ความคิดเห็นที่ 1 วันเดินทาง..พอกระโดดขึ้นรถได้..ก็หลับหูหลับตาสั่งเลยว่า.. ช่วงเช้าเราไปตีกอล์ฟที่นั่นนะ สนามอะไรก็ได้ (ห้ามแพง) ช่วงบ่ายจะขอแวะเข้าไปเยี่ยมไร่ GranMonte เพราะเคยคุยกับคุณวิสูตร (เจ้าของ) แบบผ่านในเน็ตกลายๆ แวะไปเยี่ยมชมซะหน่อยก็ดี สื่อศิลปรับคำตามเคย..แต่ตลอดทางที่ขับรถ ไม่รู้เป็นอะไร คอยโทรศัพท์ถามทางกับคณะคาราวานของเพื่อนๆตลอด ไม่รู้ว่าเธอห่วงหาอะไรหนักหนา ในช่วงเช้านั้น เราได้แวะที่ปั๊มบางจาก ช่วงไหนก็ไม่รุ จำไม่ได้ จำได้อย่างเดียวว่า อาหารในนั้นอร่อยมาก..ได้รู้จักกับเพื่อนๆของสื่อศิลปหลายคน ท่าทางสนุกสนานเฮฮากันดีจริง พอเข้าไปในเขตเขาใหญ่..เขาบอกว่า  จะพาไปทานของอร่อยๆ (อีกแล้ว) วิ่งมาได้สักพัก ก็พบกับ ร้านอาหารกึ่งเพิง..ขายใส้กรอกนานาชนิด แบบว่า เยอรมันมาเจอต้องใบ้รับประทานกันเลย..นอกจากใส้กรอกแล้วยังมีพวกซี่โครงหมูบาร์บีคิว ท่าทางน่ากิน.. นอกจากนั้นแล้ว ยังมีน้ำองุ่นสดเย็นเจี๊ยบ หวานชื่นใจมาบริการอีกด้วย.. จากคุณ : WIWANDA - [ 18 มี.ค. 51 12:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ใส้กรอก..น่าทานม๊ะ..(เสียดายที่ไม่มี dijon mustard) จากคุณ : WIWANDA - [ 18 มี.ค. 51 12:19:42 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ทานเสร็จ..อิ่มแทบจุก..ได้เวลาเดินทางต่อไป จึงลุกขึ้น วางเงิน(ทิป)ไว้ให้ใครก็ได้ที่จะทำความสะอาดโต๊ะ.. เดินไปขึ้นรถ..ตอนที่รถกำลังจะถอยออกจากที่จอด..หญิงสาวหน้าตาดีคนหนึ่ง มาเคาะที่กระจกรถเบาๆ ชูแบ้งค์ที่เราวางไว้ให้ บอกว่า.. "คุณลืมสตังค์ไว้ที่บนโต๊ะค่ะ.." ก็เลยบอกไปว่า..ฝากไว้เด็กเก็บโต๊ะค่ะ.. เขาทำหน้างงๆ..แต่ก็ขอบคุณเป็นเรื่องเป็นราว อากาศที่เขาใหญ่ค่อนข้างอบอ้าว ถ้าจะไปตีกอล์ฟเห็นท่าจะไม่ไหว..แวะที่ไร่กรานมอนเตก่อนละกัน ความจริงนะคะ ไม่ได้ตื่นเต้นกับไร่ไวน์หรือไร่องุ่นเลย บอกตรงๆ เพราะเอียนจะแย่..งานประจำที่ทำอยู่..ปีนึงปีนึงต้องวิ่งเข้าวิ่งออกไม่รู้ว่ากี่ไร่ ไม่มีอะไรที่น่าตื่นเต้น..ไร่ไหนๆก็ไม่ต่างกัน (ก็มันเป็นหยั่งงั้นจริงๆ..) ที่จะไปนี่ เพราะต้องการไปทำความรู้จักกับผู้ประกอบกิจการ เพราะทราบมาว่า ท่าน"ลุย" เหลือเกิน "ลุย"ในที่นี้คือ การที่จะสานฝันให้ไวน์ไทยได้เป็นที่ยอมรับ สามารถเป็นสินค้าส่งออกได้อย่างไม่อายใคร..(เอาใจช่วยอยู่ค่า..) และที่น่ารักสุดๆ คือ การที่ทำงานกันอย่างอุตสาหกรรมครัวเรือน ลูกสาวคนโต เลี้ยงมาแบบไม่ใช่แค่ว่าเหยียบขี้ไก่ฝ่อ  แต่ไก่อาจตายทั้งเล้า ส่งไปเรียนการทำไวน์อยู่ที่ออสเตรเลีย ที่หลักสูตรว่ากันว่า โหดมหาโหด ภรรยา..ช่วยเสริมทำร้านอาหาร ผลิตขนม ผลิตแยม ทำน้ำองุ่นบรรจุขวด ทุกอย่างคือวงจรที่ผันอยู่ภายในไร่ นี่คือข้อมูลคร่าวๆที่ทราบ..อีกทั้งยังไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่าจะได้พบ..แต่ก็ได้เตรียมไวน์จากละแวก carmel valley ไปให้ โดยเลือกไวน์ปิโนต์ นัวร์ Logan ของ Talbott Vineyard ไปฝาก ถ้าเจอคุณวิสุทธิ์ จะได้เล่าให้เธอฟังด้วยว่า ที่เลือกมาเพราะ Logan คือชื่อลูกชายของ Robert Talbott เจ้าของไร่..ที่เขาเลี้ยงบ่มเพาะลูกชายให้รักการทำไวน์อันเป็นธุรกิจในครัวเรือนอย่างที่คุณวิสุทธิ์กำลังทำอยู่นี่เลย แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:34:52 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 51 13:00:54 จากคุณ : WIWANDA - [ 18 มี.ค. 51 12:58:32 ]

ความคิดเห็นที่ 4 สวัสดีครับพี่หวาน ตามมาตอกบัตร  และตามมาอ่านต่อด้วยครับ จากคุณ : วาริชเวสม์ - [ 18 มี.ค. 51 15:59:34 ]

ความคิดเห็นที่ 5 อ้าวจบดื้อ ๆ รออ่านอยู่ค่ะ ไร่ GranMonte เป็นไร่หนึ่งที่อยากไป จากคุณ : horseshoes - [ 18 มี.ค. 51 19:40:28 A:195.195.217.140 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 6 สวัสดีค่ะ น้องอ้วน (คุณวาริชเวสม์) พระเอกที่กล่าวขวัญถึงบ่อยๆไงคะ จะเปิด Maya โดยที่ขาดพี่ได้ได้ยังไงกันจ๊ะ.. คุณ horseshoes หายไปเลย  พี่ส่งคริสมาสต์การ์ดไปให้พร้อมกับบัตรของขวัญ starbucks  ได้รับหรือปล่าวคะ..? เมื่อไหร่จะกลับบ้านเอ่ย..แล้วปีนี้แพลนจะไปเที่ยวที่ไหนอีก อย่าลืมเอามาเล่าให้ฟังนะคะ เขียนไปไม่ได้จบดื้อๆหรอกค่ะ รู้สึกง่วงนอน  เอนหลังลงหน่อยนิดเดียว แต่หลับยาวถึงเช้า อิอิอิอิ จากคุณ : WIWANDA - [ 18 มี.ค. 51 23:32:08 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เมื่อถึงไร่กรานมอนเต ก็เดินตามหมู่คณะทัวร์เข้าไปในอาคารจัดเป็นกิฟท์ช็อป หมายจะนั่งให้เย็นใจ..สายตาก็ไปเจอกับหนุ่มใหญ่ ท่าทางสมาร์ท มีสัญญลักษณ์เฉพาะตัว คือ ผมขาวทั้งศรีษะ กำลังชุลมุนอยู่ที่โต๊ะแคชเชียร์ จึงนึกขึ้นได้ ว่า ลืมหยิบไวน์มา.. ก็เลยกลับไปที่รถอีกที.. กลับมาอีกครั้ง..ไม่พูดพล่ามทำเพลง..เอามาวางแหมะให้ข้างวๆตัวเธอเลย.. สายตาสบกันเป๊ะ..ไม่ต้องแนะนำตัวอะไรให้มากมาย..เธอทราบได้ทันทีว่า เป็นดิฉัน.. โลกทั้งโลกหยุดหมุน..(เอ๊ะ..มันจะเว่อร์ไปปล่าวฟระเนี่ยย) แต่เปรียบก็คงเป็นงั้นแหละ เพราะมือที่กำลังนับเงินนั้นหยุดทันที..ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของลูกน้องต่อไป..คุณวิสุทธิ์ลุกขึ้นมารับรองแขกด้วยไมตรีที่เต็มไปด้วยความประทับใจ มาถึงตอนนี้ จึงได้ลองลิ้มไวน์ขาว Chenin Blanc ของกรานมอนเต..ที่คุณวิสุทธิ์ถ่อมตัวอย่างน่ารัก ว่า..ไม่ต้อง(ฝืน)ทานก็ได้นะครับ ถ้าไม่ชอบ แหม..เรื่องไวน์ขาวกับอิฉันเนี่ย... พิธีรีตองมากค่ะ (ที่ไม่ค่อยบอกใคร) คือ ไม่ชอบให้เย็นจัด ชอบจิบทีละน้อยๆ และ ถ้าเป็น Chenin Blanc ที่มี แอซิดที่ค่อนข้างจัดจ้านละก้อ..จิบเฉยๆไม่ได้หรอกค่ะ ไม่อร่อย ขอไก่ย่างโคราชสักครึ่งตัว (คิดถึงใส้กรอกร้านนั้นแทบขาดใจ รู้งี้..ซื้อติดมือมาด้วยก็ดี) มาแกล้มด้วย.. รับรองว่า..อร่อยเลิศศศศศศศศศศศศ เพราะตอนนั้น จิบไปแกล้มกับ crackers ไป หมดแก้วไม่รู้ตัว..ต้องยอมรับในฝีมือของคนไทยขึ้นมาในระดับหนึ่ง.. ไม่ว่าจะเป็น Chenin Blanc หรือ Shiraz ก็นับว่าไม่อายใครแล้ว.. จุดแรก คุณวิสุทธิ์พาไปชม viticulture data เครื่องสอบอากาศของเกษตรกรรมองุ่นที่นับว่าทันสมัยมาก เพราะสามารถบ่งบอกอัตราของความชื้น สภาพอุ้มน้ำของรากต้น  และอากาศที่เปลี่ยนแปลงในพื้นที่..ได้อย่างชัดเจน จากในหน้าจอมอนิเตอร์ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:36:54 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:12:44 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เราคุยกันเรื่องโน้นเรื่องนี้อย่างสนุกสนาน รู้สึกผิดนิดๆที่เหลือบไปมองเห็นว่า คุณสกุณา (ศรีภริยาของคุณวิสุทธิ์) กำลังทำงานด้วยมือที่เป็นระวิง จีดการต้อนรับนักท่องเที่ยวอย่างคนคล่องงาน นี่ละค่ะ คือความประทับใจของคนทำงานอย่างดิฉันในจุดแรกที่เห็นในไร่กรานมอนเต  การทำงานของเจ้าของที่ก้าวเดินเคียงคู่ไปกับลูกน้อง และ ร่วมมือ ร่วมใจ ให้ความสำคัญของงานเหมือนกันหมด หลังจากที่คุยกันนานพอสมควร นานขนาดที่สื่อศิลปเดินซื้อของ ขนใส่รถกลับไปมาหลายเที่ยว พูดโทรศัพท์กับชาวบ้านทั่วแคว้นแดนไทยจน แบตหมดแหง๋แก๋..หันมาถามว่า..ตกลงเรื่องเล่นกอล์ฟ..เอางัยเพ่..? อิฉันสบัดหน้าพรืดดด..จากแก้วไวน์  ตอบเสียงแจ๋วไปว่า.. "ยกเลิก..ไม่เล่นแร๊ะ.." จากนั้น ก็เดินไปชมไร่..นี่คือความประทับใจครั้งที่สอง.. เพราะได้พบกับไร่ไวน์ตัวอย่าง..หรือจะว่าไปแล้ว เรียกว่า ไร่ไวน์ในดวงใจก็ว่าได้ เพราะสิ่งที่พบตรงหน้านั้น เกินคำบรรยาย ไม่ใช่องุ่น ไม่ใช่วิว ไม่ใช่ขนาด.. แต่มองเห็น"ความรัก" ของผู้ประกอบกิจการที่มีให้กับผลิตผล..เพราะ ทั้งไร่ไม่ว่าจะมองไปทางไหน จะพบกับความเป็นระเบียบ ความสวยงาม และ ที่สำคัญที่สุด คือ สอาดดดดดมากกกกก... สอาด..อย่างที่แทบจะไม่ค่อยเคยเห็นจากไร่ไหนๆ..ที่ผ่านตามา (นอกจากไร่ตัวอย่างส่วนหนึ่งของไร่ใหญ่ที่เขาจัดทำขึ้นเอาไว้โชว์) แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:38:21 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:31:17 ]

ความคิดเห็นที่ 9 โปรดสังเกตุว่า..ภายใต้ต้น..ตรงพื้นดิน แทบไม่เห็นเศษฝุ่น เศษหญ้า ให้รกตา ทั้งๆที่ว่า ถ้ามีก็เป็นเรื่องอนุโลม เพราะ นี่คือสวน..ไม่ใช่ศูนย์การค้า.. ไม่ใช่เฉพาะกับส่วนในภาพข้างบน นั่นคือ องุ่นไร้เมล็ดสำหรับรับประทาน (ที่ท่านเล่าว่า ทำรายได้ให้ได้ดีกว่าไวน์) ในส่วนอื่นๆที่แอบปรายตามอง ตามประสา"ลูกคุณตาไว" ก็พบกับความน่าทึ่งไปหมด เช่นการจัดสวนที่สวยงาม จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:36:37 ]

ความคิดเห็นที่ 10 ต้นอโศก (อะไรน้า..) กำลังออกดอก ที่คุณวิสุทธิ์ว่า ปลูกมาตั้งหลายปี เพิ่งจะออกให้เห็นก็คราวนี้เอง.. แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:39:16 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:41:34 ]

ความคิดเห็นที่ 11 ไปแวะชมบ้านคุณยามประจำไร่ที่โอ่โถงและกว้างขวางมาก....คุณวิสุทธิ์เล่าว่า มีสองตัว ตัวหนึ่งชอบรับแขก ขนาดพาคณะทัวร์เดินชมไร่ได้ อีกตัวหนึ่ง ไม่ค่อยชอบการรับแขกเท่าไหร่.. แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:40:16 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:44:09 ]

ความคิดเห็นที่ 12 และเราก็แวะเข้าไปเยี่ยมในร้านอาหาร vincotto ที่จัดได้อย่างน่ารักและมีรสนิยม..จนแทบไม่น่าเชื่อว่าตัวเองกำลังอยู่ที่กลางไร่กลางดงในตจว. จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:47:27 ]

ความคิดเห็นที่ 13 เดินผ่านประตูออกมา ก็จะเป็น patio ที่มีบรรยากาศดี หนุ่มๆสาวๆนั่งคุยกันหนุงหนิง ดูอบอุ่น ร่มรื่น..ลำธารเล็กที่ผ่านก็ทำเป็นสระบัว.. จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:50:48 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ข้อมูลอะไรต่างๆเหล่านี้ ได้มองเห็นความสุนทรีย์ละไมของท่านเจ้าของไร่ ในสิ่งที่ไม่ค่อยเคยเห็นในโลกยุคปัจจุบัน..ตามทางที่เดินกลับ พบกับต้นมะลิกอใหญ่  ชื่นใจหนักหนา เพราะ แทบไม่เชื่อว่า ยังมีคนเห็นความสำคัญของมัน จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 00:54:50 ]

ความคิดเห็นที่ 15 ตามกลิ่น wine เข้ามาค่ะ จากคุณ : PatPDX - [ 19 มี.ค. 51 01:56:56 ]

ความคิดเห็นที่ 16 แป๋มไม่ได้รับการ์ดเลยค่ะ โห เสียดายจัง หายไปไหนเนี้ย ต้องไปค้นแล้วค่ะว่าไปซุกอยู่ไหน แต่ยังไงก็ขอบคุณพี่วิมาก ๆ ค่ะ แค่รู้ก้ปลื้มมาก ๆ ค่ะ ตอนนี้กำลังเขียนทีซีสค่ะ เลยหายไป มันต้องกลั้นใจเขียนจริง ๆ แต่ใกล้จะเสร็จแล้วค่ะ คงอีกซักพัก แล้วคงมีเวลาและตังค์แอบไปเที่ยวได้มั้ง จริง ๆ แป๋มอ่านเรื่องไร่ granemonte มาบ้างค่ะ เลยเป็นไรที่อยู่ในใจว่าจะไปเยี่ยมชม และ คิดว่าจะฝากความหวังไว้ว่าจะมีไวน์ซัพพลายตอนกลับไปเมืองไทย (พูดซะเวอร์ แต่คิดจริง ๆ นะ) แป๋มรู้ไอเดียนี้จาก อาจารย์ที่ออสเตรีย พอหน้าไวน์ออก แกก็ตะเวณซื้อไวน์ตามไร่เลย ซื้อไร่หละหลายโหล แกบอกว่า ต้องซื้อให้พอกินหนึ่งปีข้างหน้า โหตอนนั้นคิดว่ามันจะอะไรขนาดนี้เนี้ย แต่ตอนนี้ เข้าใจแล้วค่ะว่าทำไม ตั้งใจไว้ว่าจะพยายามหาไวน์ไทยไว้ทาน คงไม่มีปัญญาทานไวน์ต่างประเทศ เพราะราคาถูก ๆ แถวนี้ ขนไปขายบ้านเราแพงไม่น่าเชื่อ (จริง ๆ ไม่มีตังค์ขนาดกินไวน์ฝรั่ง) คิดว่าอุดหนุนไวน์ไทยน่าจะดียังไงก้ต้องมีซักขวด ซักปี ที่ผลิตออกมาดี แล้วก็ราคาย่อมเยา พอที่จะมีไว้ติดบ้านเป็นประจำ ไม่ใช่ทานไวน์เพราะโอกาสพิเศษอะไร เพราะไวน์มันต้องทานคู่กะอาหาร แล้วเราก็ทานอาหารทุกวันซะนี่ ขอเป็นกำลังใจให้เจ้าของไวน์ granemonte ทำไวน์ดี ๆ ออกมาค่ะ แอบฝากความหวังไว้ รู้ด้วยนะว่า granmonte เอามาจากคำว่าเขาใหญ่ จริง ๆมีไวน์เขาใหญ่ ของบุญรอด ไม่ทราบว่าพี่วิแวะไปดูมั้ย จากคุณ : horseshoes - [ 19 มี.ค. 51 22:25:34 A:195.195.217.140 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 17 สวัสดีค่ะ คุณPatPDX  ขอบคุณที่ส่งเรื่องที่ไปเที่ยวมาให้อ่าน..แต่พี่ว่า คุณแพ๊ทท่าจะส่งผิดคน..แต่ก็อ่านสนุกค่ะ ขอบคุณ สวัสดีค่ะ น้องhorseshoes ตายจริง..ยังไม่ได้รับการ์ดหรือคะ แหม..คิดว่าป่านนี้ไปนั่งทานกาแฟเพลินไปแล้ว..ดูดีๆนะคะ ถ้าไม่ได้รับจริงๆ จะส่งไปให้ใหม่..เรื่องไปเที่ยวไร่ของบุญรอด..ก็ไปค่ะ จะเล่าให้ฟังต่อๆไป เรื่องไวน์ที่เล่ามาว่า อาจารย์ที่ออสเตรียไปเที่ยวตระเวณซื้อไวน์ตามไร่นั้น พี่เองก็ทำค่ะ ซื้อเก็บๆไว้ เพราะ มันเป็นของตั้งใช้ ต้องกิน ยิ่งตอนนี้ ดอลล่าร์ตกฮวบอย่างนี้  ราคาไวน์ฝรั่งเศสและอื่นๆเลยพุ่งทะลุสุดโต่ง.. โชคดีที่ของเก่าๆยังมีเก็บไว้เยอะ ซื้อใหม่ตอนนี้คงไม่ไหว.. จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 22:55:11 ]

ความคิดเห็นที่ 18 พอเดินเที่ยวพร้อมกับไกด์กิติมศักดิ์จนทั่วแล้ว เราก็กลับไปนั่งเม้าท์ต่อที่ อาคารกิฟท์ช็อปที่โอ่โถง ของที่ระลึกมีวางจำหน่ายมากมาย น่ารักและไอเดียเก๋ๆทั้งนั้น (สื่อศิลปซื้อเละ)  ครึ่งหนึ่งของอาคารได้จัดให้เป็นห้อง wine tasting ที่คงจะใช้สำหรับผู้เยี่ยมชมที่เป็นคณะ ส่วนที่เป็นร้าน..โต๊ะใหญ่กลางห้องจัดให้เป็นที่ขายแยมนานาชนิด (ฝีมือคุณสกุณา) ที่จะมีตัวอย่างของทุกชนิดให้ชิมทดลอง จากนั้นก็เป็นบริเวณของมุมเบเกอรี่ และ กาแฟ.. ฮั่นแน่...เข้าทางอิฉันเลย  เพราะตกบ่ายคือ เวลากาแฟที่ขาดไม่ได้ ประทับใจอีกแล้วเชียว เพราะ เขามีคาปูชิโน่ (แบบของจริงๆ) เสริฟด้วย.. คุณสกุณาคะยั้นคะยอให้ลอง เค้กคาปูชิโน่ แกล้มกับกาแฟ.. อิดออดนิดหน่อย เพราะไม่ค่อยชอบของหวานเท่าไหร่..เกี่ยงกับคุณวิสุทธิ์ว่า ขอแบ่งคนละครึ่งได้ไหมคะ เพราะว่าชิ้นโตเหลือเกิน.. ปรากฏว่า กวาดซะเกลี้ยงจาน..(ลืมไปสนิทว่า ไม่ชอบของหวาน) เพราะฝีมือของคุณสกุณาต้องถือว่าเยี่ยมยอด  ที่ชมเพราะว่า คนทำเค้กมีหลายชนิด ในตระกูลเค้กของอเมริกา..ถือว่าแย่สุดๆ เพราะจะหนักไปทางหวาน แน่นไปทางครีม  หนาในทางแต่งหน้าโรยเครื่องประดับ เค้กของเยอรมัน จะหนักไปในทางปริมาตร ที่ใหญ่ยักษ์ ไม่ค่อยเอาสวยงาม หรือ ไม่ค่อยนิยมประดับเครื่องจุกจิกเท่าไหร่ เค้กของฝรั่งเศส จะเป็นเรื่องจุกจิก หยุมหยิม ชิ้นเล็กชิ้นน้อย น่าเอ็นดูไปหมด และไม่ค่อยใช้เรื่องแต่งหน้าแบบสุกเอาเผากินแบบของอเมริกา (ที่เรามักจะเห็นว่าเอา M&M มาโรยแบบดื้อๆ)  แต่จะเล่นในเรื่องศิลปของสีของผลไม้ต่างๆ เช่น สตอร์เบอรรี่  กีวี  เลมอน ราสพ์เบอรรี่ ที่มักจะเอามาวางบน ทาร์ต  แต่ทุกชนิดจะมีรสที่เหมาะเจาะ ไม่หวานจัด แต่จะออกมัน(เนย) ค่อนข้างชัดเจน ฉะนั้น เวลามาทานเค้กไทย..ต้องทำใจถามตัวเองว่า จะเจอเค้กชาติไหนฟะเนี่ย..เท่าที่เจอมา..พอสรุปว่า เค้กประเภทออกรสกาแฟ จะเหมาะที่สุดสำหรับตัวเอง..แต่นานๆจะเจอแจ๊คพอตชนิดอร่อยซะที.. อย่างของคุณสกุณา ก็ต้องถือว่า แจ๊คพอตของจริงค่ะ แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:41:53 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 51 23:39:56 จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 23:20:49 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ที่เล่ามานี้..ไม่ได้เกินจริงหรอกนะคะ อาจจะเป็นเพราะว่า การที่เราไม่ได้คาดหวังอะไร และ ผลออกมาเป็นบวก..มันก็เลยเป็นมหาบวกเข้าไปอีก.. ดิฉันพูดในฐานะของคนที่รู้จักไร่ไวน์ดีพอสมควร  เข้าใจมองเห็นถึงปัญหาเรื่องแรงงานและแยกแยะความยากง่ายได้ในสภาพของพื้นที่ ยิ่งทางเมืองไทย..ที่เจ้าของไร่องุ่นต้องดิ้นรนเพื่อช่วยตัวเอง เพราะไม่มีหน่วยงานไหนของรัฐเข้ามาให้ความสนใจและดูแลอย่างเป็นหลัก เท่านั้นไม่พอ..ทางภาครัฐยังพยายามทุกวิถีทางที่จะบีบครั้น รีดภาษีจากกลุ่มน้ำเมา ที่ท่านถือว่าเป็นสิ่งที่สร้างกำไรมหาศาล โดยเหมากลุ่มไวน์เข้าไปด้วย.. ไม่มีใครสนใจที่จะศึกษา..แยกแยะ..จัดหมวดหมู่ให้เป็นเรื่องเป็นราว ดิฉันจึงไม่คิดว่า จะมีชาวไร่ไวน์คนไหนจะ"เหลือใจ" มาให้กับการประกอบอาชีพเช่นนี้อีก ถ้าไม่มีเงินถึงเงินถัง หรือมีกิจการอื่นค้ำจุนอยู่ เท่าที่ถลำตัวมาแล้ว.. ก็คงต้อง"ซังกะตาย"อยู่ รอจนกว่าจะมีช่องทางอื่น แต่เท่าที่เห็น. ที่ปรากฏในสายตาทั้งหมด..ดิฉันจึงได้ทราบว่าตัวเองประเมินการณ์ผิดไปถนัด  และดีใจเหลือเกินที่มีโอกาสอันเป็นประสบการณ์ที่ดีที่จะได้นำไปเล่าสู่กันต่อๆไป.. จากคุณ : WIWANDA - [ 19 มี.ค. 51 23:38:21 ]

ความคิดเห็นที่ 20 เขียนเล่ามานี่เขียนได้เขียนดีนะคะ แต่อยู่ต่อหน้าหรือคุยกับท่านเจ้าของไร่ กลับชมไม่ออก ไม่ได้พูดอะไรให้เขาชื่นใจเลย(กระมัง) เพราะเป็นคนนิสัยแบบนี้ละค่ะ  ถ้าจะชมใครอยากจะเขียนให้เป็นเรื่องเป็นราว แบบมีเหตุมีผล และ มีพยานด้วยภาพถ่าย คุณวิสูตร...ต้องขออภัยนะคะที่เรียกชื่อผิดมาโดยตลอด เพราะเรียกตามน้องๆจากไวน์สเกล ความจริงท่านชื่อว่า คุณวิสุทธิ์  โลหิตนาวี ค่ะ.. เดี๋ยวจะขอขึ้นไปแก้ให้หมด... คุณวิสุทธิ์เล่าประวัติตัวเองให้ฟังว่า  เป็นนักเรียนเยอรมัน กลับมาเมืองไทยก็ทำงานให้กับบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ในระดับผู้บริหารบนหอคอยงาช้าง แต่เมื่อถึงจุดอิ่มตัวก็จึงผันตัวเองมาเป็นชาวไร่(องุ่น)ที่เขาใหญ่  โดยมีที่ดินอยู่ประมาณสี่สิบเอเคอร์ (ร้อยไร่ได้มัง) ซึ่งตอนนั้นคือป่าที่ยังไม่ได้พัฒนา คุณวิสุทธิ์จึงถือได้ว่ามาบุกเบิกให้กลายเป็นไร่ที่สวยงามนี้ขึ้นมาได้ ซึ่งการสร้างฐานนี้ได้เป็นอย่างค่อยเป็น ค่อยไป..เมื่อถึงเวลาที่พร้อมเมื่อไหร่ กรานมอนเตก็จะมีโรงผลิตเป็นของตัวเอง.. ทั้งนี้ทั้งนั้น ต้องขึ้นอยู่กับมันสมองของคนรุ่นใหม่ไฟแรง..ที่กำลังจะมาเป็นดาวรุ่งของวงการ..นั่นคือหนูนิคกี้ หรือ คุณวิสุตา ลูกสาวที่กำลังไปเรียนการทำไวน์อยู่ที่ออสเตรเลีย (เกือบจบแล้วค่ะ) เด็กคนนี้..ดิฉันไม่เคยพบ...แต่แอบอ่านข้อเขียนของเธอในเวบไวน์สเกล ที่เล่าเรื่องเรียนและการทำงาน ฝึกงาน มาให้ฟัง.. บอกตรงๆว่า ตอนใหม่ๆ ดิฉันเคยกังขาว่า จะไหวเหรอ..ลูกเอ๋ย.. เพราะ เคยฟังจากพวก(อเมริกัน)ที่ไปฝึกงานที่ไร่ไวน์ในออสเตรเลีย มันบ่นกันพึม..ว่า โหดโคดดด... ถามว่าโหดยังไง.. มันว่า..ทุกอย่างต้องใช้แรงงานเกือบทั้งหมด..ตัดองุ่นมาใหม่ๆก็ต้องไปตักน้ำแข็งมาโปะ..เรื่องที่ว่าจะใส่กะบะแล้วส่งเลื่อนตามรางดอลลี่เข้าห้องเย็น (แบบอเมริกา) นั่น..อย่าฝัน..ไม่มี๊ ไหนจะล้างถัง ล้างเครื่องมือ..แค่ลากสายยางก็ลิ้นแทบห้อย..ไม่อึดจริงๆอยู่ไม่ได้ เลยพอสรุปให้เราฟังได้ว่า..ทำไวน์ในอเมริกานั้นเหมือนขึ้นสวรรค์ เพราะ ทุกอย่างใช้เครื่องทุ่นแรงหมด.. แต่หนูนิคกี้ก็ฟันผ่ามาได้อย่างสง่างาม..หน้าตาก็น่าเอ็นดู  ดิฉันแอบบอกกับพ่อของเธอว่า..ตั้งใจว่าช่วงหนึ่งในชีวิตนี้อยากจะเขียนนิยายสักเรื่อง ที่เกี่ยวพันกับไร่ไวน์ และการทำไวน์  ขอยืมอิมเมจของลูกสาวมาเป็นต้นฉบับของนางเอกจะขัดข้องประการใด.. คุณวิสุทธิ์ ยิ้มเขินๆ..แบบว่า โอเช..(ใช่ไหมคะ?) ภาพคุณวิสุตา จาก กรานมอนเตดอทคอม แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 51 13:45:39 จากคุณ : WIWANDA - [ 20 มี.ค. 51 13:13:51 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ในขณะที่ผู้คนกลุ่มหนึ่งได้กำลังฟันฝ่า  บุกเบิกพลิกที่ดินให้กลายเป็นทองคำ ทำพื้นที่ให้เป็นสีเขียว การทำไวน์ของไทยยังอยู่ในสภาพเหมือนเด็กที่กำลังตั้งใข่ กรรมซ้ำ กรรมซัด..ของขวัญวันแห่งความรักที่รัฐบาลประเทศสารขัณฑ์มอบให้กับเด็กน้อยกลุ่มนี้ คือ มาตรการคุมเข้มในการจำหน่ายสุรา ที่ไวน์ไทยถูกพ่วงเข้าไปด้วย.. การวิงวอนขอร้องขอความเห็นใจ..ได้มีใจความดังนี้.. สารจากสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย (Thai Wine Association) กรุงเทพมหานคร 19 มีนาคม 2551 – สืบเนื่องจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2551 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้อง เช่น ธุรกิจท่องเที่ยว ธุรกิจโรงแรม ภัตตาคาร-ร้านอาหาร   ธุรกิจไวน์ไทย และสุราพื้นบ้าน โดยมีมูลค่าความเสียหายกว่า 100,000 ล้านบาท โดยสมาพันธ์ช่วยภาครัฐลดปัญหาแอลกอฮอล์ (สชอ.) ซึ่งเป็นหน่วยงานที่เกิดจากความร่วมมือแบบพหุภาคี ซึ่งประกอบด้วย ภาคธุรกิจ นักวิชาการ องค์กรอิสระ องค์กรเพื่อสังคม เพื่อลดปัญหาแอลกอฮอล์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วมรับผิดชอบของภาคประชาสังคม ได้รวมรวบผลกระทบดังกล่าวส่งมอบให้นายกรัฐมนตรี หวังให้พิจารณาทบทวนเนื้อหาและข้อความที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ประกอบกับข้อเท็จจริงที่จะเกิดขึ้นทางกลไกตลาด ว่าพระราชบัญญัติฉบับนี้ เป็นการเปิดโอกาสให้สินค้าคุณภาพต่ำ ดีกรีสูง ราคาถูก เข้ามาทำตลาดมากขึ้น อันจะส่งผลกระทบต่อสังคมและเยาวชนไทยมากขึ้น และเพื่อไม่ให้การแก้ปัญหาเกี่ยวกับผลกระทบที่เกิดจากเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บิดเบือนไปจากสังคมแห่งความจริง สมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายของสมาพันธ์ช่วยภาครัฐลดปัญหาแอลกอฮอล์(สชอ)  ขอร่วมเรียกร้องความเป็นธรรม ให้รัฐบาลโดยท่านนายกรัฐมนตรีได้มีการปรับปรุงแก้ไขพระราชบัญญัติฉบับนี้ให้ธุรกิจไวน์ไทยสามารถดำรงอยู่และพัฒนาต่อไปได้ ขณะเดียวกันก็สามารถแก้ไขปัญหาสังคมและเยาวชนได้อย่างมีประสิทธิภาพ  อีกด้วย สมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย ซึ่งเป็นเครือข่ายของสมาพันธ์ช่วยภาครัฐลดปัญหาแอลกอฮอล์(สชอ) ยืนยันถึงความพร้อมในการสนับสนุนมาตรการต่างๆ เพื่อลดปัญหาสังคม ทางสมาคมฯเห็นสมควรว่าภาคประชาชนควรได้รับทราบข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวกับอันตรายอันเกิดจากการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่มากเกินความพอดี รวมไปถึงการดื่มอย่างไร้ความรับผิดชอบ ขาดสติ อย่างไรก็ตามทางสมาคมฯเชื่อมั่นว่า ภาคประชาชนควรตระหนักรู้และแยกแยะถึงความแตกต่างระหว่างเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แต่ละประเภทได้ อาทิเช่นเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เกิดจากการหมัก เช่นไวน์ ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ต่อผู้บริโภคเมื่อดื่มอย่างพอดี โดยเฉพาะเมื่อดื่มควบคู่กับอาหาร อุตสาหกรรมไวน์ในประเทศไทยได้มีการพัฒนาอย่างรวดเร็วในช่วงหลายปีที่ผ่านมา โดยได้รับชื่อเสียงและกิตติศัพท์ รวมถึงรางวัลมากมายจากการแข่งขันไวน์ระดับนานาชาติ อย่างไรก็ตามการพัฒนาอุตสาหกรรมและตลาดไวน์ไทยให้ชาวไทยและชาวต่างชาติ (นักท่องเที่ยว) จะเป็นไปได้ยากเนื่องจากข้อจำกัดที่เกิดขึ้นจากพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์นี้ เพราะการพัฒนาอุตสาหกรรมไวน์เพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวในประเทศไทยจำเป็นที่จะต้อง ๑. จัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย เช่น จัดแสดงสินค้า แนะนำคุณภาพ วิธีดื่มร่วมกับอาหารไทย จัดเทศกาลชิมไวน์ร่วมกับธุรกิจท่องเที่ยว จัดนำเที่ยวชมไร่องุ่นและขบวนการผลิต เป็นการท่องเที่ยวเพื่อโปรโมทไวน์ไทยและวัฒนธรรมไทย ๒. จัดกิจกรรมสื่อสารการตลาด เช่น โฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้าและคุณภาพผ่านเอกสารสิ่งพิมพ์และสื่อมวลชนแขนงต่างๆ แนะนำวิธีดื่มอย่างมีวัฒนธรรม ให้ผู้บริโภคชาวไทยและชาวต่างชาติได้เข้าใจถึงคุณภาพและรู้คุณค่าของไวน์ไทย คุณภาพและภูมิปัญญาไทยผสมผสานกัน ทั้งนี้ผลกระทบจากพระราชบัญญัติฉบับนี้ จะส่งผลกระทบต่อชาวไร่องุ่นที่ทางผู้ประกอบการไวน์รับซื้อผลองุ่นเป็นประจำทุกปี และพนักงานกว่า 1200 คน ที่ว่าจ้างโดยสมาชิกของสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทยอีกด้วย *** เกี่ยวกับสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย บริษัทสมาชิกผู้ก่อตั้งสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย ประกอบด้วย สยาม ไวเนอรี่ พีบี วัลเล่ย์(เขาใหญ่) ชาลา-วัน กราน-มอนเต้ และชาโต เดส บรูมส์ เมื่อรวมกันแล้วมีการจ้างงานมากกว่า 1,200 คน และมีกำลังการผลิตถึง 860,000 ขวดต่อปี อันเป็นการช่วยยกระดับอุตสาหกรรมการเกษตรของประเทศไทย จากสินค้าเกษตรขั้นพื้นฐาน ไปสู่สินค้าที่มีมูลค่าสูงขึ้น สร้างรายได้แก่เกษตรกรให้เพิ่มมากขึ้น และยังเป็นการช่วยสนับสนุนระบบเศรษฐกิจของประเทศไทยอีกทางหนึ่ง ด้วยการดำเนินการทั้งหมดนี้ทำให้นานาชาติเห็นอย่างชัดเจนว่าประเทศไทยสามารถเป็นแหล่งผลิตไวน์ที่มีศักยภาพดีเยี่ยมได้เช่นกัน ซึ่งเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวเชิงเกษตรและดึงดูดนักท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ นอกจากนี้ยังเป็นการช่วยลดการขาดดุลทางการค้าของการนำเข้าไวน์จากต่างประเทศ เหตุเพราะเกือบครึ่งหนึ่งของจำนวนไวน์ที่ผลิตในประเทศไทยนั้นได้ส่งออกไปจำหน่ายทั่วโลก สำหรับท่านสื่อมวลชนที่ต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โปรดติดต่อที่ วิสุทธิ์ โลหิตนาวี ประธานสมาคมผู้ประกอบการไวน์ไทย โทร 0-2653-1522 ต่อ 22 จากคุณ : WIWANDA - [ 20 มี.ค. 51 13:32:10 ]

ความคิดเห็นที่ 22 น้องหน้าตาน่ารัก เป็นนางเอกได้สบายเลย จากคุณ : horseshoes - [ 20 มี.ค. 51 20:22:51 A:195.195.217.140 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 23 สวัสดีครับ อาวิและทุกๆท่าน ตามมาอ่านครับ จากคุณ : jearjear - [ 21 มี.ค. 51 16:54:15 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ที่มาเล่ามานี้..มาจากความทรงจำทั้งสิ้น เพราะเป็นคนที่ไม่ชอบบันทึกอะไรเลย..ถ้าตรงไหนผิดเพี้ยนไปก็ขอให้คุณวิสุทธิ์ท่านมาแก้เองละกัน เพราะส่งอีเมล์มาแบบเขินๆว่า "BTW, thank you so much for the posting in Pantip web. You're honouring us too much ! " ดิฉันคิดว่า การรู้จักไวน์ของคนไทยส่วนใหญ่ยังผิดเพี้ยนไป โดยคิดว่า มันเป็นของหรู และ ต้องแพง..ซึ่งผิดถนัด  บ้านเรามีอาหารการกินที่อุดมสมบูรณ์ อากาศหลายฤดู ผลไม้ไม่ขาดแคลน..เราจึงมีวัฒนธรรมในการบริโภคที่แตกต่างไปจากชาติที่ต้องอดออมถนอมอาหารสำหรับฤดูที่ขัดสน.. พวกชนในชาติเหล่านั้น จึงได้เรียนรู้ว่า ไวน์คือส่วนหนึ่งในการ"จรุง" และ เพิ่มรสให้กับอาหารแห้งๆที่เก็บไว้เหล่านั้น.. การเรียนรู้ของเขาได้แตกแขนงออกไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีวันจบสิ้น จนไวน์ได้มากลายเป็นส่วนหนึ่งของการบริโภค และไม่ปรากฏว่ามีพิษมีภัย.. อีกทั้งเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมอันเก่าแก่ที่สุดของโลกที่ปรากฏขึ้นก่อนพระคัมภีร์ไบเบิ้ลเสียด้วยซ้ำ.. ประเทศไหนๆในโลกเขาก็กระสันที่จะมีไร่ไวน์ที่สามารถผลิตได้ดีจนเป็นสินค้าส่งออกด้วยกันทั้งนั้น เพราะมันแสดงถึงความเจริญระดับหนึ่งของชนในชาติทั้งในด้านการเกษตรและเทคโนโลยี..อย่างจีนและอินเดีย รวมไปถึงบังคลาเทศ ที่กำลังแข่งกันวิ่งอยู่ในลู่นี้.. เพราะเห็นตัวอย่างในความก้าวหน้าของชีลี และ อาเจนตินาร์  ที่ผู้คนกำลัง.หันหลังให้กับการผลิตสิ่งผิดกฏหมาย..แต่มาเอาดีทางปลูกองุ่นทำไวน์แทนกันแล้ว.. ดูผลผลิตของเราซะมั่ง..องุ่นจากไร่กรานมอนเต..Tempranillo จากคุณ : WIWANDA - [ 21 มี.ค. 51 23:59:47 ]

ความคิดเห็นที่ 25 อ้าว..ไม่ทันเห็นคุณเจี่ย..สวัสดีค่ะ สบายดีหรือ..สังสรรค์กับบ่อยป๊าวว.. คิดถึงเสมอค่ะ  กลุ่มน้องๆหลานๆชาวไวน์กลุ่มนี้..สมัครสมานสามัคคีกันดีจริง..อากำลังส่งดีวีดีและเทปคาสเซ็ทท์ที่เกี่ยวกับไวน์ไปให้ดูและฟังกันนะคะ ฟัง(และดู)หลายๆรอบจะยิ่งซึมซับในความเข้าใจ..ยิ่งเรื่องของ Mark Phillips อยากให้ได้ดูกันทุกคน.. วันจันทร์นี้..ถึงจะส่งไปจากที่นี่ค่ะ..เสาร์อาทิตย์ขอเปิดดู ทบทวนความเรียบร้อยก่อนว่า..ไม่มีอันไหนชำรุด.. เรื่องเทป..อยากให้มีไว้ประจำรถ..ฟังแทนเพลง..อีกหน่อยจะเก่งทั้งเรื่องไวน์และภาษาฝรั่ง จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 00:07:15 ]

ความคิดเห็นที่ 26 กว่าจะร่ำลาออกมาจากไร่ได้..ก็แสนยากเย็น..เรียกว่าต้องแกะ ต้องแงะกันขึ้นมา..คุณวิสุทธิ์ก็อุตส่าห์เดินมาส่งถึงรถ..ถ้าไม่ติดว่านัดเพื่อนๆ(ของสื่อศิลป)ไว้ ที่ไร่ PB แล้วละก้อ คงได้อยู่ทานข้าวเย็นที่นี่แน่เชียว.. ขอกลับออกมาก็ยังแวะถ่ายภาพอีก.. จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 00:13:54 ]

ความคิดเห็นที่ 27 น่าชื่นชมมากเลยครับ สำหรับไร่ไวน์ของคนไทย อ่านแล้วก็อยากจะไปเที่ยวชมกรานมองเต้บ้าง ถ้ามีโอกาส จากคุณ : PoNotet - [ 22 มี.ค. 51 02:54:23 A:134.130.181.116 X: TicketID:167704 ]

ความคิดเห็นที่ 28 ลองวีดีโอคลิปของไวน์นะคะ แก้ไขเมื่อ 22 มี.ค. 51 13:01:51 จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 12:59:04 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ลองใหม่ค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 13:02:48 ]

ความคิดเห็นที่ 30 SAINT ÉMILION - BORDEAUX - AQUITANIA - OCCITANIA - FRANCE จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 13:16:57 ]

ความคิดเห็นที่ 31 Vineyards of Bordeaux 2007 จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 13:26:02 ]

ความคิดเห็นที่ 32 Top Bordeaux จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 13:31:28 ]

ความคิดเห็นที่ 33 Vintage Bordeaux จากคุณ : WIWANDA - [ 22 มี.ค. 51 13:42:18 ]

ความคิดเห็นที่ 34 สวัสดีค่ะ คุณPoNotet   ไร่กรานมอนเตสวยมากค่ะ พาเพื่อนๆไปเที่ยวและอวดได้อย่างภาคภูมิใจ บริหารโดยครอบครัวคนไทย แบบร่วมด้วยช่วยกัน น่าส่งเสริมและสนับสนุน จัดว่าเป็น boutique vineyard ได้เลยค่ะ ที่นำวีดีโอคลิปเรื่องไวน์มาให้ เพราะน่าสนใจมาก สำหรับผู้ที่กำลังจะศึกษาและหาข้อมูล มีหลายความเห็นจากผู้ผลิตและขั้นตอนของการทำไวน์ รวมไปถึงการเล่าเรื่องในอดีต ประวัติต่างๆของชาโตดัง.. แต่สิ่งเดียวที่ผู้ชมอาจรู้สึกพ้องต้องกัน..นั่นก็คือ ความภาคภูมิใจของคนที่ทำไวน์ และดูเหมือนกับว่า พวกเขายังมีพลังเหลือเฟือในการที่ผลิตไวน์ให้ดียิ่งๆขึ้นไป ทั้งๆที่มีปัญหามากมาย เช่น เชื้อรา..ดินฟ้าอากาศ..สหภาพแรงงาน แต่พวกเขาก็สู้อย่างไม่ถอย เพราะตราบใดที่ตลาด"เปิดกว้าง"ให้ค้าขายได้อย่างสะดวกใจ ปัญหาอื่นๆ..ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก จากคุณ : WIWANDA - [ 23 มี.ค. 51 11:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 35 คุณแพ๊ทคุยหลังห้องมาว่า..(ขออนุญาตแล้วค่ะ) PatPDX [20 มีนาคม 2551 09:18]         สวัสดีค่ะพี่วิฯ อ่านเรื่องตามทางไวน์ของพี่แล้วหนูเขิน พี่กินไวน์ขวดละเป็นร้อยเป็นพัน ของหนูนี่สามีแกไปได้มาจาก Trade Joe สามขวดสิบ ชิมดูแล้วรสชาดรับได้ แกเลยไปยกมาซะสามลัง เห็นว่าเป็นไวน์ Aus lable ก็สวยดี ตามเรื่องที่พี่เขียนก็คิดว่า wine ไทย น่าจะดี ของหนูที่มีคนเอา wine กระชายดำมาให้ กินไม่ได้เลย wine ขาว ไม่ว่าจะอะไร ลองดูแล้วก็กินไม่ได้เรื่องสักอย่าง หรือจะเป็นว่าลิ้นเราไม่มีทสนิยมก็ไม่รู้นะคะ   ............................................................................................. คุณแพ๊ทขา.. พี่เองก็ซื้อไวน์จาก Trader Joe's บ่อยมาก..เพราะชอบของดีราคาถูกเช่นกัน เรื่องกินไวน์ดีๆแพงๆ นั้น เป็นเพราะพี่มีโอกาสมากกว่าคนอื่นๆ เนื่องจากมันเป็นงานที่ทำต่อเนื่องมานานนับสิบปี  ที่จำเป็นต้องรู้ให้ละเอียด เพราะ มันหมายถึงกำไรและขาดทุนด้วยน่ะค่ะ ส่วนเรื่องไวน์กระชายดำ..พี่ถือว่านี่คือ"จุดด้อย" ของเครื่องดื่มไทยในนามของไวน์ เพราะ ไวน์กระชายดำ ห่างไกลกับการเป็นไวน์อย่างสุดโต่ง.. ในความเห็นของพี่..ไวน์กระชายดำ มีการผสมน้ำตาลลงไปจนหวานจัด น่าจะเป็น liqueur ในสาขาของยา ที่เราเรียกว่า cordial มากกว่า เพราะเห็นว่ามีสรรพคุณรักษาโรคได้ด้วย แต่ไม่ใช่ไวน์แน่นอน สมัยที่เขากำลังฮิตๆกัน มีแต่คนส่งรายละเอียดมาให้ หวังสูงถึงขนาดจะส่งมาขายเมืองนอก อยากจะหาตัวแทนจำหน่าย..ขนาดมีการจะไปประมูลขวดล๊อตใหญ่..แถมส่งชาร์ตกำไรที่จะได้อย่างมหาศาลมาให้ดูด้วย พี่เป็นคนที่ปากกับใจตรงกัน (แหะ..แหะ) ก็บอกไปตรงๆว่า..อย่าลงทุนเลย ไม่เวิร์คหรอก..และกลัวว่าเขาจะไม่เชื่อ จึงจัดส่งกฏหมายการผลิตเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอลไปให้ดูด้วย รวมทั้งเรื่อง อ.ย. และภาษีไปให้ดู.. เพื่อที่จะบอกให้ทราบว่า..ไวน์กระชายดำ ไม่สามารถจะเปิดตลาดได้ ถ้ายังไม่ชัดเจนในตัวเองว่าเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มชนิดไหน.. ตอนนั้น เล่นเอาเพื่อนหมางไปเลย..เพราะขัดใจ..ที่เราไม่เห็นดีงามไปด้วย แต่ตอนนี้น่าจะขอบใจเรานะ..ที่ไม่ได้ลงทุนทุ่มลงไป แก้ไขเมื่อ 23 มี.ค. 51 12:16:08 จากคุณ : WIWANDA - [ 23 มี.ค. 51 12:14:49 ]

ความคิดเห็นที่ 36 หนูคิดว่า wine กระชายดำของไทย รสจ้านเกินกว่าที่จะรับได้ ว่าเป็น wine ดี ที่รสควรจะนุ่ม และมีกลิ่นอ่อนแบบอวลๆ แต่กระชายดำของไทยนี่กลิ่นฉุนจนต้องถอยจมูกออก พอจิบเข้าไปนี่ ก็ต้องนิ่งไปแบบไม่แน่ใจว่าจะคิดอย่างไรดี แต่สุดท้ายก็บอก สู้รสแบบนี้ไม่ไหวจริงๆ หนูบอกเลย ว่าใครจะหอบอะไรมาให้ ถ้าจะเป็นกระชายดำ หนูขอเป็นแม่โขงแทน หรือจะเอาเป็นแบบขวดนี้ก็ได้  ไม่ว่า จากคุณ : PatPDX - [ 24 มี.ค. 51 12:46:39 ]

ความคิดเห็นที่ 37 มาสวัสดีพี่วิครับ . . . กระทู้ใหม่ไปเร็วมากเลยครับ . . . ไร่กรานมองเต้ ได้มีโอกาสไปครั้งนึงครับ (ต้องขอบคุณคุณวิสูตรจริงๆครับ) . . . ไร่สวยและดูเป็นระเบียบมากครับ อาหารที่ภัตตาคารอร่อย . . . ส่วนไวน์ผมชอบไวน์ขาว Chenin Blanc เป็นพิเศษครับ จากคุณ : LGR (LaGrandeRue) - [ 25 มี.ค. 51 19:03:08 ]

ความคิดเห็นที่ 38 รออ่านไร่เขาใหญ่ด้วยคนค่ะ อยากรู้มุมมองพี่วิเห็นว่าเป็นยังไง จากคุณ : horseshoes - [ 26 มี.ค. 51 07:10:21 A:86.129.131.117 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 39 เรียนคุณPoNotet และท่านผู้อ่านที่สนใจ คุณวิสุทธิ์ได้ตอบมาทางอีเมล์ของดิฉันค่ะ เนื่องจากเธอไม่ได้เป็นสมาชิกของพันทิพ..เลยโพสต์ไม่ได้ แต่อยากจะเชิญชาวกระทู้ไวน์ทุกท่าน ถ้ามีโอกาสจะแวะผ่านไปทางแถวนั้น ก็เชิญไปเยี่ยมชมได้ค่ะ ยินดีต้อนรับเสมอ.. นี่ค่ะ.สาส์นจากกรานมอนเต... Hi Khun Wiwanda. Thank you again for posting about us, GranMonte. It's an honour to have you visiting us early this year. With that kind of posting from you we have no other choice but to try to keep our estate to same standard, or better, for your(and friends of this web board)next visit. BTW, our micro-climate weather station system you have seen and mentioned above, is now in it 3rd month and has improved considerably. You can use it to check the weather, etc., around Khao Yai area, as we have incorporated radar-weather monitoring in there too. Here is the link.. http://nanotech.sc.mahidol.ac.th/weather/granmonte/Micro_Climate_Station.htm My apologies for those who don't know that I cannot type Thai. With warmest regards, Visooth จากคุณ : WIWANDA - [ 26 มี.ค. 51 13:38:10 ]

ความคิดเห็นที่ 40 ไวน์ของคุณPatPDX ไม่น่าดื่มเลยค่ะ  น่าจะเอาไว้บูชาจะดีกว่า เพราะฉลากดู"ขลัง" เหลือเกิน.. คุณhorseshoes คะ พี่จะส่งข้อความไปทวนเรื่องที่อยู่ ปรากฏว่าส่งไม่ได้ เพราะคุณเลิกใช้อมยิ้มไปแล้ว..ว้า..วัยรุ่นเซ็งเลย เรื่องไวนไร่พีบี กำลังจะเล่าต่อค่ะ.. สวัสดีคุณLGR (LaGrandeRue) ก่อน..เป็นไงคะ ไปกรานมอนเตแล้ว ประทับใจเหมือนกันเลย..จะบอกให้ว่าดิฉันเป็นคนที่ไม่ประทับใจอะไรง่ายๆ และมักจะมีมุมมองที่ไม่เหมือนกับคนอื่นๆ แต่สำหรับไร่กรานมอนเตนี่.. เดินชมไปรอบๆจะรู้สึกได้ถึง"ความอาทร" ระหว่างคนกับต้นไม้ต้นไร่อย่างชัดเจนเชียวค่ะ  และนี่คือ "จิตวิญญาณ" ของคนที่จะทำไวน์ได้ดี.. จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:23:45 ]

ความคิดเห็นที่ 41 ออกจากกรานมอนเตมาได้ก็บ่ายคล้อยมากแล้ว..แต่ไร่ PB Valley Khao Yai Winery ก็อยู่ห่างไปนิดเดียวเอง.. ไปถึงก็ไปสมทบกับกลุ่มของเพื่อนสื่อศิลปที่เขาตั้งใจมาดูโรงงานทำไวน์กัน ก็ได้ดูสมใจ เพราะ ทางเจ้าภาพได้พาเที่ยวชมไปในที่ต่างๆ เช่น ทางเข้าห้องรับรองจะมีห้องฉายวีดีโอเพื่ออธิบายความเป็นมาของไร่ที่ถือว่าเป็นไร่องุ่นทื่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย มีเนื้อที่ถึงห้าร้อยไร่.. และเป็นไร่แรกของเมืองไทยด้วยเช่นกัน.. ที่กลางห้องโถง จะมีไวน์โชว์ได้ให้ดูตามแต่ชนิด และมีผังแสดงขั้นตอนของการผลิต.. จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:46:34 ]

ความคิดเห็นที่ 42 โรงหมักไวน์ จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:49:31 ]

ความคิดเห็นที่ 43 และ จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:51:11 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ห้องบ่ม จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:52:05 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ออกมาจากตรงนั้น ก็แยกเดินออกจากกลุ่ม พาตัวไปดูต้นองุ่นที่เอาขึ้นร้านเอาไว้ มีลูกออกมาห้องระย้าเป็นพวงสวยงาม มีป้ายเขียนไว้ว่า เป็นพันธุ์ "Black Queen" ซึ่งเป็นองุ่นสำหรับทานเป็นผลไม้ ก็เลยถือวิสาสะเด็ดมาสองสามพวง เลือกจากตรงจุดต่างๆกัน.. มาลองชิมดู บางช่อหวานชื่นใจ บางช่อหวานพอประมาณ บางช่อเปรี้ยมอมหวาน เพราะ มันมาจากมุมต่างๆกัน.. อย่างนี้ไง..ที่เขาเรียกว่า Terroir... จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 08:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ได้เวลาอาหารเย็น ก็คือ การชุมนุมรับประทานที่ร้านอาหารในคลับเฮ้าส์ ชื่อว่า..The Great Hornbill Grill ที่เหลือบมองไปที่เพดาน ก็พบกับช่อไฟที่มีไอเดียกิ๊บเก๋.. อาหารและไวน์ผลผลิตเข้ากันได้ดี อีกทั้งมี คุณเอ..ไวน์เมคเกอร์ของไร่คนหนึ่งมานั่งด้วยอยู่สักครู่ก่อนที่จะขอตัวกลับไปก่อน อาจจะเป็นเพราะทนสายตาโลมเลียของสาวๆในโต๊ะไม่ได้กระมัง จากคุณ : WIWANDA - [ 29 มี.ค. 51 09:04:41 ]

ความคิดเห็นที่ 47 ข่าวด่วน...คุณวาริชเวสม์เปิด Maya ดื่มไปแล้วครับพี่หวาน (มาฟ้องโดยเฉพาะ) แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 51 12:49:48 จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 29 มี.ค. 51 12:45:57 ]

ความคิดเห็นที่ 48 ดูอารมณ์เอาเองครับ...พี่หวาน แก้ไขเมื่อ 29 มี.ค. 51 12:50:09 จากคุณ : วิโรจ (แดนไตร) - [ 29 มี.ค. 51 12:48:00 ]

ความคิดเห็นที่ 49 พี่วิสงสัยลืม ชาโต เดอ เลย เค้าก้มีไร่ไวน์เหมือนกันนะตัวเอง เป็นไร่ ๆ เลยค่ะ ฮี่ ๆ ที่นิวซีแลนด์ก็มีไร่ไวน์ แล้วก้ผลิตไวน์ยี่ห้อ hornbill ด้วยค่ะ เจ้าของเป็นหนุ่มสาวสามีภรรยาทำไร่ไวน์ช่วยกัน บอกว่า hornbill เป็นนกหายาก อยู่ประจำถิ่นที่ไร่ไวน์ตั้งอยู่ค่ะ เราแบกไวนืกลับมาด้วยนะ หนักก้หนัก แต่ก็ขนกลับมา ตอนนี้เกลี้ยงแล้วค่ะไม่เหลือซักขวด เรื่องอมยิ้ม ไม่ใช่ไม่อยากใช้ค่ะพี่ ท่านเจ้าของบ้านไม่ให้ใช้ต่อค่ะ สงสัยแอบซนไปหน่อย ฮี่ ๆๆ ก็ไม่ว่ากันใช้ของเขาก็ต้องยอมรับกฏของเขาค่ะ แค่รู้ว่าพี่วิส่งการ์ดมาให้ก็ปลื้ม แถมโม้ไปสามบ้านแปดบ้านแล้วค่ะ ถึงไม่ได้การ์ดหนูก้ดีใจค่ะ ขอบคุณมาก ๆ ไร่บีพีอออกจะใหญ่โตมโหฬารนะค่ะ ห้าร้อยไร่ ใหญ่จริง ๆ นึกถึง Cariad ของโปรดของเรา แค่ สี่สิบไร่ รวมโรงบ่มอาคารบ้านเรือนด้วยนะ ห่างกันลิบลับเลย จากคุณ : horseshoes - [ 29 มี.ค. 51 18:10:03 A:86.129.129.110 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 50 แหม..หน้าตาน้องอ้วนช่างมีความสุขเสียจริง..พี่ดีใจด้วยนะคะ(กัดฟันพูดนะเนี่ย) คุณhorseshoes คะ.. ไม่ได้ไปเที่ยวไร่ของเดอ เลยค่ะ เพราะไกลมาก อยู่ถึงภูเรือแน่ะ จำได้ว่าคุณวิโรจเคยเอามาเล่าแล้วนะคะ ลองไปหากระทู้เก่าๆดู (ยังอยู่ป่าวไม่รู้นะ) อีกหก เจ็ด วัน รอดูเมล์ด้วยนะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 30 มี.ค. 51 06:47:32 ]

ความคิดเห็นที่ 51 เรื่องกฏระเบียบข้อห้ามในการโฆษณาขายเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอลนี้ เป็นเรื่องปวดใจของชาวประชาที่นี่ด้วย  แต่ที่อเมริกา เขาเอาข้อมูลไปศึกษาเพื่อที่จะหาทางช่วยเหลือที่เหมาะสม.. เมื่อตอนที่กฎหมายเมาห้ามขับออกมาใหม่ๆ บาร์เหล้าปิดตัวไปเป็นตามๆกัน เพราะ รถตำรวจจะมาคอยซุ่มอยู่หน้าบาร์เลยทีเดียว ใครที่มีทีท่า"แอ๋" ออกมา เป็นอันว่าโดนก่อนที่จะสตาร์ทรถด้วยซ้ำ  บาร์ดังกล่าวเหล่านั้น ต้องขายอาหารด้วยจะเป็นของกินเล่นๆก็ได้ แต่ต้องมี.. โชคดีที่ไวน์ของคาลิฟอร์เนียได้ผลิตออกมาล้นตลาด คนก็หันไปสนใจดื่มไวน์กันมากขึ้น  ร้านอาหารให้ความสำคัญกับรายการไวน์อย่างเต็มที่ แข่งกันออกแบบให้สะดุดตา.. ในเมืองใหญ่อย่างซาน ฟรานซิสโก จะมีไวน์บาร์ที่มีไวน์นับพันๆชนิดให้ทดลอง นั่งชิมกันได้ทั้งวัน..จะมีรายการแบบเป็นชุด ตามเมนูกรุ๊ปละหก ยกมาทีก็ใส่พวงเรียงสาม (สองแถว)เหมือนกับพวงน้ำปลาพริกตามร้านก๋วยเตี๋ยวบ้านเรา สนุกสนานมาก.. แต่เมืองเล็กๆอย่างที่อยู่นี่ ทั้งๆที่เป็นเมืองทำไวน์แท้ๆ แต่คณะเทศบาลท้องถิ่นไม่ยินยอมให้มีการเปิดไวน์บาร์กันอย่างง่ายๆ ยกเว้นในกรณีที่เป็นร้านอาหาร ที่มีมุมบาร์อยู่แล้ว..หรือ เป็นสาขาย่อยของบริษัทที่ผลิตไวน์ที่มาเปิด outlet ของตัวเอง หรือเป็นร้านขายไวน์ที่อาจมีการจัดให้ชิมไวน์ได้ในบางโอกาส มีกำหนดด้วยแล้วแต่ขนาดใหญ่เล็กของร้าน ซึ่งตรงนี้คือเรื่องที่ปวดใจ เพราะการขออนุญาตให้มีการชิมแต่ละทีนั้นยากมาก.. (เรื่องที่จะเปิดไวน์บาร์แบบอิสระอย่างซาน ฟรานซิสโก นั้นอย่าหวัง)  เพราะ เมืองนี้ไม่ใช่เมืองของคนหนุ่มสาว  และเขาไม่ต้องการให้มีการรื่นเริงกันอย่างเกินเหตุ ฝ่ายกลุ่มประกอบการก็โต้แย้ง และพยายามหาเหตุผลมาหักล้างอยู่นานถึงหกปี..เพราะการทีมีร้ายขายไวน์จะไวน์บาร์ให้คนได้ทดลองดื่ม หาไวน์ที่ชอบ เพื่อที่จะซื้อหากลับไป หรือได้นำไปเอ่ยถึง คือผลดีของเศรษฐกิจของเราทั้งสิ้น ในขณะที่ตลาดไวน์ของเราซวนเซเพราะไวน์จากประเทศอื่นๆที่เข้ามาขายได้อย่างเสรี..และถูกกว่า ในที่สุด..ข่าวล่ามาด่วนว่า..เทศบาลยอมพบกับเราครึ่งทาง นั่นคือ เปิดไวน์บาร์ได้  แต่ต้องอยู่ในการขายกึ่งให้การศีกษา นั่นคือ จะต้องเสริฟในสูตร 1= 6x2  เท่านั้น.. หมายถึง ต่อลูกค้าหนึ่งคน..จะให้ลองชิมไวน์ได้ ไม่เกินหกชนิด ชนิดละไม่เกิน สองออนซ์ และไม่มีการเสริฟเครื่องดื่มชนิดอื่น เช่น เบียร์ ด้วยเป็นเด็ดขาด แต่ก็นับว่า ผลของการเรียกร้องได้เป็นที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 30 มี.ค. 51 08:55:13 ]

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณค่ะ จากคุณ : horseshoes - [ 31 มี.ค. 51 04:51:15 A:86.143.155.128 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 53 บอกกันตรงๆเลยนะคะ ที่ชะลอการเขียนเรื่องวิกฤติของครอบครัวแกลโลไว้ เพราะว่ามาคิดทบทวนดูแล้วว่า..มีส่วนเกี่ยวกับประวัติศาสตร์น้อยมาก และ ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าคนที่อ่านแบบเอามันส์ จะเห็นชัดว่ามันมี"ส่วนเสีย" ในหลายๆด้านที่เกี่ยวพันกับธุรกิจค้าขายเครื่องดื่มที่เป็นแอลกอฮอล และ ได้สร้างความหายนะให้กับหัวหน้าครอบครัวแกลโลจนถึงแก่ชีวิตทั้งสามีและภรรยา... จึงขออนุญาตพักในเรื่องนี้ก่อนในห้องประวัติศาสตร์พันทิพ ในการเขียนต่อ.. จะขอไปลงในเวบ winescale แทน.. ส่วนในตอนนี้..เนื่องจากได้เขียนเรื่องที่เกี่ยวกับสงครามไว้แล้ว..จะว่าไป..ก็ยังเล่าไม่จบแบบตลอดรอดฝั่งเลย..เมื่อคุณLGR เคยเกริ่นๆเรื่องของเบอร์กันดีไว้แล้ว..จึงคิดว่า..นำเรื่องของแคว้นแชมเปญที่มีประวัติศาสตร์ที่แสนยาวไกลมาคุยต่อก่อนที่จะไล่ไปถึงเบอร์กันดี.. ระหว่างโหมโรง..ขอแสดงแผนที่แคว้นแชมเปญก่อนนะคะ.. แคว้นแชมเปญ  (ถ้าอยากจะเรียกว่า ฌัมปาญ ก็ได้นะคะ แต่ต้องเรียกให้หมดว่า ฌัมปาญเญ่อะ..) อยู่ห่างจากปารีสไปทางตะวันออกเฉียงเหนือไปแค่ไม่ถึงร้อยไมล์  ในแคว้นประกอบไปด้วยเมืองใหญ่ที่สำคัญ เช่น Aube, Marne, Haute-Marne ,Ardennes ,Reims, Epernay และ Troyes ในการเล่าครั้งนี้ จะพูดถึง..เมือง Reims บ่อย  เพราะเป็นเมืองที่สำคัญที่สุดเมืองหนึ่งในประวัติศาสตร์  อ่านว่า "รีนส์" สะกดด้วย น. หนู ไม่ใช่ ม. ม้า ตามตัวเขียนในภาษาอังกฤษ แก้ไขเมื่อ 31 มี.ค. 51 05:28:10 จากคุณ : WIWANDA - [ 31 มี.ค. 51 05:24:26 ]

ความคิดเห็นที่ 54 มารออ่านแคว้นฌัมปาญเญ่อะ(จำปาเยอะ..555) ครับ ..พี่หวาน จากคุณ : วาริชเวสม์ - [ 2 เม.ย. 51 09:13:59 ]

ความคิดเห็นที่ 55 แหม คุณพี่ แล้วไม่บอกว่าอยากไปดูไร่ภูเรือ ไม่ไกลหรอกครับ สบายอยู่แล้ว แค่เลยเพชรบูรร์ไปหน่อยเดียว สมัยผมโหนรถ บขส.ไปเที่ยวภูเรือเมื่อเกือบยี่สิบปีก่อน ไปไม่ทันรถเที่ยวสุดท้ายที่จะไปภูเรือ (เมื่อก่อนต้องไปต่อรถที่หล่มสักครับ) ต้องค้างคืนที่หล่มสัก 1 คืน โอ้โห ยังจำบรรยากาศโรงแรมที่นั่นได้จนบัดนี้ มันเป็นตึกแถวเก่า ๆ ประมาณที่เขาเรียกว่าโรงแรมเซล หรือโรงแรมจิ้งหรีด ที่พวกเซลแมนขายยาสมัยก่อนเขามาอาศัยนอนกัน เพราะราคาถูก แต่นี่โรงแรมเซล แล้วหารสองลงไปอีก หน้าต่างก็ใช้เหล็กข้ออ้อยมากั้น ประมาณโรงงานนรกนั่นเชียว ส่วนพื้นห้องและห้องน้ำ รวมทั้งเตียงไม่ต้องพูดถึง อยากจะบอกว่าคราบดำ ๆนั่น มันมองยังไงก็นึกถึงแต่คราบเลือดอยู่ร่ำไป แถมคืนนั้นดันเป็นหน้าฝน ฝนตกทั้งคืน ฟ้าแลบแปลบ ๆ ปนกับฟ้าผ่าที่เล่นเอาไฟดับทั้งเมือง แถมพัดลมที่หมุน ๆ อยู่บนเพดาน ก็ค่อย ๆ ชะลอตัวจนดับสนิท เห็นแต่เงาลอยตะคุ่ม ๆ เคยเจอประมาณนี้ก็เมื่อครั้งไปนอนโรงแรมที่เบตงเมื่อปี 29 ที่ล๊อบบี้โรงแรมเขายังมีรูป ดร.ซุน ยัด เซ็น อยู่เลย กว่าจะผ่านคืนนั้นไปได้ แทบตาย เช้ามา ก็กระโดดขึ้นรถหล่มสัก - ภูเรือ แต่เช้ามืด วิ่งฝ่าลมหนาวกะบรรยากาศดี ๆ ไปถึงภูเรือจนได้ อ้อ  แค่ตีนภูนะครับ ที่เหลือเดินขึ้นไปเอง เจอรถข้างทางก็โบกเอา สนใจไหมคุณพี่ เดี๋ยวจัดให้ ประมาณนี้เลย จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 2 เม.ย. 51 15:06:24 ]

ความคิดเห็นที่ 56 นี่รอให้มีเสียงมาเชียร์เรื่องที่จะเขียนเกี่ยวกับไวน์ในแชมเปญอยู่เชียว.. เพราะไม่แน่ใจว่าจะมีคนอ่านหรือเปล่านี่ซิ.. รายแรกมาที่เข้ามา..ก็คือเป้าหมายใหญ่ที่ต้องการทีเดียว เพราะอะไรทราบไหมคะ? เพราะคุณวาริชเวสม์คนนี้แหละ ที่ทำให้มีแรงดาลใจที่จะเขียน  เนื่องจากดิฉันพยายามเลี่ยงเสมอมาที่จะไม่พูดถึงแชมเปญ เพราะในสังคมของชาวไวน์แท้ๆในอเมริกา(หรือที่ฝรั่งเศสก็เถอะ) เขาเปรียบแชมเปญ(ดีๆ)ได้ประหนึ่งอัญมณีที่มีค่าล้ำเลิศ  เป็นเครื่องบ่งบอกรสนิยมมากกว่าเครื่องนุ่งห่ม จนมันกลายมาเป็นเครื่องดื่มที่เป็นสัญญลักษณ์แห่งมงคลทุกชนิด.. แต่เส้นทางของการที่จะมาเป็นแชมเปญ (จากฌัมปาญเญ่อะ) ให้เราได้ดื่มกินกันได้นั้น มาจากเส้นทางที่อาบไปด้วยเลือด และเต็มไปด้วยความสับสนในตัวเองจนน่าทึ่ง.. ผิดไปจากไวน์อื่นๆอย่างสิ้นเชิง.. วันงานเลี้ยงต้อนรับ..คุณวาริชเวสม์ได้เปิดแชมเปญของ Taittinger ซึ่งเหนือความคาดหมายจริงๆ เพราะการที่นำไวน์ชั้นเทพมาเรียงกันเปิดอย่างในคืนวันนั้น ที่ว่างสำหรับแชมเปญแทบจะไม่มีเหลือ(ให้ใครคิดถึง...) แต่..Taittinger ก็ได้มาประเดิมความเป็นมงคลแห่งมิตรภาพของเรา ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ ในการไปเมืองไทยคราวหน้า ตั้งใจไว้ว่าจะขอนำไวน์บางส่วน (อาจจะไม่ใช่ในปีเดียวกัน)ไปคืนให้กับคุณวาริชเวสม์ด้วย แก้ไขเมื่อ 02 เม.ย. 51 16:28:19 จากคุณ : WIWANDA - [ 2 เม.ย. 51 16:08:14 ]

ความคิดเห็นที่ 57 น้องสื่อขา..การเดินทางแบบทรหดนั้น พี่ขอบายค่ะ   จำได้ไหมว่า..จะไปไหนกันที ต้องถามเรื่องห้องน้ำกันก่อน.. ส่วนเรื่องโรงแรมนั้น เจอมาแล้วที่นครสวรรค์..ไม่ได้มาหลอก ไม่เห็นอะไร แต่นอนไม่ได้ทั้งคืน มีความรู้สึกเหมือนกับว่า มีคนจ้องมองอยู่ทุกขณะจิต บอกกับตัวเองว่า อย่าหลับนะ..ถ้าหลับละก้อ เจอดีแน่.. หลานชายสองคนนอนอีกห้องหนึ่ง..มันพากันไปเที่ยวที่คาเฟ่จนดึกดื่น ไม่มีใครมาสนใจเพราะเขาคิดว่าเราเหนื่อย คงหลับไปแล้ว ที่ไหนได้..นั่งถ่างตา แจกบุญแจกกุศล แผ่เมตตา เปิดไฟโร่ทั้งคืน เช้าขึ้นไปทานโจ๊กที่ตลาด  แม่ค้าชวนคุย พอบอกไปว่าพักที่โรงแรม.... แม่ค้าบอกว่า..อุ๊ย..โรงแรมนั้นเขาฆ่ากันตายเป็นประจำ..!!! จากคุณ : WIWANDA - [ 2 เม.ย. 51 16:18:01 ]

ความคิดเห็นที่ 58 เข้าเรื่องซะที..ไหว้ครูมานานนักหนาแล้ว   แคว้นแชมเปญตามแผนที่ที่ยกมาให้ดูข้างบน..มีเมืองหลวงคือ Epernay รวมกันทั้งหมด มีเนื้อที่ของการปลูกองุ่นกว้างขวางถึง ห้าหมื่นกว่าเอเคอร์ ส่วนที่ปลูกองุ่นได้ผลดีที่สุด คือชายเขตของเมืองรีนส์ องุ่นที่ปลูกได้นั้นมีหลายพันธุ์  ที่เด่นๆ คือ Pinot Noir, Chardonnay, Pinot Meunier,Pinot Blanc และอื่นๆ ในการเล่าต่อๆไป ขอให้เข้าใจว่า ถ้าพูดถึงไวน์ในท้องเรื่องนี้ ถ้าก่อนศตวรรษที่ 17 ละก้อ ไวน์ของแชมเปญยังเป็นไวน์ธรรมดาอยู่ ไม่ใช่ไวน์ซ่า ที่เรารู้จัก เพราะการที่มาเป็นไวน์ซ่านั้น เกิดเพราะเหตุอุบัติที่ไม่มีใครคาดฝัน ด้วยน้ำมือของคุณพ่อบาทหลวงสองท่าน คือ  Frere Jean Oudart (1654 – 1742) and Dom Pierre Perignon (1639 – 1715) เส้นทางของแชมเปญนั้น ถ้าท่านที่อ่านเรื่องไวน์ ไวน์มาก่อน ก็คงยังจำได้ว่า แคว้นนี้ช่างมีกรรมเสียจริง..เมื่อครั้งฮิตเล่อร์บุกเข้ามา..ก็เข้ามาทาง ป่าชายแดน Ardennes รอยต่อระหว่างฝรั่งเศสกับเบลเยี่ยม  วิธีเดินทัพเข้ามาก็แสนสะดวก เหมือนกับด่านเจดีย์สามองค์ของเรา..ที่เข้ามาก็แทบจะถึง ทะลวงถึงเมืองหลวงได้ภายในวันเดียว หมายเหตุ..จากภาพก็จะเห็นว่า แชมเปญกับเบอร์กันดีนั้นใกล้กันนิดเดียว องุ่นที่ปลูกจึงเป็นชนิดเดียวกัน ว่ากันว่า เมื่อก่อนผลิตไวน์แข่งกันมาโดยตลอด จนมาถึงศตวรรษที่สิบเจ็ด ที่แชมเปญได้ค้นพบการทำไวน์ซ่า วิถีของการเป็นคู่แข่งจึงหมดไปโดยปริยาย แก้ไขเมื่อ 03 เม.ย. 51 13:52:53 จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 13:22:25 ]

ความคิดเห็นที่ 59 แหมพี่  นั่นมันเมื่อ 20 ปีมาแล้ว ไป พ.ศ.นี้ใครจะพาพี่ไปให้ลำบากละ โรงแรม รีสอร์ต แข่งกันขึ้นจนเลือกไม่ถูก ถนนหนทางก็นิ่มยังกะปูพรม รับรองว่า ถ้าไป จะจัดให้เลิศราวกับลอยไปตกปุ๊ตรงไร่ไวน์เดอ เลย ทีเดียว ที่นครสวรรค์ เคยไปพักอยู่โรงแรมเดียวเองครับ ชื่ออะไร จำได้เหมือนกัน ที่อยู่หลังเขากบ ข้างหน้าเป็นเมรุวัดไทย ข้างหลังเป็นฮวงซุ้ย ยาวเหยียดเป็นภูเขา โรงแรมอยู่ตรงกลางพอดี ไปคืนแรกไม่รู้เรื่อง เพราะถึงเอาเกือบเที่ยงคืน เช้ามาถึงเห็น โชคดี ไม่รู้ว่าไม่มี หรือว่าเราเหนื่อยจนไม่รู้เรื่องรู้ราวก็ไม่รู้ ตลอดเดือนที่อยู่ ไม่เคยเจออะไรเลย เห็นแต่แกงเขียวหวานที่อร่อยมาก ใครผ่านไปผ่านมา อยากหาแกงเขียวหวานอร่อยจริง ลองแวะดูครับ เอ้อ  เคยพักโรงแรมที่มันอยู่หน้าขนส่งเหมือนกัน ไม่เจอ หรือเจอ แต่ไม่รู้ก็ไม่ทราบ จากคุณ : สื่อศิลป (สื่อศิลป) - [ 3 เม.ย. 51 13:58:03 ]

ความคิดเห็นที่ 60 แต่ก่อนที่ฮิตเล่อร์มาเหยียบย่ำแชมเปญให้ช้ำใจในศตวรรษที่ยี่สิบ พื้นที่นี้สาวประวัติไปได้ตั้งแต่ต้นคริสต์กาล ที่หลังจากวิกฤติภูเขาไฟวิสุเวียสถล่มปอมเปอีผ่านไป  จักรพรรดิ์โรมัน Domitianได้ทรงมีพระบัญชาให้เขตรายรอบนอก อย่างเช่นแชมเปญ บอร์คโดซ์ เบอร์กันดี  รื้อถอนต้นองุ่นทิ้งให้หมด และหันมาปลูกธัญญพืชเพื่อเป็นอาหารแทน.. แน่นอนว่า พื้นที่ดังกล่าวภายใต้การปกครองของท๊อปบู๊ทโรมัน ก็ต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่พอสองศตวรรษผ่านไป..จักรพรรดิ์โรมัน Marcus Aurelius Probus ที่ว่ากันว่าเป็นลูกชาวไร่ชาวสวน หันมาสนใจให้ความช่วยเหลือชาวแชมเปญ ราวกับชุบชีวิตให้ใหม่ นั่นคือ นอกจากจะยกเลิกกฏหมายห้ามปลูกองุ่นแล้ว ยังส่งทหารมาช่วยทำการช่วยเพาะปลูกองุ่นกลับคืนให้อีกด้วย.. และต่อมาอีกในศตวรรษที่ห้า..แชมเปญก็โดนอีกแล้ว..นั่นคือการรุกรานของพวกฮั่น..นั่นคือ การยาตราทัพเข้ามาในยุโรปของ อัตติลา ผู้นำของ บาเบเรียนชนกลุ่มน้อย ที่รวมตัวกันได้จนเป็นกลุ่มใหญ่ จำนวนกว่าเจ็ดแสน ขอเล่าให้ฟังนิดหนึ่ง..ในเรื่องนี้แบบเข้าใจง่ายๆ ว่า ในยุคนั้น ยังไม่เป็นประเทศที่มีการแบ่งเส้นเขตแดนชัดเจน.. ผู้คนกระจัดกระจายกันอยู่เป็นก๊กเป็นเหล่า  ยุโรปได้ปกครองโดยอาณาจักรโรมัน ที่แบ่งออกเป็นสองฝั่ง คือ ฝั่งตะวันตก(สีแดง) และฝั่งตะวันออก (สีม่วง)ตามแผนที่ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 14:31:55 ]

ความคิดเห็นที่ 61 ในยุคนั้น..ชาวโรมันผู้เกรียงไกรและศิวิไล ไม่ได้คบค้ากับพวกฮั่นและชนกลุ่มน้อยทั้งหลาย เพราะถือว่าเป็นศักดิ์ไม่เสมอกัน และไม่ได้สนใจที่จะรบราด้วย แต่..ชาวโรมันได้จัดซื้อจัดจ้างชนกลุ่มน้อยพวกนี้ด้วยเงิน(ที่มีมากมาย) ให้ทำหน้าที่เหมือนกับเป็นกองกำลังดูแลรักษาความเรียบร้อยกันเอง เพราะตราบใดที่ชนพวกนี้รวมตัวกันไม่ได้ ก็ไม่สามารถจะคิดเป็นใหญ่ขึ้นมา.. แต่ในช่วงของศตวรรษที่ห้านั้น โรมันฝั่งตะวันตกได้เข้าสู่ยุคปลาย เกิดการระส่ำระสาย แก่งแย่งอำนาจกันขึ้น..บ้านเมืองเริ่มอ่อนแอ..ในขณะที่อัตติลา ได้รวบรวมชนกลุ่มน้อยขึ้นมาได้ จนเกิดการเหิมเกริม บุกยุโรป..ด้วยการประกาศว่า...ทัพของเขาผ่านไปที่ไหน ที่นั่นจะต้องวอดวาย.. การเดินทัพด้วยกำลังนับแสนๆของอัตติลา ได้เข้ามาทางตะวันออก คือ บอลข่าน (Constantinople) และเดินทัพมุ่งตรงเข้า Gaul (ฝรั่งเศสปัจจุบัน) ไม่ว่าผ่านไปที่ไหน ที่นั่นก็ราบเรียบสมดังคำประกาศไว้ พอมาถึงตอนนี้..ชาวโรมันทนไม่ได้อีกต่อไป ฮึดสู้แบบลืมตัวกลัวตาย สงครามครั้งนี้ ถือเป็นสงครามครั้งใหญ่ครั้งสุดท้ายของชาวโรมันได้แสดงแสนยานุภาพ เราเรียกสงครามนี้ว่า..Battle of Chalons (ค.ศ. 451) แม่ทัพฝ่ายโรมัน คือ  Flavius Aetius ที่ผนึกกำลังกับกษัตริย์Theodoric I แห่ง Visigothic (คือชนชาติเยอรมันในปัจจุบัน) สงครามครั้งนี้ต้องถือได้ว่านองเลือด..เพราะกองทัพบาเบเรี่ยนของอัตติลา นั้นเป็นที่รู้กันว่าป่าเถื่อนอย่างที่สุด แต่..งานนี้อัตติลามีงง..จนต้องเก็บตัวอยู่แต่ในค่าย คิดหาทางปรับตำราพิชัยยุทธแทบไม่ทัน เพราะ กองทัพโรมัน..เข้มแข็งจนคาดไม่ถึง.. ในที่สุด..อัตติลาจึงต้องจำใจนำทัพถอยร่น ข้ามแม่น้ำไรห์นกลับไปตั้งต้นใหม่ด้วยความบอบช้ำและ..เสียหน้ายับเยิน.. แผนที่ของการบุกฝรั่งเศสของกองทัพอัตติลา.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 15:16:06 ]

ความคิดเห็นที่ 62 ศักดิ์ศรีของจอมทัพอย่างอัตติลาที่ต้องแพ้ยับเยินมาจาก Battle of Chalons นั้น นับว่าได้สร้างความอัปยศจนแทบทนไม่ไหว.. ฉะนั้น..จึงหยุดนิ่งไม่ได้ ในปีต่อมาคือ 452 AD ที่อัตติลาจำต้องแก้หน้ากลับคืน แต่คราวนี้ยังแหยงอยู่ จึงหันไปหาพื้นที่ใหม่ เผื่อว่าจะ"หมูกว่า" นั่นคือ อิตาลีตอนเหนือ โดยการนำทัพข้ามเทือกเขาแอลป์ และคราวนี้ ก็เป็นการนองเลือดอีกเช่นเคย..ฆ่าทุกอย่างที่ขวางหน้า..เส้นทางที่ผ่านมา วอดวายได้ดังใจ จนกองทัพคนป่าได้จ่อเข้าสู่เวนีซ และ กรุงโรม อิตาลี..ได้กำลังจะตกสู่ใต้อำนาจของอัตติลาอยู่รอมร่อ..โดยดูจากสภาพของการทำศึกและอัตราการสูญเสียของผู้ถูกรุกรานที่ไม่มีกำลังเหลือพอที่จะปกป้องได้เลย.. แต่แล้ว..ปาฏิหารย์ได้บังเกิดขึ้น วีรบุรุษผู้ทรงศีล นามว่า ลีโอ ผู้ซึ่งมีสมณศักดิ์เป็นถึงสังฆราช (Pope Leo I) ที่ได้เดินทางไปพบกับอัตติลาถึงในค่ายศึก เพื่อขอเจรจา.. จากการเจรจา..ว่ากันว่า ท่านสังฆราชได้ทำการชี้บาปบุญคุณโทษให้อัตติลาได้ซึมซับ..และในที่สุด อัตติลาก็ได้อ่อนข้อ ยินยอมถอยทัพแต่โดยดี.. มาดูเบื้องหลังของการถ่ายทำ..เอาภาคของพระก่อน..ท่านว่า.. ท่านได้ไปหาอัตติลา พร้อมทั้งขู่ว่า ถ้ายังขืนทำบาปต่อไป..เทพยดาฟ้าดินจะต้องลงโทษ (ท่านหมายถึง St. Peter และ St. Paul ที่ศักดิ์สิทธิ) เรียกเรตติ้งและคะแนนเสียงให้กับพระเจ้าและศาสนาได้อีกโข.. ภาคของอัตติลา..ที่เล่าให้เหล่าทหารคนสนิทฟัง ว่า ขณะที่ท่านสังฆราชมาเจรจาด้วยนั้น เขามองเห็นแสงรัศมีออกมาทางศรีษะท่าน และเห็นเป็นภาพเทวดากำลังถือดาบพร้อมที่จะทำร้ายเขา.. จึงได้ยอมให้.. แต่ในภาคของความเป็นจริงด้วยเหตุและผล นั่นคือ ในช่วงนั้น ยุโรปเกิดการข้าวแห้งฝนแล้ง และเกิดโรคระบาดตามมา กองทัพของอัตติลาที่เพิ่งผ่านสงครามครั้งใหญ่มาเมื่อปีก่อน ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ ไหนจะมาเจอกับโรคระบาดที่ทหารเกิดล้มตายไปเป็นเบือ ขวัญและกำลังใจไม่เหลืออยู่กับเนื้อกับตัว.. ไหนจะได้ข่าวว่า จักรพรรดิ์ Marcian ของฝั่งโรมันตะวันออก กำลังจะส่งกองทัพข้ามแม่น้ำดานูปมาตีอัด แบบปิดประตูตีแมวอีก..อัตติลาถึงถือเป็นเหตุผลอันดีที่จะเชื่อฟังท่านสังฆราช..เพราะอย่างน้อยก็ไม่เสียหน้ากับเหล่าทัพ อย่างการรบที่ Chalons สรุปก็คือ อัตติลาไม่สามารถสยบยุโรปได้เลย ไม่ว่าจะครั้งไหน ความจริง อัตติลาไม่เคยคิดเลิกล้มที่จะครองยุโรป เขาคิดจะกลับมาอีกในปีรุ่งขึ้น แต่เผอิญว่า..เสียชีวิตไปเสียก่อน ในห้องหอด้วยสาเหตุที่เมามายจนเกินขนาดในงานแต่งงานของตัวเองกับภรรยาสาวรุ่น.. ทางการแพทย์(ในปัจจุบัน) วิเคราะห์ว่าเส้นโลหิตในสมองแตก จากบันทึกที่ว่าว่า เขาเสียชีวิตเพราะสำลักเลือดกำเดาของตัวเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ฝรั่งเศส ทั้งแชมเปญ และ Aquitaine (บอร์คโดซ์)ได้รอดเงื้อมมือของพวกฮั่นมาได้อย่างหวุดหวิดเชียว.. แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 51 05:37:19 จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 16:00:51 ]

ความคิดเห็นที่ 63 พักแป๊บ..ขอขำหน่อยว่า ทางกระทู้ยังเติร์ก อีตาสื่อศิลปก็ร่ายยาวแบบมีองค์ประทับทรงเหมือนกันเลย.. บทจะหายก็หายไปพร้อมกัน.. ขอบอกตรงนี้นะค้า..ว่าไม่ได้นัดกันเลยเจงๆ แค่โทรไป"จิกตี " กับ "กัด"ไปทางหลังห้องนิดหน่อยเท่านั้นเอ๊ง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 16:16:59 ]

ความคิดเห็นที่ 64 ทีนี้มาถึงปลายศษวรรตที่ห้า ที่เยอรมันกลุ่มน้อยใหญ่เพิ่งจะทำการรวมตัวกันได้ ขึ้นมามีอำนาจแทนอาณาจักรโรมัน (ตะวันตก) จักรพรรดิ์ Clovis ได้เข้ามาปกครองพื้นที่ที่เคยเป็นโรมันอันเกรียงไกรแทน ดังนั้น พระองค์จึงต้องจัดระเบียบพื้นที่ประเทศราชใหม่  และยังต้องรบพุ่งกับกลุ่มที่ยังกระด้างกระเดื่องมีไม่น้อย การศึกยังมีอยู่ไม่จบสิ้น อีกทั้งประชาราษฎรที่ยังนับถือต่างศาสนา ต่างนิกาย มีความคิดเห็นที่แตกแยก เจ้าหญิง Christian คู่หมั้นของพระองค์จึงเสนอความเห็นว่า จักรพรรดิน่าจะหันมาเปลี่ยนไปเป็นโรมันคาธอลิก..เพื่อให้ พระเจ้าจะได้ช่วยประสาทพรให้สัมฤทธิ์ผลต่อการปกครองบ้านเมือง (เนื่องจากตอนนั้น พระเจ้าโคลวิส ยังนับถือภูตผีปีศาจอยู่) พระองค์จึงท้าทายกับเจ้าหญิงว่า..ถ้าพระเจ้าของเธอสามารถทำให้กองทัพของเรามีชัยเหนือศัตรูได้อย่างเด็ดขาด  ฉันก็จะเปลี่ยนมานับถือคริสต์ดังที่เธอต้องการ.. จะด้วยอะไรก็ตามแต่..กองทัพของพระองค์ได้ชนะไปทั่วทั้งสิบทิศ (เทียบกับจะเด็ดละกัน..) สมตามความปรารถนา.. ดังนั้น พระองค์จึงรักษาสัญญาโดยการเข้ารีต และพาทหารหาญทั้งหลาย เข้าตามไปด้วย พิธีได้กระทำขึ้นในวันคริสต์มาสของปี 496 ที่พระวิหารในเมือง Riems อันมี Saint Remi เป็นเจ้าอาวาสที่จะต้องมีพิธีเจิมน้ำมันมนต์ที่ศักสิทธิให้กับพระเจ้าโคลวิส  หากแต่ความแออัดของฝูงชน ท่านเจ้าอาวาสจึงไม่สามารถเอื้อมมือไปหยิบโถน้ำมันได้.. ก็ปรากฏว่า มีนกสีขาวบินมาคาบโถ..และส่งให้กับท่านเจ้าอาวาสราวปาฏิหารย์ หลังจากการทำพิธีเสร็จสิ้น  การกินเลี้ยงครั้งใหญ่ก็ได้ตามมา ไวน์ของแชมเปญได้นำมาดื่มกินกันอย่างสนุกสนานและไม่อั้น เรื่องนี้ได้เป็นตำนานเล่าขานต่อทอดกันมาจนถึงปัจจุบัน..และที่แน่ๆ คือจากวันนั้นฝรั่งเศสได้ถือเป็นประเพณีที่คิงทุกพระองค์จะต้องไปทำพิธีราชาภิเษกที่พระวิหาร นอทเตรอะดามของเมืองรีนส์ (The cathedral of Notre-Dame, Reims) จะมีนกบินมาคาบโถน้ำมันหรือไม่ ก็ไม่สำคัญ... แต่ที่แน่ๆคือ งานเลี้ยงหลังจากพิธีนั้น ทั้งอาหารและไวน์ใหญ่ยิ่งอลังการงานสร้าง.. จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 16:55:01 ]

ความคิดเห็นที่ 65 สำหรับผู้อ่านที่ยังไม่รู้สึก"ขลัง" ตาม..ในพระวิหารตามภาพและเนื้อเรื่องข้างบน งั้นถ้าจะบอกว่า..พระวิหารนี้แหละ ที่ วีรสตรี Joan of Arc ที่สามารถรวบรวมผู้คนลุกขึ้นมาต่อต้าน และพยายามขับไล่อังกฤษที่เข้ามายึดครองบ้านเมืองอย่างทนทานมานานหลายสิบปี และได้ทำการพาคิงของตัวเอง พระเจ้า Charles VII ไปทำพิธีราชาภิเษกที่พระวิหารเมืองรีนส์ เพื่อให้เป็นการเติมเต็มพระราชอำนาจอย่างสมบูรณ์ (ค.ศ.1431) โดยที่โจนได้เอาชีวิตของตัวเองเป็นเดิมพัน..เพื่อปกป้องอันตรายที่จะมีแก่พระองค์ จากคุณ : WIWANDA - [ 3 เม.ย. 51 17:48:31 ]

ความคิดเห็นที่ 66 พี่วิอย่าว่านะ มันไม่เข้ากะเรื่อง แต่ว่า... เอาตลกมาแลกมาแลกความรู้ Three men, one English, one Welsh and one Thai, being chased by angry farmer with gun. The men run into barn and manage to hide in sack each. Farmer come into barn and look round and see suspicious sacks moving against wall. He go to first sack and push it... Englishman inside go 'Miaow' Farmer think they cats inside and leave it. He go to next bag and move it same way.... Welshman (hearing what englishman did) went 'Baaaa' Farmer think, oh they baby sheep hide and play inside the sack and leave it. Farmer go to last sack and poke it with end of gun. Thai man has heard how other two did and said......... RICE !!!!! ตั้งแต่มาอยู่นี้ ได้ไปงานแต่งฝรั่งสองงาน ทั้งสองงานเสริฟแชมเปญทั้งคู่ค่ะ หนู ๆ เค้าบอกว่ามัน Classy มาก ๆๆ รออ่านตอนต่อไปค่ะ จากคุณ : horseshoes - [ 3 เม.ย. 51 20:50:28 A:81.129.157.46 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 67 สวัสดีครับ อาวิและทุกๆท่าน ตามอ่านนะครับ เดี๋ยวนี้อ่านข้อเขียนของอาวิแล้ว จะมีเสียงอาลอยมาเข้าหูตลอด จะเป็นกับการเขียนเชิงแซวกัน พูดคุยนะครับ คือผมจะนึกภาพและท่าทางอาวิออกเลย ดีครับ จากคุณ : jearjear - [ 3 เม.ย. 51 22:31:14 ]

ความคิดเห็นที่ 68 อ่านประวัติศาสตร์สนุกมากเลยครับ . . . รออ่านต่อเรื่อยๆครับ จากคุณ : Spring (LaGrandeRue) - [ 4 เม.ย. 51 03:34:25 ]

ความคิดเห็นที่ 69 คุณhorseshoes ส่งข้อความขำขันมาให้คลายเครียดกัน ขอบคุณมากค่ะ พัสดุพี่ส่งไป(หลายวัน)แล้วนะคะ คราวนี้พิมพ์แอดเดรสออกไปจากเครื่องเลย  เขาว่า จะเป็น 7-10 วันน่าจะถึง คุณหลานเจี่ย..อ่านไปเห็นหน้าอาไปเลยเหรอ..เดี๋ยวก็"หลอน"จนนอนไม่หลับหรอก.. สวัสดีค่ะ คุณLGR ตอนนี้งานอยู่ตัวแล้วค่ะ พอมีเวลาว่างอ่านหนังสือ มีสมาธิในการเขียนเรื่องที่อยากจะเขียนซะที..พออารมณ์รื่น พี่จะสนุกสนานกับการเล่าเรื่องมาก เมื่อคืนนอนตอนตีสี่..อ่านหนังสือเพลินไปหน่อยน่ะค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 06:54:07 ]

ความคิดเห็นที่ 70 ทีนี้จะคุยให้ฟังเรื่องของชายสองคน ที่มีส่วนที่เหมือนและต่างแบบที่ไม่มีใครคาดได้ถึง.. ส่วนเหมือน คือ ทั้งคู่เกิดในปีเดียวกัน เสียชีวิต..ก็ในปีเดียวกัน อีกต่างหาก ทั้งคู่ต่างหลงไหลในความเป็นแชมเปญ (ไวน์ซ่า)  และได้ผลักดันจนแชมเปญได้ปรากฏขึ้นมาในโลกได้อย่างเป็นศรีสง่าของประเทศ ส่วนต่าง..คือ คนหนึ่งมียศถาบรรดาศักดิ์สูงส่ง แต่งกายด้วยอาภรณ์แพรพรรณงดงาม  อีกคนหนึ่ง สมถะ มีเพียงเสื้อคลุมเก่าคร่ำคร่า ยากจน เฉลย..คนหนึ่งนั้น คือ พระเจ้าหลุยส์ที่สิบสี่ (Louis XIV)  อีกคนหนึ่ง คือ บาทหลวง ดอม เปริญอง (Dom Perignon) ดังที่ได้บอกมาข้างต้นว่า ไวน์แห่งแชมเปญก่อนยุคของบุคคลทั้งสองนั้น คือไวน์ธรรมดาๆที่ผลิตกันในพื้นบ้าน ตามแต่ฤดูกาลจะอำนวย เรียกกันง่ายๆว่า "vins Francais " หรือ  "vins de l'Ile de France" อันหมายถึง ไวน์ของฝรั่งเศส  หรืออีกทีก็จะแสดงแหล่งผลิตให้ชัดเจนหน่อย เช่น..vins de la montagne  หรือ vins de Ay แต่ไม่เคยที่จะเรียกว่า "champagne" ไวน์ที่ผลิตได้ในท้องถิ่นนี้ มีมากมายหลายชนิด จะเป็นสีแดงใส หรือ ชมพูอ่อน ก็ตาม..แต่มันก็คือไวน์ธรรมดา ที่ไม่มีฟองฟู่ เพราะนั่นหมายถึงการผิดพลาดในการหมัก จัดว่าเป็นไวน์บูดที่ทุกคนพยายามเลี่ยงไม่ให้มันเกิดขึ้นมาได้ ฉะนั้นถ้าจะว่าไป ไวน์ (แชมเปญ) นั้น มีส่วนขัดแย้งในตัวเองอย่างมากมาย ตัวอย่างเช่น.. 1. Le champagne ที่บ่งบอกว่าเป็นเพศผู้ในภาษาฝรั่งเศส นั่นหมายถึง ไวน์ ส่วน la Champagne อันหมายถึงเพศหญิง นั่นคือ เมืองแชมเปญ 2. องุ่นที่ผลิตแชมเปญดีๆมักจะชอบดินแย่ๆ อย่างดินในแชมเปญ 3. เอาองุ่นแดง มาทำแชมเปญขาว 4. ไวน์แชมเปญที่มีชื่อเสียงดี เพราะ ไปทำให้มันบูด 5. บาดหลวงดอม เปริญองที่ค้นพบความเป็นไวน์ว่าของแชมเปญ ถึงกับเพ้อว่า..มองเห็นดวงดาว  ทั้งๆที่ตัวเองตาบอด****(ตำราอื่นๆเขียนไว้อย่างนี้..แต่ขอชี้แจงให้ทราบ) **** หมายเหตุ ข้อสุดท้ายนี่..ขอเรียนให้ทราบนะคะ ว่า บาดหลวงดอม เปริญอง นั้น ตาไม่ได้บอด..ดังที่ตำราหลายเล่มได้กล่าวไว้ เพราะลอกกันมาผิดๆ เนื่องจาก คำว่า "blind tasting" ที่ทำให้คนบางคนที่ไม่ใช่ชาวไวน์เข้าใจผิด เพราะไม่เข้าใจในความหมาย.. "Prior to blending he would taste the grapes without knowing the source vineyard to avoid influencing his perceptions. References to his "blind tasting of wine" have led to the common misconception that Dom Pérignon was blind." เนื่องจากไม่มีไวน์ในแชมเปญชนิดไหนที่ใช้องุ่นพันธุ์เดียวมาผลิต ทั้งหมดจะมาจากการผสมผเสน้ำที่บีบมาองุ่นสารพัดพันธุ์ บางชนิดมีเป็นสิบๆ ท่านบาดหลวงดอม เป็นผู้ที่ได้รับพระบัญชามาจากท่านเจ้าอาวาสให้มาเป็นผู้ดูแลการผลิตไวน์ หรือที่เราเรียกว่า cellar master ดังนั้น จึงจะเป็นไปไม่ได้ที่ท่านจะทุพพลภาพทางสายตา.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 07:40:44 ]

ความคิดเห็นที่ 71 ถึงแม้ว่าชาวโรมันจะใช้ที่ดินในแถบแชมเปญปลูกองุ่นทำไวน์มาตั้งแต่ครั้งต้นคริสต์กาลนั่นแล้วก็จริง แต่มันก็ใช้เวลาต่อมาจากนั้นนานนับหลายร้อยปี กว่าไวน์ของแชมเปญจะเป็นที่รู้จักแก่คนอื่นๆ เรากำลังพูดถึงศตวรรษที่สิบเอ็ด ที่ได้เกิดปรากฏการณืครั้งใหญ่ที่ได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์โลก นั่นคือ The 1st Crusade หรือจะเรียกให้ทันสมัยจับใจจ๊าบ ก็ว่า เป็น กองทัพธรรม นำโดย ท่านสังฆราช Urban II  ผู้ที่มีพื้นเพมาจากตระกูลคหบดี ใน Chatillon-sur-Marne ที่พอเติบโตขึ้นมาก็ได้เข้ามาสู่ความเป็นสงฆ์(อันเป็นเรื่องธรรมดาของลูกผู้ดี) ท่านสังฆราช เมื่อเข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ ท่านก็ได้ทำการโปรโมท พัฒนายกระดับไวน์ในท้องที่ให้มาอยู่ในระดับแนวหน้า... ขอเสริมว่า ไวน์คือ พลังอันสำคัญในการชี้ระดับของผู้ผลิตหรือเจ้าของว่า เก่งและมีฝีมือปานใด อันเป็นที่มาของคะแนนเสียงและความป๊อบปูล่าร์ สมัยนั้น ชาวบ้านธรรมดาไม่มีสิทธิ..การผลิตไวน์ต่างๆจึงตกอยู่ในความดูแลของสงฆ์ ท่านจำเป็นต้องใช้ในศาสนกิจกันอยู่เป็นประจำเพราะเปรียบเทียบได้ว่า ไวน์คือโลหิตแห่งพระผู้เป็นเจ้า.. เพียงเวลาไม่นาน ไวน์จากแชมเปญของท่านสังฆราช Urban II  ก็เป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างขวาง และท่านสังฆราชพระองค์นี้ไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น ท่านมีความคิดทางการค้าอย่างกว้างไกล.... เพราะจดหมายฉบับเดียวที่ได้รับจาก จักรพรรดิแห่งอาณาจักรโรมันตะวันออก Alexius I Comnenus (1048-1118 CE)  ที่ส่งพลังในการจุดประกายไฟ..ให้เกิดการเดินทางของกองทัพธรรมครั้งที่หนึ่ง.. แก้ไขเมื่อ 04 เม.ย. 51 08:36:36 จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 08:24:48 ]

ความคิดเห็นที่ 72 จดหมายฉบับนั้นว่าไว้ว่า.. O illustrious count and great consoler of the faith, I am writing to inform Your Prudence that the very saintly empire of the Greek Christians is daily being persecuted by the Pechenegs and the Turks ... The blood of christians flows in unheard-of scenes of carnage ... Therefore in the name of God and because of the true piety of the generality of Greek Christians, we implore you to bring to this city all the faithful soldiers of Christ ...   Bring me aid and bring aid to the Greek Christians. By coming, you will find your reward in heaven and, if you do not come, God will condemn you. Remember that you will find all those treasures and also the most beautiful women of the Orient. The incomparable beauty of the Greek women would seem to be a sufficient reason to attract the armies of the Franks to the Plains of Thrace. ..................................................................................... เนื้อความในจดหมายมีพร้อมมูลหมด ว่า..ถูกเบียดเบียน ทารุณโดยพวกต่างศาสนา (เติร์ก)  ร้องขอความช่วยเหลือให้พวกเดียวกัน แถมมีแช่ง..ถ้าไม่มา พระเจ้าจะลงโทษ (อีกต่างหาก) เท่านั้นไม่พอ..ถ้ามา..ก็จะพบว่ามีสมบัติและหญิงงามอยู่มากมาย.. จงรีบมาโกยเสียเถิด ก่อนที่จะตกไปเป็นของคนอื่น... จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 08:33:12 ]

ความคิดเห็นที่ 73 เนื่องจากในตอนนั้น สมัยนั้น การจัดระเบียบทางศาสนิกชนในพื้นที่ แม้แต่จะนับถือศาสนาเดียวกัน นิกายเดียวกันก็ยังไม่ลงตัว  เนื่องจากการปกครองที่ซ้ำซ้อนของกลุ่มขุนนางที่มีต่อชาวกสิกร  เช่นบางกลุ่มนับถือคิง บางกลุ่มนับถือผู้ครองนคร อย่าง Duke of Burgundy ไม่มีผู้มีอำนาจชี้เด็ดขาด แล้วแต่ว่า ใครจะเช่าที่ดินของใครทำกิน ดังนั้นความขัดแย้งในเรื่องของการประกอบศาสนกิจจึงเกิดเหตุให้วุ่นวายอยู่เนืองๆ ท่านสังฆราช Urban II  เห็นว่า ชาวคริสต์ด้วยกันขืนมัวแต่มาเข่นฆ่ากันเอง ศาสนาก็คงถึงคราวมอดม้วย พระองค์จึงได้จัดระบบใหม่  ให้มีการ มาชุมนุมกันในวันหยุด คือ วันอาทิตย์ (อันเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่ถือว่าวันอาทิตย์คือวันเข้าโบสถ์ ไปรับศีล) พระองค์ได้ป่าวประกาศเรียกร้องประชาชนให้มาร่วมด้วยช่วยกัน ว่า...พี่น้องชาวคริสที่อยู่ในอาณาจักรโรมันของเราทางฝั่งกระโน้น กำลังถูกพวกชาวเติร์กรุกรานย่ำยีอยู่  จงมาร่วมมือช่วยกันเถิด เพื่อความมั่นคงแห่งพระศาสนา.. เจตนาที่นอกเหนือไปจากนั้น คือ การที่จะเอานครเยรูซาเล็มที่ศักดิสิทธิกลับคืนมา ผู้คนชาวแชมแปญโห่ร้องต้อนรับในนโยบายกันอย่างเป็นเอกฉันท์ ทุกคนพร้อมใจในการที่จะร่วมกันเดินทัพไปขับไล่ และแก้แค้นกับพวกอริราชศัตรูที่บังอาจมาย่ำยีชาวคริสต์ เมื่อพวกนักรบธรรมหันมาปรองดองกันได้ เพราะร่วมกันเดินทางไปต่อตีกับคนอื่น บ้านเมืองที่อยู่ข้างหลังก็สงบสุข  แคว้นแชมเปญตั้งอยู่บนตำแหน่งสำคัญทางการค้า เพราะสามารถติดต่อค้าขายกับประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างง่ายดาย เส้นทางพานิชย์ที่ว่านี้..คือตัดผ่านแชมเปญพอดี  เส้นหนึ่ง คือ จากตะวันออก ไปตะวันตก สู่เยอรมัน อีกเส้นหนึ่ง คือ จากทะเลเหนือ สู่ ทะเลเมดิเตอเรเนียน พ่อค้าแม่ขายต่างใช้เส้นทางนี้ขายของกันสนุกสนาน ผ้าลูกไม้ชั้นดีจากฮอลแลนด์,  ผ้าห่มจากเบลเยี่ยม, ขนสัตว์จากรัสเซีย, เครื่องหนังจากอิตาลี,  มีดดาบจากเหล็กชั้นดีจากสเปน,  น้ำมันมะกอกจากกลุ่มเมดิเตอเรเนียน ฯลฯ แต่..ไม่ใช่ไวน์ เพราะไวน์คือเครื่องดื่มประจำครอบครัว ไม่มีใครคิดเอามาค้าขาย เพราะทำได้เป็นจำนวนน้อย อย่าว่าแต่จะขาย..ดื่มกันเองในครัวเรือนก็ แทบไม่พอ จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 09:23:51 ]

ความคิดเห็นที่ 74 จวบจนในปี 1200s ที่ทุกอย่างเริ่มเปลี่ยนไป การค้าเริ่มมีสีสัน พ่อค้าผ้าขนสัตว์ในแชมเปญเริ่มหัวใส  โดยการกระตุ้นการขายสินค้าด้วยการแถมไวน์เป็นโบนัสแบบลดกระหน่ำซัมเม่อร์เซลส์ ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่า วิธีการนี้ได้ผลเกินคาด เพราะสินค้าพื้นบ้านขายดิบขายดี แถมยังได้รับออเดอร์สั่งไวน์แบบเป็นกอบเป็นกำอีกด้วย.. ไม่นานต่อมา..ไวน์มียอดขายที่เกินหน้าสินค้าผ้าขนสัตว์ไปอย่างนำลิ่ว การดื่มไวน์ของแชมเปญในสมัยนั้น ไม่ใช่จิบแล้วหลับตาพริ้มทำนายหากลิ่นโน้นกลิ่นนี้ให้วุ่นวายอย่างเราๆเสียเมื่อไหร่..เพราะการดื่มนั้นต้องมีการ"ล้างบาป" ไวน์กันซะก่อน หรือเขาเรียกว่า ทำ"baptize"  กล่าวคือ การที่เอาน้ำมาผสมในไวน์เพื่อให้มันนุ่มขึ้น..(เพราะไวน์โบราณค่อนข้างจะมีรสออกเถื่อนๆอยู่)  ซึ่งไม่มีใครรังเกียจรังงอน   เพราะจะว่าไปแล้ว..ไวน์ที่นี่มีราคาย่อมเยากว่าไวน์ของเบอร์กันดีอย่างเทียบไม่ติด กองทัพธรรมที่จากไปสู่ตะวันออกนั้น ได้สร้างความมั่งคั่งเพิ่มพูนให้กับศาสนจักรอย่างทันตาเห็น เพราะเหล่าทหารหาญที่สมัครใจกันไป ต่างก็ได้ทำพินัยกรรมทิ้งสมบัติ(ที่เป็นที่ดินส่วนใหญ่) ไว้ให้กับพระอาราม ถ้าหากว่า ตัวไม่ได้กลับเข้ามา ซึ่ง..ก็เป็นไปตามความประสงค์ เพราะมักจะไม่ได้เหลือชีวิตกลับมาดังคาด ทางฝ่ายพระ....มีรายได้เข้ามาอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะว่าพระคือผู้รู้ และช่ำชองต่อการผลิตไวน์อย่างไม่มีใครเทียบเท่า ไวน์คืออาหารและยาที่จำเป็นสำหรับทุกคน  การค้าขายแลกเปลี่ยนให้เป็นเงินทองอยู่ในอำนาจของพระทั้งสิ้น  จนเกิดมีคำถามว่า..ถ้าไม่มีไร่องุ่นทำไวน์แล้ว..พระสงฆ์องค์เจ้าจะอยู่เหลือรอดกันได้อย่างไรมาจนถึงทุกวันนี้.. จากคุณ : WIWANDA - [ 4 เม.ย. 51 11:01:51 ]

ความคิดเห็นที่ 75 เจ๊หวานที่รัก แม้ไม่ได้เจอะเจอกันก็อาศัยติดตามอ่านบทความของเจ๊อยู่เสมอนะจ๊ะ พักนี้เราไปเขาใหญ่บ่อยก็มีโอกาสได้แวะทานอาหารและจิบไวน์แถวๆนั้นรวมถึงPBและกรามองเต้ด้วย ตามรสนิยมที่เตี้ยติดดินของเรา ไวน์ราคาแปดร้อยกว่าๆรสชาดแข่งกับเขาได้ไม่อายใครเลย กลับมาเที่ยวหน้าจะขอแย่งหน้าที่พลขับกับอีตาสื่อศิลปบ้างละนะ... จากคุณ : Uncle Tee - [ วันจักรี 22:44:24 ]

ความคิดเห็นที่ 76 พี่วิค่ะ ได้รับ ซีดีที่พี่วิส่งมาแล้วค่ะ จำนวนเจ็ดแผ่น ขอบพระคุณมากค่ะ ขอบคุณความรู้ที่มอบให้ไม่ว่าด้วยวิใด ๆ พี่วิเป็น my inspiration จริง ๆ ขอบคุณค่ะ จากคุณ : horseshoes - [ 8 เม.ย. 51 03:35:18 A:81.129.157.46 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 77 ลุงทีที่รัก เล่นกอล์ฟมั่งหรือเปล่า..เราไม่ค่อยได้มีโอกาสเลย ทำงานหัวฟู ทราบข่าวเหมือนกันว่าตัวเองไปเที่ยวแถวเขาใหญ่บ่อยๆ ถึงขนาดว่าจะย้ายไปอยู่แถวนั้นเชียว.. ถ้าแวะไปเที่ยวที่ไร่กรานมอนเต เชื่อเราเถอะ ว่าตัวเองจะต้องมีความรู้สึกเหมือนเรา จะว่าไปนะ..ครอบครัวของคุณวิสุทธิ์ มีอะไรหลายอย่างเหมือนครอบครัวตัวเองมากเลย ลองแวะไปเซย์ฮัลโหลซิ.. คิดถึงเสมอจ้า จากคุณ : WIWANDA - [ 8 เม.ย. 51 12:48:32 ]

ความคิดเห็นที่ 78 คุณ horseshoes คะ  พี่ดีใจนะที่พัสดุได้ถึงมือ หลังจากที่สองฉบับล่วงหน้าไปนั้น ไม่ถึง เพราะมาดูแล้ว เป็นความผิดของพี่เองที่ลอกที่อยู่มาไม่หมด หายไปบรรทัดหนึ่งแน่ะ.. หวังว่าคงเปิดซีดีทั้งหลายดูเล่นให้เย็นใจในยามว่างนะคะ ดูบ่อยๆ อีกหน่อยก็จะ"ขึ้นใจ"ไปเอง   ถ้าสังเกตดีๆ จะเห็นว่าในแต่ละซีดีอาจจะมีความเห็นในเรื่องบางเรื่องไม่เหมือนกัน ตัวอย่างเช่น เรื่องการเปิดขวด   ๑.บางเจ้าบอกว่า ควรจะดมหรือตรวจสภาพจุกคอร์ค เพื่อจะได้ทราบว่าไวน์นั้น"เสีย" หรือ ไม่เสียอย่างไร ๒.บางเจ้าบอกว่า ไม่ต้องดมไม่ต้องตรวจแล้ว จุก..เจิก.. เพราะไวน์ในสมัยนี้..เรื่องที่จะ"เสีย" นั้น..แทบมีไม่ถึงหนึ่งเปอร์เซ็นต์ ตามความเห็นของพี่...ขอตอบตามข้อสองค่ะ เพราะว่าถูกต้องตามนั้น หรือถ้าเคราะห์หามยามร้ายจริงๆ ไปเจอเอาไอ้หนึ่งเปอร์เซ็นต์ที่ว่านี้ เราเอาไปคืนได้ค่ะ จากคุณ : WIWANDA - [ 8 เม.ย. 51 13:01:06 ]

ความคิดเห็นที่ 79 ^___^ ลิ้นยังไม่ถึงขนาดนั้นค่ะพี่วิ เปิดออกมายังไงก็ทานยังงั้นเลยค่ะ ไม่เคยบ่นซักที ไม่รู้ด้วยว่าไวน์มันเสียมั้งรึเปล่า จากคุณ : horseshoes - [ 8 เม.ย. 51 22:20:07 A:81.129.157.46 X: TicketID:160086 ]

ความคิดเห็นที่ 80 ขึ้นกระทู้ใหม่นะคะ จากคุณ : WIWANDA - [ 10 เม.ย. 51 12:37:25 ]