะชีวิตนึงเราไม่ได้ยืนอยู่คนเดียวในโลก  ต้องคบคนได้ทุกระดับ และเปิดใจให้กว้างค่ะ จากคุณ : สตรอว์เบอร์รี่ชอร์ทเค้ก (Me & My dog) - [ 11 มี.ค. 51 17:09:10 ]

ความคิดเห็นที่ 111 อย่าบอกนะว่าเป็นรุ่นน้องที่มหาลัย ถ้าหลุดออกไปในสังคมนี่อายเค้าตายเลย จากคุณ : Atlantic Star - [ 11 มี.ค. 51 20:39:06 ]

ความคิดเห็นที่ 112 อนิจา....เธอทำให้เสาต้นหนึ่งของสถาบัน มัวหมองเพราะความคิดของเธอเสียแล้ว จากคุณ : ชอบจัง ทะเล - [ 11 มี.ค. 51 21:08:47 ]

ความคิดเห็นที่ 113 ขอบคุณคุณ HotChoc มาก ๆ ครับ ทำให้ผมคิดหลาย ๆ เรื่องที่เกี่ยวกับเรื่องนี้... มหาลัยที่ไม่มีโควต้านักกีฬาเลย และ...ด้วยภาษาของคุณ...คือเป็น elitist institution เนี่ย เท่าที่ผมนึกออกคือ New School of Social Research ซึ่ง...elite สุด ๆ เพราะคัดกันในระดับโหดร้ายพอสมควร เอ้อ เท่าที่ผมเข้าใจ มหาลัยพวก London U. ก็ไม่มีโควต้าที่ว่า แต่ไม่ทราบว่าเพราะข้อมูลผมไม่ดีรึเปล่า เพราะเท่าที่ผมหาข้อมูลเนี่ย เป็นข้อมูลที่เกี่ยวกับ post-graduate study เท่านั้น อีกแห่งที่ผมไม่แน่ใจคือ พวก ecole ทั้งหลายใน Paris (ENS, IEP, etc.) ที่ก็ elite กันสุด ๆ โดยเฉพาะในทางวิชาการ ว่า มีการรับโควต้าพิเศษรึเปล่า เพราะผมเดา (ย้ำว่า "เดา") เอาเองว่า สถาบันพวกนี้ไม่ได้มีเป้าประสงค์เพื่อสร้างความเท่าเทียมกัน "ในทางวิชาการ" แต่อย่างใด... จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 12 มี.ค. 51 00:20:05 ]

ความคิดเห็นที่ 114 อ่านแล้ว เสียดาย ข้าวสุกที่เลี้ยง มาจริงๆ "โลกไม่ยุติธรรม ทำไมคนโง่ๆได้เรียนที่นี่ด้วย" อ่านแล้ว รู้สึกว่า การศึกษาดีๆ ที่เรียนดีๆ พ่อแม่ดีๆ ไม่ได้ให้หลักประกันเลย ว่า เด็กคนนั้น จะเป้นเด็กดี เลย เอ๊าาาน้อง "ฟางแห้งเต็มถัง" จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 12 มี.ค. 51 20:37:50 ]

ความคิดเห็นที่ 115 ไม่ทราบว่า นักกีฬาเหล่านั้นมานั่งเรียนบนหัวหรือไง ถึงได้โมโหนัก หรือว่าสาวๆที่หมายตาไว้เค้าไปสนใจนักกีฬาที่หล่อ เท่ห์กว่า เลยแห้ว เป็นเด็กเรียนแต่ไม่มีใครคบ เพราะทนงตัวว่าฉลาด กลัวคนอื่นจะฉลาดกว่า เด่นกว่า ดีกว่า แต่พอมหาลัย มอบรางวัลดันกลายเป็นว่ามอบให้คนที่เก่งกว่า และต่อมาก็มอบให้นักกีฬาในฐานะที่ทำชื่อเสียงให้มหาลัย แต่คนเรียนเก่ง ที่ไม่เก่งที่สุด กลายเป็นแค่คนธรรมดาที่ไม่มีใครสนใจ!!! ก็แค่อยากจะบอกว่า ถ้านักกีฬาที่เอ็งเกลียด มันไม่ได้มากวนสมาธิจนเรียน ไม่รู้เรื่อง ก็ปล่อยเค้าไปตามทางเค้าเถอะ เพราะเอ็งไม่มีทางทำชื่อเสียง หรือบางทีอาจจะเงินได้เท่าเค้า อย่าลืมว่าภาราดรก็เป็นแค่นักกีฬา เรียนหนังสือตามวิชาการไม่เก่งแน่นอน แต่เค้าเล่นเทนนิสได้เงินมากกว่าที่เอ็งอาจจะหามาได้ทั้งชีวิต!!! จากคุณ : เบื่อไอ่จิตใจคับแคบ (A49 GTR34) - [ 12 มี.ค. 51 21:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 116 เด็กขี้อิจฉา....ผมมีเรื่องเล่าให้ฟัง แถวบ้านผมมีจบที่เดียวกับคุณมา ตอนนี้อายุ 40+ อยู่บ้านเลี้ยงหมาอย่างเดียวมา 15 ปีแล้ว ไม่มีรายได้ ให้พี่ชายเลี้ยง เค้าออกจากงานด้วยสาเหตุที่เข้ากับเพื่อนร่วมงานไม่ได้ ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด เคยได้ยินมั้ย จากคุณ : สีเขียวจัดชิดขวา - [ 13 มี.ค. 51 19:14:51 ]

ความคิดเห็นที่ 117 สงสารประเทศชาติจริงๆ ที่ "อนาคตของชาติ" คิดได้แค่นี้ จากคุณ : nanny_nan - [ 14 มี.ค. 51 13:25:30 ]

ความคิดเห็นที่ 118 เฮ้ย มีคนคิดแบบเดียวกับลูกพี่ลูกน้องเราเลย  แต่เรียนสถาบันเหลืองแดง คิดอย่างเดียวกันเด๊ะเลยอ่ะ แต่เรียนจบแล้วหล่ะ ได้เกียรตินิยมเหรียญทองด้วยนะ ได้ทุนไปเรียนนิวซีแลนด์ด้วย ...  จขกท.รู้มั้ยตอนนี้เค้าทำไรอยู่ นั่งนับก้อนเมฆอยู่ข้างหน้าต่างที่wardจิตเวชอยู่น่ะสิ จากคุณ : piggymom - [ 14 มี.ค. 51 23:49:43 ]

ความคิดเห็นที่ 119 เกินเยียวยา     เขา จะรู้ไหมนะ ว่า เป็นคน ...........คบยาก จากคุณ : BubbaGump - [ 15 มี.ค. 51 17:58:06 ]

ความคิดเห็นที่ 120 ก็เห็นๆว่าจขกท.ล่อเป้าให้มาด่าจุฬานะครับ แต่เข้ามาตอบหน่อยดีกว่าเพราะส่วนตัวแล้วเจอกับ dilemma ที่ว่าการมี student athlete ในมหาลัยนั้นเหมาะสมหรือไม่มาตลอด ผมว่าคุณจขกท.มองแคบไปนิดครับอ้างอิงจากจำนวน sample ที่เล็กไปหน่อย ถ้าชีวิตผมต้องเจอแต่คนสองประเภทที่จขกท.บอกมา คือ เก่งกีฬาแต่โง่เรียน กับเก่งเรียนแต่กีฬาไม่ได้เรื่องเลยก็ดีซิครับ ผมคงทำใจในหลายๆเรื่องได้ง่ายขึ้นเยอะเลย น่าเสียดายที่ผมต้องไปเจอไอ้พวกที่มันเก่งดันกว่าทั้งสองด้านนี้ (และ หลายๆด้านอื่นๆอีก) เลยนะซิ :-D แล้วก็เจอหลายคนซะด้วย โอเคละ sample ของผมมันอาจจะเป็นกรณีพิเศษไปหน่อย แต่อย่างน้อยมันก็คอนเฟิร์มได้ว่า นักกีฬาที่เรียนเก่งๆก็มีอยู่เช่นกัน ผมไม่รุ้ว่าที่เมืองไทย ไอ้ stereotype ที่ว่านักกีฬาทุกคนต้องโง่นี่ยังหมดไปรึยัง แน่นอนละ มันยังต้องมีพวกนักกีฬาที่ไม่เอาเรียนเลยเหลืออยู่บ้าง แต่จากประสบการณ์ของผมกับคนรอบๆตัว ก็คิดว่า trend นี่เริ่มลดลงเรื่อยๆ แล้ว นักกีฬาโควต้าที่เขาไป ถึงจะเรียนไม่ถึงกับท๊อป แต่ก็พยายามประคับประคอง เข้าห้องเรียนบ้าง จนส่วนใหญ่ก็จบกันได้ ผมเคยได้รุ้จักกับพี่คนนึงที่เล่นกีฬาก็ไม่ถึงกับระดับท๊อป แต่ก็ห้อยติดไปแข่งกีฬาแห่งชาติได้เหรียญประเภททีมมา แล้วเอาไปเข้าวิศวะจุฬาได้ พี่แกก็เรียนล่างๆ แต่เพื่อนๆก็ช่วยประคับประคองมาจนจบได้ ( ผมได้ยินจากคุณพ่อว่าตะก่อนวิศวะจุฬาพอเข้าไปแล้ว ไม่ทิ้งกัน regardless of who you are หนิครับ? คุณจขกท.อยู่วิศวะจุฬาหรือเปล่าเอ่ย?) ทีนี้มามองที่ประเด็นเรื่องทุนกันดีกว่า ผมคิดว่าในเมืองไทยการให้ทุนนักกีฬานั้นมันไม่เป็นรูปประธรรมเหมือนเท่าที่อเมริกา เนื่องจากกีฬามหาลัยไม่เป็นที่นิยม ยังไงๆไอ้แข่งเพื่อ”ชื่อเสียง”ของมหาวิทยาลัย ก็ไม่มีใครแคร์สักเท่าไหร่ ดังนั้นเราจึงมองการให้ทุนนักกีฬาว่าเป็นการเสียเงินไปฟรีๆ แต่ถ้าเป็นที่อเมริกาแล้ว การให้ทุนนักกีฬานั้น มองจากมุมมองของมหาลัยนั้นคุ้มครับ เพราะมันถือว่าเป็นการลงทุนอย่างนึง ถ้ากีฬาดีแล้วรายได้ของมหาลัยนั้นไหลมาเทมาครับเพราะ - รายได้จากขายตั๋ว รายได้จากการถ่ายทอด กีฬาที่ดังๆของอเมริกา (ผมว่าบอล ญ ทีมมหาลัยถ่ายทอดสดเยอะกว่าไทยลีกอีกนา ฮา) บางทีถึงกีฬาจะไม่ดังระดับประเทศ แต่คนในพื้นที่ก็ชอบที่จะมาดูกีฬาครับ - รายได้จากการบริจาคของศิษย์เก่า หนึ่งในกลุ่มศิษย์เก่าที่บริจาคเป็นหลักๆคือศิษย์เก่าของทีมกีฬาครับ ที่เมืองไทยเรื่องนี้อาจยังไม่เป็นรูปประธรรม แต่ที่อเมริกา มหาลัยเก่าแก่ส่วนใหญ่จะถือเป็นเรื่องใหญ่มากในด้านไฟแนนเชี่ยล ดังนั้นมหาวิทยาลัยจึงทิ้งนักกีฬาไม่ได้เสียทีเดียวครับ ดีไม่ดีเงินรายได้จากกีฬาก็อาจจะแปลกลับไปเป็นทุนให้พวกเด็กเรียนเสียอีก ดังนั้นนักกีฬาก็ช่วยพวกนักเรียนธรรมดาทางอ้อมอยู่นะครับ ;-) มีนักกีฬามหาลัยมาตอบกระทู้นี้เยอะเหมือนกัน ว่างๆมาแชร์ประการณ์สมัยมหาลัยบ้างนะครับ จากคุณ : นายหอมแดง (นายหอมแดง) - [ 16 มี.ค. 51 08:17:13 ]

ความคิดเห็นที่ 121 วัตถุประสงค์ของการศึกษาในมหาวิทยาลัย เพื่อวิชาการไม่ใช่เหรอคับ การรับคนเข้าศึกษาก็ควรจะใช้เกณฑ์ด้านวิชาการสิคับ --- Not true. A university aims to produce and improve the quality of human resources. Talking about "quality", it doesn't only indicate academic excellence like you have naively claimed. As a university instructor, I would like to see my students equipped with one academic standard, a good attitude (and respect) about their lives and others and capability to maintain their lives after graduation. Only academic standard is not enough to meet this so-called standard of mine.... I am sorry that I disagree with you on this statement. "ถ้าใช้เกณฑ์ด้านกีฬา ก็ไปศึกษาในวิทยาลัยพละศึกษานั่น หรือไปเรียนหลักสูตริวทยาศาสตร์การกีฬา ไม่ใช่คณะอะไรก็เรียนได้แบบนี้ มหาวิทยาลัยกำลังลืมวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งหรือเปล่า ถ้าเค้าเรียนดีเรียนเก่งผมคงไม่มาพูดในนี้หรอกคับ" Many of those athelete students are capable academically if they put their efforts into studying just like others can do. I believe that there are regulations/rules talking about this. In the US, NCAA has its own rules about students who compete in NCAA support events must have GPA not lower than XXXX (I cannot remember, sorry). So, I think, this similar approach should be applied to Thai universities. มหาวิทยาลัยอย่างฮาร์วาร์ดที่มีชื่อเสียงด้านวิชาการ ก็คงไม่มีนโยบายรับคนที่ขาดคุณสมบัติด้านวิชาการเข้าศึกษาหรอก ต่อให้เป็นแชมป์โลกก็เถอะ ถ้ามหาวิทยาลัยในประเทศไทยยังลืมวัตถุประสงค์แบบนี้อยู่ ยังไงก็สู้มหาวิทยาลัยระดับโลกไม่ได้หรอก - You quote Harvard just by name.... You simply don't know how they justify about their policies and philosophy. All of prestigious universities in the US (including Harvard) have a policy to accept athlete students. One of those whom got accepted by Harvard was James Blake. Lastly, I felt very bothered about your quote---" I am not listening for suggestions/comments from someone who didn't go to my instututions". I am a CU alumnus.... I feel terribly sorry and truly ashamed if you are studying at CU. Anyway, since you still have limited experiences in lives, I wish that your attitudes might have changed into a better one when time passes. If I can judge you as a human being using my own guidelines, you have miserably failed.... I am sorry about that. If you still maintain your attitudes like this, you may be successful in your professional life. But you will not be truly happy with anything good in your life. Take care and good luck krub... You need a lot of it. จากคุณ : amatuer translator - [ 16 มี.ค. 51 08:42:38 ]

ความคิดเห็นที่ 122 ในมหาลัยระดับไอวี่ลีกนั้น นักกีฬาทุกคนต้องผ่าน admission process เหมือนนร.ธรรมดาครับ  โค้ชไม่มีพาวเวอร์ที่จะเอาเข้าได้เลย  ที่จะทำได้ก็เพียง ส่งรายชื่อนักกีฬา (recruiting list)ที่เขาจะ endorse ในแต่ละปีไปให้กับ admission ดังนั้นถ้าคะแนนกับเกรดแย่จนดูไม่ได้โอกาสรอดก็ยากครับ  ที่สำคัญถึงรอดติดเข้าไปก็คงจะโอกาสจบน้อย  เพราะอาจารย์ในมหาลัยเหล่านี้ จะไม่ค่อยให้สิทธิ์พิเศษกับนักกีฬาครับ   ที่ดูเหมือนว่ามันมีเป็นโควต้าเฉพาะทุกปีก็เพราะ เด็กนักกีฬาที่สมัครมามหาลัยเหล่าส่วนใหญ่เกรดกับคะแนนก็ค่อนข้างดีอยู่แล้ว พอได้ endorsement จากโค้ชไปด้วยก็เลยเพิ่มโอกาสขึ้นมากครับ  ส่วนทุนนั้นไม่มีแบ่งแยกระหว่างกีฬากับนร.ธรรมดา  ทุกคนขึ้นตรงกับ financial aidเดียวกันหมด (ถ้ามหาลัยนอกลึกอาจจะต้องมีการเซ็นสัญญาเกี่ยวกับเรื่องทุนเป็นปีต่อปี) จากคุณ : นายหอมแดง (นายหอมแดง) - [ 16 มี.ค. 51 08:58:55 ]

ความคิดเห็นที่ 123 ..โชคดีที่เราไม่ได้จบสถาบันเดียวกับ จขกท ก็เลยได้แต่ปลง ๆ อิอิ จากคุณ : BFP (เรื่องง่ายๆของรถถุง) - [ 16 มี.ค. 51 22:18:19 ]

ความคิดเห็นที่ 124 :-)... ไอ่คนฉลาด... ฉลาดแต่เรื่องโง่ๆ...ห้าห้า จากคุณ : La Gioconda - [ 19 มี.ค. 51 12:31:46 ]

ความคิดเห็นที่ 125 พวกคุณ EQ สูงมากเลยนะ ผมเดาว่าเห็นคนโพสข้อความแบบนี้แล้วคงจี๊ดขึ้นหัว อยากสั่งสอนเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม เลยโพสด่าให้มันรู้สำนึกซะบ้าง ถ้าอ่านดูอย่างคนที่จิตใจดีคงมองเห็นประเด็นปัญหาที่ผมเสนอขึ้นมา ขอบคุณหลายท่านที่ได้แสดงภูมิรู้ให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ แสดงถึงระดับจิตใจและระดับความรู้ที่อยู่เหนือคนอื่นๆ ผมขอยอมรับในความคิดเห็น แต่พวกที่ด่าอย่างเดียว แสดงความคิดเห็นผิดๆถูกๆ คุณคิดเหรอว่าผมจะสนใจ พ่อแม่ผมจบเอกทั้งสองคน ผมยังเลือกเชื่อในสิ่งที่ผมเห็นด้วยเลย อ้อแล้วถ้าคิดว่าคำพูด ความคิดเห็นของพวกคุณ มันถูกต้องนักละก้อ หาหนังสือเกี่ยวกับปรัญชาวิทยาศาสตร์อ่านซะบ้างนะ อย่าบอกนะว่าเรียนจบปริญญาแต่ไม่เคยอ่านปรัชญาวิทยาศาสตร์ ผมยังไม่มีปริญญาสักใบ ยังอ่านจบหลายเล่มเลย ไม่มีอะไรถูกหรือผิดหรอกนะ ผมก็ไม่ได้บอกว่าความคิดของผมถูก คนเราคิดไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่พวกเข้าเข้ามาตัดสินว่าผมใจแคบ เป็นพวกน่ารักเกียจ สร้างความมัวหมองให้สถาบัน ผมก็ไม่เห็นว่าจะมีอาจารย์ท่านไหนไม่ชอบหน้าผมสักคน เห็นชอบเรียกให้ตอบในห้องเรียนประจำ อ้อ แล้วไม่ต้องกลัวว่าผมจะไปทำงานร่วมกับพวกคุณหรอกนะ เพราะบ้านผมธุรกิจให้ดูแล ถึงไม่ได้รวยติดอันดับ top 10 เมืองไทย แต่ก็ไม่จำเป็นต้องไปเป็นลูกจ้างใครหรอกคับ ถึงพวกคุณจะไม่รับผมเข้าสังคม แต่ผมขอบอกว่า ผมมีสังคมของผม และไม่จำเป็นต้องง้อใครขอคบด้วย เพื่อนๆในกลุ่มผมก็เหมือนผมกันทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครว่า ว่าผมใจแคบเลย อ้อ ผมก็แค่คนที่ปากตรงกับใจ กล้าพูด กล้ายอมรับในสิ่งที่ตัวเองคิด ไม่เคยสร้างภาพว่าเป็นคนดี เป็นคนใจกว้าง ที่แท้ในใจคิดร้ายสารพัด ใครอยากคบก็คบ ไม่อยากคบก็ไม่ต้อง ตรงไปตรงมา ไม่เหมือนพวกผู้ใหญ่หรอก อย่างพวกนักการเมืองทั้งหลายแหล่ โกหก หลอกลวง สร้างภาพทำตัวเป็นพ่อพระ ทำตัวเป็นพวกเสียสละ ที่แท้ก็เน่ายิ่งกว่าซากศพ ยอมรับมาเหอะว่าคนเลวในสังคมเยอะแยะ โลกมีทั้งดีเลวปะปนกัน ทำตัวไร้เดียวสา จะอยู่รอดได้ยังไง จากคุณ : แทน - [ 19 มี.ค. 51 22:45:33 A:118.174.200.48 X: ]

ความคิดเห็นที่ 126 1. เดี๋ยวนี้วิศวะ/หมอ ไม่ยากเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้วิศวะจุฬาก็เถอะ คะแนนไม่เห็นจะสูงเลย ขนาดได้ GPA ช่วย 30% คะแนนเป็น % ยังสูสีกับสมัยสอบรวด 6 วิชา ไม่ควรหลงว่าตัวเองเรียนในคณะชั้นนำ แล้วคิดว่าคนอื่นด้อยกว่า เรียนอาชีพใดก็มีศักดิ์ศรีเท่ากัน มีความสุขในชีวิตได้เท่า ๆ กัน 2. เด็กทุนโควต้านักกีฬา ขนาดแบ่งเวลาเป็นนักกีฬาด้วย ยังเรียนหรือสอบเข้าเรียนได้ขนาดนี้ ต้องนับว่าเป็นคนเก่งพอตัว เด็กบางคนเรียนได้ดีสอบได้ดีเพราะอุทิศเวลาร้อยละ 90% ให้กับการเรียน จนเยิน จนเห็นแก่ตัว ทำอย่างอื่นเป็นได้น้อยมาก โลกแคบ มีมุมมองตายตัว ไม่หลากหลาย 3. เก่งมาก ส่วนใหญ่บุคลิกภาพไม่ดี สังเกตุจากเพื่อนที่เรียนเก่งมาก ๆ หลายคนออกแนวเนิร์ด เชย เฉิ่ม เบอะบะ บางคนเรียนจนบุคลิกภาพเสีย ถ้าเป็นหมอยังพอโชคดีที่มีคนหลงมารักษา รับจ๊อบตามคลีนิกสิวก็พอได้ แต่ถ้าเป็นวิศวะ โอกาสน้อยมากที่จะประสบความสำเร็จในวิชาชีพและก้าวหน้าไปสู่ตำแหน่งผู้บริหาร 4. ไว้ทำงานแล้วจะรู้ เรียนหนังสือเป็นเรื่องที่ง่ายที่สุด ยิ่งถ้าเป็นพวก meritrocrat แล้ว อยากจะเรียนต่อไปจนวันตายเลยจ๊ะ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 00:58:49 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 00:57:42 จากคุณ : แหลน้อย (Mamuangkuan) - [ 20 มี.ค. 51 00:57:25 ]

ความคิดเห็นที่ 127 พ่อแม่เขาเป็นด๊อกเตอร์นะเนี้ย ถ้ามองในแง่ร้ายก็เป็นกระทู้ที่มาตั้งล่อเป้าให้คนด่าเด็กจุฬาฯ พอได้เหมือนกัน พยายามต่อไป จากคุณ : เรื่องง่ายๆของรถถุง - [ 20 มี.ค. 51 01:27:14 ]

ความคิดเห็นที่ 128 Ah, Ph.D., right? Unfortunately, I know many of them in my "neighborhood". There are several kinds of PhD people I know. One of those are arrogant jerks. These people look down on others: they think that they are superior because of their educational backgrounds. If you earned a PhD, you (and maybe your entire family) fell in this category. BTW, philosophy books do not bring its readers to an upper level of mankind, instead they should bring a sense of humbleness. Well, my 9-y-o son, thus far, has read more than 500 books in English (Note: in my tiny house, we have more than 3,000 books for children).... I have never told him that this reading will bring him to a better level of humanity, but it will give him understanding and insight into facts and authors' imaginations. These would help him to synthesize his own ideas about himself and the world surrounding him. You should stick with your family's business.... :) You really need that business and related nepotism/favortism.... With these rotten attitudes of yours, you will not survive a day with your own ability. Lastly I still confirm this statement, "Good luck krub--- you need a lot of it". แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 06:55:01 แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 06:46:03 จากคุณ : amatuer translator - [ 20 มี.ค. 51 06:44:00 ]

ความคิดเห็นที่ 129 well, I don't believe in this whole thing. It is a scam, believe me. 1) I don't believe that parents who are highly educated will raise their kid to have this attitude. 2) If this guy is really smart like he claims himself is, I see no point why he has to whine about how arduously he faced when taking entrance exam to C.U. It's just a piece of cake and doesn't need to use a lot of effort. So what's the point of whining. Anyway I think it's a fun topic to read though, with a lot of interesting comments. จากคุณ : เรื่องง่ายๆของรถถุง - [ 20 มี.ค. 51 08:34:50 ]

ความคิดเห็นที่ 130 หนังสือปรัชญาวิทยาศาสตร์คืออะไรน่ะครับ... แต่ว่าเป็นไปไ้ด้นะ ที่พ่อแม่ีมีการศึกษาขนาดนี้จะทำให้ลูกเป็นแบบนี้... แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 11:09:35 จากคุณ : Munch - [ 20 มี.ค. 51 09:37:08 ]

ความคิดเห็นที่ 131 การศึกษาคือการสร้างคนให้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ นอกจากนั้นคงไม่น่าจะใช่ และที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้ มาผิดทาง และคนแบบ จขกท จะทำให้ทุกอย่างแย่ลง จากคุณ : g9h - [ 20 มี.ค. 51 18:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 132 พวกที่เข้ามารุมด่า จขกท. ก็เป็นพวกไม่ EQ เอาพวกมากโหนกระแสสังคมไปวันๆ เห็นได้ทีสบโอกาสหน่อยก็เข้ามาระบายอารมณ์ ดิบเถื่อน คุยด้วยเหตุผลไม่ได้ ชอบรุมคนไม่มีทางสู้ ก่อนจะว่าใคร EQ ต่ำ หัดดูตังเองก่อนซะก่อนเหอะ ปัญญาอ่อนว่ะ จากคุณ : เกรียน - [ 21 มี.ค. 51 01:19:41 A:124.120.170.60 X: TicketID:169725 ]

ความคิดเห็นที่ 133 จบ ป เอก ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าคนอื่นแน่นอน ผมเองก็จบเอก ได้ทุนทั้งโท ทั้งเอก ถึงกล้าพูด การทำงานในชีวิตจริง ต้องทำงานเป็นทีมด้วย ซึ่งส่วนหนึ่งได้มาจากการเล่นกีฬา บริษัทระดับโลกหลายแห่ง มองหาคนที่เป็นนักกีฬา และทำกิจกรรมด้วย เพราะเรียนเก่งอย่างเดียว มันไม่พอหรอกครับ จากคุณ : Dukhor - [ 21 มี.ค. 51 08:10:55 ]

ความคิดเห็นที่ 134 เป็นกระทู้ที่ฮาจริงๆ ผับผ่าสิ.. จากคุณ : หวานใจนายโหด - [ 21 มี.ค. 51 20:57:31 ]

ความคิดเห็นที่ 135 คุณ คห 129 คับ อย่าคิดว่าอะไรที่คุณไม่รู้จักจะไม่มีอยู่ในโลกนี้ คุณรู้จักทุกคนที่จบปริญญาเอกเหรอคับ ถึงสร้างกรอบออกมาได้ว่าคนที่จบปริญญาเอกจะเป็นเหมือนที่คุณบอกทุกคน อย่าคิดไปเอง หลักสถิติก็เชื่อไม่ได้ 100% นะคับ ยังต้องมีระดับความเชื่อมันเลย 555 คุณ คห 133 คับ อย่าหลงประเด็นสิคับ ผมไม่ได้บอกสักหน่อยว่าครอบครัวของผมวิเศษวิโสกว่าคนอื่น อยากด่าผมก็ด่ามาเลย แต่อย่าเอาคำพูดของคุณมายัดปากหาว่าเป็นคำพูดของผม แล้วหาเหตุมาด่า ถ้าจะเข้ามาเถียงขอให้เอาเหตุผลและหลักฐานมาแสดงด้วย ประเภทอ่านไม่ได้ศัพท์จับไปกระแดะ เอ้ย กระเดียด ไปไกลๆเลยคับ ไหนเค้าบอกว่าห้องนี้มีแต่พวกคงแก่เรียน ผู้มีการศึกษา ทำไมที่ผ่านมามีพวกหลงประเด็น อ่านภาษาไทยไม่เข้าใจ อารมณ์รุนแรง เข้ามาตอบเยอะแยะเหลือเกิน อืม งั้นมันห้องนี้คงไม่ต่างจากห้อง...... ที่มีแต่พวกคลั่งลัทธิ จากคุณ : แทน - [ 21 มี.ค. 51 22:23:23 A:203.151.44.20 X: ]

ความคิดเห็นที่ 136 อืม เกรียน. จากคุณ : Munch - [ 21 มี.ค. 51 22:43:15 ]

ความคิดเห็นที่ 137 จขกท อย่าเกรียนให้มากนัก เรียนยังไม่ถึงไหน ทำเป็นอวดดี ไมได้หลงประเด็นแน่นอน ไม่ได้ด่าใครทั้งนั้น อย่างที่บอก จบ ป เอก ไม่ได้วิเศษวิโส ไปกว่าคนอื่น ดังนั้น ความเห็นคนจบ ป เอก ที่บ้านคุณบอกมา หรือใครก็แล้วแต่ ไม่ได้ถูกเสมอไป เด็กที่สอบเข้าไปด้วยโควต้า พวกนั้นมีภาระผูกพันที่ต้องทำตอบแทนมหาวิทยาลัย ในขณะที่คนสอบตรงไม่ต้องทำ ในสังคมคนเรามีหน้าที่ต่างกันไปต้องใช้ทักษะความสามารถต่างกันไป เป็นการดีที่รับนักกีฬาเข้าไป เพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่คนที่เป็นนักกีฬาได้ศึกษาในสายวิชาการที่สนใจไม่ว่าจะเป็นด้าน วิศวะ บัญชี และอื่นอื่น อีกทั้งไม่ต้องทิ้งกีฬาที่ชอบหรือมีพรสวรรค์ อีกทั้งยังเป็นตัวแทนมหาวิทยาลัยในการแข่งขันต่างต่าง สร้างชื่อเสียงให้มหาวิทยาลัยและประเทศชาติ กิจกรรมที่คนบางคนไม่คิดจะทำไม่คิดจะช่วย พอมีการรับคนมาทำด้วยหน้าที่ดันมาบ่นเหมือนริษยา (คนที่คิดทำคิดช่วยมีเยอะ แต่อาจไม่เก่งเท่าหรือไม่ต้องการภาระผูกพันเหมือนเด็กโควต้า และแน่นอนว่า คนเหล่านั้นไม่มีความคิดเหมือน จขกท) เด็กโควต้านักกีฬาที่เข้าไปเรียนเองไม่โอกาสที่จะเก่งในสายวิชาการได้เหมือนกันเมื่อได้รับโอกาสทางการศึกษาที่ดี มหาวิทยาลัยดังดังในยุโรป บริษัทชั้นนำในยุโรปหรือระดับโลก หลายแห่งล้วนให้ความสนใจคนที่ทำกิจกรรมมาก่อน ยิ่งเป็นนักกีฬา ยิ่งเป็นที่สนใจ เรื่องนี้คงต้องให้ไปคิดเองว่าทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ไม่หลงประเด็นแน่นอนทั้งที่เขียนที่นี่และในคห133 ถ้าอ่านไม่เข้าใจ กลับไปอ่านใหม่อีกห้ารอบทั้งที่เขียนที่นี่และในคห133 จากคุณ : Dukhor - [ 22 มี.ค. 51 00:41:03 ]

ความคิดเห็นที่ 138 มีกิจการส่วนตัวไหมครับ จขกท. ทีมเวิร์คคุณแย่แน่ๆ ถ้าคิดแต่แบบนี้เนี่ย ผมเป็นห่วงคุณจริงๆนะ แบบนี้ผมเจอมาเยอะนะ แบบคุณเนี่ยไม่แปลกเลย สำหรับเด็กสมัยนี้ จากคุณ : jurisprudence - [ 22 มี.ค. 51 18:41:19 ]

ความคิดเห็นที่ 139 ...คุณเรียนจุฬาฯจริงหรือเปล่าคะ จากคุณ : Chikau - [ 22 มี.ค. 51 20:07:36 ]

ความคิดเห็นที่ 140 อนาคตเจ้าของกิจการที่มีความคิดแบบนี้  ประเทศชาติจะเป็นยังไง? จากคุณ : Fred_Flintstone - [ 23 มี.ค. 51 00:35:54 ]

ความคิดเห็นที่ 141 "จบ ป เอก ไม่ได้วิเศษวิโสไปกว่าคนอื่นแน่นอน" "ดังนั้น ความเห็นคนจบ ป เอก ที่บ้านคุณบอกมา หรือใครก็แล้วแต่ ไม่ได้ถูกเสมอไป" คุณกำลังพาดพิงถึงครอบครัวผมนะคับ ช่วยรักษามารยาทหน่อย อยากด่าผมก็ด่าไป แต่อย่ามาว่าครอบครัวผม "จขกท อย่าเกรียนให้มากนัก เรียนยังไม่ถึงไหน ทำเป็นอวดดี" ระดับการศึกษาสามารถแบ่งคนเป็นกลุ่มๆได้ใช่ไหมคับ เกรียนได้มากน้อยแค่ไหน หรืออวดดีได้มาแค่ไหน ขึ้นอยู่กับระดับการศึกษา ขอโทษด้วยนะครับที่ยังเรียนไม่จบปริญญาเอก ผมคงเกรียน หรืออวดดีไปกว่าพวกคุณไม่ได้ จากคุณ : แทน - [ 23 มี.ค. 51 12:13:27 A:118.174.190.107 X: ]

ความคิดเห็นที่ 142 กระทู้นี้บันเทิงดีจริงๆ คุณจขกท.สู้ๆครับ เพื่อความบันเทิงต่อไป แก้ไขเมื่อ 24 มี.ค. 51 03:02:53 จากคุณ : นายหอมแดง (oriole) - [ 23 มี.ค. 51 14:22:23 ]

ความคิดเห็นที่ 143 โห มีเข้าเชียร์ด้วย ไม่รู้ประชดกันหรือเปล่า แต่ยังไงก็ขอเข้าใจตามความหายโดยตรงที่คุณเขียนมาแล้วกัน ขอบคุณครับ ผมไม่ยอมแพ้ใครง่ายๆอยู่แล้ว ถึงตัวคนเดียวก็สู้ ยิ่งโดนรุมยิ่งฮึดสู้ จากคุณ : แทน - [ 24 มี.ค. 51 09:05:02 A:161.200.255.162 X: ]

ความคิดเห็นที่ 144 What's the point of this so-called debate anyway? Can anyone make an -I hope- objective conclusion, please.... จากคุณ : ฮกหลงผู้หยั่งรู้ฟ้ามหาสมุทร - [ 25 มี.ค. 51 01:31:03 ]

ความคิดเห็นที่ 145 คนเราไม่ได้วัดกันด้วยการเรียนอย่างเดี่ยวค่ะ อย่าเครียด จากคุณ : MissDenning - [ 26 มี.ค. 51 03:55:33 ]

ความคิดเห็นที่ 146 ช่างมันเต๊อะ ก็แค่ความเห็นของเด็กคนหนึ่ง ที่ตอนนี้เชื่อมั่นว่าตัวเองถูก และไม่พร้อมที่จะเปิดรับฟังเหตุผลจากใคร แต่พร้อมจะตอบโต้ได้กับทุกคน ผมเชื่อว่าถ้าเขาได้เติบโตขึ้น ผ่านโลกมากขึ้น ก็คงจะคิดได้เอง แต่อาจจะต้องใช้เวลาหน่อย ถ้าหากเป็นเอามาก (ภายใต้สมมติฐานว่านี่ไม่ได้เป็นกระทู้ดัก....นะ) จากคุณ : เรื่องง่ายๆของรถถุง - [ 26 มี.ค. 51 13:07:41 ]

ความคิดเห็นที่ 147 ผมก็ยังตามอยู่ นะครับ จะดูน้ำหน้า คนที่พ่อแม่ให้ต้นทุนชีวิตมาแล้ว แต่คิดได้ เท่านี้ +555 สมเพช ว่ะ จากคุณ : กระเทยชายแดน - [ 30 มี.ค. 51 01:35:50 ]

ความคิดเห็นที่ 148 ต่อให้การศึกษาสูงแค่ไหน ถ้าจิตใจคับแคบ วุฒิภาวะต่ำ เอาแต่ดูถูกคนอื่น ผมว่า .........ประชากรด้อยคุณภาพขนานแท้เลยว่ะ จากคุณ : Mr.Resilience - [ 31 มี.ค. 51 16:35:15 ]

ความคิดเห็นที่ 149 คิดเหรอจะได้เห็นหน้าอ่ะ 5555 จากคุณ : แทน - [ 11 เม.ย. 51 09:52:28 A:161.200.255.162 X: TicketID:172848 ]