ความคิดเห็นที่ 1 อะไรคือ Relative Clause? Relative Clause คืออะไร (แล้วเอ็งจะย้ำทำไม) เริ่มต้นด้วยคำนิยามก่อนละกัน "Relative Clause คือประโยคที่มี Relative Pronoun (who/whom/which/that) ในประโยครอง ทำหน้าที่แทน noun ที่อยู่ในประโยคหลัก และแปลว่า ที่/ซึ่ง/อัน" วุ้ย งงกว่าเดิมอีก เอาเป็นว่า ช่างนิยามมันไปก่อนเถอะครับ อ่านไปเรื่อย ๆ พอเห็นวิธีใช้และตัวอย่าง กลับมาอ่านนิยามก็จะเข้าใจมันเอง จริง ๆ relative pronoun ชื่อก็บอกอยู่แล้วว่าเป็น "pronoun" ซึ่งทำหน้าที่แทน noun ข้างหน้าซักตัวนั่นเอง ดังนั้นเจ้า who/whom/which/that เนี่ย มันก็ต้องแทนอะไรซักอย่างในประโยคหลักนั่นแหละ ส่วนไอ้อะไรซักอย่างในประโยครองเนี่ยมันก็เป็นได้หลายอย่างคือ 1. Subject 2. Object 3. Possesive 4. Object after prepo. และมันจะเป็น คน หรือ สัตว์/สิ่งของ ก็ได้ ดังนั้น ก็เลยสามารถสร้างเป็นตารางได้ดังนี้ หากคุณอยากใช้ Relative Clause เป็น ก็ต้องเข้าใจตารางข้างล่างนี่นะครับ (ที่อยู่ใน [ ] คือละได้ ส่วน / คือใช้ได้ทั้งสองแบบ) จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:15:47 ]

ความคิดเห็นที่ 2 มาดูอย่างแรกเลยดีกว่า กรณี Relative Pronoun ทำหน้าที่เป็น subj ในประโยครอง เอาภาษาไทยก่อน สมมติคุณจะบอกว่า "นักเรียนที่ขยันมักสอบผ่าน" ก็มี 2 ประโยคซ้อนกันใช่ไหม ประโยคหลัก นักเรียนมักสอบผ่าน <--- นักเรียนไหนอ่ะ? ประโยครอง นักเรียนขยัน <--- อ๋อ นักเรียนขยัน รวมกันก็ได้เป็น "นักเรียนที่ขยันมักสอบผ่าน" โดยมีคำว่า "ที่" เป็นตัวเชื่อมไง จริง ๆ คำว่า "ที่" ก็หมายถึงนักเรียนน่ะแหล่ะ ทีนี้มาดูภาษาอังกฤษ main clause: A student usually passes the exam. <--- Student? Who? subordinate clause: A student works hard. <--- Oh... It's a hard-working student. รวมกันก็เป็น "A student who works hard usually passes the exam." ง่ายแค่นี้เอง อันนี้ยังเข้าใจง่ายหน่อย เพราะไอ้ student เนี่ย ทำหน้าที่เป็น Subj ของทั้งประโยคหลักและประโยครอง ทีนี้ถ้า noun ตัวนั้น ทำหน้าที่เป็น obj ในประโยคหลัก แต่ดันเป็น subj ในประโยครองล่ะ? ไม่ต้องงงครับ เพราะเราจะใช้ relative clause ตามหน้าที่ของมันในประโยครองเท่านั้น ในประโยคหลักมันจะเป็นอะไรไม่ต้องไปสน เช่น ประโยคหลัก: I like the man. <-- ตรงนี้ the man เป็น obj. ประโยครอง: The man teaches us English <--แต่ตรงนี้เป็น subj. อยู่ ก็เลยเป็น I like the man who teaches us English. ถ้าเป็นสัตว์หรือสิ่งของก็เปลี่ยนเป็น which ประโยคหลัก: The house belongs to my uncle. <-- บ้านเป็นของลุง ประโยครอง:  The house stands on the corner <-- บ้านตรงหัวมุม =====> The house which stands on the corner belongs to my uncle. ประโยคหลัก: I went to a shop. <-- shop ไหนล่ะเธอ ประโยครอง:  A shop sells imported clothes <--ก็ shop ที่ขายเสื้อผ้านำเข้าไงล่ะยะหล่อน =====> I went to a shop which sells imported clothes. ประโยคหลัก: Books are called textbooks. <-- books แบบไหนล่ะ บอกมาซิ ประโยครอง: Books are written for students <--อ๊ะ ๆ อย่างงนะครับ ประธานตรงนี้ก็ยังเป็น Books อยู่                                                                                   แต่เป็นประธานที่ถูกกระทำ แถวโคโลราโด้เขาเรียกว่า "Passive"                                                                                   (ทำไมต้องแถวโคโลราโด้ด้วยฟะ...) =====> Books which are written for students are called textbooks. อ้อ! เกือบลืม ตรงนี้เราสามารถเปลี่ยนทั้ง who และ which เป็น that ได้นะครับ แต่ that จะ informal กว่า เช่น I like the man who teaches us English. จะฟังดูเป็นทางการกว่า I like the man that teaches us English. อ้ออ้อ! อีกอย่าง ไม่จำกัดนะครับว่าอะไรจะเป็นประโยคหลักหรือประโยครอง ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการสื่ออะไรมากกว่า I like the man who teaches us English. ฉันชอบผู้ชายที่สอนภาษาอังกฤษเรา (ชอบเพราะเขาสอนเก่งหรือหล่ออะไรก็ว่าไป) The man (whom) I like teaches us English. (ประมาณเพื่อนถามว่าแกชอบใครหรอ... ก็ตอบแบบอาย ๆ ว่า ผู้ชายที่ฉันชอบ ก้อ.....คนที่สอนภาษาอังกฤษเราไง เขิลลจัง....) ซึ่งอันนี้จะเป็นแบบ obj แล้ว กรุณาดูต่อไป...) จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:18:31 ]

ความคิดเห็นที่ 3 แบบแรกคงไม่มีปัญหากันเท่าไหร่ แต่แบบสองนี่จะยากขึ้นมานิดนึง นั่นคือ กรณี Relative Pronoun ทำหน้าที่เป็น obj. ในประโยครอง ถ้าพูดถึงคนก็จะใช้ (whom/that) ซึ่งละได้ เช่น ประโยคหลัก: The man came here yesterday ประโยครอง: You met the man last week. ---> ตรงนี้ the man เป็น obj. ของ met ก็จะเป็น=====> The man whom you met  last week came here yesterday หรือเปลี่ยนเป็น that===> The man that you met  last week came here yesterday หรือจะละ rel. pron. ก็ได้===>The man you met  last week came here yesterday ส่วนสัตว์สิ่งของก็ใช้ (which/that) เช่น ประโยคหลัก: The car cost 30,000 baht. ประโยครอง:  I have just bought it. <---it (a car) เป็น obj =====> The car (which/that) I have just bought cost 30,000 baht. ตรงนี้เราจะไม่ใช้ it ซ้ำแล้วนะครับ เพราะ relative pron. (which/that) ทำหน้าที่เป็น it ไปแล้ว แต่ถ้าสลับประโยคหลักกับรองก็จะเป็น แบบ Subj คือ I have just bought the car which/that cost 30,000 baht. อันนี้จะเป็นแบบ Subj *past tense (V2) และ past participle (V3) ของ cost ก็คือ cost เหมือนกันนะครับ เป็น cost-cost-cost **รถคันละ 30,000 บาทนี่รถผมเองครับ จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:20:14 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แบบสามนี่ความงงจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นั่นคือ กรณี Relative Pronoun ทำหน้าที่เป็น Possessive ในประโยครอง โดยจะทำหน้าที่เป็น subj หรือ obj ก็ได้ ดูแบบคนก่อน ก็จะใช้ whose ประโยคหลัก: That the man. ประโยครอง:  His son goes to my school. ทีนี้ไม่รู้ฝรั่งมันขี้เกียจอะไรกันนักหนา (หรือว่างจัด) ก็เลยมี whose มาแทนความเป็นเจ้าของ (แทน his) ให้ซะงั้น เวลารวมกันก็เลยเป็น =====> That is the man whose son goes to my school. ประโยคหลัก: Those are the people. ประโยครอง:  Their house were burnt down. =====> Those are the people whose house were burnt down. ประโยคหลัก: That's the man. ประโยครอง:  I saw his picture in the newspaper. ตรงนี้ his picture เป็น obj. =====> That's the man whose picture I saw in the newspaper. ประโยคหลัก: Where is the student? ประโยครอง:  We borrowed his books. ตรงนี้ his books ก็เป็น obj. =====> Where is the student whose books we borrowed? ต่อมาก็เป็นสำหรับสัตว์สิ่งของ ซึ่งใช้ได้ 2 แบบคือ n. of which v. หรือ of which + ประโยค ดูตัวอย่างประโยคดีกว่า ประโยคหลัก: We're going to buy the house. ประโยครอง:  Its roof is green. <--- ก็คือ roof ของ the house ไงครับ =====> We're going to buy the house the roof of which is green. แบบนี้ต้องแยก subj กับ verb ออกจากกัน =====> We're going to buy the house of which the roof is green. แบบนี้ง่ายกว่าเพราะแค่เติม of which ไปเลย บางคนก็ขี้เกียจ เอา whose มาใช้ซะงั้น (ซึ่งไม่ค่อยเหมาะ) =====> We're going to buy the house whose roof is green. แต่ถ้ามันยุ่งนัก ก็มีทางออกครับ ก็คือทำให้เป็น phrase ซะเลย =====> We're going to buy the house with a green roof. ง่ายดี 555 ใช้ a green roof แสดงว่าไม่เน้น เอาหลังไหนก็ได้ที่หลังคามันสีเขียว =====> We're going to buy a house with the green roof. ใช้ the green roof แสดงว่าเน้นว่าต้องเป็นหลังนั้นนั่นแหละ (ชี้ไปด้วย) ฮ่วย สรุปเขียนได้ตั้ง 5 แบบ ก็ดูตามความหมายและความเหมาะสมนะครับ อีกตัวอย่าง Pass me the bottle. Its label is green. =====> Pass me the bottle the label of which is green. =====> Pass me the bottle of which the label is green. =====> Pass me the bottle whose label is green. =====> Pass me the bottle with the green label. จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:23:06 ]

ความคิดเห็นที่ 5 สุดท้าย แต่ไม่ท้ายสุด แถมยังงงที่สุด ก็คือ Object after preposition มันจะมี verb บางตัว ที่มี prepo ห้อยมาด้วย ตรงนี้ เจ้า prepo มันก็มีหน้าที่กำหนด "ทิศทาง" หรือ "อาการ" ของ verb ที่มีต่อ obj นั่นเอง I'm writing with a pen. I intend to vote for Obama. The book was written by him. อันนี้เป็น Passive คือ subj เป็นผู้ถูกกระทำ และ obj เป็นผู้กระทำ โดยมี by เป็นตัวบอกทิศทางว่าหมอนี่เป็นคนทำนั่นเอง ที่นี่ถ้าเอามาทำเป็น relative clause มันก็เหมือนแบบ Obj ธรรมดานั่นแหละครับ แค่ว่ามี prepo ห้อยตรงท้าย ยกตัวอย่างง่าย ๆ ประโยคหลัก: This is the pen. ประโยครอง: I'm writing with the pen. รวมกันเลยเป็น-----This is the pen which/that I'm writing with. และแบบ obj สามารถละ which/that ได้ ก็เหลือ-----This is the pen I'm writing with. *****แต่ที่จะงงคือตรงนี้ครับ***** คือถ้าเขียนเป็นภาษาทางการเนี่ย เขาจะไม่ชอบห้อย prepo ไว้ท้ายประโยค เพราะดูเหมือนประโยคมันไม่จบ ห้วน ๆ ชอบกล วิธีแก้ก็คือ จัดการโยกย้าย prepo นั้นมาไว้หน้า relative pronoun ของประโยครอง ก็จะฟังดูเป็นทางก๊ารทางการ (คือไม่ใช่ภาษาที่คนธรรมดาพูด) ทันที This is the pen with which I'm writing. ซึ่งเราคนไทยอ่านแล้วไม่เข้าใจ เพราะไม่รู้ว่า prepo นั้นงอกมาจากไหน พาลจะอยากตัดทิ้งเอาซะดื้อ ๆ จำไว้เลยครับว่า prepo นั้น จริง ๆ มันมากับ verb ในประโยครอง ถ้าอ่านแล้วยังงง ก็โยก prepo นั้นกลับไปท้ายประโยคก็จะเข้าใจมากขึ้น ลองมาดูตัวอย่างที่เป็นคนบ้าง ประโยคหลัก: The candidate is very honest. ประโยครอง: I intend to vote for him ก็เลยเป็น The candidate whom/that I intend to vote for is very honest. หรือถ้าละ rel. pron. ก็เป็น The candidate I intend to vote for is very honest. หรือถ้าเป็นทางการก็: The candidate for whom I intend to vote is very honest. อันนี้ไม่ใช่ relative clause แต่เป็นตัวอย่างที่ดีสำหรับเรื่องการย้าย prepo. Which organisation does he work for? แต่ถ้าคุณอยากทำให้เป็นทางการ ก็กรุณาใส่ชุดทักซิโด้ ทำหน้าเชิด ๆ จัดการย้าย prepo มาหน้า which แล้วถาม (ด้วยสำเนียง British) ว่า For which organisation does he work? ก็จะฟังดูเป็นทางการและน่าหมั่นไส้ขึ้นมาทันทีครับ 555 แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 14:33:00 จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:25:48 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ที่นี่มาดูเรื่อง in which, at which, on which กันบ้าง สมมติคุณมี ประโยคหลัก: The house is in Soi 12. ประโยครอง: We live in the house. ถ้ารวมกันก็จะเป็น The house which/that we live in is in Soi 12. ถ้าย้าย prepo ก็ The house in which we live is in Soi12. เจ้า in which นี้ เรามีอีกคำมาแทนครับ และคำนั้นก็คือ ................. where The house where we live is in Soi12. ประโยคหลัก: Do you know a shop? ประโยครอง: I can find sandals at a shop. Do you know a shop which I can find sandals at? Do you know a shop at which I can find sandals? Do you know a shop where I can find sandals? ตรงนี้ก็ใช้ where ได้ เพราะมันเกี่ยวกับสถานที่เหมือนกัน อีกตัวอย่าง ประโยคหลัก: I'll never forget the day ประโยครอง: I first met you on the day. I'll never forget the day which/that I first met you on. I'll never forget the day on which I first met you. ซึ่ง on which เราก็มีคำมาแทนนะครับ และคำนั้นก็คือ ................. when นั่นเอง I've never forget the day when I first met you. เสร็จไปอีกคำ แฮ่... และมีอีกตัวอย่าง ประโยคหลัก: Do you know the reason? ประโยครอง: She doesn't like me for the reason. Do you know the reason for which she doesn't like me? อ่านแล้วอาจจะงง ๆ แต่จริง ๆ for which ก็คือ why นั่นเอง Do you know the reason why she doensn't like me? แก้ไขเมื่อ 09 มี.ค. 51 15:18:09 จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:27:45 ]

ความคิดเห็นที่ 7 จบภาคแรกไปแล้ว ที่ผมคุยกับคุณทั้งหมดนี่คือ defining relative clause ทีนี้มันจะมี relative clause อีกชนิด ที่ต้องเติม comma หน้าหลัง เรียกว่า non-defining relative clause ซึ่งผมขอเก็บเอาไว้เล่าวันหลัง รอให้ท่าน ๆ ย่อยแบบแรกก่อนนะครับ เพราะถ้าเข้าใจแบบ defining แล้ว non-defining ก็ไม่ได้ยากกว่าเท่าไหร่ร้อก... จากคุณ : นัท305 - [ 9 มี.ค. 51 14:29:26 ]

ความคิดเห็นที่ 8 * วันนี้ มานั่งเรียนคนแรกเลย ขอบคุณค่ะคุณนัท305 * จากคุณ : Flowery - [ 9 มี.ค. 51 15:11:26 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอบคุณคุณนัท เดี๋ยวมาอ่านต่อคับ จากคุณ : cheychai - [ 9 มี.ค. 51 17:15:01 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ขอบคุณนะคะ ^^ จากคุณ : PPTaro - [ 9 มี.ค. 51 18:22:29 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณค่ะ เป็นกำลังใจให้ทำบทความดีๆ แบบนี้ต่อไปนะคะ ^^ จากคุณ : PJ-Studio - [ 9 มี.ค. 51 18:50:31 ]

ความคิดเห็นที่ 12 กระจ่างขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะ จากคุณ : ขอบฟ้าสีชมพู - [ 9 มี.ค. 51 18:59:05 ]

ความคิดเห็นที่ 13 มาเรียนค่ะ อ่านจบแล้ว ทำให้ง่ายขึ้นเยอะเลย จากคุณ : Tai-Sarunya - [ 9 มี.ค. 51 19:50:25 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ^_^ ขอบคุณค่ะ^_^ จากคุณ : AM (rag_khun) - [ 9 มี.ค. 51 21:25:17 ]

ความคิดเห็นที่ 15 มายกมือเรียนค่ะ ขอบคุณมากๆเลยค่ะ จากคุณ : Chollaphin - [ 9 มี.ค. 51 21:27:02 ]

ความคิดเห็นที่ 16 เข้ามาเรียนด้วยค่ะ ได้ความรู้เพิ่มเยอะเลย ขอบคุณมากค่ะ จากคุณ : ขนมปังกะเนย - [ 9 มี.ค. 51 22:45:38 ]

ความคิดเห็นที่ 17 ขอบคุณมากๆเลยนะคะ ความจริงเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เรียนแล้วยังไม่ค่อยกระจ่างเท่าไหร่ แต่พอมาอ่านที่คุณเขียนแล้วเข้าใจขึ้นเยอะเลยค่ะ ขอบคุณนะคะที่มาแบ่งปันความรู้กัน รอภาคต่อไปอยู่นะคะ ^^ จากคุณ : Stradivarius - [ 9 มี.ค. 51 23:07:50 ]

ความคิดเห็นที่ 18 ลองมาดูการใช้ความรู้เรื่อง relative clause โดยเฉพาะ obj after prepo มาอ่านประโยคงง ๆ กัน "As the Pacific Plate moves beneath the North American Plate the rock of which it is composed is superheated and water is released and begins to rise." verb ในประโยครองตรงนี้ก็คือ to be composed of sth เขาก็เลยย้าย of ไปหน้า which แบบข้างบน ทีนี้ ถ้าอ่านแล้วงง ก็ลองย้าย of กลับไปหลัง verb ก็จะเป็น the rock which it is composed of ในขณะที่ Pacific Plate เคลื่อนไปใต้ North American Plate หิน ซึ่งมัน (หมายถึง Pacific Plate) ถูกประกอบด้วย ===> แปลง่าย ๆ ว่า หินซึ่งเป็นส่วนประกอบของ Pacific Plate ก็จะถูกทำให้ร้อนมาก ๆ (เป็น passive ไม่ได้ร้อนเอง) และน้ำก็จะถูกปล่อยออกมา และเริ่มมีระดับสูงขึ้น จากคุณ : นัท305 - [ 10 มี.ค. 51 00:17:18 ]

ความคิดเห็นที่ 19 In mainstream biological thought it is held that while mutagenesis is non-random in many ways, the utility of a genetic mutation to the organism in which it occurs does not affect the rate at which it occurs. อย่างที่เคยบอกว่า in which = where                          at which = where แต่จริง ๆ แล้วมันจะมีความแตกต่างกันนิดหน่อยครับ คือ in which มันจะครอบคลุมพื้นที่มากกว่า หรือว่าการกระทำมันเกิดขึ้นในนั้น ส่วน at which มันจะเป็นจุดเน้น ๆ ประมาณ ว่า ณ .... นั่นเอง ทีนี้ลองย้าย prepo ไปไว้ท้ายดู: the utility of a genetic mutation to the organism which it occurs in does not affect the rate which it occurs at. ในความคิดทางชีววิทยากระแสหลัก เป็นที่เชื่อกันว่า ในขณะที่ mutagenesis นั้นเป็นแบบ non-random ได้หลายทาง การใช้ประโยชน์(subj)จากการกลายพันธุ์ของยีนต่ออวัยวะในที่ที่มัน (การกลายพันธุ์) เกิดนั้น ไม่ได้กระทบ(verb)ต่ออัตรา ณ ที่มันเกิด --->อัตราการเกิดการกลายพันธุ์ (ขอภัย ไม่ได้เรียนสายวิทย์น่ะครับ แหะ ๆ) จากคุณ : นัท305 - [ 10 มี.ค. 51 01:00:29 ]

ความคิดเห็นที่ 20 * หลังจากเรียนรอบบ่ายไปแล้ว ก็มาเรียนต่อรอบดึก ขอบคุณอีกครั้งค่ะคุณนัท * จากคุณ : Flowery - [ 10 มี.ค. 51 01:47:20 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ได้ประโยชน์มากๆ   ขอบคุณค่ะ จากคุณ : Poo-Ma - [ 10 มี.ค. 51 02:19:41 ]

ความคิดเห็นที่ 22 * ขอลองแปลดูหน่อยนะ ในฐานะที่เรียนสายวิทย์มาและรอผลสอบ O-NET อยู่ (ล้อเล่นค่ะ โกงอายุเยอะไปหน่อย ฮิ ฮิ) @----------------------------------------------------------------------------------------------------------------@ In mainstream biological thought it is held that while mutagenesis is non-random in many ways, the utility of a genetic mutation to the organism in which it occurs does not affect the rate at which it occurs. @----------------------------------------------------------------------------------------------------------------@ ถึงแม้ว่า ความคิดหลักทางชีววิทยาเชื่อกันว่า กระบวนการกลายพันธุ์ (mutagenesis) เกิดขึ้นหลายทาง โดยไม่เป็นไปอย่างสุ่ม (non-random) การทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม (genetic mutation)  ขึ้นในสิ่งมีชีวิต (organism) เพื่อให้เกิดการกลายพันธุ์ กลับไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออัตราการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นในสิ่งมีชีวิตนั้น แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 03:13:15 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 03:12:29 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 03:10:25 จากคุณ : Flowery - [ 10 มี.ค. 51 03:10:00 ]

ความคิดเห็นที่ 23 * ขนาดคุณนัทไม่ได้เรียนสายวิทย์ เราก็ขอชมนะว่าแปลได้ดี เราขอเสริมคุณนัทนิดหน่อยในการอธิบายคำบางคำแล้วกันนะ @----------------------------------------------------------------------------------------------------------------@ * คำว่า mutagenesis เพื่อนๆ บางคนอาจจะไม่คุ้นกันใช่มั้ยคะ เราขออธิบายคร่าวๆ แล้วกัน หลักใหญ่ๆ จริงๆ เข้าใจการใช้ in which และ at which ที่คุณนัทอธิบายก็ OK แล้วค่ะ อันนี้ถือว่าแถมให้เผื่อใครอยากรู้ * คำนี้มาจากคำว่า mutate + genesis * mutate (v.) แปลว่า เปลี่ยนแปลง * mutation (n.) แปลว่า การเปลี่ยนแปลง โดยทั่วไปทางวิทยาศาสตร์ เรามักใช้กับการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรมหรือการกลายพันธุ์นั่นเอง   * สารพันธุกรรม ถ้าอธิบายง่ายๆ ก็ DNA ที่เราได้ยินกันบ่อยๆ นั่นแหละค่ะ ส่วนแบบละเอียดละเอาไว้แล้วกันนะ * genesis (n.) การเกิด, การกำเนิด * เมื่อรวม mutate และ genesis เข้าด้วยกัน ก็เป็นการเกิดการเปลี่ยนแปลงทางพันธุกรรม หรือเรียกง่ายๆ ว่า กระบวนการกลายพันธุ์ @----------------------------------------------------------------------------------------------------------------@ * ประโยคที่คุณนัทยกมานี้เค้าอธิบายเกี่ยวกับ Adaptive mutation ค่ะ ซึ่งการกลายพันธุ์หรือ mutation มีหลายแบบ เราไม่ต้องรู้หรอก แต่ถ้าอยากรู้ก็หาอ่านเพิ่มจากคุณกุ๊ก (Google) นะคะ จากคุณ : Flowery - [ 10 มี.ค. 51 03:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 24 * เพื่อนๆ อาจจะรู้สึกว่า mutagenesis กับ genetic mutation แปลคล้ายๆ กัน เอาเป็นว่า mutagenesis มักใช้ในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นเอง แต่ genetic mutation คนเราไปยุ่งกับมัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น คือเราไปแทรกแซงนั่นเอง * การเกิดขึ้นอย่างสุ่ม (random) ก็คือเกิดขึ้นโดยไม่เลือก เกิดโดยบังเอิญ อย่างเวลาเราจับสลาก เราอาจหาความน่าจะเป็นได้ แต่เราก็ไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรแน่ สรุปก็คือแบบไม่มีแบบแผนแน่นอน * ในที่นี้บอกว่า non-random ก็คือตรงข้ามกับ random หมายความว่า มันไม่ได้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ นึกอยากเกิดก็เกิด มีปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดการกลายพันธุ์ เช่น อยู่ในสภาวะที่มีการเปลี่ยนแปลงไป เลยต้องเกิดการปรับตัวหรือเกิดการกลายพันธุ์เข้ากับสภาวะที่เปลี่ยนแปลง (adaptive mutation) * ง่ายๆ ก็คือ กระบวนการกลายพันธุ์นี่ก็ไม่ได้เกิดมั่วๆ นึกอยากเกิดก็เกิดนะ มันพอมีแบบแผนในการเกิดการกลายพันธุ์อยู่บ้าง เอ๊ะ อย่างงี้ เวลาเราไปแทรกแซงโดยทำให้เกิดการกลายพันธุ์ในสิ่งมีชีวิตก็น่าจะส่งผลกับอัตราการกลายพันธุ์ของมันใช่ป่ะ แต่กลับไม่เป็นอย่างงั้นค่ะ แล้วทำไมล่ะ ก็ไม่ต้องรู้หรอกค่ะ เดี๋ยวจะยิ่งงง @----------------------------------------------------------------------------------------------------------------@ * ขออภัยนะคะ ที่แปลไม่ค่อยดี เพราะไม่ได้เรียนการแปลมาค่ะและเวลาเรียนก็มักจะใช้ทับศัพท์กันไปเลยค่ะ ความรู้แค่สอบ O-NET แต่อยากลองช่วยแปลค่ะ ไปนอนก่อนนะคะ ตีสามกว่าแล้ว ราตรีสวัสดิ์ค่ะ แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 10:17:01 แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 03:25:22 จากคุณ : Flowery - [ 10 มี.ค. 51 03:21:12 ]

ความคิดเห็นที่ 25 ขอบคุณค๊า งงจริงๆ แง๊ จากคุณ : roypimz - [ 10 มี.ค. 51 04:12:30 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ตามมาเข้าห้องเรียนครับ จากคุณ : Odengya - [ 10 มี.ค. 51 06:39:30 ]

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณมากๆค่า จากคุณ : Platonic love (Platonic love) - [ 10 มี.ค. 51 06:41:16 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ยาวจัง แปะไว้ก่อน แล้วจะกลับมาอ่านจ้า จากคุณ : thaispicy - [ 10 มี.ค. 51 06:49:13 ]

ความคิดเห็นที่ 29 อรุณสวัสดิ์ค่ะ (นอนดึกมากกกก เลยตื่นสาย ฮิ ฮิ) * คคห.ที่ 22-24 ไม่ต้องอ่านก็ได้ค่ะ เพราะไม่ได้อธิบายเกี่ยวกับการใช้ Relative Clause โดยตรง * เราเอามาโพสต์เผื่อว่าเพื่อนๆ บางท่านอาจอยากทำความเข้าใจคำศัพท์และความหมายของประโยค ก็เลยมาช่วยอธิบายด้วยความรู้อันน้อยนิด แก้ไขเมื่อ 10 มี.ค. 51 09:29:02 จากคุณ : Flowery - [ 10 มี.ค. 51 08:56:35 ]

ความคิดเห็นที่ 30 โห... มาอ่านแว้ววว ลายตาลายสมองเลยค่ะคุณนัท อิอิ จะจำได้หมดไหมเนี่ย เรียนมาก็นานแล้วนะคะ แต่ว่ามาเห็นอีกที มันตรึมจริงๆ ขอบคุณมากมายค่ะ จากคุณ : thaispicy - [ 10 มี.ค. 51 11:05:22 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ไม่ต้องจำนะครับคุณ thaispicy ที่มันยาว ๆ คือผมยกตัวอย่างประโยคให้ดู ที่จะเน้นก็คือเวลาอ่าน passage แล้วเจอ prepo อยู่หน้า which (ซึ่งในภาษาพูดไม่ค่อยมีอยู่แล้ว) ก็ให้ลองย้าย prepo ไปไว้ท้ายประโยคดู เผื่อจะเข้าใจมากขึ้น หรือไม่ก็เปลี่ยนพวก in which / at which เป็น where ดู แค่นี้เอง........ จากคุณ : นัท305 - [ 10 มี.ค. 51 16:17:27 ]

ความคิดเห็นที่ 32 Okay ค่า ไม่จำก็ได้ แต่ก็จะนึกถึงนะคะ  อิอิ จากคุณ : thaispicy - [ 10 มี.ค. 51 22:26:14 ]

ความคิดเห็นที่ 33 แจ่มเลย ขอบคุณอย่างแรงครับ จากคุณ : emu_spy - [ 11 มี.ค. 51 00:18:39 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ... เข้ามาดู จากคุณ : Mr. Fusion - [ 11 มี.ค. 51 20:16:00 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ^ ^ ^ มี Mr. Fusion มาการันตีความ Hot!!! จากคุณ : Flowery - [ 11 มี.ค. 51 21:23:45 ]